ความเป็น
มา
ของ
ภาษาจีน
นาย สันติสุข หอทอง ม.6/15
ความเป็นมาของภาษาจีน
อักษรจีน คือ อักษรภาพที่โดยหลักๆ ในปัจจุบันใช้สำหรับเขียนภาษาจีน อักษรจีน
เป็นหนึ่งในสามอักษรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของโลก และเป็นอักษรที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยอักษรภาพเหมือนของอียิปต์และอักษรรูปลิ่มของสุเมเรียนได้เลิกใช้ไปแล้ว
ทฤษฏีการกำเนิดอักษรจีนมีหลากหลาย เช่น การผูกปมเชือก การสลัก และชางเจี๋ย
ประดิษฐ์อักษร อักษรจีนอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า ฮั่นจื้อ (汉字) สัญลักษณ์แต่ละตัว
แสดงคำในภาษาจีนและความหมาย มีจุดกำเนิดจากรูปคน สัตว์ หรือสิ่งอื่นๆ แต่เมื่อ
เวลาผ่านไป รูปร่างของอักษรมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างและไม่เหมือนกับสิ่งที่เลียน
แบบอีกต่อไป สัญลักษณ์หลายตัวเกิดจากสัญลักษณ์ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมารวมกัน
อักษรจีนราว 2,000 ตัวที่ใช้ในประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์ได้เปลี่ยนให้อยู่ในรูป
แบบที่เขียนง่ายขึ้น แต่ในไต้หวัน ฮ่องกงและมาเก๊ายังใช้อักษรตัวเต็มอยู่แต่ถึง
อย่างไรก็ตาม อักษรทั้ง 2 แบบก็ยังได้รับความนิยมจนปัจจุบัน
วิธีการสร้างอักษรแบบดั้งเดิมของจีนเรียกว่า “ลิ่วซู” (อักษรหกชนิด) วิธีการ
สร้างอักษรหกชนิดนี้มี อักษรเหมือนภาพ(เซี่ยงสิง) อักษรบ่งความ (จื่อซื่อ) อักษร
รวมความหมาย (ฮุ่ยอี้) อักษรแบบบอกความหมายและเสียง (สิงเซิง) อักษรอธิบาย
เสียง (จ่วนจู้) อักษรยืม (เจี่ยเจี้ย) แท้จริงแล้วในการสร้างอักษรนั้นมีเพียงสี่ชนิดแรก
เท่านั้น สองชนิดหลังเป็นเพียงการใช้อักษรไม่ได้เป็นการสร้างอักษร ดังนั้นจึงมีการ
เรียกวิธีการสร้างอักษรจีนแบบดั้งเดิมอีกว่า “ซื่อซู” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอักษร
แบบหกชนิดหรือสี่ชนิด คนรุ่นหลังอาศัยการใช้งานที่แท้จริงในสังคม และได้ผ่านการ
ศึกษาวิเคราะห์สรุปเป็นกฎเกณฑ์ได้หลายข้อ กฎเกณฑ์นี้ไม่ได้เพิ่งกำหนดออกมาแล้ว
นำมาใช้ในการสร้างอักษร แต่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นแล้ว
การประดิษฐ์อักษรจีนมีอยู่ 4 หลัก
1. อักษรภาพ(象形字)
2. อักษรบ่งความ(指事字)
3. อักษรรวมความหมาย(会意字)
4. อักษรแบบบอกความหมายและเสียง(形声字)
วิวัฒนาการของภาษาจีน
1. อักษรกระดองเต่า หรืออักษรบนกระดูกสัตว์
อักษรกระดองเต่าเป็นรูปแบบอักษรที่เก่าแก่ ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา ตัวอักษร
ประเภทนี้ใช้ใน สมัยปลายราชวงศ์ซาง(1,600-1,046 ปีก่อนคริสตศักราช) มีเป้าหมาย
เพื่อใช้บันทึกและทำนายดวง ชะตา ด้วยการสลักอักษรไว้บนกระดูกสัตว์หรือกระดอง
เต่า
อักษรกระดองเต่ามีลักษณะคล้ายอักษรภาพ เพียงแค่มองก็รู้ทันทีว่าหมายความว่า
อะไร โดยรูป แบบของอักษรชนิดนี้จะเรียวบางและไม่ค่อยโค้งมน ตามเครื่องมือที่ใช้
แกะสลัก นอกจากนี้อักษรกระดอง เต่าแม้จะเก่าแก่แต่ก็เป็นอักษรที่มีความสมมาตร
และมีรูปแบบที่แน่ชัด ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสาม ปัจจัยหลักสำหรับศิลปะการเขียน
อักษร ได้แก่ การเขียนอักษร การผสมคำและองค์ประกอบของความเรียงซึ่งแสดงให้
เห็นว่าอักษรในยุคนี้พัฒนาอย่างเป็นระบบแล้วและเป็นรากฐานในการพัฒนามาสู้รูป
แบบของตัวอักษรในปัจจุบัน
2. อักษรสำริด หรืออักษรโลหะ
อักษรสำริดเกิดขึ้นในช่วงกลางยุคราชวงศ์ซาง (1,600-1,046 ปีก่อนคริสต
ศักราช) และเป็นที่ นิยมในสมัยราชวงศ์โจว (1,046-256 ปีก่อนคริสตศักราช) ในสมัย
นั้นมีการใช้เครื่องสําริดกันอย่าง แพร่หลาย อักษรประเภทนี้เกิดจากการหลอมหรือ
สลักตัวอักษรลงบนเครื่องสำริดต่างๆ โดยเฉพาะบนระฆังและกระถางสามขาเนื้อหาที่
บันทึก จะเกี่ยวกับการทําพิธีเซ่นไหว้ ราชโองการ หนังสือรบ หนังสือสัญญา เป็นต้น
ซึ่งบันทึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่ สะท้อนถึงการใช้ชีวิตในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดีลักษณะ
ของอักษรสําริดเมื่อเทียบกับอักษร กระดองเต่าแล้ว อักษรสำริดจะมีความหนา ความ
โค้งมนและจับเป็นกลุ่มก้อนมากกว่าอักษรกระดองเต่า
3.อักษรเสี่ยวจ้วน
ตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเกิดขึ้นหลังจากจักรพรรดิจิ๋นซี (259-210 ปีก่อนคริสต
ศักราช) รวบรวม แผ่นดินเป็นหนึ่งได้แล้ว จึงออกนโยบายปฏิรูปและ วางรากฐาน
อักษรให้ใช้เหมือนกันทั่วประเทศ โดย เป็นการปรับอักษรต้าจ้วน ที่ชาวแคว้นฉินนิยม
ใช้กันก่อนหน้านี้ให้มีความเรียบง่ายขึ้น จน กลายเป็นอักษรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน
ช่วงเวลา นั้น จนถึงช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ( 202 ปีก่อนคริสตศักราช-ค.ศ.
8) ตัวอักษรเสี่ยวจ้วน ถูกอักษรลี่ซู ทดแทนในที่สุด
4.อักษรลี่ซูหรืออักษรทาส
อักษรลี่ซูเป็นอักษรที่มีวิวัฒนาการมาจากอักษร เสี่ยวจ้วน เริ่มใช้สมัยราชวงศ์ฉิน
(221 207 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นที่นิยมสูงสุดในสมัย ราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสต
ศักราช-ค.ศ. 220) ตำนานเล่าว่าอักษรชนิดนี้ถูกสร้างสรรค์โดยทาสใน เรือนจำผู้หนึ่ง
นามว่า “เฉิงเหมี่ยว” ปีเกิดและ ปีตายไม่แน่ชัด) เขาคิดว่าอักษรเดี่ยวอ้วนเขียน
อย่าง รวดเร็วไม่ได้ ทำให้เสียเวลาทำงาน จึงคิดอักษรรูป แบบใหม่ขึ้นมาและใช้เฉพาะ
กับงานในเรือนจำ เท่านั้น ต่อมาได้เรียกว่าอักษรนี้ว่า “ลี่ซู” เพราะคำว่า ‘ลี่’ แปล
ว่าทาส และถูกใช้อย่างแพร่หลายมาก ขึ้นจนกระทั่งทดแทนอักษรเดี่ยวอ้วนในที่สุด
ทว่าใน สมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (1ค.ศ. 386-534) มีการ ค้นพบอักษรที่มีความคล้ายกับ
อักษรลี่ซู ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอักษรประเภทนี้อาจมีขึ้นมาก่อนสมัยราชวงศ์ ฉินแล้วตัว
อักษรลี่ซูจะมีลักษณะอ้วนกว้าง เส้นขีดแนวขวางจะยาวเส้นขีดแนวตั้งจะสั้นและเปลี่ยน
ความโค้งมนของอักษรเสี่ยวจ้วนเป็นรูปทรงเหลี่ยม
5. อักษรข่ายซู หรืออักษร
มาตรฐาน / อักษรบรรจง
อักษรข่าย ค่อยๆ พัฒนาโดยเป็นการย่อ
แบบมา จากอักษรลี่ซู อีกที ซึ่งอักษรรูป
แบบนี้มีการ พัฒนามาแล้วหลายต่อหลาย
สมัย ตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ฮั่น ( 202 ปีก่อ
นคริสตศักราช-ค.ศ. 220) จนถึงราชวงศ์
ชิง ( ค.ศ. 1636-1912) ยังคงมีการ
เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อักษรข่ายซูจะ
มีลักษณะ เป็นทรงตรง เหลี่ยม ตัวอักษร
มีความสมดุล เป็น ระเบียบบรรจง
สวยงาม จึงถือเป็นมาตรฐานในการ เขียน
อักษรจีนจนถึงปัจจุบัน
6.อักษรเฉ่าซูหรืออักษรหวัด
อักษรเฉ่าซูหรืออักษรหวัด คืออักษรที่
เขียนด้วย ความรวดเร็วและหวัดพบใน
ช่วงราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสต
ศักราช-ค.ศ. 220) โดยพัฒนามา จากการ
เขียนอักษรลี่ซู แบบหวัด ซึ่งใน ปัจจุบันไม่
ว่าอักษรประเภทใด ขอเพียงแค่เขียนหวัด
ก็สามารถจัดเป็นอักษรเฉ่าซูได้ เนื่องจาก
เป็นอักษรที่ มีการเขียนง่ายแต่อ่านค่อน
ข้างยาก อาจทําให้เกิดความเข้าใจผิดใน
การสื่อสาร จึงไม่มีการนำมา กำหนดให้
เป็นรูปแบบอักษรที่ใช้กันทั่วไป
7.อักษรสิงซู
อักษรสิงซูเป็นอีกหนึ่งรูปแบบอักษรที่พัฒนามา จากอักษรลี่ซู เป็นรูปแบบที่อยู่
ระหว่างอักษร ข่ายซู และอักษรเฉ่าซู โดยจะอ่านได้ ง่ายกว่าอักษรเฉ่าซู แต่ก็เขียน
ออกมาได้รวดเร็วกว่า อักษรข่ายซูเช่นกัน อักษรสิงซูสามารถแบ่งได้สอง ประเภท
ตามลักษณะของการเขียน หากเขียนได้ บรรจงและประณีตหน่อยจะเรียกว่า “สิง
ข่าย” แต่ถ้าหากเขียนแล้วมีความหวัดมากกว่าจะเรียก ว่า ‘สิงเฉ่า”
เส้นขีดในภาษาจีน
ตัวอักษรจีนมีเส้นขีดพื้นฐานอยู่ 8 ขีด
1. เส้นขีดแต้ม (丶) : 点 diǎn 永 寸 江 太
2. เส้น ขวาง (一) : 横 héng 永 一 大 干
亅3. เส้น ตั้ง (丨) : 竖 shù 永 王 木 十
4. เส้นตะขอ ( ) : 钩 gōu 永 小 心 丁
5. เส้นยกขึ้น() : 提 tí 永 打 地 功
ノ6. เส้นลากซ้าย (丿) : 撇 piě 永 人 女 千
7.เส้นลากซ้ายสั้น ( ) : 短撇 duǎn piě 永 血 火 牛
8. เส้นลากขวา( ) : 捺 nà 永 人 又 木
อักษรจีนเป็นอักษรภาพซึ่งประกอบขึ้นจาก เส้นขีดหลากหลายแบบจนมีโครงสร้าง
เป็นอักษรทรง สี่เหลี่ยม เส้นขีดแต่ละแบบมีชื่อเรียกและลักษณะ เฉพาะตัว ทั้งยังมี
วิธีการเขียนตามหลักเกณฑ์อีกด้วย ผู้เรียนจึงควรทำความรู้จักกับเส้นขีดแบบต่างๆ
แล้ว ลงมือฝึกเขียน เพราะเส้นขีดถือเป็นหน่วยโครงสร้าง ที่เล็กที่สุดและเป็นพื้นฐาน
ของการเขียนอักษรจีน เส้นขีดอักษรจีนมีมากมายหลากหลายแบบ แต่ยัง ไม่มีการ
กำหนดจำนวนที่แน่ชัด บทความนี้ขอนำ เสนอเส้นขีดทั้งหมด 31 แบบ
ลำดับขีดอักษรจีน
เมื่อผู้เรียนได้รู้จักกับเส้นขีดอักษรจีนแบบต่างๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จําเป็นต้อง
คำนึงถึงก็คือลำดับการเขียน เส้นขีดก่อนหลังของอักษรจีน ซึ่งถือเป็นกฎเกณฑ์
สําคัญ เพราะลำดับขีดส่งผลโดยตรงกับรูปโครงสร้าง ตัวอักษรและความเร็วในการ
เขียน ผู้เรียนจึงควร เขียนตัวอักษรให้ถูกต้องตามลำดับขีดโดยกฎการ เขียนอักษร
จีนหลักๆ แล้วมีอยู่7 ข้อ ได้แก่