The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการเรียนวิชาดนตรี 1 จัดทำโดยนางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน และนายเกียรติสิน เทพวารินทร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

เอกสารประกอบการเรียนวิชาดนตรี 1

เอกสารประกอบการเรียนวิชาดนตรี 1 จัดทำโดยนางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน และนายเกียรติสิน เทพวารินทร์

เอกสารประกอบการเรียน หลกัสต ู รโรงเร ี ยนว ิ ทยาศาสตรภ ์ ม ู ิ ภาค ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2554 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2561) เกียรติสิน เทพวารินทร์ นฤมล สุภัคศิริประสาน ดนตรี 1 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ใบอนุญาตเลขที่ A25/2566 กลุ่มบริหารวิชาการ ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1


ใบอนุญาตให้ใช้สื่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา -------------------------------------------------------- เลขที่ A25/2566 วันที่ 30 เดือน ตุลาคม พ.ศ. 2566 เอกสารประกอบการเรียน รายวิชาพื้นฐาน ศ21102 ดนตรี 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ตามหลักสูตรโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช ๒๕66 เรียบเรียงโดย นางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราชได้พิจารณาแล้ว อนุญาตให้ใช้ ในสถานศึกษาได้ (นายวิชัย ราชธานี) ผู้อำนวยการโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช


คำนำ เอกสารประกอบการเรียนการสอน รายวิชาดนตรี1 (ศ30103) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ฉบับนี้ ทางคุณครูประจำวิชาได้จัดทำขึ้นมาเพื่อเป็นเอกสารประกอบค้นคว้าหาความรู้สำหรับคุณครู และนักเรียน เพื่อช่วยในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ และสร้างสรรค์ผลงานทางด้านดนตรีของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามหลักสูตรโรงเรียนวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย นครศรีธรรมราช เอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้ ประกอบด้วยหน่วยการเรียนรู้ จำนวน 4 หน่วย คุณครูประจำ วิชาได้รวบรวม เรียบเรียง และนำเสนอเนื้อหาพร้อมกับภาพประกอบ ให้สอดคล้องกับกิจกรรมการ เรียนรู้ สาระมาตรฐานการเรียนรู้ ตรงตามมาตรฐานตัวชี้วัด ซึ่งเทียบเคียงกับหลักสูตรแกนกลาง ครูผู้สอนหวังว่าเอกสารประกอบการเรียนรู้ฉบับนี้ จะเป็นฐานในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ของนักเรียน ในรายวิชาดนตรี1 (ศ21102) บรรลุวัตถุประสงค์อย่างดีที่สุด นายเกียรติสิน เทพวารินทร์ นางสาวนฤมล สุภัคศิริประสาน ผู้จัดทำ


2 สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ใบอนุญาตให้ใช้สื่อในสถานศึกษา ค หน่วยการเรียนรู้ที่1 สนุกกับตัวโน้ตไทย สากล 1 เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีไทย 1 เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีสากล 4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ดนตรีต่างวัฒนธรรม 9 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีไทย 9 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีสากล 16 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีพื้นเมือง 23 หน่วยการเรียนรู้ที่3 ร้องเล่นดนตรีสร้างสีสันให้อารมณ์ 26 การขับร้องเพลง 26 การปฏิบัติขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ 29 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การแสดงดนตรีเชิงบูรณาการ 33 องค์ประกอบดนตรีสากล 33 องค์ประกอบดนตรีไทย 36 บทบาทอิทธิพลของดนตรี 38 แผนการจัดการเรียนรู้ฉบับย่อ 41 บรรณานุกรม 45


1 เรื่อง เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีไทย ตอนที่ 1 เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีไทย องค์ประกอบประกอบโน้ตเพลงไทย จังหวะ สามารถแบ่งได้ดังนี้ อัตราจังหวะชั้นเดียว อัตราจังหวะ 2 ชั้น (มีจำนวนห้องเพลงเป็น 2 เท่าของชั้นเดียว) อัตราจังหวะ 3 ชั้น (มีจำนวนห้องเพลงเป็นสองเท่าของ 2 ชั้น, หรือ 4 เท่าของชั้น เดียว) ซึ่งความสั้นยาวของเพลงดังกล่าว เมื่อบรรเลงต่อเนื่องจึงมีผลให้การบรรเลงเกิดความ ช้าเร็วไปตามสัดส่วน ดังนี้ เพลงที่มีจังหวะ 3 ชั้นจะบรรเลงช้า เพลงที่มีจังหวะ 2 ชั้นจะบรรเลงปานกลาง เพลงที่มีจังหวะชั้นเดียวจะบรรเลงเร็ว การที่จะรู้ว่าเพลงใดเป็นเพลงบรรเลงในจังหวะใด สามารถสังเกตได้จากเสียง ฉิ่ง และ กลอง ซึ่งเรียกว่า จังหวะหน้าทับ ที่ปรากฏในแต่ละห้องเพลงเป็นสำคัญ เพลงไทยนิยมแบ่งห้องเพลงออกเป็นเลขคู่ ใน 1 ชุด หรือ 1 บรรทัด จะมี 8 ห้อง ใน 1 ห้อง มี 4 จังหวะ ใน 1 จังหวะคือ 1 ตัวโน้ต (ตัวอย่าง) โน้ตเพลงไทย


2 ดังนั้น เสียงฉิ่งที่ปรากฏในเพลงแต่ละอัตราจังหวะ จะแสดงได้ดังนี้ จังหวะ 3 ชั้น จังหวะ 2 ชั้น จังหวะชั้นเดียว เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีไทย เครื่องหมายและสัญลักษณ์โน้ตไทยตามหลักของ พันโทพระอภัยพลรบ (พลอย เพ็ญกุล พ.ศ. 2403-2459) ซึ่งเป็นผู้แต่งตำราดนตรีวิทยาเมื่อ พ.ศ.2450 และอธิบายหลักการบันทึกโน้ตแบบตัวอักษร ขึ้นจนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก การบันทึกโน้ตแบบตัวอักษรนี้เป็นการใช้ตัวอักษรไทยมา เปรียบเทียบให้ตรงกับเสียงของโน้ตสากลดังนี้ ในกรณีที่เป็นโน้ตเสียงสูงจะใช้การประจุดไว้บนตัวโน้ต เช่น ดํ= โด สูง เป็นต้น วิธีการนี้ช่วยให้ เข้าใจง่าย สำหรับวิธีการบันทึกโน้ตไทยนั้นจะบันทึกลงในตาราง โดยแบ่งออกเป็นบรรทัด บรรทัดละ 8 ช่อง เรียกว่า “ห้อง” ในแต่ละห้องจะบรรจุโน้ตไว้ 4 ตัว ถ้าเป็นอัตราจังหวะสองชั้นหรือจังหวะปานกลาง โน้ตตัวสุดท้ายของแต่ละห้องจะเป็นโน้ตเสียงจังหวะตก ซึ่งในที่นี้จะอธิบายเฉพาะการอ่านโน้ตแบบอัตรา สองชั้น เป็นหลัก ฉิ่ง ฉับ ฉิ่ง ฉับ ฉิ่ง ฉับ ฉิ่ง ฉับ นอกจากตัวโน้ตที่บันทึกลงในตารางแล้ว ยังมีเครื่องหมาย – ซึ่งใช้แทนตัวโน้ตด้วยขีด 1 ขีด (-) ใช้แทนโน้ต 1 ตัว แสดงการเพิ่มเสียงตัวโน้ตที่อยู่ข้างหน้าเครื่องหมายให้มีเสียงยาวขึ้น ทั้งนี้ความยาว ของเสียงจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนขีด (-) ดังนี้ ถ้ามี - มีค่าความยาวของเสียงเท่ากับ 1/4 จังหวะ ถ้ามี - - มีค่าความยาวของเสียงเท่ากับ 2/4 จังหวะ ถ้ามี - - - มีค่าความยาวของเสียงเท่ากับ 3/4 จังหวะ ถ้ามี - - - - มีค่าความยาวของเสียงเท่ากับ 4/4 จังหวะ หรือ เท่ากับ 1 จังหวะ


3 วิธีการอ่านโน้ตไทยนั้นจะใช้การเคาะจังหวะที่โน้ตท้ายห้อง แทนเสียงฉิ่งฉับในอัตราสองชั้นจะมี โน้ตตัวสุดท้ายเป็นเสียงจังหวะตกเสมอ เมื่อกำหนดให้ 1 บรรทัดโน้ตเท่ากับ 1 หน้าทับปรบไก่ ดังนั้นเมื่อ อ่านโน้ตอัตราสองชั้น ควรเคาะจังหวะที่โน้ตห้องสุดท้ายแทนเสียงฉิ่งเสียงฉับ สำหรับการบันทึกโน้ตไทย โดยทั่วไปจะบันทึกไว้ 8 ลักษณะที่พบมากที่สุด ดังนี้ โน้ตแบบ 4 ตัว ต่อ 1 ห้อง โน้ตแบบ 3 ตัว ต่อ 1 ห้อง โน้ตแบบ 3 ตัว แต่เป็นลักษณะของ 1 ห้อง 1 ตัว และ 3 ห้อง 3 ตัว เป็นโน้ตที่ใช้สำหรับมือฆ้อง โน้ตแบบ 2 ตัว ต่อ 1 ห้อง (ตัวที่ 2 และตัวที่ 4) โน้ตแบบ 2 ตัว ต่อ 1 ห้อง (ตัวที่ 3 และตัวที่ 4) โน้ตแบบ 2 ตัว ต่อ 1 ห้อง เป็นแบบจังหวะยก (ตัวที่ 1 และตัวที่ 2) โน้ตแบบ 1 ตัว ต่อ 1 ห้อง โน้ตแบบ 1 ตัว ต่อ 2 ห้อง แบบฝึกการอ่านโน้ต เพลงแขกบรเทศ 2 ชั้น ท่อน 1 - - - ซ - ล ล ล - - - ดํ - ล ล ล - ซ ซ ซ - ล - ซ - - - ม - ม ม ม - ล ซ ม ซ ม ร ด - ซฺ - ด - ด ร ม - ซ - ล - ซ - ม - - - ร - - - ด ท่อน 2 - มํ มํ มํ - รํ - ดํ - รํ - ดํ - ซ - ล ดํ ล ซ ม ร ม ซ ล - รํ - ดํ ดํ ดํ - รํ - ล ซ ม ซ ม ร ด - ซฺ - ด - ด ร ม - ซ - ล - ซ - ม - - - ร - - - ด


4 ก่อนการฝึกปฏิบัติเครื่องดนตรีหรือขับร้องเพลงไทย ผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับ เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ที่ใช้ในการบันทึกโน้ตให้เข้าใจเสียก่อน จึงจะสามารถปฏิบัติหรือขับร้องได้ ถูกต้องตามทำนองและจังหวะของเพลงไทย โดยเครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีไทยที่ควรทราบมี ดังนี้ 1. บรรทัดที่ใช้ในการบันทึกโน้ต การบันทึกโน้ต เพลงไทยปกติโดยทั่วไป บรรทัดหนึ่งจะแบ่ง ออกเป็น 8 ห้องเท่า ๆ กัน โดยในแต่ละห้อง จะประกอบไปด้วยตัวอักษร ที่ใช้แทนเสียงตัวโน้ตกี่ตัว 2. สัญลักษณ์แทนเสียงตัวโน้ต ซึ่งโน้ตเพลงไทยไม่นิยมบันทึกลงในบรรทัด 5 เส้นเหมือนดนตรี สากลแต่มีรูปแบบที่ได้กำหนดไว้อย่างเหมาะสมกับดนตรีไทยแล้ว ทั้งที่ใช้ตัวเลขแทนเสียงและใช้ ตัวอักษรแทนเสียงโดยในปัจจุบันนิยมใช้เป็นตัวอักษรแทนเสียง ระดับเสียงของดนตรีไทยมีทั้งหมด 7 เสียงเช่นเดียวกับดนตรีสากลซึ่งแต่ละช่วงเสียงจะห่างกัน 1 เสียงเต็มเท่ากันทุกเสียงไม่มีระยะครึ่งเสียง เหมือนโน้ตสากล 3. สัญลักษณ์แทนความยาวของจังหวะ เสียงของตัวโน้ตนั้นมีทั้งเสียงสั้นและสระเสียงยาวซึ่งใน การบันทึกโน้ตเสียงยาวจะ ใช้สัญลักษณ์แทนความยาวของจังหวะ โดย 1 ขีดมีค่าเท่ากับความยาวของ Note 1 ตัวหากยาวมากก็เพิ่มจำนวนสัญลักษณ์ตามขนาดความยาวของตัวโน้ตแต่ละตัวว่าผู้ประพันธ์ ต้องการให้มีความยาวมากน้อยเพียงใด 4. เครื่องหมายแสดงการแบ่ง พวกปฏิบัติ โดยทำนองเพลงไทยบางตอนนั้นอาจมีการบรรเลงที่ เรียกว่า ลูกล้อ หรือลูกขัด มีการแบ่งผู้บรรเลงเป็น 2 พวกจึงใช้เครื่องหมายเขียนบนทำนองของแต่ละ พวกเพื่อให้ปฏิบัติได้ถูกต้อง 5. เครื่องหมายที่แสดงถึงการปฏิบัติซ้ำ ใช้เขียนหน้าเส้นแบ่งห้องและหลังห้องที่ต้องการให้ ปฏิบัติทำนองนั้นซ้ำปกติจะเขียนไว้ต้นท่อนและท้ายท่อนเพื่อให้บรรเลงกลับต้นอีกครั้ง ตอนที่ 2 เครื่องหมายและสัญลักษณ์ทางดนตรีสากล 1. บรรทัด 5 เส้น (Staff) คือ เส้นตรงแนวนอนขนานกัน มีระยะห่างระหว่างเส้นเท่ากัน ประกอบด้วยเส้นบรรทัดจำนวน 5 เส้นและช่องบรรทัด 4 ช่อง โดยกำหนดให้เส้นบรรทัดล่างสุดเป็นเส้น ที่ 1 แล้วไล่ตามลำดับจากล่างขึ้นบน สัญลักษณ์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่ใช้สื่อภาษาดนตรีจะบันทึกไว้ บนบรรทัดห้าเส้นหรือบริเวณใกล้เคียง ตัวอย่าง บรรทัดห้าเส้น


5 2. ตัวโน้ต (Note) เป็นสัญลักษณ์ทางดนตรีที่บันทึกไว้บนบรรทัดห้าเส้น เพื่อแสดงระดับ เสียงสูงต่ำ ตำแหน่งของตัวโน้ตมี 2 ลักษณะคือ ตัวโน้ตที่อยู่ในช่องบรรทัดหรืออยู่คาบบนเส้นบรรทัด หรือล่างเส้นบรรทัดที่มีชื่อเรียกว่า เส้นน้อย ลักษณะของตัวโน้ตมีลักษณะ ดังนี้ ลักษณะของ ตัวโน้ต ชื่อภาษาไทย ชื่อระบบอเมริกัน ค่าความยาวของตัวโน้ต ตัวกลม Whole note มีค่ามากที่สุด ตัวขาว Half note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวกลม ตัวดำ Quarter note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวขาว ตัวเขบ็ต 1 ชั้น Eight note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวดำ


6 ตัวเขบ็ต 2 ชั้น Sixteenth note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวเขบ็ต 1 ชั้น ตัวเขบ็ต 3 ชั้น Thirty second note มีค่าครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวเขบ็ต 2 ชั้น ตารางที่ 1.2 ชื่อเรียกตัวโน้ตและค่าความยาว 3. ตัวหยุด (Rest) หมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ชนิดหนึ่งที่ใช้บันทึกแทนเสียงดนตรี หรือเสียงขับร้อง เพื่อให้เสียงดนตรีหรือเสียงขับร้องเงียบเสียงลงชั่วขณะหนึ่งตามอัตราของตัวหยุด ที่มี ค่าเทียบเท่ากับตัวโน้ต มีชื่อเรียกตามลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ลักษณะของ ตัวโน้ต ชื่อภาษาไทย ชื่อระบบอเมริกัน ค่าความยาวของตัวโน้ต ตัวหยุดตัวกลม Whole Rest มีค่าหยุดเสียงมากที่สุด ตัวหยุดตัวขาว Half Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวกลม ตัวหยุดตัวดำ Quarter Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวขาว ตัวหยุดตัวเขบ็ต 1 ชั้น Eight Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัวดำ


7 ตัวหยุดตัวเขบ็ต 2 ชั้น Sixteenth Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัว เขบ็ต 1 ชั้น ตัวหยุดตัวเขบ็ต 3 ชั้น Thirty second Rest มีค่าหยุดเสียงครึ่งหนึ่งของโน้ตตัว เขบ็ต 2 ชั้น ตารางที่ 1.3 ชื่อเรียกตัวหยุดและค่าในการหยุดเสียง 4.กุญแจเสียง (Clef) หมายถึง เครื่องหมายที่ใช้กำหนดชื่อตัวโน้ต ตำแหน่ง และระดับเสียง บันทึกอยู่ตอนต้นของบทเพลง กุญแจประจำเสียงที่ควรรู้จัก มีดังนี้ 4.1 กุญแจซอล (G clef) จะต้องมีตำแหน่งอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 2 เสมอ ซึ่งจะทำให้โน้ตที่ คาบอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 2 เป็นโน้ตตัวซอล (G) 4.2 กุญแจฟา (F clef) จะต้องมีตำแหน่งอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 4 เสมอ ซึ่งจะทำให้โน้ตที่ คาบอยู่บนเส้นบรรทัดที่ 4 เป็นโน้ตตัวฟา (F) 4.3 กุญแจโด (C clef) เป็นกุญแจประเภทเคลื่อนที่ได้ กุญแจโดจะมีตำแหน่งคาบอยู่บน เส้นบรรทัดใดก็ได้ ซึ่งจะทำให้โน้ตที่คาบอยู่บนเส้นบรรทัดนั้นเป็นโน้ตโด-กลาง (Middle C)


8 5.การอ่านโน้ต 5.1 การอ่านโน้ตบนกุญแจซอล (G clef) 5.2 การอ่านโน้ตบนกุญแจฟา (F clef)


9 ตอนที่ 1 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีไทย ตอนที่ 2 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีสากล ตอนที่ 3 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีพื้นเมือง ตอนที่ 1 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีไทย ประเภทของเครื่องดนตรีไทย วงการดนตรีไทยมีวิธีการสร้างเครื่องดนตรี โดยนำวัสดุจากธรรมชาติมาสร้างและประดิษฐ์เป็น เครื่องดนตรีหลายชนิด บางชนิดได้นำเครื่องดนตรีของชาติอื่นมาปรับเปลี่ยนและพัฒนา เพื่อให้เกิด ความเหมาะสมต่อการนำมาใช้ในวงดนตรีและสอดคล้องกับกิจกรรมทางสังคมวัฒนธรรมของไทย การจำแนกเครื่องดนตรีของไทยจึงพิจารณาจากวิธีการกระทำให้เกิดเสียงได้ 4 ประเภท คือ เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี และเครื่องเป่า ประเภทของเครื่องดนตรีไทย ดีด ดีดสี ดีดตี เป่ า ดีด


10 1.1 เครื่องดีด เครื่องดีด เป็นเครื่องดนตรีที่มีสายและกะโหลกเสียงหรือกล่องเสียงเป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำ ให้เกิดเสียงโดยใช้นิ้วหรือไม้ไปที่สายให้สายสั่นสะเทือน เช่น จะเข้ กระจับปี่ ซึง พิณ น้ำเต้า พิณเปี๊ยะ เป็นต้น 1.2 เครื่องสี เครื่องสี เป็นเครื่องดนตรีที่ดัดแปลงมาจากเครื่องดีด มีสายและกะโหลกเสียงเป็นส่วนประกอบที่ สำคัญเช่นเดียวกับเครื่องดีด ทำให้เกิดเสียงโดยใช้คันชักสีที่สาย เช่น ซอสามสาย ซออู้ ซอด้วง สะล้อ เป็นต้น


11 1.3 เครื่องตี เครื่องตี แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1. เครื่องตีที่ทำด้วยไม้ เช่น เกราะ โกร่ง กรับ กรับพวง กรับเสภา ระนาดเอก ระนาด ทุ้ม โปงลาง เป็นต้น 2. เครื่องตีที่ทำด้วยโลหะ เช่น ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ ระนาดทุ้มเหล็ก มโหระทึก ฆ้อง เป็นต้น 3. เครื่องตีที่ขึงด้วยหนัง เช่น กลองทัด กลองตะโพน กลองชาตรี กลองแขก กลอง มลายู กลองยาว กลองชนะ ตะโพนไทย ตะโพนมอญ โทนมโหรี เปิงมางคอก บัณเฑาะว์ เป็นต้น 1.4 เครื่องเป่า เครื่องเป่า แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. เครื่องเป่าไม่มีลิ้น เช่น ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยหลีบ ขลุ่ยอู้ สังข์ เป็นต้น 2. เครื่องเป่ามีลิ้น เช่น ปี่นอก ปี่ใน ปี่กลาง ปี่ชวา ปี่มอญ ปี่อ้อ แคน เป็นต้น


12 ประเภทวงดนตรีไทย วงดนตรีไทยเป็นวงดนตรีที่มีพัฒนาการต่อเนื่องกันมายาวนาน โดยมีศิลปิน ดนตรีเป็นผู้รักษา มรดกวัฒนธรรม และมีพระมหากษัตริย์ ตลอดจน พระราชวงศ์ ขุนนางข้าราชการและคหบดี ที่มีฐานะ ได้ร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาดนตรีไทยมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ดนตรีไทยมีความสมบูรณ์และ สามารถนำมาใช้บรรเลง ทั้งในงานพระราชพิธี งาน พิธีกรรม ประกอบการแสดงงาน บันเทิง และการ นำไปประกอบธุรกิจด้านต่าง ๆ ได้ วงดนตรีไทยมีแบบแผนที่ เป็นสมบัติวัฒนธรรมร่วมกัน ของคนทั้งชาติโดยแบบแผนของวง ดนตรีไทยที่เป็นต้นแบบให้เกิดวงดนตรีลักษณะอื่น ๆ อีกหลายวงที่นักเรียนควรทราบมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภทดังนี้ 1.วงปี่พาทย์ วงปี่พาทย์ หมายถึงวงดนตรีที่เกิดจากการประสมวงกันระหว่างเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องเป่าและเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีเป็นหลักโดยแบ่งออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้ 1.1 วงปี่พาทย์เครื่องห้า วงดนตรีประเภทนี้มีเครื่องดนตรีประกอบไปด้วยปี่ ใน ระนาด เอก ฆ้องวงใหญ่ตะโพน ฉิ่ง กลองทัด


13 1.2 วงปี่พาทย์เครื่องคู่ วงดนตรีประเภทนี้เกิดการผสมวงครั้งแรกในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยู่หัว เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่ใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบเล็ก กลับ และโหม่ง 1.3 วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ วงดนตรีประเภทนี้เกิดจากการผสมวงครั้งแรกในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปีใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ฆ้องวงเล็ก ตะโพนกลองทัด ฉิ่ง ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่กลับ และ โหม่ง 2. วงเครื่องสายไทย วงเครื่องสายไทย เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทที่มีสายเป็นหลัก ส่วนเครื่องดนตรีชนิดอื่น ๆ ที่ประสมในวงเครื่องสาย นิยมใช้เครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงที่มีความ กลมกลืนสอดคล้องกับเครื่องดนตรีอื่น ๆ ในวง โดยวงเครื่องสายไทยแบ่งออกได้ 2 ชนิด ดังนี้


14 2.1 วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว หรือวงเครื่องสายวงเล็ก เครื่องดนตรีประกอบด้วย ซอ ด้วง 1 คัน ซออู้ 2 คันจะเข้ 1 คันขลุ่ยเพียงออ 1 เหล้า โทนรำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ และฉาบเล็ก 1 คู่ 2.2 วงเครื่องสายเครื่องคู่ เครื่องดนตรีประกอบด้วย ซอด้วง 2 คัน ซออู้ 2 คัน จะเข้ 2 คันขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลีบ 1 เลา โทน-รำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบเล็ก 1 คู่กับ 1 คู่ และโหม่ง 1 ใบ 3. วงมโหรี วงมโหรี เป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีประสมวงครบทุกกลุ่ม คือเครื่องดีดสีตีเป่า ลักษณะเด่นของวงประเภทนี้คือความกลมกลืนของระบบเสียงที่ใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่ถูกย่อ สัดส่วนสำหรับฆ้องวงที่ผสมในวงดนตรีประเภทนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าฆ้องมโหรี การปรับลดขนาดเครื่อง ดนตรีประเภทเครื่องตีเพราะการ ให้ระบบเสียงมีความดังที่เข้ากันได้กับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย วงมโหรี มีการผสมวง และถือเป็นแบบแผนมาตั้งแต่สมัยรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำแนกออกเป็น 3 ขนาด ดังนี้


15 3.1 วงมโหรีเครื่องเดี่ยว เครื่องดนตรีประกอบด้วยซอสามสาย 1 คัน ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ระนาดเอก 1 ร่างของวงใหญ่ 1 วง จะเข้ 1 ตัว ซอด้วง 1 คัน ซออู้ 1 คัน โทนรำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ และฉาบเล็ก 1 คู่ 3.2 วงมโหรีเครื่องคู่ เครื่องดนตรีประกอบด้วยซอสามสาย 1 คัน ซอสามสายหลีบ 1 คัน ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลีบ 1 เลา ระนาดเอก 1 รางระนาดทุ้ม 1 ราง ฆ้องวงใหญ่ 1 วงฆ้องวง เล็ก 1 วง จะเข้ 2 ตัว ซอด้วง 2 คันซออู้ 2 คัน โทนรำมะนา 1 สำรับ ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบเล็ก 1 คู่ กลับ 1 คู่ โหม่ง 1 ใบ 3.3 วงมโหรีเครื่องใหญ่ เครื่องดนตรีมี ซอสามสาย 1 คัน ซอสามสายหลีบ 1 คัน ขลุ่ย เพียงออ 1 เลา ขลุ่ยหลีบ 1 เลาระนาดเอกมโหรี 1 ร่างและหน้าทุ้มมโหรี 1 ราง ระนาดเอกเหล็กมโหรี หนึ่งร่าง ระนาดทุ้มเหล็กมโหรี 1 ราง ฆ้องวงใหญ่ 1 วงฆ้องวงเล็ก 1 วง จะเข้ 2 ตัว ซอด้วง 2 คัน ซออู้ 2 คัน โทนรำมะนา 1 สำหรับ ฉิ่ง 1 คู่ ฉาบเล็ก 1 คู่ กลับ 1 คู่ และโหม่ง 1 ใบ


16 ตอนที่ 2 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีสากล ประเภทของเครื่องดนตรีสากล เครื่องดนตรีสากล มีหลายประเภท การแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีสากลนั้น ผู้รู้ทางด้าน ดนตรีอาจแบ่งประเภทของเครื่องดนตรีแตกต่างกัน โดยทั่วไปแล้วเครื่องดนตรีสากลจะแบ่งตามหลักการ เกิดเสียงหรือวิธีการในการบรรเลง ที่เรียกว่า “แบ่งประเภทตามสกุล” ของเครื่องดนตรีซึ่งสามารถ จำแนกได้ 5 ประเภท ดังนี้ 1. เครื่องสาย 2. เครื่องเป่าลมไม้ 3. เครื่องเป่าทองเหลือง 4. เครื่องดนตรีประเภทลิ่มนิ้ว 5. เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี


17 1. เครื่องสาย (The String Instruments) เครื่องดนตรีประเภทนี้ทำให้เกิดเสียงได้โดยการสั่นสะเทือนของสายลวดหรือสายอ็น นอกจากนั้นแล้วยังมีกล่องเสียงที่ใช้ขยายเสียง ทำให้เสียงดัง และมีลักษณะของเสียงที่แตกต่างกันไป เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายนี้ แบ่งตามวิธีการเล่นได้ 2 ประเภท คือ 1.1 ประเภทเครื่องดีด การดีดอาจใช้นิ้วหรือปิ๊ค (Pick) ส่วนใหญ่ทำจากชิ้นส่วนของ กระดองเต่ากระ หรือพลาสติก เครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่กีต้าร์ แบนโจ แมนโดลิน และฮาร์ป 1.2 ประเภทเครื่องสีเครื่องดนตรีชนิดนี้ใช้คันชัก ซึ่งคันชักจะทำด้วยไม้และขนหางม้า ก่อนเล่นจะต้องฝนคนหางม้าด้วยยางสน เพื่อทำให้เกิดความฝืด นอกจากใช้คำชักแล้วยังสามารถใช้ดีด ได้ด้วย เครื่องดนตรีที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ ไวโอลิน วิโอลา วิโอลอนเชลโล และดับเบิลเบส


18 2. เครื่องเป่าลมไม้(The Woodwind Intruments) เครื่องดนตรีประเภทนี้ แบ่งตามกรรมวิธีที่ทำให้เกิดเสียงเป็น 2 ประเภท คือ 1. เป่าลมผ่านช่องลม ลำตัวของเครื่องดนตรีประเภทนี้มีลักษณะเป็นท่อ เครื่องดนตรีที่อยู่ใน กลุ่มนี้ได้แก่ รีคอร์เดอร์(Recorder) พิกโคโล (Piccolo) และฟลูต (Flute) 2. เป่าลมผ่านลิ้น เครื่องดนตรีประเภทนี้จะมีลิ้นอยู่ที่ส่วนของปากสำหรับเป่า ลิ้นสามารถ เปลี่ยนได้ลิ้นมีทั้งลิ้นเดี่ยวและลิ้นคู่ เครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ คลาริเน็ต (Clarinet) แซ็กโซโฟน (Saxophone) โอโบ (Oboe) เป็นต้น 3. เครื่องเป่าลมทองเหลือง เครื่องดนตรีประเภทนี้ทำให้เกิดเสียงโดยการเป่าลมให้ผ่านริมฝีปากไปปะทะกับช่องที่เป่า (Mouth Piece) ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของมวลอากาศ เครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ คอร์เน็ต (Cornet) ทรัมเป็ต (Trumpet) เฟรนช์ฮอร์น (French horn) ทรอมโบน (Trumbone) เป็นต้น


19 4. เครื่องดนตรีประเภทลิ่มนิ้ว เครื่องดนตรีประเภทนี้มีลิ่มนิ้วเรียงกันเป็นแผง เวลาเล่นใช้นิ้วมือกดลงบนลิ่มนิ้วของเครื่อง ดนตรีการเกิดเสียงนั้นขึ้นอยู่กับกลไกภายใน ซึ่งมีลักษณะเป็นค้อนเล็ก ๆ ตีที่เส้นลวดหรือแท่งโลหะ หรือมีลักษณะเป็นท่อลมที่มีที่ปิด – เปิด เครื่องดนตรีที่อยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ เปียโน (Paino) ออร์แกน (Organ) และเมโลเดียน (Melodion) ในปัจจุบันเครื่องดนตรีประเภทลิ่มนิ้วได้ถูกปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น โดยมีการนำระบบไฟฟ้า มาทำให้เกิดเสียง เครื่องดนตรีกลุ่มนี้ได้แก่ออร์แกนไฟฟ้า เปียโนไฟฟ้า คีย์บอร์ดไฟฟ้า เป็นต้น 5. เครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี(The Percussion Instrumens) เครื่องดนตรีประเภทนี้ใช้สำหรับประกอบจังหวะ บางชนิดใช้บรรเลงทำนองได้แบ่งออกเป็น ประเภทใหญ่ ๆ ตามลักษณะของระดับเสียงได้2 ประเภท ดังนี้ 1. ประเภทที่มีระดับเสียงไม่แน่นอน (Indefinite Pitch) เครื่องดนตรีประเภทนี้เป็น เครื่องตีประกอบจังหวะ ไม่สามารถเป็นทำนองได้แต่สามารถให้จังหวะหรือควบคุมเพื่อให้การบรรเลงนั้น พร้อมเพียงกัน หรือตีประกอบเพื่อให้การบรรเลงนั้น ๆ มีความไพเราะและน่าฟังขึ้น เครื่องดนตรีจังหวะกลุ่มนี้ได้แก่ กลองใหญ่ (Bass Drum) กลองเทเนอร์(Tenor Drum) กลองชุด เป็นต้น


20 2. ประเภทที่มีระดับเสียงแน่นอน (Definite Pitch) เครื่องดนตรีประเภทนี้สามารถไล่ เสียง และสามารถใช้บรรเลงทำนองได้แต่มีบางชนิดในกลุ่มนี้ที่ไม่สามารถเล่นเป็นทำนองเดี่ยว ๆ ได้แต่ ก็สามารถเทียบเสียงและตีให้จังหวะได้เครื่องดนตรีกลุ่มนี้ได้แก่ ไซโลโฟน (Xylophpne) เบลไลรา (Bell Lyra) และระฆังราว (Tubular Bells) ลักษณะของวงดนตรีสากล วงดนตรีที่เกิดขึ้นในศตวรรษต้น ๆ จนถึงปัจจุบัน จะมีลักษณะการผสมวงที่แตกต่างกัน ทั้งชนิด ของเครื่องดนตรีและจำนวนชิ้นที่ใช้ในการบรรเลง ความหลากหลายของเครื่องดนตรีและจำนวนผู้เล่น ดังกล่าวก่อให้เกิดวงดนตรีตามสมัยนิยม เช่น Chamber Music, orchestra, String Band เป็นต้น ลักษณะการประสมวงของแต่ละชนิดจะกล่าวต่อไป ดังนี้ 1. วงเชมเบอร์มิวสิค (Chamber Music) เป็นลักษณะการผสมวงที่นิยมเล่นในราชสำนัก หรือผสมวงเล่นกันในห้องโถ ห้อง ใหญ่ๆ ในบ้าน หรือเล่นในระหว่างเพื่อนฝูง เป็นลักษณะของวงดนตรีแบบง่าย ๆ ตามปกติมีนักดนตรี ตั้งแต่ 2 คนจนถึง 9 คน มีเครื่องดนตรีอย่างละชิ้น นักดนตรีที่จะเล่นดนตรีแบบเชมเบอร์มิวสิค (Chamber Music) จะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง บรรเลงได้อย่างถูกต้องและประณีต เพราะเครื่อง ดนตรีแต่ละชิ้นจะบรรเลงโดยนักดนตรีเพียงคนเดียว วงดนตรีในลักษณะของวงแชมเบอร์มิวสิค (Chamber Music) จะมีชื่อเรียกต่างกันไปตาม จำนวนของผู้เล่นโดยเริ่มตั้งแต่ 2 ถึง 9 คน มีชื่อเรียกดังนี้ คือ ผู้เล่น 2 คน เรียกว่า ดูเอ็ต (Duet) 3 คน เรียกว่า ทรีโอ (Trio) 4 คน เรียกว่า คลอเต็ต (Quartet) 5 คน เรียกว่า ควินเต็ต (Quintet) 6 คน เรียกว่า เซ็กซ์เต็ต (Sextet) 7 คน เรียกว่า เซปเต็ต (Septet) 8 คน เรียกว่า อ็อกเต็ต (Octet) 9 คน เรียกว่า โนเน็ต (Nonet)


21 วงดนตรีในลักษณะนี้ จะไม่มีผู้อำนวยการเพลง (Conductor) และเพลงที่นำมาใช้บรรเลงกับวง ดนตรีประเภทนี้จะเป็นเพลงที่เน้นความกลมกลืนของการประสานเสียงโดยมีความยาวของการบรรเลง ไม่มากนัก 2. วงดุริยางค์(Orchestra) วงดนตรีในลักษณะนี้ตามปกติจะประกอบด้วยเครื่องดนตรี 4 กลุ่ม ใหญ่ คือกลุ่ม เครื่องสาย กลุ่มเครื่องเป่าลมไม้กลุ่มเครื่องเป่าลมทองเหลือง และกลุ่มเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี บรรเลงเป็นแนว ๆ แต่ละแนวจะมีนักดนตรีเล่นดนตรีชนิดเดียวกันหลายคน โดยมีกลุ่มเครื่องสายเป็น เครื่องดนตรีหลักในวงดุริยางค์ วงดนตรีลักษณะนี้ จะมีผู้อำนวยการเพลง คือไม้บาตอง (Batong) ยืนอยู่บนแท่น เล็ก ๆ หน้าวง ผู้อำนวยการเพลงจะมีหน้าที่ควบคุมการบรรเลงของนักดนตรีทั้งวง การจัดวงดุริยางค์นี้จะให้ไวโอลินที่ 1 อยู่ทางซ้ายมือของผู้อำนวยการเพลง และจะให้ ไวโอลินที่ 2 อยู่ขวามือ แต่บางครั้งอาจจะจัดให้ไวโอลินที่ 1 และที่ 2 อยู่ทางซ้ายมือ และให้วิโอลา กับเชลโลอยู่ทางขวามือ ส่วนดับเบิลเบสอยู่แนวแถวหลังสุดของวง เครื่องเป่าลมไม้จะอยู่ถัดจากแนว เครื่องสาย เครื่องเป่าลมทองเหลืองจะอยู่หลังเครื่องเป่าลมไม้ ส่วนเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี อยู่หลัง เยื้องกับเครื่องเป่าลมทองเหลือง ในบางครั้งเครื่องเป่าลมทองเหลือง ดับเบิลเบส และเครื่องดนตรี ประเภทเครื่องตีอาจจะสลับกันก็ได้ วงดุริยางค์อาจแบ่งได้หลายขนาดตามจำนวนของผู้เล่น แต่ละขนาดจะมีชื่อเรียก ต่างกันดังนี้ 1. วงดุริยางค์ซิมโฟนี(Symphony Orchestra) เป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครื่องดนตรีทุกชนิดในกลุ่มเครื่องดนตรีทั้ง 4 กลุ่มที่กล่าวมาแล้ว วงดุริยางค์ตามลักษณะนี้ จากบรรเลงเพลง Symphony เป็นหลักเพลง (Symphony คือ เพลงเถาที่มี 3-4 ท่อน) เพลงซิมโฟนีเป็นเพลงที่บรรเลงยากมาก นักดนตรีที่บรรเลงเพลงประเภทนี้จะต้องมี ความสามารถสูง วงดุริยางค์ซิมโฟนียังแบ่งออกเป็นวงขนาดเล็ก (Small Orchestha) มีนักดนตรีประมาณ 40 ถึง 60 คน วงขนาดกลาง (Medium Orchestha) มีนักดนตรีประมาณ 60-80 คน และวงขนาดใหญ่ (Full Orchestha) มีนักดนตรีประมาณ 80-100 คน 2. วงเครื่องสาย (String Band) วงดนตรีในลักษณะนี้ มีเครื่องดนตรี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เครื่องสายที่ใช้ดี ได้แก่ กีต้าร์ แบนโจ แมนโลดิน เบส และเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่นำ เอา เครื่องตีหลาย ๆ ชิ้นมารวมเป็น ชุด เรียกว่า “กลองชุดหรือกลองแจ๊ส” วงดนตรีชนิดนี้ใช้ผู้บรรเลงไม่มาก ไม่เปลืองพื้นที่


22 3. แตรวง (Brass Band) วงดนตรีประเภทนี้มีเครื่องดนตรีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เครื่องเป่าลมทองเหลือง เครื่องเป่าลมไม้และเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี - เครื่องเป่าลมทองเหลือง ได้แก่ ทรัมเป็ต ทรอมโบน และทูบา - เครื่องเป่าลมไม้ได้แก่แซ็กโซโฟน และ คลาริเน็ต - เครื่องดนตรีประเภทตีได้แก่กลองใหญ่กลองสแนร์ฉาบ และไซโลโฟน ชนิดที่มีด้ามมือถือ เป็นต้น วงดนตรีในลักษณะนี้เหมาะสมสำหรับการเดินขบวน เช่นการเดินสวนสนามของตำรวจ ทหาร เป็นต้น สร้างบรรยากาศให้สดใส เกิดความฮึกเหิม กล้าหาญ ผู้ตีกลองใหญ่จะต้องรักษาจังหวะให้ สม่ำเสมอ ในการเดินขบวนจะต้องมีคนนำหน้า ดรัมเมเยอร์ คอยให้จังหวะโดยใช้คฑาส่งสัญญาณให้ผู้ บรรเลงได้ทราบ เช่น สั่งให้หยุดบรรเลง หรือเปลี่ยนเพลง เป็นต้น 4. วงโยธวาทิต (Military Band) วงโยธวาทิต มีลักษณะคล้ายกับแตรวง เหมาะสมกับการบรรเลงกลางแจ้ง วงดนตรี ประเภทนี้มีเครื่องดนตรีอยู่ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เครื่องเป่าลมทองเหลืองเครื่องเป่าลมไม้ได้แก่ ฟลูต คลาลิเน็ต โอโบ และเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี วงโยธวาทิตจะมีคนนำหน้าดรัมเมเยอร์คอยกำกับจังหวะและให้สัญญาณต่าง ๆ เช่นเดียวกับวงแตรวง 5. วงแจ๊ส (Jazz Band) ดนตรีประเภทวงแจ๊สเป็นวงดนตรีที่มีจุดกำเนิดมาจากชนชาติผิวดำชาวอเมริกันเชื้อ สายอัฟริกา (นิโกร) แห่งเมืองนิวออร์ลีนส์ประเทศสหรัฐอเมริกา การบรรเลงดนตรีแจ๊ส ในระยะแรกนั้นเป็นการบรรเลงสด ไม่มีโน้ต เป็นการบรรเลง แนวสร้างสรรค์รูปแบบ improvisation คือ ผู้บรรเลงจะคิดทำนองเพลงขึ้นมาบรรเลงสดหรือบรรเลงต่อ เติมทำนองเพลงที่มีอยู่แล้วให้แปลกใหม่ออกไปด้วยตนเอง โดยไม่ต้องมีโน้ตกำกับผู้บรรเลงมักจะมี รูปแบบการบรรเลงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพลงที่บรรเลงเป็นเพลงที่สนุกสนาน ครึกครื้น เร้าอารมณ์ เครื่องดนตรีที่นิยมใช้ในวงแจ๊ส เช่น ทรัมเป็ต ทรอมโบน กีตาร์ เปียโน กลองชุด เบส เป็นต้น วงดนตรีแจ๊สที่บรรเลงในระยะแรกนั้น มักเป็นวงดนตรีขนาดเล็ก มีผู้บรรเลงประมาณ 3 ถึง 8 คน ต่อมาดนตรีแจ๊สได้พัฒนารูปแบบให้มีขนาดใหญ่ขึ้นโดยมีผู้บรรเลงประมาณ 10-20 คน 6. วงคอมโบ (Combo band) วงคอมโบเป็นวงดนตรีขนาดเล็ก สำหรับเมืองไทยวงคอมโบจะมุ่งบรรเลงโดยการขับ ร้องประกอบเป็นส่วนใหญ่ นิยมนำไปบรรเลงตามห้องอาหาร ไนต์คลับ งานมงคลต่าง ๆ วงดนตรี ประเภทนี้มีนักดนตรีไม่มากนัก จำนวนของนักดนตรีแต่ละเครื่องดนตรีไม่แน่นอนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุ หลายประการด้วยกัน


23 เครื่องดนตรีที่นิยมใช้ในวงคอมโบ ได้แก่ ทรัมเป็ต แซ็กโซโฟน เปียโน กีต้าร์ เบสและ กลองชุด การจัดวงดนตรีขนาดเล็กแบบนี้อาจใช้เครื่องดนตรีมากกว่า 5 ชิ้นก็ได้เช่น เพิ่มกีต้าร์คอร์ด หรืออาจใช้ออร์แกนแทนเปียโน ตอนที่ 3 ประเภทเครื่องดนตรีและวงดนตรีพื้นเมือง สำเนียงภาษาดนตรีที่เรียกว่าดนตรีพื้นบ้าน หรือดนตรีท้องถิ่น ก็จะแตกต่างทั้ง ๔ ภาค อันได้แก่ ภาคเหนือ ภาคใต้ภาคอีสาน และภาคกลาง ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่จะหาวัสดุพื้นบ้านธรรมชาติมา ทำเป็นเครื่องดนตรีเพลงที่ปรากฏอยู่ในแต่ละท้องถิ่นของแต่ละกลุ่มชน ช่วยเสริมสร้างความการเข้าถึง ขนบประเพณีและวัฒนธรรม อิทธิพลของดนตรีกับวิถีชีวิตไทยไม่สามารถแยกออกจากกันได้ดนตรีมี บทบาท เกี่ยวข้องกับเราตั้งแต่เกิดจนตาย การใช้เพลงในงานรัฐพิธีรวมถึงการใช้เพลงเพื่อ บำบัดรักษา และความบันเทิง ประเภทของดนตรีพื้นเมือง 1. เครื่องดนตรีภาคเหนือ ภาพที่ 6.1 ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ


24 2. เครื่องดนตรีภาคใต้ ภาพที่ 6.2 ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ 3. เครื่องดนตรีภาคอีสาน ภาพที่ 6.3 ดนตรีพื้นบ้านภาคอีสาน 4. เครื่องดนตรีภาคกลาง ภาพที่ 6.4 ดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง


25 ประเภทของวงดนตรีพื้นบ้าน วงดนตรีพื้นเมืองของไทย มีความแตกต่างกันไปตามกลุ่มชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ตลอดจนความเชื่อและพิธีกรรมน นอกจากนี้ ยังปรากฏดนตรีของ กลุ่มชาติติพันธ์ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ บนเทือกเขาสูงตามชนบทห่างไกลในป่าลึก และชุมชนที่อยู่ ตามเกาะแก่งทะเล สำหรับวงดนตรีพื้นเมืองในภาคต่าง ๆ ของไทยโดยสังเขป มีดังนี้ 1. วงดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือ วงดนตรีพื้นเมืองภาคเหนือประกอบไปด้วยวงกลองแอว วงสะล้อซอซึง วงกลองมองเซิง วงปี่จุม ส่วนโอกาสที่ใช้ในการบรรเลงมีความแตกต่างกันไป เช่น วงกลองแอว นิยมใช้ บรรเลงประกอบฟ้อนเมือง 2 วงดนตรีพื้นเมืองภาคกลาง วงดนตรีพื้นเมืองภาคกลางประกอบไปด้วย วงปี่พาทย์พื้นบ้าน วงปี่พาทย์ นางหงส์ วงปี่พาทย์มอญ วงเครื่องสาย ส่วนโอกาสที่ใช้ในการบรรเลงมีความแตกต่างกันไป เช่น วงปี่ พาทย์มอญ และวงปี่พาทย์นางหงส์ นิยมใช้บรรเลงในงานศพ วงเครื่องสาย นิยมใช้บรรเลงในงานมงคล ต่าง ๆ ได้แก่งานแต่งงานขึ้นบ้านใหม่ หรืองานรื่นเริงต่าง ๆ เป็นต้น 3 วงดนตรีพื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วงดนตรีพื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบไปด้วยวงโปงลาง วงกันตรึม วงแคน โอกาสที่ใช้บรรเลงนิยมบรรเลงในงานแตกต่างกันไป เช่น ใช้ในการบรรเลงเพื่อ ประกอบการแสดงพื้นบ้าน ประเภทเซิ้งกระติบข้าว เซิ้งสวิง ฟ้อนภูไท ส่วนวงตุ้มโมง ใช้บรรเลงใน งานศพ ซึ่งปัจจุบันหาดูและหาฟังได้ยาก เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงในวงดนตรีพื้นบ้าน ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ที่สําคัญ ได้แก่ แคน โปงลาง พิณ โหวต เป็นต้น 4. วงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ วงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ประกอบไปด้วยวงกาหลอ วงปี่พาทย์ชาตรี วง รองเง็ง วงดนตรีโนห์รา วงดนตรีหนังตะลุง วงลิเกป่า โอกาสที่ใช้บรรเลงนิยมบรรเลงในงานแตกต่างกัน ไป เช่น วงกาหลอใช้บรรเลงในงานศพ วงหนังตะลุงใช้บรรเลงในการประกอบการแสดงหนังตะลุง โนห์รา เป็นต้น เครื่องดนตรีที่ ใช้บรรเลงในวงดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ที่สำคัญ ได้แก่ ทับ รำมะนา กลอง กลองชาตรีเป็นต้น


26 ตอนที่ 1 การขับร้องโน้ตสากล คือ การเปล่งเสียงตัวโน้ต ตามระดับเสียงสูงต่ำ สั้นยาว และเครื่องหมายทางดนตรีที่ผู้ประพันธ์ เพลงนั้นๆต้องการสื่อถึงผู้ฟัง สามารถนำไปต่อยอดการบรรเลงเครื่องดนตรีสากลชนิดต่างๆได้ ทั้งนี้ ผู้เรียนจึงต้องศึกษาเรื่องของบันไดเสียง และกระสวนจังหวะ เพื่อให้สามารถขับร้องโน้ตได้ถูกต้องตาม เมโลดี้ (Melody) ได้อย่างไพเราะตามที่ผู้ประพันธ์เพลงต้องการ เป็นชุดของตัวโน้ตที่นำมาเรียงต่อกันจากระดับเสียงต่ำไล่ขึ้นไปหาระดับเสียงสูง หรือจากระดับ เสียงสูงไล่ลงมาหาระดับเสียงต่ำ “Scale”เป็นภาษาอังกฤษที่มาจากภาษาอิตตาลีที่ว่า “Scala”แปลว่า ขั้นบันได บันไดเสียงที่เป็นหลักในดนตรีตะวันตกมี 2 ชนิด ได้แก่ บันไดเสียงไดอาโทนิก (Diatonic scale) และบันไดเสียงโครมาติก(Chromatic scale) ในบทนี้จะกล่าวถึงเฉพาะบันไดเสียงเมเจอร์ (Major scale) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบันไดเสียงไดอาโทนิกเท่านั้น บันไดเสียง (Scale)


27 จากตัวอย่าง เป็นบันไดเสียง ซีเมเจอร์ ( C Major scale) คือเริ่มด้วยโน้ตเสียงโด เร มี ฟา ซอล ลา ที และจบที่เสียงโดสูง เรียงระดับเสียงจากต่ำไปสูง 8 ขั้น 7 เสียง โดยมีระยะห่างระหว่างขั้นที่ 3-4 และ 7-8 เพียงครึ่งเสียง ส่วนขั้นอื่นๆมีระยะห่างของเสียง 1 เสียงเต็ม ในการฝึกขับร้องนั้น ผู้เรียนจะต้องทราบถึงการออกเสียงของระดับเสียง สูง – ต่ำ ของเสียงใน บันไดเสียง C major Scale โดยการฝึกออกเสียงนั้น จำเป็นที่ครูผู้สอนจะต้องใช้เปียโนหรือคีย์บอร์ด เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการเทียบเสียงร้องให้กับผู้เรียน ดังภาพต่อไปนี้ วิธีการฝึก ให้นักเรียนเปล่งเสียงร้องตามเสียงคีย์บอร์ดหรือเสียงเปียโน โดยออกเสียงให้มีความยาว 2 จังหวะ ต่อ 1 ตัวโน้ตที่ความเร็ว 75 Bpm กระสวน (Rhythmic Pattern) หมายถึงรูปแบบของจังหวะ ที่ถูกกำหนดขึ้นมา เพื่อใช้บรรเลง ประกอบบทเพลง เช่น ลีลาจังหวะรำวง ลีลาจังหวะตลุง ลีลาจังหวะมาร์ช (March) ลีลาจังหวะวอลทซ์ (Waltz) ลีลาจังหวะสโลว์ (Slow) ลีลาจังหวะแทงโก (Tango) ลีลาจังหวะร็อค (Rock) เป็นต้น โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โด กระสวนจังหวะ


28 จากรูปภาพ เป็นรูปแบบกระสวนจังหวะซึ่งหากนำมารวมกับระดับเสียงตัวโน้ตในบันไดเสียง ต่างๆ บวกจินตนาการของผู้ประพันธ์เพลงจะเกิดเป็นเมโลดี้ (Melody) ของบทเพลง ซึ่งนักร้องและนัก ดนตรีสามารถนำมาฝึกร้องและบรรเลงได้ต่อไป ดังตัวอย่างโน้ตเพลงต่อไปนี้


29 ตอนที่ 2 การปฏิบัติขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์ ประวัติขลุ่ยรีคอร์เดอร์ รีคอร์เดอร์(Recorder) เป็นเครื่องดนตรีสากล ประเภทเครื่องเป่าลมไม้รีคอร์เดอร์สร้างขึ้น ในปลายศตวรรษที่ 14 ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ นิยมเล่นในสมัยยุคกลาง และมีความเจริญสูงสุดใน ยุคบาโรค เป็นเครื่องเป่าที่มีลักษณะการเป่าแบบด้านตรง มีรูปแบบการเกิดเสียงแบบเดียวกันกับนกหวีด คือ บริเวณปากเป่านั้นจะทำเป็นช่องลม (Wind Way) เพื่อที่จะพุ่งเข้าไปกระทบกับปากนกแก้ว ทำให้ อากาศเกิดการสั่นสะเทือน เกิดเป็นคลื่นเสียงภายในท่อเกิดเป็นระดับเสียงต่าง ๆ ท่อของรีคอร์เดอร์ มีรูปทรงกรวย คือ จากส่วนปลายของปากเป่าลงมายังส่วนปลายท่อจะค่อย ๆ สอบลง และแคบสุด บริเวณปลายของรีคอร์เดอร์ ในปัจจุบันรีคอร์เดอร์เป็นเครื่องดนตรีสำหรับหัดเรียนดนตรีขั้นเบื้องต้น โดยเฉพาะในระดับชั้นมัธยมศึกษา ประเภทของรีคอร์เดอร์ รีคอร์เดอมีทั้งหมด 10 ประเภท แต่ที่นิยมในปัจจุบันมี 6 ประเภทเท่านั้น ได้แก่ 1.โซปรานิโน (Sopranino) มีขนาดความยาวประมาณ 24 เซนติเมตร มีขนาดเล็ก ลักษณะ เสียงสูงแหลมมาก ถ้าใช้นิ้วปิดทั้ง 7 รูจะได้เสียง “ฟา” 2.โซปราโน (Soprano) หรือเดสแคนท์ (Descant) มีความยาวประมาณ 31 เซนติเมตร เป็น ประเภทที่ได้รับความนิยมเล่นมากที่สุด ถ้าใช้นิ้วปิดทั้งหมด 7 รูจะได้เสียง Middle C หรือโดกลางเมื่อ เทียบกับเสียงเปียโน 3.อัลโต (Alto) หรือ เทร็บเบิล (Treble) มีความยาวประมาณ 47 เซนติเมตร 4.เทนเนอร์ (Tenor) มีความยาวประมาณ 64 เซนติเมตร 5.เบส (Bass) มีความยาวประมาณ 94 เซนติเมตร 6.คอนทราเบส (Contra bass) ภาพจาก : https://www.differsheet.com ผังการวางนิ้วขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์


30 บทเพลงสำหรับฝึกเป่าขลุ่ยรีคอร์ดเดอร์


31 การถ่ายทอดอารมณ์เพลง ชื่อ …………………………………………………………………………….…………………….. ให้ใส่เครื่องหมาย ✓ ที่ช่องว่างที่ตารางกับพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนเพียงช่องเดียว หัวข้อ ระดับ หมายเหตุ สามารถบรรเลงได้ถูกต้อง ตามโน้ตที่กำหนดให้ 3 2 1 ความสามารถในการ ควบคุมจังหวะ 3 2 1 ความสามารถในการอ่าน โน้ต 3 2 1 คะแนนรวม


32 เกณฑ์การประเมินแบบประเมินการปฏิบัติแบบฝึกทักษะ หัวข้อ ระดับ หมาย เหตุ สามารถบรรเลงได้ ถูกต้องตามโน้ตที่ กำหนดให้ 3 บรรเลงได้ถูกต้องทั้งหมด 2 บรรเลงได้ค่อนข้างถูกต้องมากกว่า 50% 1 บรรเลงถูกต้องต่ำกว่า 50% ความสามารถใน การควบคุมจังหวะ 3 ควบคุมจังหวะได้สม่ำเสมอและอัตราจังหวะของโน้ตถูกต้อง ทั้งหมด 2 ควบคุมจังหวะได้ค่อนข้างสม่ำเสมอและอัตราจังหวะของโน้ตไม่ ถูกต้องน้อยกว่า 5 ครั้ง 1 ควบคุมจังหวะได้ค่อนข้างไม่สม่ำเสมอและอัตราจังหวะของโน้ต ไม่ถูกต้องมากกว่า 5 ครั้ง ความสามารถใน การอ่านโน้ต 3 อ่านโน้ตได้ถูกต้องทั้งหมด 2 อ่านโน้ตไม่ถูกต้องน้อยกว่า 5 ครั้ง 1 อ่านโน้ตไม่ถูกต้องมากกว่า 5 ครั้ง คะแนนรวม โดยกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน 3 ระดับดังนี้ 7-9 A หมายถึง การปฏิบัติอยู่ในระดับดีมาก 5-6 B หมายถึง การปฏิบัติอยู่ในระดับพอใช้ 3-4 c หมายถึง การปฏิบัติอยู่ในระดับควรปรับปรุง


33 ตอนที่ 1 องค์ประกอบดนตรีสากล ตอนที่ 2 องค์ประกอบดนตรีไทย ตอนที่ 3 บทบาทอิทธิพลของดนตรี ดนตรีเป็นศิลปะและเป็นวิธีการแห่งการสร้าง หรือทำ "เสียง" ให้อยู่ในระเบียบในด้าน จังหวะ ทำนอง สีสันของเสียง และคีตลักษณ์ไม่ว่าดนตรีชาติใดจะต้องอยู่ในพื้นฐานต่างเหล่านี้เหมือนกันทั้งสิ้น ในความแตกต่างนั้นขึ้นอยู่กับกรอบของวัฒนธรรมของแต่ละสังคมที่กำหนดให้เกิดรสนิยมของแต่ละ วัฒนธรรมซึ่งเป็นตัวกำหนดให้เกิดความแตกต่าง จนสามารถบ่งบอกได้ว่าดนตรีแต่ละแบบซึ่งแตกต่างกัน นั้นเป็นของชาติหนึ่งชาติใดได้ ดังนั้นการศึกษาองค์ประกอบของดนตรี จึงควรศึกษาจากลักษณะทั้งหมด ที่ได้กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้บทเพลง ๆ หนึ่ง ที่จะสื่อสารให้ผู้ฟังเข้าใจ จะต้องมีองค์ประกอบของบทเพลงที่ สมบูรณ์ ซึ่งเมื่อเทียบกับร่างกายของมนุษย์ ก็จะมีองค์ประกอบสำคัญที่เรียกว่า “ธาตุ” ซึ่งมีอยู่ 4 ธาตุ คือ 1.ธาตุดิน 2.ธาตุน้ำ 3.ธาตุลม 4.ธาตุไฟ แต่ถ้าขาดธาตุใด ธาตุหนึ่ง ร่างกายของมนุษย์ก็จะเกิดอาการ ผิดปกติ นั้นเอง องค์ประกอบของดนตรี ก็เช่นกัน คีตกวีผู้สร้างสรรค์ดนตรีเป็นผู้ใช้เสียงในการสร้างสรรค์ผลิตงานศิลปะเพื่อรับใช้สังคม ผู้ สร้างสรรค์ดนตรีสามารถสร้างเสียงที่หลากหลายโดยอาศัยวิธีการผลิตเสียงเป็นปัจจัยกำหนด เช่น การ ดีด การสี การตี การเป่า ตอนที่1 องค์ประกอบของดนตรีสากล องค์ประกอบของดนตรีสากล ประกอบด้วย 1. เสียง (Tone)


34 เสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเสียงอึกทึก หรือเสียง รบกวน (Noise) เกิดจากการสั่นสะเทือนของอากาศที่ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะความแตกต่างของเสียงขึ้นอยู่ กบคุณสมบัติสำคัญ 4 ประการ คือ ระดับเสียง ความยาวของเสียง ความเข้มของเสียง และคุณภาพของ เสียง จังหวะเป็นศิลปะของการจัดระเบียบเสียง ที่เกี่ยวข้องกับความช้าเร็ว ความหนักเบาและ ความสั้น-ยาว องค์ประกอบเหล่านี้ หากนำมาร้อยเรียง ปะติดปะต่อเข้าด้วยกันตามหลักวิชาการเชิง ดนตรีแล้ว สามารถที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดลีลาจังหวะอันหลากหลาย ในเชิงจิตวิทยา อิทธิพลของจังหวะ ที่มีผลต่อผู้ฟังจะปรากฏพบในลักษณะของการตอบสนองเชิงกายภาพ เช่น ฟังเพลงแล้วแสดงอาการ กระดิกนิ้ว ปรบมือร่วมไปด้วย เป็นระบบการบันทึกแทนเสียงดนตรีที่มีมาตั้งศตวรรษที่ 11 โดย กวีโด เดอ อเรซ์โซ (Guido d’ Arezzo, 995-1050) บาทหลวงชาวอิตาเลียน ต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งสมบูรณ์ อย่างที่เราได้พบเห็นและใช้กันในปัจจุบัน ตัวโน้ตสามารถบอกหรือสื่อให้นักดนตรีทราบถึงความสั้น – ยาว, สูง – ต่ำ ของระดับเสียงได้ เราจึงควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับลักษณะของตัวโน้ตดนตรี (Music Notation) พอสังเขปดังนี้ ทำนองเป็นการจัดระเบียบของเสียงที่เกี่ยวข้องกับความสูง-ต่ำ ความสั้น-ยาว และความดังเบา คุณสมบัติเหล่านี้เมื่อนำมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่องบนพื้นฐานของความช้า-เร็ว จะเป็นองค์ประกอบของ ดนตรีที่ผู้ฟังสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด 2. พื้นฐานจังหวะ (Element of Time) 3. ตัวโน้ตดนตรี(Music Notation) 4. ทำนอง (Melody)


35 ในเชิงดนตรีนั้น “พื้นผิว” หมายถึง ลักษณะหรือรูปแบบของเสียงทั้งที่ประสานสัมพันธ์และไม่ ประสานสัมพันธ์โดยอาจจะเป็นการนำเสียงมาบรรเลงซ้อนกันหรือพร้อมกัน ซึ่งอาจพบทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน ตามกระบวนการประพันธ์เพลง ผลรวมของเสียงหรือแนวทั้งหมดเหล่านั้น จัดเป็นพื้นผิว ตามนัยของดนตรีทั้งสิ้น ลักษณะรูปแบบพื้นผิวของเสียงมีอยู่หลายรูปแบบ ดังนี้ 5.1 Monophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่มีแนวทำนองเดียว ไม่มีเสียงประสาน พื้นผิวเสียงในลักษณะ นี้ถือเป็นรูปแบบการใช้แนวเสียงของดนตรีในยุคแรกๆ ของดนตรีในทุกวัฒนธรรม 5.2 Polyphonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประกอบด้วยแนวทำนองตั้งแต่สองแนวทำนองขึ้นไป โดย แต่ละแนวมีความเด่นและเป็นอิสระจากกัน ในขณะที่ทุกแนวสามารถประสานกลมกลืนไปด้วยกัน 5.3 Homophonic Texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียง ที่ประสานด้วยแนวทำนองแนวเดียว โดยมีกลุ่มเสียง (Chords) ทำหน้าที่สนับสนุนในคีตนิพนธ์ประเภทนี้กลุ่มเสียง (Chords) ที่ทำหน้าที่สนับสนุนนั้น มีความสำคัญที่ไม่น้อยไปกว่าแนวทำนอง การเคลื่อนที่ของแนวทำนองจะเคลื่อนไปในแนวนอน ในขณะ ที่กลุ่มเสียงสนับสนุนจะเคลื่อนไปในแนวตั้ง 5.4 Heterophonic Texture เป็นรูปแบบของแนวเสียงที่มีทำนองหลายทำนอง แต่ละแนวมีความสำคัญเท่ากันทุกแนว คำว่า Heteros เป็นภาษากรีก หมายถึงแตกต่างหลากหลาย ลักษณะการผสมผสานของแนวทำนองใน ลักษณะนี้ เป็นรูปแบบการประสานเสียง “สีสันของเสียง” หมายถึง คุณลักษณะของเสียงที่กำเนิดจากแหล่งเสียงที่แตกต่างกัน แหล่งกำเนิดเสียงดังกล่าว เป็นได้ทั้งที่เป็นเสียงร้องของมนุษย์และเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ ความแตกต่าง ของเสียงร้องมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างเพศชายกับเพศหญิง หรือระหว่างเพศเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มี พื้นฐานของการแตกต่างทางด้านสรีระ เช่น หลอดเสียงและกล่องเสียง เป็นต้น ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดนตรีนั้น ความหลากหลายด้านสีสันของเสียง ประกอบด้วยปัจจัย ที่แตกต่างกันหลายประการ เช่น วิธีการบรรเลง วัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรี รวมทั้งรูปทรง และ ขนาดปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลโดยตรงต่อสีสันของเสียงเครื่องดนตรีทำให้เกิดคุณลักษณะของเสียงที่ แตกต่างกันออกไป 5. พื้นผิวของเสียง (Texture) 6. สีสันของเสียง (Tone Color)


36 คีตลักษณ์หรือรูปแบบของเพลง เปรียบเสมือนกรอบที่หลอมรวมเอาจังหวะ ทำนอง พื้นผิว และสีสันของเสียงให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน เพลงที่มีขนาดสั้น-ยาว วนกลับไปมา ล้วนเป็น สาระสำคัญของคีตลักษณ์ทั้งสิ้น ดนตรีในแต่ละวัฒนธรรมของทุกชนชาติ ล้วนมีองค์ประกอบพื้นฐานทางดนตรีที่คล้ายกัน จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดที่สร้างสรรค์ปรุงแต่งทางดนตรีเพื่อให้เหมาะสมตามเอกลักษณ์ ทางวัฒนธรรมของตน ในทางดนตรีไทยนั้นองค์ประกอบทางดนตรีจะมีลักษณะเด่นเฉพาะของ ตนเอง โดยมีรายละเอียดดังนี้ เสียงดนตรี หมายถึง คลื่นคนที่เกิดจากการสั่นสะเทือน เกิดจากการที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ทั้งเสียงที่เกิดจากเครื่องดนตรี จากการดีด สี ตี เป่า รวมถึงเสียงร้องของมนุษย์ โดยน าเสียงต่างๆ มาจัดระบบให้เกิดความกลมกลืนกัน ระบบเสียงดนตรีไทย มีทั้งหมด 7 เสียง คือ เสียงโด เสียงเร เสียงมี เสียงฟา เสียงซอล เสียงลา เสียงที ซึ่งแต่ละเสียงของดนตรีไทยจัดเป็นระบบ 7 เสียงเท่า หรือ 7 เสียงเต็ม คือเสียงทั้ง 7 เสียง มีระยะห่างของช่วงความถี่แต่ละเสียงที่เท่ากัน ซึ่งจะแตกต่าง จากระบบเสียงของดนตรีสากลที่มีระบบครึ่งเสียง ทำนองคือเสียงสูง – ต่ำ สั้นบ้างยาวบ้างที่เรียบเรียงขึ้นอย่างได้สัดส่วน กลมกลืน ไพเราะ ตาม ความประสงค์ของผู้แต่ง โดยปกติทำนองเพลงไทยจะใช้เสียงสูงที่ไล่เรียงกัน เช่น 1. - - - ร - - - ม - - - ฟ - - - ซ - ล - ซ - ฟ ม ร ด ร ม ฟ - ซ - ม 2. ร ม ฟ ซ ล ซ ฟ ม ร ด ร ม ร ม ฟ ซ ล ซ ฟ ม ร ม ฟ ซ ท ล ซ ล ท ด ร ม 7. คีตลักษณ์(Forms) ตอนที่2 องค์ประกอบของดนตรีไทย 1. เสียง 2. ทำนอง


37 จังหวะในดนตรีไทย หมายถึง การแบ่งระยะเวลาอย่างสม่ำเสมอ จังหวะจะมีความเกี่ยวพันกับ ประโยชน์ของทำนองเพลงอย่างแยกกันไม่ได้แต่เราสามารถเคาะจังหวะให้เห็นสัดส่วนของทำนองเพลง ได้ลักษณะของจังหวะที่เคาะในดนตรีไทยจะแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 3.1 จังหวะในใจหรือจังหวะสามัญ เป็นจังหวะพื้นฐานที่มีอยู่ในทุกคน คล้ายกับจังหวะ การเต้นของหัวใจ หรือจังหวะการย่างก้าวที่เป็นไปอย่างปกติเช่น - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 3.2 จังหวะหนักเบาหรือจังหวะฉิ่ง เป็นจังหวะที่เคาะให้เห็นตำแหน่งของจังหวะจังหวะ เบาโดยใช้เสียงฉิ่ง กำกับในการให้เสียงดัง ฉิ่ง แทนจังหวะเบาและให้เสียงดัง ฉับ แทนจังหวะหนัก เช่น - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ 3.3 จังหวะหน้าทับจังหวะหน้าทับ จังหวะหน้าทับ คือ รูปแบบจังหวะของการตี เครื่องประกอบจังหวะ กลุ่มเครื่องหนังไทย เช่น กลองแขก ตะโพน โทน ร ามะนา ตามแบบ แผนการบรรเลงประกอบท านองเพลง ใช้เป็นเกณฑ์นับจังหวะและเป็นเครื่องบอกโครงสร้างของ เพลงนั้นๆ ตัวอย่างหน้าทับลาว ดังนี้ - ติง - โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ง - ติง - ทั่ง คีตลักษณ์ หรือรูปแบบของท านองเพลงไทย หมายถึง รูปแบบของบทเพลงหรือลักษณะ โครงสร้างของบทเพลงไทยที่แตกต่างกันออกไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ประพันธ์ ซึ่งมีการก าหนด รูปแบบของเพลงโดยแบ่งออกได้ดังนี้ • การแบ่งเป็นวรรคเพลงคือ การน าท านองสั้นๆเรียงต่อเนื่องกันถ้าบันทึกเป็นโน๊ต เพลงจะพบว่าในแต่ละวรรคเพลงอาจจะมีความยาวเท่ากับ 1 ห้องเพลง 2 ห้องเพลงหรือ 4 ห้อง เพลง 3. จังหวะ 4.คีตลักษณ์ หรือรูปแบบของทำนองเพลงไทย


38 • การแบ่งเป็นประโยคเพลง คือ การน าวัคซีนต่างๆมาเรียงต่อเนื่องกันและแบ่ง ท านองเป็นประโยค โดยสามารถยึดจังหวะหน้าทับเป็นเกณฑ์ กล่าวคือ ความยาวของท านองเพลง ที่บรรเลงไป 1 เที่ยว เทียบกับการนับได้ 1 ประโยคเพลงหรือ 1 จังหวะหน้าทับ • การแบ่งเป็นท่อน คือ การน าท านองตั้งแต่ 2 ประโยคเพลง หรือ 2 จังหวะหน้าทับ หรือหลายๆประโยคมาเรียงต่อเนื่องกันท าให้เกิดเป็นท่อน ในขณะเดียวกันการน าหลายๆท่อนมา ประกอบกันท าให้เกิดเป็นบทเพลง การประสานเสียง หมายถึง การผสมผสานของแนวเสียงหลายๆแนวที่เกิดขึ้นพร้อมกันใน เชิงดนตรีไทย มักจะพิจารณาในลักษณะของการบรรเลงแนวท านองที่ต่างกันหลายๆแนวพร้อมกัน โดยยึดท านองหลัก ซึ่งมีการยึดลูกตกเป็นเสียงส าคัญของการบรรเลงเพลงที่ยังคงไว้ การประสาน เสียงในแนวนอน (Heterophony) อารมณ์เพลง เป็นองค์ประกอบของดนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุนทรียะในการถ่ายทอด ความรู้สึกผ่านบทเพลง ที่มีสัมผัสระหว่างประโยคเพลงที่สอดคล้องกับจังหวะ ประกอบกับเทคนิค ด้วง T ลีลาของผู้บรรเลงสามารถโน้มน้าวให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกอารมณ์และภาพพจน์ต่างๆได้ตาม บริบทของดนตรีไทยมีบทเพลงที่ให้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ การดำรงชีวิตในปัจจุบันมีปัจจัยหลายด้านที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบันส่งผลให้มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมเกิดการปรับตัวเพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ สุข การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคม จึงส่งผลต่อความบันเทิง ความสนุกสนานของคนในสังคมเช่นกัน เช่น ในสมัยอดีต การแสดงดนตรีสามารถรับชมได้จาก โรงละคร โรงมหรสพ แต่ปัจจุบันสามารถรับชม ได้จากทางโทรทัศน์ การแสดงตามร้านอาหาร เป็นต้น ดนตรีเป็นสิ่งที่มีบทบาทในการสะท้อนสังคม จนทำให้เกิดค่านิยมและความเชื่อทางผลงาน ดนตรีขึ้น ซึ่งมีดังนี้ บทบาทของดนตรีในสังคม 5.การประสานเสียง 6.อารมณ์เพลง


39 1. ค่านิยมของสังคมในผลงานดนตรี ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่บุคคลหรือสังคมยึดถือ เป็นเครื่องช่วยตัดสินใจและ กำหนดการ กระทำของตนเองค่านิยม ของสังคมในผลงานดนตรีจึงเป็นสิ่งที่สังคมยึดถือและกำหนดเกี่ยวกับงาน ดนตรี ค่านิยมของสังคมที่เกี่ยวกับงานดนตรีมีดังนี้ 1.1 ค่านิยมเกี่ยวกับศิลปินและวงดนตรี เป็นความยึดถือชื่นชมและชื่นชอบในตัวศิลปิน ซึ่งส่งผลให้ชื่นชอบผลงานและวงดนตรีของศิลปินนั้นด้วย 1.2 ค่านิยมเกี่ยวกับเครื่องแต่งกาย เป็นความชื่นชอบในการแต่งกายของศิลปิน ทำให้มี การผลิตเครื่องแต่งกายเพื่อเลียนแบบเสื้อผ้าของศิลปิน มาวางจำหน่ายให้บุคคลที่ชื่นชอบได้ซื้อหาไป สวมใส่ 1.3 ค่านิยมเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางดนตรีของต่างชาติ ซึ่งในปัจจุบันไทยมีการเปิดรับเอา วัฒนธรรมดนตรีของต่างชาติเข้ามาอย่างมากมาย ดนตรีต่างชาติจึงเข้ามามีบทบาทต่อคนในสังคมไทย มากขึ้น มีวัฒนธรรมทางดนตรีของชาติต่าง ๆ เข้ามามีบทบาททางดนตรีในสังคมไทย เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ เป็นต้น 1.4 ค่านิยมเกี่ยวกับบทเพลง บทเพลงที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีอยู่มากมายหลายแนว จึงทำให้ เกิดค่านิยมทางดนตรีมากขึ้น ซึ่งแนวเพลงที่ได้รับความนิยมอยู่ในประเทศไทยได้แก่ เพลงไทยเดิม เพลง ไทยลูกทุ่ง เพลงลูกกรุง เพลงสุนทราภรณ์ เพลงไทยสากล ซึ่งเป็นเพลงที่ประชาชนคนไทยได้มีค่านิยม และรับชมรับฟังกันอยู่ในทุกวันนี้ 1.5 ค่านิยมเกี่ยวกับการศึกษาดนตรี โดยเริ่มจากค่านิยมที่คนในสังคมให้ความสนใจ ดนตรีมากขึ้น เพราะว่าดนตรีนั้นมีประโยชน์อย่างมากทั้งในด้านการพัฒนาร่างกายและจิตใจของผู้เรียน ในปัจจุบันเยาวชนจึงได้รับการเรียนการศึกษาเกี่ยวกับดนตรีมากขึ้นทั้งในระบบและนอกระบบ 2. ความเชื่อของสังคมในผลงานดนตรี สังคมได้มีความเชื่อที่เกี่ยวกับดนตรี ดังนี้ 2.1 ความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นความเชื่อมีอยู่กับคนไทยมาช้า นาน จึงนำดนตรีเข้ามาเป็นสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องบูชาเทพเจ้า เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นปัจจัยทางความเชื่อที่ ทำให้เกิดผลงานทางด้านดนตรี 2.2 ความเชื่อในเรื่องของการรักษาโรค ในสมัยโบราณมาแล้วมีการใช้ดนตรีในการ บำบัดรักษาโรค เช่น การรำผีฟ้า ซึ่งการรำผีฟ้า ก็ต้องใช้ดนตรีเป็นเครื่องประกอบในการรำรักษา เป็น มาในสมัยปัจจุบัน ทางการแพทย์ทางเลือกได้นำดนตรีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยในบางราย ซึ่งเรียกว่า “ดนตรีบำบัด” 2.3 ความเชื่อในเรื่องพิธีกรรม ในงานพิธีกรรมต่าง ๆ ของคนไทยและในหลายประเทศ ดนตรีได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะสังคมไทยได้ใช้ดนตรีเข้ามาเป็นส่วน สำคัญในการประกอบพิธีกรรมมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น การใช้วงดนตรีปี่พาทย์ในพิธีไหว้ครู พิธี อุปสมบท พิธีบวงสรวง เป็นต้น


40 2.4 ความเชื่อในเรื่องศาสนา ในสมัยอดีตดนตรีได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นจากศาสนา มีบทสวด ต่าง ๆ บางศาสนาได้ใช้ดนตรีเข้ามาเป็นส่วนประกอบกับบทสวดเพื่อให้เกิดความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งขึ้น 2.5 ความเชื่อในเรื่องการพัฒนาและเผยแพร่ดนตรี คนในสังคมมีความเชื่อถือเชื่อมั่นว่า การดนตรีจะมีการพัฒนาขึ้น และต้องได้รับการอนุรักษ์ เพื่อให้คงอยู่และมีวิวัฒนาการมากขึ้น


41 แผนการจัดการเรียนรู้และแผนการประเมินผลการเรียนรู้ ฉบับย่อ รายวิชา ศ21102 ชื่อวิชา ดนตรี 1 จำนวน 0.5 หน่วยกิต เวลาเรียน 1 คาบ/สัปดาห์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ผู้สอน : คณะครูกลุ่มโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1.คำอธิบายรายวิชา ศึกษาการอ่าน เขียน ร้อง โน้ตไทยและโน้ตสากล เสียงร้องและเสียงของเครื่องดนตรีที่มาจาก วัฒนธรรมที่ต่างกัน ประเภทของเครื่องดนตรีและวงดนตรีไทย วงดนตรีที่มาจากวัฒนธรรมต่าง ๆ การ ถ่ายทอดอารมณ์ของบทเพลง บทบาทความสัมพันธ์และอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อสังคมไทย ความ หลากหลายขององค์ประกอบดนตรีในวัฒนธรรมที่ต่างกัน สัญลักษณ์และเครื่องหมายทางดนตรี เพลงที่มี อัตราจังหวะช้า ปานกลาง เร็ว อารมณ์ของบทเพลงที่มีความช้า ปานกลาง เร็วของจังหวะและความ ดัง-เบาแตกต่างกัน การฟังดนตรีไทย ดนตรีสากล การใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการร้องเพลง ด้วยบทเพลงที่หลากหลายรูปแบบ (K) โดยใช้ทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ เปรียบเทียบ สืบค้นข้อมูลทางดนตรี นำเสนอตัวอย่าง เพลงที่ตนชื่นชอบและอภิปรายลักษณะเด่นที่ทำให้งานนั้นน่าชื่นชม ใช้เกณฑ์สำหรับประเมินคุณภาพ งานดนตรีหรือเพลงที่ฟัง บำรุงรักษาเครื่องดนตรีอย่างระมัดระวังและรับผิดชอบ วิเคราะห์บทบาท ความสัมพันธ์และอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อสังคมไทย (P) เพื่อให้มีความรู้ ทักษะ การแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์จนเกิดคุณลักษณะใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นตั้งใจมีสุนทรียภาพ รู้สึกชื่นชมและเห็นคุณค่าของดนตรีซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม (A) 2. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 1. อ่าน เขียน ร้อง โน้ตไทย และโน้ตสากล (ศ 2.1 ม.1/1) 2. เปรียบเทียบเสียงร้องและเสียงของเครื่องดนตรีที่มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกัน (ศ 2.1 ม.1/2) 3. ร้องเพลงและใช้เครื่องดนตรีบรรเลงประกอบ การร้องเพลงด้วยบทเพลงที่หลาก หลาย รูปแบบ (ศ 2.1 ม.1/3)


42 4. จัดประเภทของวงดนตรีไทยและวงดนตรีที่มาจากวัฒนธรรมต่าง ๆ (ศ 2.1 ม.1/4) 5. แสดงความคิดเห็นที่มีต่ออารมณ์ของบทเพลงที่มีความเร็ว ของจังหวะ และความดัง-เบา แตกต่างกัน (ศ 2.1 ม.1/5) 6. เปรียบเทียบอารมณ์ ความรู้สึกในการฟังดนตรีแต่ละประเภท (ศ 2.1 ม.1/6) 7. นำเสนอตัวอย่างเพลงที่ตนเองชื่นชอบ และอภิปรายลักษณะเด่นที่ทำให้งานนั้นน่าชื่นชม (ศ2.1 ม.1/7) 8. ใช้เกณฑ์สำหรับประเมินคุณภาพงานดนตรีหรือเพลงที่ฟัง (ศ 2.1 ม.1/8) 9. ใช้และบำรุงรักษาเครื่องดนตรีอย่างระมัดระวังและรับผิดชอบ (ศ 2.1 ม.1/9) 10. อธิบายบทบาทความสัมพันธ์และอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อสังคมไทย (ศ 2.2 ม.1/1) 11. ระบุความหลากหลายขององค์ปะกอบดนตรีในวัฒนธรรมต่างกัน (ศ 2.2 ม.1/2) 3. กำหนดการจัดการเรียนรู้ สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการ สอน/ เรียนรู้ 1-3 1-3 หน่วยที่ 1 สนุกกับตัว โน้ตไทย สากล - เครื่องหมายและ สัญลักษณ์ทางดนตรี ไทยและดนตรีสากล ศ 2.1 ม.1/1 ปฐมนิเทศ -นักเรียนร่วมกัน วิเคราะห์บทเรียนร่วม กำหนดภาระงานและ วิธีการวัดประเมินผล เพื่อเป็นข้อตกลง รายวิชา วิธีสอนโดยใช้การ สาธิต -ศึกษาเครื่องหมาย และสัญลักษณ์ทาง ดนตรีไทยและดนตรี สากล เนื้อหา ตัวโน้ต ระดับเสียง ห้องเพลง จังหวะ การอ่าน เขียน โน้ตไทยและ โน้ตสากล - เอกสาร ประกอบ กาเรียน - Power point - Internet


43 สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการ สอน/ เรียนรู้ 4-9 4-9 หน่วยที่ 2 ดนตรีต่าง วัฒนธรรม - ประเภทเครื่องดนตรี และวงดนตรีไทย - ประเภทเครื่องดนตรี และวงดนตรีสากล - ประเภทเครื่องดนตรี และวงดนตรีพื้นเมือง ศ 2.1 ม.1/2, ม.1/3,ม.1/7 วิธีสอนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ : เทคนิคโต๊ะ กลม วิธีสอนแบบสืบ เสาะหาความรู้ เนื้อหา ประเภทของเครื่อง ดนตรีไทย วงดนตรี ไทย ประเภทของเครื่อง ดนตรีสากล วงดนตรี สากล ประเภทของเครื่อง ดนตรีพื้นเมือง วง ดนตรีพื้นเมืองของ ท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่ - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point - สื่อวีดีทัศน์ - Internet - เครื่อง ดนตรี 10 สอบกลางภาค 11-16 11-16 หน่วยที่ 3 ร้องรำฮัม เพลง ครื้นเครง อารมณ์ - การร้องและปฏิบัติ เครื่องดนตรี - การถ่ายทอดอารมณ์ นำเสนอบทเพลงที่ตน สนใจ ศ 2.1 ม.1/4 ศ 2.1 ม.1/5, ม1/6, ม. 1/7,ม.1/8 วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการ : กระบวนการปฏิบัติ เนื้อหา การฝึกปฏิบัติการขับร้อง เพลง การฝึกปฏิบัติเครื่อง ดนตรีได้อย่างน้อย 1 ชิ้น -นักเรียนนำเสนอบท - เอกสาร ประกอบการ เรียน - สื่อวีดีทัศน์ - Internet - เครื่อง ดนตรี - อุปกรณ์ แสงสีเสียง


44 สัปดาห์ ที่ คาบที่ หัวข้อ/สาระการ เรียนรู้ ตัวชี้วัด/ผล การเรียนรู้ วิธีการสอน/กิจกรรม การเรียนรู้ สื่อการ สอน/ เรียนรู้ เพลงที่ตนสนใจโดย การขับร้องและปฏิบัติ เครื่องดนตรีตามบท เพลง 17-19 17-19 หน่วยที่ 4 ชื่นชม รักษา เห็นคุณค่าของ ดนตรี - การประเมินคุณภาพ ของบทเพลง - การใช้ บำรุงรักษา เครื่องดนตรี - บทบาทอิทธิพลของ ดนตรี - องค์ประกอบดนตรี แต่ละวัฒนธรรม ศ 2.1 ม.1/8, ม.1/9 ศ 2.2 ม.1/1, ม.1/2 วิธีสอนโดยเน้น กระบวนการ : การ สร้างเจตคติ - นักเรียนประเมิน คุณภาพงานดนตรี หรือเพลงที่ฟังโดยใช้ หลักเกณฑ์ สุนทรียภาพทาง ดนตรี - นักเรียนรู้วิธีดูแล บำรุงรักษาเครื่อง ดนตรีไทยและเครื่อง ดนตรีสากล -นักเรียนอธิบาย บทบาทและอิทธิพล ของดนตรีต่อ สังคมไทย -นักเรียนอธิบาย องค์ประกอบดนตรีใน แต่ละวัฒนธรรม เนื้อหา องค์ประกอบ ดนตรีไทยและสากล - เอกสาร ประกอบการ เรียน - Power point - สื่อวีดีทัศน์ - Internet - เครื่อง ดนตรี 20 สอบปลายกลางภาค


45 บรรณานุกรม ณรุทธ์ สุทธจิตต์. (2561). สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ถาวร วัฒนบุญญา. (2557). เอกสารประกอบการสอน รายวิชาพื้นฐานทฤษฎีดนตรีตะวันตก. คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา. สำเร็จ คำโมง. (2553). ทฤษฎีดนตรีสากล ฉบับบสรรพสูตร. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ฐานบัณฑิต จำกัด. ไขแสง ศุขวัฒนะ. (2541). สังคีตนิยม ว่าด้วยเรื่องเครื่องดนตรีของวงดุริยางค์. กรุงเทพมหานคร : ไทย วัฒนาพาณิช. เฉลิมศักดิ์ พิกุลศรี. สังคีตนิยมว่าด้วยดนตรีไทย (ฉบับบปรับปรุง). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : โอ เดียนสโตร์. มนตรี ตราโมท. ดุริยางคศาตร์ไทย ภาควิชาการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : มติชน. ดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล. (2547). สานฝันด้วยเพลงมาฝึกร้องเพลงกันเถิด. พิมพ์ครั้งที่ 4 กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์บ้านเพลง. สุมนมาลย์ นิ่มเนติพันธ์ และคณะ. (2551). หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี - นาฎศิลป์ ม.1. กรุงเทพมหานคร : บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท.จำกัด


46 บรรณานุกรม (เว็บไซต์) การขับร้องและบรรเลงเพลงสากล. เข้าถึงได้ https://www.kroobannok.com/news_file/p94923141958.pdf : 3 2564. การปฏิบัติดนตรีสากล. เข้าถึงได้ http://koob.samroiwit.ac.th/montri01 : 20 ตุลาคม 2564. รูปภาพเครื่องดนตรี. เข้าถึงได้ https://www.pinterest.com : 20 ตุลาคม 2564. เรียนดนตรี


Click to View FlipBook Version