The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 8^การเขียนรายงาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นางยอดขวัญ ศรีม่วง, 2021-04-24 03:28:19

การเขียนรายงาน

หน่วยที่ 8^การเขียนรายงาน

บทท่ี 7
การเขียนรายงานทางวิชาการ

ประเดน็ ศึกษา

 ความหมายของรายงานทางวชิ าการ
 ความสาคญั ของรายงานทางวิชาการ
 รูปแบบของรายงานทางวิชาการ
 กระบวนการเขยี นรายงานทางวชิ าการ
 การเขียนอ้างอิงและบรรณานกุ รมในการเขยี นรายงานทางวชิ าการ

แนวคิด

• การเขียนรายงานทางวชิ าการเป็นการศกึ ษาค้นคว้าความรู้ ขอ้ มูล หรอื ขอ้ เท็จจรงิ

เกี่ยวกับเรอ่ื งใดเร่อื งหนง่ึ ตามทผี่ ูเ้ ขยี นได้วางโครงเรื่องไว้ ตอ่ จากน้ันนามาเขยี นเรยี บเรยี ง
แล้วนาเสนออยา่ งมีระบบ ระเบียบแบบแผน มกี ารอา้ งองิ ท่ีถกู ตอ้ งและน่าเช่ือตามหลกั ทาง
วิชาการ
• ความสาคญั และประโยชน์ของการเขียนรายงานทางวชิ าการ เช่น สามารถนาไปเปน็
หลกั ฐานอา้ งองิ ทางวิชาการ เพ่มิ พนู ความรใู้ ห้ทนั สมยั นาไปปรับประยกุ ต์เพอ่ื แกป้ ัญหา
และพฒั นาในหนว่ ยงาน หรอื องค์กรต่างๆ และเปน็ แนวทางการตดั สนิ ใจดาเนินงาน
• รปู แบบรายงานทางวิชาการมี 3 ส่วน คือ สว่ นตอนต้นหรือส่วนนา ส่วนเนือ้ หา และ
สว่ นท้าย

ความหมายของรายงานทางวิชาการ

 นภาลัย สวุ รรณธาดา และคณะ (2548 : 206) กลา่ ววา่ เป็นเรื่องราวท่เี ป็นผลจาก
การศึกษาค้นคว้าทางวชิ าการ แล้วนามาเรยี บเรยี งอย่างมรี ะเบียบแบบแผน เรื่องราว
ทนี่ ามาเขียนรายงาน ตอ้ งเป็นข้อเทจ็ จริง หรือความรู้ อันเกดิ จากการรวบรวมขอ้ มูล
ด้วยวิธกี ารศึกษาค้นคว้าท่ีเปน็ ระบบ รายงานทางวชิ าการสว่ นใหญ่จะเป็นส่วนหนึ่ง
ของการศกึ ษารายวิชาใดรายวิชาหนง่ึ ซึ่งอาจจะอย่ใู นรูปแบบของรายงานการคน้ คว้า
รายงานประจาภาค รายงานการวจิ ยั และวทิ ยานิพนธ์

 ภาควชิ าภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม (ม.ป.ป. : 43) สรปุ ความว่า การเขียนรายงานทางวิชาการ
เป็นการนาเสนอผลจากการศึกษาค้นควา้ ข้อมูลความรูใ้ นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนามา
เรียบเรยี งข้นึ มาโดยมรี ะเบยี บแบบแผน มกี ารอ้างอิงหลกั ฐานขอ้ มูลความรูท้ ศ่ี ึกษา
คน้ ควา้ มาอยา่ งเปน็ ระบบ

สรปุ

• การเขยี นรายงานทางวิชาการเป็นการศึกษาคน้ ควา้ ความรู้ ข้อมลู หรอื
ขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกับเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงตามท่ีผเู้ ขียนได้วางโครงเรอื่ งไว้ ตอ่ จากน้ัน
ผู้เขยี นนาโครงเร่อื งมาเขยี นเรียบเรียงแล้วนาเสนออย่างมีระบบ ระเบยี บแบบ
แผน มกี ารอา้ งอิงท่ถี ูกตอ้ งและนา่ เชอ่ื ตามหลักทางวชิ าการ

ความสาคญั ของรายงานทางวชิ าการ

• สามารถนาไปเป็นหลักฐานอา้ งองิ ทางวชิ าการ
• เพิ่มพูนความรูใ้ ห้ทันสมัยและทันตอ่ เหตกุ ารณใ์ นสังคมโลกาภิวตั น์
• นาความรู้ท่ีได้จากรายงานทางวชิ าการไปประยุกตเ์ พื่อแกป้ ัญหาและพฒั นาใน

หนว่ ยงาน หรือองคก์ รต่างๆ
• เป็นแนวทาง หรอื แนวคดิ ในการตัดสินใจดาเนนิ งานต่อไป

รปู แบบของรายงานทางวิชาการ

• การเขยี นรายงานทางวิชาการ ประกอบไปดว้ ยรูปแบบ 3 สว่ น
1. สว่ นตอนต้นหรือส่วนนา
2. ส่วนเนอื้ หา
3. สว่ นท้าย

1. สว่ นตอนตน้ หรอื สว่ นนา

• อยตู่ อนตน้ ของการเขยี นรายงานทางวชิ าการ
• จะต้องกลา่ วถึง วตั ถุประสงคข์ องการทารายงาน และอาจจะมกี ารกล่าวคา

ขอบคุณแกผ่ ้ทู ี่มสี ่วนช่วย
• ไมค่ วรเกิน 3 หน้ากระดาษ ประกอบดว้ ย
1. ปกนอก
- เปน็ ส่วนนอกสุดของรายงานทางวิชาการ
- อาจจะมีตราสัญลกั ษณ์ของสถาบนั
- ระบุช่ือเรอ่ื ง ชือ่ ผู้เขียนรายงาน ชอื่ รายวชิ า คณะ มหาวิทยาลัย ภาคการศกึ ษา

และปกี ารศึกษาทท่ี ารายงาน

2. ปกใน
- มรี ปู แบบและข้อความคลา้ ยปกนอก แต่ใชก้ ระดาษตา่ งกนั
- อาจมีใบรองปกเป็นกระดาษว่างเปล่า 1 แผ่น ตอ่ จากปกนอก
3. คานา
- ทาให้ผูอ้ า่ นทราบถงึ วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดทารายงาน
- ผู้เขยี นรายงานจะขอบคุณผู้ใหค้ วามสะดวก หรือมสี ่วนช่วยเหลอื ในการทารายงาน

ด้วยกไ็ ด้ แต่ไม่ควรออกตวั หรอื แกต้ วั ใดๆ ในการเขียนคานา
4. สารบญั
- เป็นการแสดงสาระสาคัญของรายงานทงั้ หมด
- เรยี งลาดบั แบง่ เป็นบท ตอน ชอ่ื เร่อื ง
- มเี ลขหน้าบง่ ชว้ี ่าอยูห่ นา้ ใด

5. สารบญั ตาราง กราฟ และภาพประกอบ
- เปน็ การแสดงตาราง กราฟ และภาพ เรยี งคลา้ ยแบบสารบญั
- การบอกชื่อ หน้าท่มี ีตาราง กราฟ และภาพ

2. ส่วนเนือ้ หา

• เปน็ ส่วนสาระสาคญั ของรายงานทางวิชาการ
• อาจจะมีการแบ่งเป็นบทหรือตอน ท้งั นีข้ ึ้นอยู่กับความตอ้ งการของผเู้ ขยี น
• มีการอา้ งองิ ขอ้ มูล ตวั อย่าง แผนภูมิ สถิติประกอบ
• ภาษาท่ใี ชใ้ นการเขียนรายงานทางวชิ าการมกั จะเป็นภาษาทางการ
• หลกี เลย่ี งคาศพั ท์เฉพาะ หากมีคาศพั ทเ์ ฉพาะควรมกี ารอธบิ ายเพม่ิ เตมิ
• มกี ารเรยี งลาดับความเปน็ อยา่ งดี ใช้คาเข้าใจง่าย

1. บทนา หรือคานา
- บอกวตั ถุประสงคใ์ นการทารายงาน
- ขอบเขตของเรอ่ื ง รวมทั้งวิธีการศกึ ษาค้นควา้
2. เนื้อหา
- เป็นส่วนทส่ี าคัญของรายงาน
- ควรแบ่งเป็นบท หัวข้อใหญ่ หวั ข้อย่อย
- การแบง่ บท หรือหวั ขอ้ ควรให้มีความสอดคลอ้ งต่อเน่อื งกัน
3. สรุป
- เป็นการสรปุ ผลการศึกษาคน้ ควา้
- อาจมอี ภปิ รายและใหข้ อ้ เสนอแนะในการค้นคว้าต่อไป

3. ส่วนทา้ ย

• บรรณานกุ รม
- ประกอบไปดว้ ยรายช่ือหนงั สือ เอกสาร โสตทศั นวสั ดหุ รอื แหลง่ ขอ้ มลู อ่ืนๆ ท่ี

ผเู้ ขียนรายงานใชใ้ นการทารายงาน
• ภาคผนวก
- เป็นเพ่มิ เติมตอนทา้ ยของรายงาน
- เป็นสว่ นท่ีสมั พนั ธก์ บั เนือ้ เรอ่ื ง ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจเนือ้ เร่อื งแจม่ แจง้ ชดั เจนมาก

ย่งิ ขนึ้

4. กระบวนการเขยี นรายงานทางวชิ าการ

1. ขนั้ เตรยี ม
- เลือกหัวข้อ สารวจ และรวบรวมข้อมูล วาง โครงเรอ่ื ง แนวคดิ และ

วัตถุประสงค์
- ทาใหผ้ เู้ ขียนรายงานมีทศิ ทางในการทางานมากยงิ่ ขนึ้
2. ขั้นกาหนดเรอ่ื งและขอบเขตของเรอ่ื ง
- ควรเป็นหวั ข้อทผี่ เู้ ขยี นรายงานมคี วามสนใจ และถนัดมากที่สดุ
- ควรเปน็ เร่อื งท่สี าคัญหรอื ความน่าสนใจ
- สามารถคน้ ควา้ หาข้อมลู ได้ไม่ยากลาบากเกนิ ไป

-

3. ขน้ั กาหนดวตั ถุประสงค์ของการศึกษาและวางโครงเรอ่ื ง
4. ข้ันสารวจแหล่งขอ้ มูล รวบรวมข้อมูลและวิเคราะหข์ อ้ มลู
แบ่งออกเป็น 2 ประเภท

4.1 ข้อมลู จากเอกสารหลักฐานตา่ งๆ (Documentary Data)
4.2 ข้อมลู สนาม (Field Data)

วธิ ีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เอกสารหลักฐาน มดี งั น้ี

• สารวจหนงั สอื และเอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับหัวขอ้ เร่ืองที่จะเขียนรายงาน
• อา่ นจบั ใจความสาคญั พร้อมทาความเข้าใจเนอ้ื หา
• บันทกึ ข้อมลู การอา่ นอย่างเปน็ ระบบโดยการใชบ้ ัตรรายการขนาด 4 x 6 น้วิ
- หวั ขอ้ เรื่องทีบ่ นั ทกึ ใหเ้ ขียนมุมขวาของบัตร
- แหลง่ ทม่ี าของข้อความทีบ่ นั ทกึ
• ขอ้ ความที่บันทึก ไดแ้ ก่

(ก.) การยอ่ หรือบันทกึ เฉพาะท่ีสาคญั
(ข.) การถอดความเปน็ สานวนของผเู้ ขยี นรายงานเอง
(ค.) การคัดลอกโดยใส่เคร่ืองหมายอัญประกาศ
(ง.) การวิจารณห์ รือสรปุ ความคดิ เหน็ )

ตัวอยา่ ง การบันทึกข้อมูล แบบวิธยี อ่ หรอื สรปุ ความโดย
สานวนผูบ้ นั ทกึ

ความเปล่ียนแปลงของภาษา
สถาบันภาษาไทย. บรรทัดฐานภาษาไทย เลม่ 1 : ระบบเสียง อกั ษรไทย การอา่ น

คาและการเขยี นสะกดคา. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ภาษาไทย กรมวชิ าการ
กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2545. หนา้ 4
ความเปลยี่ นแปลงของภาษา มี 2 ลักษณะ คือ
• ปัจจยั ภายในตวั ภาษา คือการเปลีย่ นแปลงควบคู่ไปกับความเปล่ยี นแปลง ความ
เจริญ และความเสื่อมในสงั คมมนษุ ย์ คา และประโยคอาจเปล่ยี นแปลง เพิม่ ขึ้น
หรอื หดหาย
• ปจั จัยภายนอกภาษา คืออิทธิพลของภาษาอนื่ ด้านการออกเสียง ระบบเสียง
ความหมายของคา และหนา้ ทข่ี องคาในบริบทต่างๆ

5. ขั้นเรียบเรียงเนือ้ หาของรายงาน
- ควรเขยี นเรียบเรียงตามโครงเรอ่ื งที่วางไว้
- บทนากล่าวถึงเหตผุ ลหรอื มลู เหตุที่เขยี นรายงาน วตั ถปุ ระสงค์ ขอบเขตและวธิ ี

การศึกษา
- ส่วนเนื้อหาผู้เขียนจะตอ้ งนาข้อมูลทไ่ี ด้ศกึ ษาคน้ ควา้ มาวเิ คราะหแ์ ล้วเรยี บเรียง
6. ข้นั เขยี นเชิงอรรถและบรรณานุกรม
- คอื คาอธบิ าย หรอื อ้างองิ ทีเ่ ขียน พมิ พ์ไวท้ สี่ ว่ นลา่ งของหน้าเนอ้ื หาหรือตอน

สว่ นท้ายของรายงาน
การเขียนเชงิ อรรถมีวธิ ีการดงั ต่อไปน้ี
ก.) ส่วนใหญน่ ิยมเขยี นตาแหน่งเชงิ อรรถไวท้ า้ ยแต่ละหนา้ อาจจะข้ึนตน้ เลข 1 เม่อื

ขึน้ บทใหมห่ รอื ข้นึ ต้นเลข 1 แลว้ เรียงไปจนจบรายงานกไ็ ด้
ข.) ข้อความในเชิงอรรถมคี วามยาวเกิน 1 บรรทดั เมอื่ ข้ึนบรรทัดใหมใ่ หเ้ ขียนเยือ้ ง

บรรทดั แรก 8 ตวั อักษร

ค.) สว่ นประกอบเชิงอรรถ ได้แก่ ชอ่ื ผู้แต่ง ชื่อหนังสอื เอกสารหรือข้อมลู ครง้ั ทพี่ มิ พ์
เมอื งทีพ่ ิมพ์ สานักพมิ พ์ ปที ีพ่ มิ พ์ เลขหน้าอ้างอิง

2 การเขยี นบรรณานุกรมมีวิธกี ารดงั ตอ่ ไปนี้
ก.) การเรยี งลาดับช่ือผแู้ ต่ง
- ผแู้ ต่งเปน็ คนไทยให้เรยี งตามลาดับอักษรตงั้ ก-ฮ
- ผ้แู ตง่ เป็นชาวตา่ งชาติ ใหเ้ รียงตามอกั ษรตวั แรกของชื่อสกลุ ตงั้ แต่ A-Z
- หากผู้แตง่ คนเดยี วกัน แตแ่ ตง่ หนังสืออีกเรื่องหน่งึ ใหใ้ ช้วธิ กี ารขีดเสน้ ยาวขนาด 8

ตวั อกั ษรตามดว้ ยมหพั ภาค (.)
- หากข้อความในบรรณานกุ รมยาวเกนิ 1 บรรทัด ในบรรทัดทีส่ องใหย้ อ่ เขา้ ไป 4

ตัวอกั ษร

ข.) ส่วนประกอบของการเขียนบรรณานุกรม
ไดแ้ ก่ ช่อื ผู้แต่ง ชื่อหนังสอื เอกสารหรือแล่งขอ้ มูล รายละเอียดเก่ียวกับการพิมพ์ คร้งั

ทพี่ มิ พ์ เมอื งทพี่ ิมพ์ สานักพมิ พ์ ปีท่ีพิมพ์
ตวั อยา่ ง การเขยี นบรรณานุกรม หนงั สือเล่ม
สถาบันภาษาไทย, บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม 1 : ระบบเสยี ง อกั ษรไทย

การอ่านคาและการเขยี นสะกดคา. กรงุ เทพฯ : สถาบันภาษาไทย
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2545.

Evans,Grant, The Politics of Ritual andRemembrance
Laos since 1975. Chaing Mai : Silk
Worm Books, 1998.

5. การอา้ งองิ และบรรณานุกรมในการเขยี นรายงานทาง
วิชาการ

• การอ้างองิ ในการเขยี นรายงานทางวิชาการมหี ลายรูปแบบ เชน่
1. การอา้ งอิงแบบแทรกในเนอ้ื หา
2. การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ
3. การเขียนอัญพจนห์ รอื อญั ประภาษ
4. การเขียนบรรณานกุ รม

• ในบทนจี้ ะขอกล่าวถงึ รูปแบบการเขียนอา้ งอิงในเน้อื หา และการเขียน
บรรณานกุ รมเท่านั้น ซง่ึ เปน็ การอา้ งอิงทีใ่ ช้บ่อย งา่ ย และสะดวก

1. การอ้างอิงแบบแทรกในเนือ้ หา

• นิยมใช้ระบบนาม – ปี
• เขยี นหรือพิมพ์นามนาม ผูแ้ ตง่ ปีท่ีพมิ พ์ และหน้าทอ่ี ้างอิง ใสไ่ ว้ในเคร่ืองหมาย

วงเลบ็ ต่อจากขอ้ ความทย่ี กมา
เช่น
... ภมู ิปญั ญาท้องถิน่ อสี าน กลา่ วไดว้ า่ เป็นผลของการพัฒนาการปรบั ตวั ปรับวถิ ีชวี ติ

ของคนไท-ลาว และกลุ่มชาติพันธอุ์ นื่ ๆ ท่อี ยู่รว่ มกนั ในธรรมชาติแวดล้อมรายรอบ
อาณาบริเวณทร่ี าบสงู กวา้ งใหญ่ของอษุ าคเนย์ อันมีแมน่ ้าโขงและสาขาคือ ชี มูล
และสายน้าซอยอีกหลายสายหลอ่ เล้ียงตอนในของที่ ราบสงู (เอกวิทย์ ณ ถลาง
2544 : 21)...

• ในบางครง้ั การอา้ งอิงแบบแทรกเน้อื หา หากผูเ้ ขยี นต้องการอธบิ ายคาหรือ
ความคิดในเนื้อเรอ่ื ง อาจใชก้ ารอา้ งอิงโยง ให้พิมพ์หรอื เขยี นไว้ส่วนท้ายของ
หนา้ กระดาษ โดยมีเครอื่ งหมายดอกจัน (*) กากบั ไว้ด้านหลัง

• เช่น
ลักษณะภูมศิ าสตรข์ องเมืองหลวงพระบาง* เปน็ พื้นที่ราบขนาดเลก็ วางตัวอยู่ใน
แอ่งภูเขาขนาดใหญ่ ทมี่ สี ายน้าโขงไหลเลยี บขนาบข้างด้านทิศ
ตะวันออกเฉียงเหนอื มสี ายนา้ 2 สายคอื สายนา้ อูกบั สายน้าเซืองไหลมาบรรจบ
กบั แมน่ า้ โขง (ศภุ ชยั สิงหย์ ะบุศย์ 2553 : 16)

________________
* ตาแหน่งท่ีตงั้ ของ “หลวงพระบาง” อยรู่ ะหวา่ งเสน้ ละตจิ ดู 9 องศา 0 ลิปดา
ถงึ 21 องศา 5 ลิบดาเหนือ และเสน้ ลองติจดู ท่ี 101 องศา 48 ลิปดา ถงึ
103 องศา 30 ลิบดาตะวนั ออก ซง่ึ อยสู่ ว่ นกลางของสายนา้ โขงท่ีมีความยาว
4,909 กิโลเมตร หรอื ตงั้ อยใู่ จกลางภาคเหนือของสปป.ลาว ในปัจจบุ นั

2. การเขียนบรรณานกุ รม

• การเรียงลาดบั ชื่อผแู้ ตง่ ผแู้ ต่งเปน็ คนไทยให้เรยี งตามลาดับอกั ษรต้งั ก-ฮ หากผู้
แต่งเปน็ ชาวต่างชาติ ใหเ้ รยี งตามอกั ษรตวั แรกของชื่อสกุล ตงั้ แต่ A-Z

ตวั อย่าง การเขียนบรรณานุกรม

อภศิ ักดิ์ โสมอนิ ทร.์ โลกทศั นอ์ ีสาน. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2. มหาสารคาม : อภิชาตการ
พิมพ,์ 2537.

ตวั อย่าง การเขยี นบรรณานุกรม หนังสือแปล

โรลอ็ งด์ บาร์ต. มายาคต.ิ แปลโดยวรรณพมิ ล องั คศริ สิ รรพ. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พค์ บไฟ, 2551.

ตวั อยา่ ง การเขียนบรรณานุกรม บทความในหนงั สือรวมเลม่

ศรีศกั ดร วลั ลโิ ภดม. “การวิจัยท้องถนิ่ ทีค่ วรเปน็ : ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ และพิพธิ ภณั ฑ์
ทอ้ งถิน่ ,” ในประวัติศาสตร์นอกขนบ,อภริ าดี จันทร์แสง, บรรณาธิการ.
มหาสารคาม : คณะ มนุษยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2555.

ตัวอย่าง การเขยี นบรรณานุกรม บทความในวารสาร นิตยสาร

ณฐั กฤตา นามมนตรี. “จินตกรรมเร่อื งย่าโมในเพลงโคราช” ในวารสารมนุษย์กับสังคม. ฉบับ
ปฐมฤกษ์ : ตานาน ผู้คน คติชน ลุม่ นา้ โขง (มกราคม – กรกฏาคม 2555) : 87.

• ตัวอยา่ ง การเขยี นบรรณานกุ รม วทิ ยานิพนธ์

ณฐั กฤตา นามมนตรี. “เร่อื งเล่าทา้ วสรุ นารี : การสร้างภมู ิทศั นว์ ัฒนธรรมของชาว
ไทยโคราชจังหวดั นครราชสีมาในบริบทของสังคมไทยร่วมสมัย”
วทิ ยานิพนธ์ปรชั ญาดุษฎบี ัณฑติ สาขาวิชาภาษาไทย บัณฑิตวทิ ยาลยั
มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2558.

สรุปทา้ ยบท

• การเขียนรายงานทางวิชาการเปน็ การศกึ ษาคน้ ควา้ ความรู้ ขอ้ มูล หรอื ข้อเท็จจรงิ
เกยี่ วกบั เรอื่ งใดเรื่องหน่ึงตามทผ่ี ูเ้ ขียนไดว้ างโครงเร่อื งไว้ ตอ่ จากนัน้ ผเู้ ขียนนาโครง
เร่อื งมาเขยี นเรียบเรยี งแลว้ นาเสนออยา่ งมรี ะบบ ระเบียบแบบแผน มีการอ้างองิ ท่ี
ถกู ต้องและน่าเช่ือตามหลกั ทางวชิ าการ

• การเขียนรายงานทางวิชาการมีความสาคญั และประโยชน์หลายประการ เช่น
สามารถนาไปเป็นหลักฐานอา้ งอิงทางวิชาการ เพิม่ พูนความรใู้ หท้ นั สมยั และทันต่อ
เหตกุ ารณใ์ นสงั คมโลกาภิวัตน์ นาความรู้ท่ไี ดจ้ ากรายงานทางวชิ าการไปประยกุ ต์
เพื่อแก้ปัญหาและพฒั นาในหน่วยงาน หรอื องคก์ รต่างๆ และเป็นแนวทาง หรอื
แนวคิดในการตัดสนิ ใจดาเนนิ งานตอ่ ไป

• การเขยี นรายงานทางวชิ าการ ประกอบไปด้วยรูปแบบ 3 ส่วน คอื สว่ นตอนต้น
หรือส่วนนา ส่วนเนอื้ หา และส่วนท้าย กระบวนการเขยี นรายงานทางวิชาการ
ได้แก่ ขน้ั เตรยี ม ขัน้ กาหนดเร่อื งและขอบเขตของเร่อื ง ข้นั กาหนดวตั ถุประสงค์
ของการศึกษาและวางโครงเร่ือง ข้นั สารวจแหลง่ ขอ้ มูล รวบรวมขอ้ มูลและ
วิเคราะหข์ ้อมลู ขั้นเรียบเรยี งเนอ้ื หาของรายงาน และขนั้ เขยี นเชิงอรรถและ
บรรณานุกรม การเขยี นอา้ งองิ และบรรณานุกรม เปน็ การแสดงหลกั ฐานถึงแหล่ง
การศึกษาค้นควา้ ขอ้ มูลทใ่ี ช้ในการเขียนรายงานทางวชิ าการ การเขียนอา้ งองิ มี
ประโยชน์หลายด้าน เชน่ ทาให้รายงานวชิ าการมนี ้าหนักนา่ เช่อื ถอื อกี ท้งั ยงั เปน็
ผลดตี อ่ ผอู้ ่านท่สี นใจศกึ ษาหาความรูเ้ พิม่ เติมจากรายงานทางวชิ าการได้อกี ดว้ ย
การอ้างองิ ในการเขยี นรายงานทางวิชาการมหี ลายรปู แบบ เช่น การอ้างองิ แบบ
แทรกในเน้ือหา การอ้างองิ แบบเชิงอรรถ และการเขียนอัญพจนห์ รือ อญั ประ
ภาษ

จบการบรรยาย


Click to View FlipBook Version