คมู่ อื พฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์
แบบมสี ่วนรว่ ม
SDGsPGS
(Sustainable Development Goals
Participatory Guarantee System)
โดย ดร.อนุรักษ์ เรอื งรอบ
นักวิชาการอิสระ ขับเคล่อื นการพฒั นาระบบมาตรฐานการรับรอง
แบบมีสว่ นรว่ ม โดยใช้พน้ื ทเ่ี ปน็ ตวั ตง้ั
เลขาธิการ สหพนั ธ์เกษตรกรรมยง่ั ยนื แหง่ ประเทศไทย
คานา
เกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture) คือระบบการเกษตรท่ีครอบคลุมถึงวิถีชีวิต
เกษตรกร กระบวนการผลิต และการจัดการทุกรูปแบบ เพ่ือให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม
ส่ิงแวดล้อม และระบบนิเวศซึ่งนําไปสู่การพึ่งตนเองและการพัฒนา คุณภาพชีวิตของเกษตรกรและ
ผู้บริโภคเกษตรกรรมยั่งยืนครอบคลุมเกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรผสมผสาน
และเกษตรทฤษฎีใหม่
ไมว่ า่ จะเป็นเกษตรกรรมยั่งยนื รปู แบบใด หากเกษตรกรผลติ เพ่อื การบรโิ ภคในครวั เรือน หรือ
การแบ่งปันในกลุ่มเล็กๆ คงไม่มีความจําเป็นต้องพัฒนามาตรฐานใดๆ แต่หากทําการผลิตและ
แปรรูปโดยมีเป้าหมายเพ่ือการค้าขาย ไม่ว่าจะภายในชุมชน ภายในจังหวัด หรือข้ามจังหวัด หรือ
ข้ามประเทศ การพัฒนามาตรฐานเพือ่ รบั รองผลผลิตมีความจําเป็นและสาํ คัญย่งิ
ท่ีผ่านมา การเกษตรประเภทท่ีมีการพัฒนามาตรฐานได้อย่างชัดเจน คือเกษตรอินทรีย์
โดยเกษตรกรสามารถเข้าถงึ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่รับรองโดยกลไกรัฐ โดยกลไกเอกชน และโดย
กลไกบุคคลที่ 3 และสามารถเข้าถึงการพัฒนามาตรฐานสากลได้ตามความต้องการที่จะเช่ือมโยง
ค้าขายผลผลิตในตลาดปลายทาง
ในช่วงต้นของคู่มือฉบับนี้ได้พูดถึงภาพใหญ่ของการขับเคล่ือนการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก
ตามมาด้วยการทําความเข้าใจการขับเคลื่อนเกษตรกรรมย่ังยืนในประเทศไทยผ่านยุทธศาสตร์
เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ และยุทธศาสตร์เกษตรกรรมย่ังยืนในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 จากน้ัน
ได้นําเสนอให้เหน็ ภาพของการพัฒนาระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วมท้ังระดับสากลและในประเทศ
ไทย ตามมาด้วยการทําความเข้าใจการพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ SDGsPGS และการจัดกลไก
ต่างๆ ทงั้ ระดบั จังหวัดและระดับชาติเพือ่ เดินสู่การปฏิบตั ิ
การพัฒนาระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม (Participatory Guarantee System - PGS)
มีความสําคัญและได้รับการยอมรับจากหน่วยงานต่างๆมากข้ึน เพราะช่วยประหยัดต้นทุนในการ
รับรอง และท่ีสําคัญเกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนได้เสียในแต่ละพื้นท่ี การพัฒนาระบบ
การรับรองแบบมีสว่ นรว่ มสามารถรบั รองแปลงเกษตรและผลผลิตที่เกิดข้ึนในกิจกรรมการเกษตรทุก
ประเภททเ่ี ป็นสว่ นหนง่ึ ของเกษตรกรรมยัง่ ยนื
คูม่ อื พัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม SDGsPGS ฉบับนี้ มีไว้เพื่อเป็นทางเลือก
หน่ึงท่ีเครือข่ายเกษตรกรและภาคีร่วมพัฒนาสามารถนําไปพัฒนาเพื่อการรับรองแปลงและผลผลิต
จากกลุ่มเครือข่ายท้ังในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศ ASEAN เครือข่าย SDGsPGS ไม่ใช่
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมีสว่ นร่วม SDGsPGS หนา้ 2
เครือข่ายเพื่อการรับรองมาตรฐานแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่มาตรฐานการรับรองแบบมีส่วนร่วม
เป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนาและรับรองแปลง รับรองผลิตผลเกษตร เกิดการเชื่อมโยง และการ
จดั การนําผลผลิตออกส่ตู ลาดอยา่ งเปน็ ระบบทัง้ ห่วงโซ่อุปทาน ตน้ นา้ํ กลางนา้ํ และปลายนาํ้
เครือข่าย SDGsPGS ได้พัฒนากลไกการขับเคลื่อนระดับจังหวัดขึ้นมา 4 กลไก ได้แก่ กลไก
คณะทํางานตรวจแปลงเกษตรอินทรีย์ กลไกธุรกิจ กลไกคณะกรรมการรับรองมาตรฐาน
เกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม และสุดท้ายคือกลไกเพื่อดูแลการบริหารจัดการข้อมูลในระบบ
ฐานข้อมูล SDGsPGS SAN (Sustainable Agriculture Network) ใช้ตลาดนําการผลิต ทําให้
สามารถช่วยเกษตรกรจัดการผลิตเพ่ือการคา้ สู่ตลาดได้อยา่ งเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
เครือข่าย SDGsPGS นอกจากพัฒนากลไก 4 กลไกระดับจังหวัดแล้ว ในวันท่ี 18
พฤษภาคม 2561 ได้ยกระดับเป็นกลไกขับเคลื่อนระดับประเทศ “สหพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่ง
ประเทศไทย” ซึ่งจะเปน็ เจ้าภาพในการการขับเคลื่อนการพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วน
ร่วม SDGsPGS รว่ มกับกลไกจงั หวดั ทั่วประเทศ
คู่มือฉบับนี้ถือเป็นคู่มือเพ่ือการพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม SDGsPGS
ซ่ึงเป็นฐานสําคัญท่ีเครือข่ายเกษตรกรรมย่ังยืนแต่ละจังหวัด สามารถทําการพัฒนาเพ่ิมเติม
ตามบริบทของแต่ละจังหวัดให้สมบูรณ์ข้ึนได้ตลอดเวลา หากท่านมีเน้ือหาใดท่ีต้องการพัฒนา
เพิ่มเตมิ หรือข้อเสนอแนะ สามารถติดต่อประสานงานกับ ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ และทีมงานสหพันธ์
เกษตรกรรมย่งั ยนื แหง่ ประเทศไทยได้ตลอดเวลา
ดร.อนรุ ักษ์ เรืองรอบ
นกั วิชาการอิสระ
ขบั เคลื่อนการพัฒนาระบบการรบั รองแบบมีส่วนรว่ ม
เลขาธกิ าร สหพนั ธ์เกษตรกรรมย่ังยนื แห่งประเทศไทย
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 3
สารบญั หน้า
2
คาํ นาํ 5
บทท่ี 1 หลกั การของเกษตรกรรมยั่งยนื 6-8
บทที่ 2 การพัฒนาอยา่ งย่ังยนื Sustainable Development Goals (SDGs)
9-10
ภายใตก้ ารริเรมิ่ ขององค์การสหประชาชาติ 11-12
บทท่ี 3 ประเทศไทยกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) 13-14
บทที่ 4 ประเทศไทยกบั การพัฒนายุทธศาสตรเ์ กษตรอินทรีย์แหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 - 2564
บทที่ 5 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 12 สว่ นที่ 4 ยทุ ธศาสตร์ 15-17
18-19
การพฒั นาประเทศ การเตบิ โตทเ่ี ป็นมิตรกบั สิง่ แวดล้อมเพื่อการพัฒนาอยา่ งยง่ั ยนื 20-22
บทท่ี 6 การพัฒนายุทธศาสตร์เกษตรกรรมย่ังยืน พ.ศ.2560 - 2564 23-24
บทที่ 7 การพฒั นามาตรฐานเกษตรอนิ ทรียข์ องไทยและสากล 25-27
บทท่ี 8 ระบบการรับรองแบบมีสว่ นรว่ ม PGS 28-30
บทที่ 9 ระบบการรับรองแบบมสี ว่ นรว่ ม PGS ในประเทศไทย 31-33
บทที่ 10 การพฒั นามาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี แ์ บบมสี ่วนร่วม SDGsPGS 34-51
บทที่ 11 การพัฒนาเครอื ขา่ ยเกษตรกรรมยง่ั ยนื โดยใช้พน้ื ทเี่ ปน็ ตัวตง้ั 52-54
บทท่ี 12 การบริหารหว่ งโซ่คณุ คา่ เกษตรกรรมยัง่ ยนื 55
บทท่ี 13 หลักปฏบิ ัติเกษตรกรรมยง่ั ยนื SDGsPGS 56-59
บทท่ี 14 การ “เขย่า” เครอื ขา่ ยเกษตรกรรมยงั่ ยืนในระดับจงั หวัด 60-62
บทท่ี 15 หลักสูตรผ้ตู รวจแปลงเกษตรอนิ ทรยี ์แบบมสี ่วนรว่ ม SDGsPGS 63-65
บทที่ 16 กลไกการรับรองมาตรฐานระดบั จังหวดั (4 กลไก) 66-69
บทที่ 17 แนวทางและตวั อยา่ งการรับรอง 70
บทที่ 18 ตราสัญลักษณ์ SDGsPGS 71
บทท่ี 19 iPGS และวทิ ยากร SDGsPGS 72
บทท่ี 20 Sustainable Agriculture Network - SAN 73
บทที่ 21 การยกระดับ SDGsPGS สมู่ าตรฐานสากล 74
บทที่ 22 ระบบตรวจสอบย้อนกลับ มาตรการบงั คับของ SDGsPGS 75-77
บทท่ี 23 การตรวจผลผลิตในหอ้ งปฏิบตั ิการวทิ ยาศาสตร์
บทที่ 24 สหพันธ์เกษตรกรรมยง่ั ยนื แห่งประเทศไทยกับ SDGsPGS 78-79
บทท่ี 25 การแสวงหาความร่วมมือกับภาคปี ระชารฐั ในการร่วมขบั เคลอ่ื นเกษตรกรรมย่งั ยนื
80
โดยใช้พ้ืนทเี่ ป็นตวั ตั้ง 81
บทที่ 26 บทสรุป
ภาคผนวก หน้า 4
ภาคผนวก 1 SDGsPGS Application Form
ภาคผนวก 2 SDGsPGS Inspection Form
คมู่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมีสว่ นร่วม SDGsPGS
บทที่ 1
หลกั การของเกษตรกรรมยง่ั ยืน
เกษตรกรรมย่ังยืน (Sustainable Agriculture) คือระบบการเกษตรที่ครอบคลุมถึงวิถีชีวิต
เกษตรกร กระบวนการผลิต และการจัดการทุกรูปแบบ เพ่ือให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม
ส่ิงแวดล้อม และระบบนิเวศซึ่งนําไปสู่การพ่ึงตนเองและการพัฒนา คุณภาพชีวิตของเกษตรกรและ
ผู้บรโิ ภค เกษตรกรรมย่ังยืนครอบคลุมเกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรผสมผสาน
และเกษตรทฤษฎใี หม่
เกษตรธรรมชาติ (Natural Farming) ระบบการเกษตรที่ยึด หลักการสําคัญ 4 ประการ
ได้แก่ ไม่มีการไถพรวนดิน งดเว้นการใส่ปุ๋ย ไม่กําจัดวัชพืช ไม่ใช้สารเคมีกําจัด ศัตรูพืช (ตาม
แนวทางของ มาซาโนบุ ฟูกูโอกะ)
เกษตรอินทรีย์ (Organic Agriculture) ระบบการเกษตรท่ีเน้นความย่ังยืนทางส่ิงแวดล้อม
สังคม และเศรษฐกิจ โดยเน้นการ ปรบั ปรงุ ดนิ เคารพตอ่ ศกั ยภาพทางธรรมชาติของ พืช สัตว์ และ
นิเวศเกษตร เกษตรอินทรีย์จึงลดการใช้ ปัจจัยการผลิตจากภายนอก และหลีกเล่ียงการใช้สารเคมี
ขณะเดียวกัน ประยกุ ต์ใช้ ธรรมชาติในการเพิ่มผลผลิต และพัฒนาการตา้ นทานโรค
วนเกษตร (Agroforestry) ระบบเกษตรท่ีทําในพื้นที่ ป่า เช่น ปลูกพืชแซมใน พื้นท่ีป่า
ธรรมชาติ นําสัตว์ไปเล้ียงในป่า เก็บผลผลิต จากป่ามาใช้ประโยชน์อย่าง ยั่งยืน รวมทั้ง การสร้าง
ระบบเกษตรให้มีลักษณะ เลียนแบบระบบนิเวศป่า ธรรมชาติ คือมีไม้ยืนต้น หนาแน่น มีร่มไม้
ปกคลมุ และมีความชุ่มช้ืนสงู
เกษตรผสมผสาน (Integrated Farming) ระบบการเกษตรที่มีการ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์
หลาย ชนิดในพ้ืนที่เดียวกัน โดยที่กิจกรรมแต่ละชนิดเก้ือกูล กันอย่างเป็นวงจร เช่น อาหาร แร่ธาตุ
อากาศ พลงั งาน เป็นต้น และ ก่อใหเ้ กิดประโยชนแ์ ละ ประสิทธิภาพสูงสดุ ตอ่ ระบบฟาร์ม
เกษตรทฤษฎีใหม่ (New Theory Farming) ระบบการเกษตรท่ีมี กิจกรรมการผลิตหลาย
ชนิด โดยการแบ่งพื้นท่ีออกเป็น 4 ส่วน 1) ขุดสระกักเก็บนํ้า 30% 2) ปลูกข้าว 30% 3) ปลูกไม้
ผลไม้ยืนต้น 30% และ 4) สร้างสิ่งปลูกสร้าง เช่น ท่ีอยู่อาศัย โรงเรือน เล้ียงสัตว์ ฉาง 10% ท้ังน้ี
ตามความเหมาะสมของ สภาพพน้ื ที่
(http://www.nesdb.go.th/ewt_w3c/ewt_dl_link.php?nid=2700)
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม SDGsPGS หนา้ 5
บทท่ี 2
การพฒั นาอย่างย่ังยืน Sustainable Development Goals (SDGs)
ภายใต้การรเิ ริ่มขององค์การสหประชาชาติ
การพัฒนาประเทศยุคอุตสาหกรรมในช่วงเวลา 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เป็นการพัฒนาที่ก่อให้
เกิดผลกระทบและความเสียหายต่อทรัพยากรโลกเป็นอย่างมาก เม่ือปี 2543 ประเทศไทยและ
ประเทศต่างๆท่ัวโลกจํานวน189 ประเทศ จึงรวมตัวกันในการประชุมองค์การสหประชาชาติ
ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และเห็นพ้องต้องกันในการตั้งเป้าหมายการพัฒนาทั้งใน
ระดับชาติและระดับสากลท่ีทุกประเทศจะดําเนินการร่วมกันให้ได้ภายในปี 2558 โดยเป้าหมาย
ดังกล่าวเรียกว่า เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือ Millennium Development Goals
(MDGs) อันประกอบด้วย 8 เป้าหมายหลัก คือ 1. ขจัดความยากจนและความหิวโหย 2. ให้เด็ก
ทุกคนได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา 3. ส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศและบทบาทสตรี
4. ลดอัตราการตายของเด็ก 5. พัฒนาสุขภาพของสตรีมีครรภ์ 6. ต่อสู้กับโรคเอดส์ มาลาเรีย และ
โรคสําคัญอื่นๆ 7. รักษาและจัดการส่ิงแวดล้อมอย่างย่ังยืน และ 8. ส่งเสริมการเป็นหุ้นส่วน
เพ่ือการพฒั นาในประชาคมโลก
ตลอดระยะเวลา 15 ปีผ่านมา เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษทั้ง 8 ข้อ ได้ส้ินสุดลง
โดยประสบความสําเร็จเป็นอย่างดีในหลายประเทศ และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการพัฒนา
องค์การสหประชาชาติจึงได้กําหนดเป้าหมายการพัฒนาข้ึนใหม่โดยอาศัยกรอบความคิดท่ีมองการ
พฒั นาเป็นมติ ิ (Dimensions) ของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ให้มีความเชื่อมโยงกัน เรียกว่า
เป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่งจะใช้เป็นทิศ
ทางการพัฒนาต้ังแต่เดือนกันยายน ปี 2558 ถึงเดือนสิงหาคม 2573 ครอบคลุมระยะเวลา 15 ปี
โดยประกอบไปด้วย 17 เป้าหมายคอื
คูม่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมีส่วนรว่ ม SDGsPGS หนา้ 6
เปา้ หมายท่ี 1 ขจดั ความยากจนในทกุ รูปแบบและทุกพ้นื ท่ี
เปา้ หมายที่ 2 ขจดั ความหิวโหย บรรลุเป้าความม่ันคงทางอาหารและโภชนาการท่ีดีข้ึน และ
สง่ เสริมเกษตรกรรมยัง่ ยืน
เป้าหมายที่ 3 สร้างหลักประกันให้คนมีชีวิตท่ีมีคุณภาพ และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของคนทุก
เพศทกุ วยั
เป้าหมายท่ี 4 สร้างหลักประกันให้การศึกษามีคุณภาพอย่างเท่าเทียมและครอบคลุม และ
สง่ เสรมิ โอกาสในการเรยี นรู้ตลอดชวี ิตสําหรับทกุ คน
เป้าหมายท่ี 5 บรรลุถึงความเทา่ เทยี มทางเพศ และเสรมิ สร้างพลังให้แก่สตรีและเด็กหญิงทุก
คน
เป้าหมายที่ 6 สร้างหลักประกันให้มีนํ้าใช้ และมีการบริหารจัดการน้ําและการสุขาภิบาล
อย่างยงั่ ยนื สาํ หรบั ทกุ คน
เป้าหมายท่ี 7 สร้างหลักประกันให้คนสามารถเข้าถึงพลังงานท่ีทันสมัย ยั่งยืน เช่ือถือได้
ตามกาํ ลงั ซื้อของตน
เป้าหมายที่ 8 สง่ เสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจท่ีย่ังยืนและท่ัวถึง ส่งเสริมศักยภาพการ
มงี านทําและการจา้ งงานเต็มที่ และงานที่มคี ุณคา่ สาํ หรับทกุ คน
เป้าหมายที่ 9 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ส่งเสริมการปรับตัว
ใหเ้ ปน็ อตุ สาหกรรมอยา่ งยงั่ ยืนและทว่ั ถงึ และสง่ เสริมนวตั กรรม
เปา้ หมายที่ 10 ลดความเหลื่อมล้าํ ทั้งภายในและระหว่างประเทศ
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 7
เป้าหมายที่ 11 ทําให้เมืองและการต้ังถ่ินฐานของมนุษย์มีความปลอดภัย ทั่วถึง พร้อม
รับการเปลยี่ นแปลงและยงั่ ยืน
เปา้ หมายท่ี 12 สรา้ งหลักประกนั ใหม้ ีแบบแผนการบริโภคและการผลิตท่ียง่ั ยืน
เป้าหมายท่ี 13 ดําเนินการอย่างเร่งด่วนเพ่ือต่อสู้กับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
และผลกระทบทีเ่ กดิ ข้ึน
เป้าหมายที่ 14 อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเล
สําหรบั การพัฒนาทย่ี ั่งยนื ให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
เป้าหมายที่ 15 พิทักษ์ บูรณะ และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ท่ีย่ังยืนของระบบนิเวศบนบก
จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ต่อสู้กับการแปรสภาพเป็นทะเลทราย หยุดย้ังและฟื้นฟูความเสื่อมโทรม
ของทดี่ ิน และหยดุ ยงั้ การสูญเสยี ความหลากหลายทางชีวภาพ
เป้าหมายท่ี 16 ส่งเสริมให้สังคมมีความเป็นปกติสุข ไม่แบ่งแยก เพ่ือการพัฒนาท่ียั่งยืน
มีการเข้าถึงความยุติธรรมโดยถ้วนหน้า และสร้างให้เกิดสถาบันอันเป็นท่ีพึ่งของส่วนรวม
มปี ระสทิ ธผิ ล และเป็นที่ยอมรับในทกุ ระดบั
เป้าหมายท่ี 17 เสริมสร้างความแข่งแกร่งของกลไกการดําเนินงานและฟ้ืนฟูหุ้นส่วน
ความร่วมมือระดับโลกเพ่อื การพัฒนาทยี่ ่งั ยืน
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 8
บทท่ี 3
ประเทศไทยกับการพฒั นาอยา่ งย่ังยืน
Sustainable Development Goals (SDGs)
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย ได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุม UN
Summit to adopt the Post-2015 Development Agendas วันอาทิตย์ ท่ี 27 กันยายน 2558
เวลาประมาณ17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ สํานักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก โดยยืนยัน
ความมุ่งม่ันของรัฐบาลไทยและคนไทยในการร่วมกับประชาคมโลก เพื่อบรรลุผลตามเป้าหมาย
ของวาระการพฒั นาทย่ี งั่ ยืน โดยมีสาระสําคญั ว่า
วาระการพัฒนาใหม่เปน็ ส่ิงท่ีดี ทีใ่ ห้ความสําคัญกบั คน เพราะคนเป็นหัวใจของการขับเคล่ือน
การเปล่ียนแปลงเพื่อการพัฒนาอย่างย่ังยืนสําหรับคนรุ่นต่อไป มนุษย์เป็นสาเหตุหลักของ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงของมนุษยชาติ จึงต้องมีการตัดสินใจกันว่า
เราจะยังคงบริโภคกันอย่างไม่ยับยั้งและมุ่งม่ันแต่ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่คํานึงถึง
ผลกระทบใดๆ หรือจะเลือกอยู่อย่างยั่งยืน มุ่งเน้นชีวิตท่ีมีคุณภาพ พอเพียงและสมดุล เคารพ
ธรรมชาติ ไมม่ องว่าธรรมชาติเปน็ แคท่ รพั ยส์ ิน
ซ่ึงหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สอนให้คนไทย
มีเหตผุ ล รูจ้ กั ความพอดี สร้างความต้านทาน ทําให้ไทยผ่านวิกฤตมาหลายครั้ง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ
ปี 2540 เหตุการณ์สึนามิ 2543 ทําให้ไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษได้เกือบท้ังหมด
รวมท้งั เป็นพน้ื ฐานการจดั ทําวสิ ยั ทศั นป์ ระเทศไทย 2558-2563 และแผนพัฒนาประเทศฉบับต่อไป
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า โลกมีความท้าทายเร่งด่วน คือ ความเหลื่อมลํ้า เพราะความ
ยากจน การแย่งชิงทรัพยากร การโยกย้ายถ่ินฐาน เป็นปัญหาพ้ืนฐานของปัญหามากมาย และ
ยงั เปน็ ปจั จัยบม่ เพาะความรนุ แรงในสงั คม
ในการขจดั ความเหลือ่ มลํ้า ต้องเร่ิมจากการวางกรอบกติกาของสังคมให้มั่นคงและเป็นธรรม
สร้างสภาพแวดล้อมให้เกิดการพัฒนาอย่างย่ังยืน ให้ทุกคนมีความเสมอภาคและมีโอกาสเข้าถึง
ทรัพยากร และการบริการรฐั อย่างเทา่ เทียม จาํ เปน็ ตอ้ งมีกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ เพ่ือส่งเสริมการ
ดําเนินงานของภาครัฐ ด้วยหลักธรรมาภิบาล ความรับผิดชอบ ความโปร่งใส รวมท้ังการขจัดความ
ทุจรติ และระบบอปุ ถัมภ์
ท้ังนี้ การขจัดความเหล่ือมล้ําไม่เป็นเฉพาะเรื่องภายในของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เรา
ต้องช่วยกันขจัดความเหลื่อมล้ําระหว่างประเทศด้วยการเป็นหุ้นส่วนเพ่ือการพัฒนา ด้วยการ
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 9
เช่อื มโยงภายในภมู ภิ าคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สรา้ งเขตเศรษฐกิจพเิ ศษตามแนวจังหวัดชายแดน 6
แหง่ ภายใต้แนวคดิ ไทยบวกหนึ่ง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลจะพัฒนาประเทศและภมู ิภาค ควบคู่ไปกับ
การขยายความรว่ มมอื ไตรภาคี และความรว่ มมอื นอกภมู ิภาค
นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้ายว่า เมื่อประชาชนเข้มแข็ง ประเทศและโลกก็จะเข้มแข็ง
ไปด้วย ในอีก 15 ปีข้างหน้า ความเหล่ือมลํ้า และความยากจนจะลดน้อยลง ประเทศไทยพร้อม
ร่วมมือกับทุกประเทศและสหประชาชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพ่ือให้ทุกคน
เข้มแขง็ อยรู่ วมกนั อยา่ งผาสกุ มั่นคง ม่ังคง่ั และย่งั ยืน ไปดว้ ยกัน
(http://www.tsdf.or.th/th/article/10267/123-พลเอก-ประยุทธ์-จันทรโ์ อชา-นายกรฐั มนตรี-
กลา่ วถอ้ ยแถลง)
คูม่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมีส่วนร่วม SDGsPGS หน้า 10
บทที่ 4
ประเทศไทยกบั การพัฒนายทุ ธศาสตรเ์ กษตรอินทรยี ์แห่งชาติ
พ.ศ. 2560 – 2564
“เกษตรอนิ ทรยี เ์ ป็นแนวทางการผลติ ท่ใี หค้ วามสําคัญกบั คุณภาพ และความปลอดภัยอาหาร
ของผู้ที่เก่ียวข้องทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมอย่าง
ย่ังยืน ซึ่งสอดคล้อง กับกระแสโลกในปัจจุบัน รัฐบาลได้เห็นความสําคัญในการผลักดันเรื่องนี้
โดยคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลัก ในการจัดทํา
ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ แห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2564 ภายใต้คณะกรรมการพัฒนา
เกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เพื่อเป็นกรอบในการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทย
ตอ่ เน่อื งจากแผนยทุ ธศาสตร์การพฒั นาเกษตรอนิ ทรียแ์ ห่งชาติ ฉบบั ที่ 1 พ.ศ. 2551 - 2554
คณะกรรมการพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติได้แต่งตั้ง คณะอนุกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์
การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ เพื่อจัดทํายุทธศาสตร์ฯ ที่มีความสอดคล้องกับกรอบทิศทางการ
พัฒนาท่ีสําคัญ อาทิ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตท่ีเป็นมิตรต่อ
สิ่งแวดล้อม และการสร้างความสามารถในการแข่งขัน เป้าหมายการพัฒนาท่ียั่งยืน (Sustainable
Development Goals: SDGs) เร่ือง ยุติความหิวโหย บรรลุความม่ันคงทางอาหารและยกระดับ
โภชนาการและส่งเสริมเกษตรกรรมท่ียั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ รวมถึงยุทธศาสตร์เกษตร
และสหกรณร์ ะยะ 20 ปี เก่ียวกบั การสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร และการ
บริหารจดั การ ทรัพยากรการเกษตรและสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งสมดลุ และยง่ั ยนื
การจัดทํายุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 - 2564 ได้ผ่าน
กระบวนการมีส่วนร่วมรับฟังความคิดเห็น จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน ภาค
ประชาสังคม และ ภาคการศึกษา ใน 4 ภูมิภาค (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และ
ภาคกลาง) กอ่ นนําเสนอคณะกรรมการพัฒนาเกษตรอนิ ทรียแ์ ห่งชาติ เพือ่ พจิ ารณาให้ความเห็นชอบ
ยุทธศาสตร์ฯ เม่อื วนั ที่ 1 ธันวาคม 2559 และใหน้ าํ เสนอต่อคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 -
2564 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 ทั้งน้ี ในกระบวนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ
ได้มีการจัดตั้งกลไกการขับเคล่ือนทั้งระดับชาติ และระดับจังหวัด โดยต้องอาศัยความร่วมมือ
จากทุกภาคส่วนท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา เกษตรกรและผู้บริโภค
เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพ่ิมพ้ืนที่และจํานวนเกษตรกรที่ทําเกษตรอินทรีย์ เพิ่มสัดส่วนตลาดเกษตร
คมู่ ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 11
อินทรีย์ ภายในประเทศ รวมทั้งยกระดับกลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีพื้นบ้าน นําไปสู่การพัฒนาเกษตร
อินทรีย์ของประเทศไทย ตามวิสัยทัศน์ “ประเทศไทย เป็นผู้นําในระดับภูมิภาค ด้านการผลิต การ
บริโภค การค้าสินค้าและการบริการเกษตรอินทรีย์ ท่ีมีความย่ังยืน และเป็นท่ียอมรับในระดับ
สากล” ต่อไป”
คณะกรรมการพัฒนาเกษตรอนิ ทรยี แ์ หง่ ชาติ เมษายน 2560
(http://www.oae.go.th/download/download_journal/2560/OrganicAgricultureStrategy.pdf)
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 12
บทท่ี 5
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ส่วนที่ 4 ยทุ ธศาสตร์การ
พฒั นาประเทศ การเติบโตทีเ่ ป็นมติ รกบั สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
สรุปยุทธศาสตร์ท่ี 4 การเติบโตท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพ่ือการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในส่วน
ที่ 4 ยุทธศาสตร์การพฒั นาประเทศ ของแผนพฒั นาฯ ฉบับที่ 12 ไดด้ ังน้ี
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การเติบโตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืน มีแนวทาง
การพัฒนา ดังนี้ 1. การรักษาฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ โดยอนุรักษ์ฟ้ืนฟูทรัพยากรป่าไม้ อนุรักษ์
และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยั่งยืน พัฒนาระบบบริหารจัดการท่ีดินและแก้ไข
การบุกรุกที่ดินของรัฐ ปกป้องทรัพยากรทางทะเลและป้องกันการกัดเซาะตลิ่งและชายฝั่ง วางแผน
บริหารจัดการทรัพยากรแร่ 2. เพ่ิมประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ํา โดยเร่งรัดการ
ประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ํา เร่งรัดให้มีแผนบริหารจัดการทรัพยากรนํ้าในระดับลุ่ม
นํ้า ผลักดันกระบวนการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ เพ่ิมประสิทธิภาพการเก็บกักนํ้าของ
แหลง่ น้ําต้นทนุ และระบบกระจายน้ํา เพ่ิมประสิทธิภาพการใช้นํ้าและการจัดสรรนํ้าต่อหน่วยในภาค
การผลิต 3. แก้ไขปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม โดยเร่งรัดแก้ไขปัญหาการจัดการขยะตกค้างสะสมใน
พื้นที่วิกฤต ผลักดันกฎหมายและกลไกเพ่ือการคัดแยกขยะ สนับสนุนการแปรรูปเป็นพลังงาน ใช้
มาตรการทางเศรษฐศาสตรเ์ พือ่ ใหเ้ กิดการลดปรมิ าณขยะ รวมทงั้ สร้างวินัยคนในชาติเพื่อการจัดการ
ขยะอย่างยั่งยืน เพ่ิมประสิทธิภาพการจัดการคุณภาพน้ําในพ้ืนที่ลุ่มนํ้าวิกฤตและลุ่มน้ําสําคัญอย่าง
ครบวงจร แก้ไขปัญหาวิกฤตหมอกควันไฟป่าในเขตภาคเหนือและภาคใต้ ปรับปรุงกฎหมายและ
พัฒนาโครงสร้างพ้ืนฐานเมืองเพ่ือรองรับการเติบโตท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม 4. ส่งเสริมการผลิต
และการบริโภคท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม โดยส่งเสริมการผลิตและการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมท่ี
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการผลิตภาคการเกษตรไปสู่เกษตรกรรมที่ยั่งยืน ส่งเสริมการ
ท่องเท่ียวที่ย่ังยืนโดยคํานึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศ สร้างแรงจูงใจเพ่ือให้
เกดิ การปรับเปล่ียนไปสู่การบริโภคท่ีย่ังยืน 5. สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเพิ่ม
ขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยจัดทําและปรับปรุง
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สามารถรองรับพันธกรณีระหว่าง
ประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนามาตรการและกลไกเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซ
เรือนกระจกในทุกภาคส่วน ส่งเสริมภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มี
การจัดเก็บและรายงานข้อมูลเก่ียวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพ่ิมขีดความสามารถในการวิจัย
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ว่ นร่วม SDGsPGS หนา้ 13
และพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพ่ือสนับสนุนการปรับตัวต่อการ
เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ความตระหนัก และการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน และภาคส่วนต่างๆ ในการรับมือกับการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ 6. บริหารจัดการ
เพ่ือลดความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ โดยบูรณาการการลดความเส่ียงจากภัยพิบัติเข้าสู่กระบวนการ
วางแผน เสริมสร้างขีดความสามารถในการเตรียมความพร้อมและการรับมือภัยพิบัติ พัฒนาระบบ
การจัดการภัยพิบัติในภาวะฉุกเฉิน พัฒนาระบบการฟ้ืนฟูบูรณะหลังการเกิดภัย ส่งเสริมองค์ความรู้
ด้านการจัดการภัยพิบัติ 7. พัฒนาระบบการบริหารจัดการและกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยปรับปรุงกลไกและกระบวนการวิเคราะห์ผลกระทบ
ส่ิงแวดล้อมให้มีประสิทธิภาพ ผลักดันการนําแนวทางการประเมินส่ิงแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์
ให้มีผลบงั คับใชต้ ามกฎหมาย สร้างจิตสํานึกความตระหนักและปรับปรุงกระบวนการมีส่วนร่วมของ
ประชาชน ทบทวนแก้ไขกฎหมาย ส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนและชุมชนเพ่ือสร้างพลังร่วม 8. การ
พัฒนาความร่วมมือดา้ นสง่ิ แวดล้อมระหวา่ งประเทศ
(https://www.nstda.or.th/th/nstda-knowledge/11427-strategy-4)
คมู่ ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมีส่วนรว่ ม SDGsPGS หนา้ 14
บทท่ี 6
การพฒั นายทุ ธศาสตร์เกษตรกรรมยง่ั ยืน พ.ศ. 2560-2564
“สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดทําร่างแผน
12ใกล้แล้วเสร็จ โดยหลังการประชุมประจําปีของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มี
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นประธานเมื่อวันท่ี 22 กรกฎาคม 2559 ท่ีผ่านมา สภาพัฒน์ฯ
จะนําความคิดเห็นท่ีได้รับไปปรับปรุงเป็นคร้ังสุดท้าย และจะนําเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนําขึ้นทูลเกล้าฯ
ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพ่ือทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แผนฯ ในวันท่ี 1 ตุลาคม
2559 น้ี
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
รวม 10ยุทธศาสตร์ โดยการพัฒนาด้านการเกษตรน้ันเนื้อหาส่วนใหญ่ถูกบรรจุไว้ในยุทธศาสตร์
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมสี ่วนร่วม SDGsPGS หนา้ 15
ท่ี 3 “การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน” และบางส่วนท่ีเก่ียวกับ
เกษตรกรรมยั่งยืนอยู่ในยุทธศาสตร์ท่ี 4 “การเติบโตท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่าง
ยั่งยนื ”
ทิศทางเกษตรกรรมภายใต้แผน 12 ที่เป็นทิศทางหลักยังคงเป็นการผลิตสินค้าเกษตรและ
อาหารท่ีตอบสนองกับความต้องการของตลาดและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมการเกษตรโดยมี
เป้าหมายให้เศรษฐกิจภาคการเกษตรขยายตัวปีละ 3% เพิ่มรายได้เงินสดสุทธิทางการเกษตรของ
เกษตรกรเป็น 59,460 บาทต่อครัวเรือน ในปี 2564
โดยแนวทางในการขับเคล่ือนเพื่อนําไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ได้แก่การขับเคลื่อนและ
สนบั สนุนการดําเนินธุรกจิ การเกษตรแบบประชารัฐ โดยส่งเสริมรูปแบบการลงทุนแบบความร่วมมือ
ภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) สนับสนุนเกษตรพันธสัญญาที่เป็นธรรม ส่งเสริมการโซนนิ่ง เกษตร
แปลงใหญแ่ ละเกษตรกรรมแมน่ ยําสูง บริหารจัดการผลผลิตอย่างเป็นระบบครบวงจร โดยมีการวาง
แผนการผลติ ให้สอดคล้องและเช่ือมโยงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเพื่อการแปรรูปสร้าง
มูลค่าและความต้องการของผู้บริโภคในตลาด พัฒนากลไกจัดการความเส่ียงที่กระทบต่อสินค้า
เกษตร ได้แก่ ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า การจัดต้ังกองทุนประกันภัยพืชผลทางการเกษตร
รวมทงั้ สรา้ งระบบเตอื นภัยทางการเกษตรลว่ งหน้า และส่งเสริมการลงทนุ ดา้ นการเกษตรกับประเทศ
เพอื่ นบา้ น เพอ่ื เป็นแหลง่ ผลติ วัตถดุ ิบเพอ่ื การแปรรปู สรา้ งมลู คา่ และโอกาสในด้านการตลาดจากการ
ส่งออกทั้งในและนอกภมู ิภาคอาเซยี น
สําหรับการพัฒนาเกษตรกรรมตามแนวทางเกษตรกรรมย่ังยืนยังคงเป็นเกษตรกรรมกระแส
รอง ท้ังน้ีโดยมีการตั้งเป้าหมายเพ่ิมพ้ืนท่ีเกษตรกรรมยั่งยืน ภายใต้รูปแบบต่างๆ เช่น เกษตรผสม
สาน วนเกษตร เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ ให้มีพื้นที่เพิ่มเป็น 5,000,000 ไร่
ในปี 2564 โดยอาศัยการขบั เคลื่อนตามแนวทางต่างๆ เชน่
- ขับเคลื่อนผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง รวมท้ังเครือข่ายปราชญ์
ชาวบา้ น และศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีในแตล่ ะพ้ืนที่
- ขับเคล่ือนการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ โดยการสร้างแรงจูงใจในการปรับเปล่ียนเข้าสู่
มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ผ่านมาตรการทางการเงินการคลัง พัฒนาระบบการรับรองมาตรฐาน และ
การส่งเสรมิ กระบวนการตรวจรบั รองแบบมสี ว่ นรว่ ม
- การพัฒนาระบบข้อมูลเกษตรกรรมย่ังยืน การสร้างองค์ความรู้ การสนับสนุนเงินทุนใน
ลักษณะสนิ เชอ่ื สเี ขยี วที่จูงใจการผลิตและการส่งเสรมิ การตลาด
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 16
- ควบคุมการใช้สารเคมีการเกษตรที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
ส่งเสรมิ การใช้ผลิตภณั ฑช์ ีวภาพทดแทนสารเคมกี ารเกษตรให้เพม่ิ ขนึ้ อยา่ งตอ่ เนื่อง
- ตัวอยา่ งโครงการภายใต้แนวทางนี้ เช่น ส่งเสริมพื้นที่ต้นแบบ อาทิ จังหวัดยโสธรเป็นเมือง
เกษตรอินทรีย์ เป็นตน้
หากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับน้ีเป็นไปตามเป้าหมาย ซ่ึงหมายถึง
หน่วยงานราชการและภาคส่วนจัดทําแผนปฏิบัติการและงบประมาณไปขับเคลื่อนร่วมกับภาคส่วน
อ่ืนๆ พ้ืนท่ีเกษตรกรรมย่ังยืนของประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 5,000,000
ไร่ หรือประมาณ 3.3 % ของพ้ืนทก่ี ารเกษตร”
(http://www.biothai.net/node/30498)
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมสี ว่ นร่วม SDGsPGS หน้า 17
บทที่ 7
การพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรียข์ องไทยและสากล
องค์การการค้าโลก World Trade Organization - WTO ให้ความสําคัญกับการค้าอาหาร
ระหว่างประเทศ ท่ีจะต้องได้มาตรฐาน Codex, IPPC และ OIE ซึ่งมีรายละเอียด
ทเ่ี กย่ี วข้องกบั ความปลอดภัยของอาหาร การควบคุมแมลงศัตรูพืชและเชื้อโรคต่างๆ การควบคุมพืช
และสัตว์ท่ีจะถูกนําเข้าไปในประเทศปลายทาง จึงมีแนวปฏิบัติและข้อตกลงในการค้าระหว่าง
ประเทศที่เก่ยี วขอ้ งกับเร่อื งนอี้ ยา่ งเครง่ ครัด
ในประเทศไทยมีการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทย (มกษ. 9000 เล่ม 1-2552)
รู้จักกันในชื่อ Organic Thailand และรับรองมาตรฐานสากลโดย มกท.โดยมีขอบข่ายครอบคลุม
วิธีการผลิต การแปรรูป แสดงฉลาก จําหน่าย ครอบคลุมผลผลิตทุกชนิด และผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็น
อาหาร/อาหารสัตว์ ครอบคลุมพืช ปศุสัตว์ สัตว์นํ้า และผลผลิตจากธรรมชาติ การจะได้รับ
การรับรองจะต้องเป็นตามข้อกําหนดกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง เช่นด้านความปลอดภัยอาหารของ
ประเทศ โดยเกษตรกร/ผ้ปู ระกอบการ ซ่ึงปฏิบัติตามข้อกําหนด/มาตรฐานเช่น Organic Thailand,
มกท., IFOAM ย่ืนขอการรับรองจากหน่วยรับรองเช่นกรมวิชาการเกษตร, มกท. ตามมาด้วย
กระบวนตรวจแปลงและได้รับการรับรองระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์แล้วมีการนําผลผลิตออกสู่
ตลาดเป็นการสร้างความเช่อื มัน่ ใหแ้ ก่ผบู้ รโิ ภค
การรับรองมารตรฐานเกษตรอินทรีย์ระดับสากลท่ีได้รับการยอมรับ เช่น Codex,
IFOAM/IOAS, NOP - USDA-USA, EU Regulation - EU, JAS-MAFF (ญป่ี ่นุ ) เปน็ ตน้
การยกระดับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของไทยให้เทียบเท่าสากล มกอช.ในฐานะหน่วยงาน
รับรองระบบงานด้านการตรวจสอบรับรองของไทย อยู่ระหว่างการเตรียมการในการทําความเท่า
เทยี มระบบการตรวจสอบรับรองเกษตรอนิ ทรียข์ องไทยใหเ้ ปน็ ท่ียอมรับในประเทศคู่ค้าท่ีสําคัญเช่นอี
ยู สหรัฐอเมริกา ญ่ีปุ่นและจีน สนับสนุนและพัฒนาหน่วยงานในกระทรวงเกษตรที่ทําหน้าท่ี
ตรวจสอบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ รวมทั้งหน่วยงานท่ีมีภารกิจรับรองแปลงในระดับท้องถ่ิน
จัดทําระบบองค์กรตามมาตรฐานสากล (ISO/IEC 17065) นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ย่ืนสมัครเข้า
อย่ใู นบญั ชีรายช่อื ประเทศที่ 3 (Third Country List) ของสหภาพยุโรป เพื่อให้ประเทศไทยสามารถ
ส่งสินค้าเกษตรอินทรีย์เข้าสหภาพยุโรปได้โดยตรง ในส่วนของ ASEAN ประเทศไทยได้เข้าร่วม
กําหนดมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อาเซียน (ASEAN Standard on Organic Agriculture, ASOA) และ
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมสี ว่ นร่วม SDGsPGS หน้า 18
ขณะนีอ้ ยู่ระหว่างการเทียบเคียงมาตรฐานไทยกับมาตรฐานอาเซียน รวมท้ังจัดทําระบบการยอมรับ
ซ่ึงกันและกัน
(http://www.oae.go.th/ewt_dl.php?nid=21685)
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 19
บทท่ี 8
ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม PGS
ความเป็นมา
ระบบ "ชุมชนรับรอง" น้ีเป็นการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์รูปแบบหน่ึง ท่ีเป็นการ
รับรองเกษตรกรท่ีเป็นสมาชิกของกลุ่มโดยองค์กรผู้ผลิตเอง (first party certification) แต่ในบาง
กรณี ก็อาจเป็นการดําเนินการของผู้ซ้ือผลผลิตจากเกษตรกร (second party certification)
แต่ไม่ใช่เป็นการตรวจรับรองโดยหน่วยงานอิสระ (third party) โดยระบบชุมชนรับรองน้ีจะให้
ความสําคญั กับการมสี ่วนร่วมของเกษตรกรในระบบการตรวจรับรองมากกว่าระบบการตรวจรับรอง
แบบอืน่
ระบบชมุ ชนรบั รองนร้ี เิ ร่มิ ข้นึ โดยสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือท่ีรู้จักกันในช่ือย่อว่า
IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) กับหน่วยงาน
ระหว่างประเทศและองค์กรท้องถิ่นอีกหลายแห่ง ซึ่งเห็นร่วมว่า ระบบการตรวจสอบรับรอง
มาตรฐานเกษตรอินทรยี ท์ ดี่ าํ เนินการโดยหนว่ ยงานอิสระจากภายนอกนั้นไม่ได้เหมาะกับเกษตรกรท่ี
ทําเกษตรอินทรีย์เพื่อขายในท้องถิ่น เพราะระบบการตรวจสอบรับรองโดยองค์กรอิสระ
มีระเบียบข้อกําหนดที่ค่อนข้างเข้มงวดที่สลับซับซ้อนและมากเกินความจําเป็นสําหรับการทํา
การตลาดผลผลติ เกษตรอินทรีย์ในท้องถ่ิน (ความซับซ้อนของระเบียบข้อกําหนดนี้เป็นสาเหตุสําคัญ
ที่ ทํ า ใ ห้ ห น่ ว ย ต ร ว จ รั บ ร อ ง เ ก ษ ต ร อิ น ท รี ย์ ต้ อ ง มี ค่ า ใ ช้ จ่ า ย ค่ อ น ข้ า ง สู ง ใ น ก า ร ข้ึ น ท ะ เ บี ย น
เพื่อให้ได้รับการยอมรับระบบการตรวจรับรอง ส่งผลให้หน่วยตรวจรับรองต้องเรียกเก็บ
ค่าธรรมเนียมการตรวจรับรองทส่ี ูงจากผผู้ ลติ และผูป้ ระกอบการเกษตรอนิ ทรีย์)
นอกจากนี้ ด้วยระเบียบที่เข้มงวด ทําให้การตรวจรับรองของหน่วยงานอิสระไม่สามารถ
เปิดให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในระบบการตรวจรับรองได้มากนัก รวมทั้งไม่เปิดโอกาสให้มีการพัฒนา
นวตั กรรมใหม่ๆ ในการตรวจรับรองท่ีเหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อยทั้งในประเทศกําลังพัฒนาและ
ประเทศพฒั นาแลว้ ก็เชน่ กนั
ทาง IFOAM และหน่วยงานหลายแห่งจึงได้สนับสนุนให้มีการประชุมเรื่องนี้ข้ึนเม่ือกลาง
เดือนเมษายน 2547 ที่ประเทศบราซิล โดยวิฑูรย์ ปัญญากุล จากกรีนเนท เป็นตัวแทนคนเดียว
จากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ท่ีได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว หลังการประชุม
ในคร้ังน้ัน ทาง IFOAM ได้สนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบที่สมาชิกกลุ่มผู้ผลิต/ชุมชนมีส่วนร่วม
คมู่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 20
ในการตรวจสอบกันเอง ซึ่งเรยี กวา่ Participatory Guarantee System (PGS) หรือถา้ จะเรียกแบบ
ไทยๆ ก็คอื "ชมุ ชนรับรอง" เข้าไปดูข้อมลู เพ่มิ เติมในเว็บไซตข์ อง IFOAM ก็ได้
นยิ ามความหมาย
IFOAM ให้คํานิยามสนั้ ๆ วา่ PGS คือ ระบบประกันคุณภาพในระดับท้องถ่ิน ท่ีให้การรับรอง
ผู้ผลิตโดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเก่ียวข้อง และตั้งอยู่บนฐานของความเชื่อถือ เครือข่ายทาง
สังคม และการแลกเปล่ียนความรู้ [Participatory Guarantee Systems (PGS)
are locally focused quality assurance systems. They certify producers based on
active participation of stakeholders and are built on a foundation of trust, social
networks and knowledge exchange.]
องค์ประกอบและรปู แบบ
องคป์ ระกอบสาํ คัญของระบบชุมชนรบั รอง PGS คือ
1. วสิ ัยทศั นร์ ่วม (shared vision) ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภคในหลักการพื้นฐานของ
ระบบชุมชนรับรอง ซ่งึ การมีส่วนรว่ มอาจแตกตา่ งกนั ไปในแต่ละโครงการกไ็ ด้
2. การมีส่วนร่วม (participatory) ของผู้ท่ีสนใจในการบริโภคและการบริโภคผลผลิตเกษตร
อินทรีย์จากระบบนี้ หลักการและมาตรฐานการผลิตเกิดข้ึนจากการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วน
เกี่ยวขอ้ ง (ผู้ผลติ ท่ีปรกึ ษา ผูบ้ ริโภค) ซงึ่ ทําใหร้ ะบบมคี วามน่าเชือ่ ถือ เพราะการมีสว่ นรว่ มน้ี
3. ความโปร่งใส (transparency) ท่ีเกิดขึ้นจากการที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับรู้ถึงกลไกและ
กระบวนการในการตรวจรับรองท้ังหมด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจําเป็นต้องรู้
รายละเอียดทุกอย่างเท่ากัน และในขณะเดียวกันก็ต้องมีการปกป้องข้อมูลท่ีอาจจะเป็น
ข้อมลู ส่วนตวั หรอื ขอ้ มูลท่ีเปน็ ความลับทางการค้า
4. ความเชื่อม่ันต่อกัน (trust) ระบบชุมชนรับรองตั้งอยู่บนฐานความเชื่อว่า เราสามารถเชื่อถือ
เก ษ ต ร ก ร ไ ด้ แ ละ ก า ร ใช้ ก ล ไ ก คว บ คุ ม ทา ง สั ง ค ม /วั ฒ น ธ รร ม เ ป็ น เค ร่ื อ ง มื อ
ในการตรวจรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ได้
5. กระบวนการเรียนรู้ (learning process) ระบบชุมชนรับรองไม่ใช่มีเป้าหมายเพียงเพ่ือให้
การรับรองผลผลิต แต่เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาชุมชนและเกษตร
อินทรยี ์
6. ความเชื่อมโยงในแนวราบ (horizontality) ที่เป็นการแบ่งปันอํานาจและความรับผิดชอบ
ของผูค้ นที่เกีย่ วข้อง ไมใ่ ช่เปน็ เรอ่ื งของคนเพียง 2 - 3 คนเท่านน้ั
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมสี ว่ นร่วม SDGsPGS หนา้ 21
ลกั ษณะรปู แบบสําคญั ของระบบชมุ ชนรบั รอง คือ
1. มาตรฐานและข้อกําหนดถูกพัฒนาข้ึนโดยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเก่ียวข้อง [Norms
conceived by the stakeholders]
2. มีฐานจากองค์กรรากหญ้า [Grassroots Organisation]
3. เหมาะกับการเกษตรของเกษตรกรรายย่อย [Is appropriate to smallholder
agriculture]
4. มีหลักการและระบบคุณค่า [Principles and values] ที่มีเป้าหมายในการยกระดับความ
เป็นอยขู่ องครอบครวั เกษตรกรและสง่ เสริมเกษตรอินทรยี ์
5. มีเอกสารท่ีอธิบายระบบการบริหารจัดการและข้ันตอนการทํางาน [Documented
management systems and procedures] ซ่ึงควรกําหนดให้เกษตรกรต้องจัดทําเอกสาร
ข้อมลู เท่าที่จาํ เปน็ จริงๆ แต่ระบบชุมชนรับรองควรต้องมรี ะบบการบันทกึ ทแี่ สดงให้เห็นได้ว่า
เกษตรกรไดม้ กี ารปฏิบตั ติ ามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์จริง
6. มีกลไกในการยืนยันการปฏิบัติตามมาตรฐานของเกษตรกร [Mechanisms to verify
farmer’s compliance]
7. มีกลไกในการสนับสนุนเกษตรกร [Mechanisms for supporting farmers] เพื่อให้
เกษตรกรสามารถทําเกษตรอินทรีย์ได้จริง
8. มีข้อตกลงหรือสัตยาบันของเกษตรกรในการปฏิบัติตามข้อกําหนดและมาตรฐาน
[a bottom-line document]
9. มีตรารบั รอง [Seals or labels] ทเ่ี ปน็ หลกั ฐานแสดงสถานะความเปน็ เกษตรอนิ ทรยี ์
10. มีบทลงโทษที่ชัดเจนและแจ้งล่วงหน้า [Clear and previously defined consequences]
สําหรับเกษตรกรที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน และมีการบันทึกการลงโทษในระบบฐานข้อมูล
หรือเปิดเผยให้สาธารณะไดร้ ับทราบ
(http://www.greennet.or.th/article/1138)
คมู่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมสี ่วนร่วม SDGsPGS หนา้ 22
บทที่ 9
ระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม PGS ในประเทศไทย
ประเทศไทยมีผู้ที่เห็นความสําคัญในการขับเคลื่อนระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม PGS
หลากหลายกลุ่มแตกต่างกันตามแต่ละท้องถ่ิน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของแต่ละกลุ่มมีความแตกต่าง
กัน อยา่ งไรก็ตามแต่ละกลุ่มกม็ ีความเหมือนกันคือ
มีกระบวนการตรวจฟาร์ม แต่ละกลุ่มมีกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้ท่ีเกี่ยวข้อง
ท่หี ลากหลายและกวา้ งขวาง
1. ผู้ผลติ ผู้บรโิ ภค และผมู้ ีสว่ นเก่ยี วข้อง นักสง่ เสรมิ ตา่ งมสี ว่ นร่วมในกระบวนการ ตัดสินใจ
รบั รองผผู้ ลติ และแลกเปลีย่ นความรู้
2. เกษตรกรผู้ผลิตแต่ละคน ต้ังปณิธานในการปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และ
ยอมรับที่จะให้มีการตรวจฟาร์มประจําปี ซ่ึงการตรวจฟาร์มนี้จะมีกลุ่มผู้ตรวจที่ประกอบด้วย
เกษตรกร ผู้บริโภค ฯลฯ ในการตรวจฟาร์ม จะมีการจัดทํารายงานการตรวจซ่ึงแสดงให้เห็น
ถงึ การปฏิบัตหิ รอื ไม่ปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของแต่ละคนมีตรารบั รองท่ีนา่ เชอ่ื ถอื
เกษตรกรและผู้แปรรูปท่ีผ่านกระบวนการสมัครและการตรวจ รับรองจะได้รับ
ประกาศนียบัตรและได้รับอนุญาตให้ใช้ตรารับรองบนผลิตภัณฑ์หรือติดบนร้านค้าจําหน่ายผลผลิต
หน่วยงานที่ออกประกาศนียบัตรในแต่ละประเทศ แต่ละภูมิภาคอาจแตกต่างกันออกไป อาจเป็น
องค์กรพัฒนาเอกชนในท้องถ่ิน หรอื องค์กรของเกษตรกรกไ็ ด้
(https://www.ifoam.bio/sites/default/files/pgs_brochure_thai_web.pdf
คูม่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมสี ่วนร่วม SDGsPGS หน้า 23
PGS การรบั รองแบบมีส่วนร่วม
Participatory Guarantee Systems
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ่วนร่วม SDGsPGS หน้า 24
บทที่ 10
การพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมีส่วนร่วม SDGsPGS
การพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม SDGsPGS เริ่มต้นมาจากการที่
ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ ได้เข้าร่วมขับเคล่ือนการพัฒนาชุมชนในมูลนิธิสัมมาชีพเม่ือปี 2556 โดยมี
เป้าหมายเพื่อร่วมสร้างสัมมาชีพเต็มพ้ืนที่โดยใช้พ้ืนท่ีเป็นตัวต้ัง เข้าร่วมวิจัยเชิงปฏิบัติการใน
โครงการ 1 ตําบล 1 บริษัท โดยนําพาองค์กรธุรกิจใหญ่ 3 องค์กรท่ีแสดงความรับผิดชอบทางสังคม
ร่วมศึกษาวิจัยแนวทางการพัฒนาสัมมาชีพชุมชนโดยใช้พ้ืนที่เป็นตัวตั้ง จํานวน 5 ตําบล หลักการ
สัมมาชีพคือหลักการที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม มีรายได้
มากกว่ารายจ่าย เพราะฉะนั้น การพัฒนาสัมมาชีพคือการพัฒนาให้เกิดการประกอบการที่ไม่
เบยี ดเบียนตนเอง ผอู้ ื่น สง่ิ แวดลอ้ ม และต้องมรี ายได้มากกว่ารายจ่าย การเปน็ ผู้ประกอบการเกษตร
ทม่ี สี มั มาชีพ คือการทําการเกษตรที่สามารถได้ผลผลิตท่ีปลอดภัย ไร้สารเคมี ส่งผลผลดีต่อทั้งผู้ผลิต
และผู้บรโิ ภค สามารถนําผลผลิตไปแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม และสามารถส่งเสริมให้เกิดการท่องเท่ียว
โดยชมุ ชน ซ่งึ สามารถสรา้ งรายได้ พฒั นาเศรษฐกจิ ฐานรากใหเ้ ขม้ แข็งได้
เมื่อส่งเสริมให้ชุมชนทําเกษตรกรรมยั่งยืน ส่ิงท่ีตามมาคือตลาดที่จะรองรับผลผลิต
กรรมการบริหารมลู นธิ ิสัมมาชพี จึงมีดําริใหจ้ ดั ต้ังบริษัทเอสซีอี อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ขึ้นมา ในปี
2557 เพ่อื เป็นกลไกในการเชื่อมโยงผลผลิตจากชมุ ชนออกสู่ตลาด และต่อมาในปี 2558 ได้ริเริ่มการ
พัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม SCE PGS โดยมีอาจารย์ณรงค์ คงมากร่วมพัฒนา
หลักสูตรและคู่มือการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม SCE PGS และ ดร.อนุรักษ์
เรืองรอบเป็นผูน้ ําไปปฏิบตั กิ ารร่วมกบั เครือขา่ ยเกษตรอินทรีย์ท่ัวประเทศ
ในวันที่ 13 มกราคม 2559 เกิดความร่วมมือสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นท่ีโดยใช้พ้ืนที่เป็นตัวตั้ง
การขับเคล่ือนเกษตรอินทรีย์และการพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมเป็นส่วนสําคัญ
ในการขับเคล่ือนสร้างสัมมาชีพเต็มพื้นท่ีควบคู่กับการขับเคลื่อนการแปรรูป/ตลาดชุมชน และการ
ท่องเทยี่ วโดยชุมชน ซึ่งต่อมา ดร.อนุรักษ์ เรอื งรอบ ได้เข้าไปร่วมงานกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
(องค์การมหาชน) และได้บรรจุการขับเคล่ือนคลัสเตอร์เกษตรอินทรีย์เป็นส่วนสําคัญในการ
ขับเคล่ือนงานร่วมกับขบวนองค์กรชุมชน ทําให้การพัฒนา SCE PGS สามารถขยายผลออกไปกว่า
30 จังหวัด ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี
เดือนเมษายน 2561 ดร.อนรุ ักษ์ เรืองรอบ และภาคที ีร่ ว่ มขับเคล่อื นคลสั เตอร์เกษตรอินทรีย์
บางส่วนได้หารือกันเพื่อยกระดับการขับเคลื่อนมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วมให้มีความ
คูม่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 25
เป็นสากลข้ึน ให้ครอบคลุมเกษตรกรรมย่ังยืนทั้ง 5 ประเภท จึงได้ปรับภาพลักษณ์ Rebrand เป็น
SDGsPGS (Sustainable Development Goals - Participatory Guarantee System) ซ่ึง
สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนท่ีขับเคลื่อนโดยองค์การสหประชาชาติ สอดคล้องกับการ
พัฒนายุทธศาสตร์เกษตรอินทรีย์ไทย การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติฉบับท่ี 12 (2560 - 2564) โดยยังพัฒนาต่อยอดจากแนวคิดการพัฒนามาตรฐาน
เกษตรอินทรยี แ์ บบมีส่วนรว่ มทีเ่ สนอโดย IFOAM
นอกจาก SDGsPGS จะมีความเป็นสากลมากข้ึนแล้ว ยังถือเป็นนิมิตใหม่ท่ีเครือข่าย
เกษตรกรรมย่ังยืนท่ีได้ร่วมขับเคล่ือนกับ ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ ได้ร่วมกันเป็นเจ้าของระบบการ
รับรองแบบมีส่วนร่วมนี้ โดยระหว่างวันที่ 18 พฤษภาคม 2561 มีการประชุมหารือเครือข่าย
เกษตรกรรมย่ังยืนที่ขับเคลื่อนร่วมกันทั้งประเทศกว่า 20 จังหวัด ณ สวนส่างฝัน จ.อํานาจเจริญ
และได้ร่วมกันก่อต้ังเป็น “สหพันธ์เกษตรกรรมย่ังยืนแห่งประเทศไทย” และจะมีการรับรองให้
SDGsPGS เป็นระบบการรับรองกลางของสหพันธ์ฯ และเครือข่ายสหพันธ์จะมีการจัดกลไกเพ่ือการ
บรหิ ารให้ SDGsPGS เป็นเคร่ืองมือสําคัญในการปฏิรูปเกษตรกรรมย่ังยืนในประเทศไทยอย่างย่ังยืน
ต่อไป
คมู่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมีส่วนร่วม SDGsPGS หนา้ 26
การพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมีส่วนร่วม SDGsPGS
SDGs PGS มาตรฐาน
SDGsPGS
Sustainable Development Participatory
Goals Guarantee
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 27
บทที่ 11
การพฒั นาเครือข่ายเกษตรกรรมย่ังยนื โดยใช้พ้ืนที่เป็นตวั ตั้ง
การพัฒนาเกษตรกรรมย่งั ยนื ให้เกดิ ขึน้ จรงิ ไดน้ ัน้ จะตอ้ งใช้พน้ื ท่เี ปน็ ตัวตั้ง เกิดการระเบิดจาก
ข้างในเท่านั้น ความยั่งยืนจะไม่สามามารถเกิดขึ้นได้หากเป็นการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก
แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว
Mindset Change & Skill Set Change
อาจารย์ทรรศิน สุขโต ได้บรรยายในหลายโอกาสเร่ืองการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ และทักษะ
ของผู้นําการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพ่ือปฏิรูปประเทศส่ิงท่ีสําคัญ
ท่ีสุดในการขับเคล่ือนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากคือการเปล่ียนกระบวนทัศน์ (Mindset)
ถา้ กระบวนทศั น์ไม่เปลย่ี น ไม่เออ้ื เติมทกั ษะ (Skill Set) อะไรก็ไมส่ ามารถปฏิบัติได้
การเปล่ยี น Mindset นั้นมคี วามสาํ คัญมากเพราะ
1) ต้องเปลี่ยนความเช่ือ (Belief) ถ้าเช่ือว่าเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรรมย่ังยืนสามารถทําได้
ก็จะสามารถทําได้ง่ายมาก ถ้าเกษตรกรไม่เช่ือว่าเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรรมยั่งยืนทําได้ ก็จะทํา
ไม่ได้ มองเหน็ แตป่ ัญหาและความยงุ่ ยากเตม็ ไปหมด
2) ต้องเปลี่ยนท่ีวิธีคิด Thinking System ถ้ามองว่าเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นเพียงกิจกรรม
เล็กๆ มันก็เป็นกิจกรรมเล็กๆ แต่ถ้าเห็นว่าเกษตรกรรมย่ังยืนเป็นคานงัดสําคัญในการงัดเศรษฐกิจ
ฐานราก มนั กจ็ ะเป็นคานงัดท่มี พี ลัง มองเป็นองคร์ วม ไม่แยกส่วน
3) ต้องเปล่ียนที่ทัศนคติ (Attitude) ถ้ามีทัศนคติที่เป็นบวกต่อเกษตรกรรมย่ังยืน ต่อการ
ผลิตและบริโภคอาหารไร้สารเคมี ก็จะเดินได้แบบเกษตรไร้สารเคมีได้ แต่ถ้ามีทัศนคติท่ีเป็นลบ
กต็ ้องกนิ อาหารท่มี าจากกระบวนการใช้สารเคมตี ่อไป
4) เปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior) ถ้าเกษตรกรมีความเชื่อในเกษตรกรรมยั่งยืน คิดแบบองค์
รวม มีทัศนคติที่ดี ก็จะทําให้เกิดพฤติกรรมท่ีเอื้อต่อการขับเคล่ือนเกษตรกรรมย่ังยืน ถ้า 3 ข้อแรก
ติดลบ พฤตกิ รรมในการขบั เคลื่อนเกษตรกรรมย่งั ยนื จะไมเ่ กิดขึน้
อาจารยไ์ พบลู ย์ วฒั นศริ ิธรรม ไดใ้ หแ้ นวทางการพฒั นาชุมชนโดยใช้พื้นท่ีเป็นตัวตั้งว่าจะต้อง
เป็นการร่วมมือกันของ “จตุพลัง” อันได้แก่ทีมงานท้องถ่ิน (อบต. เทศบาล) ท้องท่ี (กํานัน
ผู้ใหญ่บ้าน) ปราชญ์ชุมชน และหน่วยงานต่างๆในชุมชน ร่วมกันพัฒนาโดย ร่วมคิด ร่วมทํา
คมู่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมสี ่วนรว่ ม SDGsPGS หนา้ 28
ร่วมรับผลประโยชน์ ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ ศ.นพ. ประเวศ วะสี ได้ให้แนวทางว่าจะต้อง
เป็นการเรียนร้รู ่วมกนั จากการปฏบิ ตั ิ ในการขบั เคล่ือนเกษตรกรรมย่งั ยืน ก็ไม่ได้มีความแตกต่างจาก
หลักการน้ี จะตอ้ งเปน็ การร่วมมือของหลายฝ่ายท่ีมีกระบวนทัศน์ที่เอ้ือต่อการพัฒนาและมีทักษะใน
การปฏิบัติการ ส่ิงสําคัญท่ีจะต้องหาให้เจอคือ ผู้นําการเปล่ียนแปลง หรือ Change Agent (ดร.
อนุรักษ์ เรียกว่า “ตัวจ๊ีดเกษตรอินทรีย์ หรืออัศวินเกษตรอินทรีย์”) ที่พร้อมขยับ
มาตอกยํ้าผลิตซ้ําทางความคิดให้เข้มแข็ง และเติมทักษะใหม่ (Skillset Change) ในการเช่ือมโยง
ห่วงโซ่คุณว่า Value Chain ให้เดินให้ได้ ผลิตให้สม่ําเสมอ เชื่อมโยงตลาด บริหารจัดการ
แผนธุรกจิ ได้ เป็นต้น
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการ เกษตรกรในโครงการพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์
SDGsPGS ต้องรวมกันเป็นกลุ่ม ในรูปแบบวิสาหกิจ วิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มเกษตรกร สามารถ
จดทะเบียนกบั หน่วยงานราชการซ่ึงขึ้นอยกู่ ับความตอ้ งการของเกษตรกรแต่ละกลุ่มและยกระดับขึ้น
เป็นเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ ห้างหุ้นส่วนจํากัดบริษัทจํากัด หรือวิสาหกิจเพ่ือสังคม ท้ังนี้
เพื่อฝึกทักษะการบริหารจัดการ ในรูปแบบปรัชญา แนวทาง หลักปฏิบัติสหกรณ์ เพื่อให้มีความรู้
ด้านการบริหารจัดการ การวางแผนธุรกิจของกลุ่ม ซ่ึงถือเป็นพ้ืนฐานสําคัญ รวมท้ังการบริหาร
จัดการข้อมูลการผลิตรายแปลง รายครัวเรือน เช่น ข้อมูลบัญชีฟาร์ม ประมวลเป็นข้อมูลรวมของ
รายพืช ทั้งในเชิงปริมาณท่ีกําหนด หรือประมาณการออกมาได้ล่วงหน้าก่อนการลงมือผลิต มีการ
กําหนดปฏิทินการปลูกพืชประจําเดือน ประจําฤดูกาล ประจําปี เพ่ือให้มีข้อมูลของพืชแต่ละชนิด
เพื่อประมาณการขาย และยังเป็นข้อมูลท่ีใช้ในการวางแผนการตลาดล่วงหน้าร่วมกับภาคีการตลาด
ตอ่ ไป
จํานวนสมาชิกของแต่ละกลุ่มในระบบการผลิตเกษตรกรรมยั่งยืนควรมากกว่า 7 คน
เพื่อให้สามารถจัดต้งั เป็นวสิ าหกิจชุมชนได้ตามกฎหมาย มีการระดมทนุ ของสมาชิกทุกคน เพื่อใช้ใน
การประกอบธุรกิจชุมชนร่วมกัน ทั้งด้านการจัดซ้ือปัจจัยการผลิต และขายผลผลิต สามารถเข้าถึง
ค ว า ม ช่ ว ย เ ห ลื อ จ า ก ห น่ ว ย ง า น ร า ช ก า ร ทั้ ง ยั ง ส ะ ด ว ก ใ น ก า ร เ ข้ า ถึ ง แ ห ล่ ง เ งิ น ทุ น ภ า ย น อ ก
จากสถาบันการเงินต่างๆ เมื่อทุนภายในกลุ่มไม่เพียงพอ ท้ังน้ี แต่ละกลุ่มต้องมีระบบการบริหาร
จดั การทางการเงนิ การบัญชี ให้มปี ระสทิ ธิภาพ และเปน็ ปจั จบุ ันตลอดเวลา
การบริหารจัดการข้อมูลของเครือข่ายกลุ่มผลิตเกษตรกรรมยั่งยืนมีความจําเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อให้กลุ่มมีระบบการประมวลผลข้อมูลด้านการผลิต (Supply) อย่างแม่นยํา ใกล้เคียง
ความเป็นจริงมากท่ีสุด นําไปวางแผนความต้องการของตลาด (Demand) กับเครือข่าย
คูม่ ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 29
ผู้ประกอบการผลผลิตจากระบบเกษตรกรรมย่ังยืน ท้ังในและต่างประเทศ โดยมีการบริหารจัดการ
ข้อมูลผา่ นระบบฐานขอ้ มลู ท่ีมคี วามทนั สมัยและเปน็ ปจั จุบนั
คมู่ ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมีส่วนร่วม SDGsPGS หนา้ 30
บทที่ 12
การบริหารห่วงโซค่ ุณค่าเกษตรกรรมย่งั ยืน
เครือข่าย SDGsPGS ไม่ได้มุ่งพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์เพ่ือให้แปลงเกษตรกรได้รับ
มาตรฐาน แต่ใช้กระบวนการพัฒนาระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วมเป็นเคร่ืองมือเพื่อจัดระบบ
ให้เกิดการผลิต การจดั การผลผลิต การคา้ ขายผลผลิตจากกระบวนการผลิตแบบเกษตรกรรมย่ังยืนไปสู่
ตลาดให้ไ ด้ทั้งต้นน้ํา ก ลางนํ้า ปลายน้ํา ทั้งนี้เพ่ือปิดช่องว่างท่ีเกษต รก รผลิต แล้ว
ไมส่ ามารถเช่ือมโยงตลาดได้ หรือผู้บริโภคทไี่ ม่สามารถหาผลผลิตเกษตรกรรมยง่ั ยืนในทอ้ งตลาดได้
ในส่วนของการจัดการต้นนํ้านั้น เน้นส่งเสริมให้เกษตรกร ลดละเลิกการใช้สารเคมี
หยุดปลูกพืชเชิงเด่ียว และเข้าสู่กระบวนการผลิตในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต
แบบเกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรผสมผสาน หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นการใช้
ความร้คู วามเข้าใจ การจัดการปัจจัยการผลิตในระบบเกษตรกรรมย่ังยืน การวางแผนการผลิต และ
ทําการผลิตให้ได้ท้ังปริมาณและคุณภาพ เพื่อการบริโภคทั้งในครัวเรือนและการจําหน่ายออกไป
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 31
โดยจะต้องมีการพัฒนามาตรฐานสินค้า มีกระบวนการตรวจรับรองแปลงเกษตรอินทรีย์ การรับรอง
สินค้า งานวิจัยพัฒนาด้านต่างๆ การพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และการจัดต้ังกลไกการ
รบั รองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (ระดับจังหวัด) งานพัฒนาองค์กรชุมชนในส่วนของกลางนํ้า จะต้อง
มีการจัดการรวบรวมผลผลิตเพื่อส่งต่อไปยังตลาด มีการจัดทําระบบฐานข้อมูล การตรวจสอบ
ย้อนกลับดว้ ย QR Code เป็นต้น
งานกลางน้ํา ได้แก่งานนําเข้าข้อมูลในระบบฐานข้อมูลเช่น ระบบ Sustainable Agriculture
Network (SAN) งานผลิตและบริการความรู้ด้านการใช้ปัจจัยการผลิตเกษตรกรรมย่ังยืน ทั้งใน
ระดับครัวเรือน องค์กรชุมชน และเกษตรอุตสาหกรรม การบริหารจัดการวิทยาการหลังการเก็บ
เก่ียว การฝึกอบรมและพัฒนาผู้ตรวจแปลงเกษตรอินทรีย์ การดําเนินการกระบวนการออก
ใบรับรอง กลไกการขับเคลื่อนระดับจังหวัด การวิจัยและพัฒนาการแปรรูปผลผลิต การพัฒนา
บรรจภุ ัณฑ์ การพฒั นาเป็นต้น
งานปลายน้ํา ได้แก่ การจัดทําแผนพัฒนาธุรกิจของเครือข่ายและกลุ่มองค์กร โดยอาจใช้
เครื่องมือ Business Model Canvas - BMC เพื่อให้สมาชิกและผู้บริหารเครือข่ายสามารถมองเห็น
และเข้าใจการเชื่อมโยงของแผนธุรกิจอย่างเป็นระบบต้ังแต่การผลิตสินค้า กลุ่มลูกค้า
การเข้าถึงลูกค้า การบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ การร่วมมือกับพันธมิตร การลงทุน และการ
จดั หารายได้ เปน็ ต้น
คูม่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 32
การบรหิ ารจัดการห่วงโซ่คุณค่าให้ครบทั้งต้นน้ํา กลางนํ้า และปลายน้ําจะสร้างความสําเร็จให้
การขับเคล่ือนเกษตรกรรมย่ังยืน ซ่ึงต้องทํางานแบบการสร้างความร่วมมือเชิงพื้นท่ี หรือ
การพฒั นาโดยใชพ้ ้นื ทีเ่ ปน็ ตวั ตัง้ (Area Based Collaborative Development)
คู่มือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีสว่ นร่วม SDGsPGS หน้า 33
บทที่ 13
หลกั ปฏบิ ัติเกษตรกรรมยั่งยืน SDGsPGS
เกษตรกรรมย่ังยนื SDGsPGS
หลกั การและเหตผุ ลการขับเคลื่อน
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ่วนรว่ ม SDGsPGS หน้า 34
1 เหตผุ ลท่ีมา เกษตรกรรมยัง่ ยืน SDGsPGS
หลกั การและเหตผุ ลการขับเคลอื่ น
• การทําลายสมดลุ ธรรมชาตใิ นไรน่ า
• การพยายามพึ่งพิงระบบนิเวศในไรน่ าโดยสมบรู ณ์
• การใช้สารเคมีการเกษตร สง่ ผลใหม้ ีสารพษิ ตกค้างในผลผลติ
การเกษตร
• ความเสอ่ื มโทรมของดนิ ในการทําเกษตรกระแสหลัก
• การลดลงของพืน้ ท่ปี า่ ไม้จากการบุกรุกใช้ประโยชน์ทางการเกษตร
และกจิ กรรมอ่นื ๆ
• ความเสี่ยงอนั เน่ืองจากการเกษตรเชิงเด่ียว
• การพง่ึ พิงการใชป้ จั จยั ภายนอกไร่นา
• ขาดการใช้ประโยชนจ์ ากของเหลือใชจ้ ากกจิ กรรมการเกษตร
• ความเสี่ยงจากภัยแลง้ และการขาดแคลนนํา้
• ความไม่ม่ันคงทางอาหารของเกษตรกร
2 ทรพั ยากรหลักในการจดั การ ระบบนิเวศ ดนิ ปา่ ไม้ ทดี่ ิน นํ้า
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมสี ่วนรว่ ม SDGsPGS หนา้ 35
3 วัตถปุ ระสงค์ เกษตรกรรมยั่งยืน SDGsPGS
หลักการและเหตผุ ลการขับเคลอื่ น
• เกดิ ความสมดลุ ทางธรรมชาติ
• การฟนื้ ฟคู วามสมบูรณข์ องดิน
• ความปลอดภยั ทางอาหาร
• การเพิ่มพ้ืนท่ีป่าไม้ของประเทศ
• การดาํ รงอยรู่ ่วมกันระหว่างพื้นทปี่ า่ กับการเกษตร
• ความหลากหลายทางชวี ภาพ
• ความม่ันคงทางรายได้
• การลดการพ่งึ พิงจากภายนอก
• การประหยดั ต่อขนาด
• ความมนั่ คงดา้ นอาหารและรายได้
• การจัดการทรัพยากรน้าํ
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมสี ่วนรว่ ม SDGsPGS หนา้ 36
4 หลักการและเงอ่ื นไข เกษตรกรรมยง่ั ยนื SDGsPGS
หลกั การและเหตผุ ลการขับเคลอื่ น
• การทําเกษตรกรรมโดยไมร่ บกวนธรรมชาตโิ ดยการไมใ่ ชส้ ารเคมี
สงั เคราะห์
• การเพ่ิมพนู ความสมบูรณ์ของดนิ โดยใช้ปุย๋ หมกั ป๋ยุ คอก จุลินทรยี ์
• การควบคุมและกําจัดศัตรูพืชโดยทางชีวภาพ กายภาพ
• การมตี ้นไม้ใหญ่และพชื หลายระดับ
• การเลือกพชื เศรษฐกจิ ใหเ้ หมาะสมกับพืน้ ที่
• การใชป้ ระโยชน์เกื้อกูลกันระหว่างกจิ กรรม
• มีกจิ กรรมการเกษตรต้งั แต่ 2 ชนิดข้นึ ไปในเวลาเดียวกัน
• การบริหารจัดการแหล่งน้ําในแปลง
• การทํานาเพอ่ื ใหม้ ขี ้าวบริโภค
• การทํากิจกรรมอื่นๆเพื่อให้มีผลผลติ เพื่อบรโิ ภคและขายได้
เกษตรกรรมย่ังยืน SDGsPGS
เทคนิคการจดั การ
1 การใชว้ สั ดุหรอื พืชคลมุ ดนิ มีความสําคัญมาก
2 การปรบั ปรุง บาํ รุงดนิ โดยพืชตระกูลถ่วั มีความสําคญั มาก
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมสี ว่ นร่วม SDGsPGS หน้า 37
เกษตรกรรมยงั่ ยนื SDGsPGS
เทคนคิ การจัดการ
3 การปรบั ปรงุ ดินโดยใช้ Bio Char มีความสําคัญมาก เฮยี ตวง ทีมงาน SDGsPGS นครพนม
ได้สรุปประโยชนข์ องใบโอชาไว้ดังน้ี
1. ชว่ ยกักเก็บนา้ํ ลดการใช้นํ้า แก้ปญั หาภัยแลง้ ได้
2. เปน็ ทอี่ ยขู่ องจุลินทรีย์ เป็นเสมือนบ้าน ทาํ ใหจ้ ุลนิ ทรีย์
มีชวี ติ ทีย่ ืนยาว
3. เปน็ โรงงานผลติ ปุย๋ จลุ นิ ทรีย์ท่ีอยใู่ นถา่ น จะย่อยสลาย
อนิ ทรียว์ ัตถใุ ห้เป็นสารอาหารท่พี ชื ดูดซึมไปใชไ้ ด้ ช่วยลด
การใชป้ ยุ๋ ลงไปครึง่ นึง ชว่ ยลดตน้ ทุนการผลติ ได้
4. ในถา่ นไบโอชาร์ มีฟอสเฟตประมาณ 1% มีโปแต
สเซยี ม 2 % เป็นสารอาหารที่พืชนาํ ไปใช้ จะปรับปรุง
รสชาติให้ผลไมห้ วานข้นึ
5. ถ่านสามารถอยู่ในดินได้เปน็ รอ้ ยปี การฝงั ถ่านลงไปใน
ดนิ ชว่ ยลดก๊าซคารบ์ อนในอากาศ จะแกป้ ญั หาโลกร้อนได้
6.ในถ่านมนี ํา้ ส้มควันไม้ ที่มคี ุณสมบตั ไิ ล่แมลง และมี
ฟอสเฟตธรรมชาติ มสี ารโพลีฟนี อล และสารอน่ื ๆทีพ่ ชื
สร้างข้นึ มา เหลอื อย่ใู นถ่านไบโอชาร์ สารเหลา่ น้ที าํ ใหพ้ ชื
แขง็ แรงขน้ึ และพืชนําไปใช้เป็นสารไล่แมลง แปลงผกั หรือ
ต้นไมท้ ่ีใชไ้ บโอชาร์ จะไม่มีแมลงมารบกวน จงึ ไม่
จาํ เป็นต้องฉีดยาฆา่ แมลง ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ด้วย
7. เศษก่งิ ไมเ้ ศษใบไม้ เหงามัน ซงั ข้าวโพด เศษวัสดทุ าง
การเกษตรทั้งหลาย สามารถนํามาทําไปโอชาร์ได้ เป็นการ
กาํ จัดขยะ ในสวนของเรา
8. ช่วยใหก้ ารทาํ เกษตรอนิ ทรีย์ เป็นเรอ่ื งท่ีงา่ ยขึน้
เกษตรกรประสบความสําเร็จงา่ ยขึ้น เกดิ รายได้ สรา้ ง
อาชพี ท่ีม่นั คงและย่งั ยนื ไมต่ ้องไปเปน็ ลูกจ้าง ไม่ต้อง ทิง้
ถิน่ ฐานบ้านเกดิ คนในครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
ลดปญั หาสังคม
9. ลดการใช้สารเคมที ุกชนิดในทางการเกษตร ไม่
จําเป็นต้องใชป้ ุ๋ยเคมี ไม่จําเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง ชว่ ยลด
ต้นทุนทางการผลติ แล้ว
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีสว่ นร่วม S1D0G. พsPลGงั Sงานความร้อนจากการเผาถ่านไบโอชาร์ สหานม้าาร3ถ8
นําไป อบพืชผลทางการเกษตร เช่นทํากล้วยตาก ทําพริก
แหง้ อบสมุนไพร หรอื ผลิตไอน้ําเพื่อนึ่งก้อนเหด็ ได้
เกษตรกรรมย่งั ยนื SDGsPGS
เทคนคิ การจดั การ
4 การใช้ปุ๋ยเคมี และสารเคมีสงั เคราะห์ หา้ มใชโ้ ดยเด็ดขาด
5 การใชป้ ุ๋ยหมัก ป๋ยุ คอก และหินแร่ มีความสาํ คญั มาก
6 การใช้ปุ๋ยอินทรียจ์ ากภายนอกแปลง สามารถทําได้ แต่ต้องเป็นเป็นปุ๋ยอนิ ทรีย์จาก
เกษตรอินทรีย์ ผู้ประกอบการท่ีพร้อมเปิดเผยส่วนผสมทีไ่ ม่มสี ารเคมี
สังเคราะห์ หรือเป็นปุ๋ยทไี่ ด้รับการรับรองจากหนว่ ยงานท่ี
เชอ่ื ถือได้
7 การไถพรวนดิน อนุญาตให้ทาํ ได้
8 การผสมผสานการปลกู พืชและเลี้ยงสัตว์ มีความสาํ คญั มาก
รว่ มกนั
9 การปลูกพืชหลายระดับ มคี วามสาํ คญั
10 การใช้ประโยชนเ์ ก้ือกลู ระหวา่ งกจิ กรรม มคี วามสําคญั มาก
11 การควบคุมศตั รพู ชื โดยไม่ใช้สารเคมี มคี วามสาํ คัญมาก หา้ มใชส้ ารเคมโี ดยเด็ดขาด
12 การควบคุมศัตรพู ชื โดยใช้สารชวี ภณั ฑ์ มคี วามสําคัญมาก
สมนุ ไพร NPV
13 การมแี หล่งนาํ้ ไวใ้ ชใ้ นเรอื กสวนไรน่ า มคี วามสาํ คญั เนน้ การจัดการนํา้ ทีด่ ี
14 การเผาตอซังในไรน่ า เผาหญ้าใบไม้ใน หา้ มเผาโดยเด็ดขาด อนญุ าตใหใ้ นกรณเี ผ่าถ่าน เผาไมเ้ พ่ือ
แปลง เก็บนํ้าส้มควนั ไมไ้ ว้ในบรเิ วณท่คี วบคมุ
ค่มู ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 39
เกษตรกรรมย่งั ยืน SDGsPGS
เทคนิคการจัดการ
15 ควรตอ้ งหมักปยุ๋ คอกกอ่ นนําไปใช้ มคี วามสําคญั มาก ปยุ๋ คอกที่ใชจ้ ะต้องไม่มาจากระบบเลย้ี ง
และการจดั การที่ไม่เปน็ มติ รต่อส่งิ แวดลอ้ ม
16 การจัดใหม้ ีแนวกนั ชนท่แี นน่ หนา มีความสาํ คัญมาก ควรมีแนวกันชนทแ่ี นน่ หนา เพื่อกนั การ
ปนเปือ้ นจากน้ําไหลเขา้ แปลงแนวพน้ื ดนิ และแนวอากาศ
จากละอองสารเคมีจากแปลงขา้ งเคยี ง
17 พืชบนแนวกนั ชน ห้ามเป็นพชื ท่ขี อรบั รอง มีความสําคญั มาก
มาตรฐานเกษตรอินทรยี ์ SDGsPGS
18 แปลงคู่ขนาน อนุญาตให้มแี ปลงคู่ขนานที่ทําเกษตรกรรมย่งั ยนื และแปลง
19 การปนเป้อื นจากนํา้ ท้ิงจากครัวเรือน เคมไี ด้ แต่หา้ มมีพืชชนิดเดียวกัน
ห้ามไม่ใหม้ ีการปนเปือ้ นโดยเด็ดขาด ควรมีการจดั ทําบ่อ
บาํ บดั นํา้ เสียจากครัวเรือน แยกจากแปลงเกษตร
20 การจัดเกบ็ เมลด็ พันธุเ์ อง และการจัดหา มีความสาํ คัญมาก ในกรณีทจี่ ัดหาเมลด็ พันธท์ุ ี่ไรส้ ารเคมี
เมลด็ พันุธ์ที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมี ไมไ่ ด้ อนุโลมให้ใชเ้ มล็ดพนั ธุท์ ี่คลุกสารเคมีได้ แต่จะต้องมี
การล้างด้วยน้าํ อุ่นและนํานา้ํ ที่ล้างเมล็ดพนั ธุ์ไปท้ิงนอก
แปลงเกษตร
21 การตรวจวิเคราะหด์ นิ และนาํ้ ควรมกี ารตรวจคณุ ภาพดนิ และนา้ํ อย่างนอ้ ยปีละ 1 ครงั้
ควรมีการตรวจค่า PH ของดินและนาํ้ ใหเ้ หมาะกับพชื ที่
ปลกู
ค่มู ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมีส่วนร่วม SDGsPGS หน้า 40
เกษตรกรรมยัง่ ยืน SDGsPGS
เทคนคิ การจดั การ
22 การตรวจวเิ คราะหผ์ ลผลติ ควรมกี ารตรวจวิเคราะหผ์ ลผลิตเพอื่ หาสารเคมตี กคา้ ง
23 เอกสารสทิ ธ์ิ ไม่เน้น แต่ต้องมีการจบั พิกัดแปลง
24 การจัดการหลงั การเก็บเก่ียว
มีความสาํ คญั มาก ห้ามมิให้มีการจดั การรว่ มกันระหวา่ ง
ผลผลิตระบบเกษตรกรรมยั่งยืน กับผลผลติ เคมี
25 ระยะปรบั เปลย่ี น ระยะปรับเปลยี่ นสู่มาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ์ SDGsPGS คอื
3 ปี เวน้ แต่เปน็ การเกษตรแบบธรรมชาตแิ ละวนเกษตรท่ี
ไม่มีการใชส้ ารเคมี แตต่ อ้ งมีการยนื ยันทางเอกสาร
26 การจดั การเก็บเกย่ี วผลผลติ ระยะ มีความสาํ คญั มาก จะตอ้ งแยกผลผลิตระยะปรบั เปลย่ี นปี่ท่ี
ปรับเปล่ยี น 1, 2, 3,และผลผลิตทไ่ี ดร้ ับการรบั รองมาตรฐานเกษตร
อินทรยี ์ SDGsPGS อยา่ งชดั เจน
27 ห้ามใชอ้ ุปกรณเ์ ชน่ ถงั ฉีดสารชีวภัณฑ์ มคี วามสาํ คัญมาก
รว่ มกบั ถงั ฉดี สารเคมี
28 เกษตรกรควรมกี ารผลิตอาหารอินทรยี ์ มคี วามสาํ คญั
เชน่ ข้าว ผัก ผลไม้ ปศสุ ตั ว์ ไว้บริโภคใน
ครัวเรือน
ค่มู ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีสว่ นร่วม SDGsPGS หน้า 41
เกษตรกรรมย่ังยืน SDGsPGS
เทคนิคการจัดการ
29 ปศุสตั วใ์ นแปลงเกษตรอนิ ทรีย์ มีความสําคัญ แตก่ ารรบั รองมาตรฐานปศุสตั ว์อนิ ทรยี ์ได้
หรอื ไมน่ ัน้ จะต้องพจิ ารณาที่อาหารสตั ว์ หากเปน็ การเล้ยี ง
ดว้ ยอาหารท่ีมาจากเกษตรกรรมยงั่ ยนื กส็ ามารถรับรอง
เป็นปศุสตั ว์อินทรีย์ได้ แตถ่ ้าอาหารท่เี ลยี้ งสัตวอ์ ยูใ่ นระยะ
ปรบั เปลี่ยน กจ็ ะได้ปศสุ ัตวร์ ะยะปรับเปลย่ี นเป็นอนิ ทรยี ์
ตามอยา่ งการผลติ พืช
30 การเล้ียงปลาในนาข้าว มคี วามสําคัญ เปน็ การใชแ้ ปลงนาใหเ้ ปน็ ประโยชน์ และ
31 การปลูกพืชหลงั นา สร้างความม่ันคงทางอาหาร
มีความสาํ คญั มาก เช่นแปลงเกษตรอนิ ทรีย์ที่ไดร้ บั รอง
มาตรฐานสากล หากมีการปลูกถั่วเขียวหลังจากเกบ็ เกีย่ ว
ขา้ วนาปี จะทําให้ได้ถวั่ เขียวมาตรฐานสากล แทนทีจ่ ะได้
ขา้ วอินทรียม์ าตรฐานสากลอย่างเดียว นอกจากเปน็ การ
สร้างรายได้ทเี่ พ่ิมขึ้นแล้ว ยังเปน็ การใช้พืชตระกูลถัว่ บาํ รุง
ดนิ อีกดว้ ย และยังเปน็ การใชป้ ระโยชนจ์ ากความชื้นที่อยู่
ในดนิ หลังเก็บเกีย่ ว ทําให้ลดตน้ ทุนในการปลูกพนื้ ท่ี
ต้องการนํ้าน้อยอีกดว้ ย
ค่มู ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 42
เกษตรกรรมย่งั ยนื SDGsPGS
เทคนิคการจดั การ
32 เกษตรกรควรตรวจเลอื ดทุกปีเพื่อหา มคี วามสําคัญมาก
สารเคมปี นเปอ้ื นในร่างกาย
33 เกษตรกรควรมกี ารรวมกลุ่มเพอื่ จัดการ มีความสําคญั มาก
ผลิต การจดั การผลผลิตออกสู่ตลาด
รว่ มกัน
34 การวางแผนการผลติ มีความสาํ คญั มาก
35 จะตอ้ งมีการบันทกึ การผลิตในแปลง มีความสาํ คญั มาก
เกษตรอินทรยี ์ จดั ทาํ บัญชฟี ารม์
อ.ณรงค์ คงมาก ได้รวบรวมความรู้จากประสบการณ์ของกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายท่ีได้ลงไป
สํารวจ ศึกษา ในพื้นท่ีภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก
จํานวนไม่น้อยกว่า 30 ราย ท่ีมีบุคลิคภาพของแปลงสอดคล้อง ผสมผสานท้ัง 5 แบบของ
เกษตรกรรมยั่งยืน รวมท้ังข้อมูลจากการศึกษาระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์สากล“สกัดความรู้”
ออกมาเป็นหลักการปฏิบัติของเกษตรอินทรีย์ – SCE 9 หลักการปฏิบัติ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ
และเหตผุ ล และเทคนิคการจัดการแปลงเกษตรอนิ ทรีย์ SDGsPGS ขา้ งต้น พอนํามาสรุปไดด้ งั นี้
หลกั การที่ 1: ยดึ หลกั ความสมดลุ ของระบบนเิ วศวทิ ยา ความหลากหลายทางชีวภาพภายใน
แปลงเกษตรอินทรีย์ เป็นปฐมบทของหลักปฏิบัติ เราสามารถพบเห็นความสําเร็จของแปลงเกษตร
ในรูปแบบเกษตรผสมผสาน (Integrated Farming) ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะ
“สวนสมรม” “สวนดุซง” หรือสวนผสมผสานในภาคใต้ เป็นระบบเกษตรพื้นบ้านท่ีปลูกพืชหลาย
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมสี ว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 43
ระดับเลียนแบบป่าธรรมชาติ ต่างกันท่ีเป็น “ป่ากินได้ - ขายได้” พืชระดับบนได้แก่ พืชยืนต้น
ตระกูลถัว่ ซ่ึงมคี ุณสมบัตกิ ารตรงึ ไนโตรเจน จากอากาศ (Nitrogen Fixing Trees)เชน่ เหรียง สะตอ
แลว้ สลัดใบลงเป็นปยุ๋ พืชสดชนั้ ดใี ห้กับพืชไม้ผลชัน้ กลาง ช้ันล่าง อย่างมังคุด ลองกอง ทุเรียน ผัก
เหลียง ผกั กดู กระวาน หัวกลอย ไพล เป็นตน้
ภาพที่ 1 : พืชยืนตน้ ตระกูลถั่ว มคี วามสําคัญมากในการสรา้ งระบบนเิ วศระดบั แปลง
นอกจากปลูกพืชแล้ว เกษตรกรในภาคตะวันออก นิยมเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยในสวนผลไม้
เช่น สวนเงาะ สวนยางพารา สวนมังคุด ให้ผลผลิตไข่เป็น “ไก่ไข่อารมณ์ดี” ได้ไข่เป็นอาหาร
บริโภคในครัวเรือน เหลือขายเป็นรายได้ เป็นที่ต้องการของตลาดทุกระดับ หากมีการบริหาร
จัดการแปลงเกษตรร่วมกับการเล้ียงไก่ไข่ให้ดี โดยการหมุนเวียนพ้ืนท่ีเลี้ยงไก่ไข่อย่างเหมาะสม
ปัญหาวัชพืช ก็จะหมดไปด้วย เพราะไก่กินหญ้าในแปลงจนหมด แต่ต้องระวังภัยของไก่ไข่
จากสนุ ขั และงู ใหด้ ีต้องมีรว้ั ล้อมแปลงท่ปี ล่อยไก่
หลักการที่ 2: สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ดินเป็น “ดินท่ีมีชีวิต” เกษตรกรในพื้นท่ีตําบลแม่
ทา อําเภอแม่ออน จังหวัดเชยี งใหม่ เลี้ยงวัวขุน เพื่อเอามูลวัวมาทําปุ๋ยหมักปลูกผักได้ตลอดปี มูลวัว
นมท่ีมีมากมายก็นํามาทําแก๊สชีวภาพแทนแก๊สหุงต้มประหยัดรายจ่ายได้มาก ทั้งรายจ่ายของ
ครัวเรือนและชุมชน ส่วนในพื้นที่อําเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี ยึดหลักการทําให้ดินมีชีวิต
ผลิตปุ๋ยชีวภาพจากมูลวัว มูลไก่ ด้วยหัวเชื้อ EM ท่ีผลิตโดยผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น ออกมา
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมสี ่วนรว่ ม SDGsPGS หนา้ 44
จําหน่ายให้เกษตรกรในเครือข่าย ใช้ปลูกพืชผัก ใส่สวนผลไม้ ผลิตในชุมชน ขายในชุมชน รายได้
หมุนเวียนในชุมชน
เม่ือดินมีชีวิต ดัชนีชี้วัดท่ีชัดเจน คือ “มีไส้เดือนและจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์”เกิดขึ้นจํานวน
มากในดิน ดินจะมีความสมบูรณ์ พืชเจริญเติบโตดี แข็งแรง ซึ่งต่างจากดินที่เจอแต่ปุ๋ยเคมี ดินจะมี
ความเป็นกรดสูง แปลงเกษตรอินทรีย์ ท่ีอยู่ในระยะปรับเปล่ียนปีแรกๆ ควรนําดินไปตรวจ
วิเคราะห์ ให้รู้สุขภาพของดินเพ่ือหาวิธีการปรับปรุงดินให้ถูกวิธี การใช้โดโลไมท์ ยิปซั่ม เพื่อปรับ
ความเปน็ กรด ด่างของดิน อาจมคี วามจําเปน็ และห้ามเผาตอซงั หรอื อินทรีย์วัตถุทุกชนดิ ในแปลง
หลักการท่ี 3: การปลูกพืชหลากหลายชนดิ ไมป่ ลูกพืชเชิงเดี่ยวเป็นแปลงขนาดใหญ่ การปลูก
พืชท่ีหลากหลายชนิด ทั้งพืชเศรษฐกิจ พืชขับไล่แมลง พืชใช้ทําปุ๋ยพืชสด พืชใช้สอย พืชสมุนไพร
ในแปลงเดียวกันนอกจากช่วยลดความเส่ียงหรือกระจายความเส่ียงจากการเกิดโรคศัตรูพืชแล้ว ยัง
ช่วยลดความเสย่ี งด้านราคาผลผลติ ทจี่ ะตกตํ่าในบางพืชด้วย ทงั้ น้ีเกษตรกรและบรษิ ัทฯ ต้องร่วมกัน
วางแผนการผลิตในรอบปีหรือรอบฤดูการผลิต โดยคํานึงถึงความต้องการของตลาด ควบคู่กับ
ความถนัด ความพร้อมของเกษตรกร และสภาพดินฟ้าอากาศในแต่ละช่วงด้วย เช่น กรณีท่ี
เกษตรกรไมม่ ที นุ ในการกอ่ สรา้ งโรงเรอื น เพอื่ ปลกู ผักบางชนดิ ในระบบปดิ จะไม่สามารถปลูกพืชผัก
ในช่วงฤดูฝนได้ องค์กรส่งเสริมการตลาด เช่น องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จึงต้อง
กระจายพื้นที่ส่งเสริมการปลูกผักและเชื่อมโยงการกลุ่มผู้ผลิต ไปยังพื้นท่ีอื่นๆ เพ่ือให้มีผักป้อนเข้า
ตลาดตลอดท้ังปี กรณีเกษตรกรมีที่ดินแปลงใหญ่นับร้อยไร่ หรือหลายร้อยไร่ อย่างเกษตรกร
ชาวสวนผลไม้ ในภาคตะวันออก ควรมีการแบ่งแปลงออกเป็นแปลงย่อยๆ ขนาดแปลง ไม่ควรเกิน
30-50 ไร่ โดยการปลูกพืชยืนต้นตระกูลถั่ว เป็นแถวๆ แทรกลงระหว่างพืชเศรษฐกิจแปลงใหญ่ๆ
เพื่อแบ่งแยกแปลง เช่น ปลูกต้นแคฝรั่ง ทองหลาง เป็นต้น ซ่ึงเป็นพืชที่ใช้ปลูกแล้วตัดกิ่ง ก้าน ใบ
คลุมดินใตโ้ คนต้นไมผ้ ล ย่อยสลายให้ธาตุไนโตรเจนอย่างดี สว่ นแปลงทม่ี คี วามลาดชันสูง ก็ควรปลูก
พืชท่ีมีอายุยืนยาว เป็นแถวตามแนวระดับ (Alley Cropping) เช่น ต้นแคฝรั่ง กระถิน ถั่วมะแฮะ
ตะไคร้ ขงิ ขา่ หญา้ แฝก สบั ปะรด เป็นต้น
หลักการที่ 4: ใช้ปจั จยั การผลติ ทีห่ มนุ เวยี นในแปลง ลดการพ่ึงพาจากภายนอก หลักการวน
เกษตร เกษตรป่าไม้ หรือป่าธรรมชาติ จะเห็นได้ว่ามีการนําเข้าปัจจัยการผลิตจากภายนอกเข้ามา
ในระบบแปลงน้อยท่ีสุด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ํา มีรายได้สูงข้ึน รายเหลือมากข้ึน ตามหลัก
สัมมาชีพข้อที่ 4 คือ รายรับมากกว่ารายจ่าย จึงต้องคิดค้นและพัฒนาการเล้ียงปศุสัตว์ เพื่อนํามูล
สัตว์มาทําปุ๋ยหมัก มาทําแก๊สชีวภาพใช้แทนแก๊สหุงต้ม อย่างที่เกษตรกรตําบลแม่ทา ทําอยู่ หรือ
การปลูกพชื ยนื ตน้ ตระกูลถั่ว เพื่อตัดแต่งก่ิง ก้าน ใบมาคลุมดิน ย่อยสลายเป็นปุ๋ยพืชสด เสริมด้วย
คูม่ ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมสี ่วนรว่ ม SDGsPGS หน้า 45
นํา้ หมกั ชวี ภาพทน่ี ําใบพืชยืนตน้ ตระกูลถั่วมาหมัก เช่น ใบกระถิน ใบแคฝรั่ง เป็นต้น เกษตรกรที่
ปลูกผักในจังหวัดนครปฐม มีการเลี้ยงหมูหลุม เพ่ือนํามูลมาทําปุ๋ยหมัก และเสริมรายได้จากการ
ขายหมูขุน ชาวนาในตําบลโพนทอง อําเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ใช้ฟางข้าวจากแปลงนา มาเป็น
อาหารวัวในหน้าแล้ง ใช้เป็นวัสดุคลุมหน้าดินในการปลูกผัก ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติวัดป่ายาง
นครศรีธรรมราช ใช้เศษอาหารในวัดท่ีมีจํานวนมาก หมักเป็นนํ้าหมักชีวภาพ ใช้ฉีดพ่นใส่ปุ๋ยป้ัน
เม็ดในกระบวนการปั้นเม็ด เสริมธาตุอาหารในปุ๋ยตรา “ดอกลําดวน” ผลผลิตของวิสาหกิจชุมชนวัด
ป่ายาง การตดั หญ้าในสวนผลไม้ปลี ะ 7-8 คร้ัง แลว้ ใช้นํ้าหมักชีวภาพราด เพื่อช่วยการย่อยสลาย
ใหห้ ญ้ากลายเปน็ ปุ๋ยได้เร็วข้ึน ลดการใช้ปุ๋ยหมักได้อีกทางหนึ่งหรือท่ีสวนนายสุธี ปรีชาวุฒิ ที่ตําบล
วังสรรพรส อาํ เภอขลุง จังหวัดจันทบุรี มีการปลูกผักเหมียง ผักกูด สับปะรด ในร่องสวนยางพารา
ใหน้ ํา้ ด้วยระบบสปรง้ิ เกลอร์ นอกจากพืชผกั พนื้ บ้านท้งั 3 ได้รับน้ําแลว้ ยางพาราพลอยได้รับนํ้า ยืด
อายุการกรีด และได้ปริมาณนํา้ ยางมากข้ึนกว่าสวนยางพาราท่ัวไป ยึดหลัก “ยิงกระสุน(น้ํา)นัด(หัว)
เดยี ว ได้นก(พชื ) 4 ตวั ” (ผักเหลียง ผกั กดู สับปะรด ยางพารา)
หลักการที่ 5: วางระบบป้องกันจากมลพิษรอบแปลงอย่างเต็มกําลัง แปลงเกษตรอินทรีย์
ส่วนใหญ่ อยู่ท่ามกลางแปลงเกษตรเคมี และเป็นเหตุผลหน่ึงที่เกษตรกรทั่วไป เชื่อกันว่า เราทํา
เกษตรอินทรีย์แปลงเดียว ไม่ใช้สารเคมี อยู่ท่ามกลางแปลงเกษตรเคมี แมลงศัตรูพืช จะหนีมาอยู่
สวนเรา ทาํ ลายพชื พรรณของเราจนหมด เทคนิคเกษตรอินทรีย์เอาไม่อยู่ ซ่ึงเหตุผลน้ี จริงหรือไม่?
อยทู่ คี่ วามเช่อื ความศรัทธา และวิถีปฏิบัติเกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร จากประสบการณ์ของชาว
เกษตรอินทรีย์ที่อําเภอเขาสมิง จังหวัดตราด เม่ือระบบนิเวศวิทยาในแปลงเกษตรอินทรีย์สมบูรณ์
มีการใช้ชีววิธี ในการป้องกันกําจัดศัตรูพืช ท่ีครบถ้วนสมบูรณ์ และเป็นแปลงอยู่ท่ามกลางเกษตร
เคมี ก็ไม่พบความเสียหายอย่างที่พูดกัน อย่างไรก็ตามเกษตรกรควรป้องกันความเสี่ยงจากการ
ปนเปื้อนสารพิษจากแปลงข้างเคียงโดยการทํา “แนวกันชน” ทั้งในรูปแบบ “การขุดคูร่อง” “การ
ปลูกพืชเป็นแถบแน่นทึบ รอบแปลงเกษตรอินทรีย์ กว้างประมาณ 3-4 เมตร” และ “การจัดการ
แหล่งน้าํ ภายในแปลงของเกษตรกรเอง”
การขดุ ครู อ่ ง ตอ้ งทําในกรณีทีแ่ ปลงเกษตรอินทรยี ์ พื้นทีอ่ ยูต่ ่ํากว่าแปลงเกษตรเคมีข้างเคียง
ขดุ ร่องดักน้ําที่ไหลมาจากแปลงเกษตรเคมี ไม่ใหผ้ า่ นพ้ืนทีแ่ ปลงเกษตรอนิ ทรยี ์ ร่องควรลึกประมาณ
0.3 เมตร กว้างประมาณ 0.5 เมตร และควรมีการดูแลรักษาไม่ให้ร่องต้ืนเขินทุกปี เพื่อเปล่ียน
ทิศทางน้ําไม่ใหไ้ หลผ่านแปลงเกษตรอนิ ทรยี ์ กรณนี าขา้ ว การทําคันนาต้องกวา้ งและสูงพอไม่ให้น้ํา
จากแปลงนาขา้ งเคียงไหลซึมผา่ นเข้ามาในแปลงนาอินทรยี ไ์ ด้ และต้องหมั่นตรวจคันนาไม่ให้รั่วจาก
คมู่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมีสว่ นร่วม SDGsPGS หนา้ 46
ฝีมือของ “หนู” และ “ปู”เช่นเดียวกัน หากบ้านพัก ท่ีอยู่อาศัยอยู่ในแปลง กรณีลานซักล้างกับ
แปลงก็ควรขดุ ครู อ่ ง ลงบ่อบําบัด ปอ้ งกันไมใ่ หน้ ํา้ ผงซักฟอกไหลลงแปลงเกษตรอนิ ทรยี ์รอบบา้ น
แนวกันชน แปลงปลูกผักอินทรีย์ที่ตําบลโพนทอง อําเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ท่ีอยู่ในชุมชน
ลงทุนสร้างกําแพงปูนซิเมนต์ ป้องกันมลพิษจากบ้านเรือน ปนเปื้อนสู่แปลงผัก แต่โดยหลักปฏิบัติ
ทั่วไป ไม่ต้องลงทุนขนาดน้ัน เกษตรกรสามารถใช้พืชนานาชนิด ยกเว้น พืชที่ขอรับรองเป็น
“ผลผลิตอินทรีย์” ปลูกเป็นแถบหลายชั้นความสูง ให้แน่นทึบ เพื่อกรองและป้องกันละอองสารเคมี
พัดผ่านเข้ามาในแปลงเกษตรอินทรีย์ เกษตรกรบางท่านใช้ต้นอโศกอินเดีย ต้นสน ต้นไม้ กระถิน
เทพา กระถินณรงค์ กล้วย ไม้ป่าหลากชนิด เป็นต้น ข้ึนอยู่กับขนาดของพ้ืนท่ีแปลง หากมีพื้นท่ี
มาก ก็เว้นพืชธรรมชาติไว้ สร้างเป็นป่าครอบครัวรอบแปลง ปลูกพืชสมุนไพร ผักหวานป่า
(โด๊ะเด๊ะ) แทรกลงไป ข้อพึงระวังสําหรับเกษตรกรท่ีมีพื้นที่น้อย เพ่ือไม่ให้แนวกันชนกินพื้นท่ี
การเกษตรมากเกินไป ก็ควรเลือกปลูกพืชหลายระดับ ท่ีมีประโยชน์ขายได้ และใช้ประโยชน์ได้
เช่น กล้วย ไผ่ ตะไคร้ ขิง ข่า ไพล มะขาม ต้นข่อย หรือพืชท่ีนิยมปลูกเป็นร้ัว
ท่ีต้องตัดแต่งประจําไม่ให้สูงใหญ่ ทั้งน้ีผลผลิตจากพืชในแนวกันชนต้องขายในตลาดท่ัวไป
ไม่สามารถขอรับรองเปน็ ผลผลิตเกษตรอนิ ทรยี ์ ขายในระบบตลาดเกษตรอนิ ทรยี ์ได้
แหล่งนํ้าในแปลง การลงทุนสร้างแหล่งนํ้าใหม่ในแปลงของตนเอง เป็นเร่ืองยากสําหรับ
เกษตรกรรายย่อย หากยังไม่มีแหล่งนํ้าในแปลงมาก่อน อาจทําเกษตรอินทรีย์ท่ีจะเข้ารับรอง
มาตรฐานไมไ่ ด้เลย เพราะน้ําเป็นเง่ือนไขสําคัญมากสําหรับการทําเกษตรทุกประเภท กรณีใช้แหล่ง
น้ําตน้ ทุนจากแหล่งนา้ํ ธรรมชาติ ห้วย หนอง คลองบงึ หรอื แหลง่ นาํ้ ชลประทาน และเป็นแหล่งน้ําที่
ไหลผ่านที่ตงั้ ของชมุ ชน ทอี่ ยอู่ าศยั โรงงานอุตสาหกรรม หรือพน้ื ทีแ่ ปลงเกษตรเคมีผืนใหญ่ด้วยแล้ว
ยากทีจ่ ะผ่านมาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ์ทัว่ ไปได้ จากข้อจํากัดด้านแหล่งนํ้าทําให้จําเป็นต้องใช้นํ้าจาก
แหล่งนํ้าในแปลงเกษตรเท่านั้น ยกเว้น จะมีกรณีพิเศษท่ีจะพิจารณาเป็นรายๆไป เช่น การมี
ระบบการปลูกพืชดูดซับน้ํา เช่น ต้นกก ต้นธูปฤษี ผักตบชวา ผักกระเฉด และพืชนํ้าอ่ืนๆนอก
แปลง ให้นํ้าจากภายนอกไหลผ่านบ่อหรือคูบําบัดนํ้าท่ีปลูกพืชดังกล่าวข้างต้น มีท่อนํ้าที่ปล่อยนํ้า
เข้าแปลงที่ผ่านกระสอบหินทรายถ่าน เพื่อการกรองน้ําอีกช้ันหน่ึง หรือใช้สารชีวภาพ นํ้าหมักจาก
ต้ น ก ล้ ว ย ใ ส่ ล ง ใ น บ่ อ บํ า บั ด นํ้ า (ก ร ณี แ ป ล ง น า อิ น ท รี ย์ อ .ไ ท ร น้ อ ย
จ.นนทบรุ )ี ใหม้ ีระบบการบาํ บัดนํ้าด้วยวิธใี ดวิธีหนงึ่ ก่อนนํามาใชใ้ นแปลงเกษตรอินทรยี ์
หลักการที่ 6 : การทําแผนการผลติ แผนธุรกิจรายแปลง ตลอดปี เม่ือการทําเกษตรอินทรีย์
ต้องมีผลผลิตท่ีเหลือจากการบริโภคส่วนใหญ่ ป้อนเข้าสู่ตลาด จึงจําเป็นอย่างย่ิงท่ีต้องทําแผนการ
ผลิต ในส่วนของเกษตรกร ส่วนองค์กรตลาดก็ต้องทําแผนการตลาด เพ่ือมาจับคู่กัน
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรยี ์แบบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 47
ให้เกิดความสมดุลระหว่างการผลิตและการตลาด ฝ่ายตลาดต้องหาตลาดล่วงหน้าให้ชัดเจนก่อน
เพื่อนําฐานข้อมูลความต้องการของตลาด มาวางแผนการผลิตให้เกษตรกรในเครือข่าย โดยมีการ
กําหนดชนิดพืชท่ีตลาดต้องการ เป็นตัวตั้งหรือ “ตลาดนํา” แล้วมาร่วมวางแผนกับเกษตรกร
ว่าจะปลกู พชื อะไร? เม่อื ไร? ปรมิ าณเท่าไร? ใช้พันธุ์จากไหน? ใช้ปัจจัยการผลิตอะไร? ต้นทุนเท่าไร?
และราคาที่ตลาดฯจะรับซ้ือตามเกรดมาตรฐาน ท่ีตกลงกัน กก.ละเท่าไร? เกษตรกรที่เข้าร่วมมีก่ี
ราย? พ้ืนที่ปลูกเท่าไร? ใครรับโควต้าปลูกอะไร? เป็นต้น การทําแผนการผลิตและ
แผนธุรกิจรายแปลง จงึ เป็นเง่ือนไขสาํ คัญท่เี กษตรกรตอ้ งปฏบิ ตั ิ
หลักการที่ 7: การทําบัญชีฟาร์ม จากหลักการการค้าท่ีเป็นธรรม (Fair Trade) ทุกฝ่ายใน
ห่วงโซ่เศรษฐกจิ ต้องเปดิ เผยขอ้ มูลต้นทุนการผลติ คา่ ใช้จา่ ยของแต่ละภาคส่วนธุรกิจ ทุกช่วงข้อต่อ
ตั้งแต่เกษตรกร ผู้จัดการโรงบรรจุ การขนส่ง การกระจายสินค้า ค่าการตลาด การประกันสินค้า
การขายสง่ การขายปลีก และอัตราการสูญเสียในแต่ละช่วง การบันทึกข้อมูลรายรับ รายจ่าย การ
ทําบัญชีฟาร์มของเกษตรกร จึงเป็นเครื่องมือสําคัญในองค์ประกอบของระบบการค้าที่เป็นธรรม
การทําบัญชีของเกษตรกร นอกจากทําให้เกษตรกรรู้จักตนเอง รู้ต้นทุนการผลิต
แล้ว ยังใช้ประกอบการกําหนดราคาซ้ือ-ขายผลผลิต ระหว่างฝ่ายตลาดกับเกษตรกร และนําไปสู่
การกําหนดราคาขายสนิ คา้ ให้กับผบู้ ริโภคปลายทางสุดท้ายด้วย ทงั้ น้ี สถานการณ์ปริมาณผลผลิตใน
ตลาด จะนาํ มาประกอบการพิจารณากําหนดราคาซือ้ -ขาย ด้วย
ในข้ันตอนการกําหนดราคาซื้อขายผลผลิต ใช้บัญชีต้นทุนการผลิต ของเกษตรกร
มาพิจารณาร่วมกับต้นทุนขายของฝ่ายตลาด จากนั้นพิจารณาสภาวการณ์ของปริมาณผลผลิตใน
ตลาด พจิ ารณาการแข่งขัน โอกาสการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ จึงจะกําหนดราคาขาย (ขายส่ง
และขายปลกี ) รว่ มกันได้ ความแมน่ ตรงของข้อมูลบัญชีฟาร์ม จึงมีความสําคัญมาก เพราะหลักคิด
ของตลาดเกษตรอินทรีย์ คือ การกําหนดราคาบนฐานของ “เกษตรกรคือหุ้นส่วนทางธุรกิจ” ไม่ใช่
“การต่อรองให้ได้สินค้าราคาถูกที่สุด เพ่ือไปขายสร้างกําไรให้มากที่สุด” หรือเข้าไปอยู่ในสภาวะ
“สงครามราคา” อย่างที่ตลาดท่ัวไปกระทํากนั อยู่
หลักการที่ 8: ร่วมกระบวนการเรียนรู้การพัฒนาเกษตรอินทรีย์อย่างต่อเนื่อง เกษตร
อินทรียไ์ ม่ใช่การปล่อยแปลงเกษตรให้ธรรมชาติดูแลท้ังหมดโดยไม่จัดการใดๆเลย ด้วยเห็นว่า การ
ไม่ใส่ปัจจัยการผลิตใดๆเข้าไปในแปลง ให้เป็นธรรมชาติมากท่ีสุด นํ้าก็ใช้นํ้าฝน ปุ๋ยใดๆก็ไม่ใส่
สารเคมีก็ไม่ฉีด วัชพืชก็ไม่ตัด น้ัน น่าจะเป็น “อินทรีย์” มากที่สุด การทําแบบน้ีน่าจะเรียกว่า
“เกษตรแบบท้ิงร้าง” คือ ไม่กระทําใดๆเลยในแปลงเกษตร ผลทเ่ี กิดข้ึน ก็จะเห็นได้จากแปลงเกษตร
คมู่ ือพัฒนามาตรฐานเกษตรอินทรยี แ์ บบมสี ่วนร่วม SDGsPGS หน้า 48
ที่ท้ิงให้รกร้าง สวนร้าง ทั้งหลาย ซ่ึงให้ผลผลิตน้อยมาก จนกลายเป็นสภาพป่ารกชัฏ เกษตรกร
ทั่วไปทําเกษตรแบบทิ้งร้าง ไม่ได้ เพราะจะไม่มีผลผลิตออกมาให้เพียงพอกับการบริโภคหรือ
จําหน่าย ยกเว้นจะทําสวนป่า คือปลูกไม้ป่าธรรมชาติ ซ่ึงต้องดูแลบํารุงรักษาเช่นกัน แนวคิดการ
ทําเกษตรอีกแนวหนึ่งท่ีได้รับการพัฒนาในประเทศออสเตรเลีย เรียกว่า เพอร์มาคัลเชอร์
(Permaculture) ซึ่ง “รวิมาศ ปรมศิริ” นักแปลอิสระที่เคยแปลหนังสือเพอร์มาคัลเชอร์มาแล้ว
กล่าวว่า "เพอร์มาคัลเชอร์ไม่ใช่แค่เรื่องการเกษตรแต่เป็นเร่ืองท่ีกว้างและครอบคลุมถึง
การใช้ชีวิต การต้ังถิ่นฐานของมนุษย์ กระทบใจมากตรงที่วิพากษ์เร่ืองท่ีเราผลิตอาหารจากที่หน่ึงที่
ใดและสง่ ไปหลอ่ เล้ียงคนที่อาศัยอย่อู ีกท่หี นึ่ง ซ่ึงหา่ งกันเปน็ ระยะทางไกลๆ เขามองว่าการดํารงชีวิต
แบบน้ีไม่ย่ังยืนและสิ้นเปลืองพลังงานถ้าหากเรานําแนวคิดเพอร์มาคัลเชอร์มาปรับใช้ โลกก็จะอยู่
อย่างย่ังยนื และเราก็จะมปี ระสิทธิภาพในการผลติ มากย่ิงขนึ้ "
ฝ่ายการตลาดและเกษตรกร จะรว่ มกนั จดั กระบวนเรยี นรเู้ พื่อพัฒนาศักยภาพของเกษตรกร
และความตระหนัก การต่ืนรู้ของผู้บริโภค ให้เข้าใจ เข้าถึง ความจําเป็นท่ีต้องทําเกษตรอินทรีย์ ซ่ึง
ไม่เพยี งเพ่ือตอบโจทย์ทางเศรษฐกจิ หรอื การตลาด เทา่ นน้ั เป็นการเชือ่ มโยงไปสู่ฐานสังคมสัมมาชีพ
ความมั่นคงด้านที่ดินทํากิน กระบวนการจัดการเรียนรู้รูปแบบ เทคนิคการทําเกษตรอินทรีย์ และ
การศึกษาดูงานแลกเปล่ียนเรียนรู้กันและกันของเกษตรกรในเครือข่าย จึงเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่
เ ก ษ ต ร ก ร จ ะ ไ ด้ เ ข้ า ถึ ง จิ ต วิ ญ ญ า ณ ข อ ง ก า ร เ ป็ น เ ก ษ ต ร ก ร ซ่ึ ง เ ป็ น แ ข น ง วิ ช า ชี พ
ทีป่ ระกอบไปด้วยศาสตรแ์ ละศลิ ป์ โน้มนาํ ไปสกู่ ารเขา้ ใจปรชั ญาชวี ิตและธรรมชาติ
หลักการท่ี 9: การเชอื่ มโยงกับเครอื ข่ายผบู้ ริโภคท่ีเข้าใจวิถีเกษตรอินทรีย์ การทําการตลาด
ผลผลติ จากแปลงเกษตรอินทรีย์ ทีผ่ ่านมา ผู้ประกอบการสินค้าเกษตรอินทรีย์ จะพบกับคําถามยอด
ฮติ ทีว่ า่ “ ทาํ ไมสินค้าเกษตรอินทรีย์ ราคาแพงกวา่ สนิ คา้ เกษตรเคมี ?” ผู้ซ้ือจํานวนหนึ่ง ก็พยายาม
ต่อรองราคาสินค้าเกษตรอินทรีย์อยู่เสมอ และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยว่า “สินค้า
เกษตรอินทรีย์ เพื่อคนร่ํารวยหรือคนรายได้สูงเท่าน้ัน คนจนไม่มีสิทธ์ิรับประทานสินค้าเกษตร
อนิ ทรยี ์ (เพราะราคาแพงเว่อร์)” ทางฝ่ายการตลาดเกษตรอินทรีย์ ได้รับคําถามเหล่าน้ีมาโดยตลอด
และเห็นว่ากระแสวิจารณ์ดังกล่าวจะเป็น “คอขวด” หรืออุปสรรคสําคัญในการวางรากฐานเกษตร
อนิ ทรยี ห์ รอื การประกอบสมั มาชพี ให้เตม็ แผ่นดิน
การจัดกิจกรรมโดยฝ่ายตลาด ให้ผู้บริโภคลงเยี่ยมฟาร์มเกษตรอินทรีย์ อย่างสมํ่าเสมอ
โดยเฉพาะแปลงเกษตรอินทรยี ใ์ นเครือข่ายพ้นื ที่ เปน็ กจิ กรรมสําคัญ เป็นการสร้างเครือข่ายผู้บริโภค
ท่ีเข้าใจวิถีเกษตรอินทรีย์อย่างเข้มแข็งและขยายตัวมากข้ึน เพื่อเปล่ียนทัศนคติ และค่านิยม ของ
ผู้บริโภค ท่ีชอบต่อรองราคา และต้องการยืนยันว่า สินค้าเกษตรอินทรีย์ ทุกคน ทุกชั้นชน สามารถ
คู่มือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หนา้ 49
เข้าถึงได้ ซ้ือมาบริโภคได้ (ออร์แกนนิคเพ่ือทุกคน – Organics for All ) รูปแบบกิจกรรมใน
ลักษณะ “เยี่ยมฟาร์ม เพื่อชิม-ช็อป” หรือ “โฮมสเตย์” ก็จะเกิดขึ้นในบางพื้นท่ีที่มีความพร้อมด้าน
สถานท่ี เช่น ในกลุ่ม เกษตรอินทรีย์จังหวัดจันทบุรี ตราด กลุ่มเกษตรท่องเที่ยวและการเรียนรู้ ต.
วังอา่ ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เปน็ ต้น
เม่ือขบวนผู้บริโภคเข้มแข็ง แข็งแรง ขยายเชิงปริมาณผู้คนมากขึ้น หมายถึง ตลาดผลผลิต
เกษตรอินทรีย์ ก็จะชัดเจน ม่ันคงมากข้ึนเช่นกัน โดยเฉพาะผู้บริโภคในท้องถ่ิน อย่างท่ีกิจกรรม
การตลาดของขบวนเกษตรอินทรีย์จังหวัดจันทบุรีซึ่งร่วมมือกับโรงพยาบาลพระปกเกล้าและ
ภาคเอกชน จัดพื้นที่จําหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ สร้างความแตกต่างกับสิน
เคา้ เกษตรทว่ั ๆไป สร้างขบวนผู้บริโภคแบบ “แฟนพันธ์ุแท้”ข้ึนมา โดยใช้โรงพยาบาล เป็นพ้ืนที่ทาง
การตลาด และการเกดิ ตลาดเพ่อื สุขภาพเล็กๆ ซ่ึงปัจจุบัน (สิงหาคม 2560) รัฐบาลออกนโยบายให้
โรงพยาบาลรัฐท่ัวประเทศ จัดซื้อผลผลิตของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ก่อนเป็นอันดับแรก จะเป็นจุด
เปลย่ี นสาํ คญั ของการตลาดเกษตรอนิ ทรีย์ ถ้าทกุ ฝา่ ยจะทํากันจริงๆ
การบุกเบิก ให้โรงพยาบาลรับซื้อสินค้าเกษตรอินทรีย์และให้พื้นที่สํานักงานสาธารณสุขเป็น
พ้ืนที่การตลาดผลผลิตเกษตรอินทรีย์ เป็นประเด็นท่ีน่าพิจารณาอย่างย่ิงของภาคีการพัฒนา
ทเ่ี กี่ยวข้องกับการสง่ เสรมิ การตลาดผลผลิตเกษตรอนิ ทรยี ์ เพราะเป็นพื้นที่ “แห่งสุขภาพ” กระจาย
ทกุ ตาํ บลในประเทศไทย นอกเหนือจากพนื้ ทกี่ ารตลาด อย่าง ตลาด อ.ต.ก. หรือตลาดสดทั่วไปแล้ว
การสรา้ งตลาดในชมุ ชนทอ้ งถิ่น จะเปน็ การลดคา่ บริหารจัดการด้านการขนส่ง ลดความเสี่ยงด้านการ
เดินทาง และส่งเสริมการตลาดแบบฐานราก ทั้งน้ี ต้องวิเคราะห์และคํานึงถึงหลักการ อุปสงค์
อปุ ทาน ขนาดตลาดในท้องถิ่น นน้ั ๆดว้ ย
หลักการ 9 ข้อ จึงเป็นเง่ือนไขที่เกษตรกรและฝ่ายการตลาดต้องนําไปปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่
ระยะปรับเปลี่ยน แมว้ ่าผลผลิตยังไมส่ ามารถรับรองเปน็ ผลผลติ เกษตรอินทรีย์ได้ แต่ฝ่ายตลาดของ
กลุ่มเกษตรอินทรีย์ สามารถเริ่มปฏิบัติการกระบวนการทั้ง 9 ข้อในการส่งเสริมการตลาดได้ (จาก
คมู่ อื มาตรฐานเกษตรอินทรยี ์ SCE - PGS โดยณรงค์ คงมาก บรษิ ัท SCE วิสาหกิจเพอื่ สงั คม จํากดั )
คมู่ ือพฒั นามาตรฐานเกษตรอินทรียแ์ บบมีสว่ นรว่ ม SDGsPGS หน้า 50