คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา การวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ ชั้น ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปีที่ 2 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง กระบวนการวิเคราะห์ และ ออกแบบเชิงวัตถุ และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็น ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาด ประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำ ก
สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข การวิเคราะห์และออกแบบระบบ 1 การออกแบบระบบ 1 กระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุ 2 ลักษณะสําคัญของกระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุ 2 การวางแผน (Planning) 3 การควบคุม 3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการบริหารโครงการ 3 ความสําเร็จของโครงการ 4 กระบวนการบริหารโครงการ 4 การบริหารโครงการ (Project Manager) 5 การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) 6 เคสทูลส์(CASE Tools) 7 ขอบข่ายของเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาระบบ (CASE Tool framework) 7 ประเภทของ CASE Tools 8 การออกแบบระบบ(System Design) 9 การออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design) 12 การติดตั้งระบบ 12 การบำรุงรักษาระบบ(System Implementation) 15 แบบทดสอบ 17 บรรณานุกรม 20 ข
หน่วยที่ 4 กระบวนการวิเคราะห์และออกแบบเชิงวัตถุ 4.1 การวิเคราะห์และออกแบบระบบ การวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis and Design) หมายถึง วิธีการที่ใช้ในการสร้าง ระบบสารสนเทศขึ้นมาใหม่ในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง หรือในระบบย่อยของธุรกิจ นอกจากการสร้างระบบ สารสนเทศใหม่แล้วการวิเคราะห์ระบบช่วยในการแก้ไขระบบสารสนเทศเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นด้วยก็ได้ การ วิเคราะห์ระบบ คือ การหาความต้องการ (Requirements) ของระบบสรสนเทศว่าคืออะไร หรือต้องการ เพิ่มเติมอะไรเข้ามาในระบบ 4.2 การออกแบบระบบ การออกแบบ หมายถึง การนำเอาความต้องการของระบบมาเป็นแบบแผน หรือเรียกว่าพิมพ์เขียวใน การสร้างระบบสารสนเทศนั้นให้ใช้งานได้จริง ตัวอย่างระบบสารสนเทศ เช่น ระบบการขาย ความต้องการ ของระบบก็คือ สามารถติดตามยอดขายได้เป็นระยะ เพื่อฝ่ายบริหารสามารถปรับปรุงการขายได้ทันท่วงที รูปที่ 4.1 การออกแบบระบบ ที่มา : http://www.cs.sjsu.edu/~pearce/modules/lectures/se/overview.htm
4.3 กระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุ การวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุเป็นแนวคิดที่พยายามจัดระบบกระบวนการพัฒนาระบบงาน ให้มีระเบียบ และสามารถนำโปรแกรมที่เคยเขียนมาก่อนให้สามารถนำกลับมาใช้งานใหม่ การวิเคราะห์ระบบ เชิงวัตถุเป็นการอธิบายระบบสารสนเทศว่าประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่เรียกว่า วัตถุ (Object) ทั้งที่จับต้องได้และ จับต้องไม่ได้ ผลลัพธ์สุดท้ายของการวิเคราะห์ระบบเชิงวัตถุก็คือ แบบจำลองเชิงวัตถุ (Object Model) ที่ นำเสนอระบบสารสนเทศในลักษณะเชิงวัตถุ จากนั้นในระหว่างขั้นตอนของการพัฒนาระบบในวงจรการพัฒนา ระบบ (SDLC) สามารถแปลงเป็นการออกแบบเชิงวัตถุได้โดยตรงโดยใช้โปรแกรมเชิงวัตถุในการพัฒนา เช่น C++ Java เป็นต้น กระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ 4.4 ลักษณะสําคัญของกระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุ เป็นกระบวนแบบวนซ้ำ (Interactive Development) แบ่งขั้นตอนการทำงานเป็นรอบ ๆ ในแต่ละ รอบจะมีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการพัฒนาระบบใน รอบนั้น ๆ โดยให้ความสำคัญกับความต้องการหลักของผู้ใช้งานระบบ อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ในการพัฒนา 2 รูปที่ 4.2 กระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุ ที่มา : https://shorturl.asia/bvgJN
ระบบ ขึ้นอยู่กับขอบเขตซึ่งจะแปรผันตามผลป้อนกลับ (Feedback) ทำให้ระยะเวลาการทำซ้ำของแต่ละรอบมี การขยายวงกว้างออกไป 4.5 การวางแผน (Planning) การวางแผน (Planning) คือ การกำหนดขอบเขตของระบบ วัตถุประสงค์ในการดำเนินการ ระยะเวลา งบประมาณและตารางกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศ และในการกำหนด ขอบเขตของโครงการ คุณควรพิจารณาข้อจำกัดดังต่อไปนี้ 4.5.1 เวลา : ตั้งค่ากำหนดเวลาที่คุณต้องการจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ด้วยโครงการที่ขนาด เล็กกว่า นี่อาจใช้เวลาสองสามสัปดาห์ ในขณะที่โครงการที่ขนาดใหญ่กว่าอาจใช้เวลาหลายเดือน 4.5.2 บุคคล : คุณมีบุคคลที่พร้อมใช้งานสำหรับโครงการกี่คน 4.5.3 งบประมาณ : หากคุณต้องการอธิบายเวลาที่คุณและเพื่อนร่วมงานใช้ หรือหากคุณต้องการจ้าง ผู้เชี่ยวชาญ คุณจะต้องกำหนดงบประมาณ 4.5.4 ความเป็นไปได้ : คุณอาจพบว่าคุณถูกจำกัดด้วยความเชี่ยวชาญที่มีอยู่ โดยไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล ที่คุณต้องการ หรือโดยปริมาณการเปลี่ยนแปลงที่องค์กรของคุณต้องการ 4.6 การควบคุม การควบคุม คือ การจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่าดำเนินโครงการ เพื่อให้โครงการ สามารถ ดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ทั้งด้านคุณภาพ เวลา และต้นทุนโครงการมีกระบวนการการ ควบคุมที่ดีเพื่อ ความมั่นใจว่าโครงการได้ดำเนินไปในแนวทางที่ควรและเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะ เกิดขึ้นระหว่างดำเนิน โครงการ 4.7 ประโยชน์ที่ได้รับจากการบริหารโครงการ 4.7.1 ช่วยลดความเสี่ยงในการจัดโครงการ 4.7.2 การดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ 4.7.3 เกิดความเชื่อมั่นว่ากิจกรรมดำเนินไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ 4.7.4 เกิดระบบการประสานงานและความร่วมมือ 4.7.5 สามารถปรับแผนหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที 4.7.6 ทราบผลการดำเนินงานว่าประสบผลสำเร็จเพียงใด 3
4.8 ความสําเร็จของโครงการ ความสําเร็จของโครงการ หมายถึง โครงการที่สามารถบริหารจัดการได้อย่าง มีประสิทธิภาพและเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ซึ่งประกอบไปด้วยปัจจัยหลายประการ ทั้งจากภายใน องค์กรและภายนอกองค์กร ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ ระยะเวลา ทรัพยากร และกรอบการดำเนินงาน ซึ่งต้องมีการควบคุมเป็นอย่าง ดีเพื่อให้เกิดคุณภาพ 4.9 กระบวนการบริหารโครงการ กระบวนการบริหารโครงการ มี 4 ขั้นตอน ดังนี้ 4.9.1 การวางแผนโครงการ การวางแผนโครงการ เป็นการกำหนดแผนการปฏิบัติงานลักษณะงานที่ต้องการ กำหนดปริมาณ และคุณภาพของงานกำหนดทรัพยากรที่ต้องใช้ เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาจะมีการวางแผน ตั้งทีมงาน ทำ แผนโครงการมีการกำหนดกิจกรรมย่อย กำหนดเป้าหมายของกิจกรรมย่อย รวมทั้งค่าใช้จ่ายและทรัพยากรอื่น ๆ และมีการนำเทคนิคต่าง ๆ ที่ช่วยในการวางแผนบริหารโครงการมาใช้ 4.9.2 การดำเนินการโครงการ (การนำแผนไปสู่การปฏิบัติ) การดำเนินการโครงการ (การนำแผนไปสู่การปฏิบัติ) เป็นการดำเนินการตามแผนการปฏิบัติงาน โดยผู้จัดการโครงการจะเป็นผู้รับผิดชอบสายงานหลัก และควบคุมกำกับดูแลให้การดำเนินการโครงการเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ผลผลิตผลลัพธ์ที่กำหนด ซึ่งระหว่างดำเนินการจะต้องมีการบริหารความเสี่ยง เพื่อ หาว่าอะไรคือความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้โครงการไม่ประสบผลสำเร็จ และอะไรคือแนวทางในการหลีกเลี่ยง ควบคุม หรือถ่ายโอนความเสี่ยงดังกล่าวหรืออาจจะต้องยอมรับ เพื่อให้การดำเนินงานโครงการประสบ ความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ เป้าหมายและระยะเวลาตามที่กำหนด หรือยอมให้เกิดความเสียหายให้น้อยที่สุด 4.9.3 การติดตามและควบคุมโครงการ การติดตามและควบคุมโครงการ การกำกับดูแลโครงการ (ติดตาม ควบคุมปรับปรุง) เป็น กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกัน คือเมื่อมีการติดตามดูผลการทำงานแล้ว ก็ต้องมีการควบคุมหรือปรับปรุงแก้ไขการ ทำงานให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องเพื่อให้โครงการบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และสามารถ ป้องกันหรือแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้ทันท่วงที ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ช่วยกระตุ้นจูงใจ และช่วยให้ ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าใจเป้าหมายวัตถุประสงค์ หรือมาตรฐานของงานได้ชัดเจนขึ้น 4.9.4 การประเมินและการจบโครงการ การประเมินและการจบโครงการ เป็นการประเมินโครงการว่าบรรลุผลสำเร็จตามที่ตั้งไว้หรือไม่ ต้องมีการจัดทำรายงานการตรวจสอบเสนอผู้บริหารโครงการ โดยตรวจสอบระหว่างการดำเนินโครงการและ 4
หลังปิดโครงการเพื่อประเมินว่าผลงานของโครงการเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสีย หรือมีการปฏิบัติการใด ผิดพลาด ควรมีการระบุการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปปรับปรุงโครงการอื่น ๆ ต่อไปการปิดโครงการ เมื่อโครงการ ดำเนินมาถึงขั้นสุดท้ายก็ต้องมีการปิดโครงการ ซึ่งหมายถึงการสิ้นสุด หรือยุติโครงการ 4.10 การบริหารโครงการ (Project Manager) การบริหารโครงการ (Project Management) คือการเริ่มต้น วางแผน ดำเนินการ ตรวจสอบควบคุม และปิดโครงการ ของงานโครงการ ผ่านทางเครื่องมือ ความรู้ ทรัพยากรณ์ และกิจกรรมต่างๆของคนใน องค์กร โดยเป้าหมายก็คือการบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการภายในระยะเวลาและข้อจำกัดอย่างอื่นที่กำหนด ไว้ 4.10.1 ขั้นตอนการบริหารโครงการ ขั้นตอนการบริหารโครงการแบ่งออกมาเป็น 5 ส่วน 4.10.1.1 การเริ่มต้น (Initiating) ขั้นตอนแรกของการบริหารโครงการก็คือขั้นตอนการเริ่มต้น โครงการ ในส่วนนี้ผู้บริหารโครงการจำเป็นต้องประเมินว่าโครงการแต่ละโครงมีมูลค่าเท่าไรและมีความเป็นไป ได้ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์หรือเปล่า โดยส่วนมากจะเป็นการดูเบื้องต้นว่าค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการทำ โครงการ เพียงพอสำหรับคุณภาพที่เจ้าของโครงการคาดหวังไว้หรือเปล่า 4.10.1.2 การวางแผน (Planning) หลังจากที่โครงการได้ถูกอนุมัติแล้ว ในขั้นตอนนี้ก็จะเป็นการ วางแผนโครงการ เพื่อที่จะลงรายละเอียดและทำให้เจ้าของโครงการมั่นใจได้ว่ากิจกรรมทั้งหมดในโครงการจะ อยู่ในเวลาและงบประมาณที่กำหนดไว้ การวางแผนที่ดีควรจะลงรายละเอียดว่าพนักงานแต่ละคนควรจะทำ อะไร และทรัพยากรแต่ละอย่างควรหามาจากไหนและไปลงที่ไหน นอกจากนั้นแล้วการวางแผนควรจะ ครอบคลุมถึงวิธีบริหารความเสี่ยงต่างๆด้วย 4.10.1.3 การดำเนินการ (Executing) หากโครงการมีการวางแผนที่ดีและครอบคลุมมากพอ ขั้นตอนการดำเนินการก็จะทำได้ง่าย ขั้นตอนการดำเนินคือการ ‘สร้างผลลัพธ์’ ให้ลูกค้าพึ่งพอใจ โดยหน้าที่ หลักของผู้บริหารโครงการก็คือการดูแลและบริหารให้ทรัพยากรต่างๆถูกใช้ไปตามที่ถูกวางแผนไว้ และ พนักงานต่างๆสามารถทำงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายได้อย่างถูกต้อง 4.10.1.4 การตรวจสอบและควบคุม (Monitoring and Controlling) – การตรวจสอบและ ควบคุมเป็นขั้นตอนที่ผู้บริหารโครงการต้องกลับมาพิจารณาเรื่อย ๆ โดยส่วนมากแล้วขั้นตอนนี้จะถูกปฏิบัติไป พร้อมกับขั้นตอนการดำเนินการข้อที่แล้ว เป้าหมายของการตรวจสอบและควบคุมก็คือการดูแลให้กิจกรรมทุก อย่างในโครงการเป็นไปตามที่กำหนดวางแผนไว้ ทั้งในส่วนค่าใช้จ่าย คุณภาพ และ เวลา 5
4.10.1.5 การปิดโครงการ (Closing) ขั้นตอนสุดท้ายก็คือขั้นตอนการปิดโครงการ ที่ผู้บริหาร โครงการจะส่งมอบผลลัพธ์ของโครงการให้กับลูกค้า ในหลายๆกรณีขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่ทรัพยากรต่างๆ จะถูกปล่อยไปให้โครงการอื่นได้ใช้ เช่นการย้ายพนักงานไปทำในโครงการอื่นต่อ ขั้นตอนการเปลี่ยนโครงการ รวมถึงการพิจารณาผลลัพธ์ของโครงการ และการจัดเก็บเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโครงการด้วย เพื่อให้ เจ้าของโครงการสามารถนำไปใช้พัฒนาโครงการต่อไปได้อีก 4.11 การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ระบบ (System) มีลักษณะเป็นกลุ่ม (Set) ที่มีองค์ประกอบ (Component) หลาย ๆ ส่วน โดยแต่ละ องค์ประกอบ จะทำงานร่วมกันเพื่อจุดประสงค์(Purpose) เดียวกัน ส่วนประกอบภายในระบบหรือระบบย่อย จำเป็นต้องได้รับการประสานการทำงานที่ดี หากมีส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งไม่สามารถประสานการทำงาน ร่วมกับส่วนอื่น ๆ ได้ตามที่ควรจะเป็น ย่อมส่งผลให้ระบบเกิดข้อขัดข้อง ไม่ราบรื่น หรือท้ายสุดอาจก่อให้เกิด ความล้มเหลวในระบบได้ระบบที่ดีจะต้องได้รับการออกแบบระบบย่อยต่าง ๆ ให้มีความเป็นอิสระต่อกันมาก ที่สุด ด้วยการลดจำนวนเส้นทางการไหลของข้อมูล (Flows) ระหว่างกันเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งการกระทำ ดังกล่าวจะทำให้ระบบแลดูง่ายและช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนาระบบ โดยระบบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 4.11.1 ระบบแบ่งออกเป็น 2 ประเภท 4.11.1.1 ระบบปิด (Closed System) เป็นระบบที่ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม มีจุดมุ่งหมาย ในการทำงานภายในตัวเอง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวหรือรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมใด ๆ เข้ามา ตัวอย่างเช่น สัญญาณ จราจรแบบปิด 4.11.1.2 ระบบเปิด (Open System) เป็นระบบที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมด้วยการ แลกเปลี่ยน หรือรับข่าวสารจากสภาพแวดล้อมเข้ามาในระบบเพื่อทำการประมวลผลร่วม ตัวอย่างเช่น สัญญาณไฟจราจรแบบเปิด ที่มีตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับความหนาแน่นของรถในแต่ละแยก 4.11.2 การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) การวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) คือ การศึกษาวิธีการดำเนินงานของระบบเพื่อความ เข้าใจและตระหนักถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาระบบนั้น ๆ ดังนั้นการวิเคราะห์ระบบ คือ การศึกษา วิถีทางการดำเนินงานเพื่อนำไปใช้ในการออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศ หรืออาจจะหมายถึงการ วิเคราะห์ระบบช่วยในการแก้ไขระบบสารสนเทศเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น การวิเคราะห์ระบบ เป็นการศึกษาถึง ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบงานปัจจุบัน เพื่ออกแบบระบบการทำงานใหม่ การวิเคราะห์ระบบต้องการปรับปรุง และแก้ไขระบบงานเดิมให้มีทิศทางที่ดีขึ้น ระบบงานที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า “ระบบปัจจุบัน” แต่ 6
หากต่อมาได้มีการพัฒนาระบบใหม่และมีการนำมาใช้งานทดแทนระบบงานเดิม จะเรียกระบบปัจจุบันที่เคยใช้ นั้นว่า “ระบบเก่า” 4.12 เคสทูลส์ (CASE Tools) CASE Tool (Computer-Aided Software Engineering) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และ ออกแบบระบบ ซึ่งมีความสามารถหลัก ๆ คือ ช่วยนักวิเคราะห์ระบบ (systems analysts: SA) ในการ วิเคราะห์และออกแบบระบบข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ โดยการใช้ซอฟต์แวร์ที่ช่วยสร้างแผนภาพ รายงาน โค้ด โปรแกรม ในระหว่างการวิเคราะห์และออกแบบระบบให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นโปรแกรมประยุกต์หรือ เป็นซอฟต์แวร์ชนิดหนึ่งของเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่ช่วยในการพัฒนาระบบ คอยสนับสนุนการทำงานในแต่ละ ขั้นตอนของการพัฒนา ด้วยการเตรียมฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ ที่ทำให้การทำงานแต่ละขั้นตอนมีความ รวดเร็วและมีคุณภาพมากขึ้น CASE Tool จะช่วยแบ่งเบาภาระของนักวิเคราะห์ระบบได้มาก ตั้งแต่การช่วยสร้าง Context Diagram, Flowchart , E-R diagram สร้างรายงานและแบบฟอร์ม ตลอดจนการสร้างโค้ดโปรแกรม (Source Code) ให้อัตโนมัติอีกด้วย 4.13 ขอบข่ายของเครื่องมือสนับสนุนการพัฒนาระบบ (CASE Tool Framework) CASE ที่ใช้ในการพัฒนาระบบถูกแบ่งขอบข่ายการทำงานออกเป็น 2 ช่วง โดยการแบ่งนั้นอ้างอิงจาก ขั้นตอนการพัฒนาระบบในวงจร SDLC ซึ่งมีดังต่อไปนี้ 7 รูปที่ 4.3 เคสทูลส์ (CASE Tools) ที่มา : https://anyflip.com/xudp/fwav/basic
4.13.1 Upper-CASE เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานในขั้นตอนต้น ๆ ของการพัฒนาระบบ ได้แก่ ขั้นตอนการวางแผน ขั้นตอนการวิเคราะห์ และขั้นตอนการออกแบบระบบ 4.13.2 Lower-CASE เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการทำงานในขั้นตอนสุดท้ายในการพัฒนาระบบ ได้แก่ ขั้นตอนการออกแบบ ขั้นตอนการพัฒนาและทดสอบระบบ และขั้นตอนการให้บริการหลังการติดตั้ง ระบบ 4.14 ประเภทของ CASE Tools 4.14.1 เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ (Software Requirement Tools) ใช้สำหรับจัดทำเอกสารเพื่อรวบรวมความต้องการของลูกค้าหรือ ผู้ใช้งาน ตัวอย่างโปรแกรม เช่น Case Spec TraceClound SpiraTest Process Street และ Aligend Elements เป็นต้น แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ 4.14.1.1 เครื่องมือในการสร้างแบบจำลองความ ต้องการ 4.14.1.2 เครื่องมือการติดตามความต้องการ 4.14.2 เครื่องมือออกแบบซอฟต์แวร์ (Software Design Tools) ใช้สําหรับการออกแบบซอฟต์แวร์ และตรวจสอบความต้องการทางด้านซอฟต์แวร์ให้มีความ สมบูรณ์ตามความต้องการของลูกค้า ได้แก่ Justin mind c]t Drwa.io เป็นต้น 4.14.3 เครื่องมือสร้างซอฟต์แวร์ (Software Construction Tools) ใช้สำหรับสร้างหรือแก้ไขซอฟต์แวร์ที่นํามาพัฒนาโปรแกรมให้กับลูกค้า ได้แก่ โปรแกรมคอมไพล์ เลอร์ โปรแกรมอินเตอร์พรีเตอร์ โปรแกรมดีบักเกอร์ เช่น Eclipse, Sublime Text, Firebase และ Visual Studio ต่าง ๆ 4.14.4 เครื่องมือทดสอบซอฟต์แวร์ (Software Testing Tools) ใช้สำหรับทดสอบซอฟต์แวร์ มีการกำหนดกรอบการปฏิบัติการทดสอบภายใต้สภาพแวดล้อมที่ กำหนดไว้ล่วงหน้า ใช้ทำเครื่องมือประเมินผลการทดสอบว่าเป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่ใช้บริหารงานทดสอบ และวิเคราะห์ประสิทธิภาพการทำงานของซอฟต์แวร์ 4.14.5 เครื่องมือบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ (Software Maintenance Tools) ใช้สำหรับบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ที่มีอยู่แล้วให้คงสภาพใช้งานได้ดีอยู่ตลอดเวลา สามารถแบ่ง ออกเป็น 2 กลุ่ม 4.14.5.1 เครื่องมือสร้างความเข้าใจ 4.14.5.2 เครื่องมือรื้อปรับระบบใหม่ 8
4.14.6 เครื่องมือจัดการโครงการ (Software Configuration Management Tools Tools) ใช้สำหรับติดตามการเปลี่ยนแปลงของทุกองค์ประกอบของโปรแกรม มีการจัดการรุ่นของ โปรแกรม และการวางจำหน่ายโปรแกรม 4.14.7 เครื่องมือบริการงานวิศวกรรมซอฟต์แวร์(การจัดการวิศวกรรมซอฟต์แวร์Tools ) ใช้สำหรับการวางแผนและการติดตามโครงการ และการจัดการความเสี่ยง มีการประมาณการ แรงงานและต้นทุน พร้อมทั้งจัดตารางงาน มีการระบุปัจจัยเสี่ยงประมาณการ ผลกระทบและติดตามความเสี่ยง 4.14.8 เครื่องมือคุณภาพซอฟต์แวร์ (Software Quality Tools) ใช้สำหรับตรวจสอบคุณภาพ และวิเคราะห์คุณภาพ ซึ่งใช้สำหรับทบทวนและตรวจสอบคุณภาพ ของโปรแกรม 4.15 การออกแบบระบบ (System Design) ถ้าเราเชื่อมโยงแผนภาพความคิดเชิงระบบในแบบวงจรสมดุล (Balancing Loop) เข้ากับปัญหาใน รูปแบบกรณีที่ 1 ก็จะได้วงจรสมดุลที่ระบบพยายามปรับตัวเองเข้าสู่เป้าหมายที่ต้องการ ดังแสดงในรูปที่ 4.4 รูปที่ 4.4 Balancing with Systems Design ที่มา : https://www.entraining.net/article 9
ดังนั้นหลักสำคัญที่จะบรรลุสิ่งที่ต้องการ (Target) ที่เราไม่เคยทำได้มาก่อน เราจะต้องทำการออกแบบ ระบบ (Systems Design) เพื่อคิดค้นหาวิธีการใหม่ ๆ ที่เราเรียกว่า “Initiatives” โดยใช้แนวคิดพื้นฐาน “Input-Process-Output” ที่จะต้องไปตอบโจทย์วัตถุประสงค์ (Objectives) ที่เราต้องการดังแสดงในรูปที่ 4.5 โดยในหลักการคิดที่สำคัญจะต้องเริ่มคิดที่วัตถุประสงค์ (Objectives) เป็นสำคัญ คือ เริ่มต้นที่ภาพในใจ ที่ชัดเจน (Begin with the end in mind) ยกตัวอย่างเช่น ผู้เขียนมีเป้าหมายในใจ มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน อยากเป็น “วิทยากรมืออาชีพ” ก็ต้องมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าคำว่าเป็นมืออาชีพ คือ อะไร หน้าตาหรือ ผลลัพธ์ (Output) ที่เราต้องการเห็นคืออะไร แล้วจะใช้อะไรเป็นตัวชี้วัด (Indicator) จากนั้นก็ต้องคิดย้อน ต่อไปอีกว่าแล้วจะต้องมีกระบวนการ (Process) อะไรบ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ สุดท้ายก็ต้องคิดย้อน ต่อไปว่าเราต้องมีปัจจัยนำเข้า (Input) อะไรบ้าง เพื่อให้กระบวนการสามารถดำเนินงานได้อย่างราบรื่น ดัง แสดงในรูปที่ 4.6 รูปที่ 4.5 แนวคิด Input-Process-Output ที่มา : https://www.entraining.net/article 10
จากแผนผังแสดงความเชื่อมโยง Objectives – Output – Process – Input หากเรามีความเข้าใจใน แนวคิดดังกล่าว เราก็จะสามารถเข้าใจรูปแบบความคิดในทางธุรกิจ อย่างเช่น ในเรื่อง Balance Scorecard ที่ จะมีรูปแบบความคิดในทำนองเดียวกัน ในปัจจุบันก็มีหลายคนนิยมนำแนวคิด Business Model Canvas มาใช้ในการคิดในการเริ่มต้นแผน ธุรกิจใหม่ๆ ดังแสดงในรูปที่ 4.7 รูปที่ 4.6 แผนผังแสดงความเชื่อมโยง Objectives – output – process – input ที่มา : https://www.entraining.net/article รูปที่ 4.7 Business Model Canvas ที่มา : https://www.entraining.net/article 11
4.16 การออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design) การออกแบบเชิงกายภาพ ระบุถึงลักษณะการทำงานของระบบทางภายภาพหรือทางเทคนิค โดยระบุถึง คุณลักษณะของอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ เทคโนโลยี โปรแกรมภาษาที่จะนำมาเขียนโปรแกรม ฐานข้อมูล ระบบปฏิบัติการ และระบบเครือข่ายที่เหมาะสมกับระบบ 4.16.1 ขั้นตอนการออกแบบเชิงกายภาพ (Physical Design) ขั้นตอนการออกแบบเชิงกายภาพ เป็นขั้นตอนที่ระบุถึงลักษณะการทำงานของระบบทาง กายภาพหรือทางเทคนิค โดยระบุถึงคุณลักษณะของอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ เทคโนโลยี โปรแกรมภาษาที่จะ นำมาเขียนโปรแกรม ฐานข้อมูล ระบบปฏิบัติการ และระบบเครือข่ายที่เหมาะสมกับระบบ สิ่งที่ได้จากขั้นตอน การออกแบบทางกายภาพนี้จะเป็นข้อมูลเฉพาะของการออกแบบ (System Design Specification) เพื่อส่ง มอบให้กับโปรแกรมเมอร์เพื่อใช้เขียนโปรแกรมตามลักษณะการทำงานของระบบที่ได้ออกแบบและกำหนดไว้ ทั้งนี้ในการออกแบบที่นอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ ขึ้นอยู่กับระบบขององค์กรว่า จะต้องมีการ เพิ่มเติมรายละเอียดส่วนใดบ้าง แต่ควรจะมีการออกแบบระบบความปลอดภัยในการใช้ระบบด้วย โดยการ กำหนดสิทธิในการใช้งานข้อมูลที่อยู่ในระบบของผู้ใช้ตามลำดับความสำคัญ เพื่อป้องกันการนำข้อมูลไปใช้ ในทางที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้นักวิเคราะห์ระบบอาจจะมีการตรวจสอบความถึงพอใจในรูปแบบและลักษณะ การทำงานที่ออกแบบไว้ โดยอาจจะมีการสร้างตัวต้นแบบ (Prototype) เพื่อให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้งาน 4.16.2 การออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface Design) การออกแบบส่วนติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface Design) เป็นการออกแบบจอภาพเพื่อให้ ผู้ใช้งานสามารถโต้ตอบกับระบบได้ตามความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพในปัจจุบันนิยมใช้การออกแบบส่วน ติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิก (Graphic User Interface) 4.17 การติดตั้งระบบ เมื่อผ่านการขั้นตอนต่าง ๆ ทั้งการวิเคราะห์และการอกแบบระบบ ซึ่งเป็นขั้นตอนใหญ่ที่มีความสำคัญ มากในการที่ระบบจะได้รับการพัฒนาเป็นระบบใหม่หรือไม่ สำหรับขั้นตอนหลังจากผ่านการวิเคราะห์และ ออกแบบระบบมาแล้ว คือ การติดตั้งระบบที่ได้มีการศึกษาวิเคราะห์และออกแบบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้แก่การ วางแผน การติดตั้งระบบใหม่ที่ได้ทำการพัฒนามาแล้ว 4.17.1 การวางแผนการติดตั้งระบบ ก่อนที่นักวิเคราะห์ระบบจะนำเอาระบบงานใหม่ไปติดตั้งให้กับผู้ใช้งานนั้น นักวิเคราะห์ระบบ จะต้องจัดทำผู้แผนงานการติดตั้งระบบแผนงานก่อน (Installation Plan) โดยแผนงานการติดตั้งระบบควร จะต้องครอบคลุมเนื้อสำคัญ คือ 12
4.17.1.1 ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้ง จะต้องทำการวางแผนให้ครอบคลุมถึงการติดตั้งซอฟต์แวร์ที่จะ ติดตั้งทั้งหมดที่ต้องใช้ ไม่ใช่เฉพาะการติดตั้งโปรแกรมของระบบงานใหม่เท่านั้น แต่รวมถึงการติดตั้งฐานข้อมูล และแฟ้มข้อมูลที่จำเป็นและซอฟต์แวร์อื่น ๆ ที่ต้องการใช้ร่วมกันด้วย การติดตั้งซอฟต์แวร์จึงมีระดับตั้งแต่ง่าย ไปจนถึงระดับซับซ้อน เช่น ระบบสำหรับผู้ใช้คนเดียว (Sigel User) แบบง่ายไปจนถึงระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขทั้งทางระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้เชื่อมกับระบบใหม่ ไปจนถึงการติดตั้งระบบให้ ใช้ได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างออกไปซึงมีความแตกต่างกันของคุณสมบัติของเครื่อง ทำให้การวาง แผนการติดตั้งระบบงานต้องมรการพิจารณารอย่างรอบคอบ และทำรายละเอียดที่แตกต่างกันออกไป ในส่วนของการติดตั้งซอฟต์แวร์ ซึ่งจะต้องสนใจว่าซอฟต์แวร์อะไรที่จะจะติดตั้งให้กับผู้ใช้และจะทำอย่างไร จึง จะทำให้การติดตั้งสำเร็จลงได้ นักวิเคราะห์ระบบจึงต้องคำนึงว่า อะไรบ้างที่จะต้องนำไปทำการติดตั้ง และ แผนงาการตั้งระบบนี้จะต้องทำให้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย และกระจายหน้าที่ความรับผิดชอบให้กับทีมงาน และร่วมกันประชุมกันก่อนอีกครั้งก่อนที่จะนำเอาแผนงานที่ได้วางเอาไว้ทำการติดตั้งปฏิบัติจริง 4.17.1.2 วิธีการติดตั้ง เพื่อให้การติดตั้งระบบเป็นไปอย่างสมบูรณ์ วิธีการติดตั้งระบบงานในที่นี่ หมายถึง การเปลี่ยนระบบงานที่ใช้อยู่เดิมให้เป็นระบบงานใหม่ วิธีการติดตั้งที่นิยมใช้อยู่มีอยู่ด้วยกัน 5 วิธี คือ 1) การติดตั้งแบบทันทีโดยตรง (Direct Changeover) 2) การติดตั้งแบบขนาน (Parallel Conversation) 3) การติดตั้งแบบทยอยเข้า (Phased or Gradual conversation) 4) การติดตั้งแบบโมดูลาร์โปรโตไทป์ (Modular Prototype) 5) การติดตั้งแบบกระจาย (Distributed conversation) 4.17.1.3 ผลกระทบที่ที่มีต่อองค์กร สิ่งสุดท้ายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่นักวิเคราะห์ระบบจะต้อง คำนึงถึง คือ ผลกระทบของระบบงานใหม่ที่ทีต่อธุรกิจหรือองค์กร เพราะการติดตั้งระบบงานให้เข้าไปใน องค์กรย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน หน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานและผู้ใช้ ระบบไม่มากก็น้อย จึงต้องมีการชี้แจงให้ทราบถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปและผลกระทบต่าง ๆ รวมทั้งความรู้สึก สับสนในช่วงแรกของการใช้ระบบงานใหม่นั้นให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นในทุกขั้นต้อนของการ วิเคราะห์และออกแบบระบบจึงมักดึงเอาผู้ใช้ระบบเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมอยู่ตลอดเลา และในการติดตั้ง ระบบ ผู้ใช้ยังคงมีส่วนร่วมซึ่งมีความสำคัญต่อการที่ระบบงานใหม่จะเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ ผู้ใช้ระบบจะช่วย นักวิเคราะห์ระบบได้ในเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างแฟ้มข้อมูล การบันทึกข้อมูลย้อนหลัง และตรวจสอบความ ถูกต้องของข้อมูล เป็นต้น การให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าเป็นเจ้าของระบบงานใหม่นี้ด้วย 13
4.17.2 วิธีการติดตั้งระบบ วิธีการติดตั้งระบบงาน หมายถึง การเปลี่ยนระบบงานที่ใช้อยู่เดิมให้เป็นระบบงานใหม่ เพื่อให้ การติดตั้งระบบเป็นไปอย่างสมบูรณ์ มีการวิธีการติดตั้งที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 5 วิธีการ และการ นำไปใช้นั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสถานการณ์และระบบการทำงานดังนี้คือ 4.17.2.1 การติดตั้งแบบทันทีหรือโดยตรง (Direct Changeover) หมายถึง การนำระบบใหม่ เข้ามาในองค์กรทันทีตามที่ได้กำหนดเอาไว้ว่า จะมีการเริ่มใช้งานระบบใหม่เมื่อใด เมื่อนั้นระบบเดิมจะถูก ยกเลิกทันที การรติดตั้งแบบนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อระบบงานได้รับการทดสอบมาเป็นอย่างดีก่อนที่จะถูกนำมา ติดตั้ง แต่การติดตั้งระบบด้วยวิธีการนี้มีอัตราความเสี่ยงสูงมากเมื่อเทียบกับวิธีการอื่น เพราะหากระบบใหม่ ได้รับการทดสอบมาเป็นอย่างดีแล้ว หากเกิดความผิดพลาดในการทำงาน จะทำให้การทำงานอื่น ๆ ในองค์กร หยุดชะงัดองค์กรเกิดความเสียหายได้จึงไม่เป็นที่ยมใช้หากสามารที่จะหลีกเลี่ยงได้ 4.17.2.2 การติดตั้งแบบขนาน (Parallel Conversation) หมายถึง การที่ระบบงานเก่ายังคง ปฏิบัติงานอยู่ แต่ระบบใหม่ก็เริ่มต้นทำงานพร้อม ๆ กัน วิธีการนี้เป็นที่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบัน เพราะทำให้ อัตราความเสี่ยงของการหยุดชะงัดของงานลดน้อยลง วิธีการนี้เหมาะสมที่สุดเมื่อระบบงานเด่าเป็นระบบงานที่ ใช้คนทำ และระบบงานใหม่จะเป็นระบบที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โดยจะใช้ระบบงานทั้ง 2 ทำงานควบคู่กันไป ในระยะเวลาหนึ่งเพื่อทำการเปรียบเทียบว่า ผลลัพธ์ที่ได้จากระบบงานทั้งสองระบบคล้องจองกัน เมื่อผลลัพธ์ ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าถูกต้องในช่วงเวลาหนึ่ง ระบบงานเก่าจึงจะถูกยกเลิกออกไปเหลือเพียงระบบงาน ใหม่ในองค์กรเท่านั้นที่ยังปฏิบัติงานอยู่ แต่ข้อเสียของระบบนี้คือ การที่จะต้องใช้ระบบ 2 ระบบทำงานไป พร้อม ๆ กัน ทำให้ค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการทำงานสูง ภาระในการทำงานจะตกอยู่ที่ผู้ปฏิบัติงาน 4.17.2.3 การติดตั้งแบบทยอยเข้า (Phased or Gradual Conversion) การติดตั้งแบบนี้เป็น การรวมเอาข้อดีของ 2 วิธีการแรกมาใช้ โดยเป็นค่อยนำเอาบางส่วนของระบบใหม่ซึ่งอาจจะเป็นระบบงานย่อย เข้าไปแทนบางส่วนของระบบงานเดิม วิธีการนี้จะทำให้อัตราเสี่ยงของการเกิดข้อผิดพลาดลดน้อยลงกว่าการ ติดตั้งแบบทันที โดยกระทบจากข้อผิดพลาดจะอยู่ในวงจำกัดที่สามารถควบคุมได้ แต่ข้อเสียจะมีตรงเวลาที่ใช้ ในการทยอยเอาส่วนต่าง ๆ ของระบบใหม่มาแทนระบบเดิมซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลานาน วิธีการนี้เหมาะกับ ระบบงานใหญ่ ๆ แต่ไม่เหมาะกับระบบงานเล็ก ๆ ที่ไม่ซับซ้อน 4.17.2.4 การติดตั้งแบบโมลดูลาร์โปรโตไทป์ (Modular Prototype) เป็นการแบ่งระบบงาน ออกเป็นส่วนย่อย ๆ (Module) และอาศัยการติดตั้งด้วยวิธีทยอยนำระบบใหม่เข้าไปทีละส่วนย่อย ๆ แล้วผู้ใช้ ระบบทำการใช้ส่วนย่อย ๆ จนกว่าจะเป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ระบบ จึงค่อยนำมาใช้ปฏิบัติงานจริง ซึ่งจะช่วยลด ปัญหาความไม่คุ้นเคยระหว่างผู้ใช้กับระบบไปได้มาก ข้อเสียของระบบนี้คือ ส่วนย่อย ๆ (Module) ที่ให้ผู้ใช้ 14
ทดสอบอาจจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ตามที่คาดไว้ และการติดตั้งแบบนี้อาจต้องใช้เวลานานและต้องการ ความเอาใจใส่อย่างมากจากนักวิเคราะห์ระบบและผู้ใช้ระบบด้วย 4.17.2.5 การติดตั้งแบบกระจาย (Distributed Conversion) เป็นการติดตั้งระบบให้กับธุรกิจ ที่มีสามาขามากกว่า 1 แห่ง เช่น ธนาคาร บ.ประกันภัย ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ การติดตั้งจะเริ่มทำการติดตั้งที ละสาขา โดยจะทำการติดตั้งและทดสอบเป็นอย่างดีแล้วในสาขาแรก จึงค่อย ๆ ทยอยนำไปติดตั้งในสาขาอื่น ๆ ต่อไป ข้อดีของวิธีการนี้คือ ระบบงานสามารถจะได้รับการทดสอบการปฏิบัติงานจริงจนกว่าจะเป็นที่พอใจ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ไม่กระทบกระเทือนถึงสาขาอื่น ๆ เนื่องจากระบบงานใหม่จะทำงานเฉพาะสาขาที่ทำ การติดตั้งเท่านั้น ไม่ได้โยงไปยังสาขาอื่น ๆ วิธีการติดตั้งสำหรับสาขาหนึ่งอาจจะให้ไม่ได้กับอีกสาขาหนึ่งจึง ต้องมีการเปลี่ยนแปลง 4.18 การบำรุงรักษาระบบ (System Implementation) การบำรุงรักษาระบบสารสนเทศ เป็นงานหลักในการบำรุงรักษาอุปกรณ์ และระบบสารสนเทศต่าง ๆ ให้สามารถใช้งานได้อย่างถูกต้อง เพราะการที่ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศไม่ได้รับการพัฒนาและบำรุงรักษาที่ดี อาจส่งผลให้ระบบไม่สามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ(ฮาร์ดแวร์และระบบเครือข่าย) ไม่มีความน่าเชื่อถือ (ข้อมูลสารสนเทศ) และไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งาน (Software) ซึ่งมีผลทำให้องค์กรไม่สามารถ ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งผู้บริหารไม่สามารถกำหนดนโยบายและตัดสินใจได้อย่างถูกต้องซึ่ง การบำรุงรักษาระบบสารสนเทศมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.18.1 Hardware breakdown (อุปกรณ์เกิดความเสียหาย) อุปกรณ์ Hardware ถึงแม้จะมีความน่าเชื่อถือมาก แต่บางครั้งอาจเกิดความเสียหายผิดพลาดใน การทำงานได้ เช่น อุปกรณ์เกิดการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน เป็นต้น ดังนั้นเราจึงสามารถเลือก วิธีดำเนินการเพื่อลดระยะเวลาที่เครื่องจะหยุดการทำงานได้ 4.18.1.1 บริการภายใน กิจการควรมีหน่วยงานซ่อมบำรุงภายใน และสามารถขยายขีด ความสามารถขององค์กรได้ 4.18.1.2 ใช้บริการจากภายนอก โดยกำหนดค่าดูแล Hardware จากผู้จำหน่าย Maintenance Contract (per call, per year / Preventive Maintenance) 4.18.1.3 บริการแบบผสมผสานใช้วิธีการที่ 1 และ 2 ผสมผสานกัน ทั้งนี้เพื่อการเหมาะสมกับ องค์กรและการดำเนินงาน 15
4.18.2 Software Maintenance การบำรุงรักษา Software คือการกระทำต่อระบบ หรือ โปรแกรมที่ใช้งานอยู่แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ 4.18.2.1 Corrective Maintenance แก้ไขจุดบกพร่อง (Bug) ให้ถูกต้องตามข้อกำหนดที่เคยตั้ง 4.18.2.2 Adaptive Maintenance ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานแวดล้อมปัจจุบัน 4.18.2.3 Upgrading ยกระดับให้ใช้งานได้ เกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยน Hardware, System, Software และอื่น ๆ 4.18.2.3 Enhancing เสริมเพิ่มเติม เกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการใหม่ ๆ เกิดขึ้นและมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงระบบ 4.18.3 Maintenance redevelopment life cycle วงจรของการบำรุงรักษา และการ พัฒนาระบบใหม่ 4.18.4 Software Maintenance Management การจัดการบำรุงรักษาระบบ 4.18.5 System Efficiency Enhancement การพัฒนาและปรับปรุงเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพระบบสารสนเทศ ให้สามารถรองรับการบูรณาการข้อมูลจาก ส่วน ภูมิภาคเข้าสู่ส่วนกลาง 4.18.6 ในองค์กรที่มีการใช้ IT ในการพัฒนาจำเป็นต้องวางแผนการจัดการการบำรุงรักษา ดังต่อไปนี้ 1.) การกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของบุคลกรให้มีหน้าที่ดูแลการ บำรุงรักษา 2.) ดูแลการจัดทำสัญญาเรื่องการบำรุงรักษาระบบและประสานงาน 3.) กำหนดนโยบายการคิดค่าใช้จ่าย การให้บริการบำรุงรักษาต่อหน่วยงาน ในสังกัดอื่นอย่าง ชัดเจน เพื่อผลของการประเมิน 4.) กำหนดขั้นตอนและลำดับความสำคัญของการบำรุงรักษาแต่ละแบบ 16
แบบทดสอบ ตอนที่ 1 1. กระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุแบ่งออกเป็นกี่ขั้นตอน 1. 2 ขั้นตอน 2. 3 ขั้นตอน 3. 4 ขั้นตอน 4. 5 ขั้นตอน 2. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการบริหารโครงการ 1. การวางแผนโครงการ 2. การติดตามและควบคุมโครงการ 3. การบำรุงรักษา 4. การประเมินและการจบโครงการ 3. ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของขั้นตอนการบริหารโครงการ 1. การเริ่มต้น (Initiating) 2. การวางแผน (Planning) 3. การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) 4. การดำเนินการ (Executing) 4. ระบบแบ่งออกเป็นกี่ประเภท 1. 2 ประเภท 2. 3 ประเภท 3. 6 ประเภท 4. 8 ประเภท 5. เครื่องมือคุณภาพซอฟต์แวร์ ใช้สำหรับสิ่งใด 1. ใช้สำหรับการวางแผนและการติดตาม โครงการ และการจัดการความเสี่ยง 2. ใช้สำหรับบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ที่มีอยู่แล้วให้คงสภาพใช้งานได้ดีอยู่ตลอดเวลา 3. ใช้สำหรับติดตามการเปลี่ยนแปลงของ ทุกองค์ประกอบของโปรแกรม 4. ใช้สำหรับตรวจสอบคุณภาพ และวิเคราะห์คุณภาพ 17
6. ข้อใด ไม่ใช่ วิธีการติดตั้งระบบ 1. การติดตั้งแบบทันทีโดยตรง 2. การติดตั้งแบบดาว 3. การติดตั้งแบบขนาน 4. การติดตั้งแบบกระจาย 7. System Efficiency Enhancement 1. การพัฒนาและปรับปรุงเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพระบบสารสนเทศ 2. วงจรของการบำรุงรักษา และการ พัฒนาระบบใหม่ 3. การจัดการบำรุงรักษาระบบ 4. การกระทำต่อระบบ หรือ โปรแกรมที่ใช้งานอยู่ ตอนที่ 2 8. กระบวนการวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุแบ่งออกเป็นกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง แบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน 1. การวางแผน 2. การวิเคราะห์ระบบ 3. การออกแบบระบบ 4. การพัฒนาและติดตั้งระบบ 5. การบำรุงรักษาระบบ 9. กระบวนการบริหารโครงการมี มี 4 ขั้นตอน 1. การวางแผนโครงการ 2. การดำเนินการโครงการ (การนำแผนไปสู่การปฏิบัติ) 3. การติดตามและควบคุมโครงการ 4. การประเมินและการจบโครงการ 18
10. จงบอกประโยชน์ที่ได้รับจากการบริหารโครงการมา 3 ข้อ 1. ช่วยลดความเสี่ยงในการจัดโครงการ 2. การดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ 3. เกิดความเชื่อมั่นว่ากิจกรรมดำเนินไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ 19
บรรณานุกรม นางสาวอรุณรัตน์ นิตยะโรจน์. (ม.ป.ป.). การวิเคราะห์และออกแบบระบบ เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้จาก http://learningsystem.6te.net/?page=3 คชาธร วงศ์นิมิต. (ม.ป.ป.). การวิเคราะห์และออกแบบระบบเชิงวัตถุด้วย UML เข้าถึงเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้จาก http://blog.bru.ac.th/wp-content/uploads/bpattachments/13146/Chap-13.pdf สูตร จิระดำเกิง. (2543). การบริการโครงการ เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้จาก http://cmuir.cmu.ac.th/bitstream/6653943832/9104/5/mba0450dt_ch2.pdf บริษัท เอ็นมาร์ก โซลูชั่น จำกัด. (ม.ป.ป.). ประโยชน์ของการบริหารโครงการ เข้าถึงเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้จาก https://legislationeasier.weebly.com/35853634361936103619363636273634361936503588361 93591358536343619/4 นางสาวกนกวรรษ ดาษเสถียร. (2554). การบำรุงรักษาระบบ เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้ จากhttp://04126030sasd.blogspot.com/2011/07/blog-post_3841.html Tiger. (2564). การบริหารโครงการ เข้าถึงเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2566. เข้าถึงได้จาก https://thaiwinner.com/project-management/