The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาเครื่อง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by atuta1150, 2022-11-14 10:08:33

การเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาเครื่อง

การเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาเครื่อง

รายงาน

การเพิ่มประสิทธภิ าพการบำรุงรกั ษาเครอ่ื งจักรในอุตสาหกรรม

เสนอ

ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กุณฑล ทองศรี

จัดทำโดย

กลุม่ ที่ 5

นางสาว กนกพร พมิ ล รหัสนกั ศกึ ษา 650407300032

นาย อภิรักษ์ เจ๊ะเซ็น รหสั นกั ศึกษา 650407300616

นาย อนภุ ทั ร โตยงิ่ รหัสนกั ศึกษา 650407300618

นาย ภัทรชนน ณ ลำปาง รหสั นกั ศกึ ษา 650407300698

นาย นาธัส กนั ทวงศ์ รหสั นักศกึ ษา 650407300718

นาย อาทร มะโนรา รหสั นักศึกษา 650407300785

นาย อัษฎาวฒุ ิ ทานวัน รหสั นกั ศกึ ษา 650407300933

นาย วทิ วัส แซล่ มิ้ รหัสนกั ศกึ ษา 650407300948

นาย ศิริวฒั น์ แสงพลอย รหสั นักศึกษา 650407301131

นาย ธนวฒั น์ อินทนาม รหัสนกั ศึกษา 650407301136

นาย จริ พนั ธ์ นาคครฑุ รหสั นกั ศกึ ษา 650407301146

…………………………………………………………………………………………………………………………

รายงานฉบบั น้เี ป็นสว่ นหนงึ่ ของรายวิชา ทอ.375 เทคโนโลยวี ิศวกรรมการซ่อมบำรงุ

โครงการภาคพิเศษ ร่นุ ที่ 21/2 สาขาวชิ าเทคโนโลยวี ิศวกรรมอุตสาหการ

คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑติ

ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565

กติ ติกรรมประกาศ

การค้นคว้าอิสระฉบับนี้เสร็จสมบูรณ์ได้โดยรับความอนุเคราะห์จาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.
กุณฑล ทองศรี อาจารย์ที่ปรึกษาการค้นคว้าอิสระ ที่สละเวลาให้คำแนะนำปรึกษา แก้ไข และชี้แนะ
แนวทางในการศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางด้านปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร ที่ให้ คำแนะนำและ
ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่องานวิจัยทำให้งานวิจัยนี้ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ขอขอบคุณ
คุณทวีศักดิ์ ทามณี ที่คอยให้ความช่วยเหลือในการติดต่อ ประสานงาน และให้คำแนะนำในการจัด
รปู เลม่ การคน้ ควา้ อิสระ

นอกจากนี้ขอขอบคุณบริษัทกรณีศกึ ษาที่ให้การสนับสนุนในด้านข้อมูลทางด้าน ระยะเวลาการ
ทำงานของเครื่องจักรรวมไปถึงคำแนะนำต่างๆ ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการผลักดัน ให้เกิดการเพิ่ม
ประสทิ ธภิ าพของเครื่องจักรในบรษิ ัทกรณีศึกษาข้นึ จรงิ

สุดท้ายน้ีขอขอบพระคุณบิดา มารดา เพื่อนๆ สาขาการพัฒนางานอุตสาหกรรม วิชาเอกการ
จัดการทางวิศวกรรมทุกท่านที่คอยให้กำลังใจ และความช่วยเหลือในทุกๆด้านตลอดมา จนงาน
วิจัยสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีและผู้วิจัยหวังว่าการค้นคว้าอิสระฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจใน
การศึกษาหรอื เปน็ แนวทางในการศกึ ษาต่อไป

คณะผเู้ รยี บเรยี ง กลุม่ ท่ี 5
กรณศี ึกษาบริษทั สหเจรญิ โลหะพลาสตกิ ภัณฑ์
วชิ า เทคโนโลยวี ศิ วกรรมการซอ่ มบารงุ ( IET. 375 )

คำนำ

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาทอ. 375 เทคโนโลยีวิศวกรรมการซ่อม
บำรุง เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาเครื่องจักรในอุตสาหกรรม
กรณีศึกษา บริษัท เป็นเลิศบรรจุภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อประโยชน์กับการ
เรยี น

คณะผ้จู ดั ทำหวังว่า รายงานฉบบั น้จี ะเป็นประโยชนก์ ับผอู้ ่าน หรอื นักเรียน นักศกึ ษา ท่ีกำลังหา
ข้อมูลเรอ่ื งนี้อยู่ หากมขี อ้ แนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผจู้ ดั ทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ท่ีนี้
ดว้ ย

โครงงานการเพิ่มประสิทธิภาพการบารุงรักษาเชิงป้องกันเครื่องจักรและอุปกรณ์(PM) นี้ เป็น
โครงงานประกอบการศึกษาวิชา IET 375 เทคโนโลยีการซ่อมบารุงในอุตสาหกรรม (Maintenance
Engineering Technology) ซึ่งเป็นโครงงานที่จัดทาขึ้นเพื่อเป็นแนวทาง ในการวางแผน ในเรื่อง
การบำรุงรักษาเชิงป้องกันในหมวดวิชาของหลักสูตร เทคโนโลยีวิศวกรรมการซ่อมบารุง สาขาวิชา
เทคโนโลยีวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษมบณั ฑิต โดยคณะผู้เรียบเรยี ง
ได้จัดทำขึ้น เพื่อใช้ในการศึกษา วิเคราะห์ควบคู่กับการศึกษาของวิชาเทคโนโลยีการซ่อมบำรุงใน
อุตสาหกรรม และเป็นประโยชน์ต่อผ้อู ่ืนท่ีจะได้ศึกษาและเรียนรู้กบั โครงงานนี้อกี ดว้ ย

โครงงานเล่มนี้ประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับ การจัดทางานบำรุงรักษา การวางแผนการ
บำรุงรักษา การวิเคราะห์และควบคุมข้อบกพร่อง นอกจากนี้ ยังควบคุมถึงการวัดผลงาน การรายงาน
บำรงุ รักษา อกี ด้วย

คณะผู้เรียบเรียงจัดทำโครงงาน หวังว่าโครงงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
ศึกษา วิเคราะห์เป็นอย่างมาก และจะเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาการเรียนและการศึกษา ของวิชา
เทคโนโลยีการซ่อมบำรุงในอตุ สาหกรรม ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพสงู ขน้ึ ไดอ้ กี ทางหน่งึ

คณะผจู้ ดั ทำ

( นักศึกษา กลุ่ม 5 IET 21/2 )

สารบัญ หน้า

เรือ่ ง 1
1
บทที่ 1 บทนำ 2
1.1 ความหมายของการบำรุงรักษา 2
1.2 ความสำคญั ของการบำรุงรกั ษา 3
1.3 วตั ถปุ ระสงค์ของการบํารุงรักษา 3
1.4 ขอบเขตของโครงการ
1.5 ประโยชน์ของการบำรุงรักษา 9
9
บทที่ 2 หลักการและทฤษฎที เี่ ก่ยี วข้อง 14
2.1 ทฤษฎที ีเ่ ก่ียวข้องการบำรุงรักษา (Maintenance) 14
2.2 ทฤษฎที ่ีเกี่ยวขอ้ งท่ีมาของระบบ 15
2.3 ทฤษฎีท่เี กี่ยวข้อง วตั ถุประสงคข์ องการบำรุงรักษา 15
2.4 ทฤษฎีท่ีเกี่ยวขอ้ ง วงจรชีวิตของเคร่ืองจักร 16
2.5 ทฤษฎีทเ่ี กยี่ วข้อง ดัชนีชี้วดั ประสิทธภิ าพการบำรุงรกั ษา (KPI) 16
2.6 ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ดัชนชี ว้ี ดั ประสทิ ธภิ าพการบำรุงรักษา 18
2.7 ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวข้อง งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง 19
2.8 การเกบ็ ข้อมลู และการใช้ประโยชน์จากขอ้ มลู การบำรงุ รักษา
2.9 ความหมายของคา่ ประสิทธผิ ลโดยรวมของเคร่ืองจกั ร 22
(Overall Equipment Effectiveness : OEE) 23
2.10 แผนผังสาเหตแุ ละผล (Cause and Effect Diagram) 27
2.11 การจดั ลำดบั ความสำคัญของเคร่ืองจกั ร 49
77
บทท่ี 3 ข้อมูลบริษัท 79
บทท่ี 4 วธิ กี ารดำเนินงาน 81
บทท่ี 5 ผลการเพ่ิมประสิทธิภาพ 91
บทที่ 6 สรุปและขอ้ เสนอแนะ
ความปลอดภยั ในโรงงาน
บรรณานกุ รม

1

บทที่ 1

บทนำ

1. ความหมายของการบำรงุ รักษา

การบำรุงรักษา (Maintenance) หมายถึง “การพยายามรักษาสภาพของเครื่องมือเครื่องจกั รตา่ งๆ

ให้มีสภาพที่พร้อมจะใช้งานอยู่ตลอดเวลา” การบำรุงรักษานั้นครอบคลุมไปถึงการซ่อมแซม (Repair)

เครือ่ งดว้ ย และ เปน็ การทำงานทีท่ ำใหส้ นิ ทรพั ย์ (อปุ กรณ์ เคร่ืองจักร ระบบ ยุทโธปกรณ์)

ในงานบริหารการผลิตหรือการบริการ มักจะหลีกเลี่ยงงานเพิ่มเติมที่สำคัญงานหนึ่งคือ การซ่อม

และบำรุงรักษา ไปไม่ได้ ถึงแม้ว่างานซ่อมและบำรุงรักษาไม่ใช่งานผลิตโดยตรง แต่งานซ่อมและ

บำรุงรกั ษากม็ ีบทบาทช่วยให้การผลิตและการบริการขององคก์ รนนั้ เป็นไปอย่างราบรน่ื โดยเฉพาะอย่าง

ยิ่งในโลกปัจจุบันที่การผลิตและการบริการจำเป็นที่จะต้องอาศัยอุปกรณ์และเครื่องจักรมากขึ้น การที่

เครื่องจักรเกิดขัดข้องขึ้นมากะทันหันหรือไม่สามารถใช้งานได้ จะทำให้มีผลกระทบโดยตรงต่อ

ประสทิ ธภิ าพการผลิตและการบริการนัน้ ๆ การที่จะไดม้ าซ่งึ เครอื่ งจักรท่ีมคี ุณภาพนั้น

1) มีการออกแบบที่ดีและตรงตามความประสงค์ต่อการใช้งาน มีความเที่ยงตรงแม่นยำ รวมท้ัง
สามารถทำงานได้เตม็ กำลงั ความสามารถที่ออกแบบไว้
(2) มีการผลติ (หรือสร้าง) ที่ใหค้ วามแข็งแรงทนทาน สามารถทำงานไดน้ านท่สี ดุ และ ตลอดเวลา
(3) มีการตดิ ต้งั ในสถานท่ีทเี่ หมาะสมและสะดวกตอ่ การใช้งาน
(4) มกี ารใช้เปน็ ไปตามคุณสมบตั แิ ละสมรรถนะของเครือ่ ง
(5) มีระบบการบำรุงรักษาที่ดีเนื่องจากเครื่องมือเครื่องใช้เมื่อถูกใช้งานไปนาน ๆ ก็ต้องมีการ
เสื่อมสภาพ ชำรุด สึกหรอ เสียหายขัดข้อง ดังนั้น เพื่อให้อายุการใช้งานเครื่องมือเครื่องใช้ยืนยาว
สามารถใช้งานได้ตามความต้องการของผู้ใช้ไม่ชำรุดหรือเสียบ่อยๆ ต้องมี “การบำรุงรักษา เครื่องจักร
เคร่อื งมอื เครื่องใช้” ในระบบการดำเนินงานด้วย จึงจะสามารถควบคุมการทำงานของเครื่องมือได้อย่าง
มีประสิทธภิ าพ ตอ้ งประกอบดว้ ยสามารถทำงานได้ตามความประสงค์ของเจา้ ของหรือผู้ใช้
การบำรุงรกั ษา จะแบ่งอาจเป็น 6 แบบ ดงั ตอ่ ไปนี้

1.1 การบำรงุ รกั ษาเชงิ แกไ้ ข

การบำรุงรักษาแบบแก้ไข ( Breakdown Maintenance :BM ) หรือบ้างก็เรียกว่า การ
บำรุงรักษาหลังเกิดการเสียหายหรือใช้งานจนกระทัง่ เสยี หายเป็นเทคนิคการบำรุงรักษาทงี่ ่ายท่ีสุด แต่ใน
ทุกอุตสาหกรรมยังใช้เทคนิคการบำรุงรักษาแบบนี้อยู่ โดยจะดำเนินการแก้ไขหรือซ่อมแซมสินทรัพย์ก็
ต่อเมื่อสินทรัพย์เสียหายจึงทำให้ต้องหยุดการใช้งานสินทรัพย์ เช่น หลอดไฟ แสงสว่าง เครื่องจักรใน
โรงงาน ข้อดี ได้ใช้ประโยชน์จากอายุการใช้งานของเครื่องจักรอย่างคุ้มค่า ไม่ต้องเสียกำลังคนและ
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ข้อสังเกต เราไม่สามารถวางแผนและกำหนดเวลาในการซ่อมแซมหรือ
เปลี่ยนชิ้นส่วนได้บางครั้งจำเป็นต้องรีบทำงานให้เสร็จจึงทำให้คุณภาพของการซ่อมแซมไม่ดีพอ โดย

2

ปกติเมื่อเกิดการเสียหายแล้วมักจะทำให้การเสียหายอย่างรุนแรงเป็นผลให้การซ่อมแซมหรือแก้ไขจะมี
ค่าใช้จ่ายสูงมาก มากไปกว่านั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีผลกระทบกับ ความปลอดภัย สุขภาพ
และสิ่งแวดลอ้ ม

1.2 การบำรงุ รกั ษาเชงิ ป้องกนั

การบำรุงรักษาเพื่อป้องกัน (Preventive Maintenance : PM) จะเป็นการวางแผนโดยกำหนด
ระยะเวลาในการเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ หรือการโอเวอร์ฮอล เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จะ
เป็นการวางแผนการป้องกันไว้ล่วงหน้าทำให้ไม่ต้องหยุดการใช้งานสินทรัพย์หรืออุปกรณ์แบบฉุกเฉิน
โดยทั่วไประยะเวลาในการทำงานสามารถหาข้อมูลอ้างอิงได้ จากคู่มือของผู้ผลิตหรือจากแผน การ
บำรงุ รกั ษาทใี่ ช้งานอยู่ เชน่ การเปล่ียนถา่ ยน้ำมันเครื่องและกรองน้ำมัน การเปลี่ยนกรองอากาศรถยนต์
ข้อดี สามารถทำการวางแผนการบำรุงรักษาและแผนการใช้สินทรัพย์ได้ง่าย โดยทั่วไปมักจะปฏิบัติตาม
คู่มือผู้ผลิต ทำให้สามารถใช้งานสินทรัพย์ได้มากกว่าการบำรุงรักษาแบบแก้ไข ข้อสังเกต โดยทั่วไปไม่
สามารถรู้หรือขาดข้อมูลที่จะประมาณอายุการใช้งานสินทรัพย์ เพิ่มความเสี่ยงความเสียหายที่เกิดขึ้น
หลังงานบำรุงรักษา (ถ้าไม่ทำการบำรุงรักษาสินทรัพย์ก็จะไม่ชำรุด หรืออาจกล่าวได้ว่าการบำรุงรักษา
เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการชำรุดของสินทรัพย์) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการบำรุงรักษา
ตามคมู่ อื ผู้ผลิต

1.3 การบำรุงรักษาตามสภาพ

การบำรุงรักษาตามสภาพ (Condition Based Maintenance : CBM) หรือบ้างก็เรียกว่า การ
บำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) จะเป็นวิธีบำรุงรักษาอุปกรณ์หรือสินทรัพย์ตาม
สภาพของสินทรัพย์ การบำรุงรักษาตามสภาพจะใช้หลักการที่ว่าโดยทั่วไปเมื่อมีความเสียหายเกิดข้ึน
อุปกรณ์หรือสินทรัพย์จะแสดงสัญญาณบางอย่างออกมา ดังนั้นถ้าหากเราสามารถทำการตรวจจับ
สัญญาณที่แสดงออกมาได้ เราก็สามารถทำการบำรุงรักษาก่อนที่สินทรัพย์จะเสียหาย เช่น ความร้อน
เสียง การสั่นสะเทอื น เศษผงโลหะต่าง ๆ การตรวจสอบสภาพสามารถทำได้โดย

• การใช้ประสาทสัมผัสของมนุษย์ เช่น ใช้มือสัมผัสความร้อน ใช้ตาตรวจดูการร่ัวซึม ใช้หูฟังเสียง
ใชจ้ มกู ดมกล่นิ

• เครื่องมือวัดที่มีอยู่ในสินทรัพย์ เช่น เกจวัดความความดัน ทรานสมิตเตอร์วัดอุณหภูมิ เครื่อง
บันทกึ อตั รการไหล

• การใช้เทคนิคการตรวจสอบแบบไม่ทำลาย เช่น การวัดความหนาของท่อหรือถัง การตรวจสอบ
รอยแยกหรอื รอยแตก

• การใช้เครือ่ งมือพิเศษในการตรวจสอบสภาพ เชน่ เครื่องวดั การสัน่ สะเทือน กลอ้ งถ่ายภาพความ
รอ้ น การวเิ คราะหน์ ำ้ มันหล่อลื่น

ตวั อย่างการบำรงุ รักษาตามสภาพ เช่น การเปลยี่ นยางรถยนต์โดยดูตามสภาพของดอกยางว่าสึก
มากนอ้ ยแคไ่ หน แลว้ จึงตดั สนิ ใจเปล่ยี น การวเิ คราะห์สัญญาญสน่ั สะเทือนของเคร่ืองจักร การตรวจสอบ

3

ความดันที่แตกต่างของตัวกรองอากาศหรือน้ำมัน การตรวจวัดอุณหภูมิของเครื่องจักร ข้อดี ทำให้
สามารถใช้งานสินทรัพย์ได้ถึงปลายอายุที่ใช้งานได้ สามารถบรหิ ารและจัดการงานบำรุงรักษาได้ง่ายกว่า
การบำรุงรักษาเชงิ ป้องกัน เนอื่ งจากโดยทัว่ สามารถทำการตรวจสอบขณะใช้งานสินทรัพย์ ช่วยลดความ
เส่ียงจากการเสยี หายหลังงานบำรุงรักษา โดยทว่ั ไปคา่ ใช้จา่ ยการบำรงุ รักษาจะตำ่ กว่าการบำรุงรักษาเชิง
แก้ไข ข้อสังเกต โดยทั่วไปจะต้องลงทุนซื้อเครื่องพิเศษหรือจ้างแรงงานจากภายนอกสำหรับการ
ตรวจสอบสภาพ ต้องลงทนุ ในการอบรมพนักงานในการใช้เคร่ืองมือพิเศษ ต้องระมดั ระวังความผิดพลาด
ในการวิเคราะหส์ ภาพจากการใช้เครื่องมือพิเศษ คนมปี ราสาทสัมผัสที่ไม่เหมือนกนั ซ่งึ จะเป็นข้อจำกัดใน
การตรวจสอบสภาพ

1.4 การบำรุงรกั ษาเชิงรุก
การบำรุงรักษาเชิงรุก (Proactive Maintenance) จะเป็นการบำรุงรักษาที่ทำก่อนที่จะเกิดการ
เสียหายของสินทรัพย์ โดยทั่วไปจะเป็นการทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกันหรือการบำรุงรักษาตามสภาพ
อย่างไรก็ตามการบำรุงรักษาเชิงรุกในฐานความรู้หรือมุมมองแบบอื่นจะหมายถึงการวิเคราะห์รากของ
ปัญหาเพือ่ หาสาเหตทุ ี่แทจ้ รงิ ของปญั หา เพอื่ กำหนดวธิ กี ารบำรงุ รกั ษาหรอื มาตรการอ่นื เพ่ือป้องกันไม่ให้
ปัญหาเกิดขึ้นมาอีกในอนาคต ข้อดี ลดข้อจำกัดของการบำรุงรักษาเชิงป้องกันและการบำรุงรักษาตาม
สภาพ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ท่ีรากของปัญหา ข้อสังเกต ปญั หาในการพิจารณาการบำรุงรักษาว่า
ควรจะทำแบบเชิงป้องกันหรือแบบตามสภาพ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการวิเคราะห์รากของ
ปญั หา
1.5 การปอ้ งกันการบำรุงรักษา
การป้องกันการบำรุงรักษา (Maintenance Prevention) จะเป็นการแก้ปัญหาที่รากของปัญหา
เพอื่ ลดโอกาสการชำรุดเสียหายและลดงานบำรุงรักษาซง่ึ จะทำให้สินทรัพยม์ ีอายุการใช้งานทยี่ าวนานข้ึน
เช่น การแก้ปัญหาท่อน้ำที่เป็นเหล็กรั่วเนื่องจากผุและเป็นสนิม โดยการเปลี่ยนเป็นท่อพลาสติกหรือ
ท่อสแตนเลส อย่างไรก็ตามในฐานความรู้หรือมุมมองแบบอื่นจะพิจารณาว่าการเปลี่ยนท่อเป็นท่อ
พลาสติกหรือท่อสแตนเลสจะเปน็ การออกแบบใหม่ (ไม่ใช่การบำรุงรักษา) ข้อดี เพิ่มอายุการใชง้ านของ
สินทรัพย์ ช่วยลดงานบำรุงรักษาและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ข้อสังเกต โดยทั่วไปอาจจะต้ องใช้
ทรัพยากรในการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เพื่อทำการปรบั ปรุง ข้อเสนอแนะที่ได้จากวเิ คราะห์ปัญหา
อาจจะมีตน้ ทนุ ทส่ี ูงมากและอาจจะไม่คุ้มคา่ กับการลงทุน

1.6 การบำรงุ รกั ษาเนน้ ความเชอ่ื ถือได้

การบำรุงรักษาเน้นความเชื่อถือได้ (Reliability Centered Maintenance : RCM) เป็นวิธีการ
กระบวนการ หรือ กรอบการทำงานที่เป็นมาตรฐานนานาชาติ ที่ใช้กำหนดแผนการบำรุงรักษาเพื่อเพิ่ม
ระดับความเชื่อถือได้ ความพร้อมใช้ และช่วยลดค่าใชจ้ ่ายการบำรุงรักษาสนิ ทรัพย์ การบำรุงรักษาเน้น
ความเชื่อถือได้ถือกำเนิดในอุตสาหกรรมการบินกว่าสี่สิบปีมาแล้ว หลังนั้นหน่วยงานความมั่นคง
อุตสาหกรรมการผลิตและบริการทั่วโลกก็ได้นำการบำรุงรักษาเน้นความเชื่อถือได้ไปใช้ การบำรุงรักษา
เน้นความเชื่อถือได้จะประกอบไปด้วย 1) การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน 2) การบำรุงรักษาตามสภาพ 3)

4

การค้นหาความเสียหาย 4) การบำรุงรักษาเชิงแก้ไข และกลยุทธ์อื่นๆที่อยู่นอกเหนือการบำรุงรั กษา
ข้อดี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผนการบำรุงรักษา โดยทั่วไปสามารถลดค่าใช้จ่ายใน
การบำรุงรักษาได้ 40-70% กำหนดกรอบการพิจารณาที่ชัดเจนในการเลือกเทคนิคการบำรุงรักษา เป็น
มาตรฐานนานาประเทศ ข้อสังเกต ต้องลงทุนในการอบรมพนักงาน และต้องการทรัพยากรมากในช่วง
เร่ิมต้น มวี ิธีการจำนวนมากกล่าวอ้างวา่ เป็นการบำรุงรักษาเน้นความเช่ือถือได้แตแ่ ทจ้ ริงแล้ว

2. ความสำคัญของการบำรุงรกั ษา

มนุษย์เราเริ่มรู้จักการบำรุงรักษา เมื่อเจริญเติบโตขึ้น จนกระทั่งเริ่มช่วยเหลือ ตนเองได้ใช้อุปกรณ์
เครื่องมือ ทำความสะอาดร่างกายประจำวันเป็นเช่น แปรงสีฟัน หวี ขันน้ำ แก้วน้ำ กล่องสบู่ ฯลฯ ซ่ึง
อุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้จำเป็นต้องใช้เป็นประจำทุกวันจึงต้องมีการจัดเก็บ ทำความสะอาด ให้มีความ
พร้อมใช้งานอยู่เสมอไม่เช่นนั้นต้องค้นหาและจัดเตรียมกันใหม่อยู่เรื่อยหรือการที่เรา ไปหาหมอตรวจ
สุขภาพประจำปีก็เพื่อให้รู้ว่าสภาพร่างกายของเราปัจจุบันนี้ยังคงปกติอยู่หรือไม่ มีสมรรถนะความ
พร้อมของรา่ งกายดีอยู่ หรอื เปล่าซึ่งเราเรยี กกนั ว่า การตรวจเชค็ เพื่อการรักษาสุขภาพท่ีดีให้คงอยู่กับตัว
เราไวน้ ั่นเอง

ในการปฏิบัติงาน การใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร เป็นปัจจัยสำคัญ 1 ใน 4 อย่าง(4M
ซึ่งประกอบด้วย คน เครื่องจักร วัตถุดิบ และวิธีการ) ของการทำงานเพื่อให้ได้ผลผลิตออกมาดี ตาม
ความต้องการ สมรรถนะความพร้อมในการใช้งานของ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร จึงมีความ
จำเปน็ ตอ้ งมีการบำรุงรักษาอยตู่ ลอดเวลา เพราะถ้าเคร่ืองมือบกพร่องหรือใชไ้ มไ่ ดน้ น่ั ก็คือองค์ ประกอบ
ในการทำงานไมส่ มบรู ณห์ รือไม่ครบ ผลผลติ กจ็ ะไม่สามารถผลิตออกมาได้หรือได้กไ็ ม่ดี

การบำรุงรักษาที่ดี เมอื่ มกี ารใช้งานอุปกรณ์ แลว้ ก็จะต้องทำความสะอาด ตรวจสอบสภาพหลังการ
ใช้งานคืนสภาพให้มีความพร้อมในการใช้งานตลอดเวลา และจัดเก็บให้เป็นระเบียบด้วย แต่ในทาง
ปฏิบัติจริง ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ปฏิบัติตามน้ี ทั้งงานส่วนตัว เช่น บ้านพักอาศัย รถยนต์ หรืออุปกรณ์
เครื่องมือเครื่องใช้ส่วนตัว และงานส่วนรวมเช่น สถานที่ราชการ อาคาร บริษัท โรงงาน เครื่องจักรจงึ
ทำให้เกดิ สภาพไมพ่ รอ้ มใช้งานเกดิ ขึน้ กันบ่อยๆ

การแกไ้ ขปัญหาสภาพไม่พร้อมใชง้ านของอุปกรณ์ เครื่องมอื เคร่ืองจกั ร ซึง่ เปน็ เครื่องใชส้ ว่ นตัวเมื่อ
เกิดเหตุขัดข้อง หรือผิดปกติจากสภาพการใช้งานเดิมที่เคยใช้อยู่ซ่ึงมีหลายลักษณะเช่น ใช้งานไม่ได้เลย
ซึ่งเราเรียกว่าเสีย ใช้ได้บ้างไม่ได้บ้างซึ่งเรา เรียกว่า เดิน ๆ หยุด ๆ หรือการหยุด ชะงัก ใช้ได้เพียงบาง
หน้าที่เท่านั้น ทำงานไม่เต็มความสามรถที่กำหนดไว้ ใช้งานได้แต่คุณภาพของงาน ไม่สม่ำเสมอดีบ้าง
เสียบ้าง ใช้ได้แต่ช้ากว่าเดิมมาก ฯลฯ เราก็จะทำการแก้ไขให้กลับสู่สภาพเดิม ซึ่งเราเรียกกั นว่า ซ่อม
นัน่ เอง

การซ่อมอุปกรณ์เคร่ืองมือ เครื่องใช้หรอื เคร่ืองจักร ซงึ่ เป็นของใช้ส่วนตวั ของใช้ประจำบ้านเม่ือ
เกิดเหตขุ ดั ขอ้ ง หรือผดิ ปกติเกิดขึน้ แล้ว เช่น เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ภายในบ้านเคร่ืองมืออปุ กรณอ์ ำนวย

5

ความสะดวกตา่ ง ๆ แมแ้ ต่จักรยาน จกั รยายนต์ รถยนตก์ ็เช่นเดียวกนั เครอ่ื งใชป้ ระจำบ้านสว่ นใหญ่
จะใชว้ ิธีการซ่อม แบบเสยี แล้วจงึ ซอ่ ม (Break down) เช่นหลอดไฟฟา้ วทิ ยุ โทรทัศน์ หม้อหงุ ข้าว
ไฟฟ้า นาฬิกา ไมโครเวฟ พัดลม แอร์ คอมพิวเตอร์ เครื่องเขียน โทรศัพท์ ฯลฯ ไม่มีใครใช้วิธซี อ่ ม
ก่อนเสยี (Preventive) เหมือนกบั รถยนต์ เพราะรถยนต์ถ้าปลอ่ ย ให้รถถงึ กับเสีย วิง่ ไม่ไดก้ ็จะต้อง
เดินกันไปทำงานเลยทีเดียว

ของใช้ส่วนรวม อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องจักร ในบริษัทหรือโรงงานเราจะใช้วิธีการ
ซ่อมแบบเครื่องใช้ประจำบ้านไม้ได้เพราะในระหว่างการปฏิบัติงานอยู่ ถ้าหากเครื่องมือเครื่องใช้
เกิดเหตขุ ัดข้องใช้งานไม่ได้หรือสภาพไม่พร้อมใช้งาน น่ันก็คอื ปฏิบัติงานไม่ได้นั่นเอง จะไม่มีผลผลิต
หรือบริการออกมา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเฉพาะบุคคลหรือหน่วยงานเดียวเท่านั้น แต่มัน
เชื่อมโยงกันทั้งองค์การ เพราะงานมันต่อเนื่องกัน ตัวอย่าง เช่น ถ้าเครื่องจักรเสียช่วงใด ช่วงหนึ่ง
ของกระบวนการ ก็ไม่มีผลผลิตหรือบริการออกมาเลย มันสร้างความเสียหายเป็นอย่างมากต่อ
องค์กรหรือโรงงาน ดังนั้น จึงมีแนวคิดซ่อมก่อนเสียเกิดขึ้น ในสถานที่ทำงาน อาคาร โรงงาน ซ่ึง
ต่อมาเราเรยี กกนั วา่ การบำรุงรกั ษาเชงิ ปอ้ งกนั ( Preventive maintenance ) นนั่ เอง

ทำไมเมื่อมีการบำรุงรักษา เชิงป้องกันแล้วรถยนต์ ยังเสียหายระหว่างการใช้งานอยูเ่ ลย ผู้ที่ขับ
รถไปทำงาน ใช้รถมานาน ๆ ก็จะเข้าใจได้ดี ว่าเราดูแลบำรุงรักษารถ ตามกำหนดระยะเวลาท่ี
บริษัทผู้ผลิตกำหนดมาให้เป็นประจำ นำรถไปเข้าศูนย์บริการตรวจเช็คตามระยะทางและซ่อมเชิง
ป้องกันด้วยการเปลี่ยนอะไหล่ก่อน การชำรุดเสียหายจะเกิดขึ้นทุกครั้งยอมเสียค่าใช้จ่ายมากมาย
แต่รถยนต์ก็ยังมีปัญหา ในระหว่างการใช้งาน เสียระหว่างการเดินทาง เช่น เครื่องยนต์
ขัดข้อง แบตเตอรี่ไฟหมด ระบบส่งกำลัง เกียร์ เพลา คลัช ขัดข้อง ยางรั่ว ซึม แตก ระบบเบรค
ศูนย์ลอ้ น้ำหล่อเย็น หม้อนำ้ ตนั แอร์เสีย ฯลฯ ทำไมเกดิ เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ เหลา่ นขี้ ้นึ การบำรุงรักษา
เชงิ ปอ้ งกัน ท่ที ำไปช่วยอะไรไมไ่ ดเ้ ลยหรอื

เครื่องจักรในโรงงานก็เช่นเดียวกันทำไมจึงยังมีการเสียหายระหว่างทำการผลิต (Beak
down) ทั้ง ๆ นี้มีการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน กันอย่างดี บางโรงงานเครื่องจักรยังใหม่อยู่เลย บาง
โรงงานเพ่ิงจะซอ่ มไปเมื่อสัปดาหท์ ่ีผ่านมานี่เอง บางโรงงานโชคดีหนอ่ ย 6 เดอื นแลว้ เครื่องจักรยังไม่
เสียเลย ทำไมจึงไม่มีความแน่นอนเลย ทุกวันนี้ทำงานอยู่บนความเสี่ยงตลอดเวลา ถ้าวันไหน
เคร่อื งจักรเสยี คนงานก็จะไมม่ ีอะไรทำ นงั่ รอนอนรอกนั ว่าเมื่อไร ชา่ งจะซอ่ มเสรจ็ สนิ คา้ กส็ ่งลูกค้า
ไม่ได้ รายไดก้ ไ็ ม่มีแต่กต็ ้องจ่ายค่าแรง ให้คนงานเต็มวนั ความเสยี หายทีเ่ กดิ ข้นึ มองเห็นได้ทนั ที ด้วย
เหตุนี้กระมังผู้บริหารโรงงานจึงอยู่เฉยไม่ได้ พยายามหาวิธีดูแลเครื่องจักร ไม่ยอมให้เครื่องจักร
เสียหาย ระหว่างการผลิต เพราะรู้ฤทธิ์ เดชของ Break down ดี มีวิธีการหนึ่งที่โรงงานหลายแห่ง
คน้ พบ และนำไปทดลองใช้ จนประสบผลสำเร็จมาแล้ว หลายโรงงานแตเ่ ป็นกจิ กรรมสไตลญ์ ีป่ ่นุ

ประเทศญี่ปุ่นนำระบบการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน( Preventive Maintenance : PM ) มาจาก
ประเทศสหรัฐอเมริกาพร้อมๆกับการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมกระบวนการซึ่งจะใช้งานเครื่องจักร
เป็นหลัก PM จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการเพิ่มขึ้นของคุณภาพและผลผลิตของผลิตภัณฑ์ ต่อมาเมื่อมี

6

ความต้องการลดแรงงานในอุตสาหกรรมประกอบและแปรรูปจึงได้มีการใช้เครื่องจักรทดแทนคนงาน
มากขึ้นนั่นคือทำให้มีการพัฒนาเครื่องจักรเป็นระบบอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูงมากขึ้นจนเป็น
หุ่นยนต์ (ROBOT) ทำให้มีความสนใจพัฒนา PM เพิ่มขึ้นโดยให้มีลักษณะเฉพาะในสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งเรียก
กันว่า การบำรุงรักษาทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วม ( TOTAL PRODUCTIVE MAINTENANCE ) หรือเรียก
กันงา่ ย ๆ วา่ TPM น่นั เอง

การบำรุงรักษา เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคุณสามารถเพิ่มอายุการใช้งานและอายุของอุปกรณ์ของ
โรงงานคอื การปฏบิ ตั งิ านบำรงุ รักษา เป้าหมายของชนดิ ของการบำรุงรักษานจ้ี ะล่าชา้ หรอื ในบาง

กรณีทั้งหมดป้องกัน การลดประสิทธิภาพของเครื่องมืออุตสาหกรรม มีการบำรุงรักษาปกติ
คุณสามารถเพิ่มลักษณะของเครือ่ งจักรอยา่ งมาก ประหยดั เงินและเวลาในการ
ตรวจสอบบำรุงรักษาปกติเกี่ยวข้องกับงานที่หลากหลาย รวมทั้งส่วนตัว ซ่อมแซม การปรับปรุง และ
เพิ่มเติม แม้ว่ามาตรการป้องกนั แน่นอนมากกวา่ ที่จะต้องใชเ้ วลาเป็นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับชนิดของโรงงาน
คุณทำงานใน สถาบันมาตรฐานแห่งชาติอเมริกันได้มีแนวทาง รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับชนิดและ
ความถข่ี องการตรวจสอบคณุ ควรดำเนนิ การบนอุปกรณ์ที่ตั้งของอุตสาหกรรมเฉพาะ
ในขณะที่บำรุงรักษาอาจปรากฏ เป็นถ้าคุณกำลังมองหาปัญหาไม่มีอยู่เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณประหยัด
ปัญหาในอนาคต เหมาะสมดูแลเครื่องของคุณ ด้วยในขณะนี้มีโอกาสลดลงมากว่า สิ่งที่จะไปผิดเดือน
พวกเขา หรือกระทั่งหลายปี ตั้งแต่วันนี้ ถ้าคุณต้องการเคล็ดลับเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบำรุงรักษา รักษา
ตรวจสอบกลับกบั อตุ สาหกรรม

3. วัตถุประสงคข์ องการบํารงุ รักษา

การบำรุงรักษามีวตั ถุประสงคห์ ลักท่สี ำคญั ดงั น้ี
1. เพื่อให้ระบบและบริภัณฑ์ไฟฟ้าทำงานอย่างมีประสิทธิผลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
สามารถใชง้ านได้เต็มกำลังความสามารถและตรงกบั ความต้องการทต่ี ดิ ตงั้ มากทีส่ ดุ
2. เพื่อให้ระบบและบริภัณฑ์ไฟฟ้ามีสมรรถนะการทำงานสูงการบำรุงรักษาที่ดีจะช่วยให้ระบบ
และบริภัณฑ์ไฟฟ้ามีขีดความสมารถสูง อายุการใช้งานยาวนาน ระบบและบริภัณฑ์ไฟฟ้าถ้าใช้งานไป
ระยะเวลาหนึ่ง จะเกิดความชำรุด สึกหรอ ถ้าหากไม่มีการปรับแต่งหรือทำการซ่อมบำรุงแล้วอาจเกิด
การขัดข้อง ชำรุดเสียหาย ทำงานผิดพลาด และขดี ความสามารถในการใชง้ านลดลง
3. เพื่อให้ระบบและบริภัณฑ์ไฟฟ้ามีความเชื่อถือได้ระบบและบริภัณฑ์ไฟฟ้านอกจากจะต้องมี
คุณภาพทีด่ แี ล้ว จะตอ้ งมคี วามเช่อื ถือไดส้ งู ทำ งานได้ต่อเนอื่ ง เทีย่ งตรง แม่นยำ ไมม่ ีความคลาดเคล่ือน
ใดๆ ซ่งึ ตอ้ งมีโปรแกรมการบำรงุ รักษาทด่ี ดี ้วย
4. มีความปลอดภัยปัจจุบันความปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญและเป็นเป้าหมายที่สำคัญของสถาน
ประกอบการที่จะรักษาไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ การจัดการความปลอดภัยปัจจุบันนี้ถือว่า อุบัติเหตุเป็นความ
สูญเสยี ของสถานประกอบการดงั นนั้ ระบบและบรภิ ณั ฑ์ไฟฟ้าจะต้องมคี วามปลอดภัยเพยี งพอต่อผูใ้ ช้งาน
และผู้

7

5. เพ่อื ให้อปุ กรณอ์ ยู่ในสภาพพรอ้ มใชง้ านตลอดเวลา คอื การบำรงุ รกั ษาทีก่ ระทำกอ่ นที่อปุ กรณจ์ ะ
ชำรดุ

6. เพื่อแกไ้ ขซอ่ มแซมอุปกรณ์ท่ชี ำรดุ ให้ กลบั มาอยู่ในสภาพพรอ้ มใช้งาน
7. เพอื่ เพ่มิ ความไวว้ างใจหรือความน่าเชือ่ ถือ (Reliability) ในการใช้อุปกรณ์เคร่ืองจักรนั้น
8. เพื่อให้ระบบและบรภิ ณั ฑ์ไฟฟา้ ทำงานอย่างมีประสิทธผิ ลเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงค์ทีว่ างไว้สามารถใช้
งานไดเ้ ต็มกำลังความสามารถและตรงกบั ความต้องการทต่ี ิดต้ังมากท่ีสดุ
9. เพ่ือให้ระบบและบริภัณฑ์ไฟฟ้ามสี มรรถนะการทำงานสูงการบำรุงรกั ษาทด่ี จี ะช่วยใหร้ ะบบและ
บรภิ ัณฑไ์ ฟฟ้ามขี ดี ความสามารถสูง อายกุ ารใช้งานยาวนาน ระบบและบริภัณฑ์ไฟฟ้าถ้าใช้งานไป
ระยะเวลาหนึ่ง จะเกดิ ความชำรุด สึกหรอ ถ้าหากไม่มีการปรบั แต่งหรอื ทำการซ่อมบำรุงแล้วอาจเกิด
การขัดข้อง ชำรดุ เสยี หาย ทำงานผดิ พลาด และขดี ความสามารถในการใชง้ านลดลง
10. เพื่อใหร้ ะบบและบริภัณฑไ์ ฟฟ้ามีความเชือ่ ถือได้ระบบและบรภิ ณั ฑ์ไฟฟา้ นอกจากจะต้องมี
คณุ ภาพท่ีดีแล้ว จะต้องมคี วามเชอ่ื ถือไดส้ ูง ทำ งานได้ตอ่ เนื่อง เทย่ี งตรง แม่นยำ ไม่มคี วามคลาดเคล่ือน
ใดๆ ซึ่งต้องมีการบำรงุ รกั ษาท่ีดีดว้ ย
11. มคี วามปลอดภยั ปัจจุบันความปลอดภยั ถือเปน็ หัวใจสำคญั และเป็นเป้าหมายท่ีสำคญั ของสถาน
ประกอบการทีจ่ ะรักษาไมใ่ ห้เกดิ อุบัตเิ หตุ การจัดการความปลอดภยั ปัจจบุ นั นีถ้ ือวา่ อุบัติเหตุเปน็ ความ
สญู เสยี ของสถานประกอบการดังนน้ั ระบบและบรภิ ัณฑ์ไฟฟา้ จะต้องมคี วามปลอดภยั เพียงพอตอ่ ผู้ใชง้ าน
และผปู้ ฎิบตั งิ าน

4. ขอบเขตของโครงการ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาการจัดทาระบบบำรุงรักษาเชิงป้องกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทา
งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในบริษัท ยูเอซีเจ (ประเทศไทย) จากัด (UACJ THAILAND) โดย
มุ่งเน้นทาการศึกษาที่ไลน์การผลิตงานรีดเย็น (Cold Rolling Process) โดยพิจารณาจากเคร่ืองจักรใน
พ้นื ที่ ว่ามสี ถติ ิเครื่องจกั รหยุดทางานและใช้เวลาในการซอ่ มบำรงุ คิดเปน็ เวลาเฉลยี่ เทา่ ไหร่
5. ประโยชน์ของการบำรุงรักษา
เพื่อยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร และเพิ่มผลผลิต และ เพื่อให้ผู้คนและทรัพย์สนิ ปลอดภัยจาก
อันตรายจากอุปกรณ์ต่างๆ ผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุงและทีมสามารถใช้หลักการของการบำรุงรักษาเชิง
ป้องกันเพ่ือใหเ้ กิดประโยชนต์ ่างๆ ดังตอ่ ไปน้ี

1. เพื่อให้เครื่องมือใช้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ สามารถใช้เครื่องมือ
เครอ่ื งใชไ้ ด้เต็มความสามารถและตรงกับวตั ถปุ ระสงค์ทีจ่ ดั หามามากทสี่ ดุ

2. เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีสมรรถนะการทำงานสูง (Performance) และช่วยให้เครื่องมือ
เครื่องใชม้ ีอายุการใช้งานยาวนาน เพราะเมื่อเครื่องมือได้ใช้งานไประยะเวลาหนึ่งจะเกิดการสึกหรอ ถ้า
หากไม่มีการปรับแต่งหรือซ่อมแซมแล้ว เครื่องมืออาจเกิดการขัดข้อง ชำรุดเสียหาย หรือทำงาน
ผดิ พลาด

8

3. เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีความเที่ยงตรงน่าเชื่อถือ (Reliability) คือ การทำให้เครื่องมือ
เครื่องใชม้ มี าตรฐาน ไมม่ คี วามคลาดเคลอื่ นใด ๆ เกิดขน้ึ

4. เพื่อความปลอดภัย (Safety) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญ เครื่องมือเครื่องใช้จะต้องมีความ
ปลอดภัยเพียงพอต่อผู้ใช้งาน ถ้าเครื่องมือเครื่องใช้ทำงานผิดพลาด ชำรุดเสียหาย ไม่สามารถทำงานได้
ตามปกติ อาจจะกอ่ ให้เกิดอุบัติเหตุ และการบาดเจบ็ ต่อผูใ้ ชง้ านได้ การบำรงุ รกั ษาทดี่ ีจะช่วยควบคุมการ
ผิดพลาด

5. เพื่อลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ที่ชำรุดเสียหาย เก่าแก่ขาดการ
บำรุงรักษา จะทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มีฝุ่นละอองหรือไอของสารเคมีออกมา มีเสียงดัง
เป็นต้น ซง่ึ จะเปน็ อนั ตรายตอ่ ผ้ปู ฏิบัติงานและผู้ทีเ่ กี่ยวข้อง

6. เพื่อประหยัดพลังงาน เพราะเคร่ืองมือเครื่องใช้สว่ นมากจะทำงานไดต้ ้องอาศัยพลังงาน เช่น
ไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าหากเครื่องมือเครื่องใช้ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดี เดินราบเรียบไม่มีการ
รวั่ ไหลของนำ้ มัน การเผาไหมส้ มบูรณ์ กจ็ ะส้ินเปลอื งพลังงานนอ้ ยลง ทำใหป้ ระหยัดคา่ ใช้จ่ายลงได้

7. ประหยดั เงินโดยการยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น
8. เพ่ิมความปลอดภัย และลดโอกาสบาดเจ็บของพนักงาน
9. ลดค่าเสื่อมสภาพท่ไี มจ่ ำเป็นของอุปกรณ์ตา่ งๆลง
10. ป้องกนั อุปกรณห์ ลกั พงั ก่อนเวลาอันควร
11. ลดขนั้ ตอนการตรวจสอบและตรวจจับทีไ่ ม่จำเปน็
12. พรอ้ มรบั มือและป้องกันปัญหาที่อาจจะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต
13. ลดขอ้ ผดิ พลาดในการดำเนินงานประจำวันลง
14. ปรับปรุงความนา่ เชอื่ ถือของอุปกรณ์ (Machine Reliability)

9

บทท่ี 2
ทฤษฎที ี่เก่ียวข้องการบำรงุ รักษา

2.1 ทฤษฎที ี่เกี่ยวขอ้ งการบำรงุ รกั ษา ( Maintenance )

การบำรุงรักษา หมายถึง การพยายามรักษาสภาพของเครื่องมือเครื่องจักรต่างๆ ให้มีสภาพท่ี
พรอ้ มจะใช้งานอยตู่ ลอดเวลา
จดุ มุง่ หมายของการบำรุงรกั ษา

1. เพื่อให้เครื่องมือใช้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล (Effectiveness) คือ สามารถใช้เครื่องมือ
เคร่ืองใชไ้ ด้เตม็ ความสามารถและตรงกับวตั ถุประสงค์ทจี่ ดั หามามากทสี่ ุด

2. เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีสมรรถนะการทำงานสูง (Performance) และช่วยให้เครื่องมือ
เครื่องใช้มีอายุการใช้งานยาวนาน เพราะเมื่อเครื่องมือได้ใช้งานไประยะเวลาหนึ่งจะเกิดการสึกหรอ
ถ้าหากไม่มีการปรับแต่งหรือซ่อมแซมแล้ว เครื่องมืออาจเกิดการขัดข้อง ชำรุดเสียหายหรือทำงาน
ผดิ พลาด

3. เพื่อให้เครื่องมือเครื่องใช้มีความเที่ยงตรงน่าเชื่อถือ (Reliability) คือ การทำให้เครื่องมือ
เคร่อื งใชม้ มาตรฐาน ไมม่ ีความคลาดเคล่ือนใดๆ เกดิ ข้ึน

4. เพื่อความปลอดภัย (Safety) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายที่สำคัญ เครื่องมือเครื่องใช้จะต้องมีความ
ปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน ถ้าเครื่องมือเครื่องใช้ทำงานผิดพลาดชำรุดเสียหาย ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
อาจจะก่อใหเ้ กิดอบุ ัติเหตุ และการบาดเจบ็ ต่อผู้ใชง้ านได้ การบำรุงรกั ษาท่ีดจี ะช่วย ควบคุมการผิดพลาด

5. เพื่อลดมลภาวะของสิ่งแวดล้อม เพราะเครื่องมือเครื่องใช้ที่ชำรุดเสียหาย เก่าแก่ ขาดการ
บำรุงรักษาจะทำให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มีฝุ่นละอองหรือไอของสารเคมีออกมา มีเสียงดัง
เปน็ ตน้ ซงึ่ จะเป็นอันตรายตอ่ ผูป้ ฏิบตั ิงานและผ้ทู เ่ี กยี่ วขอ้ ง

6. เพื่อประหยัดพลังงานเพราะเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนมากจะทำงานได้ต้องอาศัย พลังงาน เช่น
ไฟฟ้าน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าหากเครื่องมือเครื่องใช้ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดี เดินราบเรียบไม่มีการ
รั่วไหลของนำ้ มัน การเผาไหม้สมบูรณ์ กจ็ ะสนิ้ เปลืองพลังงานน้อยลงทำาให้ประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายลงได้

ประเภทของการบำรงุ รักษา

• Breakdown Maintenance (การบำรุงรกั ษาโดยการซ่อมแซมสว่ นท่ีเสีย)

• Planned/Preventive maintenance (การบำรงุ รกั ษาตามแผน)

• Predictive maintenance (การบำรงุ รกั ษาโดยการคาดคะเน)

• Proactive maintenance (เป็นแนวคิดใหม่ในวงการบำรุงรักษา โดยการแก้ที่สาเหตุที่
แทจ้ รงิ ของ ปญั หา)

10

2.1.1 Breakdown Maintenance (การซ่อมบำรงุ โดยการซ่อมแซมส่วนทเี่ สีย)
การบำรุงรักษาวธิ นี ีถ้ ือไดว้ า่ เป็นแนวคิดในงานการบำรุงรักษา ที่เก่าแก่ที่สุด ในตำราบางเล่มให้
นิยามวิธีการบำรุงรักษาแบบนี้ว่า “ดำเนินการโดยไร้การบำรุงรักษา” เพราะในความเป็นจริงฝ่ายซ่อม
บำรุง จะไม่ต้องปฏิบัติงานใดๆ เลยจนกว่าจะมีรายงานว่าเครื่องจักรชำรุด ใช้งานต่อไปไม่ได้ อย่างไรก็
ตามการบำรุงรักษาประเภทนี้ก็ยังคงมีใช้ในบางสถานการณ์ เช่น ในอาคารที่ไม่สลับซับซ้อน หรือมี
อุปกรณ์อะไหล่ทดแทนพร้อมอยู่เสมอ หรือสามารถสั่งซื้อได้อย่างทันทีทันใด โดยที่ค่าใช้จ่ายที่เกิดข้ึน
จากการบำรุงรักษา ประเภทนี้ ควรน้อยกว่าการประยุกต์ใช้วิธีการบำรุงรักษาแบบอื่น เช่น การ
บำรุงรักษาหลอดไฟฟ้าที่ปล่อย ทิ้งไว้จนหลอดขาด หรือก๊อกน้ำประปาชำรุด ข้อเสียของการบำรงุ รักษา
ประเภทนไ้ี ดแ้ ก่
• ไม่มีสญั ญาณใดๆ บอกเปน็ การเตอื นลว่ งหนา้ เม่ือเครื่องจักรเริม่ ชำรุด
• ไมส่ ามารถยอมรบั ได้ ในระบบทตี่ ้องการความเชือ่ ม่ันสงู เชน่ ระบบลฟิ ต์
• ต้องเกบ็ ชิน้ สว่ นอะไหล่ไวเ้ ป็นจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่ามคี ่าใช้จา่ ยในการเก็บอะไหลค่ ง
คลังสงู
• ไม่สามารถบรรลุเปา้ หมายในการปฏิบัตติ ามแผนการผลติ ได้ตามประสงค์
• ไม่สามารถวางแผนงานในการบำรงุ รักษาได้
2.1.2 Planned / Preventive maintenance (การบำรุงรักษาตามแผน)
เพื่อเป็นการลบล้างข้อบกพรอ่ งในการบำรุงรักษาเม่ือชำรดุ จึงได้มีการพัฒนางานทางด้านการ
บำรุงรกั ษาตามแผนขึ้นมา กลา่ วโดยย่อก็คือ การบำรุงรักษาอาคารและอุปกรณ์ตามระยะเวลาท่ีกำหนด
ขึ้น โดยอาจจะได้มาจากประสบการณ์หรือจากคู่มือการใช้งานของระบบและอุปกรณ์นั้น ๆ อย่างไรก็
ตามการชำรุดของอาคารและอุปกรณ์โดยไม่คาดฝันก็ไม่สามาถขจัดออกไปได้ เพราะว่าในทางสถิติแล้ว
การชำรุดของอาคารและอุปกรณไ์ ม่ได้เป็นการกระจายตัวแบบสมำ่ เสมอ หรือมีรูปแบบท่ีแนน่ อน ดังนน้ั
จงึ เป็นการยากท่ีจะ เลอื กชว่ งการบำรุงรักษาตามแผนที่เหมาะสม และในบางกรณีถึงแม้ว่าได้ปฏิบัติการ
บำรุงรักษา ตามแผนแล้วก็ตาม ก็ยังคงมีโอกาสที่จะเกิดการชำรุดของเครื่องจักร และอุปกรณ์โดยไม่
คาดคิดอย่าง หลกี เล่ียงไม่ได้ สรปุ ไดว้ า่ การบำรงุ รักษาแบบน้ีจะทำให้เป็นการเพ่ิมคา่ ใชจ้ า่ ยในการผลิตท้ัง
ทางตรงและ ทางอ้อม ตัวอย่างการบำรุงรักษาแบบนี้ได้แก่ การตรวจเช็คระดับน้ำมันลิฟต์โดยสารที่
บริเวณช่องตรวจ ระดับน้ำมัน การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันตามระยะเวลาการถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนที่สำคัญบาง
ชิ้นตามระยะเวลา ปัญหาหนึ่งที่พบเสมอในการทำการบำรุงรักษาตามระยะเวลาคือ ทำการเปลี่ยน
ชิ้นส่วนบางชิ้นโดยไม่จำเป็น และในบางกรณีอาจจะเป็นการรบกวนชิ้นส่วน ในระบบอื่นโดยไม่จำเป็น

11

รวมถึงอาจจะมีการประกอบกลับ ชิ้นส่วนไม่ถูกต้อง ซึ่งนับว่าเป็นผลเสียมากว่าผลดีเสียอีก ในช่วง
ศตวรรษที่ผ่านมาจึงมีวิธีการบำรุงรักษาแบบ ใหม่ที่เรียกว่า Reliability centered maintenance
(RCM) โดยมีการดำเนินการยอ่ ๆ ดังนี้

• ตรวจวิเคราะหห์ าอุปกรณว์ ิกฤต

• ตรวจสอบอุปกรณว์ ิกฤตตามระยะเวลาทีก่ ำหนด

• ถอดอปุ กรณอ์ อกเพ่ือปรบั สภาพ

• ถอดเปล่ยี นอุปกรณ์วิกฤต

• ในกรณีของอุปกรณท์ ่ีไม่วกิ ฤต กใ็ หใ้ ชต้ ่อไปจนชำรุด 5

• ในบางกรณีทจ่ี ำเป็นให้ทำการออกแบบอุปกรณ์บางชิน้ ใหม่
2.1.3 Predictive maintenance (การบำรงุ รักษาโดยการคาดคะเน)
เครื่องจักรสมยั ใหม่มกี ลไกที่ละเอียด และซับซ้อนกวา่ เครื่องจกั รในสมัยก่อนๆ รวมทั้งเป็นการ
ยาก ที่จะทำการถอดเปลี่ยนหรือทำการตรวจเช็คตามจุดที่สำคัญของงานบำรุงรักษาตามแผน ( PM)
วิธีการในการบำรุงรักษาโดยการคาดคะเนนับได้ ว่าเป็น ปรัชญาใหม่ในศาสตร์ของการบำรุงรักษา
เครื่องจักรแนวความคิดโดยสรุปก็คือการใช้วิธีการหรือเทคนิคใหม่ ๆ ของเครื่องมือวัดชนิดต่าง ๆ เช่น
อุปกรณ์ในการวัดแรงสั่นสะเทือน กล้องอินฟาเหรด เทอร์โมกราฟฟรี่ เป็นต้น โดยพื้นฐานแล้วพอที่จะ
จัดแบ่งการบำรงุ รักษาแบบนี้ออกเปน็ วิธีย่อย ๆ คอื Vibration analysis, Oil/wear particle analysis,
Performance monitoring, Temperature monitoring
การศึกษาติดตามสภาพเครื่องจักร (Condition monitoring) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าการ
ติดตาม สุขภาพเคร่ืองจักร (Machine health monitoring) ก็จัดได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบำรุงรักษา
แบบ คาดคะเนความจริงแล้วการทำ CM (Condition monitoring) หรือ MHM (Machine health
monitoring) ไม่ใช่ของใหม่ เพราะโดยทั่วไปแล้ว วิศวร หรือผู้ควบคุมเครื่อง ก็ใช้สามัญสำนึกในการ
บำรุงรักษาเครือ่ งจักร อยู่แล้ว เช่น การใช้สายตาตรวจดูลักษณะทัว่ ไป การใช้จมูกดมกล่ินไหม้ การใช้หู
ฟังเสียงที่ผิดปกติ และการ ใช้นิ้วสัมผัส (ความร้อน) เป็นต้น อย่างไรก็ตามวิธีการตรวจสอบดังกล่าวจะ
เป็นลักษณะการประเมินสภาพ เครื่องจักรที่ไม่มีข้อยุติที่แน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากความไม่เที่ยงตรงของ
ประสาทสมั ผสั ของคนแตล่ ะคนไม่ เหมือนกัน ดังนัน้ การใชเ้ ครือ่ งมือวัดเชงิ ปรมิ าณสำหรบั การบำรงุ รักษา
แบบคาดคะเนจึงเปน็ สิ่งสำคญั ทั้งน้ี เพราะทำให้ได้ข้อสรุที่ไมม่ ีการบิดเพริ้วได้ในการปะรเมินสภาพของ
เครื่องจักร ดังนั้นความหมายของ Predictive maintenance ก็พอที่จะสรุปได้ว่า เมื่อสามารถทราบถึง
ลักษณะของต้นทุนของการชำรุด จึงพอที่จะสามารถจัดเตรียมการล่วงหน้าสำหรับแรงงาน ชิ้นส่วน

12

อะไหล่ และกำหนดช่วงเวลาการท างานที่ไม่ ขัดกับแผนการผลิตหลักได้ ในกรณีที่มีการประยุกต์ใช้
Predictive maintenance ทเ่ี หมาะสมแล้ว ผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับคอื

• ลดค่าใชจ้ า่ ยการบำรุงรักษา
• ลดสถติ กิ ารชำรดุ ของเครื่องจกั รและอปุ กรณ์
• ลดเวลาการช ารดุ ของเครื่องจักรและอปุ กรณ์
• ลดปริมาณอะไหลค่ งคลงั ในการบำรุงรักษา
• เพ่มิ ประสิทธภิ าพการผลิต
• วางแผนการบำรุงรักษาได้มีประสิทธภิ าพสงู ขน้ึ
• ทำใหก้ ารหยุดชะงักในการผลติ นอ้ ยลง
2.1.4 Proactive maintenance (การบำรุงรักษาแบบป้องกันลว่ งหนา้ )
นับเป็นวิธบี ำรงุ รักษาอาคารและเครื่องจักรที่ค่อนข้างใหม่ตอ่ วงการ ทั้งนี้เพราะแนวคิดดังกลา่ งเพงิ่
ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อประมาณ ค.ศ.1985 โดยย่อแล้วงานบำรุงรักษาแบบนี้จะมุ่งพิจารณารากของ
ปัญหา (Root cause of failure)สามารถแบง่ ย่อยออกเปน็ หกอยา่ งคือ
• Chemical stability
• Physical stability
• Temperature stability
• Wear stability
• Leakage stability
• Mechanical stability
เมื่อใดที่มีการไม่สมดุลยในระบบของเครื่อง (อาจจะเกิดความไม่มี Stability ในหนึ่งใน Root
cause ที่กล่าวมา หรืออาจจะมีความไม่สมดุลยในระบบมากกว่าหนึ่งสาเหตุก็เป็นได้) ตัวอย่างที่เห็นได้
ง่าย ๆ ในระบบไฮดรอลริคก็คือ การท่มี สี ิ่งสกปรก (Contaminants) หลุดลอดเขา้ ไปในระบบ ซึ่งอาจจะ
เกิดจากการเติมน้ำมันทีส่ กปรกเขา้ ไปในระบบ การเสอ่ื มสภาพของไส้กรองอากาศการชำรุดเสียหายของ
ซลี และ สิ่งสกปรกตงั กลา่ วก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระบบขาดความสมดลุ ยไป เมื่อวิศวรหรือผู้ชำนาญได้
ทราบถึง สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา (Root cause) ก็จะทำการแก้ไขให้ระบบกลับคืนสู่สมดุลย เช่น ใช้
ไส้กรองที่มี ประสิทธิภาพสูงขึ้น เปลี่ยนซีลที่ขาด หรือทำการกรองน้ำมันที่สงสัยว่ามีสิ่งสกปรกผสมอยู่
เป็นต้น อย่างไรก็ ตามเนื่องจากจำเป็นต้องใช้ทั้งเครื่องมือ บุคคลากรที่มีความชำนาญสูงในการค้นหา
Root cause แนวความคดิ ในการซอ่ มบำรุงแบบน้ยี งั ไมแ่ พร่หลายมากนัก

13

2.1.5 วตั ถุประสงคข์ องการบำรงุ รกั ษา
1. เพอ่ื ใหอ้ ุปกรณอ์ ยใู่ นสภาพพร้อมใชงานตลอดเวลาคือการบำรุงรกั ษาที่กระท ากอ่ นที่อุปกรณ์

จะชำรุด
2. เพอ่ื แก้ไขซ่อมแซมอปุ กรณ์ท่ีชำรดุ ให้กลบั มาอยใู่ นสภาพพรอ้ มใช้งาน
3. เพ่อื เพ่มิ ความไวว้ างใจหรือความน่าเชอื่ ถือ (Reliability) ในการใช้อุปกรณ์เครื่องจักรนั้น
4. ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเมื่อมีการวางแผนที่เหมาะสมการ จัดสรรกำลังคนวัสดุอะไหล่

รวมถึง ระยะเวลาในการซ่อมท่ีเป็นไปอยา่ งรดั กมุ และมปี ระสิทธภิ าพ
5. ลดจำนวนหรือความถี่ของอุปกรณ์ที่ขัดข้องเสียหาย โดยการใช้ ระบบการบำรุงรักษาแบบ

ปอ้ งกนั (Preventive maintenance)
6. ลดจำนวนงานค้าง (Backlog) เครื่องจักรที่ดีมีคุณภาพจะทำให้ได้ งานตามเป้าหมายทั้ง

คณุ ภาพ และปริมาณ

2.1.6 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การเสีย (Failure Data Analysis)
โดยใช้ประวตั ิการเสยี และการทำงานตามแผนทีเ่ ปน็ อย่ถู งึ ปจั จบุ นั เป็นขอ้ มูล เพือ่ หาตวั แปรทาง

สถิติที่สามารถอธิบายพฤติกรรมการเสียแยกตาม Failure Mode 7 การวิเคราะห์อาการขัดข้องและ
ผลกระทบ (Failure Mode and Effects Analysis : FMEA) ตามที่กล่าวในเบื้องต้น ว่าการวิเคราะห์
อาการขัดข้อง และผลกระทบ( FMEA ) คือ ส่วนหนึ่งในการดำเนินการบำรุงรักษาตามสภาพ(
Condition Based Maintenance ) ดังนั้นในหัวข้อนี้ อธิบายถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับ
FMEA และการนำ FMEA ไปประยุกตใ์ ช้ในงานวจิ ยั แรรถกร เกง่ พล (2548:157) ไดใ้ หน้ ิยามของ FMEA
หมายถึง เทคนิคเพอ่ื หาจดุ อ่อนในการออกแบบก่อนทีก่ ารออกแบบนั้นจะถูกนำออกมาใช้จริง กิติศักด์ิ
พลอยพานิชเจรญิ (2547:26) อธิบาย โดยจัดทำเป็นกลุ่มของกจิ กรรมที่มีจุดมุ่งหมายรบั รูแ้ ละประเมินถึง
แนวโน้มของข้อบกพร่องและผลกระทบของผลิตภัณฑ์หรือกระบวนการ ทำการบ่งชี้ถึงความสามารถ
กำจดั ทิ้งหรือลดโอกาสข้อบกพรอ่ ง และจัดทำกระบวนการทัง้ หมดในรปู เอกสาร

2.1.7 ประโยชน์ของ FMEA
1. เพื่อนำข้อมลู การซ่อมแซม่ มาใชป้ ระโยชน์ในการบำรงุ รักษาให้เหมาะสม เช่น การบำรุงรักษา

เชิงปอ้ งกัน การพฒั นาวิธกี ารแกไ้ ขปญั หา และการสรา้ งอปุ กรณ์ตรวจสอบเพ่ือค้าหาข้อบกพรอ่ ง
2. ช่วยสนับสนุนการออกแบบที่ผิดพลาดให้ถูกต้องยิ่งขึ้น และสนับสนุนการทำแผนในการ

ทำงานเมอ่ื ตอ้ งอยกู่ ับวธิ กี ารทำงานท่ีแตกตา่ งกนั

14

3. ทำใหเ้ กดิ การคล่องตัวในการส่ือสาร ระหวา่ งพนักงานท่ีทำงานร่วมกนั
4. ทำให้เข้าพฤติกรรมการทำงานของชิ้นส่วนอุปกรณ์ และมีความรู้จากการวิเคราะห์ความ
เสยี หาย
5. การแบง่ ชนิดหนา้ ที่การทำงานของ FMEA สามารถแบง่ ออกหลายประเภทตาม แนวความคดิ
ลกษณะของกระบวนการท่ีประยกตุ ใชด้ งั น้ี (ธนากรเกยี รติบันลอื 2543:101-105)
6. System FMEA ซ่ึงนิยมใช้สำหรับการออกแบบหรือปรับปรุงระบบการทำงานในการใช้งาน
มักจะรวมอยู่ในขั้นตอนของ FMEA ชนิดอื่น ได้แก่การสร้างแนวความคิดในการ ออกแบบและกำหนด
รายละเอียดของระบบงาน การออกแบบ การพฒั นา การทดสอบ และการประเมินผลระบบ
7. Design FMEA ซึ่งนิยมใช้สําหรับการวิเคราะห์ผลและการแก้ไขงานที่มีการทดลอง หรือ
ปฏิบัติเป็นครั้งแรก มักจะพิจารณาเกี่ยวข้องกับกลุ่มของการรวมส่วนประกอบต่างหรือส่วนย่อยๆ เขา
ด้วยกัน และส่วนของผลติ ภัณฑ์วา่ มีหน้าที่การใช้งานตามท่ีออกแบบเหมาะสมแล้ว หรือไมแ่ ละส่วนใดจะ
มปี ญั หาจะปอ้ งกนั หรอื ลดระดับความเสยี งได้มากนอ้ ยแค่ไหน
8. Process FMEA ซ่ึงนิยมใช้สำหรับกระบวนการผลิตมีลักษณะเหมือนกับ Design FMEA แต่
จะทำการพิจารณาเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตที่สำคัญ คือ พนักงาน เครื่องจักร วัสดุ วิธีการตรวจและ
สภาพแวดล้อมของการผลิต โดยทั่วไปแล้วเครื่องจักรจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด เมื่อจัดทำ Process
FMEA
9. Service FMEA ซ่งึ นิยมใชส้ ำหรับการให้บริการเป็นหลักโดยนิยมให้คนเป็น
ปจั จัยสำคัญท่ีสดุ เม่ือจดั ทำ Service FMEA
10. Machinery FMEA ซึ้งนิยมใช้สำหรับการวิเคราะห์เครื่องจักรอุปกรณ์หรือ เครื่องมือที่ใช้
โดยแบ่งเปน็ สว่ นประกอบตา่ ง ๆ เช่น โครงสร้างเครื่องจักรเคร่ืองมือส่วนทำความเยน็ ส่วนส่งกำลัง ส่วน
หล่อล่นื ชดุ เกยี รต์ ลบลกู ปืน เปน็ ต้น

2.1.8 ขอบเขตการทํางานของ FMEA
โดยทั่วไปแล้ว FMEA ใช้ได้ดีในการวิเคราะห์เกี่ยวกับ ความเสียหายของชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่าง ๆ

ที่ส่งผลให้ระบบไม่สามารถทางานต่อไปได้แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากระบบนั้นมีการทำงานที่ซับซ้อน
และมีหลายหน้าทำการทำงานรวมถึงมีอุปกรณ์ย่อยๆ ประกอบข้นึ มามากก็จะทำให้เกิดความยากในการ
ใช้ FMEA ทั้งนี้เพราะมีรายละเอียดของข้อมูลท่ี ต้องพิจารณาข้อจำกัดอีกอยางหนึ่งที่ไม่ควรนำมา
พิจารณาถา้ หากใช้ FMEA คอื ความผิดพลาดใน การทำงานอนั เนื่องมาจากตวั บุคคลเพราะโดยปกติแล้ว
ความผิดพลาดอนุมัติมักเกิดขึ้นในขณะ ปฏิบัติงานซ่ึงวิธีการที่จะใช้ในการวิเคราะห์ควรใช้การวเิ คราะห์

15

แบบ Cause-consequence Analysis 45 นอกจากนี้ความเสียหายที่ เกิดจากสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัย
หนึง่ ทไี่ มค่ วรนาํ มาพิจารณาในการทำ FMEA

1. ข้อมูลที่จำเป็นในการทำ FMEA ในการใช้ FMEA เพื่อวิเคราะห์การทางานของระบบน้ัน
จำเป็นต้องทราบโครงสร้างของระบบกอ่ นซ้งึ โครงสร้างของระบบนั้นประกอบไปดว้ ย

2. ส่วนประกอบต่างๆ ของระบบและลักษณะเฉพาะของส่วนประกอบนั้นๆ รวมถึง สมรรถนะ
ในการทำงาน บทบาทและหน้าท่ีการทาํ งานของชนิ้ สว่ นอุปกรณ์เหลา่ นัน้

3. ตวั เชือ่ มโยงระหว่างอุปกรณ์ตา่ งๆ
4. ตำแหน่งการทาํ งานของส่วนประกอบต่างๆ
5. ต้องทราบถึงความเปน็ ไปของระบบการวิเคราะห์FMEA จำเปน็ ตองทราบรูปแบบของ ระบบ
(System Modeling) และมีข้อมลู ท่ีจำเป็นต้องใช้และเกย่ี วข้องกบั ระบบการทำ

2.2 ทฤษฎที ี่เกย่ี วขอ้ งท่มี าของระบบ

1. ก่อนปี พ.ศ.2493 ยุคแรกก่อนปี พ.ศ.2493 เป็นยุคที่นิยมทาการซ่อมแซมหลังจากเคร่ืองมอื
เครื่องจักเกิดเหตุขัดข้องแล้ว (Break down Maintenance) ไม่มีการป้องกันการชารุดเสียหายของ
เครอ่ื งไวก้ อ่ นเลย เมอ่ื เกดิ ขดั ขอ้ งไมส่ ามารถใชง้ านได้ แลว้ จึงทาการซ่อมแซม

2. ปี พ.ศ.2493-2503 ยุคที่สอง ระหว่างปี พ.ศ.2493 ถึงปี พ.ศ.2503 เป็นยุคที่เริ่มนาแนวคิด
เกี่ยวกับระบบการบารุงเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) มาใช้เพื่อป้องกันมิให้เครื่องมือ
เครื่องจักรเกิดการชารุด มีเหตุขดั ขอ้ ง และเพื่อยกสมรรถนะของเครือ่ งมือให้ดขี ้ึน ผู้ทางานมีความมั่นใจ
ในเคร่อื งมอื มากขึน้

3. ปี พ.ศ.2503-2513 ยุคที่สามระหว่างปี พ.ศ.2503 ถึงปี พ.ศ.2513 เป็นยุคที่นาเอแนวคิด
เกี่ยวกับการบารุงรักษาทวีผล(Productive Maintenance)ซึ่งแนวคิดนี้จะให้ความสาคัญของการ
ออกแบบเครื่องมือเครื่องจักรให้มีความน่าเชื่อ (Reliability) มากยิ่งขึ้นโดยคานึงถึงความยากง่ายของ
การบารงุ รกั ษา และเอาหลักการดา้ นเศรษฐศาสตรม์ าใช้ ร่วมด้วย

2.3 ทฤษฎที ีเ่ กี่ยวข้องวตั ถุประสงค์ของการบำรุงรักษา

วตั ถุประสงค์ของการบำรุงรักษา
1. เพื่อให้อุปกรณ์อยู่ในสภาพพร้อมใชงานตลอดเวลาคือการบารุงรักษาท่ีกระทำก่อนที่อุปกรณ์
จะชำรดุ
2. เพอื่ แกไ้ ขซ่อมแซมอปุ กรณ์ท่ชี ำรุดใหก้ ลับมาอยใู่ นสภาพพร้อมใช้งาน
3. เพอื่ เพิ่มความไว้วางใจหรือความน่าเชอ่ื ถอื (Reliability) ในการใช้อุปกรณเ์ ครอ่ื งจกั รนน้ั
4. ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบารุงเมื่อมีการวางแผนที่เหมาะสมการ จัดสรรกาลังคนวัสดุอะไหล่
รวมถึงระยะเวลาในการซ่อมท่ีเป็นไปอย่างรัดกมุ และมีประสทิ ธภิ าพ

16

5. ลดจานวนหรือความถี่ของอุปกรณ์ที่ขัดข้องเสียหาย โดยการใช้ ระบบการบารุงรักษาแบบ
ป้องกัน (Preventive maintenance)
6. ลดจำนวนงานค้าง (Backlog) เครื่องจักรที่ดีมีคุณภาพจะทำให้ได้ งานตามเป้าหมายท้ัง
คณุ ภาพและปรมิ าณ

2.4 ทฤษฎีทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง วงจรชีวิตของเครอื่ งจักร

วงจรชวี ติ ของเครอื่ งจักรและอุปกรณ์
เคร่อื งจกั ร และอปุ กรณม์ ีการเร่มิ ต้นและส้ินสดุ เช่นเดยี วกับมนุษย์ และสัตวท์ ี่มกี ารเกิดและตาย

ซึ่งเรียกว่า “วงจรชีวิต” สำหรับวงจรชีวิตของเครื่องจักรและอุปกรณ์นิยมแบ่งออกเป็นช่วงหรือระยะ
ตามขั้นตอนของการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเครื่องจักรและอุปกรณ์นั้นๆ สำหรับวงจรชีวิตของเคร่ืองจักร
และอุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการผลิตหรือในโรงงานอุตสาหกรรมนิยมที่จะแบ่งออกเป็น 7 ระยะ โดยมี
รายละเอยี ดของระยะตา่ ง ๆ และการนำเอาการใชง้ านและการบำรงุ รักษามารว่ มพจิ ารณาในแต่ละระยะ
ดังตอ่ ไปนี้คือ

2.5 ทฤษฎีที่เกยี่ วข้อง ดชั นีชว้ี ดั ประสิทธิภาพการบารงุ รักษา (KPI)

Key Performance Indicators คือ การกำหนด KPI
ขน้ั ตอนการปรับใช้ Key Performance Indicators ในองคก์ ร
o ขัน้ ตอนที่ 1 – ระบขุ อบเขตของผลการดำเนนิ งานทางธุรกจิ ทคี่ ุณต้องการวดั
o ข้ันตอนที่ 2 – กำหนดเปา้ หมายท่จี ะวดั ประสทิ ธภิ าพ
o ขัน้ ตอนที่ 3 – เปรยี บเทยี บประสิทธภิ าพปจั จบุ ันกบั เป้าหมายทก่ี ำหนด
o ขั้นตอนที่ 4 – ตรวจสอบการเปลยี่ นแปลงประสทิ ธิภาพล่าสดุ
o ข้นั ตอนที่ 5 – กำหนดช่วงเวลาท่เี หมาะสมระหวา่ งการทบทวน KPI แตล่ ะครั้ง
ชนดิ ของ Key Performance Indicators ตง้ั เป้าหมายแบบ SMART

17

สรุป

KPI : Key Performance Indicators คอื ตัวบง่ ชป้ี ระสทิ ธภิ าพหลัก หรอื ดัชนีช้ีวัดความสำเร็จ
เป็นค่าที่จะแสดงให้เห็นว่า บริษัท บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่สาคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
แต่ละองค์กรจะใช้ KPI ในหลายระดับเพื่อประเมินความสำเร็จ การบรรลุเป้าหมาย KPI ในผู้บริหาร
ระดับสูง อาจมุ่งเน้นไปที่ผลการดำเนินงานโดยรวมของธุรกิจ ขณะที่ KPI ระดับปฏิบัติงานอาจเน้นท่ี
กระบวนการต่างๆ เช่น การเพิ่มผลผลิตของเครื่องจักร (ฝ่ายผลิต) การเพิ่มประสิทธิภาพหรือลด
ระยะเวลาการซ่อมบารุงเครื่องจักร ( ฝ่ายซ่อมบำรุง ) ยอดขายที่เพิ่มขึ้น (ฝ่ายขายและการตลาด) และ
อ่นื ๆอีกมากมาย

2.6 ทฤษฎีท่เี กีย่ วข้อง ดชั นชี ว้ี ัดประสิทธิภาพการบำรงุ รักษา

ดัชนีชี้วัดคุณภาพของงานซ่อม (Maintenance KPIs) การกำหนดทิศทางและบทบาทของงาน
บำรุงรักษาในสถานประกอบการโดยการนำเอาระบบ CMMS มาใช้นับว่าเป็นส่วนหรือ ขั้นตอนที่สำคัญ
ที่สุดอีกส่วนหนึ่งเนื่องจากมันจะเป็นตัวกำหนดความต้องการท่ีจำเป็นในด้านอื่นๆต่อไป จากการศึกษา
พบว่าปัญหา ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการนำเอาระบบ CMMS ไปใช้ส่วนใหญ่มาจากการกำหนดทิศทางและ
บทบาทของงานบำรุงรักษาในสถานประกอบการที่ไม่ชัดเจนเนื่องจากไม่ได้รับการเอาใจใส่อย่างเพียงพอ
การกำหนดทิศทางและบทบาทของงานบำรุงรักษาจะต้องครอบคลุมเรื่องต่างๆ ทั้งหมดที่จำเป็นเพื่อใช้
กำหนดแนวทางในการตัดสินใจเพ่ือให้การดาเนินงานบำรุงรกั ษาเมื่อได้นาเอาระบบ CMMS มาใช้ให้เกิน
ประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นทิศทางและบทบาทของงาน บำรุงรักษาของสถานประกอบการควร
ประกอบดว้ ย
1.การกำหนดดัชนีช้วี ดั ผลสาเร็จ (Key Performance Indicators, KPIs)
2.การกำหนดนิยามและรายละเอยี ดของการลงทุนและคา่ ใช้จ่ายของการดำเนนิ งานบำรุงรกั ษา
3.การกำหนดหนา้ ท่ีความรบั ผิดชอบรวมทงั้ อำนาจในการอนุมตั ขิ องแตร่ ะดบั ตำแหน่งในหน่วยงาน
บำรงุ รักษา

2.7 ทฤษฎที ่ีเกยี่ วข้อง งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง

บญุ สนิ นาตอนตู่ : การลดเวลาในการการปรบั ต้งั แมพ่ ิมพ์ฉดี พลาสตกิ ; กรณศี กึ ษาอตุ สาหกรรม
ชิ้นงานยานยนต์ อาจารยผ์ คู้ วบคุมงานนิพนธ์ : ดร. ฤภวู ัลย์ จันทรสา, 117 หน้า ปี พ.ศ. 2555

งานวิจยั นี้มีจุดประสงค์เพ่อื ปรับปรุงกระบวนการปรบั ตั้งแม่พิมพ์ฉดี พลาสติกให้มีประสิทธภิ าพสูงข้ึน
โดยการประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคนิคการปรบั แม่พมิ พ์อยา่ งรวดเรว็ (Single Minute Exchange : SME) ในการลด
เวลาการปรับแต่งแม่พิมพ์ จากการศึกษากระบวนการปรับตั้งแต่งการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แต่ละรุ่นใช้
เวลาในการปรบั แตง่ แม่พิมพ์นานเกินกวา่ ทีบ่ ริษัทกำหนดทำให้ไม่สามารถผลติ ชิ้นงานไดต้ ามแผนที่บริษัท
กำหนดไว้ การศึกษานี้ได้ประยุกต์ใช้หลักการศึกษาและเทคนิค SMED โดยการแยกงานปรับแต่ง
ภายนอกจำนวน 10 ขั้นตอน ออกจากงานปรับแต่งภายใน 40 ขั้นตอน ออกแบบให้มีการทำงานแบบ
คู่ขนาน เตรียมความในการติดตั้งแม่พิมพ์ล่วงหน้า และลดเวลาทำงานในขั้นตอนการล้างเม็ดพลาสติก

18

ออกจากเครื่อง ผลจากการวิจัยพบว่าการปรับแต่งแม่พิมพ์หลังการปรับตั้งแม่พิมพ์ได้ 16.50 นาที
งานวจิ ัยนี้แสดงให้เหน็ วา่ เทคนคิ SMED สามารถนำมาประยกุ ต์ใชใ้ นการปรับปรุงการทำงานเพื่อลดเวลา
ในการปรบั ตัง้ แม่พิมพ์ไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

การประยกุ ตใ์ ช้เทคนิคการบารงุ รกั ษาแบบทวผี ลที่ทุกคนมีสว่ นร่วม
ผลงานวิจัยของคุณ ธนธรณ์ คีรีรักษ์ และคุณ อภิชาต อินมา ปี 2556 เรื่อง “การประยุกต์ใช้

เทคนิคการบำรุงรักษาแบบทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วมในโรงงานขึ้นรูปโลหะ” โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ
ประยุกต์ใช้เทคนิคการบำรุงรักษาแบบทวีผลที่ทุกคนมีส่วนร่วมกับโรงงานช้างเผือกกิจการช่างโดยใช้
OEE เป็นตัวชี้วัด และจัดทำแผนระบบการซ่อมบารงุ รกั ษาใหก้ ับโรงงานช้างเผือกกิจการช่างในส่วนของ
ฝ่ายการผลิต จากงานวิจัยนี้พบว่าระบบการบำรุงรักษามีค่าประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร (OEE)
เพ่ิมขึ้นจาก 85.43 เป็น 90.26% ซ่ึงเป็นผลใหโ้ รงงานมีอัตราการผลิตทีส่ ูงขึ้น ลดตน้ ทุนในด้านต่างๆ ลด
อุบัติเหตุของพนักงาน ลดปัญหาการเกิดของเสียและรอยตำหนิของชิ้นงานและปรับสภาพแวดล้อมการ
ทำงานได้อยา่ งปลอดภยั

การพัฒนาระบบการบำรุงรักษาในอตุ สาหกรรมผลิตคอนกรีต
ผลงานวิจัยของคุณ ณัฐธิดา สงบ และปฐมภพ เส้งทั่น ปี 2560 เรื่อง “การพัฒนาระบบการบารุงรักษา
ในอุตสาหกรรมผลิตคอนกรีต” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการบำรุงรกั ษาสำหรับเคร่ืองจักรท่ใี ช้
ในการผลิตโดยผู้ใช้เครื่องจักรสามารถบำรุงรักษาเครื่องจักรได้ด้วยตนเอง (Autonomous
Maintenance) และปรับปรุงประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร (OEE) ให้เพิ่มขึ้นพบว่าหลังจากการ
ประยกุ ตใ์ ชห้ ลักการตามทฤษฎสี ามารถเพิ่มประสทิ ธผิ ลโดยรวมของเคร่ืองจักรได้ดังนี้ เครื่องดึงลวดจาก
เดิม 85.20 เป็น 91.04% เพิ่มขึ้น 6.85% และเครื่องตัดลวดจากเดิม 75.45 เป็น 94.43% เพิ่มข้ึน
25.15%

การปรบั ปรงุ ประสิทธิผลโดยรวมของเครือ่ งจักรหลกั
ผลงานวิจัยของคุณศุวิล เขตตีวรรณ์ ปี 2557 เรื่อง “การปรับปรุงประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักร
หลักในอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์จากไม้ : กรณีศึกษา บริษัท อิวหลีอุตสาหกรรมจากัด” ซึ่งมี
วัตถุประสงค์เพื่อวัดค่าประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรในโรงงานผลิตและแ ปรรูปไม้และเพิ่ม
ประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรหลักในโรงงานผลิตและแปรรูปไม้ จากงานวิจัยนี้พบว่าหลังการ
ปรับปรุงประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรได้ดังนี้ เครื่องไสเปิดหน้าจาก 42.17 เป็น 61.57% เพิ่มข้ึน
19.40 % เครื่องออโตเชปเปอร์จาก 70.67 เป็น 76.37% เพิ่มขึ้น 5.71% และเครื่องขัดกระดาษทราย
จาก 53.11 เป็น 60.33% เพิ่มขึ้น 7.22% ซึ่งสามารถเพิ่มขีดความสามารถในกระบวนการผลิตของ
เคร่ืองจักร ทำใหบ้ ริษทั ใชง้ านเครอ่ื งจกั รได้อยา่ งมปี ระสิทธผิ ลและสามารถตอบสนองต่อคำส่ังซอื้ ได้

19

2.8 การเกบ็ ขอ้ มลู และการใชป้ ระโยชนจ์ ากขอ้ มลู การบำรงุ รกั ษา

การเก็บข้อมูลเป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งในการบารุงรักษาเพื่อใช้ในการวางแผน และวิเคราะห์
เหตุขดั ขอ้ งท่เี กิดขน้ึ รวมไปถงึ การพฒั นา ปรับปรุง แกไ้ ข เพือ่ ลดงานบำรงุ รักษาลงไปด้วย การเกบ็ ขอ้ มูล
ควรมีเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ควรจะเก็บให้น้อยที่สุดแต่เพียงพอกับการใช้งานควรเป็น
แบบฟอร์มง่ายๆสาหรับผู้ปฏิบัติงาน และการกรอกข้อมูลควรมีการตรวจสอบเพื่อความถูกต้อง หากนำ
ข้อมูลที่ผิดมาใช้ในการวางแผนจะทำให้เกิดความเสยี หายข้ึนภายหลังได้ ในการเก็บข้อมูลบารงุ รกั ษาถ้า
ไม่ได้นามาใช้จะเสียเวลาในการเก็บข้อมูลโดยเปล่าประโยชน์ จึงควรมีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ และใช้
งานอยา่ งนอ้ ยปีละคร้งั เพือ่ การพัฒนางานบำรงุ รกั ษาให้มปี ระสิทธิภาพยิ่งขน้ึ

1. วัตถปุ ระสงค์ของการเก็บข้อมูล
- เพื่อให้ได้ผลผลิตตามแผน ทั้งนี้เพื่อทำให้เหตุขัดข้องฉุกเฉินหมดไปโดยการดำเนินการอย่าง
เหมาะสมเกี่ยวกับการซ่อมแซม ตรวจสอบหรือให้เป็นไปตามข้อกาหนด - เพื่อเพิ่มคุณภาพเป็นการ
บำรุงรักษา เพิ่มสมรรถนะการใช้งาน ทั้งนี้โดยการตรวจสอบ ตรวจวัดซ่อมแซม และปรับปรุงอุปกรณ์
ตา่ ง ๆ ตามทีค่ วรทา
- เพอ่ื ลดตน้ ทุนการปรบั ปรงุ อุปกรณ์เคร่ืองจกั ร การเปล่ยี นหรอื ซอ่ มอุปกรณ์ อะไหล่ของ
เครื่องจักร
- เพื่อส่งมอบตามกำหนด ซึ่งการทำให้เหตขุ ัดข้องฉุกเฉินหมดไป เป็นการเพิ่มขีดความสามารถ
โดยเทคนิค และมีความรวดเรว็ ต่อเหตุการณ์
- เพอ่ื เพ่มิ ความปลอดภัย และรักษาสภาพแวดล้อม

2. ประเภทของการเก็บข้อมูล
- บันทึกสาหรับการบำรงุ รักษา
- ตารางควบคมุ การตรวจสอบประจำ
- ตารางแสดงแผนการบำรุงรกั ษา
- ตารางบนั ทึกข้อมลู เพอ่ื ระบบการประมวลผลดว้ ยคอมพวิ เตอร์
- ตารางบันทึกการบำรงุ รักษา
- คู่มอื การบารุงรกั ษา (PM Manual)
- รายละเอยี ดการบำรงุ รกั ษา (PM Card)
- ประวัตเิ คร่ืองจักร
- รายงานอุบัติเหตุของเครอ่ื งจกั รอปุ กรณ์

20

3. ประโยชน์ของข้อมูลการบำรุงรกั ษา
- กำหนดมาตรฐานการบำรุงรักษา ซงึ่ เป็นรากฐานของแผนการบำรุงรกั ษา
- การช่วยเหลือแนะนำทางเทคนคิ เพื่อการปฏบิ ัติการบำรงุ รักษา
- การรวบรวมผลของการบารุงรักษา เพ่อื นาไปกาหนดแผนการปรับปรงุ
- กาหนดมาตรฐานใหม่

4. ข้อมลู การบำรงุ รกั ษา
- ในการเก็บข้อมูลการบำรุงรักษานั้น ข้อมูลการบำรุงรักษาควรเป็นข้อมูลที่ดี คือ เป็นข้อมูลที่

ถูกต้องไม่ตกหล่น มีความชัดเจนเกี่ยวกับความจำเป็น วัตถุประสงค์ และความเกี่ยวข้องกับเครื่องจักร
อปุ กรณ์ นอกจากน้ีข้อมูลตอ้ งประกอบไปดว้ ย 5H 1W

ใคร (Who) : ข้อมลู น้นั มีความจำเปน็ สำหรบั ใคร ผู้ท่มี ตี ำแหน่งไหนที่ตอ้ งการขอ้ มูลประเภทนี้
อะไร (What) : จะควบคุมอะไร
ทำไม (Why) : การควบคุมนั้นทำไมจงึ จำเปน็ และเพ่อื อะไร
เมอ่ื ไหร่ (When) : ตอ้ งการเม่อื ไหร่
ท่ไี หน (Where) : กระบวนการผลิตทไี่ หน เครอื่ งจักรหรอื อปุ กรณใ์ ด ตั้งอยู่ทีไ่ หนของโรงงาน
อยา่ งไร (How) : ขอ้ มลู ประเภทไหนเพื่อการควบคมุ ทีด่ ี
- เป็นข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ คือ คำนวณได้เร็ว และสามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายประเภท
สามารถแสดงไดท้ กุ เมื่อในเวลาสัน้ ๆ และถูกนำมาใช้เพอื่ ประสทิ ธภิ าพในการบารงุ รักษา

5. การใชป้ ระโยชนจ์ ากข้อมูล
- Plan : การกำหนดมาตรฐานและแผนการบำรุงรกั ษา
- Do : การซ่อมแซมทาการปรับแตง่ หรือตรวจสอบ
- Check : การบนั ทึก และวเิ คราะหผ์ ล
- Action : การป้อนข้อมลู กลบั หรอื ประยกุ ต์ข้อมูลในการวางแผนครงั้ ต่อไป

2.9 ความหมายของค่าประสิทธผิ ลโดยรวมของเคร่ืองจกั ร

(Overall Equipment Effectiveness : OEE)
OEE ยอ่ มาจาก Overall Equipment Effectiveness คอื คา่ ประสทิ ธผิ ลโดยรวมของเครื่องจักร

อุปกรณ์ เป็นค่าที่นิยมใช้ในการติดตามหาประสิทธิผลการผลิตของเครื่องจักรและปัญหาการผลิตท่ี
เกิดขึ้นที่ทาให้ผลิตสินค้าไม่ได้ตามแผนนั้นเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งค่าที่ใช้วัดประกอบด้วย 3ปัจจัย ได้แก่
อัตราการเดินเครื่อง (Availability Rate) ประสิทธิภาพการเดินเครอื่ ง (Performance Efficiency) และ
อัตราคุณภาพ (Rate of quality) โดยการคานวณค่าประสิทธผิ ลโดยรวมของเครื่องจักรหาไดด้ ังสมการ
(2.1)

OEE = อัตราเดนิ เครอื่ ง x ประสทิ ธิภาพเดินเครื่อง x อัตราคุณภาพ (2.1)

21

( Availability ) x ( Performance Efficiency) x ( Rate of quality )

1. อัตราการเดินเครื่อง (Availability Rate) คือ ความพร้อมในการทำงานของเครื่องจักรซึ่งเป็น
การเปรียบเทียบระหว่างเวลาเดินเครื่องจักรจริง (Operating Time) กับเวลารับภาระงานของ
เครื่องจกั ร (Loading Time) โดยอัตราการเดินเครอ่ื งหาไดด้ ังสมการ (2.2)

อัตราเดนิ เครอื่ ง = เวลารบั ภาระงาน – เวลาทีเ่ ครื่องจักรหยุดงาน / เวลารับภาระงาน x 100%

อตั ราเดนิ เครอ่ื ง = เวลาเดินเครอ่ื งจกั รจรงิ / เวลารบั ภาระงาน x 100% (2.2)
2. ประสิทธิภาพการเดินเครื่อง (Performance Efficiency) คือ ค่าที่แสดงถึงประสิทธิภาพการ

ทำงานของเครื่องจักรในด้านความเร็วในการผลิต ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบระหว่างเวลา
เดินเครื่องสุทธิ (Net Operating Time) กับเวลาเดินเครื่องจักร (Operating Time) โดย
ประสิทธิภาพการเดินเครอ่ื งหาได้ดงั สมการ (2.3)

ประสทิ ธภิ าพเดินเครอ่ื ง = เวลารับภาระงาน – เวลาที่เคร่อื งจักรหยุดงาน / เวลารบั ภาระงาน x 100%

อตั ราเดินเคร่อื ง = เวลาเดนิ เครอื่ งสทุ ธิ / เวลาเดินเครอื่ งจักรจรงิ x 100% (2.3)

3. อัตราคุณภาพ ( Rate of quality ) คือ ค่าที่แสดงถึงความสามารถของเครื่องจักรในการผลิต
สินค้าที่มีคุณลักษณะตรงตามข้อกำหนดของลูกค้าต่อจำนวณผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ทั้งหมด โดย
อัตราคุณภาพหาได้ดงั สมการ ( 2.4 )

อัตราคุณภาพ = จำนวนชิ้นงานทั้งหมด−จำนวนช้ินงานท่เี สียและซอ่ ม / จำนวนชน้ิ งานทั้งหมด x 100%

อัตราคุณภาพ = จำนวนชน้ิ งานด / จำนวนชน้ิ งานทง้ั หมด x 100% (2.4)

ความหมายของคำนิยามทเี่ กย่ี วกับเวลาทีเ่ กิดขนึ้ ในกระบวนการผลติ
เวลาทั้งหมด (Total Available Time) : ช่วงเวลาทางานทงั้ หมดในการทางาน เช่น 1 กะ, 1

วัน หรือ 1 สัปดาห์
เวลารับภาระงาน (Loading Time) : เวลาที่ต้องการให้เครื่องจักรทำงาน คือเวลาทั้งหมดหัก

ดว้ ยเวลาท่หี ยุดตามแผน
เวลาเดินเครื่อง (Operating Time) : เวลาที่เครื่องจกั รทำงานได้ เป็นเวลารับภาระงานหักดว้ ย

เวลาสูญเสียจากเครือ่ งจักรหยดุ เช่น เคร่อื งจักรขดั ขอ้ ง การสูญเสียเวลาในการปรับแต่ง

22

เวลาเดินเครื่องสุทธิ (Net Operating Time) : เวลาที่ต้องใช้เดินเครื่องจักรตามทฤษฎี เม่ือ
ต้องการผลิตชิ้นงานตามจำนวนที่กำหนดหักด้วยเวลาสูญเสียจากเครื่องจักรหยุด เช่น สูญเสียความเร็ว
การหยุดเล็กๆ น้อยๆ จำนวนชิ้นงานทั้งหมด (Output) : จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ทั้งหมดรวมทั้งของดี
และของเสยี

2.10 แผนผังสาเหตแุ ละผล (Cause and Effect Diagram)
เป็นแผนผงั ทใ่ี ช้แสดงความสัมพันธอ์ ย่างเปน็ ระบบระหวา่ งปญั หา (Problem) กับสาเหตุหลายๆ

สาเหตุที่เป็นไปได้ที่อาจก่อให้เกิดปัญหานั้น (Possible Cause) โดยวิธีการสร้างแผนผังสาเหตุและผล
หรือผังก้างปลา มขี น้ั ตอน 6 ข้นั ตอนดังตอ่ ไปน้ี

1. กำหนดประโยคปัญหาที่หัวปลา ควรกำหนดให้ชัดเจนและมีความเป็นไปได้ ซึ่งหากกำหนด
ประโยคปัญหาไม่ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้ว จะทำให้ใช้เวลามากในการค้นหาสาเหตุและจะใช้เวลานานใน
การทาผังก้างปลา

2. กำหนดกลุ่มปจั จัยทจี่ ะทำให้เกิดปัญหานัน้ ๆ สามารถกาหนดกล่มุ ปจั จัยอะไรก็ได้แต่ต้องม่ันใจว่า
กลุ่มที่ได้กาหนดไว้เป็นปัจจัยนัน้ สามารถที่จะช่วยให้เราแยกแยะและกำหนดสาเหตตุ ่าง ๆ ได้อย่างเป็น
ระบบและเป็นเหตุเป็นผลโดยส่วนมากจะใช้หลักการ 4M 1E เป็นกลุ่มปัจจัย (Factors) เพื่อจะนำไปสู่
การแยกแยะสาเหตตุ า่ ง ๆ ซ่ึง 4M 1E นั้นมาจาก

M Man คนงาน หรอื พนกั งาน หรอื บคุ ลากร
M Machine เครอื่ งจกั รหรืออุปกรณ์อานวยความสะดวก
M Material วัตถดุ บิ หรอื อะไหลอ่ ุปกรณ์อ่ืน ๆ ทีใ่ ชใ้ นกระบวนการ
M Method กระบวนการทางาน
E Environmentอากาศ สถานที่ ความสวา่ ง และบรรยากาศการทำงาน
3. ระดมสมองเพื่อหาสาเหตุในแตล่ ะปัจจยั
4. หาสาเหตหุ ลักของปัญหา
5. จัดลำดบั ความสาคญั ของสาเหตุ
6. ใชแ้ นวทางการปรับปรงุ ทีจ่ าเป็น

23

ซึง่ ตัวอย่างการทาแผนผังสาเหตุและผลแสดงดังภาพ 2.1 ขา้ งลา่ งนี้

ภาพ 2.1 โครงสร้างของแผนผังสาเหตแุ ละผล

2.11 การจดั ลำดับความสำคญั ของเคร่อื งจกั ร

การจัดลาดับความสำคญั ของเครื่องจักร ทำการแบ่งกลมุ่ ของเครื่องจักรออกเป็นกลุม่ ที่มคี วามสำคัญ
ต่อการผลิตและเครื่องจักรประกอบการผลิต โดยในกลุ่มของเครื่องจักรที่มีความสำคัญแต่ละประเภท
ระดับการบำรุงรักษาและความเร่งด่วนจะไม่เท่ากัน เครื่องจักรที่มีความสำคัญต่อการผลิตจะต้องการ
การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน แต่เครื่องจักรประกอบอาจต้องการเพียงการบำรุงรักษาแบบตรวจสอบแล้ว
ซ่อมและการบำรุงรักษาแบบหลังเกิดเหตุขัดข้องเท่านั้น ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องสายการผลิตที่มีความ
สาคัญระดับแรกจะไดร้ บั บรกิ ารก่อน

1. การแยกประเภทเครื่องจักร - จัดลาดับความสาคัญของสายการผลิตไว้ตามลาดับก่อนหลัง - ใน
แต่ละสายการผลิต ให้แบ่งกลุ่มของเครื่องจักรออกเป็นกลุ่มที่เป็นหัวใจของการผลิตและเครื่องจักร
ประกอบการผลิต ซึ่งกลุ่มของเครื่องจักรที่มีความสำคัญแต่ละประเภท ระดับการบำรุงรักษาและความ
เร่งด่วนจะไมเ่ ท่ากัน เครื่องจักรหัวใจจะต้องทาการบารุงรักษาทวีผล แตเ่ คร่ืองจักรประกอบอาจต้องการ
เพียงการบำรงุ รักษาปอ้ งกนั และการบำรุงรักษาเม่ือขัดข้องเท่านัน้

- ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้อง สายการผลิตที่มีความสาคัญระดับแรกจะได้รับบริการก่อน 2.5.2 การ
คดั เลอื กเครอื่ งจักรโดยใชข้ ้อมูลตาราง 2.1 เพอื่ การประเมนิ และสรปุ ดงั ตาราง 2.2

24

ตาราง 2.1 การจัดลาดบั ความสำคญั ของเคร่ืองจกั ร (ตอ่ )

25

2. การแบ่งประเภทการบำรุงรกั ษา

เกณฑ์การแบ่งประเภทการบารงุ รกั ษา มี 3 เกณฑ์ ดงั นี้

เกรดเอ (A) ทาการบำรุงรักษาเชงิ ปอ้ งกัน (Preventive Maintenance) เกรดบี (B) ทำการบารงุ รกั ษา

แบบตรวจสอบแล้วซ่อม ( Inspection and Repair) เกรดซี (C) ทาการบำรุงรักษาแบบหลังเกิด

เหตขุ ดั ข้อง (Breakdown - Maintenance)

เมื่อทำการประเมินเครื่องจักรตามตาราง 2.1 แล้วจะได้คะแนนรวมเพื่อนามาแบ่งเกรดการดูแล

รกั ษา โดยแบง่ เกณฑ์ตามตาราง 2.2 และสรปุ การแบง่ ประเภทเครอื่ งจักรตามตาราง 2.3

ตาราง 2.2 เกณฑก์ ารแบง่ ประเภทการบารงุ รักษา

เกณฑก์ ารให้ คะแนน เกรด การดูแลรักษา

80 - 105 A การบำตรุงรกั ษาเชงิ ป้องกัน

50 - 79 B การตรวจเชค็ แล้วซอ่ ม

< 50 C การบารงุ รกั ษาหลังเกิดเหตุขัดขอ้ ง

ตาราง 2.3 สรปุ การแบง่ ประเภทเครอื่ งจกั ร

26

บทที่ 3
กระบวนการทำงาน

ขอ้ มูลบริษัท
3.1 เกี่ยวกับ SCMP - บริษัท สหะเจรญิ โลหะพลาสติกภณั ฑ์ จำกดั
ผู้ผลิตพลาสตกิ ภณั ฑ์ชน้ั นำของประเทศไทย
เวบ็ ไซต์ : https://scmp.co.th

อุตสาหกรรม : การผลิตเครื่องจักรอตั โนมตั ิ

ขนาดของบริษัท : พนักงาน 51-200 คน

สำนักงานใหญ่ : Bang Phli, Samut Prakarn

ประเภท : บรษิ ทั เอกชน

กอ่ ตง้ั เม่ือ : 1985

ความชำนาญพิเศษ : Plastic Injection Molding Automated Painting Systems และ

Screening

3.2 เครอ่ื งจกั รทใ่ี ชใ้ นการผลติ ของบรษิ ทั สหะเจรญิ โลหะพลาสติกภณั ฑ์ จำกัด

ซึง่ เครอื่ งจกั รท่ีใช้ในการผลติ แสดงดงั ตาราง 3.1 ตาราง 3.1 แสดงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต

ลำดบั Brand M/C No. Mold Clamping Force จำนวน (เคร่อื ง)

(Ton)

1 TOSHIBA EC-60T 60 1

2 TOSHIBA TO-130T 130 1

3 MITSUBISHI M-240T 240 1

4 MITSUBISHI M-290T 290 1

5 TOSHIBA TO-450T 450 1

6 MITSUBISHI M-450T-1 450 1

7 MITSUBISHI M-450T-2 450 1

8 MITSUBISHI M-550T 550 1

9 TOSHIBA TO-550T 550 1

10 TOSHIBA TO-650T 650 1

11 MITSUBISHI M-850T 850 1

12 TOSHIBA T-850T 850 1

13 TOSHIBA TO-1050T 1,050 1

14 MITSUBISHI M-1300T 1,300 1

15 MITSUBISHI M-1600T 1,600 1

27

ตาราง 3.2 แสดงแผนการตรรวจสอบเคร่ืองฉีดพลาสติก

รายวนั สปั ดาห์ 500 500 5000
ชว่ั โมง ชวั่ โมง ชวั่ โมง

ท่วั ไป ตรวจเชค็ การทำงานวา่ เมื่อเปิดเครือ่ งแล้ว ✓
เครอื่ งมีเสียง, กล่นิ หรือมกี ารส่ันที่ผดิ ปกติ
หรือไม่ ✓
ตรวจอณุ หภูมิให้อยู่ในช่วงทเี่ หมาะสมกับงาน ✓

ทำการหล่อลื่นดว้ ยเครื่องมือทุกวนั ✓
ตรวจสอบจุดหลอ่ ลนื่ ตา่ ง ๆ ว่าไมต่ นั ทำงาน
ปกติ ✓
รักษาความสะอาดกระบอกสูบนำของหวั ฉีด
และ ชุดฉดี โดยเฉพาะหวั ฉีดต้องสะอาดและ ✓
แหง้ ✓
ตรวจระดบั น้ำมนั ในชุดเกียรส์ กรมู อเตอร์

หลอ่ ลนื่ ชดุ เกยี รข์ อง สกรมู อเตอร์

ตรวจเช็คอปุ กรณ์ในระบบรักษาความ
ปลอดภัยว่ายงั คงทำงานได้ปกติ ✓
ทำความสะอาดเม่ือพบว่ามเี ม็ดพลาสตกิ ที่ติด
อยู่ ✓
ทำความสะอาดกรองอากาศของชดุ ควบคุม ✓
มอเตอร์
ตรวจสอบสกรูท่ขี ันยึดอุปกรณ์ระบบไฮดรอ ✓
ลกิ ท้ังหมด ✓
เปลีย่ นไส้กรองนำ้ มนั เครื่อง (Oil Filter)

ตรวจสอบการทำงานของเกจวดั ความดัน
(Pressure Gauge) ✓
ทาจาระบที ี่บชุ ช่งิ (Bushing) และ slider

ทำคามสะอาดสว่ นประกอบคอมพิวเตอร์
และพดั ลมดว้ ยDry Air Gun เป็นปนื เป่าลม
ตรวจสอบแรงดนั สะสมในถังเก็บความดนั
[Option]
ตรวจสอบกรองอากาศในตไู้ ฟ

28

ตรวจสอบแผน่ ทำความร้อน (heater band) ✓

และ อุปกรณว์ ัดอุณหภมู ิ

เปล่ยี นจาระบีของ bearing ของมอเตอร์ 5 ✓

ดาว (Hydraulic Motor) ✓

ตรวจเช็คการทำงานของมอเตอร์ไฟฟา้

เช็คสกรูกวา่ ยังคงยึดติดแนน่ ✓

ปรบั ระดบั tie-bar load ให้เรียบ

ตรวจเช็คการเปิด/ปดิ ปม๊ั ✓

ตรวจสอบระดับปริมาณของน้ำมันระบบไฮ ✓

ดรอลกิ

ตรวจการรวั่ ซมึ ของระบบไฮดรอลิก ✓

ตรวจสอบสกรูท่ีขันยึดอปุ กรณร์ ะบบไฮดรอ ✓
ลกิ ท้งั หมด

ตรวจสอบแรงตึงของโซด่ ึงชุดปรับแมพ่ ิมพ์ ✓

สภาพความเสียหายหรอื เสื่อมของสายโฮดรอ

ลิก

เปลีย่ นน้ำมนั hydraulic เมอ่ื ตรวจพบวา่ ✓

เสือ่ มสภาพ เกิดฟอง หรอื สกปรก

ทำคามสะอาดไสก้ รองน้ำมัน hydraulic ✓

(hydraulic Oil Filter)

ตรวจเชค็ น้ำในระบบหลอ่ เย็น ✓

ทำความสะอาดตะกอนในทอ่ ของออย

คูลเลอร์ (Oil cooler) ทำหนา้ ท่ชี ว่ ยระบาย

ความรอ้ นนำ้ มันเคร่ือง

ตรวจเช็ครอยรวั่ ตามท่อต่าง ๆ

3.2 วธิ กี ารต้งั ค่าพารามเิ ตอร์ของเครอ่ื งฉีดพลาสติก

วธิ ีการตั้งคา่ พารามเิ ตอร์ของเครื่องฉีดพลาสติก

ขนั้ ตอนทว่ั ไปและประเด็นสำคญั ของการต้ังคา่ พารามเิ ตอร์เทคโนโลยีของเครื่องฉดี พลาสตกิ

ดา้ นลา่ งเปน็ ข้นั ตอนทั่วไปสำหรบั การตงั้ ค่าพารามิเตอร์การฉีด

1. ต้ังอุณหภมู ิการทำพลาสติกของ วสั ดุพลาสตกิ

หากอุณหภูมิตำ่ เกนิ ไปวสั ดุพลาสตกิ อาจไมล่ ะลายอยา่ งสมบูรณ์หรือไหลไมด่ ี

หากอุณหภูมสิ งู เกนิ ไปวัสดุพลาสติกอาจเส่ือมสภาพ

สอบถามผจู้ ัดจำหนา่ ยวัสดสุ ำหรบั อณุ หภูมิการหลอมท่ีแนน่ อนและอณุ หภมู ิการขึน้ รูปของเมด็ พลาสติก

29

โดยท่ัวไปจะมโี ซนให้ความรอ้ น 3 ~ 5 บนกระบอกสบู ของ เครือ่ งฉีดขนึ้ รูป อุณหภูมิของโซนท่ีอยใู่ กลก้ บั
ถงั มากที่สดุ จะต่ำที่สุดจากน้นั อณุ หภมู จิ ะเพมิ่ ขนึ้ หลงั จากนั้น อุณหภูมิของโซนหวั ฉีดควรคงเดมิ
อณุ หภมู ิหลอมเหลวที่เกิดขนึ้ จริงมักจะสูงกว่าอุณหภมู ทิ ต่ี ั้งไวเ้ น่อื งจากผลกระทบของแรงดนั ยอ้ นกลบั
และความร้อนแรงเสยี ดทานที่เกิดจากการหมุนของสกรู

2. ตั้งอุณหภมู ิแมพ่ ิมพ์

สอบถามผูจ้ ัดจำหนา่ ยวสั ดุพลาสติกสำหรบั อุณหภูมิที่แนะนำของอณุ หภมู ิแม่พมิ พ์
สามารถวดั อุณหภูมแิ ม่พมิ พ์โดยเทอรโ์ มมเิ ตอร์
ตงั้ อุณหภมู ิของนำ้ หล่อเยน็ 10 ~ 20 ℃ ตำ่ กว่าอุณหภมู แิ ม่พมิ พ์
หากอุณหภมู ิแม่พิมพเ์ ป็น 40 ~ 50 ℃ หรือสูงกว่าจำเปน็ ต้องพจิ ารณาเพื่อเพิ่มแผ่นฉนวนกนั ความร้อน
ระหว่างแม่พมิ พ์และแผน่ แม่พิมพข์ อง เครื่องฉีดขึน้ รูป
เพ่อื ปรับปรุงคณุ ภาพพ้ืนผวิ ของผลิตภณั ฑบ์ างครง้ั ต้องใช้อุณหภูมิแม่พิมพ์สูง

3. กำหนดตำแหนง่ ปลายฉีดของสกรู

ตำแหน่งสน้ิ สุดการฉดี คือ ตำแหนง่ ของสกรูทีเ่ ปล่ยี นจากระยะการฉีดเป็นการถอื ความดัน
ดูภาพด้านลา่ ง หากวัสดทุ ่รี องไมเ่ พียงพออาจจะมี การหดตัว ทำเครื่องหมายบนพน้ื ผิวของผลติ ภัณฑ์
โดยทว่ั ไปความยาวของวสั ดุแพ็ดดง้ิ ต้ังไวท้ ่ี 5 ~ 10 mm
โดยทัว่ ไปใหต้ ้งั ตำแหน่งสนิ้ สุดการฉดี เปน็ 2 / 3 ของการเติมทเี่ ตม็ ไปด้วยโพรงแมพ่ ิมพ์ มันสามารถ
ปกปอ้ ง เครื่องฉดี ขน้ึ รปู และแม่พิมพ์

30

4. ตั้งคา่ ความเรว็ ในการหมุนของสกรู
ต้ังค่าความเร็วในการหมุนท่จี ำเปน็ สำหรับการทำพลาสตกิ ให้เปน็ พลาสติก
หลกั สูตรการชารจ์ ไมค่ วรยืดระยะเวลาการใชง้ านทง้ั หมดหากเป็นไปไดต้ ้องเพ่ิมความเร็ว
ความเรว็ ในการหมุนท่เี หมาะสมทส่ี ุด คอื การตง้ั คา่ ความเร็วในการหมนุ ทีต่ ำ่ ทส่ี ดุ ในขณะที่มันจะไม่ขยาย
เวลารอบทงั้ หมด

5. ต้งั แรงดนั ด้านหลงั
แนะนำ แรงดันกลบั คา่ คือ 5 ~ 10 Mpa
หากแรงดนั ย้อนกลบั ต่ำเกนิ ไปอาจทำให้ผลติ ภณั ฑข์ น้ั สุดท้ายแตกตา่ งกัน
การเพ่มิ แรงดนั ดา้ นหลงั อยา่ งเหมาะสมจะเพมิ่ ความร้อนแรงเสียดทาน และลดเวลาการทำพลาสติก
ความดนั หลังส่วนล่างจะเพิ่มเวลาทีว่ สั ดุอยใู่ นถงั

6. ชุดฉีดแรงดัน
ตั้งค่าความดันการฉีดเป็น Max ค่าของ เครื่องฉีดขึ้นรูป เหมาะสำหรับการใช้ความเร็วในการฉีด ดังน้ัน
ชุดความดันจะไม่ จำกัด ความเร็วในการฉีดก่อนที่จะเติมเต็มช่องแม่พิมพ์ความดันจะเปลี่ยนเป็นความ
ดนั เพือ่ ใหแ้ มพ่ มิ พไ์ ม่เสียหาย

7. ตง้ั คา่ ความดันเริ่มต้นถอื
ตั้งวาล์วแรงดัน 0 Mpa จากนั้นสกรูจะหยุดเมื่อถึงตำแหน่งปลายฉีดซึ่งสามารถป้องกัน เครื่องฉีดขึ้น
รปู และแม่พิมพ์

8. ตั้งค่าความเร็วการฉีดเป็น Max มูลค่าของ เครอ่ื งฉีดข้ึนรูป
เมื่อใช้ แม็กซ์ ความเร็วในการฉีด สามารถบรรลุความต้านทานการไหลทีต่ ่ำกว่าความยาวของการไหลท่ี
ยาวขน้ึ แตจ่ ำเปน็ ตอ้ งต้ังคา่ ช่องระบายอากาศ หากไอเสยี อากาศไม่ดจี ะทำให้อณุ หภูมแิ ละความดันสูงใน
โพรงแม่พมิ พ์จากนัน้ ทำให้เกิดรอยไหม้การย่อยสลายวสั ดแุ ละการยิงระยะสน้ั นอกจากนี้จำเป็นที่จะต้อง
ทำความสะอาดพ้ืนผวิ แม่พมิ พแ์ ละตำแหนง่ ไอเสยี อย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะ ABS / PVC วสั ดุ

9. ตั้งคา่ เวลากดค้างไว้
เวลาในการพักแรงดันในอุดมคติควรเลือกค่าต่ำสุด ค่าระหว่างเวลาแข็งตัวของสปรูและเวลาในการ
แข็งตวั ของผลติ ภัณฑ์ เกี่ยวกับ 1st เส้นทางสามารถใช้ซอฟต์แวร์ CAE สำหรับการคาดการณ์เวลาในการ
เติมแม่พิมพจ์ ากน้นั ต้ังค่าเวลาในการกดความดันเป็นเวลา 10 ของเวลาการบรรจนุ ้ี

31

10. ตั้งเวลาการระบายความร้อนท่เี พียงพอ
เวลาในการทำความเย็นสามารถประมาณหรือคำนวณได้ซึ่งจะรวมถึงเวลาในการถือความดันและเวลา
การระบายความร้อนต่อไปที่จดุ เริ่มต้นสามารถประมาณเวลาการระบายความร้อนอย่างต่อเน่ือง 10 เท่า
ของเวลาการฉีด ตัวอย่างเช่นหากเวลาในการฉีดโดยประมาณคือ 0.85 ดังนั้นเวลาในการอัดจะเท่ากับ
8.5 และเวลาในการระบายความร้อนเพิ่มเติมคือ 8.5 ด้วยวิธีนี้สามารถทำให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์และ
ระบบการรวมตวั กนั อย่างเพียงพอเพียงพอสำหรับการดดี ออก

11. ตั้งเวลาเปิดแมพ่ ิมพ์
โดยทั่วไปเวลาเปิดแม่พิมพ์สามารถตั้งค่า 2 ~ 5 ได้รวมถึงการเปิดแม่พิมพ์การดีดออกและการปิด
แมพ่ ิมพร์ อบเวลาคือผลรวมของเวลาการฉดี ความดนั คงทเี่ วลาระบายความร้อนและเวลาเปิดแม่พมิ พ์

12. เพมิ่ ปริมาตรการฉดี ทีละขัน้ จนถงึ 95% ของปริมาตรโพรงแมพ่ ิมพ์
น้ำหนักของผลิตภัณฑ์ นักวิ่งและสไปรท์และถูกวัดโดยซอฟต์แวร์ CAE จากนั้นตามขนาด
เส้นผ่าศูนย์กลางของสกรูและเส้นผ่านศูนย์กลางด้านในของบาร์เรล สามารถคำนวณความสามารถใน
การฉีดและตำแหน่งเริ่มต้นในแต่ละครั้งได้ ดังนั้นการเติมช่องแม่พิมพ์เพียง 2/3 เท่านั้นชุดความดัน 0
Mpa สกรูจะหยุดเมื่อถึงตำแหน่งสิ้นสุดการฉีดการเติมแม่พิมพ์จะถูกดูดซับ จึงสามารถป้องกันเชื้อรา
หลงั จากน้ันเพิ่ม 5 ~ 10% ทีละข้นั ตอนจนเติม 95% ของปรมิ าตรโพรงแมพ่ ิมพ์

13. เปล่ยี นเป็นโหมดอตั โนมัติ
วัตถุประสงค์ของการทำงานอตั โนมตั ิคือเพื่อใหบ้ รรลุความเสถียรของการผลิต

14. ต้ังสโตค๊ เปดิ แม่พิมพ์
แม่พิมพ์แบบเปิด ได้แก่ ความสูงของแกนแม่พิมพ์ความสูงของผลิตภัณฑ์เลือกพื้นที่ ดูภาพด้านล่าง เรา
ควรกำหนดจังหวะการเปิดให้สั้นลง ความเร็วเริ่มต้นควรต่ำเมื่อเปิดแม่พิมพ์จากนั้นเร่งความเร็วและ
ชะลอตวั ลงกอ่ นทจ่ี ะส้ินสดุ การปิดแม่พิมพจ์ ะคลา้ ยกบั การเปิดแม่พมิ พค์ วรเปน็ แบบ“ ชา้ - เร็ว - ช้า”

32

15. ตั้ง Eject stroke ตำแหน่งเร่มิ ต้นและความเรว็
ก่อนอื่นให้ลบการเลื่อนทั้งหมด Max ejecting stroke คือ ความสูงของแกนแม่พิมพ์ หากเครื่องฉีดข้ึน
รูปมีอุปกรณ์สำหรับการดีดออกไฮดรอลิกให้ตั้งตำแหน่งเริ่มต้นที่ตำแหน่งที่สามารถนำผลิตภัณฑ์ออก
จากแม่พิมพ์คงที่ได้ หากความเร็วในการดีดออกเท่ากับความเร็วเปิดของแม่พิมพ์ผลิตภัณฑ์จะอยู่ที่
ดา้ นขา้ งของแม่พมิ พค์ งท่ี

16. ตงั้ ค่าปริมาตรการฉดี เปน็ 99% ของการเติมเต็มช่องแม่พิมพ์
เมื่อพารามิเตอร์ได้รับการแก้ไข (รับส่วนเดียวกันทุกรอบ) ให้ปรับตำแหน่งสิ้นสุดการฉีดเป็น 99% ของ
ช่องแมพ่ ิมพ์

17. เพมิ่ แรงกดคา้ งไว้ทีละข้ันตอน
เพิ่มแรงกดดันในการจับทีละขั้นตอนเพิ่ม 10Mpa ทุกครั้ง หากช่องแม่พิมพ์ไม่เต็มต้องเพิ่มปริมาณการ
ฉีดเลือกขนั้ ต่ำท่ียอมรบั ได้ ค่าความดันซึ่งสามารถลดความดันภายในผลิตภัณฑแ์ ละบันทึกวสั ดุ ram และ
ลดต้นทุนการผลิต แรงกดค้างไว้ขนาดใหญ่อาจทำให้เกิดความเครียดภายในซึ่งจะส่งผลต่อรูปร่างของ
ผลิตภัณฑ์ หากวัสดุที่ใช้เติมเต็มแล้วความดันในช่วงสุดท้ายจะไม่สามารถใช้งานได้ มันจะต้องเปลี่ยน
ตำแหนง่ เริ่มตน้ การฉีดเพอ่ื เพ่ิมปริมาณการฉีด

18. บรรลุระยะเวลาการพกั แรงดันทีส่ ัน้ ท่สี ุด
วิธีที่ง่ายท่ีสุดในการรับแรงกดที่สั้นทีส่ ุดคอื การตัง้ คา่ เวลากดค้างไว้นานๆ ที่ขอทานจากนั้นคอ่ ยๆลดลงที
ละนอ้ ยจนกว่าผลิตภณั ฑ์จะมีเคร่อื งหมายการหดตวั

19. รับเวลาระบายความร้อนทส่ี ้ันท่ีสุด
ลดเวลาการระบายความร้อนอย่างต่อเนื่องจนกระท่ังอุณหภูมิพ้นื ผิวของผลิตภณั ฑ์ถึงการเปลี่ยนรูปแบบ
ร้อน
หากนี่เป็นผลิตภัณฑ์ใหมแ่ ละไม่ทราบมากเก่ยี วกับพารามเิ ตอรก์ ารฉดี ของมันเราควรดูแลจุดดา้ นลา่ ง

1. อุณหภูมิ: ตัง้ อุณหภูมคิ วามรอ้ นบารเ์ รลต่ำเพอ่ื หลีกเล่ียงการสลายตัวและต้ังอุณหภูมิแม่พมิ พ์สูง
2. ความดัน: ความดนั ในการฉดี แรงดันโฮลดิ้งแรงดนั ด้านหลงั ควรตง้ั จากคา่ ต่ำ (ในกรณีท่ีมีการเติม

เกินในโพรงแม่พิมพ์และทำให้แม่พมิ พแ์ ละเครอื่ งจกั รเสียหาย)
3. แรงยึด: ต้งั จากคา่ สงู (หลกี เลยี่ งแฟลชและการรั่วไหลของวัสด)ุ
4. ความเร็ว: ตั้งค่าความเร็วในการฉีดจากช้า ตั้งสกรูหมุนความเร็วจากต่ำ ตั้งค่าความเร็วในการ

เปิด / ปดิ แมพ่ มิ พ์อย่างช้า ๆ ในตอนแรก ปริมาณการฉดี จากตำแหนง่ เล็ก ๆ
5. เวลา: ตั้งค่าเวลากดค้างไว้นานของ เครื่องฉีดขึ้นรูป ในตอนแรก (ให้แน่ใจว่าป่วงปิด) ตั้งเวลา

ระบายความรอ้ นนานในตอนแรก

33

3.3 จงั หวะการทำงานของเคร่ืองฉดี พลาสติก

จงั หวะการทำงานของเคร่อื งฉดี พลาสติกในโรงงานฉีดพลาสติกมี 9 จังหวะดังน้ี
จังหวะที่ 1 แม่พิมพ์เคลื่อนที่เข้าปิดและล็อคแน่นเพื่อป้องกันแม่พิมพ์เผยอด้วยแรงที่มากกว่าแรง
ต้านที่เกิดขึ้นในแม่พิมพ์เนื่องจากการฉีด แรงปิดล็อคแม่พิมพ์นี้เราสามารถเลอื กปรับไดท้ ั้งในระบบ
ปิด-เปิดแม่พิมพ์แบบไฮดรอลิก และในระบบแมคคานิค แต่ในระบบไฮดรอลิกจะทำงานได้ง่ายกว่า
ดังแสดงในรปู ที่ 3.1

จังหวะที่ 2 ชุดฉีดเครื่องเข้าหาแม่พิมพ์จนกระทั่งชนกับแม่พิมพ์ และค้างไว้ด้วยแรงที่พอเหมาะเพื่อ
ป้องกนั ชุดฉีดถอยหลงั กลบั ในขณะทท่ี ำการฉีดดังแสดงไว้ในรปู ท่ี 3.2

จังหวะที่ 3 ฉีดพลาสติกเหลวเข้าแม่พิมพ์ โดยตัวเกลียวหนอนจะเคลื่อนที่ตามแนวแกนและมีตัว
แหวนกันพลาสติกไหลย้อนกลับทำหน้าที่เป็นลูกสูบ จังหวะฉีดนี้บางครั้งก็เรียกว่าเป็นจังหวะเติม
พลาสติกเขา้ แมพ่ มิ พ์ (Filling)

34

จังหวะที่ 4 ย้ำรักษาความดัน (holding) แก่พลาสติกเหลวในแม่พิมพ์ เพื่อให้ได้ชิ้นงานฉีดที่มีเนื้อ
แน่น (ความหนาแน่นของวัสดุพลาสติกไม่เปลี่ยนแปลง) และไม่เกิดลอยยุบที่ผิวชิ้นงาน เช่น การฉีด
ตะกร้าหูเหล็ก มีการยบุ ตวั เราก็สามารถเพม่ิ แรงดันย้ำให้ตะกร้าหเู หล็กไม่เกิดการยบุ ตวั ได้ แสดงในรูปที่
3.3

จังหวะที่ 5 หล่อเย็นชิ้นงานฉีดในแม่พิมพ์ (Cooling) เวลาในการหล่อเย็นนี้เป็นเวลาที่เราตั้งให้กบั
เครื่อง และเวลานี้จะต้องนานกว่าเวลาในการหลอมเม็ดพลาสติกไปหน้าเกลียวหนอน (ถ้าเป็นเม็ด
พลาสติกรีไซเคิลที่ไม่ได้คุณภาพอาจจะใช้เวลาในการหลอมเม็ดพลาสติกไปยังเกลียวหนอนได้) จังหวะ
การทำงานนม้ี อี ิทธิพลมากต่อเวลาในการทำงานทัง้ วงจร (Cycle time) ดงั แสดงไวใ้ นรูปท่ี 3.4

จังหวะที่ 6 การหลอมและป้อนพลาสติกไปหน้าปลายเกลียวหนอน โดยเกลียวหนอนจะหมุนรอบ
ตัวเองเพื่อดึงเม็ดหรือผงพลาสติกจากกรวยเติมเข้ามาในกระบอกฉีด และส่งต่อไปยังหน้าปลายเกลียว
หนอนพร้อมกับหลอมเหลวไปด้วย ในขณะทีเ่ กลียวหนอนหมุนรอบตัวเองอยนู่ ้ัน เกลยี วหนอนจะเคลื่อน
ตัวถอยหลังกลับไปโดยอัตโนมัติเนื่องจากแรงดันของพลาสติกเหลวที่อยู่หน้าปลายเกลียวหนอน
(หัวฉีดยังค้างอยู่ที่แม่พิมพ์) เมื่อได้ปริมาณของพลาสติกเหลวตามที่ต้องการแล้วเกลียวหนอนก็จะหยุด
หมุนจังหวะการทำงานนีจ้ ะเริม่ พรอ้ มกันกับจงั หวะการหลอ่ เย็นดังแสดงในรปู ที่ 3.4

จังหวะที่ 7 ชุดฉีดถอยหลังกลับเพื่อป้องกันอุณหภูมิของหัวฉีดลดต่ำลงเกินไป ซึ่งอาจทำให้ทำการ
ฉีดไม่ได้เนอื่ งจากพลาสติกเหลวหนดื ขึ้น (อุณหภมู ติ ำ่ เกินไป) และไหลไม่ได้ดังแสดงไว้ในรูปที่ 3.5

35

จังหวะที่ 8 แม่พิมพ์พลาสติกเคลื่อนที่เปิดออก หลังจากสิ้นสุดเวลาในการหล่อเย็นที่เราตั้งไว้กับ
เครอ่ื งแล้ว ดงั แสดงไว้ในรูป 3.6

จังหวะที่ 9 ทำการปลดชิ้นงาน (Ejecting) หลังจากที่แม่พิมพ์เปิดออกสุดแล้ว ตัวอีเจ็กเตอร์
(Ejector) ก็จะทำหน้าที่ดันชิ้นงานให้หลุดออก ซึ่งอาจจะทำครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ (การปลด
ชิ้นงานพลาสติก มีหลายวิธี แล้วแต่ลักษณะชิ้นงาน และลักษณะแม่พิมพ์ที่ออกแบบ เช่น ถังปูนอาจใช้
ลมในการปลด กระบะถือปูนอาจต้องใช้ไฮดรอลิกช่วยตะกร้าลำไยใช้กระทุ้งแหวน ถาดเพาะกล้าใช้เข็ม
กระทุ้ง เป็นต้น)

3.4 ส่วนประกอบของเครอื่ งฉีดพลาสติกทส่ี ำคญั

36

เครือ่ งฉดี พลาสติกโดยทว่ั ไป สามารถแบง่ หนว่ ยการทำงานหลกั ๆ ของเครื่องได้ดงั ตอ่ ไปนี้
1. Injection unit (หน่วยการฉีด) : ทำหน้าทีใ่ นการทำงานเกี่ยวกับการฉีดทง้ั หมด
2. Clamping unit (หน่วยปากกาปิดแมพ่ ิมพ์) : ทำหน้าในการติดตั้งและการทำงานเกย่ี วกับการ
เปิด-ปิดแม่พิมพ์
3. Control unit (หนว่ ยควบคุม) : ทำหน้าทใี่ นการควบคมุ การทำงานทัง้ หมดของเครื่องฉดี

Injection unit มีหน้าที่ตั้งแต่การรับเม็ดพลาสติกจาก Hopper มาแล้วทำการหลอมเหลว
ก่อนที่จะทำการฉีดพลาสติกเหลวเข้าไปในช่องว่าง (Cavity) ของแม่พิมพ์ (Mold) ซึ่งมีชิ้นส่วน
หลกั ๆ ดังรูป

3.4.1 Hopper Throat (คอปอ้ น)
ทบ่ี รเิ วณรสู ำหรับป้อนเม็ดพลาสติก จะมีระบบนำ้ หล่อเย็นเลี้ยงรอบๆ เพอ่ื ท่ีจะควบคุมอุณหภูมิ

ให้เหมาะสมกบั ชนดิ ของเมด็ พลาสติก
เม็ดพลาสติกจะถูกลำเลียงจาก Hopper ผ่านรูป้อนเพื่อไหลผ่านไปยังกระบอกฉีด (Barrel) ซ่ึง

ในช่วงที่เม็ดพลาสติกถูกป้อนลงมานั้น หากไม่มีระบบน้ำหล่อเย็นเลี้ยงที่บริเวณคอป้อน (Throat) ก็จะ

37

ทำให้อุณหภูมิของรูป้อนเม็ดสูงขึ้นมากๆ จะทำให้เม็ดพลาสติกเริ่มหลอมละลายเกาะตัวกันมากยิ่งขึ้น
เปน็ เหตทุ ำใหป้ รมิ าณการไหลลงของเม็ดพลาสติกไม่สมำ่ เสมอ ดงั นั้นจงึ จำเป็นทจ่ี ะต้องทำการตรวจสอบ
ระบบหลอ่ เยน็ อย่างสม่ำเสมอ ถา้ ระบบของการหล่อเย็นของน้ำไมม่ ีหรือการไหลของน้ำเกิดการอุดตัน ก็
จะเป็นเหตุทำใหอ้ ณุ หภูมิของช่วงการป้อนเม็ดสงู ข้ึนได้

ในทางตรงกันข้าม กรณีที่อุณหภูมิของคอป้อน (Throat) ต่ำมากๆ ในขณะที่มีการป้อนเม็ด
พลาสติกก็จะทำให้เม็ดพลาสติกมีความชืน้ เกิดขึ้น โดยเฉพาะเม็ดที่ผ่านขบวนการไล่ความชืน้ มาแล้ว ซึ่ง
ตรงนจ้ี ะเปน็ ปจั จัยหลกั ท่ที ำใหก้ ารฉดี ขึ้นรปู พลาสตกิ มปี ญั หาได้เชน่ กนั

3.4.2 Barrel หรือกระบอกฉีด เปน็ ชิ้นสว่ นท่สี ำคัญมากอีกชิ้นหน่งึ ของเครื่องฉีดพลาสติกกระบอกฉีด
จะมีลักษณะเป็นท่อทรงกระบอก ที่ติดตั้งอยู่กับ Hopper Throat ผิวด้านนอกของกระบอกฉีด
จะติดตั้ง Band Heater เพื่อใช้ในการให้ความร้อนเพื่อใช้ในการหลอมเหลวเม็ดพลาสติก ส่วน
ปลายของกระบอกจะต่อเข้ากับหัวฉีด (Nozzle) และภายในของกระบอกฉีดก็จะมีชุด Screw
สวมอยู่ เพ่ือชว่ ยในการหลอมเหลวเมด็ พลาสติก และฉีดอดั พลาสติกเหลวเขา้ ไปในแมพ่ ิมพ์

3.4.3 Band Heater
ปลอกหรอื แถบทำความร้อน (Band Heater) มีหนา้ ทท่ี ำความรอ้ นและส่งถา่ ยไปยงั กระบอกฉดี (Barrel)
เพ่อื ใชใ้ นการหลอมละลายเม็ดพลาสติก โดยทั่วไป Band Heater จะตดิ ตั้งไว้โดยการห่อหุ้มอยู่ภายนอก
ของกระบอกฉีด (Barrel) โดยแยกการควบคุมอณุ หภูมิออกเป็นส่วนๆ
Thermocouple

38

Thermocouple เป็นอุปกรณ์ท่ีใช้ในการตรวจวัดอุณหภูมิโดยใช้คุณสมบัติของโลหะสองชนิดที่แตกต่าง
กนั ซึง่ ความตา่ งศกั ย์ทีว่ ัดไดจ้ ากปลายท้ังสองข้างของ Thermocouple น้นั จะขน้ึ อยู่กับอณุ หภูมิท่ีจุดต่อ
ระหว่างสองโลหะ Thermocouple มีอยู่มากมายหลายชนิดแต่ที่ใช้กับเครื่องฉีดทั่วไปมีอยู่ 2 ชนิด คือ
Type J และ Type K

3.4.4 Screw
โดยทั่วไปสกรูท่ีใช้กับเครื่องฉีดพลาสติกนั้น มีการออกแบบที่แตกต่างกันไปเพือ่ ให้เหมาะสมกับการ

ใช้งาน ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ Feed Zone, Compression Zone และ
Metering Zone

3.4.5 Feed Zone ของ Screw จะเป็นช่วงที่ทำหน้าที่ในการลำเลียงเม็ดพลาสติกที่ไหลลงมาจาก
Hopper Throat เพื่อที่จะส่งต่อไปยังช่วง Compression Zone ซึ่งความลึกของร่องเกลียว
ช่วงนี้จะเท่ากันทกุ ร่องเกลยี ว การเปลี่ยนแปลง ความร้อนในช่วงนีจ้ ะเกิดขึ้นเพียงเล็กนอ้ ยจาก
การเสยี ดสกี ันของเม็ดพลาสติก เพราะฉะนน้ั ความร้อนท่ีมาจาก Band Heater ในช่วงน้ีต้องไม่
สูงมากจนเกินไป เพราะจะทำให้พลาสติกหลอมเหลวหรือเกาะกันเป็นก้อน และเพื่อป้องกัน
การลำเลียงเมด็ พลาสตกิ ไมใ่ หข้ าดช่วงหรอื ขาดความต่อเน่ือง

3.4.6 Compression Zone ของ Screw จะเป็นช่วงที่ทำให้พลาสติกเกิดการหลอมเหลวและ
ผสมผสานกนั ไดด้ ียิง่ ข้ึน โดยจะทำใหเ้ กิดการเสียดสกี ันของเมด็ พลาสติกเองและทำให้เกิดความ
ร้อนสะสมภายในเม็ดพลาสติก ทำให้เกิดการหลอมเหลวและอัดแน่นกันมากยิ่งขึ้น ตรงช่วง
บรเิ วณน้ีขนาดความลึกของร่องเกลียวจะค่อยๆ ลดลงไปเรอ่ื ยๆ เพอื่ ทำให้เกดิ การอัดตวั ของการ
หลอมเหลวของเม็ดพลาสติก ซึ่งข้อแตกต่างของความลึกของร่องเกลียวช่วงนี้เราเรียกว่า
Compression Ratio โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 2 : 1 จากช่วงของ Compression Zone
ปริมาณพลาสติกที่ถูกหลอมละลายจะถูกส่งไปยังส่วนสุดท้ายของ Screw ที่เรียกว่า Metering
Zone ตอ่ ไป

3.4.7 Metering Zone ของ Screw

39

จะเปน็ ช่วงทีม่ ีการเฉอื นกนั ของพลาสติกมากทสี่ ุดและจะเพ่ิมมากขึ้ นระหว ่าง Barrel กับ
Screw และเพิ่มการหลอมละลายของพลาสติกบางส่วนที่ยังหลอมละลายไม่ดีพอ เพื่อที่จะทำ
การฉีดต่อไป การหลอมละลายในช่วงนี้จะเริ่มมีการสะสมกำลังและแรงดันเพิ่มมากขึ้นที่ด้าน
ปลายของ Barrel ในช่วงของ Metering Zone นี้จะทำหน้าที่นำพาพลาสติกที่หลอมละลายดี
แล้วผ่านทะลุ Non-Return Valve ไปยังด้านหน้าสุดของ Screw และไปสะสมกันอยู่ปลายสุด
ของ Barrel และในขณะเดียวกันในการสะสมกันของพลาสติกเหลวนี้ก็จะมีกำลังเพิ่มมากข้ึน
เรื่อยๆ ในขณะที่สกรูหมุน กำลังหรือแรงดันน้ีจะเป็นตัวที่ดันให้สกรูถอยหลงั ไปจนถึงระยะของ
SM (ตำแหนง่ หยุดการหมุนของ Screw) ตามท่ีต้ังคา่ ไว้ ซ่ึงเปน็ การสะสมปริมาณพลาสติกเหลว
ให้ไดต้ ามที่ต้องการเพือ่ ที่จะทำการฉดี เขา้ ไปในแม่พิมพ์ในแต่ละรอบการทำงาน

40

41

3.4.8 หวั ฉีด (Nozzle)
หัวฉีด เป็นส่วนประกอบหนึ่งของชุดฉีดพลาสติก มีไว้เพื่อทำหน้าที่เป็นทางผ่านของพลาสติกเหลว

จากกระบอกฉดี เข้าไปในแม่พมิ พ์ ซ่งึ หัวฉดี จะเป็นตวั เชอื่ มตอ่ ระหวา่ งปลายกระบอกฉีดกับ Sprue Bush
ของแม่พิมพ์ในขณะทำการฉีดพลาสติกเข้าไปในแม่พิมพ์ ขนาดรัศมีของปลายหัวฉีด ต้องมีขนาดพอดี ท่ี
จะสวมหรือสัมผัสกับขนาดรัศมีของ Sprue Bush ของแม่พิมพ์ และต้องไม่มีรอยยุบรอยกระแทกที่
บรเิ วณใกล้กบั รฉู ีดของ Nozzle เพราะอาจทำให้การฉดี มปี ัญหาได้โดยทั่วไปหัวฉีด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
ใหญๆ่ ดังน้ี
3.4.1.1 หัวฉีดแบบเปิด (Open Nozzle) เป็นหัวฉีดแบบที่ใช้กับพลาสติกที่มีความหนืดค่อนข้างสูง ซึ่ง

ไหลได้ยากเมื่อถึงจุดหลอมเหลว เป็นแบบที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางมากเพราะมีราคาถูก มี
ความเสียดทานในการไหลน้อยมาก และทำใหเ้ กดิ การสูญเสียแรงดันน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบ
กับหัวฉีดแบบปิด เนื่องจากหัวฉีดแบบเปิดไม่มีระบบเปิด-ปิดรูของ Nozzle ซ่ึงอาจทำให้เกิด
การไหลย้อยของพลาสติกที่ปลายหัวฉีดได้ จึงต้องใช้วิธีการป้องกันด้วยการดึงกลับของสกรู
(Suck Back) เปน็ มาตรฐานการใช้งานหวั ฉีดแบบ Open Nozzle

3.4.1.2 หัวฉีดแบบปิด (Shut-off Nozzle) เป็นหัวฉีดแบบที่นิยมใช้กับพลาสติกที่มีความหนืดต่ำ ซ่ึง
ไหลได้ง่ายเมื่อถึงจุดหลอมเหลว หัวฉีดแบบนี้จะมีกลไกหรือระบบควบคุมการเปิด-ปิดรูฉีดเพื่อ
ป้องกันไม่ให้พลาสติกเหลว ไหลย้อยออกมาที่ปลายหัวฉีด ซึ่งกลไกหรือระบบควบคุมการเปิด-
ปิดรูฉีดน้นั มอี ยมู่ ากมายหลายแบบ ดังรูป

42

3.4.1.3 Clamping unit
Clamping unit เป็นชุดอุปกรณ์มีหน้าที่ในการติดตั้งแม่พิมพ์ เปิด-ปิดแม่พิมพ์ (Mold) และ

กระทุ้งชิ้นงานที่ฉีดเสร็จแล้วออกจากแม่พิมพ์ โดยเฉพาะการปิดแม่พิมพ์นั้น Clamp unit จะต้องมีแรง
ในการปดิ ที่สามารถตา้ นทานแรงดันของพลาสติกเหลวในข้นั ตอนการฉีดได้ โดยท่ัวไป Clamp unit จะมี
อยู่ 2 ระบบใหญๆ่ ดังน้ี
3.4.1.4 Direct Clamp

เป็นระบบการเปิด-ปิดแม่พิมพ์โดยตรงผ่านต้นกำลัง ซึ่งก็ คือ ลูกสูบไฮดรอลิก (Hydraulic
Cylinder) ระบบนี้เป็นระบบที่นิยมใช้ในเครื่องฉีดระบบไฮดรอลิก ซึ่งมีข้อดีก็คือสามารถ set-
up ได้ง่าย
3.4.1.5 Toggle Clamp
เป็นระบบการเปิด-ปดิ แม่พิมพ์ผา่ นกลไกหรือระบบ Mechanic ซ่ึงสามารถใชไ้ ดก้ ับต้นกำลงั จาก
Servo Motor และ Hydraulic ซ่งึ มีข้อดีก็คือแรงในการปดิ แม่พิมพ์จะเทีย่ งตรงและสม่ำเสมอ

43

3.4.2 Control unit
Control unit มีหนา้ ท่ใี นการควบคมุ การทำงานทกุ ระบบของเคร่ืองฉีด เช่น การควบคมุ

อุณหภมู ขิ องกระบอกฉดี (Barrel) การควบคุมแรงดันและความเร็วในการฉีด การควบคุมความเรว็ ใน
การเปิด-ปดิ แม่พิมพ์ การควบคมุ เวลาการทำงานในข้นั ตอนต่างๆ ของเครื่องฉีด เปน็ ต้น

3.5 ปัญหาทพี่ บในงานฉีดในกรณเี คร่ืองฉีดมีปัญหา

11 ปัญหาที่เกิดจากการฉีดพลาสติกขึ้นรูปมีอะไรบ้างมีคำตอบให้ ด้วยบริษัท ดีมาร์ค
อุตสาหกรรม จำกัด เป็นผู้ให้บริการ ฉีดพลาสติกขึ้นรูปอย่างครบวงจร ด้วยประสบการณ์ในการทำงาน
ด้านการฉีดพลาสติก ทั้งในประเทศไทยและส่งออกสู่ต่างประเทศมามากกว่า 30 ปี เราจึงสามารถ
ผลติ ผลงานการฉดี พลาสติกได้อยา่ งหลากหลาย และมีคณุ ภาพไดม้ าตรฐานระดบั สากล

ในการบวนการข้ึนรูปฉดี พลาสติกนน้ั แมจ้ ะทำตามข้ันตอนการฉีดพลาสติกได้อย่างถูกวิธีแล้วก็
ตาม แต่ก็สามารถเกิดข้อผิดพลาดหรือปัญหาระหว่างการฉีดพลาสติกขึ้นมาได้เสมอ แล้วปัญหาที่เกิด
จากการข้ึนรปู ฉดี พลาสติกมี

1. รอยพ่น (Jecting) ข้อบกพร่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสติกเหลวถูกฉีดเข้าไปในแม่พิมพ์ฉีด
พลาสตกิ ตรงส่วนทีห่ นาโดยผา่ นช่องทางเข้าท่ีมีขนาดเล็กด้วยความเรว็ สูง ทำใหเ้ กิดการไหลวน
(Turbulent flow) ขึ้นและพลาสติกเหลวที่ถูกฉีดเข้าไปก่อนจะวิ่งไปได้ไกลเป็นแนวเส้นตรง
แทนท่ีจะวง่ิ ออกไปพร้อมกันตลอดความกว้างของช้ินงาน ทำให้พลาสตกิ เกดิ การเยน็ ตัวไม่พร้อม
กนั จงึ มองเห็นเป็นรอยบนผิวชนิ้ งานซ่งึ เรียกวา่ “รอยพน่ ”

2. ครีบ (Flashing) ครีบที่ชิ้นงานจะเกิดขึ้นเนื่องจากการใช้ความเร็วในการฉีดพลาสติกสูง เพ่ือ
ป้องกันพลาสติกไม่เต็มแบบ (Short shot) และใช้ความดันย้ำ (Holding pressure) สูงเพื่อ

44

ป้องกันชิ้นงานยุบตัว (Sink) แรงดันของพลาสติกเหลวในแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกจะสูงมากจน
เอาชนะแรงดันด้านแม่พิมพ์ฉีดพลาสติก (Clamping pressure) ทำให้แม่พิมพ์ฉีดพลาสติก
เผยอออก จนทำใหพ้ ลาสติกเหลวไหลออกมาตามรอยประกบแมพ่ ิมพ์ฉีดพลาสติกได้ จงึ เกิดเปน็
ครบี ที่ขอบเขตของชิน้ งานขนึ้
3. ประกายเงินที่ผิวชิ้นงาน (Silver Streak) ในกรณีที่อุณหภูมิพลาสติกเหลวในกระบอกฉีด
พลาสติกสูงมาก และค้างอยู่ในกระบอกฉีดพลาสติกนาน เน่ืองจากการใช้ความเรว็ ขอบของการ
หมุนเกลียวหนอน และความดันต้านการถอยหลังกลับของเกลียวหนอนสูง และทำการฉีด
พลาสติกเหลวผ่านช่องทางเข้าแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกดว้ ยความเร็วสูงมากเกินไป ทำให้เกิดความ
ร้อนเพิ่มขึ้นกับพลาสติกเหลว เนื่องจากการเสียดทาน จนความชื้นหรือก๊าซแยกตัวออกมาจาก
เนื้อพลาสติกและกระจายไปที่ผิวของชิ้นงานซึ่งมีลักษณะเป็นประกายสีเงินที่เรียกว่า ประกาย
เงนิ (Silver streak) โดยจะเกิดอยูบ่ ริเวณรอบ ๆ ทางน้ำพลาสตกิ เขา้
4. รอยไหม้ (Burn) รอยไหม้ท่ผี ิวชน้ิ งานจะเกิดขึ้นเน่ืองจากอากาศร้อนท่ีเกิดขึ้นในแม่พมิ พ์ฉดี
พลาสติก เนอ่ื งจากการฉีดพลาสติก
5. พลาสติกเหลวเข้าแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกนั้นระบายออกไม่ทัน จึงเกิดการอัดตัวกันขั้นทำให้มี
อุณหภูมิสูงมากขึ้นจนเกิดรอยไหม้ (Burn) ขึ้นที่ผิวชิ้นงานได้ ซึ่งส่วนมากจะเกิดรอยไหม้ตรง
ตำแหน่งสุดท้ายของการไหลของพลาสติกเหลว การที่อากาศร้อนจะเกิดขึ้นมากก็เนื่องจาก
อุณหภูมิพลาสติกสูงมาก และถ้าใช้ความเร็วในการฉีดพลาสติกสูงเกินไป จะทำให้อากาศร้อน
ระบายออกไม่ทัน หรืออาจทำให้เกิดการเสียดสกี ันระหว่างพลาสติกเหลวกบั ผิวของแม่พิมพ์ฉีด
พลาสตกิ จนทำใหอ้ ุณหภูมิสงู ขึน้ จนเกิดรอยไหมไ้ ด้
6. ชน้ิ งานเกดิ รอยแหวง่ (Short Shot) ช้นิ งานจะเกดิ เปน็ รอยแหว่งตรงตำแหน่งสุดทา้ ยของการ
ไหลของพลาสติกเหลวในแม่พิมพ์ฉีดพลาสติก
7. เน่อื งจากการไหลของพลาสตกิ เหลวเข้าในแม่พิมพ์ฉดี พลาสติกชา้ ทำให้พลาสตกิ เหลวจึงเย็นตัว
ลง ความหนืดจึงเพิ่มมากขึ้นทำให้พลาสติกไหลเข้าไม่เต็มในแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกจนเป็นรอย
แหว่ง
8. รอยยุบ (Sink Mark) จะมีลักษณะเป็นรอยยุบบนผิวชิ้นงาน ซึ่งเป็นลักษณะของการหดตัว
แบบหนึ่งของชิ้นงานโดยเฉพาะชิ้นงานจากฉีดพลาสติกพวกที่มีผลึกจะมีโอกาสเกิดการยุบตัว
ได้มาก
9. ร่องรอยการไหล (Flow Mark) ข้อบกพร่องนี้มีสาเหตุเหมือนกับการเกิดรอยแหว่ง ซึ่งอาจจะ
เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กันก็ได้ คือ ถ้าใช้ความเร็วในการฉีดพลาสติกต่ำเกินไป พลาสติกจะเย็นตัว
และไหลไม่สะดวกทำให้เกิดเป็นคลื่นเหมือนรอยวงปีของต้นไม้ที่เราเรียกว่า ร่องรอยการไหล
(Flow Mark) ทผ่ี วิ ช้ินงานตรงบริเวณทางน้ำพลาสติกเขา้

45

10. การโก่งงอ (Warpage) การเย็นตัวของชิ้นงานไม่สม่ำเสมอกัน อันเนื่องมาจากชิ้นงานมีความ
หนาแตกตา่ งกนั มากหรือระบบการหล่อเยน็ ในแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกไมด่ ี จะทำใหช้ ้ินงานเกิดการ
โก่งงอขึ้นได้ หรือถ้าเป็นชิ้นงานที่มีความหนาเท่ากันตลอด แต่ใช้ความดันย้ำมากหรือนาน
จนเกินไป ก็จะทำให้มีความเค้นตกค้าง (Residual Stress) อยู่ในชิ้นงานมากจนทำให้เกิดการ
โก่งงอได้เช่นกัน โดยเฉพาะตรงปลายของชิ้นงานหลังจากปลดชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ฉีด
พลาสตกิ

11. ขนาดคลาดเคลื่อน (Dimensional Defect) เม่ือใช้ความเรว็ ในการฉดี พลาสติกและความดัน
ย้ำต่ำ ตลอดจนเวลาย้ำสั้นเกินไป จะทำให้พลาสติกเหลวเย็นตัวลง ความหนืดสูงขึ้นจนทำให้
ความดันไม่เพยี งพอที่จะทำให้เนื้อพลาสติกอัดกนได้แน่นเต็มในแม่พิมพ์ฉีดพลาสติกทำให้ขนาด
ของชิ้นงานเลก็ ลงกวาท่ตี ้องการ

12. รอยเชื่อมประสาน (Weld Mark) ตรงตำแหน่งที่มีพลาสติกเหลวไหลมาบรรจบนั้น ถ้า
อุณหภูมิของพลาสติกเหลวต่ำเกินไป จะทำให้รอยเชื่อมประสานไม่ดีเท่าที่ควร จนสามารถ
มองเหน็ เปน็ รอยต่อของเน้ือพลาสติกได้ เน่อื งมาจากการใช้ความเร็วในการฉีดพลาสติกต่ำไปจน
ทำให้อุณหภูมิพลาสติกเหลวลดลง นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการไหลตัวไม่ดีของพลาสติก
เหลวในแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสติก เนือ่ งจากอุณหภมู ขิ องพลาสติกเหลวและแม่พมิ พฉ์ ดี พลาสติกตำ่ ไป

13. เกิดการแตกร้าวของชิ้นงาน (Cracking) รอยร้าวที่เกิดขึ้นบนชิ้นงานส่วนมากจะขึ้นตรง
บริเวณตำแหน่งทางเข้าน้ำพลาสติก หรือตำแหน่งสุดท้ายของการไหลของพลาสติกเหลวใน
แม่พิมพ์ฉีดพลาสติก ซึ่งจะเกิดขึ้นไดม้ ากกับพลาสตกิ ทีไ่ ม่มีผลึกและจะเห็นได้ชัดเจนกับชิ้นงาน
ที่ใส รอยร้าวนี้อาจจะปรากฏให้เห็นทันทีหลังจากการเย็นตัวลงแล้วเมื่อถูกปลดออกมาจาก
แม่พิมพ์ฉดี พลาสตกิ หรอื จะเกิดข้นึ หลงั จากท้ิงไว้ 2-3 วนั หรือจากการพ่นสที ชี่ น้ิ งาน

46

บทที่ 4 วิธกี ารดำเนนิ งาน

บริษทั สหเจริญโลหะพลาสติกภัณฑ์ ใช้เคร่ืองจักรในการผลิตอย่างต่อเนื่องสมา่ เสมอ และยังมี
เครื่องจักรบางเครื่องที่ไม่สามารถทางานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เกิดความสูญเปล่าในการ
เดินเครื่อง และหาเครื่องจักรชำรุดทำให้กระบวนการผลิตเกิดความล่าช้า เกิดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
จากปัญหาข้างต้น ทำให้เกิดความสูญสียทั้งเวลา ค่าใช้จ่าย ซึ่งในการวิจัยนี้ได้ศึกษาวิธีการและรูปแบบ
ข้นั ตอนการดำเนินการทำวิจยั อย่างเป็นระบบเพ่ือให้เกิดข้อมูลทถี่ ูกต้อง ซงึ่ จะสง่ ผลให้ระบบการทำงานมี
ประสทิ ธภิ าพเพ่ิมมากขึน้

4.1 ศกึ ษาและเกบ็ ขอ้ มูลท่ัวไปของกระบวนการผลติ

เก็บรวบรวมข้อมูลการทางานเบื้องต้นของเครื่องจักร และกระบวนการผลิตเพื่อให้ทราบถึง
ขั้นตอนการทำงานของเครื่องจักร ลักษณะการทางานของเครื่องจักร และขั้นตอนกระบวนการผลติ เช่น
เครื่องจักรแต่ละเครื่องสามารถทำงานลักษณะอย่างไร กระบวนการผลิตเครื่องไหน ผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก
เครื่องจักรแต่ละเครื่องเป็นอย่างไร จำนวนผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเครื่องจักรแต่ละเครื่องมีปริมาณเท่าไร
จำนวนของดแี ละของเสียเป็นเทา่ ไร

4.2 คำนวณและวิเคราะห์ค่าประสทิ ธผิ ลโดยรวมของเคร่อื งจักรก่อนการปรับปรงุ

นำข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาคำนวณค่าประสิทธิผลโดยรวมของเครื่องจักรทุกเครื่อง ได้แก่
เครื่องกลึงซีเอ็นซี เครื่องกัดซีเอ็นซีเครื่องกลึง เครื่องกัด และเครื่องเจียรไน จากนั้นทำการวิเคราะห์
ปัญหา เพื่อทราบถึงสาเหตุของการเสื่อมสภาพของเครื่องจักร โดยการใช้แผนผังสาเหตุและผล (Cause
and Effect Diagram) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสรุปหาสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เพื่อนำมาปรับปรุงค่า
ประสิทธิผลโดยรวมของเคร่ืองจกั ร

การวัดประสิทธิผลโดยรวมของเคร่ืองจักร (Overall Equipment Effectiveness: OEE)
ตัวชี้วัดที่นิยมใช้ คือ การวัดประสิทธิภาพผลโดยรวมของเครื่องจกั ร ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ครอบคลุม
ถึงการวัดประสิทธิภาพการทำงานของ เครื่องจักรที่เป็นการวัดเชิงปริมาณของการผลิตผลที่ควรจะได้
รวมถงึ การวัดประสิทธผิ ลการ ทำงานของเครื่องจักรที่เป็นการวัดในเชงิ คุณภาพของการผลิตผลท่ีควรจะ
ได้ คา่ ประสิทธผิ ล โดยรวมของเครอื่ งจักรประกอบดว้ ยตวั แปรหลัก 3 คา่ คอื

• อัตราการเดนิ เคร่ืองจกั ร (Availability Rate : A)

• ประสทิ ธภิ าพการเดินเคร่ืองจักร (Performance Efficiency : P)

• อตั ราคุณภาพ (Quality Rate : Q)


Click to View FlipBook Version