The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 6 กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Tanisaya26019, 2021-11-10 09:19:04

บทที่ 6 กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ

บทที่ 6 กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ

บทที่ 6 กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ

จัดทำโดย เด็กหญิง ธนิสยา เสมอทอง ม.3/13 เลขที่ 15

ตลาดในระบบ
เศรษฐกิจ

ตลาด (Market) :

การที่ผู้ซื้อและผู้ขายมาทำการติดต่อซื้อขายกัน
ตลาดมี 2 ความหมาย โดยนัย :

นัยแรก หมายถึง สถานที่ที่มีผู้ซื้อและผู้ขายมาติดต่อทำการซื้อขายกัน
เช่น ตลาดท่าเตียน
นัยที่สอง หมายถึง การติดต่อระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย (มีขอบเขตของตลาด
ที่กว้างขวาง) เช่น การซื้อขายออนไลน์

MARKET

ลักษณะโดยทั่วไปของตลาด

แบ่งเป็ นตลาด 4 ประภาท

แบ่งตามลักษณะการขาย
สินค้า

ตลาดขายส่ง ทำการซื้อขายสินค้าจำนวนมาก
โดยผู้ขายจะขายสินค้าให้พ่อค้าขายส่งในระดับ
รองลงไป หรือพ่อค้าขายปลีก

ตลาดขายปลีก ทำการซื้อขายสินค้าให้กับ
ผู้บริโภคโดยตรง สินค้าในการซื้อขายมีจำนวนไม่
มากนัก

แบ่งตามชนิดสินค้า

ตลาดสินค้าเกษตร ทำการซื้ อขายสินค้าเกษตร
เช่น ข้าว

ตลาดสินค้าอุตสาหกรรม ทำการซื้ อขายสินค้า
อุตสาหกรรม เช่น เครื่องจักร

ตลาดบริการ มีการซื้ อขายบริการต่างๆเช่น
การขนส่ง

แบ่งตามวัตถุประสงค์ของ
การใช้สินค้า

ตลาดสินค้าผู้บริโภค เป็นตลาดที่ผู้บริโภคซื้อ
สินค้าไปบริโภคโดยตรง เช่น เสื้อผ้า

ตลาดสินค้าผู้ผลิตหรือตลาดปัจจัยการผลิต เป็น
ตลาดที่ผู้ซื้อนำไปใช้ในการผลิตอีกทอดหนึ่งอยู่ใน
รูปของวัตถุดิบ เช่น น้ำมัน

ตลาดเงินและตลาดทุน
ตลาดเงินเป็นตลาดที่มีการระดมทุนและให้กู้ยืมระยะ
สั้นไม่เกิน 1 ปี
ตลาดทุนเป็นตลาดที่มีการระดมทุนและให้กู้ยืมระยะ
ยาวเกิน 1 ปี

ตลาดตามลักษณะการ
แข่งขัน

โดยแบ่งตามลักษณะการแข่งขันได้ 2 ประเภท คือ
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์และตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์

ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ มีการแข่งขันกันอย่างเต็มที่ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย การกำหนดราคาเกิด
ขึ้นทั้งจากผู้ซื้อและผู้ขาย ไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามามีอิทธิพล
ลักษณะสำคัญ

1.มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก ผู้ซื้อและผู้ขายแต่ละรายต่างไม่มีอิทธิพลเหนือ ราคาสินค้า

2.สินค้าที่ซื้อภายในตลาดจะมีลักษณะเหมือนกันทุกประการ คือ สามารถใช้ทดแทนกันได้อย่างสมบูรณ์

3.ผู้ซื้อและผู้ขายต่างรู้ถึงสภาพการณ์ในตลาดเป็นอย่างดี เช่น รู้ราคาซื้อขายสินค้า

4.การติดต่อซื้อขายจะต้องกระทำโดยสะดวก ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อซื้อขายกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

5.หน่วยธุรกิจสามารถเข้าหรือออกจากธุรกิจการค้าได้โดยเสรี โดยไม่มีข้อจำกัด

ข้อดี

1.ด้านการผลิต ผู้ผลิตจะทำการผลิตสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และใช้ต้นทุนต่ำที่สุด

2.ด้านการบริโภค ผู้บริโภคจะได้รับความพอใจสูงสุดในการเลือกซื้อสินค้า (เป็นธรรม)

3.ระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทำให้การจัดสรรทรัพยากรมีประสิทธิภาพ การกระจายรายได้ค่อนข้างเสมอภาค และมีการปรับปรุงการ

ผลิตของผู้ผลิตอยู่เสมอ

ข้อเสีย

1.ในระยะยาวผู้ผลิตจะได้กำไรน้อยมาก ตลาดนี้จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในความเป็นจริง

2.ไม่มีการแข่งขันระหว่างผู้ผลิตอย่างแท้จริง เพราะว่าผู้ผลิตแต่ละรายมีความสามารถไม่เท่ากัน ผู้ผลิตที่มีการบริหารจัดการไม่ดีพอ

ต้องประสบปัญหาขาดทุน และเลิกกิจการไปในที่สุด

3.ผู้ผลิตมักจะไม่ลงทุนจำนวนมากหรือไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ เนื่องจากได้กำไรน้อย

ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ผู้ซื้อหรือผู้ขายมีอิทธิพลในการกำหนดราคาหรือปริมาณสินค้าในตลาด
เนื่องจากสินค้าส่วนมากมีลักษณะไม่เหมือนกัน ทำให้ผู้ซื้อเกิดความพึงพอใจ

ประเภทตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ สินค้าของผู้ค้าคนใดคนหนึ่งมากกว่ากัน

1.ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดมีผู้ขายจำนวนมาก เป็นสินค้าอย่างเดียวกันแต่มีหลายยี่ห้อ เช่น สบู่ ยาสีฟัน รองเท้า เสื้อผ้า

2.ตลาดที่มีผู้ขายน้อยราย มีผู้ขายไม่กี่รายแต่ขายสินค้าจำนวนมากเมื่อเทียบกับตลาดทั้งหมด เช่น บริษัทโรงกลั่นน้ำมัน

ตลาดน้ำอัดลม

3.ตลาดผูกขาด มีผู้ขายรายเดียวทำให้มีอิทธิพลเหนือราคา เช่น โรงงานยาสูบ ประปา ไฟฟ้า สลากกินแบ่งรัฐบาล

ข้อดี

1.สามารถควบคุมการบริโภคและการให้สวัสดิการ เป็นกิจการที่รัฐเข้าไปผูกขาด เช่น สุรา สลากกินแบ่งรัฐบาล

2.สามารถควบคุมสภาพแวดล้อม

3.ส่งผลดีต่อการผลิตสินค้าพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ต้องใช้เงินลงทุนมากแต่ผลตอบแทนต่ำ เช่น ไฟฟ้า

4.สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชน

ข้อเสีย

1.การจัดสรรทรัพยากรไม่เป็นธรรม เมื่อมีผู้ผลิตน้อยรายทำให้ผู้ผลิตเลือกซื้อปัจจัยการผลิตที่ด้อยคุณภาพ เอาเปรียบ

แรงงาน แต่จำหน่ายในราคาที่สูง

2.ส่งผลกระทบต่อการบริโภค(ขาดทางเลือก)

3.มีการแข่งขันน้อย ทำให้สินค้าด้อยคุณภาพ

กลไกราคา
(PRICE MECHANISM)

หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในระดับ
ราคาสินค้า ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงผลักดัน
ของอุปสงค์ตลาดและอุปทานตลาด

อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการและสามารถซื้อสินค้านั้นได้
1.เส้นอุปสงค์และกฎของอุปสงค์ มีลักษณะที่ลาดลงจากซ้ายไปขวา และมีความชันของเส้นเป็นค่าลบ

2.ตัวกําหนดอุปสงค์ ราคาสินค้าชนิดนั้น รายได้เฉลี่ย จำนวนประชากร ฤดูกาล การศึกษาและการโฆษณา ราคาสินค้า
ชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยอื่นๆ

อุปทาน (Supply) หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตหรือผู้ขายพร้อมที่จะผลิตออกขาย ณ ระดับราคาต่างๆ
1.เส้นอุปทานและกฎของอุปทาน ผู้ผลิตมักจะผลิตสินค้ามากขึ้นเมื่อราคาสูงขึ้นและผลิตน้อยลงเมื่อราคาลดลง
2.ตัวกำหนดอุปทาน เป้าหมายของธุรกิจ ราคาสินค้าที่ผลิต การเปลี่ยนแปลงของเทคนิคการผลิต ราคาปัจจัยการผลิต
จำนวนผู้ผลิตหรือผู้ขาย สภาพดินฟ้าอากาศ และปัจจัยอื่นๆ

ราคาดุลยภาพ

ราคาดุลยภาพ(ต่อ)

ปั จจัยในการกำหนดราคา

สภาวะทางเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจดี
-ประชาชนมีรายได้ดี
-ปริมาณเงินในตลาดมาก
-คนมีกำลังซื้ อ

เศรษฐกิจตกต่ำ
-ประชาชนมีรายได้ลดลง
-ปริมาณเงินในตลาดน้อย
-คนมีกำลังซื้ อน้อย

ปั จจัยในการกำหนดราคา

กลุ่มเป้ าหมาย

กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง

กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่ำ

ปั จจัยในการกำหนดราคา

การแข่งขันของตลาด

ตลาดที่มีสินค้าประเภทเดียวกัน
-สินค้ามีลักษณะเหมือนกัน
-มีผู้ขายหลายคน

ตลาดที่มีผู้ขายเพียงไม่กี่เจ้า
-สินค้าที่มีการลงทุนสูง เช่น ธุรกิจน้ำมัน
เครื่องจักร
-มีผู้ขายเพียงคนเดียวกำหนดราคาได้
ตามความต้องการ

การตั้งราคาสินค้า

สรุปสาระสำคัญ

ขอขอบคุณ

สไลด์บทที่1 ของคุณครู และหนังสือสังคม ม.3

จัดทำโดย
ด.ญ.ธนิสยา เสมอทอง ม.3/13 เลขที่ 15


Click to View FlipBook Version