ทักษะการสื่อสารของมนุษย์ ประกอบไปด้วย การฟัง การพูด การอ่าน ๑.๒ ระดับของการอา่ น 0
และการเขียน การฟัง และการอ่านเป็นทักษะที่จําเป็นสําหรับมนุษย์ในการสื่อสารเพื่อ
ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การฟังเป็น ทักษะซึ่งอาจมีข้อจํากัดเรื่องเวลา สถานที่และ ระดับของการอ่านแบ่งเปน็ ๒ ระดบั คอื อา่ นไดแ้ ละอ่านเป็น การรับรู้จากการอ่านโดยทั่วไป
ความคงทนของสาร ส่วนการอ่านเป็นทักษะที่สําคัญใน การแสวงหาความรู้ ทั้งนี้ด้วย เริ่มจากระดับที่เรียกว่า อ่านได้ คือสามารถแปลความหมาย รับรู้สารผ่านตัวอักษร ส่วนในระดับ
ส่อื ท่ีใช้สําหรับการอ่านมคี วามคงทนมากกวา่ ไมม่ ีขอ้ จาํ กัดเรอื่ งเวลาและ สถานท่ี อ่านเป็น ผู้อ่านจะสามารถจับใจความสําคัญ แนวคิดของเรื่อง รวมถึงความหมายแฝง หรือ
ความหมายที่ ได้จากการตีความ สามารถประเมินค่าของสารที่อ่านได้ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่ กับความรู้
ดังนนั้ จึงถอื ได้ว่า ทักษะการอา่ นมีความจําเป็นและมีความสําคัญสําหรับผู้ท่ี และประสบการณ์ของ ผูอ้ ่านแต่ละคน
ต้องการแสวงหา ความรู้และเพิ่มพูนประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับนักเรียน
นักศึกษา เพราะความสําเร็จ ทางการศึกษาย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถและพื้นฐาน ๑.๓ จุดประสงคข์ องการอา่ น
ทางการอา่ นทีด่ ี
การอ่านหนังสือ มจี ดุ ประสงค์สาํ คัญ ดังน้ี
๑.๑ ความหมายและความสําคญั ๑) อ่านเพื่อการเขียน คือการอ่านเพื่อนําความรู้มาใช้ในการเขียน เช่น เรียงความ
บทความ สารคดี ฯลฯ ซึ่งผู้อ่านควรวิเคราะห์ความถูกต้องของข้อมูล คัดเลือกข้อมูลที่เหมาะสม
การอ่าน คือ กระบวนการรับรู้และเข้าใจสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร นําไปใช้เขียนหรืออ้างอิง เช่น การอ่านหนังสือเรื่อง วัฏจักรชีวิตของกบ เพื่อนําข้อมูลมาเขียน
จากนั้นจึงแปลสัญลักษณ์ อักษรเหล่านั้นเป็นความรู้ โดยอาศัยทักษะการอ่าน รายงาน วชิ าวิทยาศาสตร์
กระบวนการคิด ประสบการณ์และความรู้ของ ผู้อ่านรวมถึงเมื่ออ่านจบแล้ว ผู้อ่าน ๒) อ่านเพื่อหาคําตอบ คือการอ่านเพื่อต้องการคําตอบสําหรับประเด็นคําถามหนึ่งๆ จาก
สามารถแสดงความคิดเห็นที่มีต่อเรื่องที่อ่าน ทั้งในลักษณะเห็นด้วย คล้อยตามหรือ แหล่งค้นคว้าและเอกสารประเภทต่างๆ เพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเอง เช่น การอ่านหนังสือ วิชา
โต้แย้ง ในการอ่านแต่ละครั้งไม่เพียงแต่ผู้อ่านจะได้รับสาระหรือเรื่องราวที่ผู้เขียน ฟสิ ิกส์ เพ่อื หาคําตอบเกย่ี วกับสาเหตุการเกดิ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ต้องการ นําเสนอเท่านั้น แต่ผู้อ่านยังสามารถรับรู้ทรรศนะ เจตนา อารมณ์และ ๓) อ่านเพื่อปฏิบัติตาม คือการอ่านเพื่อทําตามคําแนะนําในข้อความหรือหนังสือที่อ่าน
ความรู้สึกที่ผู้เขียนถ่ายทอดมา ในสาร ซึ่งสิ่งที่ได้รับจากการอ่านในแต่ละครั้งจึงมีทั้ง เชน่ การอา่ นฉลากยา เพ่อื ดคู าํ แนะนาํ เกย่ี วกบั การใช้ยา หรือการอ่านตําราอาหาร ที่มีการอธิบาย
ส่วนทเ่ี ป็นเนอ้ื หาสาระ คอื ขอ้ เทจ็ จริง และส่วนที่ เป็นอารมณ์ความรู้สึก หรือทรรศนะ ข้นั ตอน วธิ กี ารทํา รวมถึงเครื่องปรุงส่วนผสมโดยละเอียด ซึ่งการอ่านด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวนี้
ของผู้เขียน ซึ่งจําเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนทักษะและประสบการณ์ ในการตีความตาม ผอู้ ่านจะต้องทาํ ความเขา้ ใจรายละเอยี ดทุกข้ันตอนเพื่อสามารถปฏบิ ตั ติ ามได้
วัตถุประสงค์ที่แท้จริง ดังนั้นจึงจําเป็นต้องฝึกทักษะการอ่านเพื่อให้เข้าใจได้ตรงตาม ๔) อ่านเพ่อื หาความรหู้ รือสะสมความรู้ คอื การอ่านเพ่ือเพ่ิมพนู ประสบการณ์ ความรู้ โดย
วตั ถุประสงค์ของผเู้ ขยี น ทําให้ทั้งผู้อ่านที่เป็น นักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลทั่วไป และไม่จําเป็นต้องมีโอกาส หรือ
กาลเทศะ มากําหนดให้ตอ้ งอ่าน ซึ่งการอ่านในแต่ละคร้ังควรเก็บและเรียบเรียงประเด็นสําคัญของ
เร่อื งที่อ่าน ไวเ้ ปน็ คลงั ความรสู้ ําหรับนํามาใช้อ้างอิงในภายหลัง เชน่ การอา่ นหนังสือทางวิชาการ
๑.๒ ระดับของการอ่าน ๕) อ่านเพื่อความบันเทิง คือการอ่านตามความพอใจของผู้อ่าน ซึ่งผู้อ่านจะได้รับ ความ
เพลิดเพลิน นอกจากนี้ยังสามรถช่วยยกระดับจิตใจ ช่วยให้เกิดความสุข ผ่อนคลาย คลายความ
ระดับของการอ่านแบ่งเป็น ๒ ระดับคอื อ่านไดแ้ ละอ่านเป็น การรับรู้จากการอ่านโดยทั่วไป ทุกข์ใจ และบางครั้งผู้อ่านอาจได้ข้อคิดหรือแนวทางในการใช้ชีวิต เช่น การอ่านวนิยา ย นิตยสาร
เริ่มจากระดับที่เรียกว่า อ่านได้ คือสามารถแปลความหมาย รับรู้สารผ่านตัวอักษร ส่วนในระดับ วารสาร เปน็ ต้น
อ่านเป็น ผู้อ่านจะสามารถจับใจความสําคัญ แนวคิดของเรื่อง รวมถึงความหมายแฝง หรือ
ความหมายที่ ได้จากการตีความ สามารถประเมินค่าของสารที่อ่านได้ ซึ่งจะต้องขึ้นอยู่ กับความรู้ ๖) อ่านเพื่อรู้ข่าวสาร คือการอ่านเพื่อศึกษา รับรู้ความเป็นไปของโลก และพัฒนา ความรู้
และประสบการณ์ของ ผอู้ า่ นแต่ละคน ของตนเอง เช่น การอ่านข่าว นติ ยสาร วารสาร เปน็ ตน้
๑.๓ จุดประสงคข์ องการอ่าน ๗) อ่านเพื่อแก้ปัญหา คือการอ่านเพื่อหาคําตอบ หรือแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องใด เรื่อง
หนึ่ง เช่น การอ่านพจนานุกรม เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับคําศัพท์ ความหมาย การสะกดการั นต์ที่
การอา่ นหนงั สอื มีจดุ ประสงค์สาํ คญั ดงั นี้ ถกู ต้อง หรอื การอ่านหนงั สอื แนะนําการเดินทาง แผนท่ี เปน็ ตน้
๑) อ่านเพื่อการเขียน คือการอ่านเพื่อนําความรู้มาใช้ในการเขียน เช่น เรียงความ
บทความ สารคดี ฯลฯ ซึ่งผู้อ่านควรวิเคราะห์ความถูกต้องของข้อมูล คัดเลือกข้อมูลที่เหมาะสม ๑.๔ ประเภทของการอ่าน
นําไปใช้เขียนหรืออ้างอิง เช่น การอ่านหนังสือเรื่อง วัฏจักรชีวิตของกบ เพื่อนําข้อมูลมาเขียน
รายงาน วิชาวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปการอ่านแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือการอ่านออกเสยี งและการอ่านในใจ ดงั น้ี
๒) อ่านเพื่อหาคําตอบ คือการอ่านเพื่อต้องการคําตอบสําหรับประเด็นคําถามหนึ่งๆ จาก
แหล่งค้นคว้าและเอกสารประเภทต่างๆ เพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเอง เช่น การอ่านหนังสือ วิชา ๑) การอ่านออกเสียง คือการอ่านหนังสือโดยการที่ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมาดังๆ ใน ขณะท่ี
ฟิสิกส์ เพือ่ หาคําตอบเกีย่ วกับสาเหตกุ ารเกดิ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อ่าน โดยมีจุดมุ่งหมายต่างๆ เช่น เพื่อสร้างความบันเทิง เพื่อถ่ายทอดข่าวสาร เพื่อประกาศ เพื่อ
๓) อ่านเพื่อปฏิบัติตาม คือการอ่านเพื่อทําตามคําแนะนําในข้อความหรือหนังสือที่อ่าน รายงานหรือเพื่อแถลงนโยบาย ดังนั้นการอ่านออกเสียง จึงเป็นการแปลรูปสัญลักษณ์หรืออักษร
เช่น การอา่ นฉลากยา เพอื่ ดคู าํ แนะนาํ เก่ียวกบั การใช้ยา หรือการอ่านตําราอาหาร ที่มีการอธิบาย ออกเป็นเสียง จากนั้นจึงแปลสัญญาณเสียงเป็นความหมาย ซึ่งผู้อ่านต้องระมัดระวังการ ออกเสียง
ข้นั ตอน วิธีการทาํ รวมถึงเครื่องปรุงส่วนผสมโดยละเอียด ซึ่งการอ่านด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวน้ี ทั้งเสียง “ร” “ล” คําควบกลํ้า การสะกด จังหวะ ลีลา และการเว้นวรรคตอนให้ถูกต้องไพเราะ
ผู้อา่ นจะตอ้ งทําความเขา้ ใจรายละเอยี ดทกุ ขัน้ ตอนเพ่ือสามารถปฏิบตั ติ ามได้ เหมาะสม
๔) อา่ นเพื่อหาความรหู้ รอื สะสมความรู้ คอื การอ่านเพื่อเพมิ่ พูนประสบการณ์ ความรู้ โดย
ทําให้ทั้งผู้อ่านที่เป็น นักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลทั่วไป และไม่จําเป็นต้องมีโอกาส หรือ ๒) การอ่านในใจ คือการทําความเข้าใจสัญลักษณ์ที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร รวมถึง
กาลเทศะ มากําหนดให้ตอ้ งอ่าน ซ่ึงการอ่านในแต่ละครงั้ ควรเกบ็ และเรียบเรยี งประเด็นสําคัญของ รูปภาพและเครื่องหมายต่างๆ ออกเป็นความหมายโดยใช้สายตาทอดไปตามตัวอักษรหรือ
เรอื่ งที่อ่าน ไว้เป็นคลงั ความร้สู ําหรบั นาํ มาใชอ้ ้างอิงในภายหลงั เช่น การอ่านหนังสอื ทางวิชาการ สญั ลกั ษณ์แล้วจึงใช้กระบวนการคดิ แปลความหมาย ตีความ เพ่ือรบั สารของเรอ่ื งน้ันๆ
๑.๕ มารยาทในการอา่ นออกเสียง รอ้ ยแก้ว หมายถงึ ความเรียงทีส่ ละสลวยในรปู แบบการบรรยาย พรรณนา เทศนา สาธก
หรือ อุปมาโวหาร รวมถึงบทพูด บทสนทนา บทสัมภาษณ์ ประกาศหรือข่าวสารต่างๆ ดังนั้น
การอ่าน คือ เครื่องมือสําคัญในการศึกษาหาความรู้และเพิ่มพูน ร้อยแกว้ จึง เป็นความเรียงที่เรียบเรียงข้ึนโดยไม่มกี ารบังคบั สมั ผสั ฉนั ทลักษณ์
ประสบการณ์ในด้านต่างๆ ให้แก่ ผู้อ่าน จึงถือได้ว่าทักษะการอ่านเป็นทักษะที่มี
ความจําเป็น ผู้อ่านที่ดีต้องมีมารยาทหรือข้อควรประพฤติ ปฏิบัติในการอ่านออก การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว หมายถึง การอ่านหนังสือโดยการที่ผู้อ่านเปล่งเสียงออกมา
เสียง ดังนี้ ดังๆ ในขณะที่อ่าน โดยมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เช่น เพื่อถ่ายทอดความรู้ เพื่อสร้างความ
บันเทิง และความพอใจซึ่งการอ่านออกเสียงในแต่ละครั้งอาจมีจุดมุ่งหมายหลายๆ ประการ
๑. การใช้นํ้าเสียง คือควรพิจารณาใช้น้ําเสียงให้สอดคล้อง เหมาะสมกับ รวมกัน หรือมี จุดมุ่งหมายเฉพาะ เช่น การอ่านประกาศ รายงาน แถลงการณ์ ฯลฯ ผู้อ่านต้อง
เนื้อหา ไม่ควร ดัดเสียงจนฟังไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจทําให้ผู้ฟังทําความเข้าใจ คํานึงถึงการอ่านให้ ถูกต้องตามอักขรวิธี การใช้นํ้าเสียงและลีลาในการอ่านให้สอดคล้อง
เนือ้ หาไมต่ รงกับเจตนาของผู้อ่าน รวมถึงการดัดเสียงจนเกินงาม ก็อาจสร้างความ เหมาะสมกบั เร่อื งและควรฝึกปฏบิ ตั ิ อย่างสม่าํ เสมอ
ราํ คาญแกผ่ ู้ฟังได้
๒.๑ แนวทางการอา่ นออกเสียงบทร้อยแกว้ เบ้อื งตน้
๒. มีบุคคลิกภาพที่ดี คือการจัดระเบียบท่ายืน หรือนั่งให้เหมาะสม ไม่
หลุกหลิก และ ไม่ควรยกร่างข้อความขึ้นมาให้ผู้ฟังเห็น หรือก้มหน้าก้มตาอ่านจน ความเรียงที่เขียนในลักษณะร้อยแก้วมีอยู่หลายประเภท ซึ่งอาจจะทําให้ลีลาในการอ่าน
ไม่สนใจผู้ฟัง แตกตา่ งกนั ออกไป แตก่ ็อาศัยหลกั เกณฑท์ ่ีไม่แตกตา่ งกนั ดังน้ี
๓. ควรสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง คือการสังเกตุดูว่าผู้ฟังสามารถทําความ ๑. ผู้อ่านต้องอ่านให้ถูกต้องตามอักขรวิธีในภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาที่ ยืมมาจาก
เข้าใจเรื่องราวตาม สิ่งที่ผู้อ่านทันหรือไม่ รวมถึงสังเกตว่าผู้ฟังให้ความสนใจมาก ภาษาอื่นๆ เช่น บาลี สันสกฤต เขมร ฯลฯ โดยอาศัยหลักการอ่านจากพจนานุกรม ฉบับ
น้อยเพียงไร แล้วจึงปรับเพมิ่ -ลด ความเรว็ ในการอา่ น ลลี านาํ้ เสยี ง เป็นตน้ เพื่อดึง ราชบัณฑติ ยสถาน รวมท้ังคําท่อี ่านตามความนยิ ม
ให้ผูฟ้ งั กลบั มามสี ่วนร่วมกับผู้อ่าน
๒. ผู้อ่านต้องมีสมาธิและความมั่นใจ ในการอ่าน ไม่อ่านผิด อ่านตก อ่านเติม ขณะ อ่าน
๔. ไม่ควรแสดงอารมณ์โมโห หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรือใช้ถ้อยคําไม่สุภาพ ตอ้ งควบคมุ สายตาให้ไลไ่ ปตามตัวอักษรทกุ ตัว ในแต่ละบรรทัดจากซ้ายไปขวาด้วยความรวดเร็ว
วา่ กลา่ วตักเตอื น เมอ่ื เห็นวา่ ผู้ฟงั ไม่สนใจ หรือพูดคุยเสียงดัง หากแต่ควรรู้จักระงับ วอ่ งไวและรอบคอบ แล้วย้อนสายตากลบั ลงไปยงั บรรทดั ถัดไปอยา่ งแม่นยาํ
อารมณ์ และอาจถามผู้ฟงั เพอ่ื ปรบั ปรงุ ตอ่ ไป
๓. ผอู้ า่ นควรอา่ นใหเ้ ป็นเสียงพดู โดย เนน้ เสียงหนกั เบา สูง ต่ํา ตามลักษณะการพูด ทั้งนี้ให้ ๒.๒ การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ ประเภทบทความ
ใชเ้ น้ือหาสาระของบทอา่ นเปน็ หลัก รวมทง้ั ควรพิจารณาเนื้อความว่าเป็นไปในทางใด เช่น ตื่นเต้น
โกรธ ผิดหวัง ฯลฯ ควรใช้นํ้าเสียงให้เหมาะสมกับลักษณะอารมณ์ตามเนื้อหาใน การฝึกการอ่าน ๑) การอ่านบทความทั่วไป บทความ คือ ความเรียงที่ผู้เขียนนําเสนอข้อเท็จจริง เกี่ยวกับ
ออกเสียงใหม้ คี วามถูกตอ้ งและชัดเจน เรื่องราวหรือองค์ความรู้ต่างๆ สู่ผู้อ่าน ซึ่งอาจมีการแสดงทรรศนะ ข้อคิดเห็นของผู้เขียน บท
ความสามารถแบ่งไดห้ ลายประเภทตามเนื้อหาท่นี าํ เสนอ เช่น บทความวิชาการ บทความท่องเที่ยว
๔. ผอู้ า่ นตอ้ งอ่านให้เสยี งดงั พอสมควร ไมต่ ะโกนหรือแผ่วเบาจนเกินไป ซ่ึงจะทําให้ ผู้ฟังเกิด บทความแสดงความคิดเห็นในเรื่องราวต่างๆ ดังนั้น ผู้อ่านต้องจับประเด็นบทความที่อ่านให้ได้ว่า
ความรําคาญและไมส่ นใจ เนื้อหา ตอนใดเปน็ ข้อเท็จจรงิ ตอนใดเป็นขอ้ คิดเหน็ ฯลฯ
๕. เมื่ออ่านจบย่อหน้าหนึ่งควรผ่อนลมหายใจ และเมื่อขึ้นย่อหน้าใหม่ควรเน้นเสียง และ ผลวิจยั ช้ีคุยมือถือแนบหู สมองทาํ งานหนักขึน้ ๗% (ไทยโพสต์) ผลวิจัยชี้ว่าเอามือถือแนบ
ทอดเสียงให้ชา้ ลงกวา่ ปกตเิ ล็กน้อยเพ่อื ดงึ ดูดความสนใจจากผูฟ้ งั จากน้ันจงึ ใช้เสียงในระดับปกติ หู ๕๐ นาที มผี ลต่อการทํางานของสมองสว่ นใกล้เสาสัญญา
๖. อา่ นใหถ้ กู จังหวะวรรคตอน ตอ้ งอา่ นใหจ้ บคําและไดใ้ จความ ถา้ เป็นคํายาวหรือ คําหลาย ดร.โนรา โวลโกว/ กล่าวว่า การวิจัยนี้เป็นไปเพื่อหาปฏิกิริยาการทํางานของสมอง/ ต่อ
พยางค์ ไม่ควรหยดุ กลางคาํ หรอื ตัดประโยคจนเสยี ความ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จากเสาสญั ญาณของมือถอื / ซ่งึ ผลวิจยั ระบวุ ่า/ การคุยมือถอื แนบกบั ใบหู/ จะ
ทําใหส้ มองใชพ้ ลังงานมากขนึ้ ในส่วนท่ีใกล้/
๗. รจู้ กั เน้นคําที่สําคญั และคําที่ต้องการเพ่ือใหเ้ กิดจนิ ตภาพตามที่ต้องการ การเน้น ควรเน้น
เฉพาะคํา ไม่ใชท่ ง้ั วรรคหรอื ทงั้ ประโยค เช่น “กล่นิ ของดอกไม้นั้น หอมหวน ยิ่งกว่ากลิ่นใดๆ ที่เคย คณะผู้วิจัยสแกนสมองของอาสาสมัครทั้งหมด ๔๗ คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้
ได้สมั ผัส” ควรเน้นทีค่ ําว่า หอมหวน เพอื่ ให้ผูฟ้ ังจินตนาการถึงดอกไมน้ านาพันธท์ุ ่ีสง่ กลิน่ หอม และ โทรศัพท์มือถือ นาน ๕๐ นาที/ และกลุ่มที่ปิดมือถือ/ ผลที่ออกมาชี้ว่า/ แม้จะไม่มีปฏิกิริยา
เป็นกล่ินหอมทีไ่ มเ่ หมอื นกลิน่ หอมอ่นื ใดที่เคยสัมผสั รนุ แรง/ตอ่ สญั ญาณ มอื ถือ / แตพ่ บว่ามกี ารเผาผลาญกลูโคสในสมองมากขนึ้ ๗% ในจุดที่ใกล้เสา
สญั ญาณมากทส่ี ุด//
๘. เมือ่ อ่านข้อความที่มีเครื่องหมายวรรคตอนกํากับ ควรอ่านให้ถูกต้องตามหลักภาษา เช่น
โปรดเกล้าฯ ต้องอ่านว่า โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม, ทุกวันๆ อ่านว่า ทุกวันทุกวัน ส่วนคําที่ใช้ แพทริก แฮกการ์ด อาจารย์ประจํามหาวิทยาลัยลอนดอน/ตอบรับว่า/เป็นงานวิจัยที่
อกั ษรย่อต้องอ่านให้เต็มคํา เช่น พ.ศ. อ่านว่า พุด-ทะ-สัก-กะ-หราด, ผบ.ทบ. อ่านว่า ผู้บัญชาการ น่าสนใจ เพราะเสนอว่าสัญญาณมือถือมีผลต่อสมองโดยตรง// แต่เขามองว่า/ กระบวนการ เผา
ทหารบก ผลาญพลงั งานสงู ในสมองมตี ามธรรมชาติอยแู่ ล้ว เชน่ การคดิ วิเคราะหต์ ามปกติของมนษุ ย์/
ในระดับชั้นนี้จะกล่าวถึงการอ่านออกเสียงบทความทั่วไปและบทความปกิณกะ โดยการฝึก ทางดา้ นโฆษกสมาคมผผู้ ลติ โทรศพั ท์มอื ถือ/ จอหน์ วอลส์ ออกมาชี้แจงว่า/ หลักฐาน ทาง
อ่าน ตามเครอ่ื งหมายที่กาํ หนด ดังนี้ วิทยาศาสตรใ์ นปจั จุบันช้วี า่ การใช้อุปกรณไ์ ร้สายไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยง/ หรือผลเสียต่อ สุขภาพ
แตอ่ ย่างใด//
/ เวน้ วรรคเล็กนอ้ ยเพอ่ื หยดุ หายใจ
// เว้นวรรคเมือ่ อา่ นจบข้อความหลกั โวลโกว ยอมรับเช่นกันว่า/ จําเป็นต้องทําวิจัยเพิ่ม/จึงจะสามารถตัดสินได้ว่า การใช้
- แสดงคาํ ที่เนน้ เสยี งหนักทอดเสยี ง โทรศพั ท์มือถือ/มีผลเสียจรงิ หรือไม่ แต่ตัวเธอเอง/ใช้โทรศพั ท์มอื ถือ/ผ่านหูฟังแทน เพราะเชื่อว่า/
ปอ้ งกนั ไวก้ อ่ น/ ยอ่ มดีกวา่ ...
ขอ้ ควรระวัง
(http://health.kapook.com/view21911.html)
๑. ไม่เว้นวรรคระหว่างประธาน กริยาและกรรม ทั้งไม่
เว้นวรรคระหว่างคาํ เชื่อม
๒. หากประธานเดิมมีคํากริยาหลายตัว กริยาตัวต่อๆ
ไปให้เว้นวรรคได้บา้ ง
๒) การอ่านบทความเชิงปกณิ กะ หมายถงึ บทความที่เน้นความรสู้ กึ สนุกสนานเพลดิ เพลิน ร้อยกรอง หมายถงึ คําประพันธ์ท่แี ตง่ โดยมกี ารบังคับจํานวนคํา สัมผัส ฉันทลักษณ์ ตาม
แกผ่ ู้อา่ น ดว้ ยบทความทีม่ แี กน่ สาร ซ่ึงมเี นอ้ื หาสารประกอบกับการใช้สํานวนโวหารใหเ้ กดิ อรรถรส แบบแผนของร้อยกรองแต่ละประเภท ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน หรอื ลลิ ติ
บทความเชิงปกิณกะ การอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง หมายถึง การอ่านออกเสียงงานเขียนร้อยกรองประเภท
ต่างๆ เพื่อสือ่ เนอื้ หาและอารมณค์ วามรู้สึกทปี่ รากฏไปสูผ่ รู้ ับสารด้วยท่วงทาํ นองท่ีแตกต่างกัน
ทกุ วันนเ้ี รามตี กึ สูงขึ้น/มถี นนกวา้ งขนึ้ แตค่ วามอดกลัน้ น้อยลง//
เรามีบา้ นใหญ่ข้นึ /แตค่ รอบครวั ของเรา กลับเล็กลง// การอ่านทํานองเสนาะ หมายถึง การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองประเภทต่างๆ ตาม
ทํานอง ลีลาและจังหวะของบทประพันธ์ เพื่อให้ผู้อ่าน ผู้ฟังเข้าถึงความงดงามของภาษา การ
เรามยี าใหม่ ๆมากขน้ึ /แตส่ ุขภาพกลับแยล่ ง// อ่านทํานองเสนาะ บทร้อยกรองจะมีความแตกต่างกันตามทํานอง ลีลา การทอดเสียงและ
เรามีความรกั น้อยลง/แต่มคี วามเกลยี ดมากขึ้น// ความสามารถของผู้อ่าน
เราไปถงึ โลกพระจนั ทร์มาแล้ว/แตเ่ รากลบั พบวา่ ...
แค่การขา้ มถนนไปทักทายเพือ่ นบา้ น/กลับยากเยน็ ๓.๑ แนวทางการอ่านบทรอ้ ยกรองเบ้อื งตน้
เราพิชติ หว้ งอวกาศมาแล้ว/แตแ่ ค่หว้ งในหวั ใจ/กลบั ไมอ่ าจสมั ผสั ถงึ //
เรามีรายได้สูงขน้ึ /แตศ่ ีลธรรมกลับตกต่ําลง// ๑) ต้องรู้จักฉันทลักษณ์ หรือลักษณะบังคับของร้อยกรองประเภทต่างๆ ที่จะอ่าน เช่น
การบงั คับเอก โท ครุ ลหุ เสียงวรรณยุกตท์ า้ ยวรรค และพยางค์หรือคาํ ที่บรรจุลงในวรรคหนึ่งๆ
เรามีอาหารดๆี มากขนึ้ /แต่สขุ ภาพแย่ลง//
ทกุ วันนี้ /ทุกบ้านมคี นหารายได้/ได้ถึง 2 คน แต่การหยา่ ร้างกลับเพิ่มมากขน้ึ / ๒) ต้องรู้จักทํานอง ลีลาและการเอื้อนเสียงของบทร้อยกรองแต่ละประเภทให้ถูกต้อง
ดังนัน้ ...จากนีไ้ ป ขอใหพ้ วกเราอย่าเก็บของดๆี ไวโ้ ดยอา้ งวา่ เพอื่ โอกาสพเิ ศษ// รวมถึงต้องรู้จักวางจังหวะสัมผัสที่คล้องจองกันของบทกวีให้ถูกต้องตามตําแหน่งใ ห้ลงสัมผัส
และ รูจ้ งั หวะการเอือ้ นเสียงเพือ่ ทอดจงั หวะสําหรบั อ่านในบทถดั ไป
เพราะทุกวันที่เรายงั มีชวี ติ อยู่ คอื ... โอกาสที่พิเศษสดุ แลว้
จงแสวงหา การหยั่งรู้ ๓) ต้องรู้จักเอื้อนเสียง ตามชนิดของคําประพันธ์นั้นๆ โดยลากเสียงช้าๆ เพื่อให้เข้า
จังหวะและไว้หางเสียงให้ไพเราะ แต่ทั้งนี้ต้องไม่เอื้อนเสียงที่คําลหุเนื่องจากเป็นคําที่มีเสียงสั้น
จงนั่งตรงระเบยี งบา้ น/เพอ่ื ช่ืนชมกับการมีชวี ิตอย่โู ดยไมใ่ ส่ใจกบั ความอยาก... และเบา
จงใชเ้ วลากับครอบครัว/เพื่อนฝูง/คนที่รกั ใหม้ ากขึน้ ...
กนิ อาหารให้อรอ่ ย/ไปเทีย่ วในทที่ ีอ่ ยากจะไป ๔) ต้องรู้จักอ่านรวบคํา หรือพยางค์ที่เกินจากที่กําหนดไว้ในฉันทลักษณ์ โดยอ่านให้ เร็ว
ขนึ้ และเสียงให้เบาลงกวา่ ปกติจนกว่าจะถงึ คําหรือพยางคท์ ตี่ อ้ งการจึงลงเสยี งหนัก
ชวี ิต คือ โซ่หว่ งของนาทแี ห่งความสขุ /ไม่ใชเ่ พียงแคก่ ารอยใู่ หร้ อด//
เอาแกว้ เจยี ระไนที่มีอยมู่ าใชเ้ สยี
นาํ้ หอมดๆี ท่ชี อบจงหยบิ มาใชเ้ ม่อื อยากจะใช้
เอาคาํ พูดท่วี ่า...สักวันหนงึ่ /ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนทเี่ รารกั ทุกคน ว่า/เรารักพวกเขาเหลา่ น้ันแคไ่ หน
อย่าผัดวันประกนั พรุ่ง/ทจี่ ะทาํ อะไรกต็ าม/ท่ีทาํ ใหเ้ รามคี วามสขุ เพม่ิ ขน้ึ ..
ทุกวนั ... ทกุ ช่ัวโมง ทกุ นาที มีความหมาย
เราไมร่ ้เู ลยวา่ /เมื่อไรมนั จะสิน้ สดุ ลง// และเวลานี้
ถ้าคณุ คดิ ว่า คุณไมม่ เี วลาทีจ่ ะ copy ข้อความน้ี/ไปใหค้ นทค่ี ุณรกั อา่ น... แล้วคิดวา่ ...
สกั วันหนง่ึ คอ่ ยสง่ จงอย่าลืมคิดว่าสกั วันหน่งึ วันนัน้ คณุ อาจไมม่ ีโอกาสมานั่งตรงน้ี
เพือ่ ทําอยา่ งทีค่ ณุ ต้องการอีกกไ็ ด้
(จอร์จ คอลลิน http://happyhappiness.monkiezgrove.com/)
๕) ตอ้ งรู้จกั อา่ นคาํ ให้ถูกต้องตามอักขรวิธี ไม่ผิดสระ ผิดพยัญชนะ หรือวรรณยุกต์ เช่น ไก่ (สดับ) แประหลาดเหลือ / เนอ้ื ละมุน/ ยงั อุ่นอ่อน สินสมทุ ร/ สุดสาคร/ ของพอ่ เอยี (รับ)
เปน็ ก่าย ครู เปน็ คู ขอน เป็น ค้อน นอกจากนี้ ควรอ่านออกเสียงพยัญชนะ /จ/ฉ/ช/ฉ// ท/ธ/ศ/ (รอง) เคยกลับเปน็ / ก็ไม่เหน็ / เหมอื นเช่นเคย กระไรเลย/ แนน่ ง่ิ / ไม่ติงกาย (สง่ )
ษ/ส/ เป็นต้น ให้ชัดเจนถูกต้องตามอักขรวิธีในภาษาไทย โดยไม่อ่านเป็นเสียงเสียดแทรกมาก
เกินไปตามภาษาอังกฤษ และควรอ่านออกเสียงพยัญชนะ /ร/ล/ คําควบกลํ้า ร/ล/ว ให้ชัดเจน (พระอภยั มณ:ี สนุ ทรภ)ู่
เพราะ อาจทาํ ให้ผู้ฟงั เข้าใจความหมายคลาดเคลื่อน และไมไ่ พเราะ
การอ่านทํานองเสนาะบทร้อยกรองประเภทกลอนสุภาพให้มีความไพเราะ นอกจาก
๖) รู้จักใส่อารมณ์ ความรู้สึกลงในคําประพันธ์ที่อ่าน ซึ่งหมายความว่า ผู้อ่านต้อง ทําความ ผู้อ่านจะต้องอ่านให้ถูกทํานองกลอนออกเสียงตัว ร, ล คําควบกล้ําและเสียงวรรณยุกต์ให้
เข้าใจความหมายท่แี ทจ้ รงิ ของบทประพันธ์และสือ่ ไปยังผ้ฟู ังให้ตรงตามเจตนาทแี่ ท้จรงิ ถูกต้องแล้ว การแบ่งวรรคตอนให้ถูกต้องเป็นปัจจัยสําคัญ จากตัวอย่างกําหนดให้
เครื่องหมาย / เป็นตัวแบ่ง จํานวนคําภายในวรรค การจัดจังหวะหายใจก่อนจะอ่านต่อไป
๗) พยายามไม่อ่านฉีกคํา หรือฉีกความ โดยใส่ใจเฉพาะเป็นตําแหน่งคําสัมผัส แต่ประการ แต่เนื่องจากกลอนสุภาพวรรคหนึ่งมี จํานวนคําได้ตั้งแต่ ๗-๙ จึงอาจจัดจังหวะการอ่านได้
เดียว เพราะหากอ่านฉีกคําหรือฉีกข้อความแล้วอาจทําให้เนื้อความเสียไปหรือผู้ฟังเข้าใจ เป็น ๓/๒/๓ (๘ คาํ ) ๓/๓/๓ (๔ คํา) ๒/๒/ ๓ (๗ คํา) แต่สิ่งสําคัญต้องพิจารณาที่เนื้อความ
ความหมายคลาดเคล่อื นได้ เป็นหลัก ต้องไมฉ่ กี คําจะทาํ ให้เสยี ความ
๓.๒ การอา่ นบทรอ้ ยกรอง ๒) กลอนบทละคร คือคํากลอนที่แต่งขึ้นเพื่อแสดงละครรํา เช่น บทพระราชนิพนธ์
บทละครเรอ่ื งรามเกียรต์ิ กลอนบทละครมลี กั ษณะบังคบั เช่นเดียวกับกลอนสุภาพ บทหนึ่งมี
การฝึกอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง ในที่นี้จะยกตัวอย่าง 6 ประเภท คือ กลอนสุภาพ กลอน ๒ บาท หรอื ๔ วรรค วรรคละ ๖-๔ คํา แต่นิยมใช้เพียง ๖-๗ คํา เพื่อให้เข้าจังหวะร้องและ
บทละคร กลอนเสภา โคลงสส่ี ภุ าพ กาพยย์ านี ๑๑ และกาพยฉ์ บงั ๑๖ ดงั นี้ รํา ทาํ ให้ไพเราะ ยิ่งขน้ึ โดยต้องจบคาํ กลอนที่บาทโท กลอนบทละครมักจะขึ้นต้นด้วยคําว่า
“เมื่อน้นั ” สําหรับตัวละคร ท่เี ป็นกษัตริย์ “บดั นน้ั ” สาํ หรับเสนาหรือคนทั่วไป “มาจะกล่าว
๑) กลอนสุภาพ คือกลอนที่พัฒนามาจากกลอนเพลงยาวที่พบหลักฐานว่าเริ่มมีมาตั้งแต่ ไป” ใช้สําหรับนําเร่ืองเกรนิ่ เรือ่ ง
ครั้งปลายกรุงศรีอยุธยา กลอนสุภาพ ๑ บท มี ๔ วรรค วรรคละ ๗ – ๙ คํา จึงทําให้มีการอ่านใน
แต่ละ วรรคสามารถแบ่งคําได้เป็น ๒ / ๒/๓ หรือ ๒/๓/๓ หรือ ๓/๒/๓ หรือ ๓/๓/๓ เป็นต้น ซึ่ง
กลอน ในยุคแรกยังจัดระบบการส่งสมั ผัสบงั คบั ระหว่างวรรคไม่ค่อยลงตัว เช่น “จะกล่าวถึงกรุงศรี
อยุธยา อันเป็นกรุงรัตนราช/พระศาสนา มหาดิลก/อันเลิศล้น” รวมถึงยังไม่มีการกําหนดเสียง
วรรณยกุ ต์ ท้ายวรรคเหมอื นกลอนในยคุ หลัง
เม่ือนนั้ โฉมยง/ องคร์ ะเด่น/ จินตะหรา
ค้อนให้/ ไม่แลด/ู สารา กัลยา/ คัง่ แคน้ / แนน่ ใจ
แลว้ วา่ / อนิจจา/ ความรัก พ่งึ ประจักษ์/ ด่ังสาย/ นาํ้ ไหล
ต้ังแต่ จะเช่ียว/ เป็นเกลยี วไป ที่ไหน/ จะไหล/ คืนมา
สตรใี ด/ ในพิภพ/ จบแดน จะมใี คร/ ได้แค้น/ เหมือนอกขา้
ด้วยใฝร่ ัก/ ใหเ้ กนิ / พกั ตรา จะมแี ต่/ เวทนา/ เป็นเนอื งนติ ย์
(อิเหนา: พระราชนิพนธพ์ ระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย)
การอ่านทํานองเสนาะบทร้อยกรองประเภทกลอนบทละครให้ยึดหลักปฏิบัติเช่นเดียว กับ ๔) โคลงสสี่ ภุ าพ เป็นโคลงทีน่ ยิ มแต่งมากที่สุดในคาํ ประพนั ธ์ประเภทโคลงท้ังหมด โคลง
กลอนสุภาพ คือ ใช้เครื่องหมาย / เป็นตัวแบ่งจํานวนคําภายในวรรค โดยการแบ่งจํานวนคําเป็น ส่ีสุภาพ ๑ บท มีจาํ นวนคําตงั้ แต่ ๓๐ - ๓๔ คํา บทหนึง่ มี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค ซ่ึงบาทท่ี ๑
๓/๒/๓ หรอื ๓ / ๓/ ต ตามความเหมาะสมของเนอ้ื ความ ซึ่งสิ่งที่สําคัญในการอ่านกลอนบทละคร - ๓ มบี าทละ ๗ คํา (วรรคหน้า ๕ คํา วรรคหลงั ๒ คาํ และอาจเพมิ่ คําสรอ้ ยในท้ายบาท ๑ กบั
คือ การใส่อารมณ์ความรู้สึกลงไปในบทประพันธ์เพื่อถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครไปยัง ๓ ได้วรรคละ ๒ คาํ ) สว่ นบาทสดุ ทา้ ยมี ๔ คํา (วรรคหนา้ ๕ คํา วรรคหลงั ๔ คาํ ) และยงั มกี าร
ผฟู้ งั บังคับ ตาํ แหนง่ คําเอก โท โดยบังคบั คาํ เอก ๗ คํา คําโท ๔ คาํ
๓) กลอนเสภา คือกลอนลํานําสําหรับขับร้อง ใช้ทํานองขับได้หลายทํานอง มีกรับ เป็น เสยี งลือ/ เสยี งเลา่ อ้าง อนั ใด/ พเ่ี อย
เครื่องประกอบสําคัญ ผู้ขับจะต้องขยับกรับให้เข้ากับทํานอง บางครั้งอาจใช้ขลุ่ยประกอบด้วย แต่ เสยี งยอ่ ม/ ยอยศใคร ทวั่ หลา้
เดิมนิยมขับเป็นเรื่องราว ต่อมานิยมขับเรื่องขุนช้างขุนแผนและรามเกียรติ์ กลอนเสภามีลักษณะ สองเขอื / พห่ี ลบั ไหล ลืมตืน่ / ฤาพี่
บงั คบั เชน่ เดียวกบั กลอนสุภาพ สองพ่ี/ คิดเองอา้ อย่าได้/ ถามเพอื่
เจา้ พลายงาม/ ความแสน/ สงสารแม่ ชําเลืองแล/ ดูหนา้ / นา้ํ ตาไหล (ลิลติ พระลอ)
แลว้ กราบกราน/ มารดา/ ดว้ ยอาลัย พอเติบใหญ่/ คงจะมา/ หาแมค่ ุณ
แต่ครงั้ น้ี มกี รรม/ จะจาํ จาก ต้องพลดั พราก/ แมไ่ ป/ เพราะอ้ายขนุ การอ่านทํานองเสนาะบทร้อยกรองประเภทโคลง นอกจากผู้อ่านจะต้องตระหนักใน
เทย่ี วหาพอ่ / ขอใหป้ ะ/ เดชะบญุ ไม่ลืมคุณ/ มารดา/ จะมาเยอื น เรอื่ ง เสยี ง สําเนยี ง อารมณแ์ ละเทคนิคการทอดเสียงแล้ว ผอู้ ่านจะตอ้ งมีความมั่นใจในจังหวะ
แมร่ ักลูก/ ลกู ก็รู้ อยวู่ า่ รกั คนอืน่ สกั / หมน่ื แสน/ ไม่แมน้ เหมอื น และทํานอง โดยใช้เครื่องหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายในวรรคเพื่อเพิ่มความไพเราะและ
จะกินนอน/ วอนวา่ / เมตตาเตอื น จะห่างเรอื น/ รา้ งแม่/ ไปแต่ตวั ผ่อนลมหายใจ การ แบ่งจังหวะในโคลง ถ้าวรรคใดมีคํา ๕ คํา จะแบ่งจังหวะเป็น ๓/๒ หรือ
๒/๓ โดยใหพ้ จิ ารณาจาก ความหมายของคําเปน็ หลกั วรรคท่ีมี ๔ คาํ จะแบ่งจังหวะเป็น ๒/๒
(เสภาขุนช้างขนุ แผน) วรรคที่มี ๒ คํา ไม่ต้องแบ่งจังหวะ หากในวรรคมีจํานวนพยางค์มากกว่าจํานวนคําต้อง
พิจารณารวบพยางค์ให้จังหวะไปตกตรงพยางค์ท้าย ของคําที่ต้องการ โดยอ่านรวบคําให้ เร็ว
การอ่านบทร้อยกรองประเภทกลอนเสภา ด้วยเหตุที่กลอนเสภาใช้ประกอบการขับร้อง และเบา
จงึ ทาํ ใหม้ ีจาํ นวนคาํ วรรคละ ๗ – ๙ คําขึ้นอยู่กับจังหวะการเอื้อนลากเสียงของผู้ขับหรือผู้แต่ง
แตล่ ะคน จงึ ทําใหก้ ารอ่านในแตล่ ะวรรคสามารถแบ่งคาํ ไดเ้ ป็น ๒/๒ / ๓ หรือ ๒/๓/๓ หรือ ๓
/ ๒/๓ หรอื ๓/๓/๓ เปน็ ตน้
๕) กาพย์ยานี ๑๑ คือคําประพันธ์ที่มีการบังคับสัมผัสต่างจากกลอน คือมีสัมผัสบังคับ คู่ ฟังเสยี ง/ เพียงเพลง
เดยี ว คําสุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ สง่ สัมผัสไปยังคําสุดท้ายของวรรคที่ ๓ และไม่มีการบังคับเอก โท กลางไพร/ ไกข่ นั / บรรเลง ฟงั เสียง/ เพยี งเพลง
ครุ ลหุ แบบโคลงและฉันท์ โดยยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่ากาพย์เป็นคําประพันธ์ดั้งเดิมของ ซอเจ้ง/ จําเรยี ง/ เวยี งวัง
ไทย หรอื รับมาจากชาติอืน่ แตม่ ักนยิ มเชื่อกนั ว่ากาพย์ คือ การแตง่ ฉันท์ทไ่ี มม่ ีการบังคบั ครุ - ลหุ ยูงทอง/ ร้องกะโตง้ โด่งดัง เพียงฆ้อง/กลองระนงั
แตรสงั ข์/ กงั สดาล/ ขานเสยี ง
กาพยย์ านี ๑๑ เป็นกาพยท์ น่ี ิยมแต่งกันมากที่สดุ แบบหนึ่ง มกั ใชส้ ําหรับการพรรณนา ความทั่วไป
เช่น ธรรมชาติหรือบรรยายเหตุการณ์ หนึ่งบทมี ๒ บาท บาทละ ๑๑ คํา คือ วรรคหน้า ๕ คํา (กาพย์พระไชยสรุ ยิ า: สุนทรภู่)
วรรคหลัง ๕ คาํ
การแบ่งจังหวะการอ่านกาพย์ฉบัง ๑๖ จะใช้เครื่องหมาย / แบ่งจังหวะ
เร่ือยเรอ่ื ย/ มาเรยี งเรียง นกบนิ เฉยี ง/ ไปทง้ั หม่ การอ่านภายในวรรค โดยวรรคที่มี ๕ คํา จะแบ่งเป็น ๒ / ๒ / ๒ เป็นส่วนใหญ่
ตวั เดยี ว/ มาไรค้ ู่ เหมือนพี่อยู่/ เพียงเอกา โดยสงั เกตจากเนือ้ ความเปน็ หลกั ซึ่ง ในบางครั้งอาจแบ่งเป็น ๒/๔ ตามตัวอย่าง
รํา่ รํา่ / ใจรอนรอน อกสะทอ้ น/ ถอนใจข้า เพราะคาํ บางคาํ ควรอา่ นให้เสียงต่อเนื่องกันเพื่อ สื่อความหมายให้ถูกต้อง วรรค
ดวงใจ/ ไยหนีหนา้ โถแกว้ ตา/ มาหมางเมนิ ทม่ี ี ๔ คํา ใหแ้ บง่ จงั หวะ ๒/๒
(กาพยเ์ หเ่ รือ: เจ้าฟา้ ธรรมธิเบศร)
การแบ่งจังหวะการอ่านกาพย์ยานี ๑๑ จะใช้เครื่องหมาย / แบ่งจังหวะการอ่านภายใน
วรรค โดยวรรคที่มี ๕ คํา จะแบ่งเป็น ๒/๓ หรือ ๓/๒ ขึ้นอยู่กับเนื้อความ วรรคที่มี ๕ คํา จะ
แบ่ง จงั หวะเปน็ ๓/๓
๖) กาพย์ฉบัง ๑๖ เป็นกาพย์ที่ใช้สําหรับการพรรณนาความงามของธรรมชาติ การ
เดินทางหรือการตอ่ สู้ ซงึ่ กาพยฉ์ บัง ๑๖ หนึ่งบท มี ๑๖ คํา แบ่งเป็น ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๓
มี ๕ คํา สว่ นวรรคท่ี ๒ มี ๔ คาํ