จัด จั ทำ โดย นางสาววริสริรา มาใหญ่ เลขที่ ๒๑ นางสาววริศริรา บุญบุ ไพโรจน์ เลขที่ ๓๙ เสนอ นางอรสา เสาโกมุท มุ รายงานฉบับ บั นี้เ นี้ ป็น ป็ ส่วนหนึ่ง นึ่ ของกลุ่ม ลุ่ สาระการเรีย รี นรู้ภรู้ าษาไทย วิชวิา ภาษาไทย ท๓๓๑๐๑ ลัก ลั ษณะของภาษาไทย องค์ปค์ ระกอบของพยางค์เ ค์ เละคำ ภาคเรีย รี นที่ ๑ ปีก ปี ารศึกษา ๒๕๖๖
คำ นำ รายงานฉบับ บั นี้เ นี้ ป็น ป็ ส่วนหนึ่ง นึ่ ของวิชวิาภาษาไทย ท๓๓๑๐๑ ชั้น ชั้ มัธ มั ยมศึกษาปีที่ ปี ที่ ๕ โดยมีจุ มี ด จุ ประสงค๋ เพื่อ พื่ การศึกษาความรู้ที่ไ ที่ ด้จ ด้ ากเรื่อ รื่ งลัก ลั ษณะของภาษาไทย องค์ปค์ ระกอบของพยางค์เ ค์ เละคำ ซึ่ง ซึ่ รายงานนี้มี นี้ เ มี นื้อ นื้ หา เกี่ย กี่ วกับ กั ความรู้จากหนัง นั สือหลัก ลั ภาษาเเละการใช้ภ ช้ าษาไทย ผู้จัผู้ดจัทำ นางสาววริสริรา มาใหญ่ เลขที่ ๒๑ นางสาววริศริรา บุญบุไพโรจน์ เลขที่ ๓๙
สารบัญ บั ลักษณะของภาษาไทย....................................๑ องค์ประกอบของพยางค์เเละคำ ..................๓ บรรณานุกรม..................................................๗
ภาษาไทยเป็น ป็ ภาษาที่มีที่ลัมีกลัษณะเฉพาะเป็น ป็ ของตนเอง ที่เที่ตกต่า ต่ งไปจากภาษาอื่นอื่ ซึ่งซึ่ลักลัษระดังดักล่า ล่ วถือถืเป็น ป็ เอกลักลัษณ์ทณ์างภาษา เป็น ป็ มรดกทางภูมิ ภู ปัมิญปัญาของไทย ลักลัษณะของภาษาไทย มีดัมีงดันี้ ๑.ภาษาไทยเป็น ป็ ภาษาคำ โดด คำ ไทยเดิมดิ ส่วนมากเป็น ป็ คำ พยางค์เค์ดียดีว เช่น ช่ พ่อ พ่ เเม่ พี่ น้อ น้ ง ดินดิน้ำ ลม ไฟ เมื่อมื่จะกล่า ล่ วข้อ ข้ ความใดๆก็นำ ก็ นำคำ ต่า ต่ งๆ มาเรียรีงให้เ ห้ ข้า ข้ กันกัเป็น ป็ ประโยค เช่น ช่ ฉันฉัรักรัคนยิ้มยิ้เเป้น ป้ ๒.ภาษาไทยไม่มี ม่ กมีารเปลี่ยลี่นเเปลงรูป รู คำ ที่นำที่นำมาเรียรีง เข้า ข้ กันกัเป็น ป็ ประโยค เหมือมืนภาษาอังอักฤษหรือรืภาษาอื่นอื่ๆ เช่น ช่ ภาษาอังอักฤษ เช่น ช่ I go. She goes. We are going. ภาษาไทย เช่น ช่ ฉันฉั ไป เธอไป เรากำ ลังลั ไป จะเห็น ห็ ว่า ว่ คำ กิริกิยริาต่า ต่ งๆ ไม่เ ม่ปลี่ยลี่นเเปลงในภาษาไทยเลย ๓.การเรียรีงกลุ่ม ลุ่ คำ สลับลัที่กัที่นกัทำ ให้ค ห้ วามหมายเปลี่ยลี่น ไป เช่น ช่ ไปไม่ไม่ ด้-ด้ไม่ไม่ ด้ได้ป น้อ น้ ยใจ-ใจน้อ น้ ย นอกบ้า บ้ น-บ้า บ้ นนอก ใจดี-ดีดีใดีจ น้ำ ตก-ตกน้ำ ๑ ลัก ลั ษณะของภาษาไทย
๔.การเรียรีงตำ เเหน่ง น่ คำ ในประโยคต่า ต่ งกันกัทำ ให้ค ห้ วาม หมายเเละหน้า น้ ที่ขที่องคำ เปลี่ยลี่นไป เช่น ช่ ลิงลิ ไล่เ ล่ ด็ก ด็-เด็ก ด็ ไล่ลิ ล่ งลิเขารักรัเธอ-เธอรักรัเขา ประธานในประโยคเเรกกลายเป็น ป็ กรรมในประโยคหลังลั ๕.ภาษาไทยส่วนใหญ่จ ญ่ ะเรียรีงคำ ขยายไว้ข้ ว้ า ข้ งหลังลั คำ หลักลั เช่น ช่ ส้มโอหวาน ข้า ข้ วสารขาว ลูก ลู สาวสวย ๖.ภาษาไทยมีเมีสียงวรรณยุก ยุ ต์เต์เละรูป รู วรรณยุก ยุ ต์ทำต์ทำให้ ความหมายเปลี่ยลี่นไป เช่น ช่ เขาใส่เสื้อสีขาวไปหาข่า ข่ วเเล้ว ล้ ก็ไก็ปกินกิข้า ข้ วที่ศูที่ศู นย์กย์ารค้า ค้ ลูก ลู จ่า จ่ ร้อ ร้ งไห้จ้ ห้ า จ้ บอกป้า ป้ จ๋า จ๋ ว่า ว่ หนูจ นู ะไปหาพ่อ พ่ ๗.คำ ไทยบางคำ มีคมีวามหมายหลายอย่า ย่ ง จะรู้ครู้ วาม หมายได้เ ด้ มื่อมื่เข้า ข้ รูป รู ประโยค การที่จที่ะรู้ครู้ วามหมายของคำ จะต้อ ต้ งพิจพิารณาจากข้อ ข้ ความ ประโยค หรือรืบริบริท ถ้า ถ้ อ่า อ่ นเพียพีงคำ เดียดีวอาจไม่ท ม่ ราบความ หมายที่เที่เท้จ ท้ ริงริเช่น ช่ คืนคืนี้เนี้ขาจะคืนคื สมบัติบัต่ติา ต่ งๆให้เ ห้ จ้า จ้ ของ คืนคืหมายถึงถึกลางคืนคื,กลับลั คืน ๘.ภาษาไทยมีตัมีวตัสะกดตรงตามมาตรา เช่น ช่ ฉันฉัวันวัขันขัรักรับ้า บ้ น คิด ลิงลิยกเว้น ว้ คำ เขมรบางคำ ที่เที่ป็น ป็ คำ พยางค์เค์ดียดีวหรือรืสะกดตรงมาตรา เช่น ช่ เเข(พระจันจัทร์)ร์ ๙.คำ ไทยไม่ใม่ ช้เ ช้ ครื่อรื่งหมายทัณทัฑฆาต เช่น ช่ ขันขั สาด จันจั สัน ส่วนภาษาอื่นอื่ๆจะมีเมีครื่อรื่งหมายทัณทัฑฆาต เช่น ช่ ขรรค์ ศษสตร์ จันจัทร์ เป็น ป็ ต้น ต้ ๒
พยางค์ คือคืเสียงที่เที่ปล่ง ล่ ออกมาเเต่ล ต่ ะครั้งรั้ ประกอบด้ว ด้ ย เสียงพยัญยั ชนะ เสียงสระ เเละเสียง วรรณยุก ยุ ต์ จะมีคมีวามหมายหรือรื ไม่มี ม่ คมีวามหมาย ก็ไก็ ด้ พยางค์ทุค์ก ทุ พยางค์จค์ะต้อ ต้ งมีเมีสียงพยัญยั ชนะ ต้น ต้ เสียงสระ เเละเสียงวรรณยุก ยุ ต์ บางพยางค์ก็ค์ ก็ อาจมีเมีสียงพยัญยั ชนะสะกดประกอบด้ว ด้ ย เช่น ช่ พิมพิพ์ ๑ คำ ๑ พยางค์ เเม่พิ ม่ มพิพ์ ๒ คำ ๒ พยางค์ สำ นักนัพิมพิพ์ ๓ คำ ๓ พยางค์ องค์ปค์ ระกอบของพยางค์เ ค์ เละคำ ภาษาทุก ทุ ภาษาประกอบขึ้นขึ้จากหน่ว น่ ยย่อ ย่ ยๆหลายหน่ว น่ ย มาประกอบเข้า ข้ ด้ว ด้ ยกันกัหน่ว น่ ยย่อ ย่ ยในภาษาประกอบกันกั เข้า ข้ เป็น ป็ ส่วนที่ใที่หญ่ขึ้ ญ่ นขึ้ตามลำ ดับดัเมื่อมื่วิเวิคราะห์ภห์าษาไทย จะพบหน่ว น่ ยย่อ ย่ ยไปจนถึงถึหน่อ น่ ยที่ใที่หญ่ก ญ่ ว่า ว่ ได้เ ด้ เก่ พยางค์ คำ กลุ่ม ลุ่ คำ ประโยคเเละข้อ ข้ ความ ๓
ส่วนประกอบของพยางค์มีดัมีงดันี้ ๑.พยัณชนะ+สระ+วรรณยุก ยุ ต์ พยางค์ชค์นิดนินี้ เรียรีกว่า ว่ ประสม ๓ ส่วน เช่น ช่ กา ตา ดี ไป นา เเม่ กา = ก(พยัญชนะ) + -า(สระ) + วรรณยุก ยุ ต์ เสียงสามัญมั ไม่มี ม่ รูมีป รู ๒.พยัญชนะ+สระ+ตัวตัสะกด+วรรณยุก ยุ ต์ พยางค์ ชนิดนินี้เ นี้ รียรีกประสม ๔ ส่วน เช่น ช่ บ้า บ้ น น้อ น้ ง เเจ่ม จ่ บ้า บ้ น = บ(พยัญชนะ) + -า(สระ) + น(ตัวตัสะกด) + -้ วรรณยุก ยุ ต์ (รูป รู โท เสียงโท) ๓.พยัญชนะ+สระ+วรรณยุก ยุ ต์+ต์ตัวตัการันรัต์ พยางค์ ชนิดนินี้เ นี้ รียรีกว่า ว่ ประสม ๔ ส่วนพิเพิศษ เช่น ช่ เล่ห์ ล่ ห์เมล์ เล่ห์ ล่ ห์= ล(พยัญชนะ) + เ-(สระ) + -่(วรรณยุก ยุ ต์รูต์ ป รู เอก เสียง โท) + ห(ตัวตัการันรัต์)ต์ ๔.พยัญชนะ+สระ+ตัวตัสะกด+วรรณยุก ยุ ต์+ต์ตัวตัการันรัต์ พยางค์ชค์นิดนินี้เ นี้ รียรีกว่า ว่ ประสม ๕ ส่วน เช่น ช่ เเพทย์ โรจน์ โรจน์ = ร(พยัญชนะ) + โ-(สระ) + จ(ตัวตัสะกด) + วรรณยุก ยุ ต์เต์สียงโท(ไม่มี ม่ รูมีป รู ) + น(ตัวตัการันรัต์ คำ ว่า ว่ เสาร์ ไมล์ เยาว์ ถือถืเป็น ป็ คำ ที่ปที่ระสม ๕ ส่วน เพราะมีพมียางค์ที่ ประสมสระอำ ไอ ใอ เอา ซึ่งซึ่ถือถืว่า ว่ อำ (อะ+ม) อยู่ใยู่ นเเม่ก ม่ ม ใอ ไอ (อะ+ย) อยู่ใยู่ นเเม่เ ม่ กย เเละเอา (อะ+ว) อยู่ใยู่ นเเม่เ ม่ กอว ฉะนั้นนั้พยางค์หนึ่งนึ่จะต้อต้งมี อักอัษรประสมกันกัอย่า ย่ งน้อน้ย ๓ ส่วนขึ้นขึ้ ไป ๔
พยัญชนะต้น คือ พยัญชนะที่ปที่ ระสมกับ กั สระ อาจมีพ มี ยัญชนะตัวเดีย ดี ว เช่น การ ชาญ หรือ พยัญชนะประสม ๒ ตัว คืออักษรนำ เช่น ถวิล ขนม อักษรควบ เช่น ปลา กวาง เเละถ้า จะเเยกพยางค์ให้เขีย ขี นว่าเป็นพยัญชนะต้น หรือถ้าเป็นพยัญชนะประสมให้เขีย ขี นว่าเป็น อักษรนำ หรืออักษรควบ สระ คือคืเสียงที่เที่ปล่ง ล่ จากลำ คอโดยตรง เมื่อมื่ประสมกับกัพยัญยั ชนะมี รูป รู เปลี่ยลี่นเเปลงไปบ้า บ้ ง ดังดันี้ ๑.ในเเม่ ก กา ส่วนใหญ่มี ญ่ รูมีป รู สระคงที่ จะมีเมีปลี่ยลี่นเเปลงบ้า บ้ งเล็ก ล็ น้อ น้ ย เช่น ช่ -สระอะ มักมัจะประวิสวิรรชนีย์นี ย์เช่น ช่ มะระ ชะนี -สระอืออืต้อ ต้ งเติมติตัวตัอ เข้า ข้ไปด้ว ด้ ย เช่น ช่ มือมืถือถื -สระเอาะ เมื่อมื่ประสมกับกัตัวตัก + วรรณยุก ยุ ต์โต์ท ต้อ ต้ งลดรูป รู สระ -สระออ ส่วนใหญ่มี ญ่ มีอ อยู่ จะลดตัวตัอ บ้า บ้ ง เช่น ช่ บ บ่ -สระอะ เปลี่ยลี่นวิสวิรรชนีย์นี ย์เป็น ป็ ไม้หั ม้ นหัอากาศ เช่น ช่ กันกั ( ก + อะ + น = กันกั ) -สระเอะ เเอะ เปลี่ยลี่นจาก เ-ะ ใช้เ ช้-็ เเละเเ-ะ ใช้ เเ-็ เช่น ช่ เล็ก ล็ (ล + เอะ + ก = เล็ก ล็ ) -สระโอะ ลดรูป รู เมื่อมื่มีตัมีวตัสะกดเช่น ช่ นก ( น+โอะ+ก = นก ) -สระเอาะ เปลี่ยลี่นจาก เ-าะ ใช้ -็อ เช่น ช่ ล็อ ล็ ก -สระออ ลดรูป รู อ เมื่อมื่มีตัมีวตัร สะกด เช่น ช่ พร ๕
ตัวตัสะกด คือคืพยัญยั ชนะที่ปที่ระสมอยู่ท้ยู่ า ท้ ยสระ อาจมี พยัญยั ชนะตัวตัเดียดีว หรือรืเป็น ป็ พยัญยั ชนะประสมก็ไก็ ด้ ในภาษา ไทยมีมมีาตราตัวตัสะกดทั้งทั้หมด ๖ มาตรา คือคืมาตรา กก กด กบ กน กง กม เกย เกอว ส่วนมาตรา ก กา เป็น ป็ พยัญยั ชนะประสมสระ ไม่มี ม่ ตัมีวตัสะกด วรรณยุก ยุ ต์ มี ๔ รูป รู ได้เ ด้ เก -่ -้ -๊ -๋ ๕ เสียง ได้เ ด้ เก่ สามัญมัเอก โท ตรี จัตจัวา พยางค์ทุค์ก ทุ พยางค์ เเม้ไม้ ม่มี ม่ มี วรรณยุก ยุ ต์ เเต่มี ต่ เมีสียงวรรณยุก ยุ ต์อต์ยู่ด้ยู่ ว ด้ ย เช่น ช่ ขา - ไม่มี ม่ รูมีป รู วรรณยุก ยุ ต์ เเต่มี ต่ เมีสียงวรรณยุก ยุ ต์จัต์ตจัวา ตัวตัการันรัต์ คือคืพยัญยั ชนะที่ไที่ม่ต้ ม่ อ ต้ งออกเสียง เเละใช้ เครื่อรื่งหมายทัณทัฑฆาตกำ กับกัอยู่ข้ยู่ า ข้ งบน เพื่อพื่รักรัษารูป รู ของคำ เดิมดิ ซึ่งซึ่มักมัเป็น ป็ คำ ที่ยืที่มยืมาจากภาษาอื่นอื่เช่น ช่ ฟิล์ฟิมล์ ในคำ ภาษา บาลีเลีเละสันสกฤตมักมัมีตัมีวตัการันรัต์อต์ยู่ท้ยู่ า ท้ ยพยางค์จึงจึเรียรีกว่า ว่ การันรัต์ เเปลว่า ว่ อักอัษรสุดท้า ท้ ย คำ คือคืเสียงที่เ ที่ ปล่ง ล่ ออกมา ครั้งรั้ๆหนึ่ง นึ่ ซึ่ง ซึ่ จะมีคมีวาม หมายเสมอ เจ้าของภาษาจะเข้า ข้ใจได้ทั ด้ นทัที เเบ่ง บ่ เป็น ป็ ๓ ประเภท คือคืคำ พยางค์เดียดีว คำ ๒ พยางค์ เเละ คำ หลายพยางค์ ๖
จินต์นิภา/ประนอม//(2541).//หลักภาษาไทย// พิมพ์ครั้งที่11//กรุงเทพ//คุรุสภาลาดพร้าว. เอกสารอ้างอิง