สมุดบันทึกความรู้
การร้อยเรียง
ประโยค
วิชาภาษาไทย มัธยมศึกษาปีที่ 5
นายณัฐพงษ์ บุญรัตน์ รหัศนักศึกษา 61E101023
สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
การร้อยเรียงประโยค
การร้อยเรียงคำเป็นประโยคต้องใช้คำให้รัดกุม ชัดเจน และถูกต้องตามระเบียบของภาษา
การพิจารณาประโยคควรพิจารณาในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ส่วนประกอบของประโยค
2. การลำดับคำในประโยค
3.ความยาวของประโยค
4.การแสดงเจตนาของผู้ส่งสารในประโยค
1. ส่วนประกอบของประโยค
1. ภาคประธาน เช่น ฉัน คนไทย เกษตรกร ภาคประธานอาจมีคำขยายได้
2. ภาคแสดง เช่น ยิ้ม ปลูก วิ่ง อ่าน ภาคแสดงอาจมีกรรมหรือไม่มีกรรมมารับ หรืออาจมีคำขยายก็ได้ เช่น
ประโยค จิงโจ้กระโดด
อาจจะขยายเป็น จิงโจ้กระโดดไกล
หรือ จิงโจ้แม่ลูกอ่อนกระโดดไกล
การเพิ่มคำในประโยคทำให้ความหมายชัดเจนขึ้น บางประโยคอาจเพิ่มคำเชื่อมในประโยคเพื่อเชื่อม
ความเข้าด้วยกัน เช่น
- ครั้นเขาทำการบ้านเสร็จเขาก็เข้านอน
- พอฉันออกจากบ้านฝนก็ตก
- พ่อชอบร้องเพลงแต่แม่ชอบดูละคร
- เพราะเขาใจดีฉันจึงรักเขา
คำเชื่อม ครั้น...ก็ พอ...ก็ แต่ เพราะ...จึง เชื่อมประโยคย่อย 2 ประโยคให้เป็นใจความเดียวกัน
การรวมประโยคโดยใช้คำเชื่อมอาจทำให้ประโยคหนึ่งกลายเป็นส่วนปีชระกอบของอีกประโยคหนึ่งได้ เช่น
- ลูกเสือที่กำลังปีนต้นไม้เป็นดาราของสวนสัตว์แห่งนี้
“ที่กำลังปีนต้นไม้” เป็นส่วนประกอบหนึ่งของประโยค
“ลูกเสือเป็นดาราของสวนสัตว์แห่งนี้”
2. การลำดับคำในประโยค
1. การเรียงลำดับคำต่างกัน ทำให้ความสัมพันธ์ของคำในประโยคต่างกัน และทำให้ความหมายของประโยค
เปลี่ยนไป เช่น
ฉันรักเขา (“เขา” ถูกรัก)
เขารักฉัน (“ฉัน” ถูกรัก)
2. การเรียงลำดับคำโดยเปลี่ยนลำดับคำได้หลากหลายแต่ความหมายยังคงเดิม เช่น
- พ่อแม่จะมาเยี่ยมลูกที่กรุงเทพฯ ในวันสงกรานต์
- ในวันสงกรานต์พ่อแม่จะมาเยี่ยมลูกที่กรุงเทพ ฯ
- ที่กรุงเทพฯ พ่อแม่จะมาเยี่ยมลูกในวันสงกรานต์
- ที่กรุงเทพฯ ในวันสงกรานต์พ่อแม่จะมาเยี่ยมลูก
จะเห็นว่าทั้ง 4 ประโยคนี้แม้ลำดับคำจะแตกต่างกันแต่สื่อความหมายเหมือนกัน เพียงแต่การเน้น
ต่างกันขึ้นอยู่กับผู้ส่งสารว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องใด
3. การเรียงลำดับคำเปลี่ยนที่กัน ความหมายเปลี่ยนน้อยมากหรือไม่เปลี่ยนเลย เช่น
- นายกิ่ง นายขวัญ นายปาน เป็นคนไทย
นายปาน นายขวัญ นายกิ่ง เป็นคนไทย
- สมชายมีความสูงเท่าสมพงศ์
สมพงศ์มีความสูงเท่าสมชาย
- ข้าวต้มมัดมีข้าวเหนียวเป็นส่วนผสมหลัก
ข้าวต้มมันมีส่วนผสมหลักเป็นข้าวเหนียว
3. ความยาวของประโยค
1. เราอาจสร้างประโยคให้ยาวออกไปเรื่อย ๆ โดยไม่จำกัด เช่น
บทสรุป - เขาชอบไปเที่ยวทะเล
- เขาและเธอชอบไปเที่ยวทะเลที่จังหวัดภูเก็ต
- เขาซึ่งเป็นนักดำน้ำและเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิท
ชอบไปเที่ยวทะเลที่จังหวัดภูเก็ตทุกครั้งที่มีเวลาตรงกัน
2. ในกรณีที่ประโยคยาวมากจากการเพิ่มรายละเอียดให้มากขึ้น ถ้านักเรียนไม่ต้องการประโยคยาวเกินไป
สามารถแยกรายละเอียดไว้อีกประโยคหนึ่ง หรือแยกให้เป็นหลายประโยคก็ได้ เช่น
- เขาเป็นนักดำน้ำและเธอเป็นเพื่อนสนิท ทั้งสองต่างก็ชอบไปเที่ยว
ทะเลที่จังหวัดภูเก็ตทุกครั้งที่มีเวลาว่างตรงกัน
ในกรณีที่มีข้อความซ้ำกันอาจละคำหรือนำคำอื่นมาใช้แทนเพื่อให้ประโยคสั้นลง เช่น
การละคำ
1. ฉันชอบมะเฟืองผลโต ๆ ที่มีรสหวาน แต่มะเฟืองผลโต ๆ ที่มีรสหวานหายากเหลือเกิน
2. ฉันชอบมะเฟืองผลโต ๆ ที่มีรสหวาน แต่หายากเหลือเกิน
การใช้คำแทน
1. เราควรคบคนที่มีจิตใจเมตตาเพราะถ้ามีจิตใจเมตตาแล้ว เขาก็ไม่คิดทำร้ายใคร เราจะสบายใจในการคบเขา
2. เราควรคบคนที่มีจิตใตเมตตาเพราะคนอย่างนี้จะไม่คิดทำร้ายใคร เราจะสบายใจในการคบเขา
4. การแสดงเจตนาของผู้ส่งสารในประโยค
1. ประโยคแจ้งให้ทราบ เป็นประโยคที่ผู้พูดมีเจตนาบอกกล่าวหรือเล่าเรื่องราวให้ทราบ หรือเรียกว่า
ประโยคบอกเล่า เช่น
- เขาชอบกินก๋วยเตี๋ยวเรือ
- เธอชอบดูภาพยนตร์
- นักเรียนชอบเล่นกีฬา
ถ้าการบอกเล่านั้นมีเนื้อความปฏิเสธจะมีคำปฏิเสธอยู่ในประโยค เช่น
- เธอไม่ชอบคนโกหก
- เขาไม่อยากว่ายน้ำ
- เด็ก ๆ ไม่ชอบคนจู้จี้
2. ประโยคถามให้ตอบ เป็นประโยคที่ผู้พูดมีเจตนาถามเพื่อให้ผู้ฟังตอบ เรียกว่า ประโยคคำถาม หรือ
ประโยคสอบถาม มักจะมีคำว่า ใคร อะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร หรือ หรือไม่ เท่าไร ใด กี่ เช่น
- ใครได้รับรางวัลเมขลาในปีนี้
- นักเรียนไปทัศนาศึกษาที่ไหน
ถ้าการถามนั้นมีเนื้อความปฏิเสธก็จะมีคำปฏิเสธอยู่ในประโยคด้วย เช่น
- คุณไม่ชอบเสื้อผ้าที่ผมซื้อให้ใช่ไหมครับ
3. ประโยคบอกให้ทำ เป็นประโยคที่ผู้พูดมีเจตนาบอกเพื่อขอร้อง อ้อนวอน วิงวอน เชิญชวน บังคับ
ออกคำสั่งให้ผู้ฟังทำตามความต้องการของผู้พูด หรือเรียกว่า ประโยคคำสั่งหรือขอร้อง เช่น
- เปิดประตูหน่อยซิ
- ไปว่ายน้ำด้วยกันนะ
- มาช่วยบริจาคโลหิตกันเถอะ
ข้อสังเกต คำท้ายประโยคมักใช้คำว่า ซิ นะ เถอะ และไม่ปรากฏประธานแต่พออนุมานได้ว่า
ประธานเป็นสรรพนามบุรุษที่ 2
ในกรณีปฏิเสธจะมีคำว่า ต้องไม่ อย่า ปรากฏในประโยค เช่น
- เธอต้องไม่ใจเร็วด่วนได้
- อย่ากลับบ้านเย็นนักนะจ๊ะ
หลักในการร้อยเรียงประโยค
1. การเชื่อม
การเชื่อมประโยคให้ต่อเนื่องกันจะใช้คำเชื่อม ซึ่งคำเชื่อมนี้อาจเป็นคำหรือกลุ่มคำ เมื่อนำมาเชื่อม
ประโยคจะทำให้ประโยคใหม่นั้นมีใจความคล้อยตามกัน แตกต่างกัน ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเหตุ
เป็นผลกัน เกี่ยวข้องกันทางเวลา หรือเป็นเงื่อนไขตามบริบทของประโยค ดังนี้
1. การเชื่อมที่ทำให้ประโยคมีใจความคล้อยตามกัน จะใช้คำเชื่อม และ ทั้ง อีกทั้ง รวมทั้ง ครั้น...ก็
ครั้น...จึง เช่น
เธอและฉันต่างมีความคิดจะไปเชียงใหม่เหมือนกัน
2. การเชื่อมที่ทำให้ประโยคมีใจความแตกต่างกัน จะใช้คำเชื่อม แต่ แต่ทว่า แต่ว่า แม้ แม้ว่า เช่น
แม้ว่าเขาจะรักเธอแต่เธอก็ไม่สนใจ
3. การเชื่อมที่ทำให้ประโยคมีใจความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง จะใช้คำเชื่อม หรือ หรือไม่ก็ เช่น
เด็ก ๆ ตั้งใจจะช่วยกันทำความสะอาดหรือไม่ก็ปลูกต้นไม้ในชุมชน
4. การเชื่อมที่ทำให้ประโยคมีใจความเป็นเหตุเป็นผลกัน จะใช้คำเชื่อม เพราะ เพราะว่า เพราะ...จึง
เพราะฉะนั้น จน จนกระทั่ง จึง เช่น
เพราะเขาซ้อมกีฬาอย่างหนึ่ง เขาจึงได้รับเหรียญทอง
5. การเชื่อมที่ทำให้ประโยคมีใจความแสดงเงื่อนไข จะใช้คำเชื่อม ถ้า แม้ว่า หากว่า หาก...ก็
ถ้า...แล้ว เช่น
ถ้าฝนไม่ตกฉันจะไปฟังดนตรี
6. การเชื่อมที่ทำให้ประโยคมีใจความเกี่ยวข้องกันทางเวลา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนและเกิดขึ้นทีหลัง
จะใช้คำเชื่อม แล้ว และแล้ว แล้วจึง ต่อมา ต่อจากนั้น เช่น
เขาเดินทางไปจังหวัดสงขลาแล้วจึงเลยไปจังหวัดปัตตานี
2. การซ้ำ
การใช้คำหรือวลีซ้ำในประโยค 2 ประโยคจะต้องซ้ำคำหรือวลีที่จำเป็น ถ้าไม่ใช้การซ้ำจะทำให้เข้าใจ
ผิดหรือสับสนได้ ฉะนั้น การซ้ำคำหรือวลีในประโยคจึงมีประโยชน์ คือ ทำให้ใจความชัดเจนขึ้น เช่น
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือ เมื่อได้อ่านหนังสือฉันจะมีความสุขมาก
ประโยคทั้งสองนี้กล่าวถึงการกระทำเดียวกัน จึงใช้วลี “อ่านหนังสือ” ซ้ำกัน
ในการซ้ำคำหรือวลีอาจใช้คำว่า นี้ นั้น โน้น นี่ นั่น โน่น มาขยายก็ได้ เช่น
เมืองสุโขทัยเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ ในศิลาจารึกหลักที่ 1
บันทึกความอุดมสมบูรณ์ของเมืองนี้ไว้ว่า
“ไพร่ฟ้าหน้าใส ใครใคร่ค้าช้างค้า ใครใคร่ค้าม้าค้า”
“เมืองนี้” แทนคำว่า “เมืองสุโขทัย” เพื่อช่วยระบุว่าเป็นเมืองเดียวกับที่กล่าวถึงในประโยคแรก
ถ้าในประโยคหน้าใช้คำขยายแล้ว มักจะไม่ใช้ในประโยคหลังอีก เช่น
ครอบครัวนี้ทุกคนรักกันและเข้าใจกัน ทุกคนในครอบครัวจึงมีความสุข
การซ้ำคำหรือวลีนอกจากจะใช้คำดังกล่าวแล้วยังใช้คำอื่นได้ เช่น
ประเพณีสงกรานต์ของไทยจะมีการรดน้ำดำหัวเพื่อขอพรผู้ใหญ่
ก่อเจดีย์ทราย เล่นสาดน้ำกันเป็นต้น ซึ่งปัจจุบันคนไทยยังคง
รักษาขนบประเพณีแบบเดิมเอาไว้
ประโยคหน้าและประโยคหลังใช้คำว่า “ประเพณี” ซ้ำกันเพราะกล่าวถึงสิ่งเดียวกัน แล้วใช้ลักษณนาม
กับประมาณวิเศษณ์บอกลำดับในประโยคหลัง เพื่อให้เข้าใจว่าประเพณีสงกรานต์ในปัจจุบันยังคงทำกิจกรรม
เหมือนที่กล่าวไว้ในประโยคหน้า
3. การละ
ประโยคบางประโยคเมื่อมีประธาน เหตุการณ์ หรือสภาพอย่างเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำ ๆ กัน
การละคำหรือวลีจะทำให้ประโยคสละสลวยขึ้น เช่น
แม่รดน้ำต้นไม้ ล้างจาน ทำกับข้าวแล้วก็อาบน้ำ
ประธานที่ละไว้ คือ “แม่” ใช้เพียงครั้งเดียวก็สารมาถเข้าใจได้ว่าใครเป็นผู้ทำกิจกรรมต่าง ๆ
หรือถ้าอยู่ในสภาพเหตุการณ์เดียวกันก็อาจละข้อความได้ เช่น
รัฐบาลต้องการส่งเสริมประชาธิปไตยให้เกิดกับทุกคน โรงเรียนก็เช่นเดียวกัน
4. การแทน
ในกรณีไม่ต้องการใช้การซ้ำ อาจใช้คำหรือวลีอื่นมาแทนสิ่งที่กล่าวไปแล้ว เช่น
- สุภาพบุรุษผู้นี้ให้เกียรติยกย่องสุภาพสตรี เขาเป็นคนดีมาก
- สุนัขมีความซื่อสัตย์ภักดีต่อเจ้าของ มันจึงเป็นสัตว์ที่คนนิยมเลี้ยง
- หวานเจี๊ยบชอบตีขิม เป่าปี่ และสีซอ เธอเล่นเครื่องดนตรีเหล่านี้ได้อย่างชำนาญ
การวิเคราะห์การร้อยเรียงประโยค
การศึกษาวิธีการร้องเรียงประโยคด้วยการเชื่อม การซ้ำ การละ และการแทนนั้นสามารถนำมาฝึกทักษะ
การร้อยเรียงประโยคให้สละสลวย และสามารถนำความรู้ไปวิเคราะห์ประโยคให้เข้าใจข้อเขียนได้แจ่มแจ้งอีกด้วย
ตัวอย่าง
“...ประเทศชาติอยู่ในภาวะที่ต้องอาศัยความเข้มแข็ง เพื่อที่จะให้อยู่รอด ประเทศไทยจะอยู่ได้
ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายสามัคคีกัน ความสามัคคีนั้นได้พูดอยู่เสมอว่าต้องมี แต่อาจจะเข้าใจยากว่า
ทําไมสามัคคีจะทำให้บ้านเมืองอยู่ได้ สามัคคีก็คือ การเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิถีทาง
เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และทำงานด้วยความ
ซื่อสัตย์สุจริต ต้องส่งเสริมงานของกันและกัน และไม่ทำลายงานของกันและกัน มีเรื่องอะไรให้ได้
พูดปรองดองกัน อย่าเรื่องใครเรื่องมัน และงานก็ทำงานอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วน
รวม...”
พระราชดํารัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร
พระราชทานในพิธีประดับยศนายตํารวจชั้นนายพล
ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม 2519
ที่มา : http://www.obec.go.th/news/65150
ประโยคในข้อความนี้เห็นได้ชัดว่าใช้การซ้ำทั้งคําและวลี เช่น “ประเทศชาติอยู่ในภาวะที่ต้องอาศัย
ความเข้มแข็ง เพื่อที่จะให้อยู่รอด ประเทศไทยจะอยู่ได้ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายสามัคคีกัน ความสามัคคีนั้น
ได้พูดอยู่เสมอว่าต้องมี แต่อาจจะเข้าใจยากว่าทําไมสามัคคีจะทำให้บ้านเมืองอยู่ได้ เพื่อเน้นความหมายให้
เข้าใจชัดเจน และเพื่อกระตุ้นความคิด จิตสํานึกของผู้ฟัง
“ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามามีบทบาทและส่งผลกระทบต่อชีวิต ความเป็นอยู่ของมนุษย์
ในแทบทุกด้าน รวมทั้งได้ก่อให้เกิดประเด็นปัญหาขึ้นในสังคม ไม่ว่าในเรื่อง ความเป็นส่วนตัว
ความปลอดภัย เสรีภาพของการพูดอ่านเขียน ความซื่อสัตย์ รวมถึงความตระหนักในเรื่อง
พฤติกรรม ที่เราปฏิบัติต่อกันและกันในสังคมอินเทอร์เน็ต”
ที่มา : “มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต
จาก http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1315
ประโยคในข้อความนี้ใช้การเชื่อมหลายแห่ง คือคําว่า และ รวมทั้ง รวมถึง เพื่อให้ประโยคต่าง ๆ
มีใจความต่อเนื่องในทางคล้อยตามกันเกี่ยวกับผลกระทบจากอินเทอร์เน็ต
“พระบรมรูปทรงม้า ณ พระลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ที่ประชาชนทั้งประเทศพร้อมใจกัน
สร้างถวายในรัชกาลของพระองค์ ขณะยังดำรงพระชนม์อยู่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๑ ถือเป็นความ
มหัศจรรย์อย่างยิ่งประการหนึ่ง คือ ตามปรกติอนุสาวรีย์ของบุคคลนั้น มักจะสร้างภายหลัง
ที่บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปแล้ว ยกเว้นพระบรมรูปทรงม้าแห่งเดียวเท่านั้น อีกทั้งรัชกาลที่ ๕ ยังได้
เสด็จพระราชดำเนินเป็นประธานเปิดพระบรมรูป ด้วยพระองค์เอง”
ที่มา : “พระบรมรูปทรงม้า : พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งความจงรักภักดีของพสกนิกรไทย”
โดย อมรรัตน์ เทพกําปนาท
จาก http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1649
ข้อความนี้มีการละ “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ในประโยคว่า
“ขณะยังดำรงพระชนม์อยู่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑”
“การหัวเราะอาจจะเป็นยาวิเศษได้จริง ๆ จากการศึกษาวิจัยที่นําเสนอโดยวิทยาลัย
เกี่ยวกับโรคหัวใจของอเมริกาพบว่า การหัวเราะเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
และนักวิจัยกล่าวว่าสิ่งนี้อาจช่วยลดความเสี่ยง นการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย”
ที่มา : “หัวเราะ เป็นยาวิเศษ”
จาก http://www.thaihealth.or.th/node/18060
ข้อความนี้ใช้การแทนคําว่า “การหัวเราะ” ด้วยคําว่า “สิ่งนี้” เพื่อจะได้ไม่ต้องกล่าวคําซ้ำอีก
สรุปความรู้
1. ประโยคมีส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ภาคประธาน และภาคแสดง บางประโยคอาจมีการเพิ่มคําหรือวลี
เพื่อให้ใจความของประโยคชัดเจนขึ้น หรืออาจมีคำเชื่อมใจความของประโยค ให้ต่อเนื่องกัน
2. ลำดับคำในประโยคจะแสดงความสัมพันธ์ของคำในประโยคนั้น บางประโยคเมื่อลำดับคำเปลี่ยนไป
จะทำให้ความหมายของประโยคเปลี่ยนไปด้วย
3. ประโยคสามารถเพิ่มรายละเอียดให้ยาวออกไปได้อย่างไม่จํากัดและสามารถตัดให้สั้นได้โดยแยก
รายละเอียดออกเป็นประโยคย่อย ๆ
4. เจตนาของผู้ส่งสารที่แสดงในประโยคมี 3 ประเภท ได้แก่ ประโยคแจ้งให้ทราบมีเจตนา เพื่อบอกเล่า
เรื่องราวต่าง ๆ ประโยคถามให้ตอบมีเจตนาให้ผู้ฟังตอบคําถาม และประโยคบอกให้ทำ มีเจตนาเพื่อขอร้อง
เชิญชวน หรือบังคับให้ผู้ฟังปฏิบัติตาม
5. หลักการร้อยเรียงประโยคมี 4 หลักการ ได้แก่ การเชื่อมโดยใช้คำเชื่อม การซ้ำคําหรือวลี เพื่อให้เข้าใจ
ชัดเจน การละคําหรือวลีเพื่อให้ประโยคกระชับสละสลวย การแทนสิ่งที่กล่าวไปแล้วด้วยคําหรือวลีอื่น