แบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจบั ใจความสาคญั โดยใชเ้ ทคนคิ
การเขยี นแผนผงั ความคิดตามแนวคดิ ของโทนี่ บูซาน
เล่มที่ ๒ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี ๓
พนื้ ฐานการเขยี นแผนผงั ความคิด
ตามแนวคดิ ของโทนี่ บซู าน
นางปราณี ดนั น์
ตาแหน่ง ครชู านาญการ
โรงเรียนวัดสวา่ งอารมณ์
สานักงานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาภูเก็ต
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน
คานา
แบบฝกึ ทักษะการคิดโดยใช้เทคนิค การเขยี นแผนผังความคดิ ตามแนวคิดของโทนี่ บูซาน ชดุ แบบฝึกพัฒนา
ทกั ษะการคดิ ได้จัดทาเพอื่ ประกอบการเรียนวชิ าภาษาไทย ชดุ แบบฝกึ พฒั นาทักษะการคดิ โดยนักเรียนสามารถ
เรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเองซงึ่ ตรงกับการปฏิรูปการศึกษาของไทยท่ีมงุ่ เน้นใหน้ กั เรยี นสามารถมีความสมบูรณท์ ัง้ ด้าน เก่ง ดี มี
สุข คิดเปน็ แก้ปัญหาเปน็ เมอื่ นกั เรยี นศึกษาชดุ แบบฝกึ พัฒนาทกั ษะการคิดน้ีแล้วนักเรียนจะสามารถฝกึ ทกั ษะการคิด
การทางานของสมองทง้ั สองซีกไปพรอ้ มๆกัน มีความสมบูรณ์ทง้ั ดา้ น เกง่ ดี มีสขุ คิดเป็น แกป้ ญั หาเปน็ เพราะไดป้ ฏิบัติ
ตามข้ันตอนอย่างเป็นระบบทาใหเ้ กดิ การพัฒนาความรู้ของตนให้สูงขึ้นและเต็มตามศกั ยภาพของตน กระบวนการเรยี น
ให้เป็นไปตามขนั้ ตอนของการเรียนและบทเรยี นของเนื้อหา อีกท้ังไดใ้ ช้กระบวนการ Mind Mapping บันทึกความรูจ้ าก
การอา่ น
ผจู้ ัดทาได้ศึกษาหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.๒๕๕๑ และศึกษากระบวนการการสร้างแผนผังความคิด
ตามแนวทางของโทนี่ บูซาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า แบบฝึกการอ่านจับใจความสาคัญโดยใช้เทคนิคการเขียนแผนผัง
ความคดิ ตามแนวคดิ ของโทน่ี บูซาน เลม่ นี้จะเป็นประโยชน์ ให้ผู้เรียนสามารถอ่านจับใจความสาคัญได้ เข้าใจการอ่าน
และส่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นรักการอา่ นมากขึน้
ปราณี ดนั น์
สารบัญ หน้า
คานา ๑
สารบัญ ๒
คาชแ้ี จงในการใช้ ๓
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ๔
แบบทดสอบกอ่ นเรียน ๕
ใบความรู้แบบฝึกชุดท่ี ๑ ๘
แบบฝกึ พฒั นาทกั ษะชดุ ที่ ๑ ๙
ใบความรู้แบบฝกึ ชุดที่ ๒ ๑๒
แบบฝึกพัฒนาทักษะชดุ ท่ี ๒ ๑๕
ใบความรูแ้ บบฝึกชุดท่ี ๓ ๑๘
แบบฝึกพัฒนาทักษะชดุ ที่ ๓ ๑๙
ใบความรแู้ บบฝกึ ชุดที่ ๔ ๒๑
แบบฝึกพฒั นาทกั ษะชุดที่ ๔ ๒๙
ใบความรู้แบบฝึกท่ี ๕
แบบฝกึ พฒั นาทักษะชดุ ท่ี ๕ ๓๕
ชุดเฉลย ๓๕
แบบทดสอบก่อนเรยี น ๓๕
เฉลยแบบฝกึ พัฒนาทกั ษะชดุ ที่ ๑ ๓๕
เฉลยแบบฝกึ พัฒนาทกั ษะชุดท่ี ๒ ๓๕
เฉลยแบบฝกึ พฒั นาทักษะชดุ ที่ ๓ ๓๕
เฉลยแบบฝึกพฒั นาทกั ษะชดุ ที่ ๔ ๓๕
เฉลยแบบฝกึ พฒั นาทกั ษะชดุ ที่ ๕ ๓๖
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น
เกณฑ์การประเมนิ ๓๗
บรรณานกุ รม
๑
คาช้ีแจง
แบบฝึกการอ่านจับใจความสาคัญโดยใช้เทคนิคการเขียนแผนผังความคิดตามแนวคิดของโทน่ี บูซาน กลุ่ม
สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย สาหรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๓ มีทง้ั หมด ๙ เล่ม ดงั นี้
แบบฝกึ เลม่ ที่ ๑ พนื้ ฐานการอ่านจับใจความสาคญั
แบบฝกึ เลม่ ท่ี ๒ พื้นฐานการเขียนแผนผังความคิด (Mind Mapping) ตามแนวคิดของโทน่ี บูซาน
(Tony Buzan)
แบบฝกึ เล่มที่ ๓ การอ่านจบั ใจความสาคญั จากนทิ าน
แบบฝกึ เลม่ ที่ ๔ การอา่ นจับใจความสาคัญจากสารคดี
แบบฝึกเล่มที่ ๕ การอ่านจับใจความสาคญั จากบทเพลง
แบบฝกึ เล่มที่ ๖ การอา่ นจบั ใจความสาคญั จากนวนิยาย
แบบฝกึ เล่มที่ ๗ การอา่ นจับใจความสาคัญจากบทรอ้ ยกรอง
แบบฝกึ เลม่ ท่ี ๘ การอา่ นจับใจความสาคัญจากขา่ ว
แบบฝกึ เลม่ ท่ี ๙ การอ่านจบั ใจความสาคญั จากบทความ
การใช้แบบฝึกการอ่านจับใจความสาคัญโดยใช้เทคนิคการเขียนแผนผังความคิดตามแนวคิดของโทน่ี บูซาน
กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย สาหรับนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๓
๑. แบบฝึกเล่มน้ี เป็นแบบฝึกเล่มที่ ๒ เรื่องพ้ืนฐานการเขียนแผนผังความคิด (Mind Mapping) ตามแนวคิด
ของโทน่ี บซู าน (Tony Buzan) มีแบบฝึกท้งั หมด ๕ แบบฝึก แบบฝึกละ ๕ ขอ้
๒. ขั้นตอนการใชแ้ บบฝกึ
๒.๑ นักเรียนศึกษาทาความเขา้ ใจกับจดุ ประสงค์ของการฝกึ
๒.๒ นกั เรยี นทาแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
๒.๓ นกั เรยี นศึกษาใบความรพู้ ้ืนฐานการเขียนแผนผังความคิดแต่ละข้ันตอน
๒.๔ นกั เรยี นทากิจกรรมในแบบฝกึ ทัง้ ๕ แบบฝึก
๒.๕ นกั เรียนทาแบบทดสอบหลังเรยี น
๒.๖ นักเรยี นรว่ มตรวจคาตอบกับเฉลยในภาคผนวก
๒.๗ นกั เรียนร่วมแสดงความคดิ เห็นในกล่มุ เพอื่ หาขอ้ สรุปจากกจิ กรรมภายในกลมุ่
๒.๘ ครแู ละนักเรยี นรว่ มกันประเมินผลการปฏิบตั งิ านของนักเรยี นจากการทากิจกรรมในแบบฝึกและ
แบบทดสอบ
๒
มาตรฐานการเรยี นรู้/สาระการเรยี นรู้
ตวั ชว้ี ดั /จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
สาระที่ ๑ การอา่ น
มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนาไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการดาเนิน
ชีวติ และมีนสิ ยั รักการอ่าน
ตัวช้วี ดั
ท ๑.๑ ม.๓/๒ ระบคุ วามแตกตา่ งของคาทม่ี ีความหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย
ท ๑.๑ ม.๓/๓ ระบคุ วามสาคัญและรายละเอยี ดของข้อมูลที่สนับสนนุ จากเรอ่ื งทอี่ า่ น
ท.๑.๑ ม.๓/๔ อา่ นเรอ่ื งต่างๆ แลว้ เขยี นกรอบความคดิ ผังความคิด บันทกึ ย่อความ รายงาน
จุดประสงค์การเรียนรู้
๑. นกั เรยี นสามารถระบคุ วามแตกต่างของคาท่มี คี วามหมายโดยตรงและโดยนัยได้
๒. นักเรียนสามารถระบุตาแหน่งใจความสาคัญของขอ้ มูลตา่ งๆ ที่อ่านได้
๓. เขยี นกรอบแนวคิดจากเร่ืองท่อี ่านได้
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง
การอ่านจับใจความจากสอื่ ต่างๆ
๓
แบบทดสอบก่อน- หลงั
เรียน
จงตอบคาถามต่อไปน้ี
๑. แผนผงั ความคิด ( Mind Mapping) คอื อะไร
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
๒. นกั เรยี นสามารถเอาเทคนิคการเขียนแผนผงั ความคิดไปทาอะไรได้บ้าง
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
๓. การเขยี นแผนผังความคิดเป็นการใช้สมองทั้งสองซีก โดยซีกขวาและซีกซ้าย ทางานต่างกนั อย่างไร
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
๔
ใบความรู้ ชุดที่ ๑
เร่ือง Mind Map คืออะไร
Mind Map คือ เครื่องมอื ในการจดบันทกึ ทใ่ี ช้สมองสองซกี อยา่ งเต็มที่ คิดโดยชาวองั กฤษชอื่ Tony Bazan
เมือ่ ปี 2517 และได้เผยแพรไ่ ปท่ัวโลก สามารถใช้ไดท้ งั้ กับการเรียนการสอน และการทางานสมองสองซกี ตา่ งกนั
อย่างไร เมอ่ื เราจดบันทกึ ด้วยสมองสองซกี ผลท่ีตามมาจะแตกต่างกันกบั การจดบนั ทึกดว้ ยสมองซกี เดียวราว ฟ้ากับดิน
จากผลการเรียนปลายแถวขน้ึ มาเป็นนักเรยี นทีมชาตหิ รือนักศึกษาเหรยี ญทองไดง้ า่ ย ๆ หรอื จากนักเรยี นทุนการศึกษาท่ี
ต้องคร่าเครง่ เครียด ขยันดูหนังสือจนไม่มีเวลาคบเพอื่ นหรอื ทาสิ่งท่ีตนอยากทา ไปเป็นนกั เรยี นทนุ ที่มีความสุขกบั การ
เรียน มีเวลาคบหาสมาคมเพือ่ น มเี วลาทางานอดเิ รกหรอื ทากิจกรรมบันเทิงทีอ่ ยากทาโดยไม่เสียการเรียน
สมองสองซกี
สมองคนเราประกอบไปดว้ ยเซลสมอง ท่เี รยี กวา่ ใยประสาท เหมอื นกับในยงุ้ ข้าวมีเมล็ดข้าวมากมายมหาศาล
เรามเี ซลสมองในหัวเราถงึ ล้านล้านเซล เซลสมองเหลา่ นที้ างานด้วยการ “โยง เช่ือม ต่อ” เขา้ ด้วยกันเป็นวงจร คลา้ ย ๆ
กับน้าทีไ่ หลลงไปบนพ้ืนทราย ก็จะเซาะดินทรายเปน็ ร่อง ถา้ ยิ่งไหลนาน ร่องกย็ ิ่งลกึ มากข้ึน จากรอ่ งนา้ เล็กก็ขยายกว้าง
ขึ้นและลึกลงจนกลายเป็นลาธารและแม่น้า เช่น เราเคยท่องสูตรคณู หกหกสามสบิ หก หกเจ็ดสสี่ บิ สอง เราท่องบ่นนบั
ร้อยเที่ยวสมัยเด็กๆ พอโตข้นึ เราเห็น 6 คูณ 7 ทไ่ี หนเรากจ็ ะได้ 42 ทนั ที โดยแทบจะไม่ตอ้ งคดิ อะไร
จดุ ประกายสาคัญเริ่มข้ึนในหอ้ งทดลอง ในมหาวิทยาลยั แคลฟิ อร์เนีย ดร.โรเจอร์ สเปอรร์ ยี ์และทีมงาน ทดลองนาผู้
อาสาสมัครมาทากิจกรรมต่าง ๆ แลว้ วดั คล่นื สมองวา่ แตล่ ะกจิ กรรมที่ทาน้ันสมองส่วนใดทางานบ้าง เขาพบว่า หากให้
คนคดิ บวกลบคณู หาร เขยี นหนงั สือ จัดลาดับอะไรมากอ่ นหลงั หรอื เรยี งจากเล็กไปหาใหญ่ คิดหาเหตุผลวา่ ทาไมฝนตก
ฟา้ รอ้ ง สมองซีกซา้ ยจะทางาน แตถ่ า้ ใหค้ นรอ้ งราทาเพลง วาดภาพ ระบายสี ใจลอย คดิ เร่อื ยเปื่อย มองภาพรวมของ
ต้นไม้ท้ังตน้ สมองซีกขวาจะทางาน
พวกเขาจงึ สรุปว่า สมองทง้ั สองซีกโดยเฉพาะส่วนเปลอื กสมองใหญข่ องคนเราน้ัน มีทักษะหรือความเช่ียวชาญ
ต่างกัน สมองซีกซ้ายจะทางานมาก เวลาเราใช้ ภาษาพูด เขียน คานวณ ใช้เหตุผล แก้ปัญหา ส่วนซีกข วาจะ
กระฉับกระเฉงกว่า เมือ่ ยามเราอะไรท่ไี มต่ ้องใชค้ าพูด เชน่ ฟังเพลง วาดรปู ใจลอย จนิ ตนาการ
การจดงาน จดบันทึก แบบท่ีเราได้รบั การสง่ั สอนกนั มาหลายช่ัวคน เนน้ ให้เราขยบั จากความคิดหนงึ่ ไปสู่ความคดิ อ่นื ๆ
เปน็ เส้นตรงและขนาน จึงเป็นการบนั ทึกแบบสมองซกี ซ้าย จดบันทึกแบบนท้ี าใหเ้ ราไมเ่ หน็ ภาพรวม ทงั้ ยงั ขัดขวางการ
นาความคิดหลากหลายมาเชื่อมโยงตอ่ กนั อีกดว้ ย และแทบไมไ่ ด้ใช้สมองซกี ขวาเลย
๕
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
การทา Mind Map
ชุดท่ี ๑ (ข้นั ๑-๓)
คาช้ีแจง ขั้นที่ ๑
๑. ทดสอบการดงึ ข้อมูลท่ีรอู้ ย่แู ล้วกลบั มา
ใหเ้ ขยี นชอื่ เพอ่ื น พีน่ ้อง ลุงป้า น้าอา ท่เี ราร้จู กั ที่ยงั มีชีวิตอยูใ่ หม้ ากที่สดุ ภายใน ๕ นาที ไม่ตอ้ งเขียนชอ่ื จรงิ
เต็มยศ จดแต่เพียงชื่อเล่นหรอื สมญาทีเ่ ราเรยี กตามปกตกิ ็ได้ พยายามเขยี นใหม้ ากท่ีสุด
…………………………………………………………..…………………………………………………………………..
………………………………………………………….……………………………………………………………………………………
…………………………………………………………..………………………………………………………………………………….
………………………………………………………….…………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………..………………………………………………………………………………….
………………………………………………………….…………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………..………………………………………………………………………………….
………………………………………………………….……………………………………………………………………………………
ครบ ๕ นาที แล้วลองนับดูวา่ เราเขยี นไดท้ ้ังหมดกช่ี อ่ื คราวนี้นาตัวเลขนี้มาหารด้วย ๕ เราจะได้ค่าเฉล่ียว่าใน ๕ นาที
เราดึงขอ้ มลู ทรี่ อู้ ยแู่ ล้วกลบั มาได้เท่าไหร่
๖
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
การทา Mind Map
ชุดท่ี ๑ (ข้นั ๑-๓)
ข้นั ท่ี ๒ ทดสอบความคดิ สรา้ งสรรค์
๒. ใหเ้ ราลองคดิ วา่ “ นอกจากเราใชด้ ินสอเขียนหนังสือแล้ว เรายังใช้ดินสอทาอะไรได้อีกบ้าง?” เขียนเป็นหัวข้อส้ัน ๆ
ไม่ตอ้ งอธิบาย พยายามนึกให้ได้หลากหลายวธิ ีที่สุด ใน 5 นาที
…………………………………………………………..……………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………..……………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………..……………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………
ครบ ๕ นาที แลว้ ลองนบั ดวู ่าเราเขียนไดท้ ั้งหมดกีว่ ธิ ี คราวนี้นาตวั เลขนมี้ าหารด้วย ๕ เรากจ็ ะไดค้ ่าเฉลี่ยวา่ ในหนึง่ นาที
เราคดิ สร้างสรรคเ์ รอ่ื งใหม่ๆ ได้เท่าไหร่
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ ๗
การทา Mind Map
ชุดท่ี ๑ (ข้นั ๑-๓)
ขั้นที่ ๓ เร่ืองเลา่ ของตวั เอง
๓. สมมติว่าเราเข้ารว่ มเปน็ สมาชิกสโมสร วงดนตรี หรือชมรมใหม่สกั แห่งหนึ่ง ประธานชมรมเชญิ ให้เราแนะนาตัวเราให้
เพอื่ นสมาชิกเกา่ ฟงั ในหอ้ งประชมุ ใหไ้ ดอ้ ยา่ งน้อย ๒๐ นาที ขอให้เราเตรยี มเขียนเรอ่ื งตัวเอง ๕ นาที ในหนา้ นี้ เรอ่ื งท่ีจะ
เล่าอาจเป็น ข้อมูลเฉพาะ เช่น ชื่อจริง ช่ือเล่น อายุ วันเกิด ท่ีเกิด ครอบครัว (พ่อ แม่ พ่ีน้อง) บ้านหรือชุมชน
สถานศกึ ษา งานอดิเรก อปุ นิสัยใจคอ อาหารที่ชอบ ฯลฯ
…………………………………………………………..…………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….……………………………………………………………………………………
…………………………………………………………..…………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….……………………………………………………………………………………
…………………………………………………………..………………………………………………………………………………….
………………………………………………………….…………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….…………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….…………………………………………………………………………………..
………………………………………………………….……………………………………………………………………………………
………………………………………………………….……………………………………………………………………………………
………………………………………………………….……………………………………………………………………………………..
หลังจากหมดเวลาแลว้ ๕ นาที แล้วลองจินตนาการวา่ หากเราถือหน้านี้ ไปหน้าหอ้ งประชมุ จะเกิดอะไรข้นึ เราสามารถ
พูดได้ ๒๐ นาที สบาย ๆ หรอื ว่า เราพดู ตามโพยที่เราเขยี นไว้พดู ได้ ๒-๓ นาทกี ห็ มดแล้ว ทีเ่ หลือต้องไปขายผ้าเอาหน้า
รอดตอ่ หน้าคนฟงั เอง
๘
ขัน้ ท่ี ๕ กิจกรรม : คุ้ย คน้ คว้า คิด คัด คุย
ใบความรู้ ชดุ ท่ี ๒
กจิ กรรม : ค้ยุ ค้น คว้า คดิ คดั คยุ
๑. คยุ้ การคยุ้ จากกองหนังสอื พิมพห์ รือนิตยสารทก่ี าลังจะทิ้ง เลือกเล่มท่ีมีโฆษณาสินค้ามากๆ มาเปิดหาเครื่องหมาย
การคา้ ภาพลายเส้น รปู ท่ีดูงา่ ย จาง่าย
๒. ค้น การคน้ หนังสือภาษาจนี เกาหลีหรือญ่ีปุน่ ซ่ึงเป็นภาษาภาพมาดู รวมทั้งสัญลักษณ์อ่ืนๆ เช่น ตราประจาจังหวัด
เครอื่ งหมายราชการ เครื่องหมายจราจรมาดู
๓. ควา้ ลองหาควา้ ซองจดหมายเกา่ ๆ มาดู ตราไปรษณีย์ เผื่อว่าจะมสี ัญลักษณท์ ่นี ่าสนใจ
๔. คิด เราลองนกึ ถึงคาท่ีเป็น คณุ ศพั ท์ หรือกริยา แล้วคิดถึงภาพสัญลักษณ์ที่ใช้แทนคาน้ันได้ แล้วลองฝึกวาดเก็บไว้ดู
เชน่ “ช้า” อาจนึกเป็นภาพ “หอยทาก” หรอื เต่า “เร็ว” นกึ ถึง “สายฟา้ ” เปน็ ต้น
๕. คัด เราลองคดั ลอกภาพสัญลักษณท์ ไ่ี ด้จากกิจกรรมข้างบนนี้ เกบ็ รวมไว้ในสมุด เพอ่ื เปน็ ฐานข้อมูลของตวั เอง
๖. คุย ให้นาความรู้ ความคิด และตัวอย่างที่ได้จากกิจกรรมข้างต้น มาคุยกันในครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อน หรือในเวลา
ว่าง เพ่อื แลกเปลี่ยนความคดิ เห็น ขยายประสบการณซ์ ึง่ กนั และกัน
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ ๙
การทา Mind Map
ชุดที่ ๒ (ข้นั ๔-๕)
ขน้ั ท่ี ๔ ฝึกคิดภาพ ใชส้ มองซกี ขวา (ภาพ สี ช่องว่าง)
๔. เรามีคนโปรดในชีวิตเรา เช่น ดารา นักร้อง นักกีฬา ครู อาจารย์ นักวิทยาศาสตร์ บุคคลในประวัติศาสตร์ หรือ
“แฟนฉนั ” เวลานกึ ถึงคนเหล่านี้ เรานกึ ถงึ ช่อื หรอื นกึ ถงึ หน้าตา ส่วนใหญเ่ ราจะนกึ ถงึ หน้าตาและรูปภาพ
เวลาเราคิดศูนย์กลางหรือความคิด เรียกว่า แก่นแกน คือเป็นตัวแทนของเรื่องที่เราสนใจ เ ช่น กีฬา
ภาษาองั กฤษ คณติ ดนตรี หนงั เพลง ควรเป็นภาพหรอื สัญลกั ษณ์
ใหเ้ ราลองเลือกนาคาขา้ งลา่ งน้ี ๘ คา ไปวาดเปน็ สญั ลักษณ์ ภาพ หรอื คาผสมภาพ ให้ใช้สีอย่างน้อย ๓ สี ให้เวลา ๑-๒
นาที เวน้ ชอ่ งสดุ ทา้ ยเอาไว้ก่อน
กญุ แจ แปรงสฟี นั ภาษาไทย
กระเป๋า เพลง ประเทศไทย
กระดุม แสง วทิ ยาศาสตร์
รองเทา้ วนั เกดิ ความสุข
เนื้อท่ีในช่องสุดทา้ ย ใหอ้ อกแบบเครือ่ งหมายการคา้ logo หรือสญั ลกั ษณ์ทเี่ ป็นตวั แทนเรา ให้เวลา ๕ นาที ให้
ดูดีทส่ี ดุ เท่าที่เราจะทาได้
๑๐
สญั ลกั ษณ์ของฉนั
๑๑
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
การทา Mind Map
ชุดที่ ๒ (ข้นั ๔-๕)
ใหน้ กั เรียนไปทากจิ กรรม คุย้ คน้ ควา้ คดิ คัด คยุ (หลังจากศกึ ษาจากใบความร)ู้ ให้รวบรวมภาพหรือวาดภาพ
สญั ลกั ษณใ์ นทกุ กจิ กรรม ดงั น้ี
๑) กิจกรรมคยุ้ ๒) กจิ กรรมค้น
๓) กจิ กรรมคว้า ๔) กิจกรรมคิด
๕) กจิ กรรมคดั ๖) กจิ กรรมคยุ
๑๒
ใบความรู้ ชดุ ท่ี ๓
คดิ เปน็ รศั มี
ลองพลิกกลับไปดูหนา้ แรกๆ จะเห็นว่าพวกเราส่วนใหญ่ จดข้อมูลลงไปตามบรรทัด หรือไม่ก็เขียนเป็นแถวๆ
ใหล้ องนกึ ยอ้ นดูว่าในชว่ งเวลาสน้ั ๆ ทเี่ ราคดิ ชื่อคนท่เี รารจู้ กั และคดิ วธิ ใี ช้ดนิ สอแบบแปลกๆนัน้
- ความคดิ ที่หลัง่ ไหลออกมาจากหวั เรานั้น ออกมาเป็นระเบียบเป็นแถวเป็นแนวบรรทัดอย่างท่ีเราบันทึกไว้ใน
หน้า 3 และหน้า 6 หรอื เปลา่
- มีชอ่ื คนบางคนท่ีเรานึกออก หรอื มีวิธใี ช้ดนิ สอบางอย่างท่ีแวบเข้ามา แต่เราไม่ได้จดไว้ เพราะไม่แน่ใจ คิดว่า
ไม่ถกู ต้อง คิดวา่ ไมเ่ ข้าทา่ ฯลฯ บ้างไหม
- เราไดจ้ ดคาว่าเพอื่ น หรือดนิ สอ ลงไปกอ่ นทจ่ี ะเขยี นชื่อเพอ่ื นหรือเขียนวิธใี ชด้ นิ สอหรอื ไม่
ลองมาหัดคิดแบบเปน็ รศั มี แผค่ วามคิดไปรอบ ๆ จดทกุ คาทผ่ี ุดข้ึนมา อยา่ เพงิ่ ไปตดั สนิ คดั เลือก กล่ันกรอง ใน
ช้ันนี้ ปลอ่ ยให้ความคดิ ไหลวนไปรอบ ๆสิ่งทีเ่ ราคิด จดไว้ใหใ้ กล้ทสี่ ดุ และกระจายรอบๆส่ิงที่เราคิด เพ่ือให้เราเห็นความ
เชอื่ มโยง ใหเ้ ราขดี เสน้ ใต้คาทเ่ี ราเขยี นลงไปเช่ือมใหต้ ดิ กบั ส่ิงท่ีเราคิด ตง้ั ใจระวงั ใหเ้ สน้ เชือ่ มกับส่ิงท่ีคิดและยาวกว่าคาท่ี
เขยี นเลก็ น้อย
จากการวจิ ยั คนไทยกวา่ รอ้ ยละ ๘๐ เลือกภาพมากกว่าคา มีเพียงไม่ถึงร้อยละ ๒๐ เท่านั้น ที่เลือกคามากกว่า
ภาพ เราอยู่ในกล่มุ ไหน
๑๓
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
การทา Mind Map
ชุดที่ ๓ (ข้นั ๖-๗)
ขนั้ ที่ ๖ ฝกึ คิดเป็นรศั มี
๖. ใหเ้ ราใช้เวลาสั้น ๆ มองกวาดดสู ิง่ ต่าง ๆ ทัง้ ๒๐ รายการ ด้านล่างแลว้ เลือกไว้เพียง ๕ รายการ โดยทาเครอ่ื งหมาย
ถูก (√) เลก็ ๆ ไว้ใกล้รายการที่เราเลอื ก ห้ามล้อมวงกลม หรอื ตีเสน้ ลอ้ มกรอบรายการที่เราเลอื กไวเ้ ด็ดขาด
ให้ใช้เวลากบั แตล่ ะรายการท่ีเลือกไว้ รายการละ ๒ นาที หมดเวลาแลว้ จึงค่อยคิดรายการตอ่ ไป จนครบรายการ
จากน้นั ลองนบั ดวู ่า ในรายการท่ีเราเลือกนน้ั เปน็ คากคี่ า และภาพก่ภี าพ
ฉันเลอื กภาพ............................ภาพ เลือกคา.............................คา
๑๔
ใบความรู้ ชุดที่ ๓
ประเดน็
โลกในปัจจุบันและอนาคต ข่าวสาร ข้อมูลจะเพิ่มข้ึนทวีคูณมากขึ้น ดังน้ัน เราจึงต้องหัดจับประเด็นให้เป็น
มฉิ ะน้ัน เรากจ็ ะเสยี เวลาและทรพั ยากรในการับรู้และเรียนรู้ในหนังสือคู่มือ คาแนะนาการใช้อุปกรณ์ เคร่ืองมือใหม่ ๆ
หรือเวลาฟังครูอาจารยห์ รอื วทิ ยากรบรรยาย ฟงั บทความและขา่ วจากวิทยุ โทรทัศน์ เราเห็นว่า เนื้อหาทั้งหมดไม่ว่าจะ
สัน้ หรือยาวแคไ่ หน ประเด็นจริง ๆ จะมีอยู่เพียงร้อยละ 5-20 เท่านั้น นอกนน้ั เปน็ “พลความ” ถ้าเราแยกประเด็นออก
จากพลความได้ ก็จะเป็นประโยชนต์ อ่ ตัวเราเอง ท้ังในเร่ืองส่วนตัวและในเรื่องการเรียน ดังนั้น เราจึงต้องสนใจในการ
จบั ประเดน็ ให้ได้ เครอ่ื งมือชว่ ยจบั ประเดน็ เวลาอ่านหนงั สือ ก็คือ ปากกาเนน้ สี ทม่ี สี อี ่อน เชน่ เหลือง ฟา้ เขียว
สานักพิมพ์และนักเขยี นทท่ี นั สมัยก็ได้พยายามช้ีช่องให้ผู้อ่านได้เห็นประเด็นอยู่แล้ว ด้วยการพิมพ์เป็นตัวหนา
ตัวเอน ตวั หนาเอน ขีดเสน้ ใต้ และตวั หนาเอนขดี เส้นใต้ หนงั สือบางเล่มใจดขี นาดพิมพต์ ัวหนงั สอื สไี วใ้ หเ้ ลยด้วยซ้าไป
เวลาอ่านหนังสือ ถ้าหนังสือเป็นของเราเอง ให้ถือปากกาเน้นสี ไว้ในมือตลอดเวลา ให้เป็นนิสัยยิ่งดี ไม่ว่าจะ
เป็นรายงาน คู่มือ จดหมายข่าว ตารา หนังสือพิมพ์ หนังสืออ่านเล่น ก็ให้ใช้วิธีเดียวกันหมด ตั้งเป้าไว้ว่า จะป้ายคาท่ี
เป็นประเดน็ ใหไ้ ดไ้ ม่เกนิ หน่ึงในห้าถึงหนง่ึ ในสิบของเนือ้ หา
ปากกากใ็ ช้ปากกาเน้นสี ปา้ ยคาทีเ่ ปน็ ประเดน็ ไปด้วย ฝกึ บอ่ ย ๆ อีกหน่อยเรากจ็ ะเป็นนักจับประเดน็ ทเ่ี กง่ กาจ
การเรียนร้จู ะรอบคอบและลึกซ้งึ มากย่งิ ขึ้น ตอ้ งแลกเปลีย่ นกบั คนในครอบครัวและกลุ่มเพื่อนฝูง เราจึงควรนา
Mind Map เรื่องเดยี วกนั หรือเอกสารทีเ่ ราทาเครอื่ งหมาย ข้อความท่ีสาคัญไว้ แล้วไปแลกกันดูกับเพ่ือน และคุยกัน
ว่าจับประเด็นได้เหมอื นกันหรือตา่ งกนั อยา่ งไร ก็จะเป็นการเรยี นรูจ้ ากกนั และกัน และถา้ เปรียบเทียบกับคนเก่ง ๆ ก็ยิ่ง
ช่วยพัฒนาการจบั ประเด็นของเราได้ดีข้นึ อีกดว้ ย
แบบฝึกพฒั นาทกั ษะการคิด ๑๕
การทา Mind Map
ชดุ ที่ ๓ (ข้นั ๖-๗)
ขนั้ ตอนที่ ๗ จับประเดน็
๗. ฝึกจับประเด็น ลองอา่ นข้อความท่ีคัดมาจาก แฮร่ี พอตเตอรก์ ับศิลาอาถรรพ์ แตต่ ัด คานาม กริยา และคาคุณศพั ท์
ออก
ซ่ึง ตัว จน ได้ว่าไม่ แถมยงั
ส่วน นน้ั และ สองเทา่ ของ ทว่ั ไป ซ่ึง
ผู้
ส่วนใหญ่ คนู่ ้ี หนงึ่
และ ของ
อา่ นแล้วแทบไม่รู้เรือ่ งใทช้งั่หสรอื งไม่ ลองไอมา่ ่มนี ใหม่ข้อความดา้ นเทลา่ ง เป็นขอ้ นค้ีอวีกามแเลดว้ ียวกัน แตต่ ัดเพยี งคานามออกและ
คากรยิ าเท่านน้ั เตมิ คุณศพั ท์กลับคนื มา
ซง่ึ ลาตวั ใหญ่ สัน้ จน ได้ว่าไม่ ยงั
สองเท่าของ ท่วั ไป ซึ่งมี
ดกเฟม้ิ นัน้ ผอมแห้ง บลอนด์ และ ยาวเกือบ
คู่นี้
ประโยชน์มากสาหรับ ผู้ สว่ นใหญ่ ข้าม ไม่ ไหนนา่ รกั น่าใครเ่ ท่า
เลก็ ๆ หน่ึง และใน ของทง้ั สอง
นอ้ี ีกแลว้
กย็ งั ไมส่ ู้จะรู้อะไรมากนกั ต่อไปลองอา่ นใหม่ คราวน้ตี ดั เพียงคานามเทา่ น้ัน เตมิ คุณศพั ท์และกริยากลับคืนมาแลว้
ซงึ่ ผลติ เป็น ลาตัวใหญ่ ส้ันจนเรยี กไดว้ ่าไม่มี แถมยัง
ไว้
ดกเฟิม้ ส่วน นนั้ ผอมแห้ง บลอนด์ และ ยาวเกือบ สองเท่าของ
ท่ัวไป ซงึ่ มีประโยชนม์ ากสาหรับ ผู้ชอบสว่ นใหญ่ยึด ข้าม แอบสอดสอ่ งดู
คนู่ ้ี เล็กๆ หน่ึง และใน ของท้งั สอง ไม่มี ไหนน่ารัก
นา่ ใคร่เท่า นีอ้ กี แลว้
พอรูเ้ รอ่ื งบ้าง แต่ก็กระท่อนแกระแท่น คราวน้ลี องอ่านขอ้ ความท้งั หมดดู
นายเดอรส์ ลยี ์เป็นผู้อานวยการบรษิ ัทกรนั นิง้ ซง่ึ ผลติ สวา่ น เขา เปน็ คนลาตวั ใหญ่ คอสน้ั จน
เรยี กได้ว่าไม่มีคอ แถมยงั ไวห้ นวด ดกเฟิ้ม ส่วนนายเดอรส์ ลยี น์ ้ันผอมแห้ง ผมบลอนด์
และ คอยาวเกอื บ เป็นสองเท่าของคนทั่วไป ซ่งึ มปี ระโยชน์มากสาหรบั เธอ ผูช้ อบ
ใชเ้ วลาสว่ นใหญ่ยดึ ขา้ มรว้ั สวนดอกไมแ้ อบสอดส่องดูเพื่อนบา้ นคอขา้ ม แอบสอดสอ่ งดู สามี
ภรรยาคนู ้มี ีลูกชายเล็กๆ คนหนงึ่ ชื่อตดั ล่ยี ์ ใบคแวลาะมใรนู้คชวดุามทเี่ห๔็นของทงั้ สองคนไม่มีเดก็
ทีไ่ หนน่ารกั น่าใคร่เท่าพอ่ หนูคนน้ีอกี แลว้
๑๖
หัดคดิ ใหก้ วา้ ง
ความคิดของคนเราจะแผอ่ อกไปกว้างใหญ่ไพศาลเทา่ ใด ก็ขน้ึ กับความสามารถในการแตกกง่ิ แกว้
เคล็ดลับในการช่วยให้เราคิดกว้างประการแรกคือ การตั้งคาถามท่ีเรามักคุ้นหูนั่นเอง ใครทาอะไร ที่ไหน
อยา่ งไร ทาไม เมื่อใด เมือ่ เราลองต้งั คาถามประเภทนี้กับหัวเร่อื งท่เี ราคดิ เราก็สามารถแตกก่งิ ออกมาไดอ้ ย่างน้อยก็ 4-5
ก่ิง ในวงการทั่วโลกจะมีคาศัพท์เฉพาะว่า BOI (Basic Ordering Ideas) นอกจากคาถามแล้วเราก็อาจจะขยายก่ิง
ออกมาตามคุณลักษณะ ขนาด คาจากัดความ ประวัติศาสตร์ คณุ ค่า ความรู้สกึ ลาดับ จดั ชน้ั
เวลาเราคดิ เรือ่ งอะไรสกั อยา่ ง หวั เรือ่ งนัน้ ๆ หรือ แกน่ แกน จะกาหนดกรอบความกว้างของเร่ืองท่ีเราคิด เช่น
เราจะคิดเรอ่ื ง ขา้ ว เราแตกก่งิ ออกไปได้กว้างขวาง ข้าวเกรียบ ข้าวจ่ี ข้าวซอย ข้าวแช่ ข้าวต้ม ข้าวตอก ข้าวตัง ข้าวตู
ข้าวนึ่ง ขา้ วพอง ข้าวมัน ข้าวยาคู ข้าวยา ขา้ วสวย ขา้ วหลาม ขา้ วเจา้ ขา้ วเหนียว
กิ่งแก้ว
ก่ิงแก้วเป็นการนาเอาประเด็น หัวข้อใหญ่ๆ ท่ีเราคิดในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง โยงกับหัวเรื่องท่ีเราต้องการศึกษา
หรืออยใู่ นความคิดของเรานน่ั เอง
คิดลกึ
เวลาเราเรมิ่ คิดเรอื่ งหนึ่ง แลว้ ความคิดนนั้ ส่งต่อไปยังความคิดที่สอง จากนั้นความคิดท่ีสองก็จุดประกายให้เรา
ได้ความคิดที่สาม ความคดิ ทีส่ ามก็โยงตอ่ ไปเร่ืองท่สี ี่ ต่อไปเรือ่ ย ๆ ก็เท่ากับว่า เราคิดลึกลงไปในหัวข้อนั้น ๆ การคิดลึก
ลงไปนี้ อาจจะเป็นการลงไปในรายละเอียดปลีกย่อย หรือเป็นเพียงการคิดสืบต่อทอดกันไปเป็นเปลาะๆ ความคิดที่อยู่
ติดกันจะต้องมีส่วนสัมพันธ์หรือเกี่ยวโยงกันไม่ทางใดก็ทางหน่ึง แต่ความคิดที่อยู่ห่างกันอาจจะไม่เกี่ยวกันโดยตรงได้
เช่น เราคิดเร่ืองกล้วย แล้วเราก็นึกถึงลิง พอเห็นลิง เราก็นึกต่อไปถึง ต้นไม้ จากต้นไม้เราอาจจะโยงไปถึงการใช้
กระดาษ พอไดย้ นิ คาวา่ กระดาษ เราก็โยงไปถึง หนังสือ ทันที จากน้ันเราก็นึกถึงเล่มโปรดของเราคือ แฮร่ี พอตเตอร์
แลว้ เรากน็ กึ ถึง พ่อมด ซ่งึ ทาให้เรานึกตอ่ ถึง หมอผี
ก่งิ กอ้ ย
หากเรานาตัวอย่างข้างบนน้มี าบนั ทึกให้โยงใยผกู กนั กจ็ ะไดภ้ าพเสมือนกิง่ ก้อยท่แี ตกแขนงทอดตัวออกไปจากแกนกลาง
หรอื แก่นแกนของกล้วย
กล้วย ลงิ ตน้ ไม้ กระดาษหนังสอื Harry Potter พ่อมด หมอผี
๑๗
ตวั อย่าง
๑๘
ใบความรู้ ชุดท่ี ๔
เรามักจะคุ้นเคยกับการคิดลึกมากกว่าการคิดกว้าง โดยเฉพาะเวลาเรา ใจลอย ฝันกลางวัน หรือเวลาเรามี
ปญั หาบางอยา่ ง เรากค็ ิดฟุ้งซ่าน ออกไปไกลๆ ได้ เราจึงตอ้ งหัดประคบั ประคองความคิดลึกของเราให้เป็นเรื่องเป็นราว
ใหไ้ ดป้ ระโยชน์มากขึ้น
การคิดลึกเป็นเรื่องที่ดีถ้าลาดับอย่างถูกวิธี สามารถช่วยให้เราลงรายละเอียดของเร่ืองท่ีเราสนใจศึกษาหรือ
ต้องการจาไดอ้ ยา่ งลกึ ซ้งึ
การคดิ ลึกแบ่งครา่ ว ๆ ได้สองลกั ษณะ คือ
๑. คดิ ลึกแบบเรอ่ื ยเป่ือย คอื คิดตอ่ เนือ่ งไปเปน็ เปลาะๆ อย่างไมส่ ูม้ จี ุดหมาย เราใช้ประโยชน์จากการคิดแบบน้ี ในการ
หาความคิดใหม่ การสารวจชอ่ งทาง แนวทางเพือ่ สร้างสรรค์ จงึ ปล่อยใหค้ วามคิดไหลลนื่ ต่อไปอย่างไมก่ ฎเกณฑ์
๒. คิดลกึ ลงไปในรายละเอียด ตอ้ งพยายามตีกรอบ ขีดวงให้คิดไหลลงไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งที่เราต้องการ เราใช้
ประโยชน์จากการคิดลึกแบบนี้ ในการเจาะลงไปในเนื้อหาท่ีแยกย่อยลงไปในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ดังนั้น ทิศทางการไหล
ของความคดิ จงึ มีส่วนโยงเชอื่ มกบั ความคิดแรกๆ ในกง่ิ กา้ นนนั้ ๆ มากกวา่ การคดิ แบบฟุ้งซ่าน
๑๙
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
การทา Mind Map
ชุดท่ี ๔ (ข้นั ๘-๙)
ขน้ั ท่ี ๘ หัด...คิดกวา้ ง
๘. ใหน้ กั เรียนฝกึ การคิดให้กว้าง โดยศกึ ษาจากใบความรู้ และฝกึ ทาจากรปู ภาพทกี่ าหนดให้ด้านล่าง ให้เวลา ๘ นาที
ต่อหนง่ึ รายการ
๒๐
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
การทา Mind Map
ชุดท่ี ๔ (ข้นั ๘-๙ )
ขน้ั ที่ ๙ หดั ..........คิดลึก
๙. ให้นกั เรียนลองฝกึ คิดลกึ ใช้เวลา ๙ นาที ต่อหนึ่งรายการข้างล่างน้ี
๒๑
ใบความรู้ ชุดที่ ๕
Mind map คืออะไร เปน็ การนาเอาทฤษฎที ่เี กย่ี วกับสมองมาใช้ใหเ้ กิดประโยชนอ์ ยา่ งสงู สุดโดยเฉพาะเก่ียวกับ
กระบวนการเรยี นรขู้ องมนุษย์ การเขยี นแผนที่ความคิด เกดิ จากการใช้ทกั ษะท้ังหมดของสมอง เป็นการทางานร่วมกัน
ของสมองท้ังสองซีก คือ สมองซีกซ้ายและซีกขวา สมองซีกขวา สมองซีกซ้าย จะทาหน้าท่ี จะทาหน้าที่ในการ
สังเคราะห์ วิเคราะห์ คา ภาษา คิดสร้างสรรค์ สัญลักษณ์ ลาดับ จินตนาการ ระบบ ความเป็นเหตุเป็นผล ความงาม
ศลิ ปะ ตรรกวิทยา
๒๒
Mind map ความเป็นมา
โทนี บซู าน (Tony Buzan) นกั จติ วิทยาชาวองั กฤษ เป็นผู้คิดรเิ รม่ิ เป็นผู้นาเอาความร้เู รอ่ื งสมองมาปรับใช้ กับ
การเรียนรู้ของเขา โดยพฒั นาการจากการจดบันทึกแบบเดมิ ที่จดบนั ทกึ เปน็ ตวั อกั ษร เปน็ บรรทัด ๆ เปน็ แถว ๆเปล่ียน
มาเป็นบันทกึ ดว้ ยคา ภาพ สัญลักษณ์แบบแผร่ ัศมอี อก รอบๆ ศนู ย์กลางเหมือนการแตก ก่งิ กา้ นของตน้ ไม้ การแตก
ของ เสน้ เซลสมอง โดยใชส้ ีสัน
๒๓
ตอ่ มาโทนี บซู าน พบวา่ วธิ ที ่เี ขาใช้นน้ั สามารถนาไปใชก้ บั กจิ กรรมอืน่ ๆ ทง้ั ในชวี ิตสว่ นตวั และชวี ติ การงาน เช่น
การวางแผน การตัดสินใจ การชว่ ยจา การแก้ปัญหา การนาเสนองาน และการเขยี นหนงั สอื เปน็ ต้น อาจารยธ์ ญั ญา
ผลอนันต์ เปน็ ผูน้ าความคดิ และวธิ กี ารเขยี นแผนท่ีความคดิ เขา้ มาใช้ และเผยแพรใ่ นประเทศไทย ในปี 2541 งาน
พฒั นาคณุ ภาพฝ่ายการพยาบาลฯ เรียนรู้จาก อาจารยล์ ือรตั น์ อนรุ ัตนพ์ านิช
การนาแนวคดิ เทคนคิ Mind map มาใชจ้ ะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งย่งิ กับผู้ทีม่ ีหน้าที่จัดการเรยี นรู้ ตงั้ แต่การ
วางแผน การจัดกิจกรรมตา่ งๆ ในการเรยี นรู้ สาหรบั ผเู้ รียนนนั้ จะสามารถพฒั นาทักษะในการเรียนรู้ ศาสตร์และศลิ ปะ
ด้านตา่ งๆ ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพมากข้นึ เชน่ สามารถช่วยคิด จา บันทึก การนาเสนอ ขอ้ มลู และชว่ ยแก้ปัญหาได้
อย่างเปน็ รปู ธรรม ทาใหก้ ารเรยี นรู้เปน็ เรอื่ งทสี่ นกุ สนาน มชี ีวติ ชวี ายิง่ ข้นึ
•Mind Map คือ เครื่องมอื ทช่ี ว่ ยในการจดั การระบบความคิดทมี่ ปี ระสิทธิภาพสูงสดุ เรยี บงา่ ยท่ีสุด มรี ูปแบบการจด
บนั ทกึ ที่สรา้ งสรรค์ และมปี ระสทิ ธภิ าพ
•เป็นการถ่ายทอดความคิด หรือขอ้ มลู ต่าง ๆ ที่มอี ยู่ในสมองลงกระดาษ โดยการใช้ภาพ สี เสน้ และการโยงใย แทนการ
จดยอ่ แบบเดมิ ท่เี ปน็ บรรทัด ๆ
•ใชก้ ารส่อื ความหมายด้วยขอ้ ความและรูปภาพคล้ายๆ การแตกกงิ่ กา้ นของต้นไม้
•เสรมิ สรา้ งทกั ษะในการวิเคราะหแ์ ละการสงั เคราะหข์ ้อมลู อันเป็นพ้นื ฐานในการเรยี นรูจ้ ดั ระเบียบความคิด จาได้ทน
นาน
๒๔
การเขยี น Mind Map
1. เตรียมอปุ กรณก์ ารเขียน ไดแ้ ก่
- กระดาษเปล่าทไ่ี มม่ เี ส้นบรรทดั : A4
- สีไม้ สเี มจิ สีเทยี น สีชอล์ค ปากกาหลายๆสี
2. วิธกี ารเขยี น
-วางกระดาษแนวนอน เร่มิ ตน้ จากกลางหน้ากระดาษ เพราะจะช่วยให้มีอสิ ระในการคิดแผ่ขยายไดต้ ามธรรมชาติ
การเขียนMind Map
- เร่ิมท่ีศนู ยก์ ลางซึ่งเรยี กวา่ “แกน่ แกน”
- แตกสู่“กง่ิ แกว้ ”
- ลงสู่“ก่งิ ก้อย”
- แตกไปเรอื่ ยๆ
- ตันก็เปล่ยี นกิ่ง
- ตอ่ เติมเม่อื จาเป็น * วาดกิง่ ทม่ี ีสัญลักษณ์
เปน็ เส้นโคง้ * ใชร้ ปู ภาพหรอื
สัญลักษณ์ ประกอบ
* ใช้สีสนั ใหท้ ว่ั ทัง้ แผ่น
* กิ่งกอ้ ยท่ีแตกแขนงออกมากิ่งแกว้ ควรมีสเี ดยี วกนั ท้งั แขนง
3. รวบรวมความสัมพันธข์ องเนอ้ื หา จดั จาแนก และวาดแยกตามความสัมพนั ธ์
4. เขยี นข้อความใหส้ ัน้ กระชบั ไดใ้ จความ
5. พยายามเว้นที่ว่างเพอื่ ให้สามารถขยายได้เมื่อมีการรวบรวมความคิดเพ่มิ เติม
6. เพ่อื ใหส้ ามารถจดั จาแนกกลุม่ ความคดิ ไดด้ ีควรใชป้ ากกาหลายสี
7. อาจเลอื กใชก้ ารวาดภาพเพอ่ื ใหส้ ามารถเข้าใจและจดจาได้ง่ายย่ิงขนึ้
๒๕
ประโยชน์ของ Mind Map
•ทาให้เหน็ ภาพรวมกวา้ งๆ ของหัวข้อใหญ่ หรือขอบเขตของเรือ่ ง
•สามารถจาแนกกลุ่มความคดิ ได้อยา่ งชดั เจน ช่วยให้ผูใ้ ชง้ านสามารถจับประเดน็ และเข้าใจไดง้ า่ ยย่ิงข้นึ
•สามารถรวบรวมขอ้ มลู จานวนมากลงไวใ้ นกระดาษแผ่นเดยี วกัน
•ทาให้สามารถวางแผนหรอื ตัดสนิ ใจไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เพราะรู้วา่ ตรงไหนกาลังจะไปไหนหรอื ผา่ นอะไรบ้าง
•กระต้นุ ใหค้ ดิ แกไ้ ขปัญหา โดยเปิดโอกาสใหม้ องเหน็ วธิ ใี หม่ ๆ ทีส่ รา้ งสรรค์
ใชร้ ะดมความคิดเห็น (Brain storming )
•ใชป้ ระกอบการเรียนการสอน (Teaching)
•ใช้สรุปรายงานการประชมุ (Meeting minutes)
•ใช้วางแผนโครงการ (Project planning)
•ใช้ในการอบรมและบรรยายทตี่ า่ งๆ (Training)
•ใชเ้ ก็บรวบรวมข้อมลู ความรู้ แนวคิด (capture tacit knowledge)
๒๖
การตรวจสอบ Mind Map
๒๗
๒๘
๒๙
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
การทา Mind Map
ชุดท่ี ๕ (ข้นั ๑๐ )
ข้ันตอนที่ ๑๐ ฝกึ Mini Mind Map
๑๐. ในชว่ งเร่มิ หดั ยงั ไม่ควรก้าวขา้ มไปทาเรื่องยากๆ ทันที เราควรเริ่มทา Mini Mind Map ก่อน Mini Mind Map ก็
คือ Mind Mapท่ียังไม่สมบูรณ์ อาจมีเพียงก่ิงแก้วเดียว หรือแตกก่ิงก้อยออกไป หรือมีเฉพาะก่ิงแก้วหลาย ๆ กิ่ง ยัง
ไม่ไดแ้ ตกกิ่งก้อยเลย อาจจะใชส้ ีเดยี วเขียนไปกอ่ นกไ็ ด้ ลองหัดเขียนไว้ตามริมขอบของหน้าหนังสือเรียน มุมใดมุมหนึ่ง
ของภาพ แผนภูมิ หรือกราฟ กอ่ นเขยี นควรจับประเดน็ เนอ้ื หาตามที่ได้ฝกึ มา
ให้นกั เรยี นลองเขียน Mini Mind Map จากเนอ้ื หา “ พลกิ ความคดิ เปน็ ปัญญา” ต่อไปน้ี
พลิกความคิดเปน็ ปัญญา
ความรู้กับความคิดไมเ่ หมอื นกัน เราสอนให้เด็กรู้แยะ แต่คิดไม่เป็น คนที่เก่งมากรู้มากอาจะเป็นคนคิดไม่เป็น
คนบางคนเรียนไม่เก่ง แต่คิดเก่งมาก ถ้าเราคิดดูในชีวิตของคนเราแล้ว คิดเก่งดีกว่าเรียนเก่ง เพราะเรียนเก่งเป็นการ
แขง่ ขันกับคนอ่นื แตค่ ิดเก่งเป็นการแข่งขนั กบั ตวั เองตลอด เพราะการแข่งขันกับตวั เองคอื การทา้ ทาย
ผมคดิ ไมเ่ หมอื นคนอนื่ ทาให้คนทไ่ี ม่คิด คิดไมท่ นั ไมท่ นั คิด ลืมคดิ คดิ ไมเ่ ปน็ สผู้ มไม่ได้ ผมไม่ได้สกู้ ับใคร
ผมจะเล่าให้ฟังโดยย่อก่อนจบ ผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการ ม. 211 ผมจะเรียนท่านว่า ทุกคนเขาไม่
ต้องการให้ผ่าน ไมว่ า่ ใครก็ตาม ทกุ คนมาล้อมผม กดดนั ผมท้งั นั้น คนนน้ั ไม่ไว้ใจคนนี้ ท้ังรัฐบาลและฝ่ายค้าน แต่ว่าผม
ทา Mind Mapping ไวไ้ ม่มใี ครรู้ ผมเขยี น Mind Mapping เพียงกระดาษแผ่นเดียว แล้ววางไว้ตรงหน้าผม แล้วผมคิด
ในขณะที่บางคนคิดไมท่ ัน ไม่ทนั คิด คดิ ไมไ่ ด้ คดิ ไมเ่ ป็น ของผมไมค่ ดิ ไม่ได้
ศ.ดร. ชยั อนนั ต์ สมทุ วณิช
ผู้บังคบั การวชริ าวุธวทิ ยาลยั
จาก รวมบทความจากปาฐกถาวชิราวุธวทิ ยาลัย
“ พลิกความคดิ เป็นปัญญา”
ฉบับพมิ พ์ครัง้ แรก 2542 หนา้ 365
๓๐
Mind Mapping
พลิกความคิดเปน็ ปัญญา
๓๑
แบบฝึ กพฒั นาทกั ษะการคดิ
Mind Map ลงชสุดู่ กทา่ีร๕อ่านจบั ใจSคoวาม
คาชี้แจง นักเรยี นอา่ นสารคดี เรอื่ ง สายใยของธรรมชาติ คอื สายใยของชีวิต
แล้วตอบคาถามจากแบบฝึกแบบฝกึ พฒั นาทกั ษะขอ้ ๑ – ๑๐
นานมาแล้วที่ธรรมชาติสร้างความอุดมสมบูรณ์ขึ้นไว้ให้กับผืนแผ่นดินน้ี ดินทุก ๆ ตารางน้ิวต่าง
ประกอบข้ึนดว้ ยธาตอุ าหารทไ่ี ดจ้ ากความชุ่มชื้น ภายใต้ร่มเงาของป่าไม้ ใบไม้แต่ละใบท่ีร่วงหล่นจากลาต้น คือ ระบบ
เลก็ ๆ ของธาตุอาหารทเ่ี กดิ ขึน้ บนผิวดนิ น่ันคือ เมื่อใดที่ใบไม้ร่วงหล่นถึงพื้นดินมันก็จะผุพังและเน่าเปื่อยด้วยความชุ่ม
ช้นื และจุลนิ ทรียเ์ ล็กๆ ท่ชี ว่ ยกันยอ่ ยสลายให้ใบไม้นัน้ กลายเป็นธาตอุ าหารสะสมอยู่ในดิน และดินก็จะสะสมธาตุอาหาร
ให้ตัวเองตลอดเวลาตราบเท่าทม่ี ปี า่ ไม้ มีนา้ เปน็ สายใยธรรมชาติเก้อื หนนุ กันและกัน
ในระบบของธรรมชาตนิ ้ัน น้าจะเกดิ ไดเ้ พราะมคี วามชุม่ ชนื้ ของปา่ ไม้แหง่ เทือกขุนเขา ให้กาเนิดต้นน้า
ลาธาร และปา่ ไมส้ ามารถสร้างระบบความสัมพนั ธอ์ นั ซับซ้อน ต้งั แต่ไม้เลก็ จนถึงไม้ใหญก่ ็ด้วยมผี ืนดนิ สร้างธาตุอาหารไว้
ให้ ท้ังป่าไม้ ดิน และน้า จึงมีความผูกพันที่ต่างให้ซ่ึงกัน และกัน และต่างไม่อาจอยู่ได้เพียงลาพังในระบบของ
ธรรมชาติ
เม่อื ธรรมชาติตา่ งผกู พนั กนั ไว้ดว้ ยสายใยแหง่ ชีวิตอนั ละเอียดอ่อน ความอุดมสมบูรณ์จึงเกิดขึ้นบนพ้ืน
พิภพ ทุกชีวิตท่ีเกิดข้ึนบนพ้ืนพิภพ จึงได้รับการโอบอุ้มไว้ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้ระบบความสัมพันธ์อัน
ซบั ซอ้ นของธรรมชาตมิ านานแสนนาน ย่ิงความสมั พนั ธ์มมี ากเพียงใด ชีวิตยิ่งได้รับความร่มเย็นเป็นสุขมากขึ้นเพียงน้ัน
ซึ่งความสมั พันธ์อันละเอยี ดอ่อนของธรรมชาตินี้มิอาจทาให้แตกสลายได้ เพราะการแตกสลายนน้ั คือ หนทางทจ่ี ะนาไปสู่
ความเสือ่ มสูญแห่งระบบความสัมพันธ์ของธรรมชาติท่ีต้องใช้เวลานับล้านปี กว่าจะสร้างเป็นระบบสายใยระหว่างกัน
ขนึ้ มาได้และ เม่อื ใดกต็ ามท่ีธรรมชาติแตกสลาย ชีวิตทุกชีวิตก็มิอาจอยู่ได้ เพราะทุกส่ิงทุกอย่างที่รวมกันข้ึนเป็นระบบ
ของธรรมชาติน้ันคือ ปัจจัยเดียวที่ทาให้ส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกนี้ได้ การแตกสลายของธรรมชาตินั้น จะเกิดขึ้นหาก
ธรรมชาตถิ กู รุกรานมากจนเกินกว่าที่ระบบของธรรมชาติจะฟน้ื ตัวเองได้ ตัวอย่างก็คือ กว่าที่ต้นไม้แต่ละต้นจะเติบโต
ข้ึนมาเป็นป่ารกทึบได้ ต้องใช้เวลานับพันนับหม่ืนปี หากไม้ในป่าแต่ละป่าถูกโค่นเผาถาง ถูกตัดฟันทาลายลงอย่าง
รวดเรว็ ในเวลาเพียงไม่กีป่ ี ป่าก็มิอาจฟื้นตัวเองไดท้ นั ความชมุ่ ชนื้ ทปี่ ่าไม่เคยสร้างแก่ดินและแหล่งต้นน้าลาธารก็สูญส้ิน
ไปด้วย
ความเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น และมีผลกระทบถึงระบบความสัมพันธ์ของธรรมชาติน้ันเป็นผลที่เกิดจากการ
พฒั นาการดารงชีวิตของมนษุ ย์ท้ังสิ้นในเส้นทางวิวัฒนาการทางด้านการเกษตรกรรมนั้น มนุษย์ได้เข้าไปทาลายระบบ
ความซับซ้อนของธรรมชาติก็เพ่ือกอบโกยเอาความอุดมสมบูรณ์ท่ีธรรมชาติสร้างขึ้นไว้มาเพ่ือประโยชน์ของมนุษย์เอง
นน่ั คือ มนุษยไ์ ดเ้ ข้าไปเปิดพ้นื ท่ีป่าอนั รกทบึ เพือ่ แปรเปลยี่ นผืนดินให้เปน็ ท้องทุ่งแหง่ การเพาะปลูกพืชพันธ์ุธัญญาหาร
โดยอาศยั ความอุดมแหง่ ธาตุอาหารจากผืนดินที่ธรรมชาติสร้างไว้ สร้างความเจริญเติบโตให้แก่พืชพันธ์ุของตนเอง วัน
๓๒
เวลาทีผ่ า่ นไปพืน้ ท่ีราบแห่งการเกษตรกรรมก็กระจายกว้างออกไปทุกหนทุกแห่งแทนพ้ืนท่ีป่าท่ีเคยรกทึบ สัดส่วนของ
พน้ื ท่ีเกษตรกรรมจงึ เพิ่มข้นึ พรอ้ ม ๆ กับการลดลงของพน้ื ที่ปา่
ป่าไมน้ ้ันคอื แหลง่ ศูนยร์ วมความชมุ่ ช้นื ของโลก เมื่อป่าไม้ลดลง ความชุ่มช้ืนจะ ค่อย ๆ สูญสลายไปจากพิภพ
ในทานองเดียวกัน พ้ืนดินที่ถูกแยกอกมาจากป่าให้เป็นท้องทุ่งเกษตรกรรมก็ค่อย ๆ ลดความอุดมสมบูรณ์ของธาตุ
อาหารในดนิ ไป เพราะต้องนาไปหล่อเลีย้ งพชื พนั ธธ์ุ ญั ญาหารจนในที่สดุ เหลอื อยู่เพียงความรกร้างว่างเปล่า
ในขณะทีร่ ะบบความสมั พนั ธ์ของปา่ ไม้ ดิน และน้าถูกรบกวนอย่างรุนแรงน้นั ระบบแห่งจักรวาลก็ถูกรบกวน
จากมนษุ ย์เชน่ เดยี วกนั ตัวการซ่ึงรุกล้าข้ึนไปทาลายระบบความสัมพันธ์ในจักรวาลนั้น คือ ระบบความเจริญแห่งการ
พฒั นาทางอตุ สาหกรรมท่ีเผ่าพนั ธม์ุ นษุ ย์ได้คิดค้นคว้า เพ่ือสร้างความย่ิงใหญ่ให้แก่โลกนั่นเอง อากาศบริสุทธ์ิที่ถูกเจือ
ปนดว้ ยกา๊ ซพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมและจากยวดยานพาหนะน้ีนาไปสู่ภาวะการเกิดฝนกรด การทาลายช้ันโอโซน
ในบรรยากาศ และการอบความรอ้ นในพิภพไม่ใหก้ ระจายข้นึ ไปส่หู ว้ งบรรยากาศได้
โลกเป็นดาวดวงเดียวที่มีส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่พลังงานต่าง ๆ ซึ่งกระจายอยู่ในส่ิงแวดล้อมไม่ว่าจะเป็น
พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ การแปรเปลี่ยนรูปของน้าในระบบนิเวศ และการพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกันของ
ทรัพยากรธรรมชาติ คือ ปัจจัยที่ทาให้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้ และจะเก้ือหนุนความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ชีวิตได้
ตราบนานเท่านานทรี่ ะบบน้ไี ด้ถกู รบกวนทาลาย
หากวนั นี้โลกกาลังถกู เปล่ยี นแปลง ธรรมชาติกาลังเสื่อมสลาย ความร่มเยน็ เปน็ สขุ ของชวี ติ กาลังเสื่อมสูญ ชีวิต
มอิ าจอยู่ได้ทา่ มกลางการแตกสลายของพิภพ
ในวันนี้จึงมีเพียงมนุษย์เท่าน้ันท่ีจะสามารถฟื้นฟูความสมดุลของธรรมชาติให้แก่พื้นพิภพขอได้โปรดพิทักษ์
ธรรมชาติไว้เพ่ือชวี ติ อันย่ังยืนนานบนพน้ื พิภพน้ี
************************
๓๓
คาชแ้ี จง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามจากเรือ่ งทีอ่ ่าน
1.สง่ิ ท่ีชว่ ยย่อยสลายให้ใบไมก้ ลายเปน็ ธาตุอาหาร คอื อะไร
…………………………………………………………………………………………
2.ธาตุอาหารในดนิ เกิดขน้ึ ได้อย่างไร
…………………………………………………………………………………………
3.สงิ่ ท่ีชว่ ยให้สง่ิ มชี วี ิตอาศยั อยบู่ นโลกได้คืออะไร
…………………………………………………………………………………………
4.ความชุม่ ชน้ื ของป่าไมแ้ ละแหล่งนา้ ลาธารจะสูญสน้ิ ไป เกดิ จากอะไร
…………………………………………………………………………………………
5.ใครเป็นผู้ทาลายระบบความซับซ้อนของธรรมชาติ และชว่ ยฟ้ืนฟธู รรมชาติ
…………………………………………………………………………………………
6.แหลง่ ศนู ยร์ วมความชุ่มช้ืนของโลก คอื อะไร
…………………………………………………………………………………………
7.ระบบความสัมพันธข์ องปา่ ไม้ ดนิ และน้าถูกทาลายจะสง่ ผลใหอ้ ะไรถกู ทาลายดว้ ย
…………………………………………………………………………………………
8.สาเหตุใดบ้างทท่ี าใหพ้ ิภพแตกสลายและชีวิตอยู่ไม่ได้
…………………………………………………………………………………………
9. ภาวะการเกดิ ฝนกรด คืออะไร
………………………………………………………………………………………….
10.ปจั จยั อะไรบ้างท่ที าใหม้ นุษย์มชี ีวิตอยู่บนโลกนไ้ี ดอ้ ยา่ งมีความสุข
………………………………………………………………………
๓๔
แบบทดสอบหลงั เรยี น
จงตัง้ ช่อื เรื่องของบทความในแบบฝกึ ท่ี ๕ พรอ้ มกับสรปุ เป็น Mind mapping โดยใช้เทคนคิ ของบซู าน
๓๕
เฉลย แบบทดสอบก่อนเรียน
จงตอบคาถามต่อไปน้ี
๑. แผนผงั ความคิด ( Mind Mapping) คอื อะไร
ตอบ คอื การถา่ ยทอดความคดิ หรอื ข้อมูลต่าง ๆ ที่มอี ยใู่ นสมองลงกระดาษ โดยการใช้ภาพ สี เส้น และการโยงใย
แทนการจดยอ่ แบบเดมิ ที่เปน็ บรรทดั ๆ เรียงจากบนลงลา่ ง ขณะเดยี วกนั มนั ก็ช่วยเป็นสือ่ นาข้อมลู จากภายนอก เชน่
หนงั สอื คาบรรยาย การประชุม สง่ เข้าสมองให้เก็บรักษาไว้ได้ดีกวา่ เดมิ ซ้ายงั ชว่ ยให้เกดิ ความคิดสรา้ งสรรคไ์ ด้งา่ ยเขา้
เนื่องจะเห็นเปน็ ภาพรวม และเปิดโอกาสให้สมองให้เชื่อมโยงตอ่ ขอ้ มูลหรอื ความคดิ ตา่ ง ๆ เข้าหากันได้งา่ ยกวา่
๒. นกั เรยี นสามารถเอาเทคนคิ การเขียนแผนผังความคดิ ไปทาอะไรได้บา้ ง
ตอบ นาไปจดั การเรยี นรู้ ต้งั แต่การวางแผน การจดั กจิ กรรมต่าง ๆ
๓. การเขยี นแผนผังความคิดเป็นการใช้สมองทง้ั สองซกี โดยซกี ขวาและซีกซา้ ย ทางานตา่ งกันอย่างไร
ตอบ สมองซกี ซ้ายทาหน้าทใ่ี นเรอื่ งการใช้ภาษา การเขยี น การอา่ น ทกั ษะดา้ นตัวเลข เป็นสมองในส่วนของการ
ตัดสนิ ใจ ส่วนสมองซกี ขวาทาหนา้ ทใี่ นเรื่องความเขา้ ใจ ความมีสุนทรยี ะด้านดนตรี และการใช้จินตนาการ จงึ เปน็ ส่วน
ของการสร้างสรรคเ์ ราเร่มิ ใช้สมองซกี ขวาก่อนวัยเดก็ ช่วงชัน้ อนบุ าล และเม่ือข้นั วยั ประถมศึกษาเราจะใช้สมองซีกซา้ ย
เพื่อเรียนรูท้ างดา้ นวิชาการมากกว่า
เฉลยแบบฝึก
แบบฝกึ ที่ ๑-๔ อยู่ท่ดี ุลยพินิจครผู ู้สอน
แบบฝึกทกั ษะการคิดชดุ ที่ ๕
๑.จุลนิ ทรยี ์
๒.ใบไม้หลน่ บนพน้ื ดิน เกิดการผพุ ัง เน่าเปอ่ื ย และมจี ุลนิ ทรยี ์ชว่ ยยอ่ ยสลาย
๓.ป่าไม้
๔.ทาลายป่าไม้
๕.มนุษย์
๖.ป่าไม้
๗.ระบบแหง่ จกั รวาล
๘. (๑) โลกเปลย่ี นแปลง (๒) ธรรมชาติกาลังเส่อื มสลาย
(๓)ความรม่ เยน็ เป็นสุขของชีวิตกาลังเส่ือมสูญ
๙. อากาศมกี ๊าซพษิ จากโรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะ
๑๐. การพง่ึ พาอาศยั กันของทรัพยากรธรรมชาติ
แบบทดสอบหลังเรียน ชือ่ เร่ือง ความสมั พนั ธ์และพง่ึ พาเพ่อื ความสมดลุ ธรรมชาติ
แผนผงั แนวคดิ อยทู่ ี่ดลุ ยพนิ จิ ผู้สอน ตามเกณฑ์
๓๖
เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถการสรา้ งแผนผังความคิดตามแนวคดิ ของโทนี่ บซู าน
เลข ชอ่ื -สกลุ ขนาด สี การออกแบบ เนื้อหา รวม
ท่ี
๑
๒
๓
๔
๕
๖
๗
๘
๙
๑๐
๑๑
๑๒
๑๓
๑๔
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑
๒๒
๒๓
๒๔
๒๕
๒๖
๓๗
เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถการสร้างแผนทีค่ วามคดิ แนวคดิ ของโทน่ี บูซาน
ประเด็นการ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
สงั เกต
๕ คะแนน ๔ คะแนน ๓ คะแนน ๒ คะแนน ๑ คะแนน
ขนาดของแก่น เห็นชัดเจนทกุ เหน็ ชดั เจนทกุ เห็นชดั เจน เหน็ ชัดเจน เหน็ ไมช่ ัดเจนทุก
แกน ส่วน เส้นต่อเน่อื ง ส่วน เส้นต่อเนื่อง บางสว่ น เสน้ บางสว่ น เส้น สว่ น เส้นไม่
ไม่ขาด เส้นต่อ ไมข่ าด เส้นตอ่ ตอ่ เนือ่ งไมข่ าด ตอ่ เนอื่ งไมข่ าด ต่อเน่ือง ความ
ตรงจากก่ิงแก้ว ไม่ ตรงจากก่ิงแก้ว ไม่ เสน้ ต่อตรงจากก่ิง เส้นต่อตรงจากก่ิง ยาวของเสน้ เกิน
มีชอ่ งวา่ ง ความ มีช่องวา่ ง ความ แก้ว ไม่มีชอ่ งว่าง แกว้ มีชอ่ งว่าง คาหรือภาพ
ยาวเท่ากับคาหรอื ยาวเกนิ กับคาหรือ ความยาวเกินกับ ความยาวเกินกบั มากกว่า๓ เส้น
ภาพ ภาพ ๑ เส้น คาหรือภาพ ๒ คาหรอื ภาพ ๓
เส้น เส้น
สี มากกว่า ๔ สี ขน้ึ มี ๔ สี สีทีแ่ ตก มี ๓ สี สที แี่ ตก มี ๒ สี สีท่ีแตก มี ๑ สี สที ่แี ตก
ไป สที แ่ี ตกจากกิง่ จากกิ่งแกว้ จากกิง่ แกว้ จากกง่ิ แกว้ จากก่งิ แก้ว
แก้วเดียวกันใช้สี เดยี วกันสีเดียวกนั เดียวกันมี ๒ สี เดยี วกันมี ๓ สี เดียวกันมีมากกว่า
เดียวกัน ๓ สี
การออกแบบ ขนาดพอเหมาะ ขนาดพอเหมาะ ขนาด ลกู ศรโยง ขนาด ลกู ศรโยง ขนาดเล็กเกนิ ไป
ลกู ศรโยงขอ้ มูล ลูกศรโยงขอ้ มูล ขอ้ มูล ความคดิ ข้อมูล ความคดิ เหน็ ไม่ชัดเจน
ความคิดสัมพนั ธ์ ไม่สมั พันธก์ ัน ไมส่ ัมพนั ธ์กัน ขอ้ มลู ไมส่ มั พนั ธ์
กนั ภาพสื่อกับคา ความคดิ ภาพไม่สอื่ กับคา ภาพไม่สื่อกบั คา กนั ภาพไมส่ ่อื กับ
ความสมั พนั ธ์
สาคัญของเรอ่ื งที่ ภาพไม่ส่ือกับคา สาคญั ของเร่อื งที่ สาคัญของเรอื่ งที่ คาสาคญั ของเรือ่ ง
อ่าน สาคัญของเรื่องท่ี อา่ น ๒ แห่ง อ่าน ๓ แห่ง ท่ีอา่ นมากกวา่ ๓
อ่าน ๑ แห่ง แห่ง
เนือ้ หา ครอบคลมุ ประเด็นสาคัญ ประเดน็ สาคัญ ประเดน็ สาคัญ ประเด็นสาคญั
ประเด็นสาคัญ ของเรือ่ งท่ีอ่าน ของเรอ่ื งที่อ่าน ของเรือ่ งที่อ่าน ของเรอ่ื งทอ่ี า่ น
ของเรื่องทีอ่ า่ นทุก ขาด ๑ ประเด็น ขาด ๒ ประเดน็ ขาด ๓ ประเดน็ ขาดมากกว่า ๓
ประเด็น ประเด็น
กาหนดเกณฑ์การประเมิน ๑๐-๑๓ คะแนน อยู่ในระดับพอใช้
๑๘-๒๐ คะแนน อยู่ในระดับดีมาก ๐-๙ คะแนน อย่ใู นระดับต้องปรับปรุง
๑๔-๑๗ คะแนน อย่ใู นระดับดี
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2553).แนวทางการจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี นตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน
พทุ ธศักราช 2551 พิมพ์ครัง้ ที่ 2 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน สานกั วชิ าการและมาตรฐาน
การศกึ ษา
คณะทางาน KM สานกั งานเกษตรจังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา. แผนทค่ี วามคิด(MIND MAP). [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
http://www.flas.kps.ku.ac.th/forum/index.php?topic=51.0 (9 สิงหาคม 2555).
จาเนียร เลก็ สุมา. (๒๕๕๒). การพัฒนาความสามารถในการอา่ นจบั ใจความจากนทิ านส่งเสริมคุณธรรมของ
นกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปีที่ ๒ ดว้ ยการจดั การเรียนรู้โดยใช้เทคนิคการสร้างแผนที่ความคดิ .
วทิ ยานิพนธ์ ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต บณั ฑติ วทิ ยาลยั . มหาวิทยาลยั ศิลปากร.
ธัญญา ผลอนนั ต.์ 2547. แบบฝึกหัดคิดพิชติ Mind Map. กรงุ เทพฯ: ขวญั ข้าว.
วเิ ชียร เกษประทุม.คู่มือเตรยี มสอบภาษาไทย.กรงุ เทพฯ;มติ รสัมพนั ธก์ ราฟฟิคอาร์ต.
ศริ พิ รรณ ชาญสุกิจเมธ.ี แผนท่ีความคิด: Mind Mapping. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก :
http://www.si.mahidol.ac.th/th/division/soqd/admin/news_files/ 403_18_4.pdf. (9 สิงหาคม
2555).