มหาเวสสันดรชาดก
ตอน กัณฑ์มัทรี
จัดทำโดย
นางสาวกัญญารัตน์ เพชรช่วย
ม.๕/๒ เลขที่ ๑๗
ประวัติผู้แต่ง
เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา รับราชการในสมัยสมเด็จ
พระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับ
การแต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิฒนโกษา ก่อนจะเลื่อนมาเป็น
เจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า ซึ่งนอกจากผล
งานด้านราชการแล้ว เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ยังมีผลงาน
ด้านการประพันธ์จำนวนมาก เช่น สามก๊ก (ฉบับแปล)
ราชาธิราช บทมโหรีเรื่องกากี อิเหนาคำฉันท์ ร่ายยาวมหา
เวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร และกัณฑ์มัทรี ฯลฯ
ที่มาของเรื่อง
มาจาก ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งใน
ทศชาติชาดก หรือที่เรียกว่า “พระเจ้าสิบชาติ” กัณฑ์นี้เป็น
กัณฑ์ที่ 9 ในทั้งหมด 13 กัณฑ์
จุดประสงค์ในการแต่ง
เพื่อที่จะนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาสอน
ประชาชน
ลักษณะคำประพันธ์
เป็นร่ายยาว วิธีแต่งยกคาถาภาษาบาลีขึ้นเป็นหลัก
แล้วแปลแต่งเป็นภาษาไทยด้วยร่ายยาว ภาษาบาลีที่ยกมา
นั้นจะยกมาเป็นตอน ๆ สั้นบ้าง ยาวบ้างตามลักษณะเรื่อง
แล้วแปลเป็นภาษาไทยอีกทีหนึ่ง
เนื้อเรื่องย่อ
กล่าวถึงพระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ แล้วเจอเหตุการณ์
มหัศจรรย์ต่าง ๆ จึงเดินทางกลับอาศรม ก็เกิดพายุใหญ่
มืดครึ้มไปทั่วบริเวณ อีกทั้งยังมีสิงห์สาราสัตว์ร้าย มา
ขวางทางไว้ เมื่อมาถึงอาศรมได้ทราบความ ทำให้พระองค์
เสียพระทัยมาก จนสลบไป หลังจากฟื้ นคืนสติกลับมา
พระนางก็อนุโมทนากับพระเวสสันดรด้วย
ถอดคำประพันธ์
คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ใน
ป่า พระกุมารทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึง
ลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบแก้มทั้งสองข้าง พลางสังเกต
เห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้ ส่วนต้นที่มีดอก
ไม้กลับกลายเป็นผลไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไป
ร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็
มืดมัวทุกหนแห่ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับ
ลางบอกเหตุร้าย สายตาของพระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่น
ใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วงลงจากบ่า
ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร
ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก
พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไปหาลูกที่อาศรม
แต่ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง
ขวางทางไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของ
ตนเอง นางจะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้งสาม
กั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้ามืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร
จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์หิมพานต์ทั้งสามเปิดทาง
ให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรีเป็นภรรยา
ของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความ
บริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิว
นม โปรดเปิดทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะ
แบ่งผลไม้ให้
จากนั้นไม่นานสัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้
พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา
เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม
ร้องเรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะออก
มาหาแม่กันพร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วนชาลีจะขอ
กินผลไม้ พระนางมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็
ดูแลลูกอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมา
พบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถว
นี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี นี่ก็ของเล่นกัณหา แต่เมื่อลูกหายไป
อาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นางจึงไปถามพระ
เวสสันดรว่าลูกหายไปไหน เหตุใดจึงปล่อยให้คลาดสายตา
หากมีสัตว์ป่าจับไปจะทำอย่างไร แต่พระเวสสันดรกลับไม่
ตอบอะไร ทำให้นางกลุ้มใจยิ่งไปว่าเก่า
ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวาย
พลางบอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาด
นี้ เพราะนางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้
สุขใจเพราะอยู่พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัว
ไป ความหวังนั้นก็คล้ายจะดับสิ้น พระนางมัทรีอ้อนวอน
ขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง เพราะการนั่งนิ่ง
เหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำให้ปวดใจราวกับมี
คนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือเป็นคนไข้ที่หมอนำ
ยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่างแน่นอน เมื่อ
พระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่าหากใช้
ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนางได้
จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระดาบสและนาย
พรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ
หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึง
ทิ้งลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่
ลูก ไม่ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควร
หายเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร
เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใด
พระองค์จึงไม่ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือ
เหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้ทำให้ทำให้พระนางไม่สามารถ
กลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลายประการขณะที่นาง
เข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็ร่วง
ลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออก
ผลก็ผลิดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น อธิษฐาน
ภาวนาให้ลูกและสามีปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรม
แต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวางทางเอาไว้ จึงต้อง
กราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จนพระอาทิตย์
ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่ง
กลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่
อย่างใด ฝ่ายพระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรี
ก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน จนกระทั่งรุ่งเช้า ระหว่างนั้นพระ
นางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่ง
ศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้
ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด
แล้วอ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากินอาหารที่ตนหามา
ถามว่าลูกอยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่
ไม่ว่าจะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด
ออกมา พระนางจึงถวายบังคมลาออกไปตามหาลูกทั้ง
สองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจนทั่วแล้วไม่พบจึง
กลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่
เหมือนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระ
เวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ หรือ
ก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับบอกว่า
พระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อ
กลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์และได้เห็นลูก
ทั้งสองวิ่งเล่น ก็คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วัน
นี้กลับกลายเป็นความทุกข์ร้อน เศร้าโศก เพราะพระองค์
ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนางมัทรีจะได้ออก
ตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี แล้วกลับ
มาหาพระเวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่
เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้จนหมดสติล้มลงกับพื้น
พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน ไม่เคยได้
แตะต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศกและ
ตระหนกตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดร
จึงเข้าไปตรวจชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้ นขึ้นมา ฝ่าย
พระนางมัทรีเมื่อฟื้ นขึ้นมาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสอง
อยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่
พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระชาลี
ให้กับชูชกไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรี
ตั้งแต่ต้นเกรงว่าพระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อได้รู้ความ
จริงแล้ว พระนางมัทรีจึงคลายความทุกข์เศร้าลงแล้ว
อนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระเวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้ง
นี้
ข้อคิดจากเรื่อง
อความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก
ผู้ที่ปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วย
ความอดทนและเสียสละอันยิ่งใหญ่ด้วย
ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัว
มีความสุข
ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้ดี
การบริจาคบุตรทานงบารมีเป็นสิ่งที่ยากยิ่งที่ใครจะ
กระทำได้ง่ายๆ