The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kotuken86, 2023-03-03 02:23:33

การศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด

การศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด

การศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชน บ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด เสนอ อาจารย์อัธยา เมิดไธสง การวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชามนุษย์และสังคม (SOE4210) สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด


ก ชื่อเรื่อง การศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอ เสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้วิจัย นายเกียรติศักดิ์ กันยวิมล, นางสาวเสาวณีย์ สมโพธิ์, นายทรายุทธ ภู่นิ่ม, นายนวมิทร์ สีหาบุญมาก, นายธีรวิทย์ สารพล, นางสาวจันทกานต์ อนุไพร และนางสาวสุดารัตน์ โคตุเคน กรรมการควบคุม อาจารย์อัธยา เมิดไธสง ที่ปรึกษางานวิจัยหลัก ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขา สังคมศึกษา สถานศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ปีที่พิมพ์ 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน บ้านเหล่าแขม 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 163 ครัวเรือน ได้มาโดยวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (non-probability sampling) ประเภทการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญหรือตามสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม การจัดการขยะมูลฝอยภายในครัวเรือน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ด้านพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 3.23 เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือในการทิ้งขยะมูลฝอยมีถังขยะ หรือภาชนะ รองรับเสมอ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 5.00 รองลงมาคือ คัดแยกเศษอาหาร ไปใช้ประโยชน์ เช่น ให้อาหาร สัตว์หรือ ทำปุ๋ยหมัก ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.80 ในขณะที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ทิ้ง ขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่โทรศัพท์ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลง หรือวัชพืชลงในถังขยะ สีแดง ที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.13 และ 2. พบว่าด้านแนวทางการจัดการ ขยะมูลฝอยของประชาชนในชุมชน บ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 2.84 เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ รวบรวมขยะไว้เพื่อให้รถเก็บขยะของเทศบาล นำไปกำจัดทำลาย ณ สถานที่ฝังกลบทุกสัปดาห์ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.83 รองลงมาคือ กำจัดขยะมูล ฝอยด้วยวิธีการเผา ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 3.42 ในขณะ ที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ แปรสภาพขยะอินทรีย์ เช่น เศษไม้ เศษหญ้า ด้วยการนำไปทำปุ๋ยหมัก ชีวภาพ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.53


ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาจาก อาจารย์อัธยา เมิดไธสง ที่ปรึกษางาน วิจัยหลักที่ให้ความอนุเคราะห์ให้ข้อเสนอแนะตลอดจนตรวจแก้ไขข้อบกพร่องด้วยความเอาใจใส่จน เป็นงานวิจัยที่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งมากและขอกราบขอบพระคุณอย่างยิ่ง ขอขอบพระคุณผู้ใหญ่บ้าน นางสมัยไชยธรรม ผู้นำชุมชน ผู้ปกครองและชาวบ้านในชุมชน บ้านเหล่าแขม และเทศบาลตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิจังหวัดร้อยเอ็ด ที่เป็นผู้ร่วมวิจัยที่ให้ คำแนะนำช่วยเหลือและอำนวย ความสะดวกต่างๆจนทำให้งานวิจัยสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี คุณประโยชน์และคุณค่าที่พึงมีจากงานวิจัยฉบับนี้ขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณบิดา มารดา บูรพาคณาจารย์ตลอดจนผู้มีพระคุณทุกท่าน ด้วยความเคารพอย่างสูง คณะผู้จัดทำ


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ................................................................................................ ..................................... ก กิตติกรรมประกาศ...................................................................................................................... ข สารบัญ.............................................................................................................. ......................... ค สารบัญตาราง.................................................................................................... ........................ จ บทที่ 1 บทนำ.............................................................................................. ......................... 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา.............................................................. 1 วัตถุประสงค์การวิจัย............................................................................................ 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ................................................................................... 2 ขอบเขตการวิจัย................................................................................................... 2 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย.................................................................................... 3 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................. 4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเกี่ยวกับขยะมูลฝอย............................................... 4 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดเกี่ยวกับการการจัดการขยะมูลฝอย....................... 11 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรม....................................... 16 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง............................................................................................... 19 กรอบแนวคิดการวิจัย........................................................................................... 24 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย........................................................................................................ 25 ประชากร............................................................................................................. 25 กลุ่มตัวอย่าง......................................................................................................... 25 การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง.............................................................................................. 26 พื้นที่ในการวิจัย.................................................................................................... 26 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย....................................................................................... 26 ตรวจสอบคุณภาพข้อมูล...................................................................................... 30 วิธีดำเนินการเก็บข้อมูล........................................................................................ 30 การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................... 31


ง สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล.................................................................................... 32 ส่วนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วน บุคคลและข้อมูล ทั่วไป........................................................................................ 32 ส่วนที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการ จัดการขยะ มูลฝอย.............................................................................................. 34 ส่วนที่ 3 วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับแนวทางการ จัดการขยะมูล ฝอยในชุมชน................................................................................ 36 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ........................................................................... 37 วัตถุประสงค์ของการวิจัย..................................................................................... 37 กลุ่มประชากร...................................................................................................... 37 กลุ่มตัวอย่าง......................................................................................................... 37 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา.................................................................................... 37 การเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................................................... 38 การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล..................................................................... 38 ข้อจำกัดทางการศึกษา......................................................................................... 39 สรุปผล................................................................................................................. 39 อภิปรายผล.......................................................................................................... 40 ข้อเสนอแนะ........................................................................................................ 42 บรรณานุกรม..................................................................................................... ......................... 43 ภาคผนวก....................................................................................................... ............................ 46 ภาคผนวก ก แบบสอบถามการจัดการขยะมูลฝอยภายในครัวเรือน.................... 47 ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................... 51 ภาคผนวก ค ภาพประกอบลงพื้นที่รวบรวมข้อมูล............................................... 55 ภาคผนวก ง ประวัติคณะผู้วิจัย............................................................................ 59


จ สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม................................ 32 2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย............ 34 3 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน.. 36


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ในปัจจุบันสังคมไทยประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่น ปัญหาฝุ่น P.M. 2.5 ปัญหาน้ำเสีย ปัญหาภาวะโลกร้อน เป็นต้น และหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ คือ ปัญหาขยะมูลฝอยซึ่งเป็นปัญหาที่ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม ขยะมูลฝอยสามารถจำแนกได้ 4 ประเภท ได้แก่ 1.ขยะ อินทรีย์ เป็นขยะที่เน่าเสียและย่อยสลายได้รวดเร็ว 2.ขยะรีไซเคิล เป็นขยะที่สามารถนำไปแปรรูปเพื่อ สามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้ 3.ขยะอันตราย เป็นขยะที่มีส่วนประกอบของสารอันตราย และ 4.ขยะทั่วไป เป็นขยะอื่นนอกเหนือจากขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลายยากและไม่ คุ้มค่าสำหรับการนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ จากข้อมูลสถานการณ์ขยะมูลฝอยของประเทศล่าสุด ปี พ.ศ. 2564 จากระบบสารสนเทศด้านการจัดการขยะมูลฝอยของกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่าปริมาณขยะมูลฝอย ที่เกิดขึ้นปี 2564 อยู่ที่ 24.98 ล้านตัน เป็นปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกนำกลับมาใช้ประโยชน์7.89 ล้านตัน ปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดถูกต้อง 9.28 ล้านตัน ปริมาณขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดไม่ถูกต้อง 7.81 ล้าน ตันและปริมาณขยะมูลฝอยตกค้าง 7.50 ล้านตัน (กรมควบคุมมลพิษ ,2564) จะเห็นได้ว่าขยะมูลฝอยที่ ตกค้างและถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้องนั้นมีปริมาณที่มากพอสมควร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ของผู้คนต่อไปทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของ แมลง พาหะนำโรค ก่อให้เกิดความรำคาญ และเป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ เป็นต้น ชุมชนบ้านเหล่าแขม ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด มีประชากร 277 ครัวเรือน พื้นที่ของชุมชนมีแหล่งการค้าเป็นจำนวนมาก เช่น ตลาด ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำ เป็นต้น อีกทั้งยังมีหอพักนักศึกษาเป็นจำนวนมากเพราะเป็นชุมชนใกล้กับมหาวิทยาลัย โดยประชากรส่วน ใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ทำไร่ ทำสวน ประชากรบางส่วนประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป และประกอบอาชีพค้าขาย จากการสำรวจพื้นที่ทั่วไปของตำบลเกาะแก้วพบว่ามีถังขยะจำนวนมากทั้งที่ เป็นถังขยะของครัวเรือน หอพัก ถังขยะตำบลเกาะแก้วมีการจัดวางให้ประชาชนทิ้งขยะตามจุดต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเก็บ โดยการจัดการขยะมูลฝอยเบื้องต้นของประชาชนในชุมชนส่วนใหญ่จะทิ้งขยะลง ถังขยะที่ทางเทศบาลจัดหาให้โดยไม่มีการคัดแยก และมีการจัดการขยะโดยการวิธีการเผาในบางครัวเรือน


2 ซึ่งประเภทของขยะที่พบในบริเวณชุมชนบ้านเหล่าแขม คือขยะทั่วไปและขยะรีไซเคิลเป็นส่วนใหญ่ ปริมาณขยะในชุมชนบ้านเหล่าแขมมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากกว่าชุมชนชนบททั่วไปเพราะมีจำนวนประชากรที่ เป็นนักศึกษาเข้ามาอาศัยอยู่ในชุมชนด้วย ทำให้มีพฤติกรรมการบริโภค อุปโภคที่แตกต่างและหลากหลาย ส่งผลให้การจัดการขยะมีความหลากหลายเช่นกัน การจัดการขยะเป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานของ รัฐตลอดจนผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณในชุมชนที่ต้องมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยให้ส่งผล กระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่งแวดล้อมให้มากที่สุด จากที่กล่าวมาข้างต้นจึงทำให้ผู้วิจัยสนใจศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม โดยมุ่งศึกษาถึงพฤติกรรมในการจัดการขยะของคนในชุมชนและศึกษาวิธีการจัดการขยะมูลฝอยของ ชุมชนบ้านเหล่าแขมเพื่อให้เป็นแนวทางในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนและเพื่อการจัดการขยะมูลฝอย อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม วัตถุประสงค์ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งวัตถุประสงค์การวิจัยไว้ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 2. เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว เสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมของการจัดการขยะมูลฝอย ในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 2. ทำให้ทราบแนวทางในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอ เสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ขอบเขตของการวิจัย ประชากร ประชากรที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด มีจำนวนทั้งหมด 277 ครัวเรือน


3 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัด ร้อยเอ็ด จำนวน 163 ครัวเรือน ระยะเวลา ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย ขยะมูลฝอยชุมชน หมายถึง ของเสียหรือวัสดุที่เหลือทิ้งจากการอุปโภคบริโภคจากอาคาร ที่อยู่ อาศัย ตลาด ร้านค้า สถานที่ต่างๆ ภายในชุมชน ทั้งในรูปแบบของสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ รวมถึง ขยะติดเชื้อ ขยะอันตรายจากชุมชน เป็นต้น พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน หมายถึง การกระทำหรือการปฏิบัติของชาวบ้านที่ แสดงออกถึงความใส่ใจ และตระหนักถึงความสำคัญของขยะมูลฝอย โดยการลดปริมาณขยะมูลฝอย คัด แยกขยะ และนำขยะมูลฝอยชุมชนไปกำจัดอย่างถูกวิธี การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอย หมายถึง การที่ประชาชนในชุมชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ในกระบวนการลดปริมาณขยะและการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของชุมชน ซึ่งจะทำให้ขยะมูลฝอยลดลง หรือหมดไป แนวทางการจัดการขยะมูลฝอย หมายถึงการดำเนินการเก็บกวาด รวบรวม ขนย้าย และกำจัด ขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธี และไม่ให้เหลือตกค้าง ณ บริเวณครัวเรือน หรือชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะ แก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ชุมชน หมายถึง ครัวเรือนที่อาศัยอยู่หมู่ที่ 6 บ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 277 ครัวเรือน


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพร้อมกับนำเสนอตามหัวข้อ ดังนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับขยะมูลฝอย 1.1 ความหมายของขยะมูลฝอย 1.2 ประเภทของขยะมูลฝอย 1.3 แหล่งกำเนิดของขยะมูลฝอย 1.4 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับขยะมูลฝอย 1.5 ผลกระทบของขยะมูลฝอย 2. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย 3. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรม 3.1 ความหมายของพฤติกรรม 3.2 ประเภทของพฤติกรรม 3.3 องค์ประกอบของพฤติกรรม 3.4 สิ่งกำหนดพฤติกรรม 3.5 การวัดพฤติกรรม 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ 5. กรอบแนวคิดการวิจัย 1. แนวคิดเกี่ยวกับขยะมูลฝอย 1.1 ความหมายของขยะมูลฝอย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานฉบับ พ.ศ. 2525 ให้คําจํากัดความของคําว่า มูลฝอย หมายถึง เศษสิ่งของที่ทิ้งแล้ว หยากเยื่อ และคําว่า ขยะมูลฝอย หมายถึง หยากเหยื่อ มูลฝอย


5 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ได้ให้ความหมายของคำว่า “ขยะมูลฝอย” หรือ “มูล ฝอย” ไว้ว่า หมายถึง เศษกระดาษ เศษผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า ถุงพลาสติก ภาชนะใส่อาหาร เถ้า มูล สัตว์ หรือซากสัตว์ รวมตลอดถึงสิ่งอื่นใดที่เก็บกวาดจากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์หรือที่อื่นๆ สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้ความหมายของขยะมูลฝอย หมายถึง เศษของ เหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตและการใช้สอยของมนุษย์ ขยะมูลฝอยอาจมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตาม แหล่งที่ก่อให้เกิดขยะมูลฝอยนั้นๆ เช่น ขยะมลฝอยจากบ้านเรือนที่พักอาศัย มีลักษณะเป็นเศษอาหารที่ เหลือจากการหุงต้ม เศษผ้าและเศษของที่ไม่ใช้แล้วต่างๆ เป็นต้น และขยะมูลฝอยจากอุตสาหกรรมมี ลักษณะขึ้นอยู่ กับประเภทของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ มีขยะมูลฝอยอีกประเภทหนึ่งเป็นขยะมูลฝอยที่ ถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทาง แม่น้ำลําคลอง และ ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ เช่น ใบไม้ เศษกระดาษ ถุงพลาสติก ดิน หิน กรวด ทราย เป็นต้น ขยะมูลฝอยประเภทนี้แม้จะมีส่วนก่อเหตุรําคาญน้อยกว่าขยะ มูลฝอยที่กล่าวแล้ว แต่ก็เป็นภาระแก่ผู้เก็บกวาด ทั้งนี้เพราะกระจัดกระจายอยู้ในบริเวณกว้าง ทําให้เก็บ ทําลายยากและไม่ทั่วถึง (สํานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ , 2540 : 12) กรมควบคุมมลพิษ (2558) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ขยะมูลฝอยมีความหมายคือ เศษกระดาษ เศษ ผ้า เศษอาหาร เศษสินค้า เศษวัสดุ ถุงพลาสติก ภาชนะที่ใส่อาหาร เถ้า มูลสัตว์ ซากสัตว์หรือ สิ่งอื่นใดที่ เก็บกวาดได้จากถนน ตลาด ที่เลี้ยงสัตว์หรือที่อื่น และหมายความรวมถึงมูลฝอยติดเชื้อ มูลฝอยที่เป็นพิษ หรืออันตรายจากชุมชนหรือครัวเรือน ยกเว้นวัสดุที่ไม่ใช้แล้วของโรงงานซึ่งมีลักษณะ และคุณสมบัติที่กำ หนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กล่าวโดยสรุป ขยะมูลฝอย หมายถึง ขยะที่เกิดขึ้นจากอาคารที่พักอาศัย โรงงานอุตสาหกรรม หรือตลาดสด ซึ่งจะมีปริมาณและลักษณะแตกต่างกันออกไป โดยปกติแล้ว วัตถุต่างๆ ที่ถูกทิ้งมาในรูปของ ขยะนั้น จะมีทั้งอินทรีย์สาร และอนินทรีย์สาร สารวัตถุต่างๆเหล่านี้บางชนิดก็สามารถย่อย สลายได้ด้วย จุลินทรีย์ในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะพวกเศษอาหาร เศษพืชผัก แต่บางชนิดก็ไม่อาจจะย่อยสลายได้เลย เช่น พลาสติก เศษแก้ว เป็นต้น 1.2 ประเภทของขยะมูลฝอย กรมควบคุมมลพิษ (2558) ได้จัดประเภทของขยะมูลฝอยชุมชน โดยจัดตามลักษณะทาง กายภาพของขยะมูลฝอยได้เป็น 4 ประเภท ประกอบด้วย


6 1) ขยะย่อยสลาย (Compostable Waste) หรือมูลฝอยย่อยสลาย คือ ขยะ ที่เน่าเสียและย่อย สลายได้เร็ว เช่น เศษผัก ผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เศษเนื้อสัตว์ เป็นต้น จากครัวเรือน ร้านอาหาร ตลาดสด และการเกษตรกรรม มีความชื้นค่อนข้างสูง มีกลิ่นเหม็น การกำจัดขยะย่อยสลาย อาจนำไปทำปุ๋ยหมัก น้ำหมัก หรือเชื้อเพลิง หรือกำจัดโดยการฝังกลบอย่างถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล 2) ขยะรีไซเคิล (Recyclable Waste) หรือมูลฝอยที่ยังใช้ได้ คือ ของเสียบรรจุภัณฑ์ หรือวัสดุ เหลือใช้ ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ เช่น แก้ว กระดาษ เศษพลาสติก กล่อง เครื่องดื่มแบบ UHT กระป๋องเครื่องดื่ม เศษโลหะ อะลูมิเนียม ยางรถยนต์ เป็นต้น การการจัดขยะรีไซเคิลโดยการนำ กลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ (Recycle) นำไปจำหน่าย หรือผ่านกระบวนการจัดการทางอุตสาหกรรม 3) ขยะอันตราย (Hazardous Waste) หรือมูลฝอยอันตราย คือ ขยะที่มี องค์ประกอบหรือ ปนเปื้อนวัตถุอันตรายชนิดต่างๆได้แก่ วัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ วัตถุออกซิไดซ์ วัตถุมีพิษ วัตถุที่ทำให้เกิดโรค วัตถุกรรมมันตรังสี วัตถุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน วัตถุที่ก่อให้เกิดการ ระคายเคือง วัตถุอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใดที่อาจทำให้เกิด อันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สินหรือสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดฟลูออเรสเซนต์ แบตเตอรี่โทรศัพท์เคลื่อนที่ ภาชนะ บรรจุสารกำจัดศัตรูพืช กระป๋องสเปรย์บรรจุสีหรือสารเคมี เป็นต้น การกำจัดขยะอันตรายต้องดำเนินการ ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ 4) ขยะทั่วไป (General Waste) หรือมูลฝอยทั่วไป คือ ขยะประเภทอื่น นอกเหนือจากขยะ ย่อยสลาย ขยะรีไซเคิล และขยะอันตราย มีลักษณะที่ย่อยสลายยากและไม่คุ้มค่า สำหรับการนำกลับมาใช้ ประโยชน์ใหม่ เช่น ห่อพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก ซอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถุงพลาสติก เปื้อนเศษอาหาร โฟมเปื้อนอาหาร ฟอล์ยเปื้อนอาหาร เป็นต้น ขยะ มูลฝอยประเภทนี้ไม่เกิดการย่อย สลายและเน่าเหม็น การกำจัดขยะทั่วไปจึงควรคัดแยกขยะมูลฝอย ที่สามารถนำไปใช้ใหม่ได้ก่อนการ กำจัด หรือกำจัดโดยการฝังกลบอย่างถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล 1.3 แหล่งกำเนิดขยะมูลฝอย ธเรศ ศรีสถิตย์ (2553) ได้แบ่งแหล่งกำเนิดขยะมูลฝอย ออกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) เขตที่อยู่อาศัย (Domestic Area) ได้แก่ ขยะมูลฝอยที่เกิดจากกิจวัตร ประจำวัน ในการ ดำรงชีวิตตามบ้านเรือนของประชาชนทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วขยะมูลฝอยมาจาก ห้องครัว เช่น เศษอาหาร ผัก ผลไม้ เป็นต้น นอกจากนี้อาจมีเศษกระดาษ พลาสติก ปะปนมาตาม กิจกรรมที่เกิดขึ้น


7 2) เขตพาณิชยกรรม (Commercial Area) ได้แก่ ขยะมูลฝอยที่เกิดจาก กิจกรรม ประเภทธุรกิจการค้าขายของชุมชน โดยเฉพาะตามเขตย่านพาณิชยกรรม ตลาดสด ขยะมูลฝอย ส่วนใหญ่ ได้แก่ เศษสินค้าที่ไม่ต้องการ เช่น บรรจุภัณฑ์ พลาสติก กระดาษ เป็นต้น หากพิจารณา ในตลาดสดจะพบ ขยะมูลฝอยส่วนใหญ่เป็นสารอินทรีย์ เช่น เศษผัก ผลไม้ ที่เกิดจากการค้าขาย อาหารสด โดยทั่วไปขยะมูล ฝอยจากเขตนี้ไม่ค่อยก่อปัญหามากนัก เพราะขยะมูลฝอยประเภท เศษกระดาษ พลาสติก มักถูกคัดแยก ออกไปก่อนโดยกลุ่มแม่ค้าหรือพวกเก็บเศษขยะมูลฝอยไป จำหน่าย รวมทั้งพวกเศษอาหาร ผักสด ผลไม้ จะมีคนมารับซื้อไปเลี้ยงสัตว์ 3) เขตสถานที่ราชการ สถาบันการศึกษา (Institution Area) ได้แก่ ขยะ มูลฝอยที่เกิดจากกิจ กรรมบริการของทางราชการ การเรียนการสอน โดยมูลฝอยส่วนใหญ่เป็นเศษ กระดาษ พลาสติก นอก จากนี้ยังมีพวกของเสียอันตรายบ้างในบางส่วนที่มาจากอาคารที่มีการเรียน การสอนด้านวิทยาศาสตร์การ การแพทย์ หรือการเพาะเลี้ยงเชื้อ หรือมีสารเคมีประเภทอันตราย เช่น โลหะหนัก สารรังสี เป็นต้น ขยะ มูลฝอยอันตรายจากบริเวณนี้สามารถควบคุมได้ง่ายกว่าจากชุมชน 4) เขตอุตสาหกรรม (Industrial Area) ได้แก่ บริเวณที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่ และ การผลิตขยะมูลฝอยเกิดขึ้น ทั้งที่เกิดจากกระบวนการผลิตโดยตรงและโดยอ้อม เช่น เกิดจากบรรจุภัณฑ์ หรือของเสียจากการผลิตเอง องค์ประกอบของขยะมูลฝอยจากแหล่งอุตสาหกรรม แบ่งเป็นขยะมูลฝอย ทั่วไปและขยะมูลฝอยอันตราย โดยลักษณะขยะมูลฝอยอันตรายขึ้นอยู่กับ ประเภทอุตสาหกรรม ขยะมูล ฝอยที่เป็นอันตรายอาจมีประโยชน์ต่อกิจกรรมอื่นได้ เช่น น้ำมันเก่าหรือ เศษน้ำมันเชื้อเพลิง สารทำ ละลายที่ใช้แล้ว สามารถนำไปปรับปรุงคุณภาพหรือผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง ชนิดอื่นได้ ส่วนขยะมูลฝอย ทั่วไปจากเขตอุตสาหกรรมมีลักษณะเหมือนกับขยะมูลฝอยชุมชนทั่วไป ทั้งนี้อาจเกิดจากกิจกรรม ประจำวันของคนงานหรือพนักงาน 1.4 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับขยะมูลฝอย ปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงปริมาณขยะมูลฝอยมีหลายปัจจัยซึ่ง ศิริกัลยา และ คณะ (2541) ได้ระบุไว้ดังนี้ 1. ลักษณะอุปนิสัยของประชาชนในท้องถิ่น (characteristic of population) โดยหากประชาชน ในท้องถิ่นมีความรักสะอาด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยก็มักจะมีการเก็บรวบรวมขยะมูลฝอยให้เป็นที่ เป็นทางไม่ทิ้งเกลื่อนกลาด ซึ่งอาจทำให้ปริมาณขยะมูลฝอยมีมากขึ้น รวมถึงการรู้จักประหยัด มัธยัสถ์ การได้รับการอบรมให้มีการรู้จักแยกประเภทของขยะมูลฝอยเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ จะทำให้ปริมาณ


8 ของขยะมูลฝอยลดน้อยลง เช่น การนำกระดาษขวดแก้วที่ใช้แล้วมาล้างให้สะอาด เพื่อบรรจุน้ำดื่มไว้ใช้ ภายในบ้าน เป็นต้น ซึ่งลักษณะอุปนิสัยดังกล่าวจะทำให้ปริมาณของขยะมูลฝอยน้อยลงและองค์ประกอบ ของขยะมูลฝอยก็เปลี่ยนแปลง ส่งผลถึงการกำจัดที่ลดลงด้วย 2. ลักษณะการดำรงชีพของประชาชน (standard of living) เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการเกิดขยะ มูลฝอยทั้งในด้านปริมาณและองค์ประกอบ เนื่องจากถ้ากลุ่มประชาชนที่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจับจ่าย สิ่งของได้มากก็ย่อมเป็นผลทำให้ปริมาณขยะมูลฝอยมาก องค์ประกอบของมูลฝอยก็มีความแตกต่างกันได้ มากมาย อาจมีทั้งมูลฝอยที่เป็นชิ้นใหญ่ เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเสียง อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ในบางชุมชนที่มีรายได้ต่ำอาจนำกลับไปซ่อมแซมแล้วนำมาใช้ประโยชน์ได้ 3. ความถี่ของการบริการเก็บรวบรวมขยะมูลฝอย (frequency of collection) มีส่วนทำให้เกิด ปริมาณขยะมูลฝอยมากหรือน้อยได้อย่างมากทีเดียว เพราะถ้าหากมีการบริการเก็บขยะมูลฝอยถี่ก็ย่อมทำ ให้ปริมาณขยะมูลฝอยมาก เพราะภาชนะเก็บกักมักมีที่เหลือมากพอที่จะให้ทิ้งขยะมูลฝอยได้โดยไม่ต้อง กลัวล้นภาชนะ แต่ถ้ามีการบริการเก็บรวบรวมไม่บ่อยทำให้ปริมาณขยะมูลฝอยที่เก็บรวบรวมไว้ตกค้างอยู่ มากทำให้มีความพยายามที่จะนำขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นยังไม่มีที่เก็บกักเพียงพอ กลับไปใช้ประโยชน์อื่น เช่น การนำเศษอาหารไปเลี้ยงสัตว์ 4. กฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับ (legislation) ที่รัฐหรือองค์กรท้องถิ่นกำหนดขึ้นเพื่อบังคับใช้ กับชุมชนในเรื่องการจัดการขยะมูลฝอย มีบทบาทสำคัญต่อทั้งปริมาณและองค์ประกอบของขยะมูลฝอย เช่น ไม่ให้ประชาชนทิ้งขยะมูลฝอยในที่สาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งน้ำ สาระสำคัญก็จะทำให้ ขยะมูลฝอยที่เก็บรวบรวมได้มีปริมาณมากขึ้น ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับขยะมูลฝอยในปัจจุบันนี้เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกันในชีวิตประจำวันมนุษย์ ใช้ทรัพยากรเพื่ออุปโภคและบริโภค สิ่งที่เหลือใช้กลายเป็นขยะที่ทุกคนไม่ต้องการหรือมองว่าไม่มีค่านำ มาซึ่งปัญหา การเกิดขยะมูลฝอยโดยสาเหตุดังกล่าวนี้มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน ภาครัฐ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องใน การสร้างขยะมูลฝอยเเละการลดปริมาณขยะมูลฝอย ในระดับครอบครัวเเละ ชุมชน หากครอบครัวชุมชนมีอุปนิสัย ที่รักความสะอาดมีการคัดเเยกเก็บเป็นที่หรือมีการนำไปต่อยอดการ นำไปใช้ประโยชน์ ก็จะทำให้ปริมาณขยะมูลฝอยลดน้อยลง รวมถึงภาครัฐมีข้อบังคับกฎหมายเพื่อควบคุม ปริมาณการทิ้งขยะ มีบริการเก็บขยะตามจุดที่รัฐ เทศบาล จัดให้ประชาชนทิ้งตามที่ต่างๆ ก็จะสามารถทำ ให้ปริมาณขยะลดน้อยลง ซึ่งจะส่งผลดีทำให้ไม่เกิด มลพิษทางด้านต่างๆ ตามมา เเละยกระดับคุณภาพ ชีวิตของคนในชุมชน


9 1.5 ผลกระทบของขยะมูลฝอย ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการมีปริมาณขยะมูลฝอย และของเสียอันตรายมากขึ้นในชุมชน และไม่ สามารถเก็บรวบรวมและนำไปกำจัดอย่างมีประสิทธิภาพได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมในด้าน ต่างๆ ตามมามากมายดังต่อไปนี้ 1. ผลกระทบต่อแหล่งน้ำ 1.1 ทำให้น้ำในแหล่งน้ำต่างๆ เกิดการเน่าเสียจากการย่อยสลายของขยะอินทรีย์อัน ได้แก่ เศษ อาหาร เศษหญ้าและใบไม้ซากสัตว์และมูลสัตว์ต่างๆ เป็นต้น 1.2 ทำให้แม่น้ำลำคลองต่างๆ เป็นแหล่งสะสมของขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้เช่น ถุงพลาสติก โฟม เศษแก้ว และกระป๋องบรรจุอาหารและเครื่องดื่มต่างๆเป็นต้น 1.3 ทำให้แหล่งน้ำกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรค อันเนื่องมาจากการสะสม และการเน่า เสียของขยะมูลฝอยและอาจเกิดเป็นสาเหตุของการเกิดโรคระบาดทางน้ำได้ 1.4 ทำให้แหล่งน้ำเกิดการสะสมของสารพิษที่ปะปนมากับขยะมูลฝอย หรือของเสียอันตรายจาก ชุมชนหรือจากการเกษตร เช่น กระป๋องฉีดยากันยุง มด แมลงสาป และกระป๋องบรรจุสารเคมีกำจัด ศัตรูพืช เป็นต้น 1.5 ทำให้แหล่งน้ำมีค่าสกปรก และสารเจือปนสูงจนไม่ปลอดภัยในการนำมาใช้เพื่อการอุปโภค และบริโภค 1.6 ทำให้รางระบายน้ำหรือท่อระบายน้ำในเขตชุมชนเมืองเกิดการอุดตัน และเป็นสาเหตุของการ เกิดน้ำท่วมได้เนื่องจากมีเศษขยะไปขวางกั้นการไหลของน้ำ 1.7 ทำให้สภาพภูมิทัศน์ของแหล่งน้ำขาดความสวยงาม และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจการ ท่องเที่ยว 2. ผลกระทบต่อคุณภาพอากาศ 2.1 ทำให้เกิดควันเสียอันเนื่องมาจากการเผาขยะที่กองทิ้งไว้ในที่โล่ง หรือเกิดจากการเผาขยะที่ เป็นวัสดุเหลือใช้ต่างๆทางการเกษตร( Open burning ) 2.2 ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวนจากกองขยะที่เททิ้งไว้บนพื้น หรือสถานที่ฝังกลบขยะที่ไม่ได้ มาตรฐาน ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนใกล้เคียง 2.3 ทำให้เกิดก๊าซต่างๆ จากการเผาขยะซึ่งจะเป็นอันตรายต่อคนและสิ่งแวดล้อมหากขาดการ จัดการที่เหมาะสม เช่น CO2, CH4และ H2S เป็นต้น


10 2.4 ทำให้เกิดขี้เถ้า ( Ash ) ที่เกิดจากเตาเผาในสถานที่กำจัดของเสียอันตราย ซึ่งขี้เถ้าที่ฟุ้ง กระจายไปในอากาศอาจจะมีสารพิษจำพวกโลหะหนัก (Heavy metal) และไดออกซิน (Dioxin) เจือปน อยู่ด้วย 2.5 ฝุนละอองที่ฟุ้งกระจายจากกองขยะ ทำให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชนที่ อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง 3. ผลกระทบต่อดิน 3.1 ทำให้พื้นที่ดินที่เป็นสถานที่ฝังกลบขยะมูลฝอย ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะทางด้านการเกษตร 3.2 ทำให้เกิดการปนเปื้อนของน้ำชะมูลฝอยลงสู่พื้นดิน ซึ่งอาจมีสารพิษต่างๆจากกองขยะเจือปน ไปด้วย หรืออาจทำให้สภาพความเป็นกรดด่างของดินเปลี่ยนแปลงไป 3.3 ขยะที่มีของเสียอันตราย เช่น ถ่านไฟฉาย ซากแบตเตอรี่ ซากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ฯลฯ เมื่อ นำไปฝังกลบในดินก็จะทำให้มีโลหะหนักในดินมากขึ้น ซึ่งเป็นผลเสียต่อระบบนิเวศในดิน 4. ผลกระทบต่อคุณภาพน้ำใต้ดิน 4.1 เกิดการปนเปื้อนของน้ำชะมูลฝอยลงสู่ชั้นใต้ดิน ทำให้น้ำใต้ดินในบริเวณที่มีกองขยะหรือ สถานที่ฝังกลบตั้งอยู่มีคุณภาพด้อยลงและเสี่ยงต่อการนำมาเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค บริโภค 4.2 ขยะที่มีของเสียอันตรายปะปนอยู่ เช่น ถ่านไฟฉาย ซากแบตเตอรี่ ซากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ฯลฯ อาจเป็นแหล่งของโลหะหนักที่ปนเปื้อนสู่น้ำใต้ดินได้ นอกจากนี้ สุกาญจน์ รัตนเลิศนุสรณ์(2546) ยังได้ระบุถึงผลกระทบของขยะมูลฝอยที่มีต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม ดังนี้ 1. ผลกระทบต่อสุขภาพของประชน เช่น โรคทางเดินอาหารที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีแมลงวัน เป็นพาหนะ หรือได้รับสารพิษที่มากับของเสียอันตรายหรือขยะมูลฝอยโดยตรง รวมถึงการเป็นแหล่ง เพาะพันธุ์ของแมลงและพาหะนำโรค เนื่องจากขยะพวกอินทรียสารที่ทิ้งไว้เกิดการเน่าเปื่อยกลายเป็น แหล่งอาหาร และที่หลบซ่อนของสัตว์ต่างๆที่เป็นพาหะนำโรคมาสู่คน 2. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขยะมูลฝอยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดมลพิษทางน้ำ มลพิษทาง ดิน และมลพิษทางอากาศ เนื่องจากขยะมูลฝอยที่ขาดการเก็บรวบรวมหรือไม่นำมากำจัดให้ถูกวิธี และ ปล่อยทิ้งค้างไว้ในพื้นที่ในชุมชน เมื่อมีฝนตกลงมาชะเอาความสกปรก เชื้อโรค และสารพิษจากขยะมูล ฝอยไหลลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำเกิดการเน่าเสียและส่งผลกระทบต่อสุขภาพดินจะทำให้เกิดสภาพ ความเป็นกรดในดินทำให้เกิดมลพิษได้การปนเปื้อนของดินยังเกิดจากการนำขยะมูลฝอยไปฝังกลบ หรือ การนำไปทิ้งด้วย และถ้ามีการเผาขยะมูลฝอยกลางแจ้งก็จะทำให้เกิดควันและสารพิษ ทำให้คุณภาพ


11 อากาศเสีย ซึ่งมลพิษทางอากาศจากขยะมูลฝอยนั้นอาจเกิดขึ้นได้ทั้งมลสารที่มีอยู่ในขยะ และพวกก๊าซ หรือไอระเหย ที่สำคัญ คือกลิ่นเหม็นที่เกิดจากการเน่าเปื่อยและการสลายตัวของอินทรีย์สารเป็นส่วนใหญ่ ขยะและพวกก๊าซหรือไอระเหย ที่สำคัญ คือ กลิ่นเหม็นที่เกิดจากการเน่าเปื่อยและการสลายตัวของ อินทรีย์สารเป็นส่วนใหญ่ 3. ผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม การเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะมูลฝอยและไม่สามารถกำจัดได้ ทัน กลายเป็นขยะมูลฝอยตกค้างที่ต้องหาสถานที่ทิ้งขยะมูลฝอยมารองรับซึ่งต้องเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ถ้า เป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้ชุมชนมักมีราคาสูง และได้รับการต่อต้านจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ส่วนที่ดินที่ห่างไกลชุมชนออกไปก็ต้องเสียลบประมาณค่าขนส่ง ทำให้เกิดปัญหาด้านงบประมาณ อีกทั้งยัง ส่งผลเสียแก่สภาพแวดล้อม ทำให้บ้านเมืองขาดความสะอาดและความสวยงาม จนอาจเป็นการเสื่อมเสีย ต่อชื่อเสียงในด้านการรักษาความสะอาดของประเทศชาติ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอีก ด้วย 2. แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย จากสถานการณ์ขยะมูลฝอยในประเทศที่เกิดขึ้นยังมีขยะมูลฝอยที่ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง และ ยังตกค้างอยู่ปริมาณมาก ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน การที่จะทำการจัดการ ขยะมูลฝอยที่ได้อย่างถูกต้องและประสบผลสำเร็จ ย่อมต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วนทั้ง ภาครัฐ เอกชนและภาคประชาชนประกอบกับการที่จะต้องมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง โดยได้มีผู้เสนอแนวคิด เกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยหลายท่าน ดังนี้ ธเรศ ศรีสถิตย์ (2553) และอาณัติ ต๊ะปินตา (2553) ได้เสนอแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย ประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆที่สำคัญหลายขั้นตอน ดังนี้ 1. การลดและการคัดแยกขยะ ณ แหล่งกำเนิด เป็นการดำเนินการกับขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นจาก แหล่งกำเนิดต่างๆอันได้แก่ บ้านเรือน อาคารสำนักงาน สถานศึกษา ตลอดจนสถานที่สาธารณะทั่วไปเพื่อ รอการเก็บขน การรวบรวมและนำไปกำจัดทำลายซึ่งการดำเนินการกับขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิดนี้เป็น หน้าที่ความรับผิดชอบโดยตรงของบุคคลหรือเจ้าของบ้านเรือนอาคารสถานที่ต่างๆ ที่จะต้องดำเนินการ แก้ไขใน 2 ลักษณะ คือการลดขยะ ณ แหล่งกำเนิดและการคัดแยกขยะ ณ แหล่งกำเนิด 1.1 การลดขยะ ณ แหล่งกำเนิด ซึ่งดำเนินการได้หลายลักษณะ เช่น


12 1.1.1 การปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงสินค้าหรือบรรจุภัณฑ์ที่จะสร้างปัญหาขยะ (refuse) แนวทางนี้ สามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบได้แก่ 1. หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้บรรจุภัณฑ์ห่อหลายชั้น 2. หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าชนิดใช้ครั้งเดียวหรือผลิตภัณฑ์ที่มีอายุการใช้งานต่างๆ 3. ในการเลือกสินค้าต่างๆที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน น้ำยาทำความสะอาด ผงซักฟอก ฯลฯ ให้เลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดบรรจุใหญ่กว่า เนื่องจากบรรจุภัณฑ์น้อยกว่าเมื่อ เปรียบเที่ยบกับหน่วยน้ำหนักของผลิตภัณฑ์ 4. หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ซึ่งมีส่วนประกอบของขยะที่เป็นมลพิษต่อ สิ่งแวดล้อม เช่น กล่องโฟม ถุงพลาสติก เป็นต้น 1.1.2 การเลือกใช้สินค้าที่สามารถส่งบรรจุภัณฑ์คืนแก่ผู้ผลิตได้( return) แนวทางนี้สามารถ ดำเนินการได้ดังนี้ 1. เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตมีการเรียกคืนซากบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภค ของประชาชน 2. เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีระบบมัดจำและคืนเงิน( deposit refund system) เช่น สินค้าประเภทขวดน้ำอัดลมหรือน้ำดื่มบรรจุขวด เป็นต้น 3. เลือกซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์หรือรีไซเคิลได้หรือมี ส่วนประกอบวัสดุรีไซเคิลต่างๆ 1.1.3 การใช้ซ้ำ ( reuse ) หมายถึง การนำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้งานแล้วกลับมาใช้งาน อีก โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือรูปแบบใดๆ เช่น 1. เลือกซื้อหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีการออกแบบมาให้ใช้ได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เช่น แบตเตอรี่ ชนิดเติมประจุไฟฟ้าใหม่ได้( rechargeable battery ) เป็นต้น 2. เลือกสินค้าชนิดเติม( refill ) เช่นผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาด เป็น ต้น 3. ซ่อมแซมเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ( repair ) ให้สามารถใช้งานได้ต่อไปอีกหรือ บำรุงรักษาให้มีอายุการใช้งานนานขึ้น 4. นำบรรจุภัณฑ์หรือวัสดุเหลือใช้อื่นๆกลับมาใช้ประโยชน์อีก เช่น การใช้ซ้ำถุงผ้า ถุง กระดาษ ถุงพลาสติก กล่องกระดาษ และขวดแก้วต่างๆ ฯลฯ


13 5. ยืมหรือเช่าหรือใช้สิ่งของหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้บ่อยครั้งร่วมกัน เช่น เครื่องดูดฝุ่น อุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านต่างๆ เป็นต้น 1.2 การคัดแยกขยะ ณ แหล่งกำเนิด เป็นขั้นตอนการดำเนินงานภายหลังจากที่มีขยะมูลฝอย เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นกิจกรรมเริ่มต้นที่ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำขยะกลับมาใช้ที่มีศักยภาพ ใน การนำมาใช้ใหม่ไม่ถูกปนเปื้อนด้วยขยะอื่นๆที่มีความสกปรกหรือขยะปียกต่างๆ จนทำให้คุณภาพต่างๆ จนทำให้คุณภาพของขยะที่จะนำกลับมาใช้ประโยชน์ด้อยลงไป หรืออาจทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการล้าง ความสะอาดหรือทำการคัดแยกเพิ่มเติมก่อนที่จะส่งเข้าสู่โรงงานแปรรูปต่อไป ข้อดีอีกประการหนึ่งของ การคัดแยกขยะ ณ แหล่งกำเนิดก็คือ เป็นการช่วยลดปริมาณขยะมูลฝอยที่จะต้องนำไปกำจัดขั้นสุดท้าย ยังสถานที่ฝังกลบขยะให้เหลือน้อยลง อันเป็นการส่งผลทางอ้อมต่ออายุการใช้งานของสถานที่ฝังกลบให้ สามารถใช้งานได้นานมากกว่าเดิม และยังเป็นการประหยัดงบประมาณจำนวนมหาศาลของรัฐที่จะต้อง ลงทุนเพื่อกำจัดขยะอีกด้วย 2.การเก็บรวบรวมและเก็บกัก เป็นการเก็บขนขยะมูลฝอยที่ถูกทิ้งไว้ในภาชนะรองรับขยะซึ่งวาง ไว้ตามสถานที่ต่างๆ อันได้แก่ บริเวณที่พักอาศัย สถาบันการศึกษา ตลาดสด ป้ายรถโดยสารประจำทาง และสวนสาธารณะ ฯลฯ เพื่อนำมารวบรวมไว้ยังจุดพักขยะก่อน แล้วจึงทำการขนถ่ายใส่รถเก็บขยะ เพื่อที่จะได้ขนส่งต่อไปยังสถานที่ฝังกลบ สำหรับขยะที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกแต่หากเป็นขยะรี ไซเคิลที่ได้มีการคัดแยกไว้ในภาชนะรองรับขยะตามที่กล่าวมาแล้ว ขยะเหล่านี้ก็จะถูกรวบรวมและส่งไป แปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ต่อไป อนึ่งขยะมูลฝอยเมื่อถูกเก็บรวบรวมจากภาชนะรองรับขยะที่อยู่ตาม แหล่งกำเนิดต่างๆ แล้วจะถูกขนถ่ายโดยรถเก็บขนขยะเพื่อนำไปกำจัดทำลายยังสถานที่ฝังกลบให้เร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเน่าเหม็นของขยะรวมทั้งเพื่อให้มีขยะตกค้างยังสถานที่ต่างๆให้น้อยที่สุดด้วย ดังนั้น ขยะมูลฝอยเหล่านี้จึงไม่จำเป็นต้องมีการเก็บกัก( STORAGE) ณ จุดใดจุดหนึ่งก่อนนำไปกำจัดหรือทำลาย ยกเว้นในส่วนของขยะอันตรายหรือของเสียอันตรายต่างๆเท่านั้นที่จะต้องทำการเก็บกับให้มีจำนวนมาก พอก่อนที่จะส่งไปกำจัดอย่างถูกวิธีและปลอดภัย สำหรับการเก็บรวบรวมขยะเป็นหน้าที่ตามบทบัญญัติ ของกฎหมายซึ่งกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็น ผู้รับผิดชอบ ดังนั้นหน่วยงานดังกล่าวจะต้องมีการวางระบบและแบบแผนในการเก็บรวบรวมขยะที่เกิดขึ้น ในแต่ละวันอย่างเหมาะสมทั้งนี้เพื่อมิให้มีขยะตกค้างอยู่ตามสถานที่ต่างๆในปริมาณมากและนานเกินไป 3. การขนส่ง เป็นการนำขยะมูลฝอยที่เก็บรวบรวมจากแหล่งกำเนิดต่างๆภายในชุมชนขนถ่ายไป ยังสถานที่ฝังกลบซึ่งตั้งห่างออกไปไกลจากชุมชน หรืออาจเป็นการขนถ่ายขยะไปสู่กระบวนการแปรสภาพ


14 เพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่อีก ในการขนส่งขยะมูลฝอยไปยังสถานที่ฝังกลบนั้นจะเกิดขึ้นภายหลังจาก ที่ได้ทำการเก็บรวบรวมขยะภายในชุมชนเสร็จสิ้นแล้ว 4. การแปรสภาพ เป็นวิธีการที่จะทำให้ขยะมูลฝอยที่เก็บรวบรวมจากชุมชนอยู่ในสภาพที่เกิด ความสะดวกต่อการเก็บขนไปกำจัดหรือทำลายหรือนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของการ แปรสภาพขยะจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ ดังนี้คือ 1 ). เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบจัดการขยะโดยการอัดขยะให้เป็นฟ่อนหรือเป็น ก้อนๆซึ่งจะช่วยลดพื้นที่การเก็บขนขยะและลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งไปยังสถานที่ฝังกลบให้น้อยลง นอกจากนี้การอัดขยะก่อนทำการฝังกลบจะช่วยทำให้สถานที่ฝังกลบมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น กล่าวคือ ขยะที่อัดแน่นโดยการมัดเป็นฟ่อนหรือเป็นก้อนจะมีปริมาตรลดลงเมื่อเทียบกับขยะที่เป็นขยะธรรมดา ด้วยเหตุนี้เมื่อนำไปฝังกลบสามารถรองรับปริมาณขยะได้มากขึ้นและนานขึ้นนั่นเอง 2 ). เพื่อนำวัสดุที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ กล่าวคือ ในกระบวนการแปรสภาพ จะมีการแยกส่วนประกอบหรือคัดแยกขยะออกเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่ แก้ว กระดาษ พลาสติก โลหะ เหล็ก ฯลฯซึ่งขยะเหล่านี้สามารถนำส่งไปยังโรงงานแปรรูปเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิตสินค้าใหม่ได้ ส่วนขยะที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เมื่อถูกคัดแยกออกมาแล้วก็จะทำการขนส่งไปกำจัดหรือทำลายยังสถานที่ฝัง กลบต่อไป 3 ). เพื่อนำผลผลิตที่เกิดจากขบวนการแปรสภาพมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อทำการแปนสภาพขยะด้วยการย่อยสลายทางชีวภาพแล้วก็จะได้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ มาใช้ในการเพาะปลูก หรือทำการย่อยสลายขยะทางชีวภาพเพื่อให้ได้ก๊าซมีเทนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในด้าน ต่างๆ เช่น การหุงต้ม การปั่นกระแสไฟฟ้า เป็นต้น การแปรสภาพขยะมูลฝอยสามารถกระทำได้หลายวิธี ด้วยกัน คือ การแปรสภาพด้วยการบด (grinding) การอัดให้แน่น (compaction) การแยกส่วนประกอบ (separation) และการย่อยสลายทางชีวภาพ (biodegradation) 5. การกำจัดหรือทำลาย ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการจัดการเกี่ยวกับขยะมูลฝอย ซึ่งเมื่อมีการ ดำเนินงานในขั้นตอนต่างๆตามที่ได้กล่าวมาเป็นลำดับแล้ว ในที่สุดขยะที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ ได้อีกก็จะถูกขนส่งไปยังสถานที่ฝังกลบเพื่อนำไปกำจัดต่อไป อย่างไรก็ตาม การกำจัดขยะมูลฝอยที่เป็นอยู่ ในปัจจุบันนี้มิได้มีการฝังกลบเพียงวิธีเดียวแต่ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่สามารถกระทำได้โดยขึ้นอยู่กับปัจจัย หลายประการ ทั้งในเรื่องคุณสมบัติของตัวขยะเองว่าเป็นขยะอันตรายหรือไม่ รวมไปถึงข้อจำกัดในเรื่อง ของการจัดหาพื้นที่ก่อสร้างสถานที่ฝังกลบและงบประมาณที่จะใช้ในการบริหารจัดการด้วย ในปัจจุบันวิธี


15 กำจัดหรือทำลายขยะมีหลายวิธีทั้งเป็นวิธีที่ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาลหรือไม่ก็ตาม วิธีการเหล่านี้ประกอบ ไปด้วย การเทกองบนพื้น (open dumping) การฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล (sanitary landfill) การ ฝังกลบโดยวิธีพิเศษ(secure landfill) และการเผาในเตาเผา (incineration) เป็นต้น พัชรี หอวิจิตร(2529: 13) ได้จำแนกระบบการจัดการขยะมูลฝอยสำหรับชุมชนทั่วๆไปออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้ 1. การทิ้งขยะมูลฝอย เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ทิ้งเห็นว่าวัสดุนั้นๆ ไม่สามารถนำมาใช้ ประโยชน์ได้อีกแล้วจึงทิ้งหรือรวบรวมไว้เพื่อกำจัดต่อไป การทิ้งขยะเป็นกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่ กับบุคคลผู้ใช้วัสดุนั้นๆว่าจะยังใช้ประโยชน์จากวัสดุนั้นหรือไม่ ซึ่งกิจกรรมนี้นับว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งของ ระบบการจัดการขยะมูลฝอย เพราะปริมาณของขยะมูลฝอยที่ต้องการกำจัดอันรวมหมายถึงค่าใช้จ่ายเพื่อ การจัดการขยะมูลฝอยนั้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมกิจกรรมนั้น 2.การจัดการขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิด ในส่วนนี้มุ่งสนใจขยะมูลฝอยที่มาจากชุมชนมากกว่า แหล่งอื่นๆ เพราะขยะชุมชนมีส่วนประกอบหลากหลาย และเกิดขึ้นในแหล่งที่อยู่อาศัยของคน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งในเขตที่ผู้คนอยู่กันอย่างแออัด ไม่มีพื้นที่เพียงพอที่จะเก็บขยะที่เกิดขึ้นได้และถึงจะมีพื้นที่เพียงพอ จะเก็บก็ต้องมีการเก็บขนย้าย หรือกำจัดไปในเวลาอันควรมิฉะนั้นจะเกิดการเน่าเหม็นที่ไม่น่าดู และอาจมี ผลต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้ ดังนั้นต้องการมีออกแบบถังขยะให้มีขนาดและรูปที่เหมาะสมใน การดำเนินงานจะเชื่อมโยงต่อส่วนอื่นๆของการจัดการขยะมูลฝอย 3.การรวบรวม หมายถึง กิจกรรมตั้งแต่การขนถ่ายขยะมูลฝอยจากถังขยะไปจนถึงการขนขยะไป ถ่ายไว้ที่จุดหมายปลายทาง การจัดระบบการรวบรวมขนส่งที่เหมาะสมสำหรับเมืองใหญ่จะมีความยุ่งยาก เช่น การเลือกชนิดของรถขยะ การจัดเส้นทางเดินรถ การพิจารณาความเหมาะสมในการจัดตั้งสถานีขน ถ่ายมูลฝอย ฯลฯ 4.การกำจัดขั้นสุดท้าย ที่นิยมมากที่สุดเพราะมีราคาต้นทุนในการดำเนินการน้อยที่สุด ได้แก่ วิธี ฝังกลบอย่างถูกสุขลักษณะ วิธีนี้สามารถกำจัดขยะมูลฝอยได้ 100% และสามารถรองรับของเหลือจาก การกำจัดด้วยวิธีอื่นได้ แต่วิธีนี้มีข้อเสียคือ ใช้เนื้อที่ในการดำเนินการมาก อาจถูกต่อต้านจากประชาชนที่ อาศัยอยู่ใกล้เคียงกับบริเวณหลุมฝังกลบและถ้าดำเนินการไม่ดีอาจส่งผลกระทบต่อมลพิษทางดิน ทางน้ำ จากการรั่วซึมของน้ำชะขยะ และถ้ากลบทับด้วยดินไม่ดีอาจก่อให้เกิดปัญหากลิ่นเหม็นและเป็นแหล่ง เพาะพันธุ์ของสัตว์นำโรคได้


16 3. แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรม 3.1 ความหมายของพฤติกรรม สุเมธ เคียวอิศเรศ (2527) ได้ให้ความหมายของ พฤติกรรม คือ กิริยาอาการที่แสดงออกหรือ ปฏิกิริยาโต้ตอบที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับสิ่งเร้าซึ่งจะออกมาจากภายนอกหรือภายในร่างกายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มนุษย์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีสิ่งเร้า หรืออีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์ได้แสดงพฤติกรรมออกมาเนื่องจากเกิด แรงจูงใจที่จะตอบสนองความต้องการในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือมีเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ชลิดา ถนอมวงษ์ (2537 : 10) ให้ความหมายของพฤติกรรมว่า หมายถึง การกระทำหรือการ ตอบสนองของบุคคล ซึ่งอาจเป็นไปโดยไม่รู้สึกตัว หรือมีจุดมุ่งหมาย รวมทั้งตรึกตรองเป็นอย่างดีมาแล้ว โดยมีความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติเป็นตัวก่อให้แสดงออกมา โดยที่บุคคลอื่นๆ ที่อยู่อบๆ สามารถ สังเกตการกระทำนั้นได้หรือไม่ก็ตาม ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือทดสอบได้ สมจิตต์ สุพรรณทัสน์ (2540 : 97) ให้ความหมายของคําว่าพฤติกรรมหมายถึง ปฏิกิริยาหรือ กิจกรรมทุกชนิดของสิ่งมีชีวิต ที่สังเกตได้หรือสังเกตไม่ได้ก็ตาม จากความหมายดังกล่าวสรุปได้ว่า พฤติกรรม คือการกระทำหรือปฏิกิริยาการตอบสนองทุกชนิด ต่อสิ่งเร้า ประกอบด้วยพฤติกรรมภายในซึ่งไม่สามารถสังเกตได้โดยตรงแต่สามารถวัดได้โดยใช้เครื่องมือ พิเศษ และพฤติกรรมภายนอกที่สามารถสังเกตได้โดยตรง 3.2 ประเภทของพฤติกรรม สุชา จันทร์เอม และสุรางค์ จันทร์เอม (อ้างใน ชลลดา นาเกษมสุวรรณ , 2534 : 12) ได้แบ่ง พฤติกรรมเป็น 2 ชนิด คือ พฤติกรรมที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (Unleamed bahavior) หมายถึง พฤติกรรมอินทรีย์ที่เกิดขึ้นเอง ได้โดยไม่มีการเรียนรู้มาก่อน พฤติกรรมที่เป็นผลมาจากการเรียนรู้ (Leamed behavior) หมายถึง พฤติกรรมที่อินทรีย์ทำขึ้น หลังจากได้มีการเรียนรู้หรือเลียนแบบจากบุดคลอื่นในสังคม ประสาน หอมพูล และทิพวรรณ หอมพูล (2537 : 73) อธิบายว่า นักจิตวิทยาได้แบ่งพฤติกรรม ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. พฤติกรรมภายนอก (External or overt behavior) เป็นพฤติกรรมภายนอกที่บุคคลกระทำ แล้วผู้อื่นสามารถสังเกตรู้ได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ


17 1.1 พฤติกรรมโมล่าร์ (Molar behavior) เป็นพฤติกรรมภายนอกที่บุคคลกระทำแล้ว ผู้อื่นสามารถสังเกตรู้ได้ด้วยตาเปล่า เป็นพฤติกรรมที่กระทำไปโดยรู้สึกตัว กระทำไปโดยเจตนา 1.2 พฤติกรรมโมเลกุลล่าร์ (Molecular behavior) เป็นพฤติกรรมภายนอกที่บุคคล กระทำแล้วผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่า เป็นพฤติกรรมที่กระทำโดยอวัยวะภายในร่างกายที่ ผู้กระทำพฤติกรรมไม่รู้สึกตัว เป็นการกระทำที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ 2. พฤติกรรมภายใน (Intemal or covert bahavoir) เป็นพฤติกรรมภายในจิตใจของมนุษย์ที่ เกิดขึ้นแล้วบุคคลอื่นไม่สามารถสังเกตเห็น หรือใช้เครื่องมือวัดได้ ผู้กระทำเท่านั้นที่รู้ว่าพฤติกรรมภายใน เกิดขึ้นหรือไม่ เช่น การรู้สึก การรับรู้ การจำ การลืม การคิดและการตัดสินใจ เป็นต้น 3.3 องค์ประกอบของพฤติกรรม Cronbach (อ้างในชลลดา นาเกษมสุวรรณ , 2534 : 13) อธิบายว่า พฤติกรรมของคนเรามี องค์ประกอบอยู่ 7 ประการ คือ 1. ความมุ่งหมาย (Goal) เป็นความต้องการหรือวัตถุประสงค์ที่ทำให้เกิดกิจกรรมเพื่อตอบสนอง ความต้องการที่เกิดขึ้น 2. ความพร้อม (Readiness) หมายถึง ระดับวุฒิภาวะ หรือความสามารถที่จำเป็นในการทำ กิจกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการ 3. สถานการณ์ (Situation) เป็นเหตุการณ์ที่เปิดโอกาสให้ทำกิจกรรมใดกิจกรรมเพื่อสนองความ ต้องการ 4. การแปลความหมาย (Interpretation) ก่อนที่จะทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งจะต้องพิจารณา สถานการณ์เสียก่อน แล้วตัดสินใจเลือกวิธีการที่คาดว่าจะได้ความพอใจมากที่สุด 5. การตอบสนอง (Response) เป็นการทำกิจกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการโดยวิธีการที่ได้ เลือกแล้วในขั้นแปลความหมาย 6. ผลที่ได้รับหรือผลที่ตามมา (Consequence) เมื่อทำกิจกรรมแล้วย่อมได้ผลจากการกระทำ อาจเป็นไปตามที่คาดคิดไว้หรืออาจตรงข้ามกับความหมายได้ 7. ปฏิกิริยาต่อความผิดหวัง (Reaction to thwarting) หากคนเราไม่สามารถสนองความ ต้องการได้ ก็กล่าวได้ว่าเขาได้ประสบกับความผิดหวัง ในกรณีเช่นนี้ เขาอาจจะย้อนกลับไปแปล ความหมายของสถานะเสียใหม่และเลือกวิธีการตอบสนองใหม่ก็ได้พฤติกรรมเป็นลักษณะการกระทำหรือ


18 การแสดงออกของร่างกายต่อเหตุการณ์ต่างๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถสังเกตการกระทำหรือการ แสดงออกนั้นๆ ได้โดยบุคคลหรือใช้เครื่องมือวัด พฤติกรรม เป็นลักษณะการกระทำหรือการแสดงออกของร่างกายต่อเหตุการณ์ต่างๆ อย่างใด อย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถสังเกตการกระทำหรือการแสดงออกนั้นๆ ได้โดยบุคคลหรือใช้เครื่องมือวัด 3.4 สิ่งกำหนดพฤติกรรมมนุษย์ Lewin (ชลลดา นาเกษมสุวรรณ , 2534 : 36) ได้กล่าวว่าพฤติกรรมหรือการปฏิบัติของมนุษย์ นั้นเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างอิทธิพลในตัวบุคคลกับอิทธิพลภายนอกที่แต่ละบุคคลรับรู้ด้วย บุคคลจะ มีพฤติกรรมหรือการปฏิบัติอย่างไร อย่างไร และเมื่อไร จึงไม่ได้ถูกกำหนดโดยความต้องการของมนุษย์ หรือโดยสิ่งเร้าภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถูกกำหนดโดยอิทธิพลมากมายทั้งหลาย ทั้งภายในและ ภายนอกที่สัมพันธ์นตามที่เป็นประสบการณ์ของบุคคล ทฤษฎีสนามของ Lewin (Lewin’s field theory) จึงได้เสนอสูตรในการศึกษาพฤติกรรมหรือการปฏิบัติที่สัมพันธ์กับขอบเขตสภาพแวดล้อมทางสังคมและ วัฒนธรรมด้วย ณรงค์ สินสวัสดิ์ (2527 : 4 – 28) ได้อธิบายไว้ในหนังสือจิตวิทยาการเมืองว่าสิ่งกำหนด พฤติกรรมหรือการปฏิบัติของมนุษย์มีหลายประการ ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 ประเภท 1. ลักษณะนิสัยส่วนตัวของมนุษย์แต่ละคน 1.1 ความเชื่อ (Belief) หมายถึง การที่บุคคลคิดว่าการกระทำบางอย่างหรือ ปรากฎการณ์บางอย่างหรือสิ่งของบางอย่างหรือคุณสมบัติของสิ่งของหรือบุคคลบางอย่างมีอยู่ริงหรือ เกิดขึ้นจริงๆ 1.2 ค่านิยม (Value) ค่านิยมมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมหรือการปฏิบัติ เช่น เปรียบเทียบ กันระหว่างที่คิดว่าความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่ดีกับคนที่คิดว่าความซื่อสัตย์ไม่มีความสำคัญอะไรเลย คนแรก อาจจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังที่จะรักษาความซื่อสัตย์ไว้ถ้าเป็นนายช่างก็จะทำเต็มฝีมือ ถ้าเป็นลูกค้าก็ จะไม่ต้มลูกค้า 1.3 ทัศนคติ (Attitude) ทฤษฎีที่ใช้อธิบายโครงสร้างของทัศนคติหลายทฤษฎีล้วนเห็น พ้องต้องกันว่าทัศนคติมีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม หรือการปฏิบัติของบุคคลกรหรืออาจกล่าวว่า ทัศนคติเป็นตัวกำหนดทิศทางของพฤติกรรมหรือการปฏิบัติได้ 1.4 บุคลิกภาพ (Personality) เป็นสิ่งที่บอกว่าบุคคลจะปฏิบัติอย่างไรในสถานการณ์ หนึ่งๆ


19 2. สิ่งที่ไม่เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของมนุษย์หากแต่เป็นเรื่องของกระบวนการอื่นๆ ทางสังคม พอจะ แยกออกเป็น 2 ประเด็น คือ 2.1 สิ่งกระตุ้นพฤติกรรมหรือการปฏิบัติ (Stimulus object) และความเข้มข้นของสิ่ง กระตุ้นพฤติกรรม 2.2 สถานการณ์ (Situation) คือ สภาวะที่บุคคลกําลังจะมีพฤติกรรมหรือการปฏิบัติ 3.5 การวัดพฤติกรรม วิเชียร เกตุสิงห์ (2524 : 13 – 14) ได้กล่าวว่าพฤติกรรมที่สามารถวัดได้นั้นมีการแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านที่เกี่ยวกับความรู้และความคิด ด้านที่เกี่ยวกับความรู้สึกและอารมณ์และด้านที่เกี่ยวกับ การลงมือกระทำหรือการปฏิบัติ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ พฤติกรรมด้านความรูปและความคิด (Cognitive domain) คือ พฤติกรรมที่เป็นสติปัญญาของ มนุษย์เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้และการแสดงพฤติกรรมทางความรู้ออกมา รวมทั้งพฤติกรรม เกี่ยวกับการเรียนรู้ เช่น ความจํา ความเข้าใจ การนําไปใช้พฤติกรรมด้านนี้จะบอกให้ทราบว่าบุคคลนั้นรู้ หรือไม่รู้มากน้อยเพียงใด พฤติกรรมด้านความรู้สึกและอารมณ์ (Affective domain) เป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก เช่น ทัศนคติ ค่านิยม ในการวัดด้านนี้คือ การวัดความรู้สึกของบุคคลว่าบุคคลนั้นชอบ หรือไม่ชอบมากน้อยเพียงใด พฤติกรรมด้านการปฏิบัติ (Psychomotor domain) เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกทางอวัยวะ สัมผัสเป็นส่วนใหญ่ เช่น การใช้อวัยวะต่างๆ ทำงาน การเคลื่อนไหว เป็นการวัดค่าใครทำอะไรได้มากน้อย เพียงใด เครื่องมือที่ใช้ในการวัดพฤติกรรมทั้ง 3 ด้านนี้ จะแตกต่างออกไป ด้านความรู้ความคิดนิยม แบบทดสอบ ด้านความรู้และอารมณ์นิยมใช้แบบสอบถาม หรือแบบทดสอบประเภทอารมณ์สังคม (Personal social test) ส่วนด้านการปฏิบัติใช้การสังเกตเป็นหลัก 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 งานวิจัยในประเทศ บัญชา สุวรรณสิทธิ์ (2550) ศึกษาเรื่อง การจัดการขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิด ของเทศบาล ตำบลสันทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมครัวเรือนมีจิตสำนึก ในการจัดการมูลฝอย เช่น การเก็บรวบรวมมูลฝอยไว้ตามจุดที่เทศบาลกำหนดรวมทั้งวิธีการจัดการขยะ


20 มูลฝอยตามหลัง 7Rs ของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งหมายถึงการเลือกใช้สินค้าที่เหมาะสมหรือการดัดแปลง ซ่อมแซมให้นำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง จากผลการศึกษาดังกล่าวจะเห็นว่าหากประชาชนมีจิตสำนึกที่ดี เกี่ยวกับการทิ้งขยะ โดยทิ้งขยะในที่ทิ้งก็จะช่วยลดปัญหาขยะของชุมชนลงได้และหากมีการคัดแยกขยะ ก่อนทิ้ง ก็จะสามารถเลือกนำของที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ฐิติรัตน์ ธิติภมรรัตน์ (2552) ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขต เทศบาลตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ประชาชนในเขตเทศบาล ตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรีจำนวน 400 คน ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการจัดการขยะมูล ฝอยของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี และรายด้านทั้ง 3 ด้าน อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านการลดการขยะ ผลการ เปรียบเทียบความแตกต่างของพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พบว่า อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ ต่างกันมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูล ฝอยแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ .05 โดยพบว่า ผู้ที่มีอายุมากมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยดีกว่าผู้ ที่มีอายุน้อย แต่เรื่องของการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีการศึกษาน้อยมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยดีกว่าผู้ที่ มีการศึกษาสูงกว่า ส่วนอาชีพ พบว่าพ่อบ้าน/แม่บ้าน มีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยดีกว่าอาชีพอื่น นอกจากนั้นพบว่า เพศ ระยะเวลาที่อยู่อาศัยในชุมชน รายได้ในครัวเรือน จำนวนสมาชิกในครอบครัว และการได้รับข่าวสารที่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยไม่แตกต่างกัน ราตรี กุณา (2553) ศึกษาเรื่อง การศึกษาวิธีการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนในพื้นที่ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา จากการศึกษาพบว่า การจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนในพื้นที่ตำบลขุนควร อำเภอปง จังหวัดพะเยา ในภาพรวมอยู่ในระดับกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมในการวางแผน และการตัดสินใจแก้ไขปัญหาขยะชุมชนร่วมกับสมาชิกในชุมชนและการมีส่วนร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ในการหาวิธีการและการจัดการขยะร่วมกับสมาชิกในชุมชน จากสมมติฐานพบว่า ประชากรที่มีอายุ แตกต่างกัน ประกอบอาชีพแตกต่างกัน และรายได้แตกต่างกัน มีความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมใน การจัดการขยะ สำหรับปัจจัยส่วนบุคคลได้แก่ เพศที่ต่างกัน และระดับการศึกษาที่ต่างกัน ไม่มี ความสัมพันธ์กับระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะของประชาชน จันทร์เพ็ญ มีนคร (2554) ได้ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยของ ชุมชนตำบลบางนางสี่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนใน การจัดการขยะมูลฝอยอยู่ในระดับปานกลาง ไม่มีส่วนร่วมในการคิดวางแผนกิจกรรมและโครงการ มีส่วน


21 ร่วมในการประชุมและทราบปัญหาสาเหตุ ด้านความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยอยู่ ในระดับมาก สามารถคัดแยกประเภทมูลฝอย ลดการเกิดมูลฝอยจากแหล่งกำเนิด เช่น ใช้ถุงผ้า ใบตองห่อ อาหาร เป็นต้น มีวิธีการจัดการขยะมูลฝอยโดยชุมชนดำเนินการด้วยตนเองตั้งแต่การคัดแยก การจัดเก็บ การรวบรวมใช้วิธีแยกประเภทมูลฝอยเป็นชนิดเปียกและแห้งและการจำหน่าย สำหรับความตระหนักใน การจัดการขยะมูลฝอย ประชาชนมีความตระหนักในระดับมากอาจกล่าวได้ว่าชุมชนมีการจัดการขยะมูล ฝอยด้วยความร่วมมือของชุมชนผ่านกิจกรรมบางอย่าง เช่น การนำมูลฝอยขายได้เก็บรวบรวมตามจุดที่ ชุมชนกำหนด การคัดแยกขยะมูลฝอยชนิดเปียกและแห้ง การทำปุยหมัก ปุ๋ยน้ำ ก๊าซชีวภาพ ส่งผลให้ ชุมชนเกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย เกิดความตระหนักถึงปัญหาและร่วมแก้ไข 4.2 งานวิจัยต่างประเทศ Longe, Longe, & Ukpebor (2009) ศึกษาเรื่อง การรับรู้ของประชาชนต่อการบริหารจัดการ ขยะในครัวเรือนในเขตพื้นที่รัฐบาลท้องถิ่นของโอโจ ประเทศไนจีเรีย โดยการตรวจสอบ โครงสร้างของ ระบบการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนซึ่งเกี่ยวข้องกับ การเก็บและกำจัด โดยนั้นการจัดการขยะมูลฝอย แบบบูรณาการกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้ง นี้ จำนวน 30 ครัวเรือนจาก 11 เขตที่ได้รับการคัดเลือก ซึ่งมีกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม 60 คน ในเขตพื้นที่ โดยเกณฑ์การแบ่งตามรายได้ ระดับสูง กลาง และต่ำ การวิจัยได้ศึกษาถึงพฤติกรรมค้านต่าง ๆ ทัศนคติและการรับรู้ของผู้ตอบแบบสอบถามการจัดการขยะมูล ฝอยในครัวเรือน ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการจัดการขยะของผู้ตอบแบบสอบถามมีความสอดคล้อง กันเกี่ยวกับระบบการจัดการ ขยะมูลฝอย การบริการ การให้บริการ ของรัฐ และต้นทุนในการจัดการ ใน ส่วนของการแสดงความ คิดเห็น และการรับรู้ถึงระบบการจัดการขยะมูลฝอยที่ ไม่มีประสิทธิภาพซึ่งเกิด จากระบบ การตรวจสอบที่ไม่ดีของหน่วยงานท้องถิ่น กลุ่มที่มีรายได้ ระดับปานกลาง และสูง มีความเต็ม ใจที่จะใช้และจ่ายเงินสำหรับการบริการจัดการขยะของเอกชนมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม การประยุกต์ใช้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนจะเพิ่มอัตราของความสำเร็จของการจัด กรขยะ ระดับความชื่นชอบของกรสนับสนุนโดยหน่วยงานภาครัฐอยู่ในระดับสูงทั้งผู้ มีรายได้น้อย ปาน กลาง และมาก แต่การสนับสนุนนั้นเป็นการร่วมกันระหว่างการบริการแบบเป็น ทางการและไม่เป็น ทางการ โคยการมีส่วนร่วมของเอกชนในระบบมีการรับรู้ถึงร้อยละ 64.6 ส่วน ภาคนอกระบบมีเพียง ร้อย ละ 48.7 ซึ่งสามารถแปลได้ว่า มีการรับรู้ในระดับมาก และ รับรู้ในระดับ ปานกลางตามลำดับ ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงระบบการจัดการ ขยะมูลฝอยโดยผ่านการตรวจสอบ การบริการของผู้ประกอบ


22 การภาคเอกชนร่วมกับหน่วยงานราชการท้องถิ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน การให้บริการและในที่สุดการ วิจัยนี้ชี้ให้เห็นแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในเรื่องความยั่งยืน ของการจัดการขยะมูลฝอยโดยกาค เอกชนใน โครงการในเขตพื้นที่รัฐบาลท้องถิ่นและในรัฐลากอสโดยทั่วไป Banga (2011) ศึกษาเรื่อง ความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติในการคัดแยกขยะ และการรีไซเคิล ขยะในครัวเรือน กรณีของเมืองกัมปาลา ประเทศยูกันดา โดยการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 500 ครัวเรือนจากเมืองกัมปาลา ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าถึงแม้ว่าประชาชนจะตระหนักถึงแนว ทางการแยกขยะและการรีไซเคิลขยะ แต่พวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำดังกล่าว ผลการศึกษา พบว่าการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการแยกขยะมูลฝอยขึ้นอยู่กับ ระดับความตระหนักในกิจกรรมการรีไซเคิล ขยะในพื้นที่ รายได้ของครัวเรือน ระดับการศึกษาและ เพศ แต่ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า การเข้าถึงสิ่งอำนวย ความสะดวกในการรีไซเคิลขยะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการส่งเสริมทัศนคติทางบวกต่อกิจกรรมการแยกขยะมูล ฝอย ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งถูกระบุโดยครัวเรือน ก็คือการกำหนดนโยบายของรัฐ และหน่วยงานในเมือง ให้เพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมของในกิจกรรมการกัดแยกขยะและก็สนับสนุนให้พวก เขามีส่วนร่วมใน กิจกรรมการรีไซเคิลขยะ ในการจัดหาศูนย์รวบรวมขยะรี่ไซเคิล ที่เข้าถึงได้ง่ายในพื้นที่ที่อยู่อาศัยทั้งหมดในเมืองกัมปาลา Lee (2011) ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการจัดการและการรีไซเคิลขยะในครัวเรือนของ ประเทศ เกาหลี การพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้ ก่อให้เกิด ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงในเกาหลี ซึ่งความหนาแน่นของประชากรในประเทศเกาหลีคือ 481 คนต่อ กิโลเมตร 2 ถือว่าเป็นประเทศมีกำลังการผลิตที่จำกัด เป็นอันดับที่สามในโลกในปี พ.ศ.2538 รัฐบาล เกาหลีได้ดำเนินการตามระบบเก็บคำธรรมเนียมตามปริมาณขยะที่เกิดขึ้น (ระบบการตั้งราคา) โดย ต้องการให้ทุกครัวเรือนซื้อถุงพลาสติกที่ได้รับการรับรองสำหรับกำจัดขยะ ซึ่งตั้งแต่การเปิดตัวกฎระเบียบ ขี้ขยะมูลฝอยในครัวเรือน ของเกาหลีก็ลดลงอย่างมากและการ รีไซเคิลขยะในครัวเรือนก็เพิ่มขึ้น ใน การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการรีไซเคิลและการจัดการของเสียของครัวเรือนใน เกาหลีในปัจจุบันและสำรวจปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเหล่านี้ โดยทำการสำรวจข้อมูลในกรุงโซล ประเทศ เกาหลี สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 196 คน ผลกระทบจากปัจจัยหลายประการใน การรี ไซเคิลและพฤติกรรมการ จัดการของเสียรวมทั้ง กระบวนทัศน์ด้าน สิ่งแวดล้อมใหม่ (New Environmental Paradigm) ทัศนคติต่อการรีไซเคิล การจัดการขยะ และตราจ สอบตัวแปรด้านประชากรของผู้ตอบแบบสอบถามในวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาความสัมพันธ์และการ


23 วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยใช้โปรแกรม SPSS 16 ผลการวิจัยพบว่าทัศนคติด้านสิ่งแวดล้อมมีผลต่อ การรี ไซเคิลและพฤติกรรมการจัดการของเสีย อย่างมีนัยสำคัญตามตัวแปรทางด้านประชากร Sunarto, Bisi, Soemamo, & Suyadi (2014) ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมของสังคมต่อการจัดการ ขยะมูลฝอยในครัวเรือนของเมืองตุลุงอากุง การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินพฤติกรรมของสังคม ต่อการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของเมืองตุถุงอากุง เพื่อนำมาใช้พิจารณาในการปรับปรุงเบื้องต้น ตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการจัดการขยะให้มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การศึกษาครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้วิธีวิเคราะห์แบบพรรณนา ผลการศึกษาวิจัย พบว่า พฤติกรรมของสังคมต่อการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของเมืองตุลุงอากุง อยู่ในระดับดี ซึ่งเป็นผลมา จากกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะในครัวเรือน ความรู้และทัศนคติ ของสังคมในการจัดการขยะ มูลฝอยในครัวเรือนอยู่ในระดับปานกลางขณะที่การแสดงออกทางพฤติกรรมของสังคมอยู่ในระดับมาก Haider, Amber, Ammara, Mahrukh, & Aish (2015) ศึกษาเรื่อง ความรู้ การรับรู้และ ทัศนคติของคนทั่วไปต่อการจัดการขยะ กรณีศึกษา เมืองลาฮอร์ ประเทศปากีสถาน จากทศวรรษที่ผ่าน มา ทั่วโลกมีความกังวลในการจัดการขยะมูลฝอย เนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรและการ ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้มากเกินไป ทำให้เกิดกองวัสดุเหลือใช้จำนวน มหาศาล ที่เกินความสามารถที่โลกจะบรรจุได้ และยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ อย่างไรก็ตามมันเป็นความท้าทายในการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการศึกษาในครั้งนี้จึงได้ ทำ การประเมินทัศนคติ การรับรู้ และความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยของเมืองลาฮอร์ ซึ่ง ในปัจจุบันนี้ การจัดการขยะมูลฝอยนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงต้องวิจัยอย่าง ละเอียด โดยแบ่งผู้ตอบแบบสอบถามออกเป็น 3 ระดับ คือ ผู้มีรายได้สูง ป่านกลางและต่ำ ของเมือง ลา ฮอร์ โดยใช้สำรวจด้วยแบบสอบถาม ผ่านการสัมภาษณ์แบบถึงประตูบ้าน (door to door) และ การ สัมภาษณ์โดยตรงกับหัวหน้าครอบครัว จำนวน 300 คน จากการสำรวจพบว่า การจัดการขยะมูล ฝอย ร่วมสมัยถูกปรับปรุง แต่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ รวมไปถึงการคัดแยกและรีไซเคิลขยะจากแหล่งกำเนิด ค่อนข้างยากที่จะฝึกฝนและประชาชนมักจะทำความสะอาดในสถานที่ของพวกเขาเป็นประจำ ใน ขณะเดียวกันก็ทิ้งขยะมูลฝอยตามถนนหรือบริเวณใกล้เคียง ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มรายได้ มีส่วนทำให้เกิดปริมาณ ขยะมูลฝอย จำนวน 564 กิโลกรัมต่อวัน โดยกลุ่มที่มีรายได้น้อยมีส่วนทำให้ เกิดปริมาณขยะ 171 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง มีส่วนทำให้เกิดปริมาณขยะ 194 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนกลุ่มผู้มี รายได้สูง มีส่วนทำให้เกิดปริมาณขยะ 199 กิโลกรัมต่อวัน และปริมาณ ขยะจะเพิ่มมากขึ้นหากจำนวน


24 สมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปองค์ประกอบของขยะมูลฝอย ประกอบด้วยผักและผลไม้ ร้อยละ 65.2 พลาสติก ร้อยละ 20.2 กระดาษ ร้อยละ 10.9 แก้ว ร้อยละ 0.3 สิ่งทอ ร้อยละ 33 และอื่น ๆ ร้อย ละ 0.1 ตามลำดับ ถึงแม้ว่าประชาชนจะมีความเต็มใจจ่ายเงิน สำหรับการรีไซเคิล ร้อยละ 78.5 ซึ่งจาก การประเมิน ผลกระทบด้านสุขภาพ อยู่ในระดับมากกว่าด้านขยะ และด้านความพึงพอใจ มากกว่าด้าน อื่นๆ 5. กรอบแนวคิดการวิจัย ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ปัจจัยด้านบุคคล - อายุ - เพศ - อาชีพ - การศึกษา - สถานภาพในครัวเรือน ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ - รายได้รวมครัวเรือน การจัดการขยะมูลฝอย - การลด และคัดแยกขยะ ณ แหล่งกำเนิด - การเก็บรวบรวมและกักเก็บ - การขนส่ง - การแปรสภาพใช้ประโยชน์ จากขยะมูลฝอย - การกำจัดทำลายขยะที่ ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล ปัจจัยด้านความรู้ - ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิด


บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนและศึกษา แนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน ในพื้นที่ชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยการใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งผู้วิจัยได้ กำหนดแนวทางในการวิจัย โดยมีขั้นตอนการทำวิจัย ดังนี้ 3.1 ประชากร 3.2 กลุ่มตัวอย่าง 3.3 การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง 3.4 พื้นที่ในการวิจัย 3.5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.6 ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 3.7 วิธีดำเนินการเก็บข้อมูล 3.8 การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชาการ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบไปด้วยครัวเรือนบ้านเหล่าแขม หมู่ที่ 6 ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 277 ครัวเรือน 3.2 กลุ่มตัวอย่าง การศึกษาครั้งนี้ทำการศึกษา จากกลุ่มตัวอย่างครัวเรือนประชาชน ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งผู้วิจัยคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างให้เป็นตัวแทนของประชาชนในบ้านเหล่าแขม ตามแนวทางของยามาเน (Yamane,1976) อ้างถึงในงานของสุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธิ์ (2545:141) ดังนี้ = 1 + 2


26 n = ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการ N = ขนาดของประชากรทั้งหมด 277 ครัวเรือน e = ความคลาดเคลื่อนของกลุ่มตัวอย่างที่ยอดรับได้ โดยกำหนดให้มีค่า 0.05 แทนค่าในสูตร = 277 1+277(0.05) 2 = 163.69 ดังนั้น ขนาดของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 163.69 ตัวอย่างและเพื่อให้สะดวกต่อการเก็บข้อมูล ผู้ศึกษาจึงทำการเก็บตัวอย่างทั้งสิ้น 163 ครัวเรือน 3.3 การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง สําหรับการเลือกกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบไม่ใช้ความ น่าจะเป็น (non-probability sampling) ประเภทการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญหรือตามสะดวก โดย จะเป็นบุคคลใดก็ได้ที่สามารถให้ข้อมูลกับผู้วิจัยได้ โดยไม่จำกัดเพศและอายุ จากนั้นผู้วิจัยจึงไปเก็บข้อมูล จากครัวเรือน ซึ่งเป็นวันที่ครัวเรือนนั้นอยู่บ้านและยินดีให้ข้อมูลแก่ผู้วิจัย 3.4 พื้นที่ในการวิจัย บ้านเหล่าแขม หมู่ที่ 6 ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 3.5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิธีสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแบบสอบถามตาม ขั้นตอน ดังนี้คือ 1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และเครื่องมือการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะมูลฝอย จาก งานวิจัยของ รองศาสตราจารย์ ดร.คำรณ สิระธนกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุจิน สุนีย์ และ อาจารย์กิติพงษ์ แซ่เฮ็ง (2565)


27 2. กำหนดขอบเขต และโครงสร้างของแบบสอบถามเพื่อ ให้ครอบคลุมหลักการจัดการขยะมูล ฝอย แล้วนำเสนออาจารย์ที่ปรึกษาตรวจสอบ ความถูกต้องสมบูรณ์และให้ข้อ เสนอแนะใน การปรับปรุงแก้ไข 3. สร้างเเบบสอบถามเพื่อประกอบการเก็บรวบรวมข้อมูล การศึกษาวิจัยเรื่อง การศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลซึ่งได้ปรับปรุงมาจาก รายงานกิจกรรม ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัย เรื่อง การจัดการขยะมูลฝอยในเขตพื้นที่ จังหวัดนครพนม ( Waste management in Nakhon Phanom Province ) ของรองศาสตราจารย์ ดร.คำรณ สิระธนกุล ผู้ช่วย ศาสตราจารย์สุจิน สุนีย์ และอาจารย์กิติพงษ์ แซ่เฮ็ง (2565) ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบไปด้วย เพศ อายุสถานภาพใน ครัวเรือน การศึกษา ลักษณะที่อยู่อาศัย การใช้ประโยชน์จากที่อยู่อาศัย อาชีพ รายได้รวมของครัวเรือน ต่อเดือน และความถี่ในการกำจัดขยะ ส่วนที่ 2 พฤติกรรม การจัดการขยะมูลฝอย โดยมีรายละเอียดดังนี้ แบบสอบถาม การจัดการขยะมูลฝอยภายในครัวเรือน คำชี้แจง : แบบสอบถามฉบับนี้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม และสภาพการจัดการขยะมูลฝอยภายในครัวเรือน ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม โปรดเติมเครื่องหมาย / ลงในช่องว่างและกรอกข้อความในช่องว่างที่ตรงกับความเป็นจริงเกี่ยวกับ ตัวท่าน 1. เพศ ชาย หญิง 2. อายุ 21 – 30 ปี 31 – 40 ปี 41 – 50 ปี 51 – 60 ปี มากกว่า 60 ปี 3. สถานภาพในครัวเรือน หัวหน้าครัวเรือน ผู้อาศัย


28 4. การศึกษา ไม่ได้เรียนหนังสือ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา(ปวช.) อนุปริญญา (ปวส.) ปริญาญาตรี สูงกว่าปริญาญาตรี 5. ลักษณะที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยว ตึกแถว/ห้องแถว 6. การใช้ประโยชน์ที่อยู่อาศัย อาศัยอย่างเดียว ร้านค้า/สถานประกอบการ อยู่อาศัยและประกอบกิจการ 7. อาชีพ เกษตกรรม บริการ/ขนส่ง รับราชการ/รัฐวิสาหกิจ ประมง ธุรกิจ/ค้าขาย นักเรียน/นักศึกษา รับจ้าง แม่บ้าน อื่น ๆ ระบุ............... 8. รายได้รวมของครัวเรือนต่อเดือน น้อยกว่า 5,000 บาท 5,000 – 10,000 บาท 10,001 – 20,000 บาท มากกว่า 20,001 บาท 9. ความถี่ในการกำจัดขยะ ทุกวัน ทุก 2-3 วัน ทุก 4-5 วัน ทุก 6-7 วัน ไม่แน่นอน ส่วนที่ 2 พฤติกรรมและแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย โปรดทำเครื่องหมาย / ลงในช่องที่ตรงกับพฤติกรรมของท่านปฏิบัติมากที่สุดเพียง 1 ข้อ โดยกำหนดคำตอบเป็นคะแนน 5 ระดับ คือ 5 หมายถึง ปฏิบัติเป็นประจำ 4 หมายถึง ปฏิบัติบ่อยครั้ง 3 หมายถึง ปฏิบัติบางครั้ง 2 หมายถึง นานๆปฏิบัติครั้ง 1 หมายถึง ไม่เคยปฏิบัติเลย


29 พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ระดับคะแนน 5 4 3 2 1 1. ท่านคัดแยกเศษอาหารไปใช้ประโยชน์ เช่น ให้อาหารสัตว์ หรือ ทำปุ๋ยหมัก 2. ท่านไม่ทิ้งเศษอาหาร เศษข้าว เปลือกผลไม้ รวมกับขยะชนิดอื่น 3. ท่านคัดแยกขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น ถุงพลาสติก ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว ก่อนการนำไปทิ้ง เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ 4. ท่านคัดแยกขยะรีไซเคิล เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว เพื่อนำไว้ จำหน่าย 5. ท่านหลีกเลี่ยงการใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นมลพิษ ต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติก กล่องโฟม เป็นต้น 6. ในการทิ้งขยะมูลฝอยท่านมีถังขยะหรือภาชนะรองรับเสมอ 7. ท่านใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก เมื่อไปจ่ายตลาดหรือซื้อของใช้ทั่วไป 8. ท่านทิ้งขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เป็น ต้น ลงในถังขยะสีเขียวที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ 9. ท่านทิ้งขยะรีไซเคิล เช่น กระดาษ กระป๋องเครื่องดื่ม ถุงพลาสติก เศษโลหะ เป็นต้น ลงในถังขยะสีเหลือง ที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ 10. ท่านทิ้งขยะทั่วไป เช่น ถุงพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุ ผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น ลงในถังขยะสีน้ำเงิน ที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ 11. ท่านทิ้งขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่โทรศัพท์ ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลงหรือวัชพืช เป็นต้น ลงในถังขยะแดงที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ 12. ท่านมักจะทิ้งขยะมูลฝอยรวมกันลงถังขยะโดยไม่ได้คัดแยก


30 แนวทางการจัดการขยะมูลฝอย ระดับคะแนน 5 4 3 2 1 1. ท่านรวบรวมขยะไว้เพื่อให้รถเก็บขยะของเทศบาลนำไปกำจัดทำลาย ณ สถานที่ฝังกลบทุกสัปดาห์ 2. ท่านแปรสภาพขยะอินทรีย์ เช่น เศษบไม้ เศษหญ้า ด้วยการนำไปทำปุ๋ย หมักชีวภาพ 3. ท่านกำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการเผา 4. ท่านกำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการฝังกลบ โดยกำหนดเกณฑ์แปลค่าระดับการปฏิบัติจากค่าเฉลี่ย ดังนี้ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.51 - 5.00 หมายถึงมากที่สุด ค่าเฉลี่ยระหว่าง 3.51 - 4.50 หมายถึงมาก ค่าเฉลี่ยระหว่าง 2.51 - 3.50 หมายถึงปานกลาง ค่าเฉลี่ยระหว่าง 1.51 - 2.50 หมายถึงน้อย ค่าเฉลี่ยระหว่าง 0.51 - 1.50 หมายถึงน้อยที่สุด 3.6 ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ เป็นการตรวจสอบความถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และกรอบแนวคิดการศึกษาหรือไม่ โดยมีวิธีการตรวจสอบ ดังนี้ 1. นําแบบร่างสอบอบถามนําเสนอให้อาจารย์ที่ปรึกษาพิจารณาความเหมาะสมของเครื่องมือ 2. ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษา 3.จัดพิมพ์แบบสอบถาม 4. นําแบบสอบถามไปดำเนินการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้ 3.7 วิธีดำเนินการเก็บข้อมูล 1. ทบทวนแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการจัดการขยะ แนวทางในการ จัดการขยะมูลฝอยในชุมชน เพื่อใช้กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย สร้างเครื่องมือในการวิจัย ตลอดจนการ วิเคราะห์ข้อมูล และอภิปรายผล


31 2. ดำเนินการลงพื้นที่ในการวิจัย คือ บ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัด ร้อยเอ็ด ประสานผู้ใหญ่บ้านหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลกับประชาชนในพื้นที่ โดยใช้ แบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 163 ครัวเรือน ซึ่งให้หัวหน้า ครัวเรือนหรือสมาชิกในครัวเรือนเป็นตัวแทนในการตอบแบบสอบถาม ครัวเรือนละ 1 ฉบับ และนำข้อมูล ที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการทางสถิติ ด้วยการคำนวณทางระบบคอมพิวเตอร์ แล้วนำผลที่ได้มา วิเคราะห์ตามวัตุประสงค์ของการวิจัยต่อไป 3.8 การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามทั้งหมด ผู้วิจัยนำมาวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรม สำเร็จรูปคือ excel , spss ทั้งนี้สถิติที่ใช้ในการประมวลผล ประกอบด้วย จำนวน (N) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean , X̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation, S.D.)


บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล ในการวิเคราะห์ผลข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด คณะผู้วิจัยได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 163 ชุด คณะผู้วิจัยได้นำข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์การวิจัยที่ตั้งไว้ โดยนำเสนอ รายละเอียดดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทั่วไป ส่วนที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ส่วนที่ 3 วิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน ส่วนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทั่วไป ตารางที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลทั่วไป จำนวน ร้อยละ 1. เพศ ชาย 93 57.10 หญิง 70 42.90 รวม 163 100.00 2. อายุ 31-40 ปี 9 5.50 41-50 ปี 84 51.50 51-60 ปี 54 33.10 มากกว่า 60 ปี 16 9.80 รวม 163 100.00


33 ข้อมูลทั่วไป จำนวน ร้อยละ 3. สถานภาพในครัวเรือน หัวหน้าครัวเรือน 59 36.20 ผู้อาศัย 104 63.80 รวม 163 100.00 4. การศึกษา ประถมศึกษา 98 60.10 มัธยมศึกษา(ปวช.) 56 34.40 อนุปริญญา(ปวส.) 4 2.50 ปริญญาตรี 5 3.10 รวม 163 100.00 5. ลักษณะที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยว 163 100.00 รวม 163 100.00 6. การใช้ประโยชน์ที่อยู่อาศัย อาศัยอย่างเดียว 154 94.50 อยู่อาศัยและประกอบกิจการ 9 5.50 รวม 163 100.00 7. อาชีพ เกษตรกรรม 146 89.60 ธุรกิจ/ค้าขาย 12 7.40 รับจ้าง 5 3.10 รวม 163 100.00 8. รายได้รวมของครัวเรือนต่อเดือน น้อยกว่า 5,000 13 8.00 5,000 - 10,000 บาท 97 59.50 10,001 – 20,000 บาท 39 23.90 มากกว่า 20,001 บาท 14 8.60


34 ข้อมูลทั่วไป จำนวน ร้อยละ รวม 163 100.00 9. ความถี่ในการกำจัดขยะ ทุกวัน 1 0.60 ทุก 2-3 วัน 162 99.40 รวม 163 100.00 จากตางรางที่ 1 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 57.1 รองลงมา คือเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 42.90 อายุส่วนใหญ่ 41-50 ปีคิดเป็นร้อยละ 51.50 รองลงมาคือ 51-60 ปี และมากกว่า 60 ปี คิดเป็นร้อยละ 33.10 และ 9.80 ตามลำดับ สถานภาพในครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นผู้ อาศัย คิดเป็นร้อยละ 63.8 รองลงมาคือผู้หัวหน้าครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 36.20 การศึกษาส่วนใหญ่อยู่ ในระดับประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 60.10 รองลงมาคือ มัธยมศึกษา(ปวช.) และปริญญาตรี คิดเป็นร้อย ละ 34.40 และ 3.10 ตามลำดับ ลักษณะที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว คิดเป็นร้อยละ 100.00 การใช้ ประโยชน์ที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อาศัยอย่างเดียว คิดเป็นร้อยละ 94.50 รองลงมาคืออาศัยและประกอบ กิจการ คิดเป็นร้อยละ 5.50 อาชีพส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรม คิดเป็นร้อยละ 89.60 รองลงมาคือธุรกิจ/ ค้าขาย และรับจ้าง คิดเป็นร้อยละ 7.40 และ 3.10 รายได้รวมของครัวเรือนต่อเดือนส่วนใหญ่ คือ 5,000 - 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 59.50 รองลงมาคือ 10,000 -20,000 และ มากกว่า 20,0001 บาท คิด เป็นร้อยละ 23.90 และ 8.60 ตามลำดับ ส่วนความถี่ในการกำจัดขยะส่วนใหญ่คือ ทุก 2-3 วัน คิดเป็น ร้อยละ 99.40 รองลงมาคือทุกวัน คิดเป็นร้อยละ 0.60 ส่วนที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการจัดการขยะมูล ฝอย ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ̅ S.D ระดับการ ปฏิบัติ 1. คัดแยกเศษอาหาร ไปใช้ประโยชน์ เช่น ให้อาหารสัตว์หรือ ทำปุ๋ยหมัก 4.80 0.39 มากที่สุด 2. ไม่ทิ้งเศษอาหาร เศษข้าว เปลือกผลไม้รวมกับขยะชนิดอื่น 3.21 0.45 ปานกลาง


35 พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอย ̅ S.D ระดับการ ปฏิบัติ 3. คัดแยกขยะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น ถุงพลาสติก ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว ก่อนการนำไปทิ้ง เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ 3.52 0.67 มาก 4. คัดแยกขยะรีไซเคิล เช่น ขวดน้ำพลาสติก ขวดแก้ว เพื่อนำไว้จำหน่าย 4.77 0.42 มากที่สุด 5. หลีกเลี่ยงการใช้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็น มลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติก กล่องโฟม เป็นต้น 3.02 0.58 ปานกลาง 6. ในการทิ้งขยะมูลฝอยมีถังขยะหรือภาชนะรองรับเสมอ 5.00 0.00 มากที่สุด 7. ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกเมื่อไปจ่ายตลาดหรือซื้อของใช้ทั่วไป 3.23 0.70 ปานกลาง 8. ทิ้งขยะอินทรีย์ เช่น เศษผัก เปลือกผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ เป็น ต้น ลงในถังขยะสีเขียว ที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ 2.15 0.52 น้อย 9. ทิ้งขยะรีไซเคิล เช่น กระดาษ กระป๋องเครื่องดื่ม ถุงพลาสติก เศษโลหะ เป็นต้น ลงในถังขยะสีเหลืองที่หน่วยงานราชการ จัดหาให้ 2.01 0.52 น้อย 10. ทิ้งขยะทั่วไป เช่น ถุงพลาสติกใส่ขนม ถุงพลาสติกบรรจุผงซักฟอก พลาสติกห่อลูกอม ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น ลงในถังขยะสีน้ำเงิน ที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ 2.50 0.75 น้อย 11. ทิ้งขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่โทรศัพท์ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลงหรือวัชพืช เป็น ต้น ลงในถังขยะสีแดงที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ 1.13 0.34 น้อยที่สุด 12. มักจะทิ้งขยะมูลฝอยรวมกันลงถังขยะโดยไม่ได้คัดแยก 3.48 0.51 ปานกลาง รวม 3.23 0.19 ปานกลาง จากตางรางที่ 2 พบว่าด้านพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในชุมชนบ้านเหล่า แขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 3.23 เมื่อ พิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ในการทิ้งขยะมูลฝอยมีถังขยะหรือภาชนะรองรับเสมอ ซึ่ง มีค่าเฉลี่ย 5.00 รองลงมาคือ คัดแยกเศษอาหาร ไปใช้ประโยชน์ เช่น ให้อาหารสัตว์หรือ ทำปุ๋ยหมัก ซึ่งมี


36 ค่าเฉลี่ย 4.80 ในขณะที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ทิ้งขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ โทรศัพท์ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลงหรือวัชพืช เป็นต้น ลงในถังขยะสีแดงที่หน่วยงานราชการจัดหา ให้ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.13 ส่วนที่ 3 วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลการตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับแนวทางการจัดการขยะมูล ฝอยในชุมชน ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน จากตารางที่ 3 พบว่าด้านแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 2.84 เมื่อ พิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ รวบรวมขยะไว้เพื่อให้รถเก็บขยะของเทศบาลนำไปกำจัด ทำลาย ณ สถานที่ฝังกลบทุกสัปดาห์ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.83 รองลงมาคือ กำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการเผา ซึ่ง มีค่าเฉลี่ย 3.42 ในขณะที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ แปรสภาพขยะอินทรีย์ เช่น เศษไม้ เศษหญ้า ด้วยการ นำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.53 แนวทางการจัดการขยะมูลฝอย ̅ S.D ระดับการ ปฏิบัติ 1. รวบรวมขยะไว้เพื่อให้รถเก็บขยะของเทศบาลนำไปกำจัดทำลาย ณ สถานที่ฝังกลบทุกสัปดาห์ 4.83 0.37 มากที่สุด 2. แปรสภาพขยะอินทรีย์ เช่น เศษไม้ เศษหญ้า ด้วยการนำไปทำ ปุ๋ย หมักชีวภาพ 1.53 0.93 น้อย 3. กำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการเผา 3.42 0.57 ปานกลาง 4. กำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการฝังกลบ 1.58 0.55 น้อย รวม 2.84 0.23 ปานกลาง


บทที่ 5 สรุปผลการวิจัย เเละข้อเสนอเเนะ การวิจัยเรื่อง การศึกษาการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 5.1 วัตถุประสงค์ของการทำวิจัย 1.เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 2. เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 5.2 กลุ่มประชาการ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบไปด้วยครัวเรือนบ้านเหล่าแขม หมู่ที่ 6 ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 277 ครัวเรือน 5.3 กลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (non-probability sampling) ประเภท การเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญหรือตามสะดวก จำนวน 163 ครัวเรือน 5.4 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา เครื่องมือวิจัยครั้งนี้คือ เเบบสอบถามจำนวน 163 ชุด ประกอบไปด้วย 1.ข้อมูลส่วนบุคคลเเละข้อมูลทั้วไปของผู้ตอบเเบบสอบถาม 2.พฤติกรรมเเละเเนวทางการจัดการขยะมูลฝอย ซึ่งมีการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยตามขั้นตอนเเละกระบวนการตามลำดับ 1. ทบทวน แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการจัดการขยะแนวทางในการจัดการขยะมูลฝอยใน


38 ชุมชน เพื่อใช้กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัยสร้างเครื่องมือในการวิจัย ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูล และอภิปรายผล 2. ดำเนินการลงพื้นที่ในการวิจัย คือ บ้านเหล่าแขมหมู่ที่ 6 ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ประสานผู้ใหญ่บ้านหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูล กับประชาชนในพื้นที่ โดยใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ในกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 277 ครัวเรือน ซึ่งให้ หัวหน้าครัวเรือนหรือสมาชิกในครัวเรือน เป็นตัวแทน ในการตอบแบบสอบถาม ครัวเรือนละ 1 ฉบับ โดยนำข้อมูลที่ได้จากการรวบรวม ไปวิเคราะห์ข้อมูล ได้ผลดังนี้ ข้อมูลเชิงปริมาณ จากแบบสอบถามทั้งหมด ผู้วิจัยนำมาวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์ โปรแกรมสำเร็จรูปคือ excel , spss ทั้งนี้สถิติที่ใช้ ในการ ประมวลผล ประกอบด้วย จำนวน (N) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean , ̅และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation, S.D.) 5.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ทบทวนแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการจัดการขยะแนวทางในการ จัดการขยะมูลฝอยในชุมชน เพื่อใช้กำหนดกรอบแนวคิดการวิจัย สร้างเครื่องมือในการวิจัยตลอดจน การวิเคราะห์ข้อมูล และอภิปรายผล 2. ดำเนินการลงพื้นที่ในการวิจัย คือ บ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัด ร้อยเอ็ด ประสานผู้ใหญ่บ้านหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อขออนุญาตเก็บข้อมูลกับประชาชนในพื้นที่ โดยใช้แบบทดสอบที่สร้างขึ้นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 163 ครัวเรือน ซึ่งให้ หัวหน้าครัวเรือนหรือสมาชิกในครัวเรือนเป็นตัวแทนในการตอบแบบสอบถาม ครัวเรือนละ 1 ฉบับ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการทางสถิติ ด้วยการคำนวณทางระบบคอมพิวเตอร์ แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ตามวัตุประสงค์ของการวิจัย 5.6 การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล ข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามทั้งหมด ผู้วิจัยนำมาวิเคราะห์โดยใช้คอมพิวเตอร์ โปรแกรม สำเร็จรูปคือ excel , spss ทั้งนี้สถิติที่ใช้ในการ ประมวลผล ประกอบด้วย จำนวน (N) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic Mean , X̅) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation, S.D.)


39 5.7 ข้อจำกัดทางการศึกษา 1. ผู้ตอบเเบบสอบถามมีเวลาในการทำเเบบสอบถามน้อยหรืออ่านข้อมูลไม่ละเอียด 2. การเลือกกลุ่มตัวอย่างเเบบบังเอิญทำให้ต้องเลือกเวลาในการลงพื้นที่ให้เหมาะสม 5.8 สรุปผลการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1.เพื่อศึกษาพฤติกรรมในการ จัดการขยะมูลฝอยในชุมชน บ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด 2. เพื่อศึกษาแนวทางในการจัดการขยะ มูลฝอยในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จากการวิเคราะห์ข้อมูล ได้ผลการวิจัยดังนี้ 1. พบว่าด้านพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 3.23 เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือในการทิ้งขยะมูลฝอยมีถังขยะ หรือภาชนะ รองรับเสมอ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 5.00 รองลงมาคือ คัดแยกเศษอาหาร ไปใช้ประโยชน์ เช่น ให้อาหาร สัตว์หรือ ทำปุ๋ยหมัก ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.80 ในขณะที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ทิ้ง ขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่โทรศัพท์ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลง หรือวัชพืชลงในถังขยะสีแดงที่หน่วยงานราชการ จัดหาให้ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.13 2. พบว่าด้านแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในชุมชน บ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 2.84 เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ รวบรวมขยะไว้เพื่อให้รถเก็บขยะของเทศบาล นำไปกำจัดทำลาย ณ สถานที่ฝังกลบทุกสัปดาห์ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.83 รองลงมาคือ กำจัดขยะมูล ฝอยด้วยวิธีการเผา ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 3.42 ในขณะที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ แปรสภาพขยะอินทรีย์ เช่น เศษไม้ เศษหญ้า ด้วยการนำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.53


40 5.9 อภิปรายผล จากผลการวิจัยผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยมี 2 ประเด็น ซึ่งจะนำมาอภิปรายผลแต่ละประเด็น ดังนี้ 1. พบว่าด้านพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชน ในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะ แก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 3.23 เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ในการทิ้งขยะมูลฝอยท่านมีถังขยะหรือ ภาชนะรองรับเสมอ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 5.00 รองลงมาคือ คัดแยกเศษอาหาร ไปใช้ประโยชน์ เช่น ให้อาหารสัตว์หรือ ทำปุ๋ยหมัก ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.80 ในขณะที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ทิ้งขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่โทรศัพท์ ภาชนะที่ใช้บรรจุสารกำจัดแมลงหรือวัชพืช ลงในถังขยะสีแดงที่หน่วยงานราชการจัดหาให้ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย อยู่ที่ 1.13 จากผลการวิจัยนี้ช่วยให้ทราบถึงพฤติกรรมการจัดการขยะของคนในชุมชนซึ่งพฤติกรรมที่ แสดงออกนั้นมีอิทธิพลต่อสภาพปัญหาการจัดการขยะในพื้นที่เป็นอย่างมากเพราะขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ สถานภาพ การศึกษา รายได้รวมครัวเรือน อุปนิสัยส่วนบุคคลหรือพฤติกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ ละครัวเรือนที่มีพฤติกรรมการจัดการขยะที่แตกต่างกันทำให้ปริมาณขยะในแต่ละครัวเรือนมีมากน้อย แตกต่างกันไป ซึ่งสอดคล้องกับงานของ ฐิติรัตน์ ธิติภมรรัตน์ (2552) ศึกษาเรื่อง พฤติกรรมการจัดการ ขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ วิจัยคือ ประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 400 คน ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัด ชลบุรี โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี และรายด้านทั้ง 3 ด้าน อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการลดการขยะ ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของ ประชาชนในเขตเทศบาลตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พบว่า อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ ต่างกันมีพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยแตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ .05 โดยพบว่า ผู้ที่มีอายุมากมี พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยดีกว่าผู้ที่มีอายุน้อย แต่เรื่องของการศึกษาพบว่า ผู้ที่มีการศึกษาน้อยมี พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยดีกว่าผู้ที่มีการศึกษาสูงกว่า ส่วนอาชีพ พบว่าพ่อบ้าน/แม่บ้าน มี พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยดีกว่าอาชีพอื่น นอกจากนั้นพบว่า เพศ ระยะเวลาที่อยู่อาศัยในชุมชน รายได้ในครัวเรือน จำนวนสมาชิกในครอบครัว และการได้รับข่าวสารที่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการ จัดการขยะมูลฝอยไม่แตกต่างกัน 2. พบว่าด้านแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยของประชาชน ในชุมชนบ้านเหล่าแขม ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเสลภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 2.84 เมื่อ พิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ รวบรวมขยะไว้เพื่อให้รถเก็บขยะ ของเทศบาลนำไปกำจัด


41 ทำลาย ณ สถานที่ฝังกลบทุกสัปดาห์ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 4.83 รองลงมาคือ กำจัดขยะมูลฝอยด้วยวิธีการเผา ซึ่ง มีค่าเฉลี่ย 3.42 ในขณะที่ข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ แปรสภาพขยะอินทรีย์ เช่น เศษไม้ เศษหญ้า ด้วยการ นำไปทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.53 จากผลการวิจัยนี้ทำให้ทราบถึงการบริหารจัดการขยะของ แต่ละครัวเรือนที่ส่งผลต่อปริมาณขยะมูลฝอยในชุมชน ชุมชนมีการบริหารจัดการขยะโดยการเก็บรวบรวม ขยะมูลฝอยในครัวเรือนของตนเองไว้ในจุดรับส่งขยะคือบริเวณหน้าบ้านของตนเองโดยมีภาชนะรองรับ ขยะและมีการดำเนินการเก็บรวบรวมโดยรถขยะของเทศบาลเพื่อส่งต่อไปยังสถานที่ฝังกลบในทุกสัปดาห์ ซึ่งจากการสอบถามจากประชาชนในชุมชน หรือผู้ให้ข้อมูลและการสำรวจพบว่าสภาพการบริหารจัดการ ขยะมูลฝอยในชุมชนมีการกำจัดขยะที่เป็นระบบทำให้ชุมชนสะอาด น่าอยู่และยังมีการพบการกำจัดขยะ มูลฝอยด้วยวิธีการเผาอยู่แต่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับการรวบรวมขยะมูลฝอยไว้เพื่อรอให้รถขยะของ เทศบาลมาเก็บรวบรวมไปเพื่อนำไปกำจัดยังสถานที่ฝังกลบอย่างถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล ทั้งนี้จากการ สอบถามพบว่า การเก็บรวบรวม ขยะมูลฝอยไว้เพื่อนำส่งต่อให้รถขยะเทศบาลนำไปกำจัดต่อนั้นเป็น วิธีการบริหารการจัดการขยะมูลฝอย ของชุมชนที่ดีที่สุดในขณะนี้เพราะทำให้ชุมชนสะอาดน่าอยู่อาศัย และวิธีนี้ก่อให้เกิดมลพิษ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชนน้อยที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับงานของ บัญชา สุวรรณสิทธิ์ (2550) ศึกษาเรื่อง การจัดการขยะมูลฝอย ณ แหล่งกำเนิด ของเทศบาลตำบลสัน ทรายหลวง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมครัวเรือนมีจิตสำนึกในการ จัดการมูลฝอย เช่น การเก็บรวบรวมมูลฝอยไว้ตามจุดที่เทศบาลกำหนดรวมทั้งวิธีการจัดการขยะมูลฝอย ตามหลัง 7Rs ของกรมควบคุมมลพิษ ซึ่งหมายถึงการเลือกใช้สินค้าที่เหมาะสมหรือการดัดแปลง ซ่อมแซม ให้นำกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง จากผลการศึกษาดังกล่าวจะเห็นว่าหากประชาชนมีจิตสำนึกที่ดีเกี่ยวกับการ ทิ้งขยะ โดยทิ้งขยะในที่ทิ้งก็จะช่วยลดปัญหาขยะของชุมชนลงได้และหากมีการคัดแยกขยะก่อนทิ้ง ก็จะ สามารถเลือกนำของที่ใช้แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และสอดคล้องกับงานของจันทร์เพ็ญ มีนคร (2554) ได้ ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนตำบลบางนางสี่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยอยู่ในระดับปาน กลาง ไม่มีส่วนร่วมในการคิดวางแผนกิจกรรมและโครงการ มีส่วนร่วมในการประชุมและทราบปัญหา สาเหตุ ด้านความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอยอยู่ในระดับมาก สามารถคัดแยก ประเภทมูลฝอย ลดการเกิดมูลฝอยจากแหล่งกำเนิด เช่น ใช้ถุงผ้า ใบตองห่ออาหาร เป็นต้น มีวิธีการ จัดการขยะมูลฝอยโดยชุมชนดำเนินการด้วยตนเองตั้งแต่การคัดแยก การจัดเก็บ การรวบรวมใช้วิธีแยก ประเภทมูลฝอยเป็นชนิดเปียกและแห้งและการจำหน่าย สำหรับความตระหนักในการจัดการขยะมูลฝอย


42 ประชาชนมีความตระหนักในระดับมากอาจกล่าวได้ว่าชุมชนมีการจัดการขยะมูลฝอยด้วยความร่วมมือ ของชุมชนผ่านกิจกรรมบางอย่าง เช่น การนำมูลฝอยขายได้เก็บรวบรวมตามจุดที่ชุมชนกำหนด การคัด แยกขยะมูลฝอยชนิดเปียกและแห้ง การทำปุยหมัก ปุ๋ยน้ำ ก๊าซชีวภาพ ส่งผลให้ชุมชนเกิดความรู้ ความ เข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย เกิดความตระหนักถึงปัญหาและร่วมแก้ไข 5.10 ข้อเสนอเเนะ 1. ข้อเสนอแนะจากผลการทำวิจัย 1) การจัดการขยะมูลฝอยควรใช้วิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งเเวดล้อม เช่น การฝังกลบ การทำปุ๋ยหมัก ชีวภาพ การนำไปเป็นอาหารสัตว์ 2) การเก็บรวบรวมขยะควรมีการเเยกประเภทของขยะทุกครั้งเพื่อง่ายต่อการจัดเก็บเเละการ นำไปใช้ประโยชน์ 3) ควรส่งเสริมองค์ความรู้เกี่ยวกับวิธีการจัดการขยะมูลฝอยที่ถูกต้องให้กับประชาชนในชุมชน 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1) ศึกษาผลกระทบของขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นในชุมชนที่มีต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน 2) ศึกษาวิธีการใช้ประโยชน์และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากขยะมูลฝอยในชุมชน


43 บรรณานุกรม กรมควบคุมมลพิษ. (2558). คู่มือประชาชน การคัดแยกขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีและเพิ่ม มูลค่า. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ฮีซ์ จำกัด. กรมควบคุมมลพิษ. (2564). คู่มือประชาชน การคัดแยกขยะมูลฝอยอย่างถูกวิธีและเพิ่ม มูลค่า. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ฮีซ์ จำกัด. จันทร์เพ็ญ มีนคร. (2554).การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย ของชุมชนตำบล บางนางลี่ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฎสวน สุนันทา. ชลลดา นาเกษมสุวรรณ. (2534). พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับมลพิษทาง อากาศและเสียงของผู้ขับขี่รถบรรทุกในเขตกรุงเทพมหานคร . กรุงเทพฯ : วิทยา นิพนธวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (เทคโนโลยีการบริหารสิ่งแวดลอม) . บัณฑิตวิทยาลัมหา วิทยาลัยมหิดล. ชลิดา ถนอมวงษ. (2537). การศึกษาพฤติกรรมการกําจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในแพพัก แพลองในเขต อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี. วิทยานิพนธ์ สศ.ม. (สิ่งแวดลอม). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหิดล. ถายเอกสาร. ณรงค สินสวัสดิ์. (2527). จิตวิทยาการเมือง. (พิมพครั้งที่ 3) . กรุงเทพฯ : โรงพิมพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ธเรศ ศรีสถิตย์. (2553). วิศวกรรมการจัดการมูลฝอยชุมชน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. ประสาน หอมพูล และทิพวรรณ หอมพูล. (2537). จิตวิทยาทั่วไป / จิตวิทยาธุรกิจ. กรุงเทพฯ : วังอักษร. พัชรี หอวิจิตร.2529. การจัดการขยะมูลฝอย. คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535. ราชกิจจานุเบกษา. ฉบับกฤษฎีกา 109, 38 (5 เมษายน), 28-34. ไพบูลย์ แจ่มพงษ์. (2555). การใช้ประโยชน์และการจัดการขยะมูลฝอยของครัวเรือนประชาชน ตำบลสวนหลวง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม. มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา นภัส น้ำใจตรง. (2561). พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนในตำบลกระทุ่มล้ม อำเภอ สามพราน จังหวัดนครปฐม. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ ภาครัฐและภาคเอกชน มหาวิทยาลัยศิลปากร,กรุงเทพมหานคร


Click to View FlipBook Version