The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยแบดมินตัน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-03-25 06:08:58

วิจัยแบดมินตัน

วิจัยแบดมินตัน

Keywords: วิจัยแบดม,พลศึกษา

1

2

บทท่ี 1
บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

ประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาทางดา้ นการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง
การที่ประเทศชาติจะพัฒนารุ่งเรืองทางด้านต่าง ๆ ต้องอาศัยองค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งคือ
กำลังคนหรือประชากรของประเทศท่ีมีคุณภาพ เพราะการพัฒนาคนหรือประชากรของชาติย่อมเปน็
รากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม การพัฒนาคุณภาพของคนนั้น
ขึ้นอยู่กับการศึกษา และสุขภาพท่ีดี สุขภาพดีเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้การศึกษาสำเร็จตาม
วตั ถปุ ระสงค์ การมสี ขุ ภาพสมบรู ณแ์ ขง็ แรง ตัง้ แต่วัยเด็กจนถึงวัยผใู้ หญ่ จงึ เป็นปัจจยั ทีส่ ำคัญประการ
กีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2560 – 2564) (กระทรวงการท่องเที่ยวและกฬี า, 2544: 3) หลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นคนดี มีปัญญามีความสุข และมี
ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีศักยภาพในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และรักการออกกำลังกาย
ดูแลตนเองใหม้ ีสุขภาพและบคุ ลิกภาพที่ดี (หลักสตู รการศึกษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศักราช 2553, 2553:
4) กระบวนการศึกษาทางพลศึกษาและกีฬาเป็นกระบวนการศึกษาอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มี
การพัฒนาการทัง้ ในดา้ นร่างกาย ด้านทักษะ ด้านความรู้ ดา้ นคุณธรรม และด้านเจตคตทิ ่ดี ีไปพรอ้ ม ๆ
กัน โดยใชก้ จิ กรรมพลศึกษาและกีฬาเปน็ สื่อให้ผู้เรียนได้มีการเรยี นรู้ และมพี ัฒนาการด้วยการมีส่วน
รว่ ม และลงมือปฏบิ ตั ิจรงิ ด้วยตนเอง

ในสภาพสังคมปัจจุบัน ความเจริญก้าวหนา้ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้
เข้ามาอย่างรวดเร็วและมีบทบาทในการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น การใช้เครื่องอำนวย
ความสะดวกต่าง ๆ แทนการเดินหรือใช้มือ ซึ่งเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ทำให้มนุษย์เราได้
เคลื่อนไหวกันน้อยลงและไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย แบดมินตันเป็นกีฬาที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
มานาน เป็นกีฬาท่ีให้ความสนกุ สนานเพลดิ เพลินที่สามารถทำให้ผู้เลน่ มสี ุขภาพท่ีดที ้งั ทางร่างกายและ
จิตใจ กีฬาแบดมนิ ตันเป็นกีฬาเพ่ือสุขภาพประเภทหนึ่ง ที่อาศัยทักษะพ้ืนฐานง่าย ๆ ไม่สลับซบั ซ้อน
เล่นได้ทุกโอกาส ทุกเพศ ทุกวัย เป็นกีฬาที่อาศัยอวัยวะเกือบทุกส่วนของร่างกายในการเล่น ซึ่งเป็น
ลกั ษณะการทำงานประสานกันระหวา่ งสายตา น้วิ มือ ข้อมอื แขน ลำตวั ขา เทา้ สมรรถภาพทางกาย
แบดมินตนั จึงเปน็ กฬี าสำหรับทุกคนและมีคุณค่า เหมาะสมกับการเลน่ เพอื่ พัฒนาบุคลกิ ภาพ ร่างกาย
จิตใจ สมรรถภาพทางกายสติปัญญา และมนุษยสัมพันธ์ในการเข้าสังคมไปพร้อม ๆ กัน (วาสนา
คุณาอภสิ ิทธ์ิ: 2536) ส่งผลใหก้ ีฬาแบดมินตนั เปน็ กีฬาทน่ี ิยมกนั อยา่ งแพรห่ ลาย เพราะสามารถเล่นได้
ทั่วไป ทั้งในทีร่ ม่ และกลางแจ้ง แต่นิยมเล่นในที่ร่ม เพราะมีความเหมาะสมมากกว่า เล่นได้ทั้งผ้หู ญงิ

3

และผชู้ าย กีฬาเกือบทุกชนิด การฝกึ ทกั ษะข้ันพื้นฐานท่ีถกู ตอ้ งเปน็ รากฐานท่ีสำคัญอย่างย่ิงต่อผู้เล่น
เพราะเป็นองค์ประกอบแรกเริ่มของการเล่นกีฬา จนถึงระดับสูงอย่างมั่นคงและมีประสิทธิภาพ
แบดมินตันเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งที่ต้องมีการฝึกทักษะขั้นพื้นฐานที่ถูกต้องก่อนจึงจะไปฝึกทักษะ
ขั้นสงู หรือเทคนิคทพี่ ลิกแพลงต่อไป (น้อม สังข์ทอง: 2540)

ลูกเซฟหรือลูกโยนโด่งเป็นลูกพื้นฐานหลักที่ควรเริ่มฝึกก่อนการฝึกตีลูกอื่น ๆ ทั้งหมด
เพราะเปน็ ลูกทต่ี ีได้งา่ ยทส่ี ดุ เน่อื งจากเปน็ ลูกทีล่ อยโดง่ ไปมาในอากาศและมวี ิถีการวงิ่ ของลูกค่อนข้าง
ช้า ผู้เล่นมีเวลาลำดับขั้นตอนและจับจังหวะการตีได้ตามหลักการ นับตั้งแต่การจับไม้แร็กเกตให้
ถูกต้อง การตั้งท่าตีลูก การปรับหน้าไม้แร็กเกตเพื่อให้การตีลูกสัมผัสลูกและไปในทิศทางที่ถูกต้อง
การใช้แรงเหว่ียงของแขน แรงตวัดขอ้ มือ การถ่ายนำ้ หนักตัวจากเท้าหลงั ไปสู่เท้าหน้า และการก้าว
ฟตุ เวริ ์คอยา่ งถูกต้องจะช่วยให้ผูเ้ ลน่ สามารถตีลูกได้อย่างสมบรู ณ์แบบมากยงิ่ ขึ้น
จากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรายวิชาแบดมินตันของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
ปากคาดพิทยาคม จังหวัดบึงกาฬ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาบึงกาฬ พบว่า
นักเรียนบางกลุ่มมีทักษะการตีลูกโยนโด่งเหนือศีรษะหรือลูกเซฟอยู่ในระดับต่ำ ไม่สามารถปฏิบัติ
ทกั ษะการตลี กู เซฟได้

ผู้วิจัยเห็นว่าทักษะการตีลูกเซฟหรือลูกโยนโด่งนั้น เป็นพื้นฐานหลักที่ควรเริ่มฝึกก่อน
การฝึกตีลกู อืน่ ๆ ทั้งหมด เพราะเป็นทกั ษะต้องฝึกใหช้ ำนาญ ผู้เล่นเกดิ ทักษะที่ถูกต้องเพื่อสามารถ
พัฒนาไปสคู่ วามเปน็ เลิศ จำเปน็ ตอ้ งฝกึ อย่างจรงิ จังโดยมีผู้ท่ีมีความรดู้ ้านกีฬาแบดมนิ ตันโดยตรง จึง
จะทำให้ผู้เล่นหรอื ผูเ้ รียนประสบผลสำเรจ็ ได้ และเพื่อใหส้ อดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน
จึงสนใจที่จะศึกษาการพัฒนาทกั ษะการส่งลกู โยนโด่งเหนือศีรษะโดยใช้โปรแกรมการฝกึ ในรายวิชา
แบดมินตันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนวิชาแบดมินตัน โรงเรียนปากคาดพิทยาคม ปี
การศกึ ษา 2564 เพอื่ ให้นักเรยี นมีศักยภาพในระดับทีส่ งู ขนึ้

วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
1. เพื่อพัฒนาทักษะการส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะในกีฬาแบดมินตันของนักเรียนชั้น

มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ที่เรยี นวิชาแบดมินตัน โรงเรยี นปากคาดพทิ ยาคม ปีการศึกษา 2564

สมมติฐานของการวจิ ัย
1. นักเรยี นระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ที่เรียนวชิ าแบดมินตัน โรงเรยี นปากคาดพิทยาคม

ปีการศึกษา 2564 สามารถปฏิบตั ิทกั ษะการส่งลูกโยนโดง่ เหนือศีรษะในกฬี าแบดมนิ ตันอย่ใู นระดบั สงู

4

ขอบเขตของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาผลของการใชโปรแกรมการฝกส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะ ในกีฬา

แบดมนิ ตนั กอ่ นเรยี นและหลังเรียน ของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ทเี่ รยี นวิชาแบดมนิ ตนั โรงเรียน
ปากคาดพิทยาคม ปีการศึกษา 2564 เทา่ นัน้

1. ตัวแปรทใ่ี ชในการศึกษาคนควา
1.1 ตวั แปรอสิ ระ คอื โปรแกรมการฝกสง่ ลกู โยนโด่งเหนอื ศีรษะ
1.2 ตวั แปรตาม คอื ความสามารถในการส่งลกู โยนโดง่ เหนือศรี ษะ

2. ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตวั อย่างที่ทำการศึกษา
2.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนีเ้ ป็นนักเรียนทีก่ ำลังศึกษาอยูใ่ นระดับชั้น

มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 โรงเรียนปากคาดพทิ ยาคม ปีการศึกษา 2564 จำนวน 267 คน
2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ใน

ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 โรงเรียนปากคาดพิทยาคม ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 30 คน ทไ่ี ดม้ าโดย
การเลือกแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling)

กรอบแนวคิดการวิจยั

ตวั แปรอิสระ ตัวแปรตาม

โปรแกรมการฝกส่งลูก ความสามารถในการสง่ ลูกโยนโดง่ เหนือศีรษะ
โยนโด่งเหนือศรี ษะ

ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการวิจัย

นยิ ามศพั ท์เฉพาะ

1. การส่งลูกโยนโดง (Long serve หรือ Under forehand high serve) หมายถึง เปน
การตีลูกโยนโดงจากหนามือดานลาง ซึ่งเปนลูกที่ตีดวยแรงโดยใชการเหวี่ยงของแขนพรอมกับ
การตวัดขอมือ พรอมกับการถายน้ำหนักตัวจากเทาหลังไปสูเทาหนา เพื่อใหลูกลอยขามตาขายไป
ตกอยูระหวางเสนสงลกู ยาวประเภทคูกบั เสนหลัง (นอม สงั ขทอง, 2540 : 61)

5

2. ความสามารถในการส่งลูกโยนโดง หมายถึง ศักยภาพในการสงลูกโยนโดงที่มี
ประสิทธิภาพในกีฬาแบดมินตัน โดยใหลูกตกลงในพื้นที่ที่กําหนดคะแนน 1-5 และใชผลรวมของ
คะแนนท่ีไดจากการสงลูกเปนความสามารถในการสงลูก โดยใชแบบทดสอบของพูล (The Poole
Long Serve Test)

3. นักเรียน หมายถึง นักเรียนกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
ปากคาดพิทยาคม ปกี ารศึกษา 2564 มจี ำนวนท้ังหมด 267 คน

4. กลุมตัวอยาง หมายถึง นักเรียนกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
ปากคาดพิทยาคม ปีการศึกษา 2564 จํานวน 30 คน ที่มีความสามารถในการสงลูกโยนโดงที่ใกล
เคยี งกัน

ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ บั

1. ได้ทราบถึงผลของการพัฒนาทักษะการส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะโดยการใช้โปรแกรม
การฝึก ในวิชาแบดมินตันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนวิชาแบดมินตัน โรงเรียน
ปากคาดพทิ ยาคม ปีการศกึ ษา 2564

2. นักเรียนทีเ่ ข้ารับโปรแกรมการฝกึ ทักษะการส่งลูกโยนโด่งในกีฬาแบดมินตันมีพัฒนาการ
ทางด้านทักษะการตลี กู โยนโด่งเหนือศรี ษะที่ดีขน้ึ

3. เป็นแนวทางสำหรับผู้ทสี่ นใจหรือตอ้ งการค้นควา้ วิจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง

6

บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วขอ้ ง

ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร วรรณกรรมและงานวจิ ัยต่าง ๆ ที่ให้แนวคิด ทฤษฎี
รวมถงึ งานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้อง เพือ่ นำมาประยุกตใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางศกึ ษาการพัฒนาทกั ษะการส่งลูกโยนโด่ง
เหนือศีรษะโดยการใช้โปรแกรมการฝึก ในวิชาแบดมินตันของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียน
วชิ าแบดมนิ ตัน โรงเรยี นปากคาดพิทยาคม ปีการศึกษา 2564 มรี ายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปน้ี

1. ความหมายของพลศกึ ษา
2. สมรรถภาพทางกาย
3. องคประกอบของการสงลกู โยนโดงในกฬี าแบดมนิ ตัน
4. งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง

ความหมายของพลศกึ ษา

วรศักดิ์ เพียรชอบ (2548) พลศึกษา คือ การศึกษาแขนงหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์และ
ความมุ่งหมายเช่นเดียวกับการศึกษาแขนงอื่น ๆ คือ ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาทั้งทางด้าน
ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม จะต่างจากวิชาอื่นตรงที่วิธีการและสิ่งที่น่ามาใช้ คือ พลศึกษาใช้
กิจกรรมการออกกำลัง หรือการเล่นกีฬาเป็นสื่อในการเรียนโดยใช้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม
พลศกึ ษาใหม้ ากที่สุด

จรินทร์ ธานีรัตน์ (2524) กล่าวว่า การพลศึกษาคือ การศึกษาแขนงหนึ่งที่ใช้กิจกรรม
การเคลื่อนไหวทางกาย (ที่ใช้กล้ามเนื้อใหญ่) เป็นสื่อกลาง (Medium) เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทาง
ร่างกาย (รูปร่าง) ทางจิตใจ ทางอารมณ์ ทางสังคม และพัฒนาการทางด้านคุณธรรม ตลอดจน
การเปน็ พลเมืองดีด้วย

สุวิมล ตั้งสัจพจน์ (2540) ได้กล่าวถึง พลศึกษาเริ่มขึ้นสมัยกรีกโบราณ ชาวเอเธนและ
สปาตาร์เป็นกลุ่มคนที่สนใจต่อการออกกำลังกายมาก เขาเรียกกิจกรรมการเรียนการสอนและ
การปฏิบัติในสถานกายบริหาร ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของพลศึกษาที่ขณะนั้นเรียกว่า “ยิมนาสติก”
(Gymnastics) ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ความสนใจการออกกำลังกายมาเน้นที่การพฒั นาร่างกายมาก
ขึ้น ทำให้คำว่า “Gymnastics” เปลี่ยนมาเป็น “Physical Activity” ซึ่งหมายรวมถึงกิจกรรมทาง
รา่ งกาย

7

สมรรถภาพทางกาย

ความหมายของสมรรถภาพทางกาย
นักการศึกษาได ให ความหมายของคําว าสมรรถภาพทางกายไว มากมายแตกต าง กัน

ออกไป พอสรุปไดดงั น้ี
บชุ เชอร (Bucher, 1960: 92) กลาวถึงสมรรถภาพทางกายวา สมรรถภาพทางกาย

เปนความสมบูรณของรางกาย รวมท้ังการมที าทางทีส่ วยงามและถูกตองในการทํางาน
เจอรราดและโรเซนเทน (Gerald & Rosenstein, 1966: 13) ไดกลาวถึงสมรรถภาพ

ทางกายวา สมรรถภาพทางกายนอกเหนือจากการมีความแขง็ แรงและความอดทนแลวยังเปนวิถที าง
นําไปสูการมีความสามารถทางรางกายที่ดี สามารถทํางานหนักในแตละวันไดตอสูกับงานหนักหรือ
อาชีพไดอยางมคี วามสุข และสามารถเผชิญกับสภาวะฉกุ เฉินท่ีจะเกิดขึน้ ได

ในป 1975 สมาคมสุขศึกษาพลศึกษานันทนาการและการเตนรําแหงอเมริกา
(AAHPERD) ไดมีการพิจารณาทบทวนแบบทดสอบสมรรถภาพทางกายและเปนวาควรมีการใหคํา
จํากัดความของสมรรถภาพทางกายใหม โดยแยกสมรรถภาพทางกาย ซึ่งมีสวนเกี่ยวของกับ สุขภาพ
ของรางกาย จากสมรรถนะการเคล่อื นไหวของรางกาย (Physical Performance) ซ่งึ มสี วน

เกทเชล (Getchell, 1979: 8-9) กลาวถึง สมรรถภาพทางกายวา ผูแตงตําราสวน
ใหญ กลาวถึงสมรรถภาพทางกายวา เปนความสามารถในการประกอบกจิ วัตรประจําวนั (การทํางาน
และ การเลน) โดยไมรูสึกเหนื่อย และยังมีพลังงานสํารองเพื่อปฏิบตั ิงานในภาวะฉุกเฉิน ซึ่งคําจํากดั
ความดังกลาวยังไมเพยี งพอเก่ียวกับการดํารงชีวติ ในปจจุบัน ดังนั้นจึงกลาวถึง สมรรถภาพทางกาย
วาเปนความสามารถในการทํางานอยางมีประสิทธิภาพสูงสุดของหัวใจ หลอดเลือด ปอดและ
กลามเนื้อ ซึ่งองคประกอบของสมรรถภาพทางกายประกอบดวยความแข็งแรง ความอดทนของ
กลามเน้อื ความออนตวั ความอดทนของระบบไหลเวยี นของโลหิต

ซาฟริท (Safrit, 1986: 301) ไดใหความหมายของสมรรถภาพทางกายวา โดยทว่ั ไป
ทใ่ี ชอยมู องในสองลกั ษณะคอื

1. ความสามารถในการปรับตัวและการฟนคืนสูสภาพปกติภายหลังจาก
การทํางานหนกั ๆ

2. ความสามารถในการทํากิจวัตรประจําวันดวยความกระฉับกระเฉง
วองไว โดยไมรูสึก เหนื่อยและมีกําลังเหลือพอที่จะประกอบกิจกรรมยามวางดวยความเพลิดเพลิน

มิลเลอร และคณะ (Miller & et al., 1991: 639-640) ไดใหความหมายของ
สมรรถภาพทางกายโดยทั่วไปเปนความสามารถในการปฏิบัติของรางกาย ซึ่งแสดงใหเห็นจาก
การ ทาํ งานของระบบหัวใจและหายใจ ความอดทน ความออนลา การทํางานประสานกัน และการวัด
สวนประกอบของรางกาย

8

สุเนตุ นวกิจกุล (2519: 1) ไดใหความหมาย สมรรถภาพทางกาย คือ ลักษณะ
สภาพของรางกายที่มีความสมบูรณ แข็งแกรง อดทนตอการปฏิบัติงาน มีความคลองแคลววองไว
รางกาย มีภูมิตานทานโรคสูง ผูที่มีสมรรถภาพทางกายดีมักจะเปน ผูมีจิตใจราเริง แจมใสและมี
รางกายสงาผาเผย สามารถปฏบิ ตั ิภาระกจิ การงานไดอยางมีประสทิ ธภิ าพ

พิชิต ภูตจันทร (2533: 44) ไดใหความหมายไววา สมรรถภาพทางกาย หมายถึง
ความสามารถของบุคคลในอนั ที่จะใชระบบรางกายกระทาํ กิจกรรมใดๆ อนั เกี่ยวกับการแสดงออกซ่ึง
ความสามารถทางรางกายไดอยางมีประสิทธิภาพ หรือหนักหนวงเปนเวลาติตดตอกันโดยไม
แสดงออกเหน็ดเหนอ่ื ยใหปรากฏและสามารถฟนตัวกลับสูสภาพปกตไิ ดในเวลาอันรวดเร็ว

จรวยพร ธรณินทร (2536: 19) ไดกลาวถึง ความหมายของสมรรถภาพทางกาย
ไววา สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถในการทํางานและเคลอ่ื นไหวของรางกายไดยาวนาน
ไมเหนื่อยงาย สมรรถภาพประกอบดวย ความแข็งแรง ความอดทน ความออนตัว ความคลองตัว
ความรวดเรว็ พละกาํ ลงั และความสมดลุ ของกลามเนื้อประสาท

ทวีศักดิ์ ศูนยกลาง (2537: 1) ไดสรุปความหมายของสมรรถภาพทางกายท่ี
เปลี่ยนแปลง ไปตามแนวคิดของแตละยคุ แตละสมัย ดงั นี้ ในระยะแรกๆ โดยเฉพาะในชวงสงครามโลก
ครง้ั ท่ี 2 ไดมกี ารทดสอบสมรรถภาพทางกาย ของทหารกันอยางมาก โดยเนนดานความแข็งแรงและ
ความทนทานเปนหลัก จึงมีการใหความหมายของสมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) วาเปน
“ความสามารถในการที่จะใชกลามเนื้อทํางานหนักไดเปนเวลานานๆ” ระยะตอมา จึงมีการวัด
สมรรถภาพทางกายของประชาชน ในอาชีพตาง ๆ เพิ่มมากขึ้น ความหมายของสมรรถภาพทาง
กายกวางขึ้นเปน “ลักษณะและระดับ ของการปรับสภาพรางกายสําหรับกิจกรรมตาง ๆ ที่ตองให
กลามเนือ้ ทาํ งาน”

องคการอนามัยโลก (อางอิงถึงใน วิรุฬห เหลาภัทรเกษม และคณะ, 2537) ให
ความหมายไววา สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของร่างกาย หรือประสิทธิภาพของ
ร่างกายท่ีแสดงออกทางร่างกายอย่างเต็มท่ีหรือสูงสุด (Optimum Physical Performance
Capacity) โดยทวั่ ไป จะเนน องคประกอบดังตอไปนี้ คือ

1. ความอดทนของระบบไหลเวยี นโลหิต
2. ความทนทานและความแข็งแรงของกลามเน้ือ
3. สดั สวนของรางกาย
4. ความออนตัว
ซึ่งเรียกรวมกันวาสมรรถภาพทางสุขภาพ (Health Related Fitness) ซึ่งเปนสมรรถภาพพื้นฐาน
สาํ คญั ทีอ่ าจพฒั นาไปสูสมรรถภาพทางกฬี าที่เกย่ี วกบั ทกั ษะได
พรี ะพงศ บุญศริ ิ (2538: 141) ไดใหความหมายของสมรรถภาพทางกาย (Physical

9

Fitness) หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการรักษารางกายของตนใหคงสภาพดีและสามารถ
ทํางานหนักไดเปนเวลานาน โดยไมรูสึกเหน็ดเหนื่อยและไมทําใหประสิทธิภาพของงานที่ทําลด
นอยลง

กรมวิชาการ (2539: 2) สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของรางกายใน
การปฏิบัติงานหรือภารกิจในชีวิตประจําวันไดอยางมีประสิทธิภาพ โดยไมเกิดความเหน็ดเหนื่อย
จนเกินไปและมีกําลงั เหลือเพือ่ ใชในเวลาวาง ใหเกิดความสนุกสนานในชีวิตของตนเอง ตลอดจนมีไว
ใชในยามฉุกเฉนิ

ดุสิต สุขประเสริฐ (2542: 1) ไดใหความหมายของสมรรถภาพทางกาย ไววา
สมรรถภาพ ทางกายหมายถงึ ความสามารถของบคุ คลในการควบคุมส่ังการใหรางกายปฏิบัตภิ ารกจิ
อยางไดผลดี มปี ระสิทธภิ าพเหมาะสมกับปริมาณงานและเวลาตลอดท้งั วันโดยการปฏิบัตไิ มกอใหเกิด
ความทุกขทรมานรางกาย อีกทั้งยังสามารถประกอบกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากภารกิจประจาํ วัน
ไดอีก ดวยความกระฉบั กระเฉง ปราศจากอาการเมือ่ ลาออนเพลีย

กรมพลศึกษา (2544: 1) ไดใหความหมายของสมรรถภาพทางกาย ไว วา คือ
ความสามารถของรางกาย (Physical Ability) ที่จะประกอบกิจกรรมหรือทํางานหนัก (Intensive
Activity) ไดเปนเวลานาน (Long Period) โดยไมเหน็ดเหน่อื ยเร็วและผลที่ไดสูง (High quality and
quantity)

วาสนา คณุ าอภิสิทธิ์ (2550) ไดสรปุ ความคดิ รวบยอดเกยี่ วกับสมรรถภาพทางกาย
หมายถงึ หลกั การสําคัญดังน้ี

1. สมรรถภาพทางกายมีความจําเปนและเกี่ยวของกับชีวิต ความเปนอยู
ของคนแตละคนเปนอยางมาก

2. ทักษะกีฬาไมใชสัญลักษณของสมรรถภาพทางกาย แมวาทักษะจะมี
สวนชวยพัฒนาระดับความแข็งแรงสมบูรณทางกายใหสูงขน้ึ ไดกต็ าม

3. สมรรถภาพทางกายเกี่ยวของสัมพันธกับสุขภาพและความสามารถใน
การเคล่ือนไหว หรอื การทํางานประจําวันของมนุษยมากกวาทกั ษะกีฬา

4. ใครกต็ ามท่สี ุขภาพไมดี สามารถปรับปรุงใหดีขึ้นไดดวยการพัฒนา หรือ
ยกระดบั สมรรถภาพทางกายใหสงู ขึ้นดวยการออกกําลังกายหรือเลนกฬี าเปนประจํา ซ่ึงเปนพื้นฐาน
ของการมีสมรรถภาพทางกายงาย ๆ

5. การทํางานประจําวนั ตองใชพลังงานและความแข็งแรงสมบูรณรางกาย
คนแตละคนเปนเรื่องเฉพาะคน ถาความแข็งแรงสมบูรณมีไมมาก พลังงานก็จะถูกนําไปใชจนหมด
หรือเกือบหมดในชวงนั้น ในทางตรงขามถามีความแข็งแรงสมบูรณมาก คน ๆ นั้นก็ยังคงมีพลังงาน
เหลืออยูหลังจากการทํางานประจําวันตามปกติ และพลังงานท่ีเหลืออยูนี้จะชวยใหคนเรามีพลังงาน

10

สาํ รองไวใชในยามฉกุ เฉนิ จําเปน หรือในภาวะทีต่ องการใชมากกวาภาวะปกตไิ ด พลงั งานสํารอง หรือ
พลังงานเหลือเก็บ นี้ยังชวยสงเสริมใหงานที่ปฏิบัติในกิจวัตรประจําวันมีประสิทธิภาพมากขึ้นดวย
(เพราะงานในกจิ วตั รประจาํ วนั มรี ะดบั ตํ่ากวาศักยภาพแทจรงิ )

6. คนที่มีสมรรถภาพทางกายดีจะไมรูสึกวาตนเองมีความไมสบายเกิดข้ึน
ในขณะทํางาน ซึ่งหมายถึง อยาดึงดันหรือฝนทําตอไป จนกระทั่งเกิดการบาดเจ็บ (ไมสบาย) อัน
เน่อื งมาจากการปรับปรงุ สมรรถภาพทางกาย (เพราะหมายถงึ การทํางานมากเกินควร)

7. สมรรถภาพทางกายที่ดีไมหยุดลงที่ตวั ของมันเองแตยังเปนสวนหน่ึงของ
ความเปนผูมีสขุ ภาพดี ซึ่งมีผลตอการมีคณุ ภาพชีวิตทดี่ ตี ามไปดวย

8. การมีสมรรถภาพทางกายทีดีไมไดเปนคําตอบ (หรือการแกปญหา)
ทุกอยางในชีวิตไมสามารถรับประกันไดวา จะมีชีวิตยืนยาวหรือเปนภูมิคุมกนั โรคไดทุกชนิด เพราะ
คนแตละคนจะมีวิถีชวี ติ ของตนเอง ซง่ึ ไมอาจเปรียบเทยี บกับใคร ๆ ไดนอกจากตนเอง

9. สมรรถภาพทางกายประกอบดวยองคประกอบหลากหลายและเปน
พื้นฐานที่ทุกคนควรจะมีองคประกอบดังกลาวคือ ความทนทานของระบบหายใจ และระบบไหลเวียนเลือด
ความแขง็ แรง ความทนทานของกลามเน้ือ ความยืดหยุน และองคประกอบของรางกาย (เปอรเซ็นต
ไขมัน)

10. พิจารณาถึงระดับสมรรถภาพทางกายของตนเองวาเปนอยางไร ควร
พิจารณาถึง คุณสมบตั ิแตละขอ ในระดบั ตอไปนี้ ซ่ึงเปนเกณฑอยางนอย

10.1 ทํางานประจําวนั ไดสาํ เรจ็ ตามความตองการ
10.2 มีการเพิม่ พูนการปองกันการเสื่อมสุขภาพ เชน โรคเกี่ยวกับ
หลอดเลือดหัวใจและ โรคเกี่ยวกับการเส่อื มการทาํ งาน
10.3 หาเวลาและโอกาสใหตนเองสามารถควบคุมเหตุฉุกเฉิน
ปจจุบนั ทนั ดวนและ สภาพการณทไ่ี มปกตทิ อ่ี าจเกิดขน้ึ เชน การสมมตเิ หตกุ ารณแลวคิดหาทางแกไข
ในทันที
10.4 หาเวลาออกกําลังกาย หรือ เลนกีฬาเพ่ือสรางหรือพัฒนา
สมรรถภาพทางกายของตน
วรวุฒิ สวัสดิชัย (2551: 12) ไดใหความหมายของคําวาสมรรถภาพทางกายไววา
ความสามารถของบุคคลทีจ่ ะประกอบกจิ กรรมใด ๆ ไดอยางมปี ระสทิ ธภิ าพเปนระยะตดิ ตอกนั นาน ๆ
โดยไมแสดงอาการเหน็ดเหน่อื ยใหปรากฏและสามารถฟนตวั กลับสูสภาวะปกตไิ ดในเวลาอนั รวดเร็ว

จะเห็นไดวาความหมายของสมรรถภาพทางกายเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดของแต ละยุค
แตละสมัย ในปจจุบนั ซ่ึงมีความสนใจดานสุขภาพเพิ่มขึ้นอยางมากนนั้ อาจจะกลาวไดวา สมรรถภาพ
ทางกายนาจะแบงออกไดเปน 2 ลักษณะใหญ ๆ คือ สมรรถภาพทางกายพ้ืนฐาน กับ สมรรถภาพทาง

11

กายสาํ หรับการเคล่ือนไหว ซึง่ อาจจะใหความหมายไดวา สมรรถภาพทางกาย ลกั ษณะแรกเปนสภาพ
ทางกายที่ดีซึง่ ทําใหมีความสามารถในการประกอบกิจกรรมประจําวันได อยางมีประสิทธิภาพและมี
โอกาสทจ่ี ะเกดิ ปญหาดานสุขภาพท่ีเกิดจากการขาดการออกกําลังกายไดนอยลง สมรรถภาพทางกาย
ลักษณะนี้เปนสิ่งที่มีความจําเปนสําหรับคนทั่วๆ ไปทุกคน และ สมรรถภาพทางกายลักษณะหลัง
เปนสภาพทางกายที่ทําใหสามารถทํากิจกรรมทางกายในลักษณะ ตาง ๆ ไดอยางมีประสิทธิภาพ
ความหมายในลักษณะทีส่ องน้ีบางคนอาจจะเรยี กวาเปนสมรรถภาพ ทางกลไก (Motor Fitness หรือ
Motor Ability) สมรรถภาพทางกายในลักษณะนี้อาจมีความสําคัญ อยางมากสําหรับผูที่ตองใช้
การเคล่อื นไหวทางกายอยางมีประสิทธิภาพ เชน นกั กีฬา ผูทท่ี ํางานที่ ตองใชแรงกายเปนสวนสําคัญ
การทดสอบหรือการเสริมสรางสมรรถภาพทางกาย ก็จะเปนจะตองคํานึงดวยวา บุคคลนั้นมี
ความจําเปนที่จะตองมีสมรรถภาพทางกายในลักษณะใดและในระดับใด จากความหมายที่องคกร
และนักวิชาการตางๆ ไดกลาวถึงสมรรถภาพทางรางกาย พอสรุปไดดังนี้ สมรรถภาพทางรางกาย
หมายถึง ความสามารถของรางกายในการดําเนนิ ชีวิตประจาํ วนั หรอื ประกอบกิจกรรมตาง ๆ ของแต
บคุ คล ไดอยางมปี ระสิทธภิ าพในเวลานาน

องคประกอบของการสงลกู โยนโดงในกีฬาแบดมินตนั

รูปแบบของการสงลกู โยนโดงในกฬี าแบดมนิ ตัน
เจริญ วรรธนะสิน (2515 : 51) กลาววา การสงลูกโยนโดงในการเลนประเภทเดีย่ ว

ตองใชแรงเหว่ียงตสี ุดกําลงั แรงเหวี่ยงดังกลาวจะสงลกู ขามไปพรอม ๆ กับเกิดแรงเหวี่ยงตามน้ำหนัก
ท่ีอยู่เท้าหลังจะเปล่ียนไปหนักอยูกับเทาหนา ท้ังนกี้ ็เพ่ือท่ีจะสงลูกใหลอยโดงไปยงั เสนหลังของสนาม
มากท่ีสดุ ซง่ึ สอดคลองกับ วาสนา คณุ าอภสิ ทิ ธิ์ (2536 : 76) ไดกลาววา ทักษะพื้นฐานของการสงลูก
โยนโดง ผูสงจะตองสวิงแรก็ เกตไปขางหลงั มากๆ โดยยกแร็กเกตใหสวนหวั อยูสงู ระดบั ศรี ษะไปทางด
าน หลงั มากกวาปกติ สงลูกไปดวยความเร็วและแรงใหตอเน่ืองกนั ไมงอขอมือกอนแร็กเกตกระทบลูก
มีการถายน้ำหนักตวั จากเทาหลังมาเทาหนา ขนั้ สุดทายของการสงลูกคือใหบิดตวั ไปใหตั้งฉากกับฝาย
ตรงขาม

ขอปฏิบัติในการสงลกู
นอม สังขทอง (2540 : 168) ไดกลาวถงึ ขอปฏบิ ตั ใิ นการสงลูกดังน้ี
1. ผูเลนจะสงลูกและรับลูกในสนามสงลูกทางขวามือ เม่ือสงลูกทําแตมไม

ไดหรอื แตมท่ีไดเปนเลขคูในเกมน้นั
2. ผูเลนจะสงลูกและรับลูกในสนามสงลูกทางซายมือ เมื่อผูสงลูกไดแตม

เปนเลขคใ่ี นเกมนัน้

12

3. ถามีการ “เลนตอ” ในแตละเกมใหใชกติกาขอ 1 และ 2 ตามแตมท้ัง
หมดของผูสงลูกในเกมนัน้

4. ผูสงลูกและผูรับลูกจะตีโตลูกจนกวาจะเกิด “เสีย” หรือลูกไมอยูใน
การเลน

4.1 ถาผูรบั ลกู ทํา “เสยี ” หรอื ลกู ไมอยใู นการเลน เพราะตกลงบน
พ้ืนภายในสนามของผูรับลูก ผูสงลูกไดหนึ่งแตม และยงั ไดสงลกู ตอในสนามสงลกู อีกขางหนงึ่

4.2 ถาผูสงลกู ทํา “เสยี ” หรอื ลกู ไมอยใู นการเลน เพราะตกลงบน
พื้นภายในสนามของผูสงลูก ผูสงลูกหมดสิทธสงลูก และผูรับลูกจะกลบั เปนผูสงลูก โดยผูเลนทั้งสอง
ฝายไมไดแตม

ความสําคญั ของการสงลกู
เจริญ วรรธนะสิน (2515 : 50) ไดกลาววา การสงลูก เปนหัวใจของการแขงขัน

แบดมินตนั ถาปราศจากการสงลกู ที่ดี โอกาสท่ีจะไดมาซึ่งชัยชนะอยูหางไกลเหลือเกิน เพราะทานจะ
ทาํ คะแนนไดก็ตอเมอื่ ไดสิทธิ์สงลกู เมอื่ ไดสทิ ธิ์สงลูกแลวยังตองสงลูกใหดถี งึ จะมหี วังทาํ คะแนนได

ธนะรัตน หงษเจริญ (2537 : 71) และ นอม สังขทอง (2540 : 59) ไดกลาววา
การสงลูกมีความหมายและความสําคัญมาก โดยเฉพาะกีฬาแบดมินตัน อาจกลาวไดวา การสงลูก
เปนหวั ใจของแบดมนิ ตนั กว็ าได เพราะผูเลนมีคะแนนไดกต็ อเมอ่ื ไดสิทธ์ิสงลูก

ไพวัลย ตัณลาพุฒ (2525 : 22) การสงลูกเปนสิ่งสําคัญท่ีจะทําคะแนนได ควรสง
ลูกอยางมเี ปาหมายใหตกในทฝ่ี ายรับจะรับไดยากลําบาก

หลักสาํ คัญของการสงลูกโยนโดงในกีฬาแบดมินตัน
วาสนา คณุ าอภสิ ิทธ์ิ (2542: 76) ไดใหขอแนะนําถึงหลักสาํ คญั ที่เปนประโยชนใน

การสงลูก ดงั น้ี
1. ยืนใหหางเสนกลางของสนาม 2-3 นิ้ว และยืนหางเสนสงลูกสนั้ ประมาณ

2-3 ฟุต
2. ยืนใหเทาซายอยูขางหนาสําหรับคนที่ถนัดมือขวา ใหยอเขาเล็กนอย

ขณะสงลูกใหจาํ ไววาเทาทั้งสองตองแตะพื้นสนาม
3. สมมตุ สิ งลกู หนามอื ถอื ไมมอื ขวา
4. ใชมือซายจับลูกขนไก โดยใชนิ้วหวั แมมือและนิ้วชี้จับตรงฐานของลูกขน

ไก
5. เหยยี ดแขนซายข้ึนเปนเสนทแยงกับลาํ ตวั สงู ระดบั ไหล
6. เหวย่ี งไมไปขางหลงั สงู ระดบั ขอมอื หรือสงู กวานั้น

13

7. ขณะที่เหวี่ยงไมกลับมาขางหนา ใหปลอยลูก จุดที่แร็กเกตกระทบลูก
จะอยูระหวางหัวเขาและขอมือ ระหวางสงลูกตอนแรก น้ำหนักตัวจะอยูที่เทาหลังกอน พอสงลูกไป
แลวน้ำหนักตัวจะอยูทเี่ ทาหนา เพ่ือตามลูกไป

8. การตามลูก (Follow Through) เป็นสิ่งสำคัญมากจะตามลูกไปใน
ทิศทางขน้ึ ขางบน หรือไปในทิศทางที่ตองการใหลูกไปตก ถาตามลกู นอยไปลูกจะไปตกไมถงึ ทตี่ องการ

ภาพประกอบ 1 ลกั ษณะทาทางการสงลกู โยนโดงในกีฬาแบดมินตัน
ท่ีมา : วาสนา คุณาอภสิ ิทธิ์, 2542 : 76

นอกจากนี้ ไพวัลย ตัณลาพุฒ (2525 : 23) ไดกลาววา ขอควรระวังในกาสงลกู เพ่ือ
ไมใหผดิ กตกิ า คือ

1. ขณะสงลูก ผูเลนตองยืนอยูในแดนที่ถูกตอง เทาทั้งสองตองไมเหยียบ
เสน้ ใดเสนหนึง่

2. ขณะท่ีแร็กเก็ตกําลังสัมผัสลูก เทาทั้งสองตองอยูติดพ้นสนาม จะยก
เท้าขางใดขางหนึ่งพนพ้ืนสนามไมได

3. หัวแร็กเก็ตตองอยูต่ำกวาปลายมืออยางเห็นไดชัด ถาหัวไมอยูระดับ
ปลายมอื ถือวาเปนการสงลกู ผดิ กตกิ า

ภาพประกอบ 2 กตกิ าการส่งลูก
ทมี่ า : ไพวัลย ตัณลาพฒุ , 2525 : 23

14

เอกสารงานวิจัยที่เก่ยี วขอ้ ง

อาภานันท ขวัญหวาน (2542) ได ทำการศึกษาผลของการฝ กความอ อนตัวที่มี
ตอความสามารถในการเลนกีฬาแบดมนิ ตัน การวิจัยครั้งนีเ้ พื่อศึกษาผลของการฝกความออนตัวที่มี
ตอความสามารถในการเลนกฬี า แบดมนิ ตนั กลุมตัวอยางเปนนักเรยี นชายช้นั มธั ยมศึกษาปที่ 3 ของ
โรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย กรุงเทพฯ ปการศึกษา 2541 ที่ผานการเรียนวิชาแบดมินตันมาแลว
จํานวน 30 คน ไดมาโดย วิธีการสุมอยางงายแลวแบงกลุมตัวอยางออกเปน 2 กลุม ๆ ละ 15 คน
กลุมทดลองที่ 1 ทําการฝกความสามารถในการเลนกีฬาแบดมินตันอยางเดียว และกลุมทดลองที่ 2
ทําการฝก ความสามารถในการเลนกีฬาแบดมินตันควบคูกับการฝกความออนตัวเปนระยะเวลา 8
สัปดาห ๆ ละ 3 วัน คือ วันจันทร พุธ และศุกร วันละ 1 ชั่วโมง 30 นาที แลวทําการทดสอบ
ความสามารถในการเล นกีฬาแบดมินตันหลังการฝกสัปดาห ที่ 4 6 และ8 ดวงแบบทดสอบ
ความสามารถในการเลนกีฬาแบดมนิ ตนั ของประดิษ ุ พยงุ วงค ผลการศึกษาพบวา 1) ความสามารถ
ในการเลนกีฬาแบดมินตันกอนการฝกและหลังการฝก สัปดาหที่ 4 6 และ 8 ของกลุมทดลองที่ 1 มี
คาเฉลี่ย 38.53 47.73 48.53 และ49.80 ตามลําดับ ผลการทดสอบความสามารถในการเลนกีฬา
แบดมินตันกอนการฝกและหลังการฝกสัปดาหที่ 4 6 และ8 ของกลุมทดลองที่ 2 มีคาเฉลี่ย 38.60
48.20 49.46 และ55.60 ตามลําดบั 2) ความสามารถ ในการเลนกีฬาแบดมินตนั ภายในกลุมทดลอง
ท่ี 1 และภายในกลุมทดลองที่ 2 แตกตางกันจาก กอนการฝกและภายหลงั การฝกสัปดาหที่ 4 6 และ
8 แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 3) ความสามารถในการเลนกีฬาแบดมินตัน
ระหวางกลุมทดลองที่ 1 และกลุมทดลองที่ 2 ภายหลังการฝกสัปดาหที่ 4 6 และ8 ปรากฏวาไม
แตกตางกันอยางมีนัยสาํ คัญทรี่ ะดบั .05

เอกรินทร บุญอนิ ทร (2545) ไดทาํ การศกึ ษาผลของการฝกความออนตวั ที่มีตอ ความแมนยํา
ในการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะของกีฬาวอลเลยบอล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาและ
เปรียบเทียบผลของการฝกทักษะการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะกับการฝกทักษะการเสิรฟลูกมือบน
เหนือศีรษะควบคูกับการฝกความออนตัวที่มีตอ ความแมนยําในการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะของ
กีฬาวอลเลยบอล เครื่องมือท่ีใชในการวิจัย คือ โปรแกรมการฝกการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะ และ
โปรแกรมการฝกการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะควบคูกับการฝกความออนตัว กลุมตัวอยางเปน
นักเรียนชายระดับมัธยมศึกษาปที่ 4 จํานวน 40 คน ซึ่งไดมาจากการสุมตัวอยางแบบเฉพาะเจาะจง
แบงกลุมเปน 2 กลุม โดยใหทั้งสองกลุมมีความสามารถในการเสิรฟลูก มือบน เหนือศีรษะเทากัน
กลุมละ 20 คน กลุมที่ 1 ฝกทักษะการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะ และกลุม ที่ 2 ฝกทักษะการ
เสริ ฟลูกมือบนเหนอื ศรี ษะควบคูกับการฝกความออนตวั ใชเวลาในการฝก 8 สัปดาห ๆ ละ 3 วนั คือ
วันจันทร วนั พธุ และวันศุกร เวลา 16.00–17.30 น. ทดสอบความแมนยาํ ในการเสริ ฟลูกมอื บนเหนือ

15

ศีรษะและความออนตัวของหัวไหลในแนวดิ่งและในแนวนอน กอนการฝก หลังการฝกสัปดาหที่ 4
และ8 ของทั้งสองกลุม และนําผลมาวิเคราะหโดยการหาคาเฉลี่ยสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบคา
“ที” และวิเคราะหความแปรปรวนชนิดวัดซ้ำ ผลการวิจัยพบวา 1) กอนการฝกและหลังการฝก
สัปดาหที่ 8 ภายในกลุมทั้งสองมีความแมนยําในการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะ แตกตางกันอยางมี
นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) หลังการฝกสัปดาหที่ 8 ระหวางกลุมที่ 1 และกลุมที่ 2 มี
ความแมนยําในการเสิรฟลูกมือบนเหนือศีรษะ ไมแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3) กอนการฝกและหลังการฝกสัปดาหที่ 4 และ 8 ภายในกลุมทั้งสองกลุม มีความแมนยําใน
การเสริ ฟลกู มือบนเหนอื ศรี ษะ แตกตางกันอยางมนี ัยสาํ คัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05 4) กอนการฝกและ
หลงั การฝกสัปดาหที่ 8 ภายในกลมุ ทง้ั สองกลุม มคี วามออนตัวของหวั ไหลในแนวด่งิ และในแนวนอน
แตกตางกันอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5) หลังการฝกสัปดาหที่ 8 ระหวางกลุมที่ 1 และ
กลุมท่ี 2 มคี วาม ออนตัวของหวั ไหลในแนวด่ิงและในแนวนอน แตกตางกันอยางมีนยั สาํ คัญทางสถิติท่ี
ระดับ .05

นราเศรษฐ์ วราสทิ ธ์ิวัฒนา (2555) การวิจยั ครง้ั นี้เป็นการวจิ ยั เชงิ ทดลอง มวี ตั ถุประสงค์ท่ีจะ
เปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิของการใช้อุปกรณเ์ สริมริบบ้นิ ในการฝึกทกั ษะการตีลกู โดง่ หลังกับการฝึกแบบ
ปกตใิ นกีฬาแบดมนิ ตนั กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือนักเรียนระดับประถมศึกษาที่เข้ามาเรียนแบดมนิ ตันในสนาม
แบดมินตันเอราวัณ จังหวัดอุดรธานีโดยสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 10 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ
5 คน ซึ่งกลุ่มทดลองที่ 1 ฝึกตามโปรแกรมโดยใช้อุปกรณ์เสริมริบบิ้น และกลุ่มทดลองที่ 2 ฝึกตาม
โปรแกรมการฝึกแบบปกติเครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบผลสัมฤทธิ์การตีลูกหน้ามือโด่งหลังโดยใช้
แบบทดสอบของเฟรนช์ (French High Test) แบบทดสอบน้มี ีความตรงในระดับ 60 เปอร์เซ็นต์และ
มคี วามเชื่อม่ัน 96 เปอรเ์ ซน็ ต์ก่อนการทดลองฝึกและหลงั การทดลองฝึกสัปดาห์ท่ี 8 นำข้อมูลที่ได้ไป
วิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS เพื่อหาค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(S.D.) และทำการทดสอบค่า t – test ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ผลสมั ฤทธขิ์ องการฝึกทกั ษะการตีลูกหน้า
มือโด่งหลังของกลุ่มทดลองที่ 1 และกลุ่มทดลองที่ 2 ตามแบบทดสอบของ เฟรนช์ (French High
Test) หลังการฝึกสัปดาห์ที่ 8 (Post – Test) แตกต่างกัน ก่อนการทดลองฝึก (Pre - Test) อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. หลังการฝึกสัปดาห์ที่8 (Post -Test) ผลสัมฤทธิ์ของการฝึกทักษะ
การตีลูกหน้ามือโด่งหลังของกลุ่มทดลองที่ 1 และกลุ่มทดลองที่ 2 มีความแตกต่างกันอย่างมี
นยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05

อรนภา ทศั นัยนา (2560) ไดท้ ำการศึกษาการพฒั นาแบบทดสอบทักษะการสง่ ลูกสั้นและลูก
ยาว ในกีฬาแบดมินตันสำหรับนิสิต มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัด
สกลนคร ผู้วิจัยพัฒนาเครื่องมือจากแบบทดสอบทักษะการส่งลูกสั้นของเฟรนซ์ (French Short
Serve) และแบบทดสอบทักษะการส่งลูกยาวของพูล (Poole long serve) จากนั้นใช้ทดสอบทักษะ

16

กับนิสิตที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 105 คน และนำผลที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วยสถิติ ผลการวิจัยพบว่า
1. แบบทดสอบทักษะมีค่าความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) จากการให้คะแนนของ
ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 4 คน หาค่าความตรงเชิงเนื้อหาด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์ความสอดคล้อง
(Index of Item – Objective Congruence : IOC) ของแบบทดสอบทักษะการส่งลูกสั้น เท่ากับ
0.95 และการส่งลูกยาวเท่ากับ 1.00 โดยมีคะแนนรวมทั้ง 2 รายการ เท่ากับ 0.97 2. แบบทดสอบ
ทกั ษะมีคา่ ความเชอ่ื ม่ัน (Reliability) วธิ ีการโดยการทดสอบซ้ำ (Test- Retest) และ ค่าสัมประสิทธิ์
สหสัมพันธ์ ด้วยวิธีของเพียรสัน (Pearson product-moment correlation coefficient) ของ
แบบทดสอบทักษะการสง่ ลกู สัน้ และลูกยาวในกีฬาแบดมินตันสำหรับนิสิตชาย ทผ่ี ้วู ิจัยสร้างข้ึนแต่ละ
รายการ มีค่าความเชื่อมัน่ เชิงนมิ านระดับสงู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดบั 0.01 (r = 0.80 และ
0.89 ตามลำดับ) และแบบทดสอบทักษะการสง่ ลูกสั้นและลกู ยาวในกีฬาแบดมินตันสำหรับนิสิตหญิง
ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นแต่ละรายการ มีค่าความเชื่อมั่นเชิงนิมานระดับสูง อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติท่รี ะดบั
0.01 (r = 0.77 และ 0.84 ตามลำดับ) 3. แบบทดสอบทักษะมีค่าความเป็นปรนัย วิธีการโดยการ
คำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของคะแนนจากการทดสอบทักษะการส่งลูกสั้นและลูกยาวใน
กีฬาแบดมินตนั จากการใหค้ ะแนนของผปู้ ระเมินจำนวน 2 ท่าน ด้วยการหาค่าสมั ประสทิ ธิส์ หสมั พันธ์
ด้วยวธิ ีของเพียรสัน พบว่าแบบทดสอบทักษะการส่งลูกสั้นและลูกยาวในกีฬาแบดมินตันสำหรับนิสิต
ชาย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จากการให้คะแนนของผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัย มีค่าความเป็นปรนัยเชิงนิมาน
ระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.98 และ 0.99 ตามลำดับ) และสำหรับนิสิต
หญิงค่าความเป็นปรนัยเชิงนิมานระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r =1.00 ทั้งสอง
รายการ) จากผลการวิจัยสรุปว่าแบบทดสอบทกั ษะการส่งลูกส้ันและการส่งลูกยาวที่ผู้วิจัยพัฒนาขนึ้
สามารถนำไปใช้สำหรับทดสอบทักษะการส่งลูกสั้นและลูกยาว ในกีฬาแบดมินตันสำหรับนิสิต
มหาวิทยาเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จงั หวดั สกลนครได้

17

บทท่ี 3
วธิ ีดำเนนิ การวิจยั

การศึกษาการพัฒนาทักษะการส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะโดยใช้โปรแกรมการฝึก ในรายวิชา
แบดมินตันของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนวิชาแบดมินตัน โรงเรียนปากคาดพิทยาคม ปี
การศึกษา 2564 เปนการวิจยั เชิงทดลอง (Experimental Research) ผูวิจยั ไดดาํ เนนิ การตามข้ันตอน
ดงั นี้

1. การกําหนดประชากรและกลุมตัวอยาง
2. เครอ่ื งมอื ทีใ่ ชในการวจิ ัย
3. การเกบ็ รวบรวมขอมูล
4. การจัดกระทาํ และการวิเคราะหขอมลู
5. สถติ ิท่ีใชใ้ นการวิจยั

การกาํ หนดกลุมประชากรและกลุมตวั อยาง

ประชากรที่ใชในการวจิ ัย
ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนีเ้ ป็นนกั เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5

โรงเรยี นปากคาดพิทยาคม ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 267 คน

กลุมตัวอยางทใี่ ชในการวิจัย
กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย เปนประชากรที่เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5

โรงเรียนปากคาดพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาบงึ กาฬ ปการศึกษา 2564
จำนวน 267 คน กําหนดกลุมตัวอยางโดยการคัดเลือกกลุมตัวอยางที่มีความสามารถในการสงลูก
โยนโดงที่ใกลเคยี งกนั สุมตวั อยางแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 30 คน

เครือ่ งมอื ท่ีใชในการวิจยั
เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจัยคือ โปรแกรมการฝกสงลูกโยนโดงในกีฬาแบดมินตัน ซึ่งผู

วจิ ยั สรางข้นึ ซึง่ ไดดำเนินการดงั นี้

1. โปรแกรมการฝกสงลูกโยนโดงในกฬี าแบดมินตนั
1.1 ศกึ ษาทฤษฎแี ละหลักการท่ีเกยี่ วของกับการสงลกู โยนโดง
1.2 เขียนโปรแกรมการฝกสงลกู โยนโดง
1.3 นําโปรแกรมการฝกที่สรางขึ้นไปใหคณะกรรมการท่ีปรึกษาและผูเชี่ยวชาญ

จํานวน 3 คน ซึ่งเปนผูเช่ียวชาญในเรื่องกีฬาแบดมินตันและวิทยาศาสตรการกีฬา ตรวจสอบแกไข

18

1.4 นําโปรแกรมการฝกที่ผานการทดสอบของคณะกรรมการและผูเชี่ยวชาญมา
ปรับปรุงแกไข

2. แบบทดสอบวัดความสามารถในการสงลกู โยนโดง ผูวจิ ยั ใชแบบทดสอบการสงลูกโยนโดง
ของพูล (The Poole Long Serve Test) ซึ่งมีคาความแมนตรง .51 กับผลการแขงขัน และมีความ
เช่ือถือ .81

อปุ กรณทใ่ี ชในการวจิ ัย
อปุ กรณ์ทีใ่ ชใ้ นการทดสอบ ประกอบไปด้วย
1. สนามแบดมินตนั พรอมตาขาย 2 สนาม
2. ลูกขนไก 10 โหล
3. ใบบันทกึ ผลการทดสอบวดั ความสามารถในการสงลูกโยนโดง
4. นกหวดี 1 ตัว
5. นาฬกิ าจับเวลา

การเกบ็ รวบรวมขอมูล

1. ศึกษารายละเอียดแบบทดสอบแตละรายการเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติงานและ
รายละเอียดตาง ๆ ในการเก็บรวบรวมขอมลู

2. นัดหมายนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง กําหนดวัน เวลา เพื่อเก็บรวบรวมขอมูล และนัดหมาย
การแตงกาย ของผูเขารบั การทดสอบใหแตงกายดวยชุดพลศกึ ษา

3. จดั เตรียมอุปกรณในการเก็บรวบรวมขอมลู ทกุ รายการ
4. อธิบาย สาธิตขั้นตอนการปฏิบัติงาน รายละเอียดตาง ๆ ในการเก็บรวบรวมขอมูลกับ
ผูชวยในการเกบ็ รวบรวมขอมูล เพ่อื ความเขาใจใหถกู ตองตรงกนั
5. ทดสอบความสามารถในการสงลูกโยนโดงของกลุมตัวอยาง โดยผูวิจยั และผูชวยจํานวน 2
คน เพ่ือบันทึกคะแนนและชวยควบคมุ การทดสอบ โดยใหกลุมตัวอยางสงลูกโยนโดงลงในสนามซ่งึ มี
ตารางบอกคะแนนตั้งแต 1-5 คะแนน คนละ 12 ลกู เอาคะแนนท่ีดีท่สี ดุ 10 ลูกมารวมกนั
6. กลมุ ทดลองเขารบั การฝกและทดสอบหลงั การฝกตามชวงเวลาทกี่ าํ หนดดังน้ี

6.1 การฝกคร้ังนี้ใชเวลาในการฝก 6 สัปดาห ๆ ละ 3 วัน คือ วนั จนั ทร พธุ และศุกร
โดยกลุมทดลองทาํ การฝกระหวางเวลา 16.00-17.00

7. ทดสอบความสามารถในการสงลูกโยนโดงของกลุมตวั อยาง หลงั การฝกสปั ดาหที่ 6 โดยผู
วิจัยและผูชวยวิจัย จํานวน 2 คน เพ่ือบันทึกคะแนนและควบคุมการทดสอบ โดยใหกลุมตัวอยาง
สงลูกโยนโดงลงในสนาม ซึ่งมตี ารางบอกคะแนนตั้งแต 1-5 คะแนน คนละ12 ลกู เอาคะแนนท่ีดีที่สุด

19

10 ลกู มารวมกนั
8. รวบรวมขอมูลท่ีไดจากการทดสอบมาวเิ คราะหขอมูล และสรุปผลการวิจัยตอไป

การวเิ คราะหขอมูล

ในการวจิ ยั ครั้งนี้ ผูวจิ ัยไดดาํ เนินการวิเคราะหขอมูลดังตอไปน้ี
1. หาคาเฉลี่ย ̅X และคาสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ที่ได้จากการทดสอบการสง่

ลกู โยนโด่งเหนอื ศรี ษะ ก่อนและหลังการทดสอบ
2. เปรียบเทยี บผลจากการทดสอบการส่งลกู โยนโดง่ เหนือศีรษะก่อนเรียน และหลัง

เรยี น
3. นําเสนอผลการวิเคราะหขอมูลในรูปของตาราง

สถติ ทิ ใี่ ชใ้ นการวิจยั

1. หาคาเฉลี่ยเลขคณิต โดยใชสตู ร (ชูศรี วงศรตั นะ, 2534 : 32)

̅ =∑



เมอื่ ̅ แทน คะแนนเฉล่ียหรอื มชั ฌมิ เลขคณติ

∑ แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมด
N แทน จํานวนผูเขารับการทดลอง
2. สวนเบยี่ งเบนมาตรฐาน โดยใชสตู ร (ชูศรี วงศรตั นะ, 2534 : 58)

เม่อื S.D แทน ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
∑ แทน ผลรวมของคะแนนท้งั หมด
∑ 2 แทน ผลรวมของคะแนนแตละตวั ยกกําลังสอง
N แทน จาํ นวนผูเขารับการทดสอบ

20

บทท่ี 4
ผลการวิเคราะห์ขอมลู

สัญลักษณ์ใชในการวิเคราะห์ขอมลู

̅X แทน คาเฉลย่ี
S.D. แทน สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
N แทน จาํ นวนกลุมตวั อยา่ ง

การวเิ คราะห์ขอมูล

ในการวิจยั ครง้ั น้ี ผูวิจยั ไดดาํ เนนิ การวเิ คราะหขอมลู ดังตอไปน้ี

1. หาคาเฉล่ยี ̅X และคาสวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ของผลการทดสอบการส่งลูก
โยนโด่งเหนือศีรษะ ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ที่เรียนรายวิชาแบดมินตนั ปีการศึกษา 2564

ผลการวเิ คราะหข์ อมลู

1. หาคาเฉลยี่ และสวนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของผลการทดสอบแตละรายการ
การวิเคราะห์ผลการทดสอบการส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะ ของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี

5 ที่เรียนรายวิชาแบดมินตัน ปีการศึกษา 2564 ผู้วิจัยได้วิเคราะห์จากค่าเฉลี่ย ̅X และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D.) แลว้ นำไปเปรยี บเทยี บกบั เกณฑท์ กี่ ำหนดไว้ รายละเอียดผลการวิเคราะห์ ดังตางราง
ที่ 1 ดังน้ี

ตารางท่ี 1 คาเฉลี่ยและสวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการทดสอบการส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะ ของ
นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ทเี่ รียนรายวชิ าแบดมนิ ตนั ปีการศึกษา 2564

รายการ การทดสอบการสง่ ลกู โยนโด่งเหนอื ศรี ษะ
X̅ S.D.
1. กอ่ นการฝกึ
2. หลงั การฝึก 20.80 8.11
23.73 8.77

จากตารางที่ 1 ผลการทดสอบการสง่ ลูกโยนโดง่ เหนือศรี ษะ ของนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปที ่ี 5 ทเ่ี รยี นรายวิชาแบดมินตนั ปีการศกึ ษา 2564 พบว่า ความสามารถในการสงลูกโยนโดงในกีฬา
แบดมินตันกอนการทดลองไดคะแนนเฉลีย่ 20.80 สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 8.11 หลังการทดลองได

21

คะแนนเฉลี่ย 23.73 สวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 8.77
เมื่อเปรียบเทียบตามวัตถุประสงคการวิจัย ผลการวิเคราะหขอมูลจากตาราง 1 พบวา

ความสามารถในการสงลูกโยนโดงหลังการทดลองไดคะแนนสูงกวากอนการทดลอง 2.93 คะแนน
ดังนั้นจึงสรุปไดวา เมื่อฝกสงลูกโยนโดงโดยใช้โปรแกรมการฝึกทําใหนักเรียนมีความสามารถใน
การสงลูกโยนโดงไดคะแนนเฉลย่ี สูงกวา

22

บทที่ 5
สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะ โดยใช้แบบฝึก
สำเร็จรูป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนรายวิชาแบดมินตัน ปีการศึกษา 2564 ผู้วิจัยได้
ดำเนินการสรปุ ผลการวิจยั และวธิ ีการดำเนินการตามหัวขอ้ ต่อไปน้ี

1. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย
2. สมมติฐานของการวิจยั
3. ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง
4. วิธดี ำเนนิ การวิจัย
5. สรปุ ผลการวิจยั
6. อภิปราย
7. ข้อเสนอแนะ

วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั

1. เพื่อพัฒนาทักษะการส่งลูกโยนโด่งเหนือศีรษะในกีฬาแบดมินตันของนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ท่ีเรียนวิชาแบดมินตัน โรงเรยี นปากคาดพิทยาคม ปกี ารศึกษา 2564

สมมตฐิ านของการวิจัย

1. นักเรยี นระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 ทเี่ รียนวิชาแบดมินตัน โรงเรียนปากคาดพิทยาคม
ปกี ารศกึ ษา 2564 สามารถปฏบิ ัตทิ ักษะการส่งลกู โยนโดง่ เหนอื ศีรษะในกีฬาแบดมินตันอยูใ่ นระดบั สูง

ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง

1. ประชากรทีใ่ ชในการวจิ ยั
ประชากรที่ใชใ้ นการวิจยั ครง้ั น้เี ปน็ นักเรยี นทกี่ ำลงั ศึกษาอย่ใู นระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี

5 โรงเรียนปากคาดพทิ ยาคม ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 267 คน
2. กลมุ ตัวอยางที่ใชในการวจิ ัย
กลุมตัวอยางที่ใชในการวิจัย เปนประชากรที่เปนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 5

โรงเรียนปากคาดพิทยาคม สังกดั สำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษาบงึ กาฬ ปการศกึ ษา 2564
จำนวน 267 คน กาํ หนดกลุมตัวอยางโดยการคดั เลือกกลุมตัวอยางท่ีมีความสามารถในการสงลูกโยน
โดงทใี่ กลเคียงกนั สุมตวั อยางแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 30 คน

23

วิธีดำเนินการวจิ ัย

1. ศึกษารายละเอียดแบบทดสอบแตละรายการเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติงานและ
รายละเอียดตาง ๆ ในการเกบ็ รวบรวมขอมูล

2. นัดหมายนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง กําหนดวัน เวลา เพื่อเก็บรวบรวมขอมูล และนัดหมาย
การแตงกาย ของผูเขารบั การทดสอบใหแตงกายดวยชุดพลศกึ ษา

3. จดั เตรียมอปุ กรณในการเก็บรวบรวมขอมูลทกุ รายการ
4. อธิบาย สาธิตขั้นตอนการปฏิบัติงาน รายละเอียดตาง ๆ ในการเก็บรวบรวมขอมูลกับ
ผูชวยในการเกบ็ รวบรวมขอมูล เพ่ือความเขาใจใหถูกตองตรงกัน
5. ทดสอบความสามารถในการสงลูกโยนโดงของกลุมตัวอยาง โดยผูวิจัยและผูชวยจํานวน 2
คน เพื่อบันทึกคะแนนและชวยควบคมุ การทดสอบ โดยใหกลุมตวั อยางสงลกู โยนโดงลงในสนามซึ่งมี
ตารางบอกคะแนนต้ังแต 1-5 คะแนน คนละ 12 ลูก เอาคะแนนท่ดี ีทีส่ ุด 10 ลูกมารวมกัน
6. กลุมทดลองเขารับการฝกและทดสอบหลงั การฝกตามชวงเวลาทกี่ าํ หนดดงั น้ี
6.1 การฝกครั้งนี้ใชเวลาในการฝก 6 สัปดาห ๆ ละ 3 วัน คือ วันจันทร พุธและศุกรโดย
กลุมทดลองทาํ การฝกระหวางเวลา 16.00-17.00
7. ทดสอบความสามารถในการสงลูกโยนโดงของกลุมตัวอยาง หลังการฝกสัปดาหที่ 6 โดย
ผูวิจัยและผูชวยวิจัย จํานวน 2 คน เพื่อบันทึกคะแนนและควบคุมการทดสอบ โดยใหกลุมตัวอยาง
สงลกู โยนโดงลงในสนาม ซงึ่ มีตารางบอกคะแนนต้งั แต 1-5 คะแนน คนละ12 ลูก เอาคะแนนท่ีดีที่สุด
10 ลูกมารวมกัน
8. รวบรวมขอมูลทไ่ี ดจากการทดสอบมาวิเคราะหขอมลู และสรุปผลการวิจยั ตอไป

สรปุ ผลการวจิ ยั

จากการศึกษา การพฒั นาการส่งลูกโยนโด่งเหนอื ศีรษะ โดยใช้แบบฝึกสำเรจ็ รูป ของนกั เรียน
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ทเ่ี รียนรายวิชาแบดมนิ ตนั ปีการศึกษา 2564 พบว่า

1. ผลการทดสอบการส่งลูกโยนโด่งเหนอื ศรี ษะ ของนักเรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ท่ี
เรียนรายวิชาแบดมินตัน ปีการศึกษา 2564 พบว่า ความสามารถในการสงลูกโยนโดงในกีฬา
แบดมินตันกอนการทดลองไดคะแนนเฉลี่ย 20.80 สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 8.11 หลังการทดลองได
คะแนนเฉลี่ย 23.73 สวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 8.77 ดังนั้นจึงสรุปไดวา เมื่อฝกสงลูกโยนโดงโดยใช้
โปรแกรมการฝกึ ทาํ ใหนกั เรียนมคี วามสามารถในการสงลกู โยนโดงไดคะแนนเฉลี่ยสงู

อภิปรายผล

จากผลการศกึ ษาผลการทดสอบการสง่ ลูกโยนโดง่ เหนือศีรษะโดยใช้แบบฝกึ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ท่เี รยี นรายวชิ าแบดมนิ ตัน ปกี ารศกึ ษา 2564 สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้

24

จากผลการศกึ ษาผลการทดสอบการสง่ ลกู โยนโด่งเหนือศีรษะโดยใชแ้ บบฝึก ของนกั เรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนรายวิชาแบดมินตนั ปีการศึกษา 2564 ตามแบบทดสอบ ความสามารถใน
การสงลูกโยนโดงของพูล (The Poole Long Serve Test) ซึ่งผูเขารับการทดสอบทำ การทดสอบ
กอนและหลังการฝกสงลูกโยนโดง เปนเครื่องชี้วัดผลของการทดลองการทําวิจัยครั้งนี้ ในการคิด
คะแนนทําตามเกณฑมาตรฐานของแบบทดสอบ กอนการทดลองกลุมโปรแกรมการฝก สงลูกโยน
โดงมีความสามารถในการสงลูกโยนโดงไดคะแนนเฉลี่ย 20.80 หลังการ ทดลอง 6 สัปดาห มี
ความสามารถในการสงลกู โยนโดงไดคะแนนเฉลยี่ 23.73 แสดงให้เหน็ ว่าการจดั การเรียนรู้ตามรปู แบบ
การเรียนรู้พลศึกษาด้านทักษะปฏิบัติ ช่วยพัฒนาความสามารถทางด้านทักษะปฏิบัติ โดยการให้
ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบตั ิจรงิ จนทาํ ให้นกั เรยี นเกิดทักษะปฏิบัตใิ นการเล่นกีฬาสอดคล้องกับผลการศึกษา
ของสุชาติ ศริ ิสขุ ไพบูลย์ (2547 : 9) ได้กล่าวว่า ทักษะปฏบิ ัติ (Skill) คอื ความสามารถ ความชํานาญ
กล้ามเนือ้ ของบุคคล ซ่ึงเรยี กกันว่าทกั ษะปฏิบัตหิ รือทกั ษะทางกล้ามเนอื้ การเกิดทักษะทางกล้ามเน้ือ
ห ร ื อ ท ั ก ษ ะ ป ฏ ิ บ ั ต ิ จ ึ ง เ ป็ น ล ั ก ษ ณ ะ ข อ ง พ ฤ ต ิ ก ร ร ม ท ี ่ เ ป็ น ผ ล ผ ล ิ ต จ า ก เ ร ี ย น รู้ ร ู ป แ บ บ ห นึ่ ง
สอดคล้องกับอภิชาติ อนุกูลเวช (2551 : 64) ได้ให้ความหมายของทักษะปฏิบัติ คือความสามารถ
ความชํานาญของกล้ามเนื้อ ที่กระทําออกมาอย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว และรวดเร็วที่ต้องอาศัย
การฝึกหัดอย่างเหมาะสม จึงจะทําให้เกิดความชํานาญในการปฏิบัติงาน และสอดคล้องกับ อนุชิต
ขุมโมกข์ (2560) ที่ได้ศกึ ษาผลของการใชแ้ บบฝึกทักษะการส่งและรบั ฟุตบอลท่ีมีผลต่อความแม่นยำ
ของนักกีฬาฟุตบอลโรงเรยี นไพศาลีพทิ ยา ร่นอายุ 15-18 ปีหลังการฝึกไปแล้ว 6 สัปดาห์ มีค่าเฉลี่ย
คะแนนความแม่นยำในการส่งและรับฟุตบอล ( ̅̅= 22.52, S.D.=1.24) สูงกว่าค่าเฉลีย่ คะแนนความ
แม่นยำในการส่งและรับฟุตบอล ก่อนการฝึก ( ̅̅= 16.86, S.D.= 0.69) อยางมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี
ระดบั .05

จากท่ีกลาวมาเปนส่งิ ทช่ี วยยนื ยนั ไดวาโปรแกรมการฝกสงลกู โยนโดงในกีฬาแบดมินตัน ควบ
คกู ับการฝกจะชวยพัฒนาความสามารถในการสงลกู โยนโดงไดดยี ิง่ ขึ้น

ขอเสนอแนะ

1. การทดสอบแต่ละรายการควรเตรียมความพร้อมของอปุ กรณ์ใหไ้ ด้มาตรฐาน

ขอเสนอแนะในการทาํ วิจยั ครงั้ ตอไป

1. ควรนำแบบฝึกทักษะที่สรา้ งข้ึนไปทดลองใชก้ ับนกั เรียนชน้ั อื่น ๆ
2. ควรนำเคร่ืองมอื วดั ชนดิ อ่ืนๆ เข้ามาทำการจดั เกบ็ ขอ้ มลู รว่ มดว้ ย
3. ควรสรา้ งแบบฝกึ ทักษะเพอ่ื พัฒนาทกั ษะอนื่ ๆ เชน่ ความคลอ่ งแคลว่ วองไว เปน็ ต้น

25

บรรณานกุ รม

กรมพลศกึ ษา. (2544). การศึกษาสมรรถภาพทางกายของนกั เรียนมธั ยมศกึ ษาตอนตน. กรงุ เทพ :
งานวิจยั สวนสงเสรมิ พลศกึ ษา สขุ ภาพ และนันทนาการ สาํ นกั งานพัฒนาการ.

เจริญ วรรธนะสิน. (2515). มาเลนแบดมินตนั กันเถอะ. กรงุ เทพฯ : หางหนุ สวนจํากัดศวิ พร.
เจษฎา เจียระไน. (2530). โคช. กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พศนู ยสงเสริมวิชาการ.
ชศู ักด์ิ เวชแพทย และกนั ยา ปาละววิ ัชน. 2536. สรรี วทิ ยาการออกกําลงั . พิมพคร้งั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ :

ธรรกมลการพมิ พ.
เทเวศร พิรยิ ะพฤนห. (2528). เอกสารประกอบการเรยี นวิชาสรีระวทิ ยาการออกกาํ ลังกาย. กรุงเทพฯ :

คณะพลศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร. (สาํ เนา)
ธนะรตั น หงษเจรญิ . (2537). คมู อื การเลนแบดมนิ ตัน. กรงุ เทพฯ : สยามสปอรต ซินดเิ คทการพิมพ.
วีระ วิเศษสมติ . (2529). แบดมนิ ตัน. พมิ พครงั้ ท่ี 6. กรุงเทพฯ : บรษิ ัทประชาชนจํากัด.
ดุสิต สุขประเสริฐ. (2542). การทดสอบสมรรถภาพทางกาย. เชียงใหม่: วิทยาลัยพลศึกษาเชียงใหม.
ทวีศักดิ์ ศูนยกลาง. (2537). การทดสอบสมรรถภาพทางกาย. มหาสารคาม: วิทยาลัยพลศึกษา

จงั หวดั มหาสารคาม.
ผาณิต บิลมาศ. (2527). เอกสารประกอบการเรียนการสอนวิชา พล. 316 การฝกวอลเลยบอล.กรุงเทพฯ :
คณะ พลศึกษา มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. (สําเนา)
พชิ ิต ภตู จันทร. วิทยาศาสตรการกีฬา. กรุงเทพฯ: ตนออ.
พีระพงศ บุญศิริ. (2538). สรีรวิทยาการออกกําลังกาย (วิทยาศาสตรการกีฬา). พิมพครั้งที่ 4.

กรงุ เทพฯ: โอเอสพร้นิ ตง้ิ เฮาส.
วรวุฒิ สวสั ดชิ ยั . (2551). สมรรถภาพทางกายของนกั ศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบณั ฑิตย ชั้นปท่ี

1 ปการศกึ ษา 2550. ปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑติ หลักสตู รและการสอนพลศึกษา
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ.
วาสนา คุณาอภิสทิ ธิ์. (2536). แบดมินตันเทคนิคและทักษะ. กรงุ เทพฯ : ภาควชิ าพลศกึ ษา คณะพล
ศึกษา มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมิตร.
วาสนา คุณาอภิสทิ ธิ.์ (2550). เอกสารประกอบการเรียนการพัฒนาหลักสูตร. ภาควิชาพลศึกษา:
มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ.
สเุ นตุ นวกิจกลุ (2524). การสรางสมรรถภาพทางกาย. กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช
Bucher C.A. (1960). Foundation of Physical Education 3rd Ed. Saint Louis: The
C.V. Mosby Company.

26

Miller & et al. (1 9 9 1 ) . The Definition of Physical Fitness, The Journal of Sports
Medicine and Physical Fitness.5(2):640.

Safrit, M.S. (1986). Introduction to Measurement in Physical Education and Exercise
Science. Saint Louis: times Mirror/Mosbey College Publishing.

27

ภาคผนวก

28

ภาคผนวก ก
แบบทดสอบการสงลกู โยนโดงในกีฬาแบดมนิ ตันของพลู

(The Poole Long Serve Test)

29

แบบทดสอบการสงลูกโยนโดงในกีฬาแบดมินตันของพลู
(The Poole Long Serve Test)

วตั ถปุ ระสงค
เพ่ือวัดความสามารถการสงลกู โยนโดงในกฬี าแบดมินตัน

เพศและระดบั อายุ
ใชทดสอบนักเรยี นชาย, หญิง ระดบั มัธยมศกึ ษาและระดับอุดมศกึ ษา

ความแมนตรง
มีคาสหสัมพันธ .51 กบั ผลการแขงขัน

ความเช่อื ถือได
ความเชื่อถือได จากการทดสอบและการทดสอบซ้าํ มีคาสัมประสิทธิ์เปน .81

อปุ กรณและการเตรียมสนาม
ตีเสนบนสนามแบดมินตัน คือ ลากเปนไขปลา 4 เสน เสนที่ 1 ลากขนานและหางจากเสน

เขตหลังออกไป 2 นิ้ว เสนที่ 2 ลากขนานและหางเสนแรก 16 นิ้ว มาทางดานตาขาย เสนที่ 3 ลาก
ขนานและหาง 16 นิ้ว กับเสนสงลูกโยนโดงมาทางดานตาขาย 16 นิ้ว เสนที่ 4 ลากขนานและหาง
จากเสนที่ 3 เขามาทางดานตาขาย 16 นิ้ว ทําใหเกิดเขตของการสงลูกโยนโดงมาดานหลังคอรท 5
เขตดวยกัน ตีเสนเปนรปู สีเ่ หลีย่ มจัตุรัสขนาด 15 น้ิว ตรงกลางของคอรท (0) โดยใหมรี ะยะหาง จาก
ตาขาย 11 ฟุต ใชลูกแบดมนิ ตนั รวม 12 ลกู และไมแบดมินตนั 2 อนั
วธิ กี ารทดสอบ

ผรู ับการทดสอบยืนที่จุดใดจุดหนึ่งบนคอรทขวา (X) ตรงขามกับคอรท (0) และทําการสงลูก
โยนโดงรวม 12 ลูก โดยตองสงลกู ใหสูงเหนือไมแบดมนิ ตนั ท่ีเหยยี ดเหนือศรี ษะของคนท่ียืนอยูบนจุด
(0) ซึ่งคนนถ้ี ือเปนฝายตรงขามทจี่ ะคอยขาน “ต่ำ” สําหรับลกู ทไี่ มผานไมแบดมนิ ตันของเขา
การใหคะแนน

ผูบนั ทึกคะแนนยนื ท่ีจุด Z และบันทกึ คะแนนการสงลูกทุกครั้ง ตามทีล่ ูกแบดมินตันตกลงใน
เขตของคะแนนตาง ๆ นับลูกที่ไดคะแนนดีที่สุด 10 ลูก เปนคะแนนของการสงลูกโยนโดง คะแนนดี

30

ที่สุดของการสงลูก คือ 50 คะแนน ถาลูกแบดมินตันตกลงบนเสนแบงคะแนนใหไดคะแนนขางมาก
และหักหนงึ่ คะแนนสําหรับลกู ทตี่ ไี มผานไมแบดมนิ ตันของคนที่ยืนเหยยี ดไมแบดมนิ ตนั ทีจ่ ุด (0)
ขอแนะนาํ

1. การสงลกู ที่ไดคะแนนจะตองเปนการสงลกู ทถ่ี กู ตองตามกติกา
2. ถาจะใชเชือกแทนการยืนที่จุด (0) แนะนาํ ใหใชเชอื กขงึ สงู 9 ฟตุ และหางจากตาขาย 11
ฟตุ

ภาพประกอบ 3 แบบทดสอบการสงลูกโยนโดงในกีฬาแบดมนิ ตนั ของพลู
ที่มา : พูนศักดิ์ ประถมบุตร, 2532 : 373

31

ภาคผนวก ข
โปรแกรมการฝกึ

32

โปรแกรมการอบอุ่นรา่ งกาย สัปดาหท่ี 1-6

ลาํ ดบั กิจกรรม รอบ/เทย่ี ว/ เวลา เวลาพัก
ท่ี คร้ัง (วินาที) (วินาท)ี

1 - วิง่ เหยาะ ๆ 3 - 15
2 - ว่ิงสไลดดานขางสลบั ซายขวา -วงิ่ กลับตัว 2 - 10
3 ขวางสนามแบดมนิ ตัน 5 - 10
- 60 10
4 - สะบัดขอมอื , ขอเทา - 30 10
5 - หมนุ สะเอว - 30 10
6 - ยนื ยอยกตัว 10 - -
7 - กระโดดเทาชิดอยกู บั ท่ี

หมายเหตุ ทาํ ทุกครง้ั กอนการฝึกซ้อม ใชเวลาอยางนอย 10 นาที

โปรแกรมการคลายกลามเน้ือ สปั ดาหท่ี 1-6

ลาํ ดับ กจิ กรรม รอบ/ เวลา เวลาพัก
เท่ยี ว/คร้ัง (วินาท)ี (วินาท)ี
ท่ี
3 - 15
1 - วิ่งเหยาะๆ 10
2 -
2 - ยนื ไขวขากมต ัวจับขอเทา กมศรี ษะ ชิดเขา คาง 10
ไว สลบั ขาง
10
3 - ยนื เท้าชิดกัน กมตัวใชมือจบั ปลายเทา เขาตงึ คาง 5 - 10
ไว สลบั ขาง
10
4 - ยนื แยกขา กมตวั ใชมอื จับที่ขอเทา คางไว - 60
-
5 - ยนื พับเขาไปดานหลังใช้มือจับขอเทากดเขาหา - 30
สะโพก คางไว สลบั ขาง

6 - ยนื ยกเขาใช้มอื ท้งั 2 ขาง ดงึ เขาหาลําตวั คางไว - 30
สลบั ขาง

7 - ยืนสะบัดขอมอื และขอเทา 10 -

หมายเหตุ ทาํ ทกุ ครง้ั หลงั การฝึกซ้อม ใชเวลาอยางนอย 10 นาที

33

โปรแกรมการฝึกการส่งลูกโยนโดงในกีฬาแบดมินตนั ในแตละสัปดาห์

สปั ดาห์ กิจกรรม เวลา หมายเหตุ
ท่ี (นาท)ี
1 • การอบอนุ รางกาย 10
• ฝกความออนตวั
2 • ทาเตรียมพรอมในการสงลกู -
-การจบั ไม 20
3 -การถือลกู
-การยนื 20
-วธิ ีการสงลูก
• สงลกู แบดมนิ ตนั กับคู โดยไมมี ตาขายก้นั ยนื หาง 10
20 ฟตุ , 30 ฟุต และ 32 ฟตุ 10
• การคลายกลามเนอ้ื -
• การอบอนุ รางกาย 20
• ฝกความออนตัว
• สงลกู แบดมินตันขามตาขายใหตรงกบั คูตวั เอง 20
โดยยนื ห่างกัน 30 ฟุต และ 32 ฟตุ
• ยนื สงลูก ณ จุดสงลกู หางจาก เสนสงลูกส้ันไมเกนิ 10
4 ฟุต โดยสง ลูกใหลงตามเปาหมายที่กาํ หนดไว 10
• คลายกลามเนอ้ื -
• การอบอนุ รางกาย 10
• ฝกความออนตัว
• ยนื สงลูก ณ จดุ สงลกู หางจาก เสนสงลูกสัน้ ไมเกิน 10
4 ฟุต โดย สงลูกใหลงตามเปาหมายทีก่ ำหนด ไว
• ยนื สงลูก ณ จุดสงลกู หางจาก เสนสงลูกสั้นไมเกนิ
4 ฟุต ใหผูสงลกู กาํ หนดเปาหมายเอง

34

โปรแกรมการฝึกการส่งลูกโยนโดงในกีฬาแบดมินตันในแตละสัปดาห์ (ตอ่ )

สปั ดาห์ กจิ กรรม เวลา หมายเหตุ
ท่ี (นาท)ี
4 • แบงเปนกลุม ๆ ละ 3 คน โดยผรู้ ว่ มกลุ่มท้ัง 3 20
คน ผลัดกนั สงลูกคนละ 1 ลกู ทีมใดทํา ได 30
5 คะแนน กอนเป็นฝ่ายชนะ 10
• การคลายกลามเนอื้ 10
• การอบอนุ รางกาย -
• ฝกความออนตวั 15
• ยืนสงลูก ณ จุดสงลูก หางจาก เสนสงลูกส้ันไม
เกนิ 4 ฟุต ให ตรงกับคูตัวเองท่ียนื อยูหลงั เสนสง 10
ลกู ยาว โดยผลัดกันสง่ ลูกคู่ละ 40 ลกู
• ยนื สงลูก ณ จุดสงลูก หางจาก เสนสงลูกส้นั ไม 10
เกนิ 4 ฟตุ โดย สงลกู ใหขามเชือกท่ีขงึ หางจาก
ตาขาย 14 ฟตุ สูง 8 ฟุต โดยใหผสู งลูกกาํ หนด 10
เปาหมายเอง 10
• ยนื สงลูก ณ จุดสงลูก หางจาก เสนสงลูกสน้ั ไม -
เกิน 4 ฟุต โดย สงลูกใหขามเชอื กท่ีขึงหางจาก 15
ตา ขาย 14 ฟุต สูง 8 ฟุต โดยสง ลูกไปยงั
เปาหมายท่ีกําหนดไว แต ละคนตองปฏบตัิ ิใหได 10
10 ลูก
• การคลายกลามเน้อื
• การอบอนุ รางกาย
• ฝกความออนตวั
• ยนื สงลกู ณ จดุ สงลูก หางจาก เสนสงลูกสั้นไม
เกนิ 4 ฟุต ให ตรงกบั คูตัวเองท่ียนื อยูหลงั เสนสง
ลกู ยาว โดยผลดั กันส่งลูกคู่ละ 50 ลกู
• ยืนสงลูก ณ จุดสงลกู หางจาก เสนสงลกู สน้ั ไม
เกนิ 4 ฟตุ โดย สงลกู ใหขามเชือกที่ขึงหางจาก
ตาขาย

35

โปรแกรมการฝึกการส่งลูกโยนโดงในกีฬาแบดมินตันในแตละสัปดาห์ (ตอ่ )

สปั ดาห์ กจิ กรรม เวลา หมายเหตุ
ท่ี (นาท)ี
14 ฟตุ สูง 8ฟตุ โดยใหผู สงลูกกําหนดเปาหมาย
6 เอง 15
• แบงเปนกลุม ๆ ละ 3 คน โดยท่ีผ้รู ่วมกลมุ่ ท้ัง
3 คน ผลดั กันสงลูกคนละ 1 ลกู ทมี ใดทํา 10
ได 50 คะแนน กอนเปน็ ฝา่ ยชนะ 10
• การคลายกลามเนอ้ื -
• การอบอนุ รางกาย 20
• ฝกความออนตัว
• ยืนสงลูก ณ จดุ สงลกู หางจาก เสนสงลกู สั้นไม 20
เกิน 4 ฟตุ ให ตรงกบั คูตัวเองที่ยืนอยูหลังเสนสง
ลูกยาว โดยผลัดกันส่งลกู คู่ละ 60 ลกู 10
• แบงเปนกลุม ๆ ละ 3 คน โดยที่ผู้ร่วมกลุ่มท้ัง
3 คน ผลดั กันสงลูกคนละ 1 ลกู ทีมใดทำได 60
คะแนน กอนเป็นฝ่ายชนะ
• การคลายกลามเนือ้

36

ภาคผนวก ค
ผลการทดสอบ

37

ตารางบันทึกผลการทดสอบ

รายการ Pre-test Post-test

คนท่ี คะแนนดบิ คะแนนดบิ

1 19 19
2 10 15
3 37 44
4 19 25
5 32 37
6 10 14
7 22 25
8 31 29
9 23 20
10 16 20
11 14 17
12 25 31
13 14 15
14 15 17
15 25 28
16 19 19
17 10 15
18 37 44
19 19 25
20 32 37
21 10 14
22 22 25
23 31 29
24 23 20
25 16 20

38

ตารางบนั ทึกผลการทดสอบ

รายการ Pre-test Post-test

คนที่ คะแนนดิบ คะแนนดบิ
14 17
26 25 31
27 14 15
28 15 17
29 25 28
30 624 730
รวม
̅̅ 20.8 23.73
S.D 8.11 8.77

39

รายนามผเู้ ชี่ยวชาญ
โปรแกรมฝึกการส่งลูกโยนโด่งในกีฬาแบดมินตัน

1. นายเฉลิม นาคเสน ครูโรงเรยี นปากคาดพทิ ยาคม
2. นายสากล คลอ่ งดี ครโู รงเรียนปากคาดพทิ ยาคม
3. นางสาววาชินี ชาลี ครโู รงเรยี นดงเว้นดงเจริญวทิ ยา

40

ประวัตยิ อ่ ของผู้วจิ ัย

41

ประวัตยิ อ่ ของผ้วู ิจัย

ช่อื นางสาวอัจฉรา หนยู ศ
วัน เดอื น ปีเกดิ 27 กันยายน 2535
สถานทอี่ ยปู่ ัจจุบนั 55/1 หมู่ 1 ตำบลสุมเส้า อำเภอเพญ็ จังหวดั อุดรธานี
ตำแหน่งงาน ข้าราชการครู
สถานทท่ี ำงาน โรงเรยี นปากคาดพิทยาคม อำเภอปากคาด จังหวัดบงึ กาฬ

ประวัติการศกึ ษา ชอื่ สถาบัน ปสี ำเร็จการศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี 2559
วฒุ ิการศกึ ษา
ครศุ าสตรบัณฑติ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุดรธานี 2562
(พลศึกษา)

ครศุ าสตรมหาบัณฑิต

(การบริหารการศกึ ษา)


Click to View FlipBook Version