The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Bonas Anicha, 2022-07-31 15:22:17

ความเป็นมาของภาษาจีน อนิชา

ความเป็นมาของภาษาจีน

Keywords: ความเป็นมาของภาษาจีน

ความ
เ ป็ น ม า
ของ
ภ า ษ า จี น

刘晓丽

ความเป็นมาของภาษาจีน

อักษรจีน คือ อักษรภาพที่โดยหลักๆ ในปัจจุบันใช้สำหรับเขียน
ภาษาจีน อักษรจีนเป็นหนึ่งในสามอักษรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของ
โลก และเป็นอักษรที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยอักษรภาพเหมือน
ของอียิปต์และอักษรรูปลิ่มของสุเมเรียนได้เลิกใช้ไปแล้ว ทฤษฏี
การกำเนิดอักษรจีนมีหลากหลาย เช่น การผูกปมเชือก การสลัก

汉字และชางเจี๋ยประดิษฐ์อักษร อักษรจีนอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า ฮั่น

จื้อ ( ) สัญลักษณ์แต่ละตัวแสดงคำในภาษาจีนและความ
หมาย มีจุดกำเนิดจากรูปคน สัตว์ หรือสิ่งอื่นๆ แต่เมื่อเวลาผ่าน
ไป รูปร่างของอักษรมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างและไม่เหมือนกับ
สิ่งที่เลียนแบบอีกต่อไป สัญลักษณ์หลายตัวเกิดจากสัญลักษณ์
ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมารวมกัน อักษรจีนราว 2,000 ตัวที่ใช้ใน
ประเทศจีนและประเทศสิงคโปร์ได้เปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบที่
เขียนง่ายขึ้น แต่ในไต้หวัน ฮ่องกงและมาเก๊ายังใช้อักษรตัวเต็ม
อยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม อักษรทั้ง 2 แบบก็ยังได้รับความนิยมจน
ปัจจุบัน

การปรากฏของอักษรจีนที่เก่าแก่ที่สุดมาจากแหล่งโบราณคดี
ปั้ นปอจาก เมืองซีอันมณฑลส่านซีทางตะวันตกเฉียงเหนือของ
ประเทศจีน สามารถนับย้อนหลังกลับไปได้กว่า 5,000 ปี โดยอยู่
ในรูปของอักษรภาพที่สลักเป็นรูปวงกลม เสี้ยวพระจันทร์และ
ภูเขาห้ายอดบนเครื่องปั้ นดินเผา จวบจนถึงเมื่อ 3,000 ปีก่อนจึง
ก้าวเข้าสู่รูปแบบของอักษรจารบนกระดูกสัตว์ ซึ่งนับเป็นยุคต้น
ของศิลปะการเขียนอักษรจีน

วิธีการสร้างอักษรแบบดั้งเดิมของจีนเรียกว่า “ลิ่วซู” (อักษรหก
ชนิด) วิธีการสร้างอักษรหกชนิดนี้มี อักษรเหมือนภาพ (เซี่ยงสิง) อักษร
บ่งความ (จื่อซื่อ) อักษรรวมความหมาย (ฮุ่ยอี้) อักษรแบบบอกความ
หมายและเสียง (สิงเซิง) อักษรอธิบายเสียง (จ่วนจู้) อักษรยืม (เจี่ยเจี้ย)
แท้จริงแล้วในการสร้างอักษรนั้นมีเพียงสี่ชนิดแรกเท่านั้น สองชนิดหลัง
เป็นเพียงการใช้อักษรไม่ได้เป็นการสร้างอักษร ดังนั้นจึงมีการเรียกวิธี
การสร้างอักษรจีนแบบดั้งเดิมอีกว่า “ซื่อซู” ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอักษร
แบบหกชนิดหรือสี่ชนิด คนรุ่นหลังอาศัยการใช้งานที่แท้จริงในสังคม
และได้ผ่านการศึกษาวิเคราะห์สรุปเป็นกฎเกณฑ์ได้หลายข้อ กฎเกณฑ์นี้
ไม่ได้เพิ่งกำหนดออกมาแล้วนำมาใช้ในการสร้างอักษร แต่มีมาตั้งแต่
สมัยราชวงศ์ฮั่นแล้ว

การประดิษฐ์ตัวหนังสือจีนมี 4 วิธีหลัก

(象形字)1. อักษรภาพ
(指事字)2. อักษรบ่งความ
(会意字)3. อักษรรวมความหมาย
(形声字)4. อักษรแบบบอกความหมายและเสียง

วิวัฒนาการของภาษาจีน

ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ ยาวนานถึงห้าพันกว่าปี โดยมี
พัฒนาการในด้าน ต่างๆ อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นในด้านการเมือง การศึกษา
เทคโนโลยี ฯลฯ ซึ่ง “ตัวอักษรจีน” ก็เป็น อีกหนึ่งสิ่งที่มีวิวัฒนาการมาอย่างช้า
นานเช่น เดียวกัน โดยสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้

1. อักษรกระดองเต่า หรืออักษรบนกระดูกสัตว์

อักษรกระดองเต่าเป็นรูปแบบอักษรที่
เก่าแก่ ที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา ตัวอักษร
ประเภทนี้ใช้ใน สมัยปลายราชวงศ์ซาง
(1,600-1,046 ปีก่อนคริ สตศักราช) มี
เป้าหมายเพื่อใช้บันทึกและทำนายดวง
ชะตา ด้วยการสลักอักษรไว้บนกระดูก
สัตว์หรือ กระดองเต่า

อักษรกระดองเต่ามีลักษณะคล้าย
อักษรภาพ เพียงแค่มองก็รู้ทันทีว่า
หมายความว่าอะไร โดยรูป แบบของ
อักษรชนิดนี้จะเรียวบางและไม่ค่อยโค้ง
มน ตามเครื่องมือที่ใช้แกะสลัก นอกจาก
นี้อักษรกระดอง เต่าแม้จะเก่าแก่แต่ก็
เป็นอักษรที่มีความสมมาตร และมีรูป
แบบที่แน่ชัด ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสาม
ปัจจัยหลักสำหรับศิลปะการเขียนอักษร
ได้แก่ การ เขียนอักษร การผสมคำและ
องค์ประกอบของความ เรียง ซึ่งแสดง
ให้เห็นว่าอักษรในยุคนี้พัฒนาอย่างเป็น
ระบบแล้วและเป็นรากฐานในการ
พัฒนามาสู้รูปแบบของตัวอักษรใน
ปัจจุบัน

2. อักษรสำริด หรืออักษรโลหะ

อักษรสำริดเกิดขึ้นในช่วงกลางยุค
ราชวงศ์ซาง (1,600-1,046 ปีก่อนคริสต
ศักราช) และเป็นที่ นิยมในสมัยราชวงศ์โจว
(1,046-256 ปีก่อนคริ สตศักราช) ในสมัย
นั้นมีการใช้เครื่องสําริดกันอย่าง แพร่หลาย
อักษรประเภทนี้เกิดจากการหลอมหรือ สลัก
ตัวอักษรลงบนเครื่องสำริดต่างๆ โดยเฉพาะ
บน ระฆังและกระถางสามขาเนื้อหาที่บันทึก
จะเกี่ยวกับการทําพิธีเซ่นไหว้ ราชโองการ
หนังสือรบ หนังสือสัญญา เป็นต้น ซึ่งบันทึก
เหล่านี้เป็นสิ่งที่ สะท้อนถึงการใช้ชีวิตในยุค
สมัยนั้นได้เป็นอย่างดีลักษณะของอักษรสํา
ริดเมื่อเทียบกับอักษร กระดองเต่าแล้ว
อักษรสำริดจะมีความหนา ความ โค้งมนและ
จับเป็นกลุ่มก้อนมากกว่าอักษรกระดอง เต่า

ตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเกิดขึ้นหลังจาก 3. อักษรเสี่ยวจ้วน
จักรพรรดิจิ๋นซี (259-210 ปีก่อนคริ
สตศักราช) รวบรวม แผ่นดินเป็น เมื่อประเทศจีนเริ่มใช้ตัวอักษรแบบ
หนึ่งได้แล้ว จึงออกนโยบายปฏิรูป เสี่ยวจ้วน ก็มี การกำหนดรูปแบบการ
และ วางรากฐานอักษรให้ใช้เหมือน เขียนที่เป็นระบบมากกว่า เติมขึ้นมา
กันทั่วประเทศ โดย เป็นการปรับ ทั้งในด้านเส้นขีด เค้าโครง และรูป
อักษรต้าจ้วน ที่ชาวแคว้นฉิน นิยมใช้ แบบ โครงสร้างที่แน่นอน รวมถึงลด
กันก่อนหน้านี้ให้มีความเรียบง่าย ความเป็นอักษรภาพ ลง ลักษณะของ
ขึ้น จน กลายเป็นอักษรที่ใช้กันอย่าง อักษรเดี่ยวอ้วนจะเป็นอักษรที่มีรูป
แพร่หลายในช่วงเวลา นั้น จนถึง ทรงชัดเจนกว่าอักษรสองแบบข้างต้น
ช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ( 202 โดยจะเป็น ทรงยาวและมีความโค้ง
ปีก่อนคริสตศักราช-ค.ศ. 8) ตัว มนสม่ำเสมอ
อักษรเสี่ยวจ้วน ถูกอักษรลี่ซู
ทดแทนในที่สุด

4. อักษรลี่ซู หรืออักษรทาส

อักษรลี่ซูเป็นอักษรที่มีวิวัฒนาการมาจากอักษร เสี่ยวจ้วน เริ่มใช้
สมัยราชวงศ์ฉิน (221 207 ปีก่อนคริสตศักราช) เป็นที่นิยมสูงสุดใน
สมัย ราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตศักราช-ค.ศ. 220) ตำนานเล่าว่า
อักษรชนิดนี้ถูกสร้างสรรค์โดยทาสใน เรือนจำผู้หนึ่งนามว่า “เฉิง
เหมี่ยว” ปีเกิดและ ปีตายไม่แน่ชัด) เขาคิดว่าอักษรเดี่ยวอ้วนเขียน
อย่าง รวดเร็วไม่ได้ ทำให้เสียเวลาทำงาน จึงคิดอักษรรูป แบบใหม่ขึ้น
มาและใช้เฉพาะกับงานในเรือนจำ เท่านั้น ต่อมาได้เรียกว่าอักษรนี้ว่า
“ลี่ซู” เพราะคำว่า ‘ลี่’ แปลว่าทาส และถูกใช้อย่างแพร่หลายมาก ขึ้น
จนกระทั่งทดแทนอักษรเดี่ยวอ้วนในที่สุด ทว่าใน สมัยราชวงศ์เว่ย
เหนือ (1ค.ศ. 386-534) มีการ ค้นพบอักษรที่มีความคล้ายกับอักษรลี่
ซู ซึ่งแสดงให้ เห็นว่าอักษรประเภทนี้อาจมีขึ้นมาก่อนสมัยราชวงศ์
ฉินแล้วตัวอักษรลี่ซูจะมีลักษณะอ้วนกว้าง เส้นขีดแนวขวางจะยาว
เส้นขีดแนวตั้งจะสั้นและเปลี่ยนความโค้งมนของอักษรเสี่ยวจ้วนเป็น
รูปทรงเหลี่ยม

5. อักษรข่ายซู หรืออักษรมาตรฐาน / อักษรบรรจง

อักษรข่าย ค่อยๆ พัฒนาโดยเป็นการย่อแบบมา จากอักษรลี่ซู อีกที ซึ่ง
อักษรรูปแบบนี้มีการ พัฒนามาแล้วหลายต่อหลายสมัย ตั้งแต่สมัย
ราชวงศ์ฮั่น ( 202 ปีก่อนคริสตศักราช-ค.ศ. 220) จนถึงราชวงศ์ชิง ( ค.ศ.
1636-1912) ยังคงมีการ เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อักษรข่ายซูจะมี
ลักษณะ เป็นทรงตรง เหลี่ยม ตัวอักษรมีความสมดุล เป็น ระเบียบ
บรรจงสวยงาม จึงถือเป็นมาตรฐานในการ เขียนอักษรจีนจนถึงปัจจุบัน




6. อักษรเฉ่าซู หรืออักษรหวัด

อักษรเฉ่าซูหรืออักษรหวัด คืออักษร
ที่เขียนด้วย ความรวดเร็วและหวัดพบใน
ช่วงราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสต
ศักราช-ค.ศ. 220) โดยพัฒนามา จาก
การเขียนอักษรลี่ซู แบบหวัด ซึ่งใน
ปัจจุบันไม่ว่าอักษรประเภทใด ขอเพียง
แค่เขียนหวัด ก็สามารถจัดเป็นอักษรเฉ่า
ซูได้ เนื่องจากเป็นอักษรที่ มีการเขียน
ง่ายแต่อ่านค่อนข้างยาก อาจทําให้เกิด
ความเข้าใจผิดในการสื่อสาร จึงไม่มี
การนำมา กำหนดให้เป็นรูปแบบอักษรที่
ใช้กันทั่วไป

7. อักษรสิงซู

อักษรสิงซูเป็นอีกหนึ่งรูปแบบอักษรที่พัฒนามา จาก
อักษรลี่ซู เป็นรูปแบบที่อยู่ระหว่างอักษร ข่ายซู และ
อักษรเฉ่าซู โดยจะอ่านได้ ง่ายกว่าอักษรเฉ่าซู แต่ก็
เขียนออกมาได้รวดเร็วกว่า อักษรข่ายซูเช่นกัน อักษร
สิงซูสามารถแบ่งได้สอง ประเภทตามลักษณะของการ
เขียน หากเขียนได้ บรรจงและประณีตหน่อยจะเรียก
ว่า “สิงข่าย” แต่ถ้าหากเขียนแล้วมีความหวัดมากกว่า
จะเรียก ว่า ‘สิงเฉ่า”

笔画เส้นขีดของอักษรจีน ( bǐ huà)

ตัวอักษรจีนมีเส้นขีดพื้นฐานอยู่ 8 ขีด

丶 点 永 寸 江 太1. เส้นขีดแต้ม ( ) : diǎn
一 横 永 一 大 干2. เส้น ขวาง ( ) : héng
丨 竖 永 王 木 十3. เส้น ตั้ง ( ) : shù
亅 钩 永 小 心 丁4. เส้นตะขอ ( ) : gōu
提 永 打 地 功5. เส้นยกขึ้น() : tí
丿 撇 永 人 女 千6. เส้นลากซ้าย ( ) : piě
ノ 短撇 永 血 火 牛7.เส้นลากซ้ายสั้น ( ) : duǎn piě
捺 永 人 又 木8. เส้นลากขวา( ) : nà

อักษรจีนเป็นอักษรภาพซึ่งประกอบขึ้นจาก เส้นขีดหลากหลายแบบ
จนมีโครงสร้างเป็นอักษรทรง สี่เหลี่ยม เส้นขีดแต่ละแบบมีชื่อเรียกและ
ลักษณะ เฉพาะตัว ทั้งยังมีวิธีการเขียนตามหลักเกณฑ์อีกด้วย ผู้เรียนจึง
ควรทำความรู้จักกับเส้นขีดแบบต่างๆ แล้ว ลงมือฝึกเขียน เพราะเส้นขีด
ถือเป็นหน่วยโครงสร้าง ที่เล็กที่สุดและเป็นพื้นฐานของการเขียนอักษร
จีน เส้นขีดอักษรจีนมีมากมายหลากหลายแบบ แต่ยัง ไม่มีการกำหนด
จำนวนที่แน่ชัด บทความนี้ขอนำ เสนอเส้นขีดทั้งหมด 31 แบบ



ลำดับขีดอักษรจีน

เมื่อผู้เรียนได้รู้จักกับเส้นขีดอักษรจีนแบบต่างๆ แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จํา
เป็นต้องคำนึงถึงก็คือลำดับการเขียน เส้นขีดก่อนหลังของอักษรจีน ซึ่ง
ถือเป็นกฎเกณฑ์ สําคัญ เพราะลำดับขีดส่งผลโดยตรงกับรูปโครงสร้าง
ตัวอักษรและความเร็วในการเขียน ผู้เรียนจึงควร เขียนตัวอักษรให้ถูก
ต้องตามลำดับขีดโดยกฎการ เขียนอักษรจีนหลักๆ แล้วมีอยู่ 7 ข้อ ได้แก่


Click to View FlipBook Version