มหาเวสสั นดรชาดก
คำนำ
รายงานหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-Book)เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชา
ภาษาไทยท๓๑๑๐๒ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔/๔ เสนอ ครูสุชาติ พิบูลย์วรศักดิ์
เพื่อศึกษาความเป็นมา ประวัติผู้แต่ง ในเรื่อง มหาชาติหรือมหาเวสสันดร
ชาดก เพื่อที่จะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันในอนาคตได้
มิได้มีจุดประสงค์ที่จะทำให้ผู้ใดมีความเสียหาย ผู้จัดทำจึงขอชอบพระ
คุณและชออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ หน้า
เรื่อง ๑
๓
ผู้แต่ง ๔
ที่มาของเรื่อง ๕
ลักษณะคำประพันธ์ ๑๘
กัณฑ์ที่๑-๑๓ ๑๙
คำศั พท์ที่ปรากฏ ๒๐
ข้อคิดในแต่ละกัณฑ์ ๒๓
ตัวละครสำคัญ ๒๔
ฝนโบกขรพรรษ ๒๕
ทศชาติ ๒๖
ข้อคิด ๒๘
บรรณานุกรม
สมาชิก
ผู้แต่งมหาเวสสั นดรทั้ง13กัณฑ์
• สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส
พระนามเดิมพระองค์เจ้าวาสุกรี เป็นพระราชโอรสใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ
• พระราชนิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๕ กัณฑ์ คือ
กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิมพานต์ กัณฑ์มหาราช กัณฑ์ฉกษัตริย
กัณฑ์นครกัณฑ์
• เจ้าพระยาพระคลัง(หน) มีนามเดิมว่า หน
เป็นต้นสกุล บุญ-หลง
• พระราชนิพนธ์ ในมหาเวสสันดรชาดก ๒ กัณฑ์ คือ กัณฑ์
มัทรี กัณฑ์กุมาร
• พระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัวฯ เป็นพระ
ราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ประสูติแต่กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์
• พระราชนิพนธ์ ในมหาเวสสันดรชาดก ๒ กัณฑ์ คือ กัณฑ์
มัทรี กัณฑ์กุมาร
• พระเทพโมลี (กลิ่น)
เกิดเมื่อประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๒๘๓ รัชสมัย
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีเชื้อสายรามัญ
• นิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๑ กัณฑ์ คือ กัณฑ์
มหาพน
• สำนักวัดถนน
สำนักวัดสังข์กระจายเป็นชื่อสำนักที่ท่านผู้แต่งบวชอยู่
ตั้งอยู่ริมคลองบางกอก เป็นวัดโบราณ
• นิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๑ กัณฑ์ คือ ทานกัณฑ์
• สำนักวัดสังข์จาย
สำนักวัดสังข์กระจายเป็นชื่อสำนักที่ท่านผู้แต่งบวชอยู่
ตั้งอยู่ริมคลองบางกอก เป็นวัดโบราณ
• นิพนธ์ในมหาเวสสันดรชาดก ๑ กัณฑ์ คือ กัณฑ์ชูชก
ที่มาของเรื่อง
เวสสันดรชาดกนี้เป็นเรื่องใหญ่จัดรวมไว้ในมหานิบาตชาดกรวมเรื่องใหญ่ 10 เรื่อง
ที่เรียกกันว่าทศชาติ แต่อีก 9 เรื่องไม่เรียกว่ามหาชาติ คงเรียก แต่เวสสันดรชาดก
เรื่องเดียวว่ามหาชาติ
ข้อนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โปรดประทานอธิบายว่า
พุทธศาสนิกชนชาวไทย ตลอดจนประเทศใกล้เคียงนับถือกันมาแต่โบราณว่า เรื่อง
มหาเวสสันดรชาดกสำคัญกว่าชาดกอื่น ๆ ด้วยปรากฏบารมีของพระโพธิสัตว์บริบูรณ์
ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกทั้ง 10 บารมี
อานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติ การตั้งใจฟังเทศน์มหาชาติให้จบเพียงวันเดียวครบ
บริบูรณ์ทั้ง 13 กัณฑ์ จะเป็นเหตุให้สำเร็จความปรารถนาทุกประการดังนี้
1. เมื่อตายจากโลกนี้แล้วจะมีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้าพระนามว่าศรีอริยเมตไตยใน
อนาคต
2. เมื่อดับขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์จะเสวยทิพยสมบัติมโหฬาร
3. เมื่อตายไป แล้วจะไม่ตกนรก
4. เมื่อถึงยุคพระพุทธเจ้าพระนามว่าศรีอริยเมตไตยจะได้จุดไปเกิดเป็นมนุษย์
5.ได้ฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์จะได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระ
อริยบุคคลในบวรพุทธศาสนา
ลักษณะคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดกเป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำประพันธ์เป็นร่ายยาวที่มีคาถาบาลี
นำ ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวนวรรค แต่ที่นิยมคือตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และแต่ละวรรคก็ไม่
จำกัดจำนวนคำเช่นกัน แต่ไม่ควรน้อยกว่า ๕ คำ ซึ่งคำสุดท้ายของวรรคหน้าจะส่งสัมผัสไป
วรรคหลังคำใดก้ได้ แต่เว้นคำสุดท้ายของวรรคอาจจบลงด้วย “คำสร้อย”
แผนผังร่ายยาว
จุดประสงค์
จุดมุ่งหมายในการแต่ง คือ ๑.เพื่อใช้ในการเทศนาสั่งสอน ๒.เพื่อใช้เป็นแบบ
เรียนกวีนิพนธ์
กัณฑ์ที่๑ ทศพร
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราช
มารดาของพระเวสสันดรในภาคสวรรค์พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญ ท้าวสักกะเทวราชสวามีทรง
ทราบจึงพาไปประทับยังสวนนันทวันในเทวโลก พร้อมให้พร ๑๐ ประการ คือ… ๑.ขอให้ได้เป็นมเหสี
ของกษัตริย์เเห่งเเคว้นสีพี ๒.ขอให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ ๓.ขอให้คิ้วดำสนิท ๔.ขอให้พระนามว่า
ผุสดี ๕.ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทั้งหลายและมีใจบุญ ๖.ขอให้มีครรภ์ที่ผิดไปจาก
สตรีสามัญคือแบนราบในเวลาทรงครรภ์ ๗.ขอให้มีถันงามอย่ารู้ดำและหย่อนยาน ๘.ขออย่าได้มีผม
หงอก ๙.ขอให้มีผิวงามผุดผ่อง ๑๐.ขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้
กัณฑ์ที่๒ หิมพานต์
กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์ พระนางผุสดีได้จุติลงมาเป็นพระราชธิดาพระเจ้ามัททราช
เมื่อเจริญชนม์ได้ ๑๖ ชันษาจึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัย แห่งสีวิรัฐนคร
ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า “เวสสันดร”ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉัททันต์
ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์จึงนำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมีให้มีนามว่า “ปัจจัย
นาค” เมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์ ๑๖ พรรษา พระราชบิดาก็ยกสมบัติให้ครอบ
ครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรี พระราชบิดาราชวงศ์มัททราช มีพระโอรส ๑ องค์
ชื่อ ชาลี ราชธิดา ชื่อ กัณหา พระองค์ได้สร้างโรงทาน บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ ต่อ
พระเจ้ากาลิงคะแห่งนครกาลิงครัฐได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาค
พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาค พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่
พระเจ้ากาลิงคะ ชาวกรุงสัญชัย จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร
กัณฑ์ที่๓ ทานกัณฑ์
กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์ เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงแจกมหาสัตสดกทาน คือ
การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี ชาลีและ
กัณหาออกจากพระนคร จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตสดกทาน
คือ การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่ อันได้แก่ ช้าง ม้า โคนม นารี ทาสี ทาสาสรรพวัตถา
ภรณ์ต่างๆ รวมทั้งสุราบานอย่างละ ๗๐๐ เเล้วจึงเสด็จออกจากเมือง
ไปพร้อมกับพระนางมัทรี พระชาลีและพระกัณหา มุ่งหน้าสู่เขาวงกตแต่ระหว่าง
ทางมีพราหมณ์มาทูลขอม้าเทียมรถและรถทรง ซึ่งพรเวสสันดรก็พระราชทานให้
ทั้งสี่พระองค์จึงต้องเสด็จไปด้วยพระบาท
กัณฑ์ที่๔ วนประเวศน์
กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวศน์ สี่กษัตริย์เดินดงบ่าย ประพักตร์สู่เขาวงกต
เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหนา
ศาลาพระกษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง แต่พระ
เวสสันดรทรงปฏิเสธและเมื่อเสด็จถึงถึงเขาวงกตได้พบศาลา
อาศรม ซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทว
ราช กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา..
กัณฑ์ที่๕ ชูชก
กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชก พนักในบ้าน
ทุนวิฐะ เที่ยวขอทานในเมืองต่างๆ เมื่อได้เงินถึง ๑๐๐ กหาปณะ จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัว
เมีย แต่เขาได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัว เมื่อชูชกมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาซึ่งเป็นลูกสาวให้
แก่ชูชก นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชกได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ทำให้ชายในหมู่บ้านเปรียบ
เทียบกับภรรยาตน หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตีนางอมิตดา ชูชกจึงเดินทางไป
ทูลขอกัณหา-ชาลีเพื่อเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพราหมณ์เจต
บุตรผู้รักษาประตูป่า เเต่ชูชกใช้เล่ห์เหลี่ยมในการเอาตัวรอดโดยการบอกกับพรานเจตบุตรว่าตน
เป็นทูตเดินทางมาจากกรุงสีพี พรานเจตบุตรจึงหลงเชื่อชูชก
กัณฑ์ที่๖ จุลพน
กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน พรานเจตบุตรหลงเชื่อชูชก
จึงได้เลี้ยงอาหารเเละจัดหาเสบียงให้นำไปกินกลางทาง พร้อมทั้งบอก
เส้นทางไปเขาวงกตอย่างละเอียด เเละกล่าวว่าเมื่อเดินทางไปถึง
อาศรมของพระอัจจุตฤาษีให้ถามทางอีกครั้งหนึ่ง ชูชกลาพรานเจ
ตบุตรเเล้วเดินทางตามเส้นทางที่พรานเจตบุตรบอกไว้
กัณฑ์ที่๗ มหาพล
กัณฑ์ที่ ๗ มหาพล ชูชกเดินทางไปถึงอาศรมของพระอัจจุตฤาษี เเล้ว
หลอกพระฤาษีว่า ตนเคยคบหาสมาคมกับพระเวสสันดรมาก่อน เมื่อ
พระองค์จากมาจึงใคร่จะไปเยี่ยมเยียน พระฤาษีหลงเชื่อชูชก จึงให้ชูชกพัก
ค้างเเรมที่อาศรม ๑ คืน รุ่งขึ้นก็อธิบายหนทางที่จะเดินทางไปพบพระ
เวสสันดร เมื่อเสร็จเเล้วชูชกก็กล่าวลาฤาษีเเล้วจึงเดินทางต่อไป
กัณฑ์ที่๘ กุมาร
กัณฑ์ที่ ๘ กุมาร ชูชกผู้ผจญความลำบาก เดินทางไปขอสองกุมารจากพระ
เวสสันดรขณะที่พระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ด้วยความห่วงใย จึงสั่งเสียกุมารทั้งสอง
ให้ระวังเนื้อระวังตัว ดังนั้นพระกัณหา-ชาลีจึงพากันเดินลงไปซ่อนตัวอยู่ในสระบัวพระ
เวสสันดรรู้เข้าจึงเดินตามรอยเท้าไปเรียกสองกุมารขึ้นมาจากสระให้มาเป็นสำเภา
ทองพาพระองค์ไปสู่นิพพาน แล้วพระองค์ทรงยกสองกุมารให้ชูชก บันดาลให้บังเกิด
ความมหัศจรรย์บนแผ่นดิน ชูชกผูกแขนสองกุมารแล้วเฆี่ยนตีต่อหน้าพระเวสสันดร
จนพระองค์เกิดบันดาลโทสะเกือบระงับดับไว้มิได้
กัณฑ์ที่๙ มัทรี
กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึกจนคล้อยเย็นจึงเดินทาง
กลับอาศรม แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทางจนค่ำ เมื่อกลับถึง
อาศรมไม่พบโอรส พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ จึงออกเที่ยวหาโอรส
และกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์ พระองค์ทรงตกพระทัยลืมตนว่าเป็นดาบส
จึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง เมื่อนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคม
ประทานโทษพระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชกแล้ว หาก
ชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบนางจึงได้ทรงอนุโมทนา
กัณฑ์ที่๑๐ สักกบรรพ
กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ ท้าวสักกะเทวราชเสด็จแปลงเป็นพราหมณ์เพื่อทูลขอ
นางมัทรี พระเวสสันดรจึงพระราชทานให้ พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้
สำเร็จพระสัมโพธิญาณเป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน
ท้าวสักกะเทวราชในร่างพราหมณ์จึงฝากนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป ตรัสบอกความจริงและถวาย
คืนพร้อมถวายพระพร ๘ ประการ ได้เเก่…๑.ขอให้พระเจ้ากรุงสญชัย
มารับกลับพระนคร ๒.ขอให้ได้ช่วยนักโทษประหารชีวิตให้รอดพ้น ๓.ขอให้ได้เป็นที่พึ่งแก่คน
๓ วัย ได้เเก่ ปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย ๔.ขอให้มีใจยินดีต่อภรรยาของตนแต่ผู้เดียว ๕.ขอ
ให้ให้พระโอรสเเละพระธิดามีอายุยืน เเละปกครองเเผ่นดินโดยธรรม ๖.ขอให้อาหารทิพย์
ปรากฏในวันรุ่งขึ้น ๗.ขอให้สมบัติในท้องพระคลังอย่ารู้หมดสิ้น ๘.เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว ขอให้ไป
เกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
กัณฑ์ที่๑๑ มหาราช
กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราชชูชก พาสองกุมารกลับมาเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสอง
กุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้เหล่าเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมาร
จนเดินทางถึงกรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์ เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวง
ตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อยสองพระองค์ ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่า
ไถ่คืน ต่อมาชูชกก็ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย จึงเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย พระเจ้า
กรุงสญชัยจึงให้ทหาประกาศตามหาญาติของชูชกเพื่อมารับทรัพย์แต่ไม่มีใครมารับ
จึงส่งคืนเข้าสู่ท้องพระคลังจากนั้นพระเจ้ากรุงสญชัยเตรียมการเสด็จไปรับพระเวสสันดรและพระ
นางมัทรีกลับคืนพระนคร
กัณฑ์ที่๑๒ ฉกษัตริย์
กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์ พระเจ้ากรุงสญชัยจัดกองทัพไปรับพระเวสสันดรและพระนางมัท
รีกลับสู่พระนคร โดยให้พระชาลีเป็นผู้นำทาง ครั้นมาถึงพระเจ้ากรุงสญชัยทรงเข้าไปยัง
อาศรมของพระเวสสันดรก่อน แล้วพระนางผุสดี พระชาลีและพระกัณหาจึงเสด็จตามไป
ภายหลัง เมื่อกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ได้พบกันก็โศกเศร้าคร่ำครวญจนสลบไปทั้ง ๖
พระองค์ ครั้นพระอินทร์ทรงทราบเหตุจึงทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมาช่วยให้ทั้ง
๖ พระองค์ฟื้นบรรดาไพร่พลและชาวเมืองอัญเชิญพระเวสสันดรกลับสู่พระนครศรีพีดัง
เดิม
กัณฑ์ที่๑๓ นครกัณฑ์
กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์ พระเจ้ากรุงสัญชัยตรัสสารภาพผิด พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวช
พร้อมทั้งพระนางมัทรี เเละได้เสด็จกลับสู่พระนคร เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อย
สัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรี พระเวสสันดรได้ทรงดำริว่า ในรุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับ
บริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชนพระอินทร์ทรงทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว
๗ ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขน
เอาตามปรารถนา ที่เหลือให้ขนเข้าคลังหลวง ในการต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติ
ปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรมบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ
คำศั พท์ที่ปรากฏ
-กระลี=เหตุร้าย -พฤกษาลดาวัลย์=ไม้เลื้อยหรือไม้เถา
-กเลวระ=ซากศพ -พื้นปริมณฑล=พื้นที่โดยรอบ
-ชี=นักบวช ในที่นี้หมายถึงพระเวสสันดร -มัจฉริยธรรม=ความตระหนี่
-เต็มเดือด=เดือดเต็มที่ โกรธจัด -มุจลินท์= สระใหญ่ในป่าหิมพานต์ เป็นที่ที่
-เถื่อน=ป่า หงส์อาศัยอยู่ “ปราศจากมุจลินท์”
-ทรามคะนอง=กำลังคะนอง กำลังซน -มูนมอง=มากมาย
-ทุเรศ=ไกล ในความว่า “จากบุรีทุเรศมา” -ไม่มีเนตร =ไม่มีตา ไม่เห็นทาง
-ยุบลสาร=ข่าว
-น่าหลากใจ=น่าประหลาดใจ
-นิ่งมัธยัสถ=ประหยัดถ้อยคำ ไม่ยอมพูด -ระแนง=เรียงราย
-บริจาริกาการ= ผู้ที่ทำหน้าที่หญิงรับใช้ ผู้ที่ -ศิโรเพฐน์=ผ้าโพกศีรษะ
-สองรา=สองคน
ทำหน้าที่ภรรยา เป็น -สัตพิธรัตน์=แก้ว ๗ ประการ ได้แก่ ทอง
-ปริภาษณา=บริภาษ กล่าวโทษ เงิน มุกดาหาร ทับทิม ไพฑูรย์ เพชร และ
-พญาพาฬมฤคราช=ราชาแห่งสัตว์ร้าย แก้วประพาฬ
-พระราชสมการ=พระราชาผู้ออกบวช -แสรกคาน=สาแหรกและคานซึ่งเป็นเครื่อง
คำที่พะนางมัทรีเรียกพระเวสสันดร หาบ สาแหรกคือเครื่องใส่ของสำหรับหาบ
-พร้า=มีดขนาดใหญ่ ปกติทำด้วยหวาย ส่วนคานคือไม้คานซึ่งใช้
-มังสัง=มังสะ เนื้อ คอนสาแหรกตรงปลายไม้ทั้งสองข้าง
-เมิล=มองดู -หน่อกษัตริย์=เชื้อสายกษัตริย์
-ยับ=พังทลาย -หน้าฉาน=หน้าที่นั่ง
-มาเลศ=มาลี ดอกไม้ -อุฏฐาการ= ลุกขึ้น
ข้อคิดแต่ละกัณฑ์
กัณฑ์ทศพร: การทำบุญจะได้ดังประสงค์ ต้องอธิษฐานจิต ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ตน ปรารถนาไว้ ตั้งมั่น
และบริบูรณ์ในศีล ได้แก่ การทำความดี รักษาความดีนั้นไว้ และหมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากยิ่งขึ้น
กัณฑ์หิมพานต์: การทำความดี มักมีอุปสรรค
กัณฑ์ทาน: พึงยอมเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม
กัณฑ์วนปเวศน์: มิตรแท้ แม้ในยามลำบากทุกข์ยากย่อมไม่ทอดทิ้งกัน
กัณฑ์ชูชก: อย่าฝากของมีค่า ของสำคัญ หรือของหวงแหนไว้กับผู้อื่น
กัณฑ์จุลพน: การรอบรู้กิจการงาน ผู้ที่ไม่รู้กิจการงานที่ทำ แม้จะเป็นคนฉลาดเฉลียว ก็อาจทำให้
การงานเสียหายได้ แต่ถ้าคนฉลาดได้เรียนรู้ก็จะทำภารกิจได้ดี (มีอำนาจแต่ขาดปัญญาก็ไม่อาจ
ประสบความสำเร็จในการทำกิจการงาน)
กัณฑ์มหาพน: การเป็นคนฉลาด หากขาดสติ ก็อาจพลาดท่าเสียทีได้ ดังนั้นจึงต้องมีสติ ไตร่ตรอง
และรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่น
กัณฑ์กุมาร: ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ รู้จักโอกาส รู้ความควรไม่ควร จะเป็นผู้ประสบ ความสำเร็จ
ในสิ่งที่ตนเองปรารถนา
กัณฑ์มัทรี: ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่เท่าความรักของพ่อแม่
กัณฑ์สักกบรรพ: การทำความดี แม้ไม่มีใครเห็น แต่เทวดาอารักษ์ย่อมรู้ย่อมเห็น
กัณฑ์มหาราช: คนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับการคุ้มครอง ปกป้องในทุกที่ทุกสถาน
กัณฑ์ฉกษัตริย์: การให้อภัยสามารถลบรอยร้าวฉานและความบาดหมางทั้งปวง ก่อให้เกิด สันติสุข
แก่ส่วนรวม
กัณฑ์นครกัณฑ์: การทำความดี ย่อมได้รับผลตอบแทน การใช้ธรรมะในการปกครองจะทำให้ บ้าน
เมืองมีแต่ความสงบร่มเย็น
ตัวละครสำคัญ
พระเวสสันดร • เป็นแบบอย่างของผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อ
ประโยชน์ของส่วนรวมบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของประชาชน
เป็นหลักยอมเสียสละความสุขส่วนพระองค์ แม้จะทุกข์
ก็ไม่หวั่น ไม่ยึดติดในอำนาจ ถึงแม้จะถูกขอลูกก็ยอมให้
ไม่ล้มเลิกการบำเพ็ญบารมีทาน
• สนับสนุนเป้าหมายชีวิตที่สามีได้ตั้งไว้ว่าจะบำเพ็ญทาน
และยังเป็นแบบอย่างของภรรยาทั้งปฏิบัติดูแลเรื่องข้าว
ปลาอาหาร เป็นต้น มีความอดทนที่จะดูเเลลูกทั้งที่เคย
สบายมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นทั้งแม่ทั้งภรรยาที่ดี
พระนางมัทรี
พระกัณหา • เป็นพระธิดาของพระเวสสันดรและพระนางมัทรีและเป็นพระ
กนิษฐาของพระชาลี พระกัณหาเป็นผู้หนึ่งที่ทำให้พระเวสสันดรได้
บำเพ็ญบุตรทานบารมีซึ่งเป็นทานอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ทั้งหลายไม่
สามารถทำได้นอกจากมหาบุรุษผู้ทรงหวังพระโพธิญาณเท่านั้น เป็น
ผู้ว่าง่ายถึงคนคนนั้นจะดีหรือไม่ดีต่อตนก็ตามก็ยังเชื่อฟังคำสั่งโดย
ไม่ขัดขืน และยังมี น้ำใจคอยช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ
พระชาลี • เป็นพระเชษฐาของพระกัณหา เมื่อเวลาประสูติ
พระประยูรญาติได้ทรงนำตาข่ายทองมารองรับ จึง
ได้รับพระราชทานนามว่า ชาลี แปลว่าผู้มีตาข่าย มี
ความอ่อนน้อมถ่อมตนและอารมณ์คมคาย
พระเจ้ากรุงสญชัย • พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง
มากกว่าประโยชน์ส่วนพระองค์เอง ทรงเนรเทศพระเวสสันดร
ออกจากเมือง เมื่อชาวเมืองมาร้องทุกข์ว่าพระโอรสทรง
กระทำผิดแม้พระมเหสีจะทูลขอร้องประการใดก็มิได้คืนคำทั้งที่
ทรงอาลัยในพระโอรสแต่ก็ทรงหักพระทัยได้ เพื่อประโยชน์สุข
ของบ้านเมือง
• เป็นนางฟ้าที่ลงมาเกิดและส่วนมากพรที่ขอ
มาก็เป็นพรที่ยึดติดกับรูปร่างภายนอก และมี
ความเมตตาที่อยากปล่อยนักโทษ
พระนางผุสดี
• เป็นตัวอย่างของคนที่ติดอยู่ในกามคุณเข้า
ลักษณะว่า "วัวแก่กินหญ้าอ่อน" ต้องตกระกำ
ลำบากในยามชรา เพราะรักสนุกจึงต้องทุกข์ มี
ความขี้งกและโลภมาก มีเล่ห์เหลี่ยมมากกล
ชูชก อุบาย
ฝนโบกขรพรรษ
ครั้งพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระประยูรญาติ เมื่อพระองค์เสด็จถึงพระนครกบิลพัสดุ์แล้ว ฝ่ายพระ
ประยูรญาติมีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นประธานเสด็จมาต้อนรับ ต่างก็ยังมีทิฐิมานะแรงกล้าไม่ยอมนอบน้อม
นมัสการพระบรมศาสดา ด้วยเห็นว่าพระพุทธองค์มีวัยอ่อนกว่าตนพระพุทธองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น
เหตุดังนั้น จึงทรงแสดงปาฏิหาริย์เสด็จลอยขึ้นไปจงกรมอยู่บนอากาศ ให้ธุลีละอองพระบาทหล่นลง
มาบนพระเศียรเหล่าพระประยูรญาติลำดับนั้นหมู่พระประยูรญาติต่างพากันคลายทิฐิมานะประคอง
อัญชลีนมัสการชื่นชมโสมนัสด้วยบุญญาภินิหารของพระพุทธองค์ ขณะนั้น “ฝนโบกขรพรรษ” ก็ตกลง
มาเป็นที่น่าอัศจรรย์
ฝนโบกขรพรรษมีลักษณะ ดังนี้
๑. น้ำฝนมีสีแดงดังเท้านกพิราบ เสียงสนั่นลั่นออกไปดังสายฝนธรรมดา
๒. ผู้ใดปรารถนาจะให้เปียกกายจึงจะเปียก หากมิได้ปรารถนาแม้แต่เม็ดหนึ่งก็มิได้เปียก
๓. เมื่อถูกกายแล้วจะหล่นสู่พื้นดินเสมือนหยาดน้ำที่ตกลงสู่ใบบัวแล้วกลิ้งตกลงไปฉะนั้น
๔. ไม่เจิ่งนองพื้นดิน เมื่อตกลงแล้วก็ซึมหายไปในแผ่นดินทันที
ทศชาติ
ทศชาติชาดก เป็นชาดกที่สำคัญ กล่าวถึง 10 ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ก่อนจะเสวยพระชาติมา
เกิดเป็นพระพุทธเจ้า หรือเจ้าชายสิทถัตถะ แห่งศากยวงศ์ ชาดกทั้ง 10เรื่อง เพื่อให้จำง่าย มักนิยมท่อง
โดยใช้พยางค์แรกของแต่ละชาติ คือ เต ช สุ เน ม ภู จ นา วิ เว
คำว่า ชาตก หรือ ชาดก แปลว่า ผู้เกิด คือเล่าถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงเวียนว่ายตายเกิด ถือ
เอากำเนิดในชาติต่างๆ ได้พบปะผจญกับเหตุการณ์ดีบ้างชั่วบ้าง แต่ก็ได้พยายามทำความดีติดต่อกันมาก
บ้างน้อยบ้างตลอดมา จนเป็นพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย กล่าวอีกอย่างหนึ่ง จะถือว่า เรื่องชาดกเป็น
วิวัฒนาการแห่งการบำเพ็ญคุณงามความดี ของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ก็ได้ ในอรรถ
กถาแสดงด้วยว่า ผู้นั้นผู้นี้กลับชาติมาเกิดเป็นใครในสมัยพระพุทธเจ้า แต่ในบาลีพระไตรปิฎกกล่าวถึง
เพียงบางเรื่อง เพราะฉะนั้น สาระสำคัญจึงอยู่ที่คุณงามความดีและอยู่ที่คติธรรมในนิทานนั้นๆ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทศชาติ
ทศชาติชาดกมีทั้งหมด 10 เรื่องดังนี้
๑. เตมีย์ชาดก : บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
๒. ชนกชาดก : บำเพ็ญวิริยบารมี
๓. สุวรรณสามชาดก : บำเพ็ญเมตตาบารมี
๔. เนมิราชชาดก : บำเพ็ญอธิษฐานบารมี
๕. มโหสถชาดก : บำเพ็ญปัญญาบารมี
๖. ภูริทัตชาดก : บำเพ็ญศีลบารมี
๗. จันทชาดก : บำเพ็ญขันติบารมี
๘. นารทชาดก : บำเพ็ญอุเบกขาบารมี
๙. วิธุรชาดก : บำเพ็ญสัจจบารมี
๑๐.เวสสันดรชาดก : บำเพ็ญทานบารมี
ข้อคิดจากเรื่องที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
การทำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน
ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทนและ
เสียสละอันยิ่งใหญ่ด้วย
ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข
ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับความปกป้องคุ้มครองภัยในที่ทุกสถาน
เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ผิด บรรพชิตยังรู้เผลอ ความผิด
พลาดเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่การให้อภัยเป็นวิสัยของเทวดา
ฉลาดแต่ขาดเฉลียว มีปัญญาแต่ขาดสติก็เสียทีพลาดท่าได้
มีอำนาจหากขาดปัญญาย่อมถูกหลอกได้ง่าย
การให้อภัยเป็นเพราะได้สำนึกเป็นเหตุให้ลบรอยร้าวฉานบันดาลสันติสุขแก่ส่วนรวม
บรรณานุกรม
ข้อคิดในแต่ละกัณฑ์. (๒๕๖๒). [ออนไลน์]. ได้จาก:https://www.thaichildrights.org/projects/donatemahachart/
[สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕].
คำศัพท์. (มปป). [ออนไลน์]. ได้
จาก:https://jirawanjane.wordpress.com/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B
8%9E%E0%B8%97%E0%B9%8C/[สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕].
ข้อคิดที่ไดจากมหาเวสสันดรชาดก. (มปป). [ออนไลน์]. ได้จาก:https://sites.google.com/a/tupr.ac.th/jiwala/khxkhid
thi-di-cak-reuxng [สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕].
พระเวสสันดรชาดก ๑๓ กัณฑ์ . (๒๕๖๒). [ออนไลน์]. ได้
จาก:https://www.si.mahidol.ac.th/th/news_images/4407/%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0
%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8
%99%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95
%E0%B8%B4.pdf [สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕].
เรื่องย่อของ ๑๓ กัณฑ์. (มปป). [ออนไลน์]. ได้
จาก:https://6232arunthipp.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0
%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B
8%87-%E0%B9%91%E0%B9%93-
%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B9%8C/ [สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน
๒๕๖๕].
ฝนโบกขรพรรษ. (๒๕๕๗). [ออนไลน์]. ได้จาก:http://wutthichai28973.blogspot.com/2014/02/blog-
post_5795.html?m=1/ [สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕].
ประวัติทศชาติชาดก. (มปป). [ออนไลน์]. ได้จาก:https://sites.google.com/site/prawatithschatichadk/
[สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕].
ประวัติผู้แต่ง. (๒๕๖๐). [ออนไลน์]. ได้จาก:http://fatinwang.blogspot.com/2017/11/blog-
post_96.html/ [สืบค้นเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๕].
ผลงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้รายวิชา ท๓๑๑๐๒ ภาษาไทย ๒ เสนอ
ครูสุชาติ พิบูลย์วรศักดิ์ ครูประจำวิชา
สมาชิก
นาย สุวภัทร ดิศวรรณี ม.๔/๔ เลขที่ ๙
นาย พุฒิพงศ์ ตรีสุวรรณ ม.๔/๔ เลขที่ ๑๘
นางสาว กนกภรณ์ รักษาพล ม.๔/๔ เลขที่ ๓๓
นางสาว แทนขวัญ การชัด ม.๔/๔ เลขที่ ๓๕
นางสาว ภราวณัฐ จันทรี ม.๔/๔ เลขที่ ๓๖
นางสาว ณัฏฐณิชา เนติวิญญู ม.๔/๔ เลขที่ ๓๘
นางสาว นันทิยา สว่างศรี ม.๔/๔ เลขที่ ๓๙
นางสาว อักษราภัค เกิดแย้ม ม.๔/๔ เลขที่ ๔๑