The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

Ebook ฟ้อนบูชาพระเทวฤทธิ์อินทรวกร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pu_wa, 2019-05-17 11:38:27

Ebook ฟ้อนบูชาพระเทวฤทธิ์อินทรวกร

Ebook ฟ้อนบูชาพระเทวฤทธิ์อินทรวกร

1

สารบัญ
หนา้

สารบัญ................................................................................................................................................1
บทท่ี 1 จังหวดั บุรรี มั ย.์ .......................................................................................................................2
บทท่ี 2 ประวัตอิ าเภอพุทไธสง.........................................................................................................16
บทที่ 3 ประวตั คิ วามเป็นมาบา้ นศรี ษะแรดและประวัติพระเจ้าใหญ่วดั หงส์..................................25
บทท่ี 4 องค์ประกอบและการแสดงผลงาน......................................................................................32
บทท่ี 5 อธบิ ายทา่ ราชุดฟอ้ นบชู าพระเทวฤทธิอ์ นิ ทรวกร...............................................................48

2

บทที่ 1
จงั หวดั บุรีรมั ย์

จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นจังหวัดหน่ึงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
มีจานวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 5 รองจากกรุงเทพมหานคร จังหวัดนครราชสีมา
จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่กว้างเป็นอันดับที่ 17
ของประเทศไทย ประวัติจังหวัดบุรีรมั ย์

บุรีรัมย์เป็นเมืองแห่งความร่ืนรมย์ตามความหมายของช่ือเมืองที่น่าอยู่
สาหรับคนในท้องถิ่นและเป็นเมืองที่น่ามาเยือนสาหรับคนต่างถ่ิน เมืองปราสาทหินในเขต
จังหวัดบุรีรัมย์มากมีไปด้วย ปราสาทหินใหญ่น้อย อันหมายถึงความรุ่งเรืองมาแต่อดีต
จากการศึกษาของนักโบราณคดีพบหลักฐานการอยู่อาศัยของมนุษย์มาต้ังแต่สมัยก่อน
ประวัติศาสตร์ สมัยทราวดีและที่สาคัญท่ีสุดพบกระจายอยู่ทั่วไปในจังหวัดบุรีรัมย์มากคือ
หลักฐานทางวัฒนธรรมของเขมรโบราณ ซ่ึงมีทั้งปราสาทอิฐ และปราสาทหินเป็นจานวน
มากกว่า 60 แห่ง รวมทั้งได้พบแหล่งโบราณคดีท่ีสาคัญคือเตาเผา ภาชนะดินเผา
และภาชนะดนิ เผาแบบท่ีเรียกวา่ เคร่อื งถ้วยเขมร ซึ่งกาหนดอายุได้ประมาณพุทธศตวรรษท่ี
15 ถึง 18 อยู่ทั่วไปและพระพุทธรูปมหาปรัชญาปารมิตตา หลังจากสมัยของวัฒนธรรม
ขอมหรือเขมรโบราณ แล้วหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มมีข้ึนอีกครั้ง
ตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยปรากฏชื่อว่าเป็นเมืองเก่าและปรากฏชื่อต่อมาในสมัย
กรุงธนบุรีถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ว่าบุรีรัมย์มีฐานะเป็นเมือง ๆ หนึ่ง และรู้จักในนามเมือง
แปะจนถึง พ.ศ. 2476 ได้มีการจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคใหม่ จึงได้ช่ือเป็น
จังหวัดบุรีรัมย์มาจนถึงปัจจุบันน้ีช่ือเมืองบุรีรัมย์ ไม่ปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์สมัย
อยุธยาและธนบุรีเฉพาะชื่อเมืองอ่ืน ซึ่งปัจจุบันเป็นอาเภอในจังหวัดบุรีรัมย์ ได้แก่
เมอื งนางรอง เมืองพุทไธสง และเมอื งประโคนชยั พ.ศ. 2319

ภาพประกอบ 1 : ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรรี มั ย์

3

รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กรุงธนบุรี กรมการเมืองนครราชสีมา มีใบยอกเข้ามาว่า พระยา
นางรองคบคิดเป็น กบฏร่วมกับเจ้าโอ เจ้าอิน และอุปฮาดเมืองจาปาศักด์ิ จึงโปรดให้พระบาทสมเด็จ
พระพทุ ธยอดฟูาจฬุ าโลกมหาราช เม่ือยังดารงตาแหน่ง เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพไปปราบจับตัวพระยา
นางรองประหารชีวิตและสมทบเจ้าพระยาสุรสีห์ (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท) คุมกองทัพ
หัวเมืองฝุายเหนือยกไปตีเมือง จาปาศักดิ์ เมืองโขง และเมืองอัตตะปือ ได้ท้ัง 3 เมือง ประหารชีวิต
เจ้าโอ เจา้ อิน อปุ ฮาด เมืองจาปาศกั ด์ิ แล้วเกล้ยี กล่อมเมอื งตา่ ง ๆ ใกลเ้ คยี งใหส้ วามิภักด์ิ ได้แก่ เขมรปุา
ดง ตะลงุ สรุ ินทร์ สังขะ และเมืองขุขันธ์ รวบรวมผู้คนต้ังเมืองขึ้นในเขตขอม เรียกว่า เมืองแปะ แต่งตั้ง
บรุ รี มั ย์ และให้บตุ รเจ้าเมืองผไทสมันต์แห่งพุทธไธสงเปน็ เจา้ เมืองคนแรก

ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2440-2441 เมืองบุรีรัมย์ได้กลับไปขึ้นกับมณฑลนครราชสีมา
เรียกว่า"บริเวณนางรอง" ประกอบด้วย เมืองบุรีรัมย์ นางรอง รัตนบุรี ประโคนชัย และพุทไธสง
พ.ศ. 2442 มีประกาศเปล่ียนชื่อ ในคราวนี้เปล่ียนชื่อ บริเวณนางรองเป็น "เมืองนางรอง"มีฐานะเป็น
เมืองจัตวา ต้ังที่ว่าการอยู่ท่ีเมืองบุรีรัมย์ แต่ตราตาแหน่งเป็นตราผู้ว่าการนางรอง กระทรวงมหาดไทย
จึงได้ประกาศเปลย่ี นชื่อเมืองเปน็ "บรุ รี มั ย์" และเปลี่ยนตราตาแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองบุรีรัมย์ ตั้งแต่
วนั ท่ี 3 สิงหาคม พ.ศ. 2444 เปน็ ต้นมา
พ.ศ. 2450 กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหัวเมืองในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้มณฑลนครราชสีมา
ประกอบด้วย 3 เมือง 17 อาเภอ คือเมืองนครราชสีมา 10 อาเภอ เมืองชัยภูมิ 3 อาเภอ และเมือง
บุรีรมั ย์ 4 อาเภอ คอื นางรอง พุทไธสง ประโคนชยั (ตะลุง) รตั นบรุ ี

ตอ่ มาไดม้ ีการตราพระราชบญั ญัตริ ะเบียบบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476
ขึ้น ยุบมณฑลนครราชสีมา จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอาเภอ
เมืองบุรีรมั ย์จงึ มฐี านะเป็น จังหวัดบุรรี มั ย์ ต้ังแต่นัน้ เป็นตน้ มา

อกั ษรยอ่ จังหวัด บร
ตราประจาจังหวัด

ภาพประกอบ 2 : ตราสญั ลกั ษณ์จังหวดั บุรรี ัมย์
• เป็นรูปเทวดาราและปราสาทหิน
• เทวดารา หมายถงึ ดินแดนแห่งเทพเจ้าผูส้ ร้าง ผู้ปราบยคุ เข็ญ และผ้ปู ระสาทสุข
• ทา่ รา หมายถึงความสาราญชื่นชมยินดี ซ่ึงตรงกบั พยางค์สุดทา้ ยของช่อื จงั หวดั
• ปราสาทหนิ คือปราสาทเขาพนมรุง้ ซ่งึ มกี าแพงล้อมรอบ ภายในทอ้ งพระโรงมีเทวสถาน

4

คาขวัญประจาจงั หวดั
เมอื งปราสาทหนิ ถนิ่ ภูเขาไฟ ผา้ ไหมสวย รวยวัฒนธรรม เลิศล้าเมืองกีฬา

ความหมายของคาขวัญ
เมืองปราสาทหิน หมายถึง บุรีรัมย์มีปราสาทหินเขาพนมรุ้งเป็นเอกลักษณ์ของ

จังหวัด อีกท้ังจังหวัดบุรีรัมย์ มีปราสาทหินมากที่สุดในประเทศไทย ซ่ึงนอกจากปราสาทพนมรุ้งแล้ว
กย็ ังมีปราสาทหนิ อ่นื ๆที่น่าสนใจ อาทิ ปราสาทเมอื งต่า ปรางค์กูส่ วนแตง ปราสาทหนองหงส์ ปราสาท
บา้ นบุ กุฏิฤๅษีโคกเมอื ง เปน็ ต้น

ถิ่นภูเขาไฟ หมายถึง บุรีรัมย์มีภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วมากท่ีสุดในประเทศไทย
คือ 6 ลูก มี วนอทุ ยานเขากระโดง เขาพนมรุง้ เขาไปรบัด เขาอังคาร เขาหลุบ และเขาคอก

ผ้าไหมสวย หมายถึง บุรีรัมย์มีการทอผ้าไหมข้ึนช่ือหลากหลายแห่ง มีลวดลาย
เอกลักษณ์ อาทิ ผ้าซิ่นตีนแดง ผ้าไหมหางกระรอก ผ้าภูอัคนี มีการถักทออย่างแพร่หลาย ที่สาคัญมีท่ี
อาเภอนาโพธ์ิ อาเภอพทุ ไธสง อาเภอห้วยราช อาเภอละหานทราย เปน็ ต้น

รวยวัฒนธรรม หมายถึง บุรีรัมย์มีเทศกาลงานประเพณีท่ีรุ่งเรืองมาหลายปี และมี
วฒั นธรรมหลากหลายชาตพิ นั ธุ์ คอื ไทยลาว เขมร ไทยโคราช กยู และชนชาตจิ ีน

เลิศล้าเมืองกีฬา หมายถึง บุรีรัมย์มีกิจกรรมด้านกีฬาระดับโลกหลากหลาย เช่น
การแขง่ ขันโมโตจพี ี การแข่งขันฟุตบอล การแข่งขันมาราธอน จักรยานทางไกล เป็นต้น รวมทั้งมีกีฬา
ท้องถิ่นหลากหลาย เช่น งานแข่งขันเรือยาว อาเภอสตึก มหกรรมว่าวอีสานและว่าวนานาชาติ
อาเภอหว้ ยราช มหกรรมมวยไทย อาเภอหนองกี่ ประเพณีบุญบั้งไฟในอาเภอโนนสุวรรณ อาเภอบ้าน
ใหม่ไชยพจน์ อาเภอแคนดง เปน็ ต้น

พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจาจงั หวัด ตน้ กาฬพฤกษ์ (Cassia grandis)
ต้นไม้ประจาจังหวัด ตน้ แปะ (Vitex quinata)
ดอกไมป้ ระจาจังหวดั ดอกสพุ รรณกิ าร์ (Cochlospermum regium)
สตั ว์นา้ ประจาจังหวดั ก้งุ ฝอยน้าจดื ชนิด (Macrobrachium lanchesteri)
ธงประจาจงั หวดั ธงพ้นื สีมว่ ง-แสด แบง่ ครง่ึ ตามแนวต้ัง กลางธงมตี ราประจาจังหวดั เปน็ เทพยดาฟอู น
ราหนา้ ปราสาทหินพนมรุ้ง

ภาพประกอบ 3 : ดอกสุพรรณกิ าร์

5

สถานทที่ อ่ งเทย่ี ว
อาเภอเมอื งบุรีรัมย์
- ศนู ย์วัฒนธรรมอีสานใต้ เป็นแหล่งเกบ็ รวบรวม และจดั แสดงโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ อันมีคุณค่าทาง
ประวัติศาสตร์ รวมท้ังเป็นแหล่งท่ีจะค้นคว้าวิจัยเก่ียวกับประวัติศาสตร์โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรม
ของทอ้ งถิ่น ศูนยแ์ หง่ นเี้ ปดิ เมื่อวนั ที่ 16 เมษายน 2536 เปิดใหเ้ ข้าชมได้ทกุ วันในเวลาราชการ
- พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจุฬาโลกมหาราช
เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ ที่พสกนิกรชาวบุรีรัมย์ได้ร่วมกันสร้างข้ึน ด้วยความสานึกในพระมหา
กรณุ าธิคุณ แห่งผู้สถาปนาเมืองบุรีรัมย์ และเพ่ือเป็นอนุสรณ์สักการะ รวมท้ังศูนย์รวมจิตใจที่แสดงถึง
ความจงรกั ภกั ดีตอ่ สถาบันพระมหากษัตริย์ และมหาจกั รบี รมราชวงศ์
- วนอุทยานเขากระโดง ตั้งอยู่ที่บ้านน้าซับ ตาบลเสม็ด เคยเรียกกันว่า "พนมกระดอง" มีความหมาย
วา่ "ภูเขากระดองเตา่ " เพราะคล้ายกระดองเต่า ซ่ึงต่อไดเ้ รียกเพ้ียนเป็น "กระโดง" เป็นสถานท่ีพักผ่อน
หย่อนใจของชาวบุรีรัมย์ และนักท่องเท่ียวท่ีสัญจรไปมา บนยอดเขามีพระสุภัทรบพิตรประดิษฐาน
พระพุทธรูปคู่เมืองบุรีรัมย์ เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐฉาบปูนขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 12 เมตร ฐานยาว
14 เมตร สรา้ งขึนเมื่อ พ.ศ. 2512 เดิมองค์พระเป็นสีขาว แต่เม่ือโดนแดดทาให้คล้ายสีดา จึงแก้เป็นสี
ทอง นอกจากน้ันยงั มีบันไดนาคราช พระพุทธบาทจาลอง ปราสาทเขากระโดง ปากปลอ่ งภูเขาไฟ
- อ่างเกบ็ น้าเขากระโดง (อ่างเก็บน้าวฒุ ิสวัสดิ์) บริเวณหนา้ ทท่ี าการวนอุทยานเขากระโดง
อ่างเก็บน้าห้วยตลาด พ้ืนที่ชุ่มน้าที่มีความสาคัญระดับนานาชาติ เป็นแหล่งดูนกน้าแห่งหน่ึงของ
จงั หวดั บุรรี มั ย์ มพี นื้ ที่ 4,434 ไร่ ซ่ึงมีนกกระสาปากเหลอื ง เป็นนกทม่ี ีค่าหายากอาศัยอยู่ นอกจากนี้ยัง
พบนกกระสาดา นกกาบบัว นกอ้ายงั่ว เป็ดเทา และนกน้าต่าง ๆ อีกมากมาย เป็นสถานที่พักผ่อน
หยอ่ นใจ และสามารถป่นั จักรยานชมทัศนยี ์ภาพรอบอ่างเก็บน้าห้วยตลาดได้
- อ่างเก็บน้าห้วยจรเข้มาก เป็นอ่างเก็บน้าขนาดใหญ่ เป็นทะเลสาบน้าจืด สร้างข้ึนเพ่ือ
การชลประทานและการประปา มีพน้ื ที่ 3,876 ไร่ อย่ใู น ต.บ้านบวั ต.เสม็ด และ ต.สะแกโพรง อ.เมือง
จ.บรุ รี ัมย์ มไี มพ้ ื้นเมอื งยนื ตน้ ร่มรน่ื มีท้งั นกประจาถนิ่ และนกอพยพตามฤดูกาลมาอาศัยอยู่เป็นจานวน
มากกวา่ 170 ชนดิ จึงเปน็ อกี สถานทีห่ นงึ่ ที่เหมาะสาหรบั การดูนกและพกั ผ่อน
- โครงการชลประทานบุรีรัมย์ เป็นอ่างเก็บน้าขนาดใหญ่ เป็นทะเลสาบน้าจืด สร้างข้ึนเพ่ือ
การชลประทานและการประปา มพี นื้ ที่ 3,876 ไร่ อยูใ่ น ต.บ้านบัว ต.เสม็ด และ ต.สะแกโพรง อ.เมือง
จ.บรุ ีรัมย์ มีไม้พ้นื เมืองยนื ต้นรม่ รนื่ มีท้งั นกประจาถิ่นและนกอพยพตามฤดูกาลมาอาศัยอยู่เป็นจานวน
มากกว่า 170 ชนิด จึงเป็นอีกสถานท่ีหนึ่งที่เหมาะสาหรับการดูนกและพักผ่อน ปัจจุบันเป็นแหล่ง
ทดลองปล่อย นกกระเรียนพันธ์ุไทย ซึ่งเป็นสัตว์ปุาสงวน ในปัจจุบันบุรีรัมย์เป็นจังหวัดเดียวในไทยที่มี
นกกระเรียนพนั ธไุ์ ทยอาศัยอย่ใู นธรรมชาติ

6

- ช้างอารีนาสเตเดี้ยม ช้างอารีนา เป็นสนามฟุตบอลท่ีได้มาตรฐานแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศ
ไทยที่ไมม่ ีล่วู ่งิ คน่ั สนามและผ่านมาตรฐานสหพันธฟ์ ตุ บอลนานาชาติ (FIFA) สามารถจัดเกมการแข่งขัน
ระดับชาติได้ เป็นสนามที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย ปัจจุบันเป็นสนามเหย้าของทีมบุรีรัมย์
ยูไนเต็ด
- ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอรกิต เป็นสนามแข่งรถมาตรฐานสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ และเป็น
สนามแขง่ รถทใี่ หญท่ ี่สุดในประเทศไทย
- บุรีรัมย์ คาสเซ่ิล เป็นแหล่งช็อปปิ้งแห่งใหม่ของบุรีรัมย์ ตั้งอยู่ระหว่าง สนามนิวไอโมบายสเตเด้ียม
กับสนามแข่งขันช้าง อินเตอร์ เนช่ัลแนล เซอร์กิต มีปราสาทหินพนมรุ้งจาลอง สวนศิวะ 12
เป็นรูปปน้ั กามสตู รทั้ง 12 และมีร้านค้าต่างๆเชน่ แมคโดนัลด์ เคเอฟซี

ภาพประกอบ 4 : วนอทุ ยานเขากระโดง

ภาพประกอบ 5 : ชา้ งอารีนาสเตเดีย้ ม ภาพประกอบ 6 : ชา้ ง อินเตอร์เนชัน่ แนล เซอร์กติ

7

อาเภอลาปลายมาศ
- อทุ ยานลานา้ มาศ
- พระธาตทุ ะเมนชัย
- สะพานไม้หนองผะอง

อาเภอหนองหงส์
- พพิ ิธภัณฑ์เมืองฝาู ย
- สวนไทรงาม
- พพิ ธิ ภัณฑ์ชาวบา้ น บ้านโคกกลาง

อาเภอหว้ ยราช
- หมู่บา้ นท่องเทย่ี ว บา้ นสนวนนอก

อาเภอพทุ ไธสง
- วัดศีรษะแรด (วัดหงส์) พระเจ้าใหญ่วัดหงส์เป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ปางสมาธิ ขนาดหน้าตัก 1.6
เมตร สูง 2 เมตร สร้างด้วยศิลาแลง มีลักษณะของศิลปะพื้นเมืองปรากฏอยู่มาก ปัจจุบันประดิษฐาน
อยู่ท่ีวัดหงส์ หรือวัดศีรษะแรด ในอาเภอพุทไธสง ทุกปีในวันขึ้น 14 ค่า หรือวันแรม 1 ค่าเดือน 3
จะจัดงานเฉลิมฉลองทุกปี มีชาวอาเภอพุทไธสง และจังหวัดต่าง ๆ ไปนมัสการกราบไหว้เป็นจานวน
มาก
- วัดมณีจันทร์ ชมสิมโบราณที่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ มีภาพติดกระจกสีท่ีงดงาม มีเพียงแห่งเดียว
ในภาคอีสาน
- วัดบรมคงคา ชมสมิ โบราณ ศิลปะอสี าน มภี าพฮปู แตม้ ศลิ ปะอสี านที่งดงาม
- หมบู่ า้ นทอ่ งเทยี่ วไหมหวั สะพาน หม่บู า้ นท่องเท่ียว เรียนรู้การทอผา้ ไหมครบวงจร
- คเู มอื งเมืองพทุ ไธสง และบึงสระบัว คเู มืองเกา่ สมยั ทวารวดีอายุนบั พนั ปี
- อนุสาวรีย์พระยาเสนาสงคราม ประดิษฐานอยู่ ณ ทวี่ ่าการอาเภอพุทไธสง

ภาพประกอบ 7 : หมบู่ า้ นสนวนนอก ภาพประกอบ 8 : วัดศีรษะแรด (วัดหงส์)

8

อาเภอนาโพธิ์
- หมู่บ้านทอผ้าไหมนาโพธิ์ ผ้าไหมท่ีอาเภอนาโพธ์ิจะมีท้ังผ้าไหมพื้นไหมหางกระรอก ผ้าโสร่ง
ผา้ ขาวม้า และผ้ามดั หมี่ การทอผ้ามัดหม่ีจะมีลายพ้ืนเมืองด้ังเดิม และลายท่ีประยุกต์ขึ้นใหม่ ลักษณะ
เดน่ ของผา้ ไหมบุรรี มั ย์ คอื เนอ้ื จะแนน่ เสน้ ไหมละเอียด ถ้าเป็นผ้าไหมมัดหม่ีท่ีเป็นแบบพื้นเมืองดั้งเดิม
จะนิยมใชส้ ขี รมึ ๆ ไม่ฉดู ฉาด
- วดั ท่าเรยี บ มสี ินโบราณอายุนบั ร้อยปี ศิลปะแบบอสี านมีภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบอีสาน
- พระธาตุบา้ นดู่ พระเจดียศ์ ักด์สิ ิทธิ์ อายหุ ลายร้อยปี

อาเภอบา้ นใหม่ไชยพจน์
- ปรางค์กู่สวนแตง เป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 โดยได้รับ
อิทธิพลจากศิลปกรรมสมยั นครวดั เป็นโบราณสถานอีกแหง่ ท่ถี ูกวางระเบิดจนองค์ปรางค์พังทลายลงมา
เพื่อโจรกรรม ชิ้นส่วนปราสาทไปขาย ภายหลังกรมศิลปากรได้บูรณะใหม่จนมีความสมบูรณ์
และประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเม่ือวันที่ 8 มีนาคม 2547 ลักษณะของกู่ประกอบด้วย
ปรางค์อิฐ 3 องค์ ตั้งเรียงกันในแนวเหนือ-ใต้ บนฐานศิลาแลงเดียวกัน อาคารท้ังหมดหันหน้าไปทาง
ทิศตะวันออก มีประตูหน้าเพียงประตูเดียว อีก 3 ด้าน สลักเป็นประตูหลอก ปรางค์องค์กลางมีขนาด
ใหญแ่ ละมีสภาพค่อนขา้ งสมบรู ณ์เปน็ รูปสเี่ หลยี่ มจัตรุ สั ดา้ นหนา้ ทง้ั 3 ด้าน มีลักษณะย่ืนออกมาและมี
แผ่นศิลาทรายรองรับ ส่วนปรางค์อีกสององค์มีขนาดเล็กกว่าฐานเป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัส มีประตูเดียว
ทางด้านหน้า เช่นกัน ส่วนผนังอีก 3 ด้าน ก่อเรียบทึบ สาหรับบนพื้นหน้าปรางค์มีส่วนประกอบ
สถาปัตยกรรมหนิ ทรายอน่ื ๆ ตกหล่นอยู่ เช่น ฐานบัว ยอดปรางค์ กลบี ขนุน รูปนาค 6 เศียร อายุของ
กู่สวนแตงสามารถกาหนดได้จากทับหลังของปรางค์ ซึ่งปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ท่ี พิพิธภัณฑ์สถาน
แหง่ ชาติพระนคร อยู่ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 17 เน่ืองจากภาพสลักบนทับหลังท้ังหมดมีลักษณะตรงกับ
ศิลปะขอมแบบนครวัด ท่ีมีอายุอยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว อาทิเช่น ทับหลังสลักภาพพระนารายณ์ตรี
วิกรม (ตอนหนึ่งในวามนาวตารแสดงภาพพระนารายณ์ย่างพระบาท 3 ก้าว เหยียบโลกบาดาล โลก
มนุษย์ และโลกสวรรค์) ทับหลังภาพศิวนาฎราช ทับหลังภาพการกวนเกษียรสมุทร ทับหลังภาพ
นารายณ์บรรทมสินธุ์ ฯลฯ แต่ละชิ้นมีขนาดใหญส่ วยงามน่าสนใจย่งิ
- กฤู่ ๅษหี นองเยอื ง เปน็ อโรคยาศาลหรือโรงพยาบาล สรา้ งขึน้ ในสมยั พระเจ้าชัยวรมนั ท7่ี
- วัดหลกั ศิลา มีพระอุโบสถอายุนับร้อยปี สร้างในแบบศิลปะเชิงช่างกุลา คือมีการมุงหลังคาซ้อนเป็น
ช้ันๆ คล้ายกับศลิ ปะไทใหญ่ ซึ่งหาชมไดย้ ากในปจั จบุ นั

อาเภอคเู มอื ง
- อุทยานไมด้ อกเพลาเพลิน แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ ภายในมีโรงเรือนจัดแสดงดอกไม้ทั่วโลก สมบูรณ์
ท่สี ดุ ในภาคอีสาน ภายในประดิษฐานพระเข้ยี วแกว้ จาลอง ท่ไี ด้อญั เชิญมาจากศรลี ังกา

9

อาเภอสตึก
- พระพุทธรูปใหญ่ (พระพุทธรูปปฏิมาสันตยาภิรมย์สตึกอุดมราษฎรนิมิตนมิน)พระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์ิ
ประดิษฐาน ณ บริเวณทว่ี า่ การอาเภอสตกึ สามารถชมทศั นยี ภาพแมน่ า้ มูลท่ีงดงาม
- ศาลเจ้าพ่อวังกรดู ตั้ง ณ รมิ ฝงั่ แมน่ า้ มูล เปน็ ทีเ่ ล่อื มใสแก่ประชาชนชาวอาเภอสตกึ
- พระเจา้ ใหญ่ดงแสนตอ พระพทุ ธรปู ศักด์ิสิทธิ์คู่บา้ นคู่เมอื ง ณ ตาบลทุ่งวงั อาเภอสตกึ
- หมบู่ า้ นพมิ านโพนเงิน หมบู่ ้านท่มี ีการเลี้ยงชา้ งมากทสี่ ุดในจงั หวดั บรุ ีรัมย์

อาเภอนางรอง
- อา่ งเก็บน้าทุ่งแหลม
- วัดภมู า่ นฟ้า
- วัดเก่าในเขตเทศบาลเมืองนางรอง ซึ่งสร้างข้ึนในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
สามารถศึกษาสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ได้ เพราะเมืองนางรองเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดอีกแห่งใน
ประเทศ อาทิ วัดกลางนางรอง วดั ขนุ กอ้ ง วัดรอ่ งมนั เทศ
- หมบู่ ้านทอ่ งเท่ยี วไหม หนองตาไก้

อาเภอหนองก่ี
- หาดปราสาททอง หรือ อ่างเก็บน้าทุ่งกระเต็น ต้ังอยู่หน้าองค์การบริหารส่วนตาบลเย้ยปราสาท
ระยะห่างระหว่างขอบสระถึงเกาะกลาง 250 เมตร เน้ือที่ 2450 ไร่ หาด ปราสาททอง ยังเหมาะแก่
การป่ันจักรยานรอบ ๆ อ่างเก็บน้า โดยรวมของระยะทางท้ังหมด เกือบ 10 กิโลเมตร ที่พิเศษกว่านั้น
ยังเป็นสถานที่ฝึกซ้อมกีฬาทางน้า เช่นเจ็ทสกี ระยะทางฝึกซ้อมและการแข่งขัน 9.3 กิโลเมตร
โดยสามารถเดินทางผ่านทางแยกต่างระดับ อาเภอสีค้ิว เลี้ยวมาทางอาเภอโชคชัย ผ่านอาเภอหนอง
บุญมาก ถึงสแ่ี ยกอาเภอหนองก่ี จากน้นั เลย้ี วซ้ายประมาณ 3 กิโลเมตร กจ็ ะถึงหาด

อาเภอปะคา
- ปราสาทวดั โคกง้ิว
- ปราสาทตาดา

ภาพประกอบ 9 : ปราสาทวดั โคกง้ิว ภาพประกอบ 10 : หาดปราสาททอง

10

อาเภอโนนดินแดง
- เขื่อนลานางรอง เป็นเขื่อนดินฐานคอนกรีตขนาดใหญ่ จุน้าได้ประมาณ 150 ล้านลูกบาศก์เมตร
มีถนนลาดยางบนสันเข่ือนเชื่อมต่อไปยังหมู่บ้านตัวอย่าง หมู่บ้านพัฒนาหนองตาเยาว์ และหนองหว้า
ซ่ึงอยู่ใกล้ชายแดนเพียง 20 กว่ากิโลเมตรเท่ากัน ท่ีสันเข่ือนมีหินลอย (หินภูเขาไฟอีกชนิดหนึ่ง)
เป็นกอ้ นและแผน่ สีสันแบง่ กนั เปน็ ชนั้ สวยงาม ซึ่งได้นาไปกองกั้นน้าเซาะสันเข่ือน นอกจากนี้ ยังเป็นที่
เท่ียวท่ีมีชื่อเสียงในอาเภอโนนดินแดง บรรยากาศสวยงาม มีท่ีพักและส่ิงอานวยความสะดวก ด้วย
ทะเลสาบเหนือเขอื่ นอนั กวา้ งใหญ่ หาดทรายสวยงามบรรยากาศดี ชาวบุรีรัมย์จึงนิยมพาครอบครัวไป
พักผ่อน เล่นนา้ และรับประทานปลาสดจากเข่ือน
- ปราสาทหนองหงส์
- อนสุ าวรยี เ์ ราสู้ อยูร่ ิมทางหลวงในเขต ต.โนนดินแดง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ชาวบุรีรัมย์ร่วมสร้าง
ข้ึนเม่ือ พ.ศ. 2522 เพ่ือราลึกถึงวีรกรรมของประชาชน ตารวจ และทหาร ที่เสียชีวิตจากการต่อสู้กับ
ผกู้ อ่ การร้ายคอมมิวนสิ ต์ ซงึ่ ขดั ขวางการก่อสร้าง ถนนสายละหานทราย – ตาพระยา
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ ปุาที่อุดมสมบูรณ์แห่งสุดท้ายในจังหวัดบุรีรัมย์ ห่างจากอาเภอโนน
ดินแดง 5 กิโลเมตร เป็นแหลง่ ต้นน้าสาคญั ทาใหเ้ กดิ พืชพันธ์ุ สัตว์ปาุ ท่หี ลากหลาย
- นา้ ตกผาแดง ผาแดง อย่ใู นเขตปุาสงวนแห่งชาติดงใหญ่ บ้านหนองเสม็ด ต.ลานางรอง อ.โนดินแดง
จ.บุรีรัมย์ เป็นเขตติดต่อระหว่าง อ.โนนดินแดง กับ อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว เป็นแหล่งท่องเท่ียวทาง
ธรรมชาติแห่งใหม่ของจังหวัดบุรีรัมย์ นักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติสามารถมาสัมผัสอากาศบริสุทธ์ิ ชม
ดวงอาทิตย์ตก ทศั นยี ภาพของผนื ปาุ ธรรมชาติอนั กว้างใหญ่สวยงามของเทือกเขาบรรทัด และปุาสงวน
แห่งชาติดงใหญ่ โดยเฉพาะช่วงท่ีมีอากาศหนาวเย็นในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์
นักท่องเท่ียวจะได้พบกับทะเลหมอกปกคลุมปุาดงใหญ่ - เทือกเขาบรรทัดอันซับซ้อนสวยงามด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นจุดพักรถของคนเดินทางผ่านจังหวัดบุรีรัมย์ ไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในภาคตะวันออก
ดว้ ย ซึ่งช่วงนีใ้ นแตล่ ะวันไดม้ ีนกั ทอ่ งเท่ียวและผทู้ ี่เดินทางแวะมาเที่ยวชมพักผ่อน ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
เป็นจานวนมาก ไม่แพ้แหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติอ่ืน ๆ แหล่งท่องเที่ยวดังกล่าว สามารถเชื่อมโยง
กับแหลง่ ท่องเที่ยวอ่นื ๆ ในพน้ื ทีอ่ าเภอโนนดนิ แดงอีกด้วย

ภาพประกอบ 11 : อนุสาวรียเ์ ราสู้ ภาพประกอบ12 : ปราสาทหนองหงส์

11

อาเภอละหานทราย
- วัดโพธท์ิ รายทอง เป็นวดั ของหลวงปุูศุข เกจิอาจารย์ดงั แหง่ อสี านใต้
- วัดป่าละหานทราย ภายในวัดมีพระอุโบสถศิลปะล้านนาผสมล้านช้าง ประดิษฐานตั้งอยู่กลางน้า
มีความงดงาม นอกจากนนั้ ยงั มพี ระพทุ ธรูปศกั ดส์ิ ิทธ์ปิ ระดิษฐานหลายองค์
- หินหลุม เปน็ กล่มุ หินหลมุ กมุ ภลักษ์ เปน็ สถานที่เรยี นรูด้ า้ นธรณีวทิ ยา
- อ่างเกบ็ นา้ ลาจงั หัน
- อ่างเก็บน้าลาปะเทยี

อาเภอประโคนชยั
- ปราสาทเมืองตา่ เมืองโบราณรว่ มสมัยกับปราสาทเขาพนมรงุ้ ปราสาทเมืองต่าเปน็ ปราสาทหินของ
โบราณท่ีมีขนาดใหญ่มาก สร้างข้ึนตามคติความเชื่อของศาสนาฮินดูเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทาง
ศาสนาตัวปราสาทออกแบบได้อย่างงดงาม มีโครงสร้างท่ีได้สัดส่วนบริเวณโดยรอบปราสาท
เป็นชุมชนโบราณสมัยขอม ที่มีประวัติเก่ียวเน่ียงกับปราสาทเขาพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่าจึงมี
ความสาคัญทางโบราณคดี นอกเหนือจากเป็นมรดกทางศิลปกรรมท่ีงดงาม ปราสาทแห่งนี้ได้รับ
การบูรณะในปี พ.ศ. 2540
- กุฏิฤๅษีโคกเมือง เป็นปราสาทขอม สร้างข้ึนเพ่ือเป็นอโรคยาศาล หรือโรงพยาบาลประจาเมือง
ต้ังอยู่ใกล้กับปราสาทเมืองต่า อยู่ติดกับยารายเมืองต่า หรือทะเลเมืองต่า ชาวบ้านโคกเมืองเรียก
ปราสาทหลังนี้วา่ "ปราสาทนอ้ ย" เปน็ อโรคยาศาลทส่ี มบรู ณท์ ส่ี ุดอีกแหง่ ในประเทศ
- กุฏิฤๅษีหนองบัวราย เป็นปราสาทขอม สร้างข้ึนเพื่อเป็นอโรคยาศาล ต้ังอยู่บ้านหนองบัวราย
ตาบลจรเข้มาก ซง่ึ ต้งั อยู่บริเวณเชิงเขาพนมร้งุ
- ปราสาทบ้านบุ บ้านบุ ตาบลจรเข้มาก เป็นปราสาทขอมสร้างขึ้นเพื่อเป็นธรรมศาลา ที่พักของ
ผู้แสวงบุญในสมัยขอมโบราณ
- หมู่บ้านโฮมสเตย์โคกเมือง ต้ังอยู่ท่ีบ้านโคกเมือง ตาบลจรเข้มาก เป็นหมู่บ้านโฮมสเตย์ท่ีได้รับ
รางวัลระดับประเทศมากมาย มีกิจกรรมใหเ้ รียนรภู้ มู ปิ ัญญาท้องถ่ินมากมาย อาทิ เรยี นร้กู ารปลูกข้าว
หอมมะลิภูเขาไฟ การทอเสอ่ื กก การทอผา้ ไหม การเรยี นร้เู กษตรวถิ พี อเพยี ง เป็นต้น
- อ่างเก็บน้าสนามบิน อดีตเป็นสนามบินเพ่ือใช้ในการส่งเสบียง สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เมอื่ สงครามยตุ ิ จงึ ได้สรา้ งอ่างเกบ็ นา้ ก้ันลาห้วยระเวีย เพ่ือกักเก็บน้าใช้ในการอุปโภค บริโภคภายใน
เขตเทศบาลเมืองประโคนชัย ปัจจุบันได้รับการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ปุาอ่างเก็บน้าสนามบิน
เป็นสถานทพี่ ักผอ่ นชมธรรมชาตโิ ดยมีนกประจาถ่ินและนกอพยพอาศัยมากมาย ปัจจุบันมีการปล่อย
นกกระเรยี นพันธไ์ุ ทยในบรเิ วณนีอ้ ีกดว้ ย

12

อาเภอเฉลิมพระเกียรติ
- อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง ปราสาทเขาพนมรุ้งได้รับการยกย่องว่าเป็นปราสาทหินที่งดงามมาก
แห่งหน่ึงของไทย ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมรุ้งซึ่งเคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน ตัวปราสาทสร้างด้วยหินทรายสี
ชมพู และศิลาแลงอย่างยงิ่ ใหญอ่ ลังการมกี ารออกแบบผงั ปราสาทตามแนวความเช่ือที่สอดคล้องกับภูมิ
ประเทศศาสนสถานแต่ละส่วนประดับด้วยลวดลายวิจิตรงามตาโดยเฉพาะหน้าบันศิวนาฎราชและทับ
หลังนารายณบ์ รรทมสินธุ์ที่มคี วามงดงามละเอียดออ่ นช้อย นับเป็นโบราณสถานอันทรงคุณค่าที่ไม่ควร
พลาดชมในวันขึ้น 15 ค่า เดือน 5 (ประมาณเดือน เม.ย. - พ.ค.) ของทุกปีจะมีประเพณีเดินขึ้นเขา
พนมรุ้งเพ่ือชมปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่ามหรรศจรรย์คือ พระอาทิตย์จะสาดแสงตรงเป็นลาทะลุ
ชอ่ งประตปู ราสาททง้ั 15 บานราวปาฏิหารยิ ์และเกดิ ขน้ึ เพียงครั้งเดียวในรอบปเี ทา่ น้นั
- นา้ ตกเขาพนมรุ้ง
- ปราสาทหนองกง ห่างจากเชงิ พนมรุ้งไปทางทิศใต้ 2.8 กิโลเมตร
- วดั เขาพระองั คาร เป็นวัดที่สร้างข้ึนใหม่ ต้ังอยู่บนยอดเขาพระอังคารซึ่งสูงประมาณ 320 เมตรจาก
ระดับน้าทะเล มีโบสถ์ท่ีประยุกต์จากสถาปัตยกรรมหลายสมัย ดูสวยงามแปลกตา เป็นวัดท่ีสวยงาม
ใหญโ่ ตแหง่ หนงึ่ ของบรุ ีรมั ย์ มีโบสถ์ ศาลา และอาคารต่าง ๆ สร้างเลียนแบบสถาปัตยกรรมสมัยต่าง ๆ
หลายรูปแบบงดงาม แปลกตาและน่าสนใจยิ่ง ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังและเร่ืองราวพุทธ
ชาดกเป็นภาษาองั กฤษด้วย บรเิ วณวดั เปน็ ปากปลอ่ งภเู ขาไฟคาดว่าเคยเป็นท่ีตั้งของโบราณสถานสมัย
ทวารวดีเพราะเสมาหนิ แกะสลกั สมัยดังกลา่ วหลงเหลอื อยู่เปน็ จานวนมาก
- เขาอังคาร เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วอีกลูกหน่ึงในบุรีรัมย์ อยู่ในเขตอาเภอเฉลิมพระเกียรติ ห่างจาก
ปราสาทพนมรุ้ง 20 กิโลเมตร โดยลงมาจากพนมรุ้ง ถึงบ้านตาเป็กแล้วเลี้ยวซ้ายมาตามทางท่ีจะไป
ละหานทรายประมาณ 13 กิโลเมตรแล้วเล้ียวขวาเข้าทางลูกรังอีกประมาณ 7 กิโลเมตรพบ
โบราณสถานเกา่ แก่ และใบเสมาหินทรายสมัยทวารวดสี าคญั หลายช้นิ
- น้าตกเขาพระองั คาร ปจั จุบันอยใู่ นระหว่างการสารวจเพื่อเปิดเปน็ แหล่งท่องเทีย่ วใหม่ของจงั หวัด
ชุมชนโบราณบ้านแสลงโทน เป็นชุมชนโบราณต้ังอยู่ในเขตบ้านแสลงโทน ต.แสลงโทน อ.ประโคนชัย
อยหู่ ่างจากตัวจังหวัดไปทางทศิ ใต้ ตามทางสายบุรีรัมย์-ประโคนชัย ระยะทาง 25 กิโลเมตร ทางหลวง
ตัดผ่ากลางชมุ ชนโบราณ มองเหน็ คนั ดนิ เปน็ แนวสงู ประมาณ 5-7 เมตร อยู่สองข้างทาง ชุมชนโบราณ
แหง่ นมี้ ีลักษณะเป็นรูปกลมรวี างตามแนวตะวนั ออก ตะวนั ตก ยาวประมาณ 5,756 เมตร กว้าง 1,750
เมตร มีคูเมืองโอบอยู่นอกคันดิน 3 ชั้น ปัจจุบันเหลือเพียงช้ันเดียว ใกล้คันดินด้านท่ีต้ังโรงพยาบาล
ส่งเสริมสุขภาพตาบลแสลงโทนในปัจจุบัน มีเนินดินซ่ึงมีก้อนหินศิลาแลงกระจัดกระจายเข้าใจว่าเคย
มีศาสนสถาน แต่ปัจจุบันเป็นท่ีต้ังศาลเจ้าพ่อแสลงโทน เรียกว่า ศาลปูุเจ้าหรือกระท่อมเนียะตา เป็น
ศาลเจ้า ซึง่ เปน็ ท่ีเคารพนบั ถือของชาวบา้ นแสลงโทนและชาวบา้ นใกล้เคยี ง สร้างด้วยไม้ระแนง หลังคา
มุงกระเบ้ืองและพ้ืนเป็นปูนซีเมนต์ ทั้งคูน้าคันดิน (ที่เหลืออยู่ริมทางหลวง) และเนินดินศาลเจ้าพ่อ
แสลงโทน ได้ประกาศข้ึนทะเบียนโบราณสถานแล้ว นอกจากนี้ยังพบหลักฐานอื่นท่ีสาคัญ คือ สระน้า
โบราณรปู สี่เหลีย่ มในเขตวดั แสลงโทน 2 สระ พบเศษภาชนะดินเผา โครงกระดูกมนุษย์ เคร่ืองประดับ
เทวรปู เก่าและใบเสมาเก่า ซ่ึงเขา้ ใจวา่ บริเวณน้ีเคยเป็นศาสนสถานสาคญั ประจาชุมชนโบราณ

13

- เส้นทางกุ้งจ่อม กระยาสารท ต้ังอยู่ในเขตเทศบาลตาบลประโคนชัย มีการผลิตกุ้งจ่อม ซึ่งเป็นภูมิ
ปัญญาการถนอมอาหารเฉพาะถ่ินของอาเภอประโคนชัย และกระยาสารท อาหารหวานที่คู่เมือง
ประโคนชัย ซ่ึงเป็นขนมสาคัญในงานประเพณีแซนโฎนตา ประเพณีสาคัญของคนไทยเชื้อสายเขมร
ซ่ึงเป็นชนกลุ่มใหญ่ของอาเภอประโคนชัย นอกจากน้ันยังมีอาหารท้องถิ่นเฉพาะถิ่นประโคนชัย อาทิ
กุ้งจ่อมผดั แกงฮอ็ ง แกงบวน เป็นต้น

ภาพประกอบ 13 : เส้นทางกุ้งจอ่ ม

อาเภอบ้านกรวด
- แหลง่ หินตัด แหลง่ หนิ ตัด จังหวัดบุรีรัมย์ห่างจากตัวอาเภอบ้านกรวด 7 กม. เป็นลานหินกว้างเกือบ
2,000 ไร่ ใกล้ชายแดนติดกับราชอาณาจักรกัมพูชา มีร่องรอยการตัดหิน เพื่อนาไปสร้างปราสาทหิน
ต่าง ๆ ในเขตอีสานใต้ รวมท้งั ปราสาทพนมรุ้ง และปราสาทเมืองตา่
- เตานายเจยี น เปน็ เตาเผาโบราณอายปุ ระมาณ 1,000 ปี และได้พบเครื่องเคลือบโบราณจานวนมาก
คนโบราณใชเ้ ผาเครอ่ื งปนั้ ดนิ เผา หม้อ ไห ตา่ ง ๆ
- เตาสวาย เป็เตาเผาโบราณอายุประมาณ 1,000 ปี เป็นที่ผลิตเครื่องถ้วยศิลปะขอม ที่มีขนาดใหญ่
กรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นและสร้างอาคารครอบเตาไว้ ภายในมีนิทรรศการเครื่อง
เคลือบโบราณ และมีเศษเคร่ืองถ้วยที่ขุดพบบางส่วน ต้ังอยู่ท่ีบ้านโคกเมือง เทศบาลตาบลโนนเจริญ
อาเภอบา้ นกรวด จังหวัดบรุ ีรัมย์
- จุดผ่อนปรนชายแดนช่องสายตะกู ตั้งอยู่ในเขต เทศบาลตาบลจันทบเพชร เป็นตลาดค้าขายติด
ชายแดนบนเทือกเขาพนมดงรกั ประชาชนสามารถเลือกซ้อื สนิ คา้ บรเิ วณชายแดนได้
- สวนป่าบ้านกรวด เป็นผืนปุาท่ีมีการปลูกขึ้น เพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติปุาไม้ สามารถชม
ธรรมชาติได้ ปจั จุบันเป็นส่วนหน่ึงของ อทุ ยานแห่งชาติตาพระยา ส่วนหน่ึงของผืนปุามรดกโลก ปุาดง
พญาเย็น-เขาใหญ่
- เข่ือนห้วยเมฆา เป็นการพัฒนาพ้ืนที่แนวชายแดนชายไทย-กัมพูชา บริเวณช่องเขาเมฆาเพื่อใช้น้า
ในทางการเกษตรกร โดยไดร้ บั งบประมาณจากการสนบั สนุนของรฐั บาลญปี่ ุน เมอ่ื พ.ศ. 2528
- พิพิธภัณฑ์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ วัดปุาพระสบาย เป็นที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณในสมัยก่อน
ประวัตศิ าสตร์ทพ่ี บในเขตตาบลบึงเจรญิ

14

- ศนู ยว์ ัฒนธรรมอาเภอบ้านกรวด ตั้งอยู่ในโรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร เป็นท่ีเก็บรักษาเครื่องเคลือบ
ทขี่ ุดพบในเขตอาเภอบา้ นกรวด
- ผงึ้ รอ้ ยรงั เปน็ สถานที่ทผ่ี ึง้ จะมาทารงั บนตน้ ไม้ขนาดใหญ่เปน็ ร้อยๆรงั
- ปราสาทถมอ ปราสาทหนิ เกา่ แก่สันนษิ ฐานว่าเปน็ ธรรมศาลา สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษท่ี 18
- ปราสาททอง ต้ังอยู่บริเวณด้านหลังตลาดสดเทศบาลตาบลบ้านกรวด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วง
ปลายพุทธศตวรรษที่ 16 มกี ารขดุ พบทบั หลงั ในสภาพสมบูรณ์
- ปราสาทละลมทม ต้ังอยทู่ ีบ่ า้ นศรสี ุข ตาบลเขาดินเหนอื สันนิษฐานว่าสรา้ งข้ึนช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 16
- ปราสาทบายแบก ตั้งอยู่ท่ีบ้านสายโท 5 เทศบาลตาบลจันทบเพชร เป็นปราสาทขอมท่ีติดชายแดน
ทส่ี ดุ ในจงั หวดั บุรีรมั ย์ มีลักษณะพิเศษคือ เป็นปราสาททีห่ นั หนา้ ทางทศิ ตะวนั ตก

ภาพประกอบ 14 : ปราสาทละลมทม

ภาพประกอบ 15: ศูนยว์ ัฒนธรรมอาเภอบ้านกรวด

15

งานประเพณแี ละเทศกาลทอ่ งเทยี่ วสาคัญ
- งานดอกฝา้ ยคาบาน ชว่ งเดือน ม.ค. - ก.พ. ของทุกปี บริเวณปราสาทเขาพนมร้งุ
- มหกรรมว่าวอีสาน ช่วงเดือน ม.ค. บริเวณสนามกีฬามหาวิทยาลัยรามคาแหง วิทยาเขตบุรีรัมย์
อ.ห้วยราช ในงานมีการประกวดขบวนว่าว ธิดาว่าว การนาเสนอสินค้า วัฒนธรรม ภูมิปัญญาอาเภอ
ห้วยราช และไฮไลท์อยู่ท่ี การแข่งขันว่าวอีสานหรือว่าวแอก ท่ีมีรูปร่างเอกลักษณ์ของบุรีรัมย์ ด้านบน
ติดแอก ซ่งึ แอกเปน็ อปุ กรณ์ทที่ าใหเ้ กิดเสียง ซ่ึงมีการว่ิงว่าวในช่วงเช้าของวันแรก และเอาว่าวลงในช่วง
เช้าของวนั ท่ี2 ในชว่ งกลางคืนของคืนแรก จงึ มีกจิ กรรม "นอนดดู าว ชมวา่ วกลางคืน"
- มหกรรมมวยไทยเทศกาลกินไก่ไหว้เจ้าพ่อขุนศรี ประมาณปลายเดือน กุมภาพันธ์ ของทุกปี บริเวณ
สนามทีว่ ่าการอาเภอ อ.หนองกี่
- นมัสการพระเจ้าใหญ่วัดศีรษะแรด (วัดหงส์) วันขึ้น 14 ค่า ถึงวันแรก 1 ค่า เดือน 3 หรือตรงกับ
วนั มาฆบชู า ของทุกปี ทีว่ ัดศรี ษะแรด อ.พทุ ไธสง
- นมัสการรอยพระพทุ ธบาทจาลอง วนั ขึน้ 15 คา่ เดือน 3 หรอื วนั มาฆบูชา
- งานประเพณขี ้นึ เขากระโดง ชว่ งเดือน เม.ย. ของทกุ ปี ณ วนอุทยานแห่งชาติเขากระโดง ตาบลเสม็ด
อ.เมอื งบรุ รี ัมย์
- งานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง เดือนเมษายน ของทุกปี (วันเพ็ญเดือนห้า) ณ อุทยานประวัติศาสตร์
พนมร้งุ อ.เฉลิมพระเกยี รติ
- งานเครอ่ื งเคลือบพันปี ช่วงเดอื น เม.ย. ของทุกปี ที่ หนา้ ทวี่ า่ การอาเภอ อ.บ้านกรวด ในงานมีการจัด
ขบวนนางรา ขบวนเครื่องเคลือบจาลอง การขายผลติ ภณั ฑ์ชุมชนจากทกุ ๆตาบลในเขตอาเภอบา้ นกรวด
- งานประเพณีบุญบ้งั ไฟ ประมาณส้นิ เดอื น พ.ค. - ต้นเดอื น มิ.ย. ของทุกปี ท่ีบ้านหนองบัวลี-หนองบัว
ลอง ต.ไทยสามัคคี อ.หนองหงส์
- งานสืบสานประเพณี ของดีโนนสุวรรณ จัดขึ้นช่วงเดือน พ.ค. - มิ.ย. ของทุกปี ณ บริเวณท่ีว่าการ
อาเภอโนนสุวรรณ ซึ่งเป็นงานมีการสืบสานประเพณีบุญบ้ังไฟ จัดการแข่งขบวนเซิ้งบ้ังไฟ และมีการ
นาเสนอของดีโนนสุวรรณท่ีหลากหลาย อาทิ ผ้าไหม ผลไม้ เพราะโนนสุวรรณถือว่าเป็นแหล่งผลไม้
สาคัญของจังหวัด อาทิ เงาะ ทุเรียน ฝร่ัง ฯลฯ ทาให้ผู้มาเท่ียวงานสามารถเลือกซื้อผลไม้ และสินค้า
ผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชนไดจ้ ากผ้ผู ลิตโดยตรง
- งานปรางค์กู่สวนแตงและประเพณีบุญบั้งไฟ จัดขึ้นช่วงเดือน พ.ค.ของทุกปี ณ บริเวณ ปรางค์กู่
สวนแตง อาเภอบ้านใหมไ่ ชยพจน์ ภายในงานมกี ารประกวดขบวนบั้งไฟสวยงาม การประกวดขบวนเซิ้ง
การนาเสนอผลิตภัณฑ์ชุมชน และการแสดงแสงสีเสียง เล่าเรื่องราวปรางค์กู่สวนแตง โบราณสถานท่ี
สาคญั ของบรุ รี มั ย์
- ประเพณแี ขง่ เรอื ยาว วนั เสาร์-อาทิตย์แรก ของเดอื น พ.ย. ทล่ี าน้ามูล ทีท่ ่ีวา่ การ อ.สตกึ
- งานวันหอมแดง แข่งเรือยาว ชาวหนองหงส์ ช่วงประมาณเดือน ธ.ค. ของทุกปี - มี.ค. ของปีถัดไป
ที่หนองสระแก้ว อ.หนองหงส์

16

บทท่ี 2
ประวตั อิ าเภอพทุ ไธสง

อาเภอพทุ ไธสง
พุทไธสง เป็นอาเภอหน่ึงของจังหวัดบุรีรัมย์เป็นเมืองประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ทางทิศ

เหนือของจังหวัด มีช่ือเสียงด้านการเป็นแหล่งทอผ้าไหมมัดหม่ีที่สวยงาม และมีพระคู่บ้านคู่เมือง
คอื พระเจ้าใหญ่ วัดหงส์

ประวัติและความเป็นมาของเมอื งพุทไธสง
สภาพท่ัวไป เมืองพทุ ไธสง เป็นแหล่งสถานท่ีตั้งเมืองประวัติศาสตร์ หลักฐานสาคัญคือ มีคูเมืองเก่าที่
เป็นคนั คนู ้าอยู่จานวน 2 ชั้น ตัง้ อยู่ในเขตเทศบาลตาบลพุทไธสงในปจั จุบัน ประกอบไปด้วย

1. คูบึงช้ันนอกด้านทิศเหนือ ประกอบไปด้วย บึงสระบัวหรือบึงใหญ่ ตั้งอยู่เขต
หมู่ 1 บ้านพุทไธสง หนองเม็ก ตั้งอยู่เขตหมู่ 3 บ้านโพนทอง คูบึงช้ันในด้านทิศเหนือ มีบึงเจ๊กและ
บึงอ้อ ตั้งอย่เู ขตหมทู่ ี่ 1 บ้านพุทไธสง ในเขตตาบลพุทไธสง รอบโนนทต่ี ง้ั เมอื งพทุ ไธสง

2. คูบงึ ช้นั นอกด้านทิศตะวนั ออก ประกอบไปด้วย บึงมะเขือ บึงบัวขาว อยู่ติดเขต
หมู่ 1 บ้านพุทไธสง กับเขตหมู่ 1 บ้านมะเฟือง คูบึงชั้นในด้านทิศตะวันออก มีบึงกลาง บึงสร้างนาง
อยู่เขตหมู่ 1 บ้านพุทไธสง ตาบลพุทไธสง มีหนองน้าช้ันนอกออกไปอีกคือหนองกระจับ หนองสรวง
ในเขตหม่ทู ี่ 1 บา้ นมะเฟือง ตาบลมะเฟอื ง

3. คูบึงชั้นนอกด้านทิศใต้ ประกอบไปด้วย บึงฆ่าแข่ ห้วยเตย หนองบัว อยู่ติดเขต
หมู่ 2 บ้านโนนหนองสรวง คูบึงชั้นในด้านทิศใต้ มีบึงสร้างนาง หนองกระทุ่มหนา อยู่เขตหมู่ 1
บ้านพทุ ไธสง

4. คูบึงชั้นนอกด้านทิศตะวันตก มีหนองน้าช่ือร่องเสือเต้น ก้ันเขตแดนระหว่าง
โรงเรียนพุทไธสงและโรงเรียนตงศิริราษฎร์อนุสรณ์และเป็นเขตแดนระหว่างหมู่ท่ี 3 บ้านโพนทองกับ
หมทู่ ่ี 4 บ้านเตย เป็นลักษณะบึงส้ันๆ ไม่ตลอดแนว และด้านนี้ไม่มีคูบึงชั้นใน ลักษณะพ้ืนที่เป็นที่ราบ
สลับที่เนินเตี้ยๆ พ้ืนที่โดยรวมลาดเอียงจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มี
ความสูงจากระดับนา้ ทะเลปานกลางประมาณ 140 – 160 เมตร ใจกลางเมืองต้ังอยู่ที่ละติจูด 15.538
องศาเหนอื ลองติจดู 103.0057 องศาตะวนั ออก มีหว้ ยเตยเปน็ รอ่ งนา้ หลกั ไหลมารวมท่ีบึงต่างๆ และมี
ร่องน้าย่อยๆ รับน้าในด้านทิศเหนือซึ่งเป็นทางเกวียนคมนาคมเดิม เช่นทางเกวียนบ้านเตยไปนาโพธ์ิ
ทางเกวยี นบา้ นโพนทองเหนอื หนองเม็ก ไปบา้ นแวง บ้านนาโพธ์ิ ทางเกวียนเหนือบ้านเตยไปหนองเม็ก
ร่องน้าจากโนนบ้านหนองบกไหลผ่านปุาโคกท่ีสาธารณะประโยชน์หนองหัวควายไหลลงบึงใหญ่และ
จากบึงใหญ่ไหลล้นไปบึงมะเขือและทุ่งนาด้านทิศตะวันออกบึงมะเขือ และบึงมะเขือบางส่วนมีทาง
ระบายนา้ จากน้ารวมทบ่ี งึ ช้ันนอกไหลไปรวมท่ดี า้ นบึงบวั ขาวไหลไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ตามคลอง
ทข่ี ดุ ใหมช่ ่อื คลองอีสานเขียวไหลลงทุ่งนาและลงสู่น้ามูลด้านทิศใต้บ้านส้มกบ ตาบลมะเฟือง อุณหภูมิ
เฉลยี่ หน้ารอ้ น 31 องศาเซลเซียส หน้าหนาว 20 องศาเซลเซยี ส หนา้ ฝน 26 องศาเซลเซียส

17

โนนเมืองเป็นทีด่ อน เรียกวา่ โนน (เนิน) จานวน 7 โนนดังนี้
1. โนนโรงเรยี นอนบุ าลพทุ ไธสงเดิม (โอภาสประชานุสรณ์)ปจั จุบันเป็นทตี่ ้งั ควิ รถและ

ตลาดสดเทศบาลตาบลพุทไธสง เดิมเป็นเนินสูงได้ขุดดินออกไปประมาณระดับ 1.50 เมตรในอดีตเป็น
เนนิ ใหญ่สุดและเป็นศนู ยก์ ลางตงั้ ตวั เมืองจนถึงปัจจุบัน

2. โนนอนามยั เดิม ปัจจบุ นั เป็นทีต่ ัง้ สานักงานสาธารณสขุ อาเภอพุทไธสงเป็นโนนท่ีสูง
กว่าทุกโนนท่ีกล่าวถึง แต่ถูกปรับเกล่ียให้ต่าลงเพื่อนาเอาดินมาสร้างที่ว่าการอาเภอหลังเก่า ห้องสมุด
ประชาชนเดมิ และสถานีตารวจภูธรพทุ ไธสง

3. โนนโรงเรียนพุทไธสงเดิม ปัจจุบันเป็นท่ีตั้งโรงเรียนอนุบาลพุทไธสง เดิมเป็นพื้นที่
สูงมีน้าลอ้ มรอบและใชเ้ ปน็ ปาุ ช้าทีฝ่ ังศพ

4. โนนบ้านโพนทอง เป็นโนนสูงกว้างใหญ่ หลังจากต้ังเมืองพุทไธสงใหม่ที่บ้าน
มะเฟอื ง มีขา้ ราชการจากเมืองมาตงั้ บ้านขน้ึ ใหมท่ ่ีโนนนีเ้ รยี กว่าบ้านใหม่โพนทอง

5. โนนโรงเรียนตงศิริราษฎร์อนุสรณ์ เป็นโนนสูงด้านทิศตะวันตก ถูกปรับเกรดให้
ต่าลงจากเดิมราว 2 เมตร มีลักษณะดินปนหินข้ีตะกรันเหล็ก อาจเป็นแหล่งถลุงเหล็กทาเคร่ืองมือและ
อาวุธ

6. โนนหนองสรวงตั้งอยู่ทางทิศใต้ ลักษณะยาวตามทิศตะวันออกไปตะวันตก
เปน็ ท่ตี ้งั บา้ นโนนหนองสรวงหม่ทู ี่ 2

7. โนนอีแก้ว เป็นโนนสูงขนาดเล็กอยู่ทางทิศใต้มีทุ่งนาก้ันระหว่างโนนหนองสรวง
ด้านทศิ ตะวนั ออก ปัจจบุ นั เปน็ ที่ตัง้ ศูนยห์ มอ่ นไหมบรุ ีรัมย์สาขาพุทไธสง

18

ลกั ษณะทางประวัติศาสตร์-ภูมิศาสตร์
เมืองพุทไธสงได้จัดให้อยู่ในกลุ่มเมืองโบราณของภาคอีสานใต้อยู่แถบลุ่มน้ามูล-น้าชี

(กรมทรพั ยากรธรณีได้แบ่งภาคอีสานออกตามภูมิศาสตร์โดยใช้แนวเทือกเขาภูพานแบ่งเป็นอีสานเหนือ
เรยี กวา่ แอ่งสกลนครอสี านใตเ้ รยี กว่าแอ่งโคราช) มีลักษณะต่าง ๆ แยกออกเปน็ ดังนี้

ลักษณะเมืองโบราณของภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ ที่เรา
เรียกว่า “เมืองในสมัยทวาราวดี” ลักษณะเป็นเมืองท่ีมีคูน้าและคันดินล้อมรอบมีลักษณะทรงกลม
คล้ายเมืองโบราณในประเทศอังกฤษและประเทศจีน เมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว มีหลักฐานการต้ัง
ถ่ินฐานของมนุษย์ในแถบอีสานใต้ลุ่มน้ามูลและลุ่มน้าชี จากการสารวจของรองศาสตราจารย์ ศรีศักด์ิ
วัลลโภดม และของ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ทิวา ศภุ จรรยาและคณะ ปรากฏว่ามชี มุ ชนโบราณทีม่ ลี กั ษณะมี
คูนา้ คันดนิ ลอ้ มรอบในแถบลุ่ม มูลและลุ่มน้าชีถึงจานวน 67/1 แห่ง จากจานวนชุมชนท่ีมีคูน้าคันดินทั้ง
ภาคอสี านกว่า 700 แหง่ ความหนาแนน่ ของชุมชนอยใู่ นเขตทุง่ กุลารอ้ งให้และเขตติดต่อระหว่างจังหวัด
บุรีรัมยแ์ ละจังหวัดนครราชสีมา

ลักษณะท่ีมาของคูน้าคันดินแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ แบบสี่เหล่ียมและ
แบบทรงกลม จากหลักฐานแบบสี่เหล่ียมเกิดขึ้นในยุคที่ได้รับอิทธิพลจากอินเดีย เกิดข้ึนตั้งแต่ราวพุทธ
ศตวรรษท่ี 7 สาหรับแบบทรงกลมได้รับอิทธิพลจากเพ่ือนบ้านท่ีมีอารยธรรมสูงกว่า และมีความม่ันคง
ทางการเมือง เกิดขึ้นราว 3,000 – 5,000 ปีมาแล้ว ก่อนสมัยทวาราวดีของอินเดีย ผศ. ทิวา ศุภจรรยา
ให้ความเห็นว่า การสร้างคูน้าคันดินรอบชุมชนน้ีน่าจะเกิดข้ึนเองเป็นคร้ังแรกในแถบลุ่มแม่น้ามูลและ
ลุม่ แมน่ า้ ชี และใกล้เคยี งแอ่งสกลนครและแอ่งโคราช

ชุมชนโบราณทีต่ ้ังในอีสานใตใ้ นเขตจงั หวดั บุรรี ัมย์มกี ล่มุ ชมุ ชนอยู่ดังน้ี
- กลมุ่ พนมรุ้ง ประกอบไปดว้ ยชมุ ชนทีเ่ ปน็ บรวิ ารจานวน 18 ชมุ ชน
- กลมุ่ เมอื งฝา้ ย ประกอบไปด้วยชุมชนทเ่ี ปน็ บริวารจานวน 15 ชมุ ชน
- กลมุ่ สะแกโพรง ประกอบไปด้วยชุมชนท่ีเปน็ บรวิ ารจานวน 12 ชมุ ชนซงึ่ ในนร้ี วมทัง้ เมืองดู่ เมืองฝาง
- กลมุ่ เมอื งแปะ ประกอบไปด้วยชุมชนท่ีเป็นบริวารจานวน 6 ชุมชนมีเมอื งแปะ(บรุ ีรัมย์)เปน็ ศนู ย์กลาง
- กลมุ่ หนองเอีน (ตาบลหนองกระทงิ เขตอาเภอลาปลายมาศ) ประกอบไปด้วยชมุ ชนทเี่ ปน็ บรวิ าร
จานวน 8 ชุมชนซึ่งในนร้ี วมท้ังเมืองผไทรนิ ทรด์ ้วย
- กลมุ่ ทะเมนชัย ประกอบไปดว้ ยชุมชนทเี่ ป็นบริวารจานวน 4 ชุมชนศูนย์กลางอยู่ท่ีบา้ นเก่าทะเมนชัย
- กลมุ่ บ้านสนวน (อาเภอลาปลายมาศ) ประกอบไปด้วยชมุ ชนทีเ่ ป็นบรวิ ารจานวน 6 ชมุ ชน
- กลมุ่ บ้านพระครู ประกอบไปด้วยชุมชนที่เปน็ บริวารจานวน 3 ชุมชนมีพระครูใหญ่เป็นศนู ย์กลางหลัก
- กลมุ่ บ้านตะโคง อาเภอบา้ นดา่ น ประกอบไปดว้ ยชมุ ชนทเ่ี ป็นบรวิ ารจานวน 5 ชมุ ชน และต้ังตามริม
ลาน้าหว้ ยราช

19

- กลุ่มเมืองไผ่ อาเภอกระสัง ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจานวน 4 ชุมชน ตั้งตามลาห้วยไผ่
และหว้ ยเนอะเตียบ
- กลมุ่ โนนเมือง ประกอบไปด้วยชุมชนท่ีเป็นบริวารจานวน 6 ชุมชน กลุ่มน้ีมีลักษณะพิเศษ นอกจาก
มคี นู า้ คนั ดินรอบเมืองแล้วยังมีคันดินรอบเมืองอกี หลายกิโลเมตร ชาวบา้ นเรยี กว่าคูเมือง
- กลุ่มร่อนทอง ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจานวน 5 ชุมชน เมืองร่อนทองมีสระน้าสี่เหล่ียม
และทานบกนั้ น้ายาวมาก
- กลมุ่ ทงุ่ วงั ประกอบไปด้วยชมุ ชนท่ีเปน็ บรวิ ารจานวน 5 ชุมชนอยฝู่ ั่งน้ามูล
- กลุ่มแคนดง ประกอบไปด้วยชุมชนท่ีเป็นบริวารจานวน 16 ชุมชน อยู่ฝ่ังน้ามูลและมีท่าเรือเป็น
แหล่งเครอื่ งป้ันดินเผา
- กลุ่มปะเคียบ ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจานวน 5 ชุมชน มีหลักฐานอารยธรรมทวาราวดี
หนาแน่น เช่นใบเสมา และเครื่องป้ันดินเผา พระพุทธรูปสมัยทวาราวดีริมมูลบ้านวังปลัด จานวน
3 องค์ ซง่ึ เก็บไว้ทพ่ี พิ ธิ ภัณฑ์กรงุ เทพมหานคร
- กลุ่มพุทไธสง ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจานวน 15 ชุมชน มีเมืองพุทไธสงเป็นเมืองหลัก
ยังมสี ถานทหี่ ลงเหลือคือคเู มอื งซง่ึ เปน็ คนู ้าคันดนิ สมบรู ณ์ เมืองน้เี ขา้ ใจว่ามีคนอยู่อาศัยต่อเน่ืองไม่ขาด
ตอน มีพระเจ้าใหญ่วัดหงษ์ สมัยทวาราวดี และมีชุมชนย่านเดียวกัน ประกอบไปด้วย เมืองน้อย
(อาเภอนาโพธิ์) เมืองขมิ้น(บ้านคูณ) กู่สวนแตง (อาเภอบ้านใหม่ไชยพจน์) บ้านจอก (อาเภอนาโพธ์ิ)
ดอนเมอื งแร้ง (ตาบลบ้านจาน) บา้ นจิก บา้ นเมอื งน้อย (ตาบลบ้านแวง) บ้านแดงน้อย (ตาบลพุทไธสง)
บ้านเบาใหญ่ บ้านโนนสมบูรณ์ (ตาบลหายโศก) กู่ฤๅษี (อาเภอบ้านใหม่ไชยพจน์) เมืองยาง (อาเภอ
เมืองยาง) บ้านยาง (ตาบลบ้านยาง) หนองสระ บ้านหนองแวง (อาเภอบ้านใหม่ไชยพจน์) บ้านดู่
(อาเภอนาโพธิ์) รูปวาดฝาผนังโบสถ์ วดั บรมคงคา (ตาบลบ้านแวง) โบสถ์วดั มณีจนั ทร์ (ตาบลมะเฟือง)
- กลุ่มเมืองตลุง ประกอบไปด้วยชุมชนที่เป็นบริวารจานวน 15 ชุมชน มีเมืองตลุงเป็นศูนย์กลาง
เป็นเมืองของคนเขมร

ศาสนาฮินดู(พราหมณ์)ในยุคอารยธรรมขอมรุ่งเรือง ขอมได้เข้ามาครอบครอง
เมืองไทยต้งั แตเ่ ขมรถึงเมืองสุโขทยั พทุ ไธสงเปน็ เมืองหนา้ ดา่ นของขอม ก่อนท่ีพ่อขุนศรีอินทราทิตย์มา
ขบั ไล่ขอมแลว้ ต้ังกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ยุคนี้จะเป็นยุคท่ีขอมนาคนไทยสร้างเมืองโดยการขุดคูคลอง
ล้อมรอบจุดที่ต้ังเมือง และเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานในช่วงอารยธรรมขอมน้ี ซึ่งจะเห็นจากหลักฐาน
การสร้างปราสาทหินในดินแดนไทย การขุดคูเมืองเป็นคลองล้อมรอบเมืองเป็น 2 ช้ัน ตามหลักฐาน
ทางโบราณสถานที่พอจะดูได้คือ กู่สวนแตงที่ตาบลกู่สวนแตง กุฏิฤๅษีท่ีบ้านกู่ฤๅษี บ้านส้มปุอยในเขต
อาเภอบ้านใหม่ไชยพจน์ ปราสาทหินเปือยน้อย อาเภอเปือยน้อย จังหวัดขอนแก่น พระธาตุบ้าน
ตามสายน้าลาพังชูเป็นการก่อสร้างโดยใช้หินตัดแบบเดียวกับปราสาทหินเมืองต่า ปราสาทหินพิมาย
ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทเขาสามยอดลพบุรี หลังจากพระมหากษัตริย์ไทยต้ังเมืองสุโขทัยสาเร็จ
สมัยพ่อขุนรามคาแหงได้ขยายอาณาเขตสุโขทัยออกไป เมืองพุทไธสงได้ถูกทาลายท้ิงไป พุทไธสงจึง
เป็นเมืองร้างไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่ชุมชนคนไทยคงรวมตัวกันอยู่เป็นชุมชนรอบๆ ตัวเมืองเดิม และ
ต่อมามีผู้คนอพยพมาอยู่รวมกันมากขน้ึ

20

ปรางคก์ ู่สวนแตง ต้งั อยูท่ ก่ี ลางบ้านดงยาง ตาบลกู่สวนแตง อาเภอบ้านใหม่ไชยพจน์
จงั หวดั บุรรี มั ย์ เป็นปรางค์อฐิ เรียงกันตามแนวเหนือใต้ จานวน 2 หลัง บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ขนาด
31.76 -/- 25.40 เมตร หันหน้าไปทางทศิ ตะวนั ออก ปรางคอ์ งค์กลางเป็นปรางค์ประธานและเป็นองค์
เดียวทมี่ มี ุขยืน่ ออกมา ทางด้านหน้ารบั เสากรอบประตูซึง่ เปน็ หนิ ปรางค์ท้ังสามองค์มีประตูเข้า – ออก
ทางด้านทิศตะวันออกส่วนอีก 3 ด้าน เป็นประตูหลอก มีสระน้าโบราณเป็นรูปส่ีเหล่ียม ขนาด 42 -/-
32 เมตร ล้อมรอบด้วยคันดิน อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตามบันทึกของนายเอเดียน เอ็ดมองค์
ลูเนต์เดอ ลาจอง กิแยร์ นักวิชาการชาวฝรั่งเศส ซึ่งมาศึกษาศาสนสถานแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2450 ว่า
จากสถาปัตยกรรมและศลิ ปกรรม แสดงให้เห็นว่าได้รับอิทธิพล ศิลปกรรมจากสมัยนครวัดนครธมของ
กมั พชู าซึ่งมอี ายุระหวา่ ง พ.ศ. 1642 –1718 เปน็ เทวาลยั ในศาสนาฮนิ ดู

เมืองพุทไธสง เป็นถ่ินท่ีอยู่ของคนไทยอีสานที่มาอยู่รวมกันในแถบลุ่มน้ามูล
เป็นดินแดนท่ีมีแม่น้าล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ทิศเหนือและทิศตะวันออกมีลาพังชู ที่ไหลจากอาเภอเปือย
น้อย จังหวัดขอนแก่นลงสู่แม่น้ามูลที่ตาบลบ้านยาง ทิศใต้มีแม่น้ามูล และลาสะแทดท่ีไหลมาจาก
อาเภอคง นครราชสีมา ลงสู่แม่น้ามูลที่ตาบลบ้านจาน ทิศตะวันตกมีลาแอกไหลมาจากอาเภอหนอง
สองห้องจงั หวัดขอนแก่นและอาเภอสีดา นครราชสีมา ไหลลงลาสะแทดที่ตาบลหนองเยือง จะเห็นว่า
ถิ่นที่อยู่ของคนในจังหวัดบุรีรัมย์ มีอยู่ 3 เมืองใหญ่ๆ ในสมัยเก่าช่วงเดียวกันคือ คนเขมรจะรวมกลุ่ม
กนั อยู่เมืองตลงุ (ประโคนชัย) คนไทยโคราชจะรวมกลุ่มกันอยู่ท่ีเมืองนางรอง คนไทยอีสานรวมกลุ่มกัน
อย่ทู ่เี มืองพทุ ไธสง ซ่งึ แสดงวา่ มเี มืองอยเู่ ดมิ แล้วในบริเวณที่กล่าวถงึ นี้

ตามที่นักโบราณคดีสานักศิลปากรท่ี 12 อาเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
สันนิษฐานวา่ เมืองพทุ ไธสงสรา้ งมา 3,000 ปีแล้ว จากการค้นพบเศษกระเบื้องและพระพุทธรูปที่ลาน้า
มูลที่บ้านวังปลัด ใบเสมาที่บ้านปะเคียบ พระเจ้าใหญ่วัดหงษ์ท่ีบ้านศีรษะแรด เมืองพุทไธสง
มีพระเจ้าใหญ่วัดหงษ์ บ้านศีรษะแรด เป็นพระพุทธรูปประจาคู่เมืองพุทไธสง สร้างในช่วงราวปี
พ.ศ. 1500 เป็นพระพุทธรูปสมัยทวารวดี เป็นที่เคารพ ของผู้คนท่ัวไปมาต้ังแต่โบราณ สร้างด้วยมวล
สารและยางบง ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 1.6 เมตร สูง 2 เมตร จะมีงานนมัสการปิดทองพระเจ้า
ใหญ่ประจาทุกปใี นชว่ งวนั เพ็ญเดือนสาม นอกจากนี้ยังมีหลักฐานพระพุทธรูปในสมัยเดียวกันในท้องที่
อาเภอข้างเคียง เช่น พระพุทธรูปในลาน้ามูล บ้านวังปลัด ใบเสมาบ้านปะเคียบ เขตอาเภอคูเมืองใน
ปัจจุบัน องค์พระเจ้าใหญ่เป็นศิลปะการก่อสร้างท่ีแตกต่างไปจากขอม กล่าวคือเป็นศิลปะทาง
พระพุทธศาสนาโดยสันนิษฐานว่าคงสร้างตามอิทธิพลของอารยธรรมลาว(ล้านช้าง)ในถ่ินน้ี และยังมี
พระธาตุ 1 องค์ต้ังอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวิหารพระเจ้าใหญ่ ส่วนสูงของพระธาตุ 12 เมตร
ฐานกวา้ ง 6 เมตร ก่อด้วยอิฐแดงไม่ฉาบปูนคงจะเป็นรุ่นเดียวกันกับพระธาตุพระพนมฝีมือลาวในสมัย
ทวารวดี ปัจจบุ นั ได้สรา้ งพระธาตใุ หมค่ รอบไว้

21

ในช่วงยคุ สมยั กรุงศรีอยุธยา สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พุทไธสงเป็นเมืองหน้า
ด่านของกรุงศรีอยุธยา เป็นเมืองหน้าด่านสาคัญมาก เป็นกันชนให้ท้ังสามอาณาจักร ไทย ลาว เขมร
พร้อมกับเมืองสาคัญที่เป็นเมืองหน้าด่านทางภาคอีสานซ่ึงประกอบไปด้วย ด่านจอหอ เมืองพิมาย
ในจังหวัดนครราชสีมาในปัจจุบัน เมืองพุทไธสง เมืองนางรอง เมืองตลุง(ประโคนชัย) ในจังหวัดบุรีรัมย์
ในปัจจบุ ัน เมืองกัณทราลักษณ์ จงั หวัดศีรษะเกษ เมืองกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เมืองเหล่านี้เดิม
เป็นเมืองใหญ่มีประชากรมากมีเจ้าเมืองปกครอง สามารถเกณฑ์ทหารไปสู้รบ หรือปูองกันตนเอง
เป็นหน้าดา่ นปอู งกันศตั รทู จ่ี ะเขา้ เมืองหลวง และตั้งมาต้ังแตส่ มยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ประมาณ
ปี พ.ศ. 1895 (คลังปญั ญาไทย กรงุ ศรีอยธุ ยาตอนต้นจดั การปกครองแบบกรงุ สโุ ขทัย แบ่งเมืองหน้าด่าน
ออกเปน็ 8 ทศิ เรยี กว่า เมืองปอู มปราการ และมีหัวเมืองชั้นนอกชั้นใน เมืองพระยามหานคร และเมือง
ประเทศราช)

ในช่วงยุคใหม่ พุทไธสงต้ังเมืองขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยาจักรี(สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟูา
จุฬาโลกในเวลาตอ่ มา) ทรงยกทัพไปปราบเมอื งจนั ทบุรีศรีสัตนาคณหุต (เวียงจันทน์) ที่แข็งเมือง ราวปี
พ.ศ. 2318 ได้นาชายไทยจากเมืองพุทไธสงและหมู่บ้านรอบๆ ตัวเมืองไปเป็นไพร่พลรบด้วย และใน
จานวนนม้ี ีท้าวเพียศรปี าก (นา) เพยี เหลก็ สะท้านผ้มู ีหน้าท่ีจัดทาอาวุธ เพียไกรสอนผู้มีหน้าท่ีเกณฑ์ไพร่
พลทหารและทหารรวม 200 คนไปด้วย เพียศรีปากได้ทาการสู้รบด้วยความองอาจกล้าหาญ
มีความสามารถ จนกองทัพไทยทาการสาเร็จได้รับชัยชนะกลับกรุงธนบุรี และได้กวาดต้อนผู้คนกลับมา
เมืองไทยเป็นจานวนมากช่วงกลับได้เดินทัพผ่าน หนองคาย นครพนม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด มหาสารคาม
พุทไธสง และได้พักแรมท่ีหนองแสนโคตร ใกล้บ้านมะเฟือง และได้สารวจตัวเมืองเก่า เพื่อตั้งเมืองใหม่
เห็นว่าเมืองเก่าถูกละท้ิงมานานเป็นปุารกยากแก่การบูรณะ จึงให้สร้างเมืองขึ้นใหม่ท่ีบ้านโนนหมาก
เฟืองและบ้านหัวแฮด เจ้าพระยาจักรี ทรงโปรดให้แต่งตั้ง ท้าวเพียศรีปาก (นา) เป็นพระเสนาสงคราม
เป็นเจ้าเมอื งพทุ ไธสงคนแรก โดยพุทไธสงได้แบ่งแยกพ้ืนที่จากเขตแดนเมืองสุวรรณภูมิ(เมืองท่ง) ท่ีด้าน
ทิศตะวันตกห้วยลาพังชูไปถึงลาสะแทด ลาแอกเป็นเขตเมืองพุทไธสงด้านทิศ ตะวันออกเป็นฝั่งเมือง
สุวรรณภูมิ โดยให้ขึ้นกับเจ้าพระยาเมืองนครราชสีมา (ประชุมพงศาวดาร ภาค 4 เร่ืองพงศาวดารหัว
เมืองมณฑลอีสาน ของหม่อมอมรวงศ์วิจิตรในพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ)
พระเสนาสงคราม เดิมช่ือ เพี้ยศรีปาก (นา) เป็นคนไทยลาวอีสาน เกิดท่ีนครจาปาศักดิ์ ตรงกับสมัย
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ราว พ.ศ. 2289 อพยพมาตั้งหลักแหล่งในเขต
จังหวัดมหาสารคาม แขวงสุวรรณภูมิ ได้นาพรรคพวกมาล่าสัตว์ในเขตพุทไธสง ลุ่มน้าลาพังซู ได้มาพบ
พระพุทธรูปใหญ่ในปุาข้างหนองน้า เห็นว่าเป็นทาเลที่เหมาะดี ได้นาญาติและพวกๆ มาต้ังรกรากอยู่
บ้านศรี ษะแรด (พบหวั แรดในหนองนา้ ) ทา้ วเพยี ศรีปาก นา)

22

สมัยเปน็ เจา้ เมือง เรยี กว่า อุปฮาดราชวงศ์
พระเสนาสงคราม ต้องสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นมาใหม่ ซ่ึงเป็นภารกิจท่ีใหญ่หลวง

และงานหนักมาก นอกจากภารกิจในชุมชนเมืองพุทไธสงแล้วยังมีภารกิจร่วมปกปูองชาติบ้านเมืองอยู่
หลายครั้ง เช่นเมื่อ พ.ศ. 2121 เมื่อคราวกบฏเจ้าอิน เจ้าโอ ที่เมืองนางรอง และเมื่อเมืองนครจาปา
ศักดิ์คิดแข็งเมืองฝักใฝุฝุายญวน ทางเมืองหลวงได้มีตราสาร มายังพระเสนาสงคราม ให้ยกกองกาลัง
ไป-ปราบกบฏร่วมกับสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก พระเสนาสงคราม และท้าวหน่อพุทธางกูล
หลวงเวียงพทุ ไธสงบตุ รชายของพระเสนาสงคราม ก็ได้ปฏิบัติภารกิจนี้จนสาเร็จ อย่างมิย่นย่อ ผลจาก
การปฏิบัติภารกิจต่างๆ ที่เกิดผลสาเร็จด้วยดี ของพระเสนาสงครามอันเป็นที่ประจักษ์ต่อเบ้ืองยุคล
บาท คร้ันในปี พ.ศ. 2321 ได้รับทรงแต่งตั้งโดยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯให้เป็นพระยา
เสนาสงคราม เป็นเจ้าเมืองพุทไธสง คนแรก พระยาเสนาสงครามได้ปกครองเมืองพุทไธสงต้ังแต่
พ.ศ. 2318 ถึง พ.ศ. 2370 เป็นเวลา 52 ปี อายุรวม 81 ปี ดังปรากฏในประชุมพงศาวดาร เล่มท่ี 40
ภาค 65 –) พระเสนาสงคราม มีบตุ ร 2 คนคอื

1. ท้าวหน่อพุทธางกูล หลวงเวียงพุทไธสง หรือพระนครภักดี ได้เลื่อนเป็นพระยา
นครภักดี ได้มีความชอบคร้ังไปร่วมรบท่ีจาปาศักดิ์ กลับมาได้รับการแต่งต้ังให้เป็น เจ้าเมืองแปะ
(บรุ ีรัมย์) คนแรก

2. ท้าวนา เป็นพระเสนาสงครามท่ี 2 เป็นเจ้าเมืองพุทไธสงคนท่ี 2 ต่อจากพระยา
เสนาสงคราม ผเู้ ป็นบิดา เมอ่ื พ.ศ. 2370 ได้ปกครองเมอื งพทุ ไธสงถงึ พ.ศ. 2407 เป็นเวลา 37 ปี อายุ
รวม 82 ปี

ในยคุ การสร้างบ้านแปลงเมืองอย่างยง่ิ ใหญ่
1. ให้เจ้าเมืองเข้าไปเมืองหลวงเพื่อศึกษาอบรม (ข้อมูลจาก นายประวัติ วิศิษฎ์ศิลป์

ลาดบั หลานพระเสนาสงครามคนสุดทา้ ยผูใ้ ห้ข้อมูล) ให้รู้จักจารีตประเพณี เจ้าเมือง ได้รับสมุดข่อยปก
สีขาว มาเป็นพระธรรมนูญการปกครอง สมดุ ขอ่ ยปกสีดามาเป็นกฎหมายแพ่ง

2. ได้รับมอบดาบอาญาสิทธ์ิฝังเพชรในฐานะเจ้าเมือง 1 เล่ม มีสิทธิปกครองโดย
เด็ดขาด ไม่ต้องขอพระบรมราชานญุ าตจากพระเจา้ อยู่หวั

3. ได้ขุดสระน้าขนาดใหญ่ท้ายโนนมะเฟืองด้านทิศเหนือ สาหรับเก็บน้าไว้ใช้มีชื่อว่า
หนองสรวง

4. ขุดดินลอกจากสระน้ามาถมท่ีดินที่เป็นทุ่งนาข้างสระมาสร้างที่ว่าการเจ้าเมือง
ในเขตบา้ นมะเฟอื งในปัจจบุ นั

5. สรา้ งวัง (โฮง) สาหรบั เจ้าเมือง 1 หลัง ใช้เสาไม้พันชาดซึ่งเป็นไม้ทนทาน (ไม้ชนิด
หนึ่งที่เกิดในถิ่นมีเน้ือไม้แข็งใบสีเขียวหม่นลาต้นสีเทาออกไปดามีเปลือกหนาถ้านาไปทาถ่านจะให้
พลังงานความร้อนสงู มาก)

6. สร้างเรือนพักทาสจานวน 4 หลัง มอบให้ 4 ครอบครัว คอยรับใช้พร้อมนางสนม
กานนั บางสว่ น

23

7. สรา้ งโรงกลัน่ สุรา และเรือนจา
8. จัดตั้งกรมการเมืองประกอบด้วยจตุสดมภ์ 4 ได้แก่ เวียง วัง คลัง นา โดย
แตง่ ต้ังคณะกรมการเมืองจากบุคคลสาคัญของเวียงจันทน์ คือ หลวงแพ่ง หลวงปราบ หลวง
สิทธิ หลวงพรหม ท้าวคาสิงห์ หลวงสมบัติ หมนื่ หาญ ขนุ ไชย ฯลฯ
9. เมื่อถึงครบขวบปีต้องส่งเครื่องบรรณาการและเงิน 80 ช่ัง ไปบรรณาการ
ตอ่ พระเจา้ แผน่ ดนิ ทเี่ มืองหลวง
เมืองพุทไธสง มีเจ้าเมืองผู้ปกครองต่อมาคือ พระเสนาสงครามที่ 2 (ท้าวนา
บุตรพระยาเสนาสงครามคนที่ 2) ปกครองเมืองพุทไธสงคนที่ 2 ตั้งแต่ พ.ศ. 2107 เป็น
เวลานาน 37 ปี และพระเสนาสงครามท่ี 3 (บุตรพระเสนาสงครามท่ี 2) ปกครองเมืองพุทไธ
สงลาดับท่ี 3 ต้ังแต่พ.ศ. 2407 ได้ส้ินสุดเม่ือปี พ.ศ. 2440 พระเสนาสงครามท่ี 3 ปกครอง
เมอื งพุทไธสงนาน 33 ปี

พทุ ไธสงยุคเข้าสู่ยคุ การปกครองแบบปัจจบุ ัน
ในชว่ งการปกครองต่อจากเมืองพทุ ไธสง ซง่ึ สยามประเทศสมัยกรุงธนบุรีได้มีการจัดตั้ง

การปกครองต่อจากกรุงศรีอยุธยาแบบจตสุ ดมภ์ที่มี เวียง วัง คลัง นา(คลังปัญญาไทย การปกครองท่ีสืบ
ต่อมาจากสมัยกรุงศรอี ยธุ ยา โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พ.ศ. ๑๙๙๑ ช่วงอยุธยา ตอนกลางเป็นผู้
ก่อตง้ั และตอ่ มามกี ารเปลีย่ นแปลงเลก็ น้อยในสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราชใน ยุคการเร่ิมต้นค้าขาย
และความสัมพนั ธ์กับต่างประเทศ) โดยแยกการทหารออกจากพลเรือน งานจตุสดมภ์ เวียง วัง คลัง นา
ให้ถือเป็นฝุายพลเรือน โดยให้มีสมุหนายกเป็นผู้ปกครองและตรวจการณ์หัวเมืองฝุายเหนือปกครองท้ัง
ทหารและพลเรอื น สมุหกลาโหมเป็นผ้ปู กครองและตรวจการณ์หัวเมืองฝุายใต้ปกครองท้ังทหารและพล
เรือน ในปี พ.ศ. 2417 ในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 แห่งราชวงศ์
จักรี ยุคกรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพมหานครในปัจจุบัน ได้แบ่งหัวเมืองใหม่ออกเป็น 3 ประเภท คือ
หัวเมืองช้ันใน หัวเมืองช้ันกลาง หัวเมืองช้ันนอก และได้จัดให้มีการปกครองแบบเดิม ต่อมาเมื่อวันท่ี
1 เมษายน พ.ศ. 2435 ให้ยกเลิกการปกครองแบบเดิมและจัดการปกครองแบใหม่ให้มีการประกาศ
จัดต้ังกระทรวงใหม่ขึ้น 12 กระทรวง โดยจัดสรรอานาจให้ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม
กระทรวงนครบาล กระทรวงวัง กระทรวงการ ต่างประเทศ กระทรวง เกษตราธิการ กระทรวงการคลัง
กระทรวงยตุ ิธรรม กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงธรรมการ ฯลฯ บรรดาหัวเมืองฝุายเหนือ ฝาุ ยใต้ ให้อยู่
ในบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทยทั้งหมด(การปรับปรุงการปกครองเข้าสู่สมัยใหม่เพื่อให้พ้นภัย
คุกคามของยุคล่าอาณานิคม) การปกครองหัวเมืองอยู่ในอานาจของกระทรวงมหาดไทยเป็นการรวม
ศูนย์อานาจสู่ส่วนกลางได้เกิดมีปัญหาข้อบกพร่องหลายประการ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพ
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ให้ปรึกษา ในท่ีสุดพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ดาริให้
จัดตงั้ การปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลขึน้ และให้มกี ารจัดตัง้ มณฑลตา่ งๆ ขึน้ และปรบั ปรงุ เพ่ิมเตมิ

24

มาเรื่อยๆ รวม 10 มณฑลประกอบไปด้วย มณฑลมหาราษฎร์ มณฑลพิษณุโลก มณฑลนครสวรรค์
มณฑลเพชรบรู ณ์ มณฑลนครราชสมี า มณฑลร้อยเอด็ มณฑลอุบล มณฑลอุดร มณฑลชุมพร มณฑล
ภูเก็ต (มณฑลอุบลและมณฑลรอ้ ยเอ็ดเดมิ ช่ือมลทณฑลลาวเหนือ มณฑลนครราชสีมาเดิมช่ือ มณฑล
ลาวกลาง ได้เปลีย่ นชือ่ มาใหมด่ ้วยเหตผุ ลความมั่นคงทางการปกครอง

เมืองพทุ ไธสง ได้ข้ึนการปกครองตรงต่อเทศาภิบาลเมืองแปะหรือบุรีรัมย์ในปัจจุบัน
เมืองแปะข้ึนตรงต่อมลฑลนครราชสีมา (มณฑลถูกยกเลิกเม่ือ ปี พ.ศ. 2475 ช่วงคณะราษฎร์ยึด
อานาจการปกครอง) พระรังสรรค์สารกิจ (เล่ือน) ข้าหลวงประจาจังหวัดบุรีรัมย์ (พ.ศ. 2441 –
2444) ได้ให้สรา้ งเมอื งพทุ ไธสงขึ้นใหมท่ บ่ี รเิ วณท่ีดนิ ในคเู มอื งในเขตเทศบาลตาบลพุทไธสงในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2442 ซึ่งเดิมน้ันเป็นปุารกทึบมีสัตว์ปุา มีภูมิแข็ง มีไก่ปุา นกกระทา ชาวบ้านจะแตะต้อง
ไมไ่ ดถ้ ้ามีใครแตะต้องจะต้องเป็นไขต้ าย ลงทอ้ งตาย อาศยั พระราชอานาจของพระเจ้าแผ่นดินเบิกปุา
จึงสามารถผ่าเหตุการณ์ไปได้สะดวกและสามารถสร้างเมืองใหม่ได้สาเร็จ ในเวลาต่อมาได้สร้างที่ว่า
การอาเภอพทุ ไธสง บ้านพกั นายอาเภอ บา้ นพกั ปลดั อาเภอ บา้ นพักข้าราชการ และพ่อค้า ประชาชน
ได้จับจองพื้นท่ีเป็นที่อยู่อาศัย ทางราชการได้แต่งตั้งให้หลวงเจริญทิพยผลเป็นนายอาเภอปกครอง
พุทไธสงคนแรก ขน้ึ กบั เมอื งบุรรี มั ย์ เมืองพุทไธสงแต่แรกเรมิ่ จงึ เป็นอาเภอพทุ ไธสงตั้งแตน่ น้ั มา

25

บทท่ี 3
ประวตั ิความเป็นมาบ้านศรี ษะแรดและประวัติพระเจ้าใหญ่วัดหงส์

ประวัติความเป็นมาบา้ นศีรษะแรด ตาบลมะเฟือง อาเภอพุทไธสง จงั หวดั บรุ รี มั ย์
พระนอแรดเปน็ พระพุทธรูปบูชาศิลปะลาว ปางนาคปรก (หัวเดียว) แกะสลักจาก

นอแรด พุทธลักษณะสวยงามมาก แสดงถึงฝีมือช่างช้ันโลก หน้าตัก 5 นิ้ว สูง 7 น้ิว รอบฐาน
14 น้ิว ฐานลึก 3.5 น้ิว น้าหนัก 400 กรัม ตามตานานเล่าสืบกันมาว่า ท้าวศรีปากแดง(นา)
และไพร่พลได้ตามแรดใหญ่ตัวหนึ่งมาจากเมืองลาว หวังท่ีจะเอานอ ติดตามมาวันแล้ววันเล่า
เดอื นแลว้ เดือนเล่า ปแี ลว้ ปีเล่า ยังไม่สามารถทีจ่ ะฆา่ แรดตัวนี้ตัดเอานอไปได้ วันหนึ่งได้พบแรดตัวน้ี
นอนตายอยู่หนองน้าเล็กๆแห่งหน่ึง จึงตัดเอานอ แล้วปล่อยซากแรดที่ตายไว้หนองน้าแห่งนั้น
และพาไพร่พลหวังกลับบ้านเมือง ระหว่างทางได้พบพระพุทธรูปโบราณ (พระเจ้าใหญ่) เกิดความ
เล่ือมใสศรัทธา จึงพาไพร่พลตั้งรกรากอยู่ ณ ท่ีนี้ และนานอแรดมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปบูชา
ปางนาคปรก (พระพุทธรูปปางนาคปรกทาให้ร่มเย็น) ถวายเป็นพระพุทธรูปคู่บุญบารมีขององค์พระ
เจา้ ใหญต่ ้ังแต่บัดนั้นสืบมา

การคน้ พบซากแรด
เวลาผ่านไปช้านาน หนองน้าเล็กๆที่แรดใหญ่นอนตายอยู่น้ันได้ตื้นเขินดินทับถมกัน

และชาวบ้านต้งั บ้านเรือนกระจายอยู่ทั่วบริเวณ สืบมาท่ีครอบครัวหน่ึงที่ปลูกบ้านอยู่บริเวณหนองน้า
แห่งน้ีเกิดเหตุการณ์ร้อนรนไม่สามารถที่จะหลับนอนตอนกลางคืนได้เป็นเวลาติดต่อกันหลายวัน
จึงนาเรื่องราวไปปรึกษาหลวงพ่อทา ซ่ึงเป็นพระภิกษุมีวิชาแก่กล้าของวัดหงษ์ บ้านศีรษะแรด
หลวงพ่อน่งั สมาธิว่ามซี ากสัตว์อยู่ใตถ้ นุ บ้าน จงึ ทาใหเ้ กิดเหตุการณ์เช่นนี้ และได้ทาการขุดดูก็พบว่ามี
ซากสัตว์จริงๆ นั่นก็คือซากแรดใหญ่ ตามตานานพระนอแรดน่ันเอง ซ่ึงเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า
ตานานท่ีเลา่ สืบกันมานน้ั คอื ประวัตศิ าสตร์ของชาวบ้านศรี ษะแรดนัน่ เอง

ปัจจุบันนี้ บา้ นศีรษะแรดแบ่งการปกครองเป็น 4 หมู่ คือ
หมทู่ ี่ 3 มีประชากร 656 คน จานวนครัวเรือน 214 ครัวเรอื น
หมู่ที่ 10 มปี ระชากร 399 คน จานวนครวั เรือน 152 ครวั เรอื น
หมู่ท่ี 11 มปี ระชากร 360 คน จานวนครวั เรอื น 180 ครัวเรือน
หมู่ท่ี 12 มปี ระชากร 465 คน จานวนครวั เรอื น 137 ครัวเรือน

26

ด้านเศรษฐกจิ
1. อาชพี หลัก ไดแ้ ก่ เกษตรกรรม
2. อาชีพเสรมิ ได้แก่ รบั จ้างทั่วไปและทอผ้า

ประวัติพระเจา้ ใหญว่ ดั หงษ์
พระเทวฤทธิ์อินทรวรกร หรือ พระเจ้าใหญ่ ประดิษฐานอยู่ ณ วิหารวัดหงษ์

บ้านศีรษะแรด ตาบลมะเฟือง อาเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ สันนิษฐานว่าสร้างพร้อมกับ
เมืองพุทไธสง ราวปี พ.ศ. 2200 อายุประมาณ 300 ปีเศษ พุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมาร
วชิ ัย เป็นเอกลักษณ์องคเ์ ดยี วในประเทศไทยทใี่ ชผ้ งหรอื ว่านในการสร้าง ถือเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นยุค
โบราณทม่ี ีการผสานผงให้มีความแขง็ แกร่งทนทาน และเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์ิองค์เดียวท่ีสามารถ
ปิดทององคจ์ ริงได้ นอกจากน้ี ยังพบพระพิมพ์รูปใบขนุน "รวมปาง" สาริด และพระพุทธรูปแกะสลัก
จากนอแรดท่ีใต้ฐานพระเจ้าใหญ่อกี ดว้ ย พระเจา้ ใหญไ่ ดร้ ับการยอมรับว่าเป็นพระพุทธรูปท่ีศักดิ์สิทธิ์
และประชาชนให้ความเลื่อมใสศรัทธา มีผู้คนมาพึ่งบุญบารมีพระเจ้าใหญ่อย่างล้นหลาม นอกจากน้ี
ชาวอาเภอพทุ ไธสงกาหนดใหม้ ีการจัดงานเฉลิมฉลอง และนมัสการปิดทองพระเจ้าใหญ่ในช่วงวันขึ้น
15 ค่า เดือน 3 ของทกุ ปี (ซึง่ ตรงกับวันมาฆบชู า)

ตานานพระเจา้ ใหญ่
ในสมัยน้ันเป็นพุทธศตวรรษท่ี 8 (พ.ศ. 600-700) เม่ือประมาณพุทธศักราช 641

"พระเจ้าทศรถ" กษัตริย์เมืองเขมร มีพระมเหสีทรงพระนามว่า "อัปสรทอง" มีพระราชธิดา
2 พระองค์ทรงพระนามวา่ "เจ้าหญิงทองแก้ว" และ "เจ้าหญิงทองใบ" เจ้าหญิงท้ังสองได้รับการเลี้ยง
ดูจากพเี่ ลีย้ งหรอื แม่นม นามวา่ "นางนวลจันทร์" ซ่ึงเป็นธิดาของอามาตย์เบื้องขวาของพระเจ้าทศรถ
กษัตริย์เขมรนามว่า "หม่ืนทิพย์" กับ "นางบัวลอย" ผู้เป็นมารดาพระเจ้าทศรถกษัตริย์เขมรทรงดาริ
อยากจะสัมพันธไมตรีกับเจ้าเมืองลาว จึงส่งพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ ให้ไปอภิเษกสมรสกับ
เจ้าชายของเจ้าเมืองลาว ระหว่างเดินทางได้มาถึงยังบริเวณแห่งนี้(บริเวณท่ีตั้งวัดหงษ์ ในปัจจุบัน)
พระพ่ีเล้ียงหรือแม่นมได้ล้มปุวยลงอย่างกะทันหัน จึงส่ังพระราชธิดาทั้งสองว่าให้เดินทางไปให้ถึง
เมืองลาวและอภิเษกสมรสให้เป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าทศรถ ว่าแล้วก็สิ้นใจตายที่ข้างสระน้า
ด้วยพระชนมายุ 58 ปี หลังจากน้ันไม่นานได้มีพระญาคูใหญ่ธุดงคเจ้านามว่า "หลวงปุูลุน" ได้ธุดงค์
วตั รมาจากถา้ ภูเขาควาย แห่งเมืองลาว เข้ามายังบริเวณแห่งนี้ (วัดหงษ์ในปัจจุบัน) การเดินธุดงค์มา
ของหลวงปูุลุน ได้เดินตามทางช้าง ทางแรดท่ีเดินมากินน้าบริเวณนี้อยู่ประจา คือ ช้าง 11 เชือก
ลูกช้าง 3 เชือก แรดใหญ่ 3 ตัว ซึ่งแรดท้ัง 3 ตัวนี้จะเดินตามช้างมาอย่างนี้ทุกๆวัน หลวงปุูลุนได้
สังเกตดูลกั ษณะ เปน็ ปาุ หนาทึบรม่ ร่นื โดยเฉพาะมีปุาไม้รังขึ้นอยู่เป็นจานวนมาก แต่น่าแปลกใจที่ไม่
มีสัตว์ส่งเสียงหรือปรากฏให้เห็นแม้แต่ตัวเดียว น่าจะมีหนองน้า เดินสารวจดูก็ไม่มี พระญาคูเจ้า
ธุดงค์รอบๆ บริเวณนี้เป็นเวลา 5 วัน ไม่ได้ฉันน้าฉันอาหารเลย ขณะนั้นเกิดรู้สึกหิวน้า จึงสารวจอีก
ครั้ง ก็ไม่มีหนองน้า จึงตัดสินใจเด็ดใบหญ้าคาแถวนั้นมา 5 ใบ แล้วบริกรรมพระคาถา ใบหญ้าคาก็
ประสานกันเป็นหยดน้าใหพ้ ระญาคไู ด้ฉนั แล้วปกั กรดอยูบ่ ริเวณห่าง

27

จากสระน้าประมาณ 20 วา แต่มองไม่เห็นสระน้า อาจเป็นเพราะรุขเทวดาบังตาเอาไว้ ทันใดน้ันได้
ปรากฏหญงิ คนหนง่ึ ขึ้น แต่งตัวเหมือนคนมียศถาบรรดาศักด์ิ เวลาขณะน้ันประมาณ 5 โมงเย็น หญิงที่
ปรากฏกายขึ้นมานน้ั คอื พระพีเ่ ล้ียงหรอื แมน่ มนวลจนั ทรน์ ัน่ เอง ได้เล่าความเป็นมาให้หลวงปุูลุนได้ฟัง
พรอ้ มกับเปิดมนตก์ าบังตาออกให้หลวงปุูลุนได้เห็นสระน้าได้ฉันน้าและสรงน้า แล้ววิญญาณของนางก็
หายไป ต่อมาเวลาประมาณตี 2 ก็มาปรากฏกายให้หลวงปูุลุนได้เห็นอีก หลวงปูุลุนคิดในใจว่า ได้
สนทนากับสีกานานเกินไปแล้ว อาจจะไม่เป็นผลดีต่อสมณเจ้า จึงถามว่า นางต้องการอะไร จะให้
ช่วยเหลืออะไร วิญญาณของแม่นมนวลจันทร์จึงขอร้องให้หลวงปูุลุนสร้างพระธาตุเจดีย์อยู่ตรงน้ีให้
ด้วย ขอใหส้ ร้างใหจ้ งได้ หลวงปุูลุนรบั ปากแล้ววิญญาณของแม่นมนวลจันทร์ก็หายไป หลวงปูุลุนจึงได้
อธิษฐานจิตและถอดผ้าสังฆาฏิ วางตรงท่ีจะสร้างพระธาตุเจดีย์ แล้วเอาก้อนหินทับไว้ จึงดาริในใจว่า
เราจะธุดงค์ต่อไปไม่ได้ เพราะผ้าไม่ครบ 3 ผืน จึงกลับถ้าภูเขาควาย โดยใช้พระคาถาย่นระยะทาง
หลวงปุูเดินเพียง 3 ก้าว ก็ถึงภูเขาควาย หลวงปูุลุนได้ชักชวนพระสงฆ์ ชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธารวมกัน
เปน็ ผ้สู รา้ ง กลับมาสรา้ งพระธาตุเจดยี ์ นายชา่ งผู้มีน้าใจประกอบด้วย

- นายคาพูล (เป็นชาวเขมร มีอาวโุ สสูงสุดและเปน็ หวั หน้าชา่ ง)
- นายพุธ
- นายบุญชู
- นายคาพอน (มลี ูกสาวมาด้วยคือนางทองจันทร์)
- นางสีน้อย (มีลกู สาวมาดว้ ยคือนางสอน)
- นางเรือน
- นางเรือน
- นางแพง (มลี ูกสาวมาด้วยพร้อมหลานสาวอกี 3 คน ลกู คือ นางป้นื หลาน คือ

นางพิม นางพดั และนางที)
- นายคาโบง
- นายอนุ
- นายใส
- นายนาจ
- นายจ่าง
- นายคาวงษ์
- นายสงฆ์
- นายคามลู
เม่ือดาเนินการสร้างพระธาตุเจดีย์เสร็จแล้ว โดยพระธาตุเจดีย์มีความสูงประมาณ
1 เมตร ลักษณะคล้ายสถูป(ขันคว่า) มีพระอริยสงฆ์ร่วมพุทธาภิเษกพระธาตุเจดีย์เพื่อเป็นสิริมงคล
และความศักดสิ์ ิทธ์ิ 3 องค์ คือ
- หลวงปูลุ นุ จากภเู ขาควาย เมอื งลาว
- หลวงปูุใหญ่ เทพ โลกอดุ ร หรือหลวงปุเู พชร จากเมอื งศรีเทพ
- หลวงปูุบญุ หรอื หลวงปุูคานอ้ ย จากเมอื งละโว้

28

เมื่อพุทธาภิเษกเสร็จสมบูรณ์ ได้ปรากฏหงส์ทองคา 2 ตัว ลงกินน้าอยู่สระน้าใกล้ๆ
กับพระธาตุเจดีย์ห่างไปเพียง 20 วา(หงส์ทองคา 2 ตัวนี้จะมาลงกินน้าท่ีสระแห่งนี้ปีละครั้ง ซึ่งบินมา
จากปุาหมิ พานต์ หว้ งเวลาของปีที่หงส์ทองคา 2 ตัวมากนิ น้าท่ีสระแห่งนี้ จะไม่มีสัตว์อ่ืนๆตัวใดส่งเสียง
หรือปรากฏตัวเลย) จึงพร้อมใจกันต้ังช่ือพระธาตุเจดีย์ว่า "พระธาตุหงส์ทองคา" และต้ังชื่อสระน้าว่า
"สระหงส์" ปีท่ีสร้างพระธาตุเจดีย์หงส์ทองคาเสร็จสมบูรณ์ คือปี พ.ศ. 641 (พระธาตุหงส์ทองคาน้ี
บรรพบุรุษของเราได้สร้างพระธาตุครอบองค์เก่าถึง 3 ครั้งแล้ว)กาลเมื่อคร้ังสร้างพระธาตุเจดีย์เสร็จ
แล้ว คณะก็เดินทางกลับเมืองลาว กล่าวถึงธิดากษัตริย์เขมรทั้ง 2 พระองค์ คือ เจ้าหญิงทองแก้วและ
เจา้ หญงิ ทองใบ ก็ไดอ้ ภเิ ษกสมรสกับเจ้าชายเจ้าเมืองลาว (เมื่ออภิเษกสมรสแล้วชาวเมืองลาวเรียกเจ้า
หญิงท้งั สองวา่ เจ้านางคาแก้วและเจ้านางคาใบ คาว่า "คา" ในภาษาลาวหมายถึง ทอง) ต่อมากษัตริย์
เจ้าเมืองลาว มีความประสงค์ที่จะสร้างพระพุทธรูป เพื่อเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ระหว่าง
เมืองเขมรและเมืองลาว จึงได้ปรึกษาหลวงปุูลุน หลวงปุูลุนทราบว่าสถานที่ก่อสร้างพระธาตุเจดีย์น้ัน
เป็นสถานที่พระสารีบุตร อัครสาวกเบ้ืองขวาของพระพุทธองค์ เคยมานั่งปฏิบัติธรรมกรรมฐานโปรด
สัตว์ (พระสารีบุตรจะไปน่ังปฏิบัติกรรมฐานตามรอยของพระพุทธองค์ที่เคยผ่านไป ทุกหนทุกแห่งใน
โลกนี้) จึงบอกให้กษัตริย์เจ้าเมืองลาวไปสร้างพระพุทธรูป ณ ที่แห่งนี้ (วัดหงษ์ในปัจจุบัน) กษัตริย์เจ้า
เมืองลาวจึงได้มอบหมายให้เจ้านาง ธิดากษัตริย์เขมรทั้ง 2 คือ เจ้านางคาแก้วและเจ้านางคาใบ
พร้อมบริวาร พลช้าง พลม้า ลูกหาบ พระสงฆ์ นาโดยหลวงปูุลุน โดยมีนายคาพูล (ช่างชาวเขมร
เป็นหัวหน้าเหมือนเดิม) เดินทางมาถึงบริเวณ บัดนั้นวิญญาณของแม่นมนวลจันทร์ ก็ปรากฏกายข้ึน
มาร่วมในการสร้างด้วย หลวงปุูลุนเลือกสถานที่จะสร้างพระพุทธรูปตรงที่พระสารีบุตรเคยน่ังปฏิบัติ
กรรมฐาน โดยห่างจากพระธาตุเจดีย์ประมาณ 3 วา ทางทิศอุดร เริ่มวางฐานคร้ังแรกตรงกับวันขึ้น
1 ค่า เดอื น 3 ปี พ.ศ. 648 (พรรษาท่ี 7 ของหลวงปูุลนุ หลังจากสร้างพระธาตุเจดีย์เสร็จ) แต่หยุดการ
ก่อสร้างไว้ก่อน กลับไปช่วยทางเมืองลาวสร้างวัด กลับมาเร่ิมการสร้างใหม่อีก เม่ือวันข้ึน 8 ค่า เดือน
5 สร้างไปเรื่อยจนเสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันข้ึน 15 ค่า เดือน 3 ของปี พ.ศ. 649 (พรรษาที่ 8 ของหลวงปูุ
ลุน หลังจากสร้างพระธาตุเจดีย์เสร็จ) เมื่อสร้างพระพุทธรูปเสร็จแล้ว มีพระอริยสงฆ์ร่วมพุทธาภิเษก
เพอ่ื เป็นมงคลและความศักดส์ิ ทิ ธิ์ 5 องค์ ดงั นี้

- หลวงปูลุ นุ สธุ โี ร
- หลวงปใุู หญ่ เทพ โลกอดุ ร หรอื หลวงปุูเพชร
- หลวงปุขู าวหรือหลวงปุคู าน้อย
- พระสงั ฆราชคาจนั ทร์ อาจาโร
- หลวงปุูกองหมนั ทีระโส
พระอริยเจ้าทั้ง 5 องค์ ได้อธิษฐานจิตด้วยพระคาถาวาจาสิทธ์ิ (เฉพาะปลุกเสกพระ
เจ้าใหญ่เท่านั้น) เมื่อพิธีพุทธาภิเษกเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงพร้อมใจกันตั้งช่ือพระพุทธรูปว่า "พระเจ้า
ใหญ่" เพ่ือเป็นสิริมงคลตามนามของหลวงปูุใหญ่ เทพ โลกอุดร ผู้เป็นประธานใหญ่ในพิธีพุทธาภิเษก
น่ันเอง ความศักด์ิสิทธิ์ อิทธิฤทธ์ิ ปาฎิหาริย์ขององค์พระเจ้าใหญ่ จึงบังเกิดขึ้นอย่างย่ิงใหญ่ ต้ังแต่
บัดนนั้ เป็นต้นมา

29

หลังจากสร้างองค์พระเจ้าใหญ่เสร็จส้ินแล้ว คณะของเจ้านางทั้ง 2 ได้เดินทางต่อไป
ยังเมืองเขมร เพ่ือเยี่ยมพระบิดา คณะของหลวงปูุลุนเดินทางกลับเมืองลาว แต่ยังมีอีกคณะหน่ึง
ซงึ่ เป็นไพร่พลจากเมืองลาว ไม่กลับไปไหน ได้ต้ังหลักปักฐานตั้งแหล่งที่อยู่ห่างจากองค์พระเจ้าใหญ่ไป
ทางทิศบูรพาประมาณ 2 เส้น (ปัจจุบันเรียกหนองสิม) แต่อยู่ได้ไม่ถึงปี เพราะบริเวณที่ตั้งบ้านเรือน
เป็นทางผ่านของช้างท่ีไปลงกินน้าท่ีหนองน้า (ปัจจุบันเรียกหนองพังและหนองพังโคก) จึงอพยพไป
ตั้งบ้านเรือนอยู่แหล่งใหม่ ห่างจากองค์พระเจ้าใหญ่ไปทางทิศอุดร ประมาณ 20 เส้น(ปัจจุบันเรียก
บริเวณหนองสาและหนองท่ม)แต่อาศัยอยู่ประมาณ 20 ปี ก็เกิดความแห้งแล้ง เกิดโรคระบาด
(ไขท้ รพษิ ) จงึ อพยพกลบั เมืองลาวไป (โดยผ่านไปทางเมอื งชยั ภูมิ)

ตอ่ มาประมาณปี พ.ศ. 671 เมืองเขมรเกิดการแตกแยกช่วงชิงอานาจความเป็นใหญ่
กัน แม่ทัพ นายกอง กลุ่มหนึ่งได้พาผู้คนหลายร้อยคนอพยพหลบหนี เพ่ือหาแหล่งต้ังเมืองใหม่ ได้มา
พบบริเวณเหมาะท่ีจะต้ังเมือง (เป็นบริเวณที่อยู่ห่างองค์พระเจ้าใหญ่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ประมาณ 31 เส้น ปัจจุบันนี้เรียก โนนเจ้าเมือง) จึงให้คณะม้าเร็วไปบอกข่าวแก่เจ้าเมืองของตน
เจา้ เมอื งไดเ้ ดนิ ทางมาปกั หลักเสาเมือง เพอ่ื ทจี่ ะสร้างเมือง (ชาวบ้านเรียกเสาเข) แล้วเจ้าเมืองเดินทาง
กลบั ไป แตย่ ังไม่ไดส้ รา้ งเมอื งอยา่ งถาวรกเ็ กิดโรคระบาดเสียก่อน (ไข้ทรพิษ) แม่ทัพ นายกองจึงพาไพร่
พลอพยพกลับเมืองเขมร แต่ก็ยังมีผู้คนบางส่วนไม่กลับไปด้วย ได้สร้างหมู่บ้านอยู่บริเวณท่ีต้ังเมือง
(ชาวบ้านเหล่านี้เรียกสถานท่ีจะตั้งเมืองว่า โนนเจ้าเมือง) แต่ก็อาศัยอยู่ได้ไม่ถึง 3 ปี ก็อพยพหนีไป
เพราะโรคระบาดหนักข้ึน กาลต่อมาบริเวณแห่งน้ีเกิดความรกร้างว่างเปล่ามาเป็นเวลาประมาณ
896 ปี จนถึงปี พ.ศ. 1567 จึงมีพ่อค้าชาวเผ่ากุลา ซ่ึงเป็นชนเผ่าร่อนเร่ค้าขายไปเร่ือยทั่วอาณาจักร
ต่างๆ และได้เดินทางรอนแรมมาจากนครปัตตานี ซึ่งขณะน้ันได้เกิดสงครามชิงเมืองข้ึน เรือสาเภา
สินค้าของชาวเผ่า ได้ถูกเผาวอดวายหมด จึงพากันอพยพหนีตายมาถึงบริเวณน้ี (วัดหงษ์ในปัจจุบัน)
มาพบองค์พระเจ้าใหญ่ ประดิษฐานอยู่กลางปุา เกิดความศรัทธาจึงพร้อมใจกันที่จะอาศัยอยู่ตรงนี้
โดยพิจารณาตรงท่ีจะสร้างท่ีพักอาศัยของหัวหน้าเผ่า เป็นบริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ว่าตรงนั้นเป็นท่ี
ประดิษฐานพระเจ้าใหญ่ จึงพร้อมใจกันเคล่ือนย้ายองค์พระเจ้าใหญ่ไปทางทิศบูรพา ประมาณ 3 วา
อาศัยอยู่ได้ประมาณ 4 เดือน (มาอยู่คร้ังแรกเดือน 7 อพยพหนีเดือน 11) เกิดความแห้งแล้ง และมี
โรคระบาดอีก ทาให้หัวหน้าเผ่าต้องตายลง จึงพากันอพยพหนีตายไปท่ีเมืองสาเกตุนคร (จังหวัด
รอ้ ยเอด็ ในปจั จบุ ัน)

ต่อมาประมาณปีพุทธศักราช 2003 มีผู้คนเดินทางมาจากเมืองหลวงพระบางผ่านมา
ทางเมอื งชัยภูมิ และมผี ูค้ นเดินทางมาจากเมืองสาเกตุนคร (ช่วงเวลานั้นเกิดการรบพุ่งกันระหว่างเมือง
สาเกตุนครกับเมืองศรีเทพ) ท้ังสองกลุ่มได้เดินทางมาพบกันตรงบริเวณประดิษฐานพระเจ้าใหญ่
จงึ ร่วมกนั สร้างหมู่บ้านขน้ึ ณ บริเวณแห่งน้ี หลังจากตั้งหมูบ่ ้านได้ประมาณ 5 ปี คือปี พ.ศ. 2008 ก็ได้
ร่วมกันสร้างวัดข้ึน พอสร้างเสร็จได้เห็นหงส์ทองสองตัว (สองตัวเดิมที่ลงมากินน้าทุกปี) มาลงกินน้าท่ี
สระหงส์ จึงได้พร้อมใจกันต้ังชื่อว่า “วัดหงส์” ตามหงส์ทองคู่นั้น (ปัจจุบัน เขียนวัดหงษ์) ต่อมา
ประมาณปพี ุทธศกั ราช 2119 ได้เกิดโรคระบาดขนึ้ อกี (ไขท้ รพษิ ) ผคู้ นลม้ ตายกันเปน็ จานวนมาก จึงได้

30

พากันอพยพหนีตายอีกคร้ัง ต่อมาประมาณปีพุทธศักราช 2216 ทัพเขมรที่เคยมาและอพยพหนีไปได้
แตกทัพหนีตายมาอีก และได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ โนนเจ้าเมือง (ตรงท่ีเคยปักหลักเสาเมืองไว้ว่าจะ
สร้างเมอื งหรือเสาเข) และได้พากันบูรณะวัดหงส์ (ปจั จุบันเขียนวดั หงษ)์ โดยไดพ้ ากนั เคลอ่ื นยา้ ย
องค์พระเจ้าใหญอ่ ีกคร้งั โดยเคลือ่ นยา้ ยไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 3 วา แม่ทัพนายกอง
และผูค้ นอาศยั อยู่ไดป้ ระมาณ 1 เดือน กเ็ กิดโรคระบาดขึ้นอีก จึงยกทัพอพยพผู้คนหนีไปเมืองเขมรอีก
ประมาณ 7 ปีต่อมา คอื พ.ศ. 2223 ก็ได้มผี คู้ นเดนิ ทางมาจากเมอื งสาเกตุนคร (เมืองร้อยเอ็ดหรือเมือง
ศรีภูมิ) นาโดยหลวงปุูเวียง พระเถรธุดงคเจ้าจากถ้าภูเขาควายแห่งเมืองลาว มาสร้างหมู่บ้านและ
บูรณะวัดหงส์ (ปัจจุบัน เขียนวัดหงษ์) ขึ้นอีกคร้ัง โดยได้ทาการเคล่ือนพระเจ้าใหญ่อีกครั้ง ไปทางทิศ
ตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 5 วา (ตรงท่ีพระเจ้าใหญ่ประดิษฐานอยู่ในปัจจุบันน้ี ตรงที่แห่งนี้ใต้องค์
พระเจา้ ใหญ่เป็นรอยพระพุทธบาทของสมเด็จองค์ปฐม) หลวงปูุเวียงจาพรรษาอยู่ได้ 7 พรรษาก็ธุดงค์
กลบั ไปจาพรรษาอยู่ท่ีถ้าภูเขาควายได้ 1 พรรษา แล้วท่านก็ธุดงค์กลับมาวัดหงส์อีก และจาพรรษาอยู่
5 พรรษา ท่านก็อาพาธ จึงเดินทางโดยเกวียนไปละสังขารอยู่ที่ถ้าแห่งเมืองเชียงคาน ชาวบ้านก็อยู่
อย่างสงบร่มเย็นเรื่อยมา และมีพระสงฆ์จาพรรษาสืบต่อพระพุทธศาสนา เรื่อยมา จนถึงประมาณ
พุทธศักราช 2387 ชาวบ้านได้พบแรดใหญ่นอนตายอยู่หนองน้าห่างจากวัดไปทางทิศตะวันออกเฉียง
ใต้ประมาณ 3 เส้น จึงตัดเอานอมาแกะสลักเป็นพระพุทธรูปบูชานาคปรกหัวเดียว (หมายถึงความ
ร่มเย็น) ถวายให้เป็นพระพุทธรูปคู่บารมีพระเจ้าใหญ่ เรียกหนองน้านี้ว่า "หนองหัวแรด" และต้ังชื่อ
หมู่บ้านที่ยังไม่มีชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านหัวแรด" (บางคนเรียกเพี้ยนไปว่าบ้านหัวแรด) จนถึงปัจจุบันน้ี
ได้เปล่ยี นชอ่ื หมบู่ า้ นเป็น "บา้ นศรี ษะแรด" จนถึงปัจจบุ นั

อทิ ธิฤทธป์ิ าฏหิ าริยพ์ ระเจ้าใหญ่
1. การสาบานต่อหน้าองค์พระเจ้าใหญ่กรณีตกลงกันไม่ได้ระหว่างคู่กรณี ผู้ใดทา

ผิดจรงิ จะไดร้ บั โทษทกุ ครั้งที่สาบานกนั ทาให้ผกู้ ระทาผดิ เกดิ การหวาดกลัว
2. การดื่มน้าสาบานเลิกเหล้าหรือส่ิงเสพติด ถ้าผิดคาสาบาน จะมีอันเป็นไป

ทกุ ราย ถ้าปฏบิ ัติได้ชีวติ จะพบแตค่ วามรุง่ เรอื ง
3. การอธฐิ านขอในสิง่ ทีต่ นต้องการ กจ็ ะสมประสงค์
4. การหลบหลู่บุญบารมีขององค์พระเจ้าใหญ่ เช่น ขโมยส่ิงของบริวาร ไม่กราบ

ไหว้บชู า พูดจาหยาบคาย ไมเ่ คารพสถานที่ ชวี ิตจะพบแตค่ วามตกต่า ลาบาก หรอื ตายอย่างอนาถ
5. แคล้วคลาดปลอดภัย เม่ือใครก็ตามที่ศรัทธาองค์พระเจ้าใหญ่ถึงวาระท่ีคับขัน

ตกท่ีนัง่ ลาบาก หรอื เส่ียงอันตราย เม่ืออธิฐานขอพรองค์พระเจ้าใหญ่คุ้มครอง เมื่อนั้นบุญบารมีองค์
พระเจา้ ใหญ่จะคมุ้ ครองผู้น้ันใหแ้ คลว้ คลาดปลอดภยั ท้ังปวง

6. ดวงแก้วมรกต 3 ดวง จะปรากฏให้ผูม้ สี มาธิม่ันคง มีศีลธรรมอันดี เม่ือใครได้
พบเหน็ นั้นจะเป็นผทู้ ่มี ีบุญมากท่สี ุด และโชคดีมากท่สี ุด

7. พระพทุ ธองค์ พระพุทธโคตโม (พระสมณโคดม) จะเสด็จทรงอมุ้ บาตร ออกมา
จากองค์พระเจ้าใหญ่ ให้ผมู้ ีบญุ บารมีสมาธแิ ก่กลา้ ได้พบเหน็ และกราบไหวบ้ ูชา

31

การคน้ พบพระเจ้าใหญ่
1. ยุคสมัยทวารวดี (ประมาณ พ.ศ.1000 - 1600) ในปี พ.ศ.2513 ได้มีการ

ขดุ ดนิ รอบพระเจา้ ใหญ่เพ่ือทาการก่อสร้างวิหารใหม่ได้พบพระพิมพ์รวมปาง (เป็นแผ่น) สูงประมาณ
60-70 เซนติเมตร ถูกฝังไว้ตรงช่องซากประตูโบราณ พอดีมีฝรั่งท่านหน่ึงเคยมาดูและพูดว่า
เปน็ พระในสมยั ทวารวดเี นอ้ื สารดิ พระองค์นส้ี วยมาก ประมาณคา่ มิได้ สนั นิษฐานว่าน่าจะฝังไว้คอย
เฝูาองค์พระเจ้าใหญ่ชุมชนยุคนี้น่าจะเป็นยุคแรก ที่ค้นพบพระเจ้าใหญ่แล้วสร้างวิหารครอบองค์พระ
เจ้าใหญ่จึงพบพระยุคนี้ฝังไว้ในดิน (พระองค์น้ีได้หายจากวัดไปนานแล้วไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ขณะนี้
ทางวดั กาลงั ดาเนินการเพือ่ ใหไ้ ด้กลบั คนื มา)

2. ยุคขอมเรอื งอานาจ (ประมาณ พ.ศ. 1600-1700) ชุมชนในยุคน้ีเม่ือพบพระ
เจ้าใหญ่และรู้เรื่องราวของพระเจ้าใหญ่ จึงจารึกอักษรขอมไว้ เช่น จารึกบนแผ่นหลังองค์พระเจ้า
ใหญ่ จารึกบนแผ่นดินเผา จารึกบนแผ่นหนิ เป็นตน้

3. ยุคทา้ วศรีปาก (นา) (ประมาณ พ.ศ. 1790) เจ้าเมืองลาวและไพร่พลติดตาม
แรดใหญ่มาพบพระเจ้าใหญ่จากการขุดเพื่อบูรณะ เมื่อปี 2513 ได้พบพระพุทธรูปบูชาศิลปะลาว
มีทั้งเนื้อผง เน้ือดินเผา เนื้อสาริดและเนื้อทองคา วางเป็นระเบียบอยู่ในไหท้ังร้อยไห ในยุคนี้ยังได้
สร้างพระนอแรดและเจดีย์ (พระนอแรดชมได้บนวิหารพระเจ้าใหญ่ส่วนเจดีย์ถูกสร้างครอบไว้ด้วย
เจดยี ์ใหม่ตง้ั อยดู่ า้ นหลังวิหารพระเจ้าใหญ่)

4. ยุคพรานป่า 2 คน คือ อุปฮาดทาทอง (ยศ) และอุปฮาดเหล็กสะท้าน
ไกรสร (ประมาณ พ.ศ. 2200) ไดต้ ิดตางหงส์ตวั หน่งึ เขา้ มาในปุาบริเวณน้ี พอเข้ามาปรากฏว่าหงส์
ตัวน้ันหายไปอย่างลึกลับทั้งๆที่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด ทันไดนั้นท้ัง 2 ได้พบพระพุทธรูปขนาด
ใหญ่ ในลักษณะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน (คงจะเป็นเพราะดินปลวกถูกร่อนลงมาบางส่วนตามธรรมชาติ)
หยดุ ตามหงส์ และกลับไปชวนพ่ีนอ้ งมาตัง้ รกราก ณ ที่นี้

ภาพประกอบที่ 16 : พระเจา้ ใหญ่ วดั ศรี ษะแรด

32

บทท่ี 4
องคป์ ระกอบการแสดงและผลงาน

บทนี้ คณะผู้ศึกษาจะกล่าวถึงองค์ประกอบการแสดงและผลงานท่ีใช้ใน
การสร้างสรรค์ ท่ารา ชุด ฟูอนบูชาพระเทวฤทธ์ิอินทรวกร ประกอบด้วย ความรู้ทั่วไปเก่ียวกับ
นาฏศิลปพ์ นื้ บา้ น ความรู้ทวั่ ไปเกยี่ วกับนาฏยศัพท์ ความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกับดนตรี องค์ประกอบการแสดง
และผลงาน ได้แก่ เครื่องแต่งกายประกอบการแสดง ชุดฟูอนบูชาพระเทวฤทธ์ิอินทรวกร
เคร่อื งดนตรที ี่ใช้ประกอบการแสดง บทเพลง อปุ กรณ์การแสดง และผลงานการแสดง

ความรู้ท่วั ไปเกีย่ วกับนาฏศิลป์พน้ื บา้ น
นาฏศิลป์พื้นบ้าน หมายถึง ศิลปะการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้มีลีลา

อันงดงาม ได้แก่ ระบา รา ฟูอนต่างๆ ซึ่งเป็นท่ีนิยมเล่นหรือแสดงในท้องถิ่นในภาษาไทย มีคาว่า
“ระบา” “ราฟูอน” ท่ีใช้ในความหมายของการแสดงลีลานาฏศิลป์ไทย แต่ในท้องถิ่นภาคเหนือ จะใช้
คาว่า “ฟูอน” เป็นศัพท์เฉพาะถิ่น ศิลปะของการฟูอนในท้องถ่ิน จะมีดนตรีพื้นบ้านปะกอบซ่ึงอาจจะ
ใช้ท่วงทานองเป็นเพลงบรรเลงล้วนๆ หรือเป็นบทเพลงท่ีมีการขับร้องประกอบร่วมด้วยก็ได้
นอกจากนั้นการฟูอนในท้องถิ่น อาจเป็นองค์ประกอบของการเล่นพ้ืนบ้าน คือปรากฏอยู่ในมหรสพ
ต่างๆ ตัวอยา่ งเชน่ การฟูอนที่เป็นส่วนประกอบของการแสดง ซอของภาคเหนอื เป็นตน้

ลักษณะของนาฏศลิ ป์พนื้ บา้ น
1. นาฏศิลป์พื้นบ้านมักจะถ่ายทอดกันมาโดยการสังเกต จดจา เลียนแบบการบอก

เล่ากล่าวสอนโดยท่ีมไิ ดมีการจดบันทกึ ไวเ้ ป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื ตาราตา่ งๆ
2. นาฏศิลป์พื้นบ้าน มักมีความเรียบง่าย และมีอิสระในการแสดงออก ผู้ฟูอนรา

สามารถท่ีจะสร้างสรรค์พลิกแพลงท่วงท่าลีลาการเคล่ือนไหวออกไปได้ หลายทาง มิได้มีท่าแม่บทเป็น
หลักแบบนาฏศิลป์ท่ีเป็นแบบแผนอย่างของราชสานักหรือของกรมศิลปากร แต่มีลีลาท่ีงดงาม
สอดคลอ้ งกับทว่ งทานองเพลงพื้นบา้ น

3. รูปแบบท่าทางของนาฏศิลป์พ้ืนบ้านในยุคหลังต่อมา ได้ถูกกาหนดแบบแผนโดย
ผู้รู้ หรือได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของส่วนกลาง (เมืองหลวง) ทาให้แปรเปลี่ยนจากความเรียบง่าย
หรือลักษณะเสรีไปสู่ท่วงท่าที่เป็นแบบแผนมากขึ้น ดังเห็นได้จากปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น การท่ีครู
นาฏศิลป์ในสถาบันการศึกษาต่างๆ นาลักษณะการฟูอนของชาวบ้านไปประยุกต์ใหม่ ให้มีลีลางดงาม
เปน็ ข้ันตอนขน้ึ และกลายเป็นแบบแผนของชาวบ้านนาแบบอย่างมาปรับปรุงการฟูอนของตน ให้เป็น
ตามแบบแผนตามไปดว้ ย เป็นต้น

33

4. กาเนดิ ของนาฏศิลป์พ้นื บา้ นแต่ด้งั เดิมมกั จะเกีย่ วเนื่องกับกจิ กรรมอ่ืน เช่น ปรากฏ
ในพิธกี รรมทางศาสนา ความเชอื่ ประเพณบี างอย่าง มิไดม้ ีจดุ ประสงค์มุ่งความบันเทิงเป็นสาคัญมาตั้งแต่
แรก เชน่ การฟูอนผมี ด-ผีเม็ง มาจากพิธกี รรมบูชาผี เปน็ ตน้ การศึกษานาฏศลิ ปพ์ ้นื บา้ นจงึ ต้องรู้ถึง
ประวัติความเป็นมาหรือ จดุ หมายแตเ่ ดิมตลอดจนพัฒนาการทแี่ ปรเปลีย่ นมาส่รู ปู แบบในยุคปจั จบุ นั ด้วย

ความรู้ทวั่ ไปเกย่ี วกับนาฏยศพั ท์
การศึกษาทางด้านนาฏศิลป์ไทย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงโขน ละคร หรือระบาเบ็ดเตล็ด

ต่างๆก็ดี ท่าทางท่ีผู้แสดงแสดงออกมาน้ันย่อมมีความหมายเฉพาะ ยิ่งหากได้ศึกษาอย่างดีแล้วอาจทาให้
เข้าใจในเร่ืองการแสดงมากย่ิงข้ึนท้ังในตัวผู้แสดงเอง และผู้ที่ชมการแสดงนั้นๆ ส่ิงที่เข้ามาประกอบเป็น
ท่าทางนาฏศิลป์ไทยนั้นก็คือ เรื่องของนาฏยศัพท์ ซ้ึงแยกออกได้เป็นคาว่า “นาฏย” กับคาว่า “ศัพท์”
ดังนี้

นาฏย หมายถงึ เกี่ยวกบั การฟูอนรา เก่ียวกบั การละคร
ศัพท์ หมายถึง เสียง คา คายากท่ีต้องแปลเร่ือง เมื่อนาคาสองคามารวมกัน ทาให้ได้
ความหมายข้ึนมา
นาฏยศพั ท์ หมายถึง ศัพทท์ เี่ กีย่ วกับลักษณะท่าราท่ีใช้ในการฝึกหัด เพ่ือใช้ในการแสดง
โขน ละคร เป็นคาท่ีใชใ้ นวงการนาฏศิลปไ์ ทย สามารถสื่อความหมายกันไดท้ กุ ฝาุ ยในการแสดง

ประเภทของนาฏยศพั ท์
1. นามศัพท์ หมายถึง ศัพท์ท่ีเรียกชื่อท่ารา หรือชื่อท่าท่ีบอกอาการกระทาของผู้นั้น

เชน่ วง จีบ สลดั มือ คลายมอื กรายมือ ฉายมอื ปาดมือ กระทบ กระดก ยกเท้า ก้าวเท้า ประเท้า ตบเท้า
กระทุ้ง กะเทาะ จรดเท้า แตะเท้า ซอยเท้า ขย่ันเท้า ฉายเท้า สะดุดเท้า รวมเท้า โย้ตัว ยักตัว
ตีไหล่ กลอ่ มไหล่

2. กิรยิ าศพั ท์ หมายถงึ ศัพท์ทใี่ ชบ้ อกอาการกิรยิ าซ่งึ แบง่ ออกเป็น
2.1 ศัพท์เสริม หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เรียกเพ่ือปรับปรุงท่าให้ถูกต้อง

สวยงาม เช่น กันวง ลดวง ส่งมือ ดึงมือ หักข้อ หลบศอก เปิดคาง กดคาง ทรงตัว เผ่นตัว ดึงไหล
กดไหล่ ดงึ เอว กดเกลยี วขา้ ง ทบั ตัว หลบเขา่ ถีบเข่า แข่งเขา่ กนั เข่า เปิดสน้ ชกั สน้

2.2 ศัพท์เสื่อม หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เรียกช่ือท่าราหรือท่วงทีของผู้รา
ท่ีไม่ถูกต้องของผู้ราตามมาตรฐาน เพ่ือผู้รารู้ตัว และแก้ไขท่าทีของตนให้ดีขึ้น เช่น วงล้า วงคว่า
วงเหยียด วงหัก วงล้น คอดื่ม คางไก่ ฟาดคอ เกร็งคอ หอบไหล่ ทรุดตัว ขย่มตัว เหลี่ยมล้า ราแอ้
ราลน ราเล้ือย ราลา้ จงั หวะ ราหน่วงจังหวะ

2.3 นาฏยศัพท์เบ็ดเตล็ด หมายถึง ศัพท์ต่างๆท่ีใช้เรียกในภาษา
นาฏศิลป์ นอกเหนือจากนามศัพท์และกิริยาศัพท์ เช่น จีบยาว จีบสั้น ลักคอ เดินมือ เอียงทางวง
คืนตัว อ่อนเหลี่ยม เหล่ียมล่าง แม่ทา ท่า-ที ขึ้นท่า ยืนเข่า ทลายท่า นายโรง พระใหญ่ พระน้อย
นางกษัตรยิ ์ นางตลาด ผู้เมยี ยืนเครอ่ื ง ศัพท์

34

ลักษณะต่างๆของนาฏยศพั ท์ แบ่งตามการเคลือ่ นไหวส่วนตา่ งๆ ของรา่ งกาย ไดแ้ ก่
1. ส่วนศรี ษะ
เอียง คือ การเอียงศีรษะ ต้องกลมกลืนกับไหล่และลาตัวให้เป็นเส้นโค้ง ถ้าเอียงซ้าย

ใหห้ นา้ เบือนทางขวาเลก็ นอ้ ย ถ้าเอียงหนา้ ขวาเบือนหนา้ ไปทางซา้ ยเลก็ น้อย
ลักคอ คือ การเอียงคนละข้างกับไหล่ที่กด ถ้าเอียงซ้ายให้กดไหล่ขวา ถ้าขวาให้กด

ไหล่ซ้าย
เปิดคาง คือ ไม่ก้มหนา้ เปดิ ปลายคางและทอดสายตาตรงสงู เท่าระดับตาตวั เอง
กดคาง คือ ไมเ่ ชดิ หนา้ หรือเงยหนา้ มากเกินไป
2. สว่ นแขน
วง คือ การเหยียดมือให้ตึงทั้งห้าน้ิว แต่น้ิวหัวแม่มือหักเข้าหาฝุามือเล็กน้อย การต้ัง

วงที่สวยงาม ต้องหักข้อมือเข้าหาลาแขนให้มาก ทอดลาแขนให้ส่วนโค้งพองามและงอศอกเล็กน้อย
วงแบ่งออกเป็น

วงกลาง คอื การยกส่วนโค้งของลาแขนให้ปลายน้ิวสูงระดับไหล่ ลาแขนส่วนบนลาด
กว่าวงบน

วงหน้า คือ ส่วนโค้งของลาแขนท่ีทอดโค้งอยู่ข้างหน้าวง พระผายกว้างกว่านาง
ปลายนว้ิ อยรู่ ะดบั แก้ม วงนางปลายนิว้ อยู่ระดับปาก

วงพเิ ศษ คือ อยู่ระดับวงบนและวงกลาง
วงบัวบาน คือ ยกแขนขึ้นข้างลาตัวให้ศอกสูงระดับไหล่หักศอกให้แขนท่อนล่างพัก
เข้าหาตัว ตง้ั ฉากกบั แขนทอ่ นบน มอื หงายปลายนิ้วชไี้ ปข้างๆ วงตัวนางจะแคบกว่าตวั พระ
วงล่าง คือ การต้ังวงระดับต่าท่ีสุด โดยทอดส่วนโค้งของลาแขนลงข้างล่างอยู่ระดับ
เอว โดยตั้งมือตรง
3.สว่ นมอื
มือแบ คือ น้ิวช้ี กลาง นาง ก้อย ติดกัน ตึงนิ้ว หัวแม่มือกางหลบไปทางฝุามือ
หกั ข้อมอื ไปทางหลงั มือ แต่มบี างท่าทีห่ ักข้อมอื ไปทางฝุามือ เช่น ทา่ ปอู งหนา้
มือจีบ คือ การกรีดนิว้ โดยเอาน้วิ ช้ีและน้วิ หวั แมม่ อื จรดกนั ให้ปลายน้วิ หัวแม่มือจรด
ขอ้ แรกของปลายน้ิวช้ี ให้ติงน้ิวกลาง นาง ก้อย กรดี ห่างกนั หกั ข้อมือไปทางฝาุ มือ
จบี แบ่งเป็น 5 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่
จีบหงาย คือ การหงายมือให้ปลายน้ิวช้ีข้ึน ถ้าอยู่ระดับหน้าท้อง เรียกว่าจีบหงาย
ชายพก
จบี คว่า คอื การคว่าฝุามือให้ปลายนิ้วชีล้ ง หักข้อมอื เขา้ หาลาแขน
จบี ส่งหลัง คือ การส่งแขนไปข้างหลัง ตึงแขน พลกิ ขอ้ มอื ใหป้ ลายน้ิวชี้ขึ้นแขนตึงและ
สง่ แขนใหส้ งู ไปดา้ นหลงั

35

จบี ปรกหน้า คือ การจีบท่ีคล้ายกับจีบหงาย แต่หักจีบเข้าหาลาตัวด้านหน้าทั้งและมือ
ชูอยดู่ ้านหน้า ต้งั ลาแขนขึ้น ทามมุ ท่ีข้อพับตรงศอก หนั จีบเขา้ หาหน้าผาก

จีบปรกข้าง คือ การจีบทีค่ ล้ายกับจีบปรกหน้า แต่หันจบี เขา้ แงศ่ ีรษะ ลาแขนอยู่ข้างๆ
ระดบั เดยี วกบั วงบน

จบี ล่อแก้ว คือ ลักษณะกิริยาท่าทางคล้ายจีบ ใช้นิ้วหัวแม่มือกดน้ิวข้อท่ี1ของนิ้วกลาง
หักๆปลายนว้ิ หัวแมม่ อื คลา้ ยวงแหวน นวิ้ ท่เี หลือเหยียดตึง หักขอ้ มือเข้าหาลาแขน

4.สว่ นเข่าและขา
เหล่ืยม คือ ลักษณะของเข่าที่แบะห่างกัน เม่ือก้าวเท้าพระต้องกันเข่าให้เหล่ียมกว้าง
สว่ นนางตอ้ งกา้ วข้าง ต้องหลบเขา่ ไมใ่ ห้มีเหลี่ยม
จรดเท้า คือ อาการของเท้าข้างใดข้างหน่ึงวางอยู่ข้างหน้าน้าหนักตัวจะอยู่ที่เท้าหลัง
เท้าหนา้ จะใชเ้ พียงปลายจมูกเท้าแตะเบาๆไว้กบั พืน้
แตะเทา้ คือ การใช้ส่วนของจมูกเท้าแตะพื้น แล้วว่ิงหรือก้าว ขณะท่ีก้าวส่วนอื่นๆของ
เทา้ ถึงพืน้ ดว้ ย
ซอยเทา้ คือ กริ ิยาท่ใี ช้จมกู เท้าวางกบั พน้ื ยกสน้ เท้าเลก็ นอ้ ยทง้ั 1 ข้างแลว้ ยา่ ซ้าย-ขวา
ถีๆ่ จะอยกู่ ับทห่ี รอื เคลือ่ นทไ่ี ด้
ขยั่นเท้า คือ เหมือนซอยเท้าต่างกันท่ี ขยั่นเท้าต้องไขว้เท้าแล้วทากิริยาเหมือนซอย
เทา้ ถ้าขยน่ั เคล่อื นท่ีไปขวาให้เท้าซา้ ยอยหู่ น้า ถา้ ขยน่ั เคลอื่ นที่ไปซ้ายใหเ้ ท้าขวาอย่หู น้า
ฉายเท้า คือ กิริยาที่ก้าวหน้าแล้วต้องการพักเท้าท่ีก้าวมาพักไว้ข้างๆ ให้จมูกเท้าจรด
พน้ื ไว้ เผยอส้นนดิ หน่อยแลว้ ลากมาพักไว้ในลกั ษณะเหลื่อมเทา้ โดยหนั ปลายเท้าทฉี่ ายมาให้อย่ดู า้ นขา้ ง
ประเท้า คือ อาการที่สืบเนื่องจากการจรดเท้า โดยยกจมูกเท้าข้ึนใช้ส้นเท้าวางกับพื้น
ยอ่ เขา่ ลงพร้อมท้งั แตะจมกู เท้าลงกับพ้ืน แล้วยกเทา้ ขึน้
ตบเทา้ คอื กริ ยิ าของการใชเ้ ท้าคลา้ ยกบั ประเท้า ไม่ต้องยกเท้าขึ้นห่มเข่าตามจังหวะที่
ตบเท้า ตบเท้าอยตู่ ลอดเวลา
ยกเท้า คือ การยกเทา้ ขึน้ ไวข้ ้างหนา้ เชดิ ปลายเท้าให้ตึงหักข้อเท้าเข้าหาลาขา ตัวพระ
กนั เข่าออกไปขา้ งๆ ส่วนสงู ระดบั เขา่ ข้างทย่ี ืน ตวั นางไมต่ ้องกันเข่า ส่วนสูงอยู่ต่ากว่าเข่าข้างท่ียืน ชักส้น
เท้าและเชดิ ปลายนวิ้
5.กา้ วเทา้
ก้าวหน้า คือ การวางฝุาเท้าบนพื้นข้างหน้า โดยวางส้นเท้าลงก่อน ตัวพระจะก้าวเท้า
ไปขา้ งๆตวั เล็กนอ้ ย เฉยี งปลายเทา้ ไปทางน้วิ กอ้ ย กันเข่าแบะให้ได้เหลี่ยม ส่วนตัวนางก้าวลงข้างหน้าไม่
ต้องกนั เข่า ปลายเทา้ เฉยี งไปทางน้วิ กอ้ ยเลก็ นอ้ ย
ก้าวข้าง คือ การวางเท้าไปข้างๆตัว ปลายเท้าเฉียงไปทางนิ้วก้อย ถ้าเป็นตัวนางจะ
หลบเขา่ ตามไปดว้ ย

36

กระทุ้งเท้า คือ วางเท้าไว้ข้างหลังด้วยจมูกเท้าแล้วใช้จมูกเท้ากระทุ้งลงกับพ้ืนแล้ว
กระดกขึ้นหรอื ยกไปขา้ งหน้า

กะเทาะเท้า คือ อาการของการใช้เท้าคล้ายกระทุ้ง ไม่ต้องกระดกเท้า ใช้จมูกเท้า
กระทงุ้ เป็นจังหวะหลายๆครั้ง

กระดกเทา้ คือ กระดกหลังกระทุ้งเทา้ แล้วถบี เข่าไปข้างหลังมากๆ ใช้เข่าทั้งสองข้าง
แยกห่างจากกนั ใชส้ น้ เทา้ ชดิ กันมากท่ีสดุ หักปลายเทา้ ลงย่อเขา่ ทย่ี นื ตวั พระต้องกันเขา่ ดว้ ย

กระดกเสี้ยว คอื คลา้ ยกระดกหลัง แต่เบ่ียงขามาข้างๆ และไม่ต้องกระทุ้งเท้า มักทา
ต่อเนอื่ งจากการก้าวเทา้ หรอื ท่านง่ั กระดกเท้า

ความรู้ทวั่ ไปเกยี่ วกบั ดนตรี
ดนตรี เปน็ สิง่ สร้างสรรค์จรรโลงโลก เปน็ มรดกของชนชาติน้ันๆ ทุกชนชาติ ทุกภาษา

ย่อมมดี นตรีเป็นเอกลักษณ์ประจาชาติ ในเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันเอง บ้างก็เอาไว้ ขับกล่อมเอาไว้
ผ่อนคลายความตรึงเครียด ไว้เป็นส่ือเป็นตัวแทนในส่ิงต่างๆ เป็นหน้าเป็นตา ของเมืองน้ันๆและใช้ใน
การต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองด้วย ซึ่งดนตรีมีวิวัฒนาการและสะสม ภูมิปัญญาของชาวบ้าน ไม่ว่าจะ
เป็นดนตรพี น้ื บ้าน ดนตรคี ลาสสิก ดนตรีแจ๊ส ดนตรีบ๊อบแม้กระทั่งดนตรีต่างๆในโลกน้ีก็ตาม ล้วนมา
จากพื้นฐานทางดนตรีด้วยกันท้ังสิ้น ดนตรีจึงเป็นภาษาสากล ท่ีสามารถทาให้มนุษย์เราทุกชนชาติ
เข้าใจกันและกันได้ ผู้ท่ีสามารถเข้าใจดนตรีได้เป็นอย่างดี และลึกซ้ึงย่อมได้เปรียบคนอื่น ท้ังในด้าน
คบหาสมาคมกับผู้อื่นและด้านสติปัญญา เพราะวิชาดนตรีสามารถกล่อมเกลาจิตใจคนได้เป็นอย่างดี
ไมว่ ่าจะเปน็ ดนตรขี องชนชาติใดๆ ในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีคุณประโยชน์ด้วยกันทั้งส้ิน มนุษย์เราเร่ิมแรง
ตั้งแต่มีชีวิตขึ้น มาท่ามกลางส่ิงแวดล้อมและเหตุการณ์ ที่เข้ามากระทบในรูปแบบต่างๆ น้ันสามารถ
ผ่านเข้าสู่ระบบของร่างกาย โดยผ่านสื่อท่ีซึมซาบเข้าสู่กระบวนการสมอง ซ่ึงตัวเราเองได้สัมผัสและ
เขา้ ใจได้โดยง่ายนน่ั ก็คอื เสยี งดนตรี ดงั คาที่ว่า ดนตรีเป็นภาษาที่คนท่วั โลกเข้าใจได้ตรงกันได้มากที่สุด
ดังนั้น ดนตรีจึงเป็นส่ือท่ีถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดตลอดจนความรู้ความบันเทิง และส่ิงท่ี
สาคัญท่สี ุดคือสามารถขดั เกลานิสยั และจติ ใจของมนุษยไ์ ด้เป็นอย่างดี ดนตรีจึงจัดเป็นส่ิงสาคัญสาหรับ
การสือ่ สารในเชงิ สรา้ งสรรค์ นับว่าเป็นสื่อสากลที่สามารถติดต่อสื่อสารได้ในระดับที่กว้างขวางและลึก
ซึ่งจากอดีตจนถึงปัจจุบันชีวิตของมนุษย์เรามีความเก่ียวพันกับดนตรีต้ังแต่แรก เกิดจนตาย ไม่ว่าจะ
เปน็ ดนตรจี ากเพลงกล่อมเด็ก ดนตรีจากพธิ กี รรมทางศาสนา ล้วนแต่มีความจาเป็นท้ังสิ้น ซ่ึงมนุษย์ทุก
เชื้อชาติทุกวรรณะสามารถฟงั และเขา้ ใจได้โดยไมต่ อ้ งอธบิ าย ดนตรียงั กอ่ ใหเ้ กดิ อารมณ์คล้อยตาม เกิด
ความสบายใจผ่อนคลายความตึงเครียด นอกจากนี้ยังเป็นสื่อท่ีสะท้อนสังคมเป็นการแสดงออกทาง
ศิลปะถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆในสังคมออกมาในรูปของ บทเพลงท้ังทางตรงและทางอ้อม ดนตรี
จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความละเอียดอ่อน งดงาม และมีคุณค่า ดารงความเป็นเอกลักษณ์มา
ต้ังแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันโดยเป็นท่ียอมรับ และเช่ือถือกันว่าดนตรีเป็นภาษาชนิดหน่ึงของมนุษย์
ชาติใดที่มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็นของตนเอง ก็มักจะมีดนตรีเป็นของตนด้วย เพราะดนตรีและ
เพลงร้องเปน็ สงิ่ ทีพ่ ฒั นามากนั กับภาษาพูดของแตล่ ะประเทศน้ันๆ เครอ่ื งดนตรี นา่ จะมลี ักษณะ

37

การเกดิ ในแนวเดียวกนั คือ เริม่ ตน้ ทก่ี ารตี นอกจากนน้ั การเปาุ จงึ เกดิ ขึ้นตามมาเพราะคนเราต้องหายใจ
จนแมแ้ ต่การพูด การผวิ ปาก กค็ อื การเปุาดว้ ย และการทีม่ นุษยเ์ ราใชธ้ นใู นการลา่ สัตว์เพอื่ หาเลีย้ งชีพ
การดดี ของธนูทาใหเ้ กดิ เสียงเปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการหาวัสดใุ นการดดี ทาใหเ้ ปน็ ดนตรีหรอื เสยี งดว้ ย
การตั้งสายที่สงู ตา่ ตา่ งกนั ออกไป จนเกิดเปน็ เคร่อื งดนตรปี ระเภทดีด จนเมอื่ มนุษยเ์ ราไดย้ ินเสียงกอไผ่
เสยี ดสีกันเปน็ เสยี ง จงึ ได้มีการพฒั นาสร้างคนั ชักสาหรบั สีข้ึน ซึ่งกก็ ลายเป็นเครอ่ื งดนตรปี ระเภทสี
ขนึ้ มาในทีส่ ดุ

ดนตรพี ืน้ บา้ นภาคกลาง
ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภท ดีด สี ตี เปุา โดยเคร่ืองดีดได้แก่ จะเข้ และ

จ้องหน่อง เครื่องสีได้แก่ ซอด้วงและซออู้ เคร่ืองตีได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดทอง ระนาด
ทมุ้ เล็ก ฆอ้ ง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบและกรับ เครื่องเปุาได้แก่ ขลุ่ยและป่ี ลักษณะเด่นของดนตรีพื้นบ้านภาค
กลาง คือ วงป่ีพาทย์ของภคกลางจะมีการพัฒนาในลักษณะผสมผสานกับดนตรีหลวงโยมีการพัฒนา
จากดนตรีปี่และกลองเป็นหลักมาเป็นระนาดและฆ้องวงพร้อมทั้งเพิ่มเรื่องดนตรีมากขึ้นจนเป็นวง
ดนตรีท่ีมีขนาดใหญ่ รวมท้ังยังมีการขับร้องท่ีคล้ายคลึงกับวงป่ีพาทย์ของหลวง ซ่ึงเป็นผลมาจากการ
ถ่ายโยงทางวัฒนธรรมระหวา่ งวัฒนธรรมราษฎร์และหลวง

ดนตรพี ้นื บ้านภาคเหนือ
ในยุคแรกเป็นเคร่ืองดนตรีประเภทตี ได้แก่ ท่อนไม้กลวง ท่ีใช้ประกอบพิธีกรรม

ในเรื่อภตู ผปี ศี าจและเจ้าปุา เจา้ เขา จากนั้น ได้มกี ารพัฒนาโดยนาหนังสัตว์มาขึงท่ีปากท่อนไม้กลวงไว้
กลายเป็นเคร่ืองดนตรีที่เรียกว่ากลอง ต่อมามีการพัฒนารูปแบบของกลองให้แตกต่างออกไป เช่น
กลองท่ขี งึ ปิดด้วยหนังสัตว์เพียงหน้าเดียว ได้แก่ กลองรามะนา กลองยาว กลองแอว และกลองท่ี
ขึงด้วยหนังสัตว์ทั้งสองหน้า ได้แก่ กลองมองเซิง กลองสองหน้า และตะโพนมอญ นอกจากน้ียังมี
เครื่องดนตรีที่ทาด้วยโลหะ เช่น ฆ้อง ฉิ่ง ฉาบ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทเปุา ได้แก่ ขลุ่ย ย่ะเอ้
ปี่แน ปี่มอญ ปี่สรไน และเครื่องสีได้แก่ สะล้อลูก 5 สะล้อลูก 4 และสะล้อ 3 สาย และเครื่อง
ดีด ได้แก่ พณิ เป๊ียะ และซึง 3 ขนาด คือ ซึงน้อย ซึงกลาง และซึงใหญ่ สาหรับลักษณะเด่นของ
ดนตรีพ้ืนบ้านภาคเหนือ คือ มีการนาเคร่ืองดนตรีประเภทดีด สี ตี เปุา มาผสมวงกันให้มีความ
สมบูรณ์และไพเราะ โดยเฉพาะในด้านสาเนียงและทานองที่พร้ิวไหวตามบรรยากาศ ความนุ่มนวล
อ่อนละมนุ ของธรรมชาติ นอกจากน้ยี ังมีการผสมทางวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ และยังเชื่อมโยงกับ
วัฒนธรรมทางราชสานักทาให้เกิดการถ่ายโยงและการบรรเลงได้ทั้งในราชสานักและคุ้มและวัง
และแบบพนื้ บ้านมเี อกลักษณเ์ ฉพาะถ่ินดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ มีลักษณะเรียบง่าย มีการประดิษฐ์เครื่อง
ดนตรีจากวัสดุใกล้ตวั

38

ดนตรีพนื้ บา้ นภาคใต้
น่าจะมาจากพวกเงาซาไก ที่ใช้ไม้ไผ่ลาขนาดต่างๆ กันตัดออกมาเป็นท่อนส้ันบ้าง

ยาวบ้าง แล้วตัดปากของกระบอกไม้ไผ่ให้ตรงหรือเฉียงพร้อมกับหุ้มด้วยใบไม้หรือกาบของต้นพืช
ใช้ตีประกอบการขับร้องและเต้นรา จากน้ันก็ได้มีการพัฒนามาเป็นเคร่ืองดนตรีแตร กรับ กลองชนิด
ต่างๆ เช่น รามะนา ได้รับอิทธิพลมาจากชาวมายู กลองชาตรีหรือกลองตุ๊กท่ีใช้บรรเลงประกอบ
การแสดงมโนรา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย ตลอดจนเคร่ืองเปุาเช่น ป่ีนอก และ เคร่ืองสี เช่น
ซอด้วง ซออู้รวมท้ัความเจริญทางศิลปะการแสดง และดนตรีของเมืองนครศรีธรรมราช จนได้ช่ือว่า
ละคร ในสมัยกรุงธนบุรีน้ันล้วนได้รับอิทธิพลมาจากภาคกลาง นอกจากนี้ยังมีการบรรเลงดนตรี
พ้ืนบา้ นภาคใต้ ประกอบดว้ ยการละเล่นแสดงตา่ งๆ เชน่ ดนตรโี นรา ดนตรีหนังตะลุง ที่มีเครื่องดนตรี
หลักคือ กลอง โหมง่ ฉิง่ กรบั ปี่ และดนตรีรองเง็ง ที่ได้รับแบบมาจากการเต้นราของชาวสเปนหรือโป
ตุเกสมาตัง้ แต่สมยั อยุธยา โดยมีการบรรเลงดนตรีท่ปี ระกอบดว้ ยไวโอลิน รามะนา ฆ้อง หรอื บางคณะ
ท่ีเพิ่มกีต้าร์เข้าไปด้วย ซึ่งดนตรีรองเง็งน้ีเป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยมุสลิมตามจังหวัดชายแดนใกล้เคียง
หลายเชือ้ ชาติ จนเกิดการผสมผสานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท่ีแตกต่างจากภาคอื่นๆ โดยเฉพาะในเร่ือง
ของการเน้นจังหวะและลีลาทีเ่ รง่ เรา้ หนกั แน่น และคกึ คกั เป็นต้น

ดนตรีพ้ืนบ้านภาคอีสาน
มีวิวัฒนาการมายาวนานนับพันปี เร่ิมจากในระยะต้น มีการใช้วัสดุท้องถิ่นมาทา

เลยี นเสียงจากธรรมชาติ ปาุ เขา เสียงลมพัดใบไม้ไหว เสียงน้าตก เสียงฝนตก ซึ้งส่วนใหญ่จะเป็นเสียง
สัน้ ไมก่ อ้ ง ในระยะตอ่ มาไดใ้ ชว่ ัสดุพืน้ เมืองจากธรรมชาติมาเปุา เช่น ใบไม้ ผิวไม้ ต้นหญ้า ปล้องไม้ไผ่
ทาให้เสียงมีความพล้ิวยาวขึ้น จนในระยะท่ี3 ได้นาหนังสัตว์และเคร่ืองหนังมาใช้เป็นวัสดุสร้างเคร่ือง
ดนตรีที่มีความไพเราะและรูปร่างสวยงามข้ึน เช่น กรับ เกราะ ระนาด ฆ้อง กลอง โปง ปี่ พิณ
โปงลาง แคน เป็นต้น โดยนามาผสานเป็นวงดนตรีพื้นบ้านภาคอีสานที่มีลักษณะเฉพาะตามพื้นท่ี
3 คือ กลุม่ อีสานเหนอื และอสี บานกลางจะนยิ มดนตรหี มอลาทม่ี ีการเปาุ แคนและดีดพิณประสานเสียง
ร่วมกับการขับร้อง ส่วนกลุ่มอีสานใต้จะนิยมดนตรีกันตรึมซ่ึงเป็นดนตรีท่ีบรรเลงที่ไพเราะของชาว
อีสานใต้ท่ีมีเชื้อสายเขมร นอกจากนี้ยังมีวงพิณพาทย์และวงมโหรีด้วยชาวบ้านแต่ละกลุ่มก็จะบรรเลง
ดนตรีเหล่านี้กันเพื่อ ความสนุกสนานครื้นเครง ใช้ประกอบการละเล่น การแสดง และพิธีกรรมต่างๆ
เชน่ ลาผีฟูา ท่ีใชแ้ คนเปาุ ในการรักษาโรคและงานศพแบบอีสานท่ีใช้วงตุ้มโมงบรรเลง นับเป็นลักษณะ
เดน่ ของดนตรพี ้ืนบา้ นอีสานท่ีแตกตา่ งจากภาคอ่นื

39

องคป์ ระกอบการแสดงและผลงาน
การแต่งกายชุด ฟูอนบูชาพระเทวฤทธ์ิอินทรวกร ผู้ศึกษาได้นาเอกลักษณ์ใน

การแต่งกายของชาวบ้านอาเภอพุทไธสง มาปรับให้เข้ากับการแสดงนาฏศิลป์พ้ืนบ้านโดยยึดหลัก
ตามแบบนาฏศิลป์ และสื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิติในการเข้าวัดทาบุญ การแต่งกายจะเน้นความเรียบง่าย
และจะยดึ ตามเอกลกั ษณใ์ นแตล่ ะท้องถ่นิ น้ันๆ

เครือ่ งแตง่ กายประกอบการแสดง ชดุ ฟอู นบูชาพระเทวฤทธอ์ิ นิ ทรวกร

ภาพประกอบท่ี 17

องค์ประกอบของเครอ่ื งแตง่ กาย 2. ผ้าซน่ิ ตนี แดง
1. เส้ือแขนกระบอก 4. เข็มขดั เงิน
3. สไบชดิ สแี ดง 6. สร้อยคอ
5. สังวาล 8. ดอกไม้
7. ตา่ งหู

40

ภาพประกอบ 18 : เสอื้ แขนกระบอก
เส้ือแขนกระบอก เปน็ เสื้อคอจีนแขนยาวปดิ ถงึ ข้อแขน ผ่าหน้ามกี ระดมุ 6 เมด็ สีขาว

ภาพประกอบ 19 : ผ้าซิน่ ตนี แดง
ผ้าซิ่นตีนแดง ผ้าทใ่ี ช้นุ่งปิดอวัยวะส่วนลา่ งตงั้ แต่เอวถงึ ข้อเทา้ มีลกั ษณะเป็นผ้าฝาู ยมดั หม่สี เี ขยี วดา

ตนี สแี ดง

41

ภาพประกอบ 20 : สไบชดิ สแี ดง
สไบชดิ สแี ดง ผ้าทีน่ ามาพาดไหล่ พน้ื สีเลอื ดหมมู ีลายตลอดทง้ั ผืน ความยาวประมาณ 2 เมตร 50

เซนติเมตร ส่วนปลายท้ัง 2 มชี ายครุย

ภาพประกอบ 21 : เข็มขดั เงนิ
เข็มขดั เงนิ องคป์ ระกอบของเครื่องแต่งกายที่ใชร้ ดั เอว เป็นโลหะสีเงนิ มีลกั ษณะเป็นรางรถไฟ

มตี ะขอสาหรบั เกาะ

ภาพประกอบ 22 : สงั วาล
สังวาล องค์ประกอบเคร่อื งแต่งกายทีใ่ ช้ห้อยประดับพาดทับไหลซ่ า้ ยผ่านลงมาระหวา่ งชว่ งอก

ลักษณะเปน็ ประเกือมสเี งิน

42

ภาพประกอบ 23 : สรอ้ ยคอ
สร้อยคอ องคป์ ระกอบของเครื่องแต่งกายที่ใช้ประดับลาคอ พาดทับไหลผ่ า่ นลงมาระหว่างทรวงอก

มีลักษณะเป็นเครอ่ื งเงิน ตกแต่งลวดลายพร้อมดว้ ยตงุ้ ต้ิงสีเงนิ หอ้ ยลงมา

ภาพประกอบ 24 : ต่างหู
ต่างหู องคป์ ระกอบของเคร่ืองแต่งกายท่ใี ช้ประดับต่ิงหู มีลกั ษณะเหมอื นกบั สร้อยคอ มีสเี งนิ

ภาพประกอบ 25 : ดอกไม้
ดอกไม้ องค์ประกอบของเครื่องแต่งกายทใ่ี ช้ประดับทดั หูขา้ งซา้ ย

43

เคร่ืองดนตรีทใ่ี ช้ประกอบการแสดง
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ชุด ฟูอนนมัสการพระเทวฤทธิ์อินทรวกร

ในการแสดงชุดนีค้ ณะผศู้ ึกษาได้เลือกใช้ วงโปงลาง โดยประกอบด้วยเครื่องดนตรีได้แก่ โปงลาง พิณ
แคน โหวด กลองหาง กลองต้มุ ฉาบเลก็

ภาพประกอบ 26 : เคร่อื งดนตรีวงโปงลาง

ภาพประกอบ 27 : โปงลาง
โปงลาง หรือขอลอ จัดเป็นเคร่ืองดนตรีประเภทหนึ่งมีลักษณะคล้ายระนาด
ส่วนประกอบที่สาคัญคือ ลูกโปงลางซ่ึงเดิมมี 5 – 7 ลูกปัจจุบันนิยมทาเป็น 12 ลูก โปงลางทาด้วยไม้
เนื้อแข็งนิยมใช้ไม้หมากเล่ือมและไม้หมากหวด มีขนาดใหญ่โปงลางจะมีเสียง 5 เสียงเท่านั้น เสียงสูง
ต่าตามขนาดของไม้ ใชเ้ ชือกรอ้ ยติดกนั เปน็ ผืนนิยมแขวนด้านเสียงต่าไวด้ ้านบนเสยี งสูงทอดเอียงลง

44

ภาพประกอบ 28 : พณิ
พิณ จัดเป็นเคร่ืองดนตรีประเภทดีด มีส่วนประกอบท่ีสาคัญ 5 ส่วน คือ
กะโหลก คันพิณ ลูกบิดสาย และไม้ดีดกะโหลกและคันพิณ นิยมทามาจากไม้ชิ้นเดียวกัน ส่วน
ใหญ่เปน็ ไม้ขนนุ หรือไมป้ ระดู่

ภาพประกอบ 29 : แคน
แคน จัดเป็นเครื่องเปุาชนิดหนึ่ง เป็นเครื่องดนตรีท่ีสาคัญท่ีสุด มีเสียงคล้าย
ออร์แกน แคนมีสว่ นประกอบที่สาคัญ คือ เตา้ แคน ไมก้ แู่ คน ลิ้นแคน ขี้สิ่วและมีดเจาะเป็นโพงเพ่ือ
สอดลูกคนเรียงไว้ในเต้าแคน เจาะส่วนหน้าเป็นรูปเปุาเพื่อบังคับลมเปุาให้กระจายไปยังลิ้นแคนอย่าง
ท่ัวถึง ไม้กู่แคน ทาด้วยไม้ซางหรือไม้ลวกเล็กๆ ที่มีขนาดและความหนาพอเหมาะและลดหลั่นกัน
นามาเจาะใหท้ ะลขุ ้อ ตัดให้ตรง ตัดใหไ้ ดข้ นาดส้ัน ยาวได้สัดส่วน เจาะรูสาหรับใส่ล้ิน ลิ้นแคนทามา
จากโลหะทองแดง หรือทองแดงผสมเงิน นามาหลอมและนามาตีเป็นแผ่น ให้ได้ขนาดและความหนา
บางตามต้องการ นามาตัดให้ได้ตามขนาดต่างๆ แล้วนาไปสอดใส่ในกู่แคนแต่ละอันตามแผนผังเสียง
ของแคน

45

ภาพประกอบที่ 30 : โหวด
โหวด เป็นเคร่ืองเปุาไม่มีลิ้น จัดอยู่ในประเภทขลุ่ยแต่โหวดไม่มีรูพับจะมีเสียง
ลดหลั่นกันตามลักษณะของเสียงดนตรี โหวดประกอบด้วยส่วนสาคัญ 3 ส่วน คือ ลูกโหวด ไม้แกน
และข้ีสูด ลูกโหวดทาจากไม้ซางที่คนอีสานเรียกว่าไมเ้ ฮี้ยหรอื ไม้กู่แกน นามาตัดให้ได้ขนาดลดหล่ันกัน
เป็นท่อตามโครงสร้างของเสียงแล้วมาเรียงตัดไว้กับแกนไม้ไผ่โดยใช้ขี้สูดเป็นกาวเช่ือมตัดกันไว้ขี้สูด
ส่วนหนึ่งใช้อุดรูลูกโหวดด้านล่างเพ่ือเป็นเคร่ืองปรับระดับเสียงและข้ีสูดอีกส่วนหน่ึงใช้ติดไว้ท่ีตรงหัว
ของโหวดเพื่อกันกระแทกเวลาโหวดตกกระทบกัน ปัจจุบันใช้รองปากเวลาเปุาเพื่อหันโหวดไปมาได้
สะดวก

ภาพประกอบท่ี 31 : กลองหาง
กลองหาง เป็นกลองขึงหนังหน้าเดียว หุ่นกลองทาจากไม้เนื้ออ่อนที่มีน้าหนัก
เบา เชน่ ไม้ขนนุ นามาขุดกรวงภายใน โดยปลายด้านหนึ่งจะบานออกคล้ายดอกลาโพง เรียกว่า
“ตีนกลอง” ตอนกลางเรียวคอด ด้านบน ปุองออกเป็นกล่องเสียง ขึงหนังขึ้นหน้าด้วยสายเร่งท่ี
ทาจากเชือกชนิดตา่ งๆ เชน่ หวาย หนงั ไนล่อน

46

ภาพประกอบท่ี 32 : กลองต้มุ
กลองตุ้ม เป็นกลองสองหน้าคล้ายกับตะโพน แต่ต่างจากตะโพนตรงท่ีหน้ากลองตุ้ม
ทั้งสองหน้ามขี นาดเท่ากัน ส่วนใหญ่ใช้ตีประกอบกับกลองยาวในขบวนแห่หรือขบวนฟูอนในเทศกาล
ต่างๆ

ภาพประกอบที่ 33 : ฉาบเล็ก
ฉาบเล็ก เป็นเคร่ืองประกอบจังหวะท่ีทาด้วยโลหะ การจับฉาบเล็ก มือขวาใช้หัว
แม่มือและนวิ้ ชี้จับเชือก ตรงส่วนท่ีติดกับฉาบมือซ้ายจับเหมือนมือขวาแต่อยู่ในลักษณะกามือให้ฉาบ
วางบนมือซ้าย

47

อุปกรณป์ ระกอบการแสดง

ภาพประกอบท่ี 34 : พานลาวสีเงนิ
พานลาวสีเงิน ใช้สาหรับใส่รูปเทียนดอกไม้ เพื่อนาไปบุชากราบไหว้พระเจ้าใหญ่
หรอื พระเทวฤทธ์ิอินทรวกร
ผลงานการแสดง
การนาเสนอผลงานการแสดงความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ทางด้านนาฏศิลป์ พ้ืนบ้าน
ชดุ ฟอู นบชู าพระเทวฤทธ์อิ นิ ทรวกร นอกจากจะนาเสนอเป็นรูปเล่มผลงานการศึกษาค้นคว้า แล้วยัง
นาเสนอเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ e-book โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ซึ่งก่อนที่จะมีผลงาน
นาเสนอสู่สายตาผู้ชมนั้น ผู้ศึกษาค้นคว้า ได้ใช้แนวคิดในการออกแบบองค์ประกอบของการแสดง
ตา่ งๆ ใหม้ ีความสมบูรณเ์ หมาะสมกับชดุ การแสดงท่ีได้ประดษิ ฐ์ขน้ึ

48

บทท่ี 5
อธบิ ายทา่ ราชุดฟ้อนบชู าพระเทวฤทธ์ิอนิ ทรวกร

บทน้ี ผู้ศึกษาจะอธิบายถึงท่าราชุด ฟูอนบูชาพระเทวฤทธิ์อินทรวกร เพื่อให้เห็นถึง
แนวทางการสร้างสรรค์ทา่ รา ตามแนวคิดท่กี ลา่ วไวข้ า้ งตน้

การอธิบายท่าราได้นาเอาการแปรแถวเข้ามาในการแสดง เพื่อให้การอธิบายท่ารา
ชดั เจนยิ่งข้ึน จงึ ได้ยกตัวอยา่ งผแู้ สดงเป็นหลักในการบอกทิศทาง

ด้านซ้าย หมายถึง ซ้ายมอื ของผู้แสดง
ด้านขวา หมายถึง ขวามือของผู้แสดง
หนา้ อดั หมายถึง ผูแ้ สดงหันหน้าออกด้านหนา้ เวที

ภาพประกอบที่ 35 : ฟ้อนนมสั การพระเทวฤทธิอ์ ินทรวกร

49

ภาพประกอบ 36 : ท่าที่ 1

ศรี ษะ ตรง
มือ ถือพาน
เทา้ ย่าเทา้
ทิศทาง เดินออกเป็นแถวเฉยี งขึ้นซ้ายมอื
*หมายเหตุ ออกจากฝ่งั ขวา


Click to View FlipBook Version