การวิจัยในชั้นเรียน สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 ชื่อ-สกุล นางสาวชาลิสา เนื่องราชา รหัสนักศึกษา 63040110132 สถานศึกษา โรงเรียนบ้านท่ายม ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิต สินค้าและบริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 นวัตกรรม/กระบวนการที่ใช้ การสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ระดับชั้นที่ทำวิจัย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สาระการเรียนรู้สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยนำ วิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิคTGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ชาลิสา เนื่องราชา รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยนำ วิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิคTGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ชาลิสา เนื่องราชา รายงานการวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัย นางสาวชาลิสา เนื่องราชา สาขาวิชา สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นางนิศารัตน์ ทองคำ ปีการศึกษา 2566 __________________________________________________________ อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่.......…เดือน…….…………พ.ศ…………… คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ............................................................. ประธานคณะกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช) …........................................................... กรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุธยา หมื่นสาย) .............................................................. กรรมการ (นางนิศารัตน์ ทองคำ) .............................................................. กรรมการ (นายชัยนันท์ ภูวบดินทร์)
ก ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัย นางสาวชาลิสา เนื่องราชา สาขาวิชา สังคมศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วินัย ภารเวช อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยุธยา หมื่นสาย ครูพี่เลี้ยง นางนิศารัตน์ ทองคำ ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ
ข กิตติกรรมประกาศ
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ..................................................................................................... กิตติกรรมประกาศ ......................................................................................................... ....... สารบัญ ........................................................................................................................... ...... สารบัญตาราง ....................................................................................................................... สารบัญภาพ .......................................................................................................................... บทที่ 1 บทนำ .......................................................................................................................... ที่มาและความสำคัญของปัญหา .......................................................... .................. วัตถุประสงค์การวิจัย ............................................................................................ สมมติฐานการวิจัย .................................................................................... ............ ขอบเขตการวิจัย ................................................................................................... นิยามศัพท์เฉพาะ ............................................................................................. ..... ประโยชน์ที่คาเว่าจะได้รับ ..................................................................................... 2 ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง .................................................................................. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ………………………………………….. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 ……………………………………………………………………………………. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 .................................................................................. การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT …………………………………………………………..… แผนการจัดการเรียนรู้ ........................................................................................... การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ .................................................... ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ........................................................................................ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ............................................................................................... กรอบแนวคิดในการวิจัย ....................................................................................... ก ข ค จ ฉ 1 1 3 3 3 4 5 6 6 11 16 19 23 30 32 39 46
ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย ................................................................................................. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ................................................................................... เครื่องมือที่ใช้ในงาวิจัย .......................................................................................... การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ ................................................................. การเก็บรวบรวมข้อมูล .......................................................................................... การวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................... สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................. บรรณานุกรม .................................................................................................................... ภาคผนวก ........................................................................................................................ ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ ............................. ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ............................................................... ภาคผนวก ค ผลการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย .................................. ประวัติผู้วิจัย ................................................................................................................... 47 47 47 48 51 52 52 57 60 61 63 81 93
จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 .................................................................................................... 2.2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.2 ................................................................................................... 3.1 แบบแผนการทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pretest -posttest Design) ................................................................... ค.1 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการสอน วิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ .....…………………………………. ค.2 ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบปรนัยแบบอิงกลุ่ม วิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ................. ค.3 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ………………………….. ค.4 แสดงคะแนนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ใช้ในการคัดเลือกข้อสอบ ซึ่งเรียงจากน้อยไปมาก ดังตาราง ………………………………………………………..……. ค.5 ผลวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ ผลิตสินค้าและบริการที่ได้คัดเลือกมาแล้ว จำนวน 26 ข้อ โดยใช้สูตร KR-20 ….. ค.6 การคัดเลือกข้อสอบ ……………………………………………………………………………..….. 16 18 51 82 86 87 89 90 92
ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 2.1 ขั้นตอนของการจัดสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ..................................................... 2.2 กรอบแนวคิดในการวิจัย ....................................................................................... 28 46
1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ระบุในมาตรา 24 (2) ว่าการจัดกระบวนการเรียนรู้จะต้องฝึกกระบวนการคิด การจัดการการเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาและ มาตรา 24 (3) จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำ เป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติ, 2553, น. 25) วิสัยทัศน์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกใน ความเป็นพลเมืองไทย และ เป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพและการศึกษา ตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้น ผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อ ว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้คการ ดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและการอยู่ร่วมกันในสังคมการปรับตัวตาม สภาพแวดล้อมการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดเข้าใจถึงพัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย กาลเวลาตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น มีความอดทนอดกลั้น ยอมรับใน ความต่างและมีคุณธรรม สามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต สาระศาสนา ศีลธรรมให้ แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรมจริยธรรม หถักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับ ถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขผู้กระทำ ความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบำเพ็ญประโยชนต่อสังคมและส่วนรวม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 1) ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเป็นสาระสำคัญต่อ วิชาสังคมศึกษา ที่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ต้องศึกษาให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อรู้ถึงเหตุ และผลซึ่งจะทำให้เราสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ รวมทั้งยังเป็นการศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์และสังคมได้ในการตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด มาใช้ในการ บริหารอย่างมีคุณภาพสูงสุด อีกทั้งยังช่วยให้นักเรียนเข้าใจถึงการพึ่งพาทางเศรษฐกิจ การแข่งขัน และ
2 การประสานประโยชน์ทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอุปสงค์ อุปทาน และตลาด รวมทั้ง ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันโดยช่วยให้สามารถเลือกซื้อหรือใช้ และบริโภคสินที่มีอยู่จำกัดให้เกิด ประโยชน์สูงสุด รู้จักใช้ รู้จักออม และการที่นักเรียนจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจได้ดีนั้นควรมีการสอนที่มีความเหมาะสม มาช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้น เช่น การ สอนแบบร่วมมือที่จะช่วยให้นักเรียนรวมกลุ่มทำงาน ช่วยกันศึกษาค้นคว้า และแลกเปลี่ยนความรู้ ระหว่างนักเรียนขึ้นเพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้ และความเข้าใจให้แก่นักเรียนมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาและสภาพปัญหาของโรงเรียนบ้านท่ายม มีการจัดการเรียนการสอนรายวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการวิเคราะห์พบว่า ด้านการ เรียนการสอนเน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบรรยายเป็นส่วนใหญ่ ไม่เน้นกิจกรรมกลุ่ม ทำให้ นักเรียนมีบทบาทในการเรียนไม่เท่ากัน นักเรียนไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ขาดการช่วยเหลือ กันในกิจกรรมการเรียนรู้ และขาดการมีส่วนร่วม ส่วนด้านนักเรียนเรียน จากการสังเกตพบว่าผู้เรียน บางคนเรียนช้า ไม่สนใจเนื้อหาที่เรียน เรียนไม่ทันเพื่อน ทำให้มีปัญหาในการเรียนรู้ ผู้เรียนบางคน เรียนเก่ง รับรู้ได้อย่างรวดเร็ว ก็จะเรียนได้เร็วกว่าคนเรียนอ่อน ทำให้คนเรียนเก่ง เกิดความเบื่อหน่าย หากเรียนซ้ำบทเรียนเดิมบ่อย ๆ และทำให้ไม่ค่อยเกิดการพัฒนาด้านเจตคติและทักษะพิสัย การสอน ที่เน้นการบรรยาย เป็นการสอนที่ได้ความรู้จากการฟังเพียงอย่างเดียวอาจจะลืมง่ายเป็นความทรงจำ ที่ไม่ถาวร ผู้สอนควรจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ที่ มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดย กระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีความ คล้ายคลึงกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ที่มีการแบ่งผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน เก่ง กลาง อ่อน มาทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 3 - 4 คน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมีความ รับผิดชอบร่วมกัน มีเป้าหมายร่วมกัน คือความสำเร็จด้านการเรียนของกลุ่ม โดยกำหนดให้สมาชิกของ กลุ่มได้แข่งขันกันในเกมการเรียนที่ผู้สอนจัดเตรียมไว้แล้ว ทำการทดสอบความรู้ โดยการใช้เกมแข่งขัน คะแนนที่ได้จากการแข่งขันของสมาชิกแต่ละคนในลักษณะการแข่งขันกับทีมอื่น นำเอามาบวกเป็น คะแนนรวมของทีม ผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการเสริมแรง เช่น การให้รางวัล คำชมเชย การให้กำลังใจ เป็นต้น ดังนั้นสมาชิกกลุ่มจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายร่วมกันช่วยเหลือซึ่งกันและกันภายในกลุ่ม
3 เพื่อความสำเร็จของกลุ่ม ซึ่งการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT เป็นการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ทำให้ ผู้เรียนทุกคนมีปฏิสัมพันธ์กัน และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นผู้วิจัยมีความเข้าใจปัญหาการเรียนการสอนของกลุ่มสาระสังคม ศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และได้ตระหนักถึงการแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตสินค้าและ บริการ โดยนำวิธีการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้าน ท่ายม ตำบลแสงสว่าง อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การ ผลิตสินค้าและบริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน (80/80) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.3 สมมติฐานการวิจัย 1. แผนการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน (80/80) 2. ผลสัมฤทธิ์การเรียน วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การผลิตสินค้าและ บริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน 1.4 ขอบเขตการวิจัย 1.4.1 ด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนบ้าน ท่ายม อำเภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 10 คน ได้มาโดยการเลือกกลุ่ม ตัวอย่างแบบเจาะจง ( Purposive sampling )
4 1.4.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1.4.2.1 ตัวแปรต้น คือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT 1.4.2.2 ตัวแปรตาม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.4.3 ด้านเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ การสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGTราย วิชาสังคมศึกษา สาระเศรษฐศาสตร์เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 8 แผน รวม 8 ชั่วโมง ดังรายละเอียด คือ 1.4.3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ทดสอบก่อนเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ปัจจัยการผลิตสินค้าและบริการ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 ประเภทของปัจจัยการผลิต จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดสินค้า และบริการ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ของผู้บริโภค จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.6 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 การผลิตสินค้าและบริการของ ท้องถิ่นต่างๆ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.7 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 การผลิตสินค้าและบริการจาก การสร้างอาชีพขึ้นใหม่ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.8แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 8 ทดสอบหลังเรียน จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาในการทดลอง จำนวน 8 ชั่วโมง 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1.5.1 วิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่แบ่ง ผู้เรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 - 4 คน คละความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเก่ง ปลานกลาง และอ่อน ภาระงานของกลุ่มคือ หลังจากที่ผู้สอนนำเสนอบทเรียนทั้งชั้นแล้ว ให้แต่ละกลุ่มทำงาน ตามที่ครูกำหนด และเตรียมสมาชิกทุกคนให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ในการแข่งขันผู้สอนจะจัดให้
5 นักเรียนที่มีผลการเรียนในระดับเดียวกันแข่งขันกัน ครูผู้สอนสรุปและนำคะแนนที่สมาชิกทำได้จะ นำมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้รางวัลคือกลุ่มที่ทำคะแนนได้สูงสุด 1.5.2 ประสิทธิภาพ 80/80 หมายถึง ดัชนีบ่งชี้คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิคTGT วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 1.5.2.1 80 แรก หรือ E1 หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่นักเรียนทุกคนทำได้ จากคะแนนการทดสอบระหว่างเรียน จากการทดสอบของนักเรียนและการสังเกตพฤติกรรมทางการ เรียน ในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ 1.5.2.2 80 หลัง หรือ E2 หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนจาก การทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน 1.5.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนด้านความรู้ความสามารถตามจุดประสงค์ใน บทเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 1.5.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สาระเศรษฐศาสตร์ เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ ของนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นข้อสอบชนิดปรนัย 4 ตัวเลข จำนวน 20 ข้อ 1.5.5 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6.1 นักเรียนมีทักษะกระบวนการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาสูงขึ้น 1.6.2 ครูสามารถนำการจัดการการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ไปเป็นแนวทางในการ จัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่อไป 1.6.3 โรงเรียนสามารถนำไปเป็นแนวทางในการวางแผน บริหารจัดการด้านการพัฒนาสื่อ นวัตกรรมเพื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
6 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เรื่อง การผลิตสินค้าและบริการ โดยนำวิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามลำดับ ดังนี้ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 3. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 4. การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT 5. แผนการจัดการเรียนรู้ 6. การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 7. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 9. กรอบแนวคิดในการวิจัย 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551, น. 17 - 22) มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักยะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็น ต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตถอดชีวิต โดยมุ่งเนั้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐาน ความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 1.1 หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 2.1.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและ มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และ คุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล
7 1.1.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาต และมีคุณภาพ 1.1.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการ จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 1.1.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้ 1.1.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1.1.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตาม อัธยาศัยครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 1.2 จุดมุ่งหมาย หลักสูตรแถนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1.2.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง 1.2.2 มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 1.2.3 มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 1.2.4 มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถี ชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 1.2.5 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง มีความสุข 1.3 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ดังนี้
8 1.3.1 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประ โยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเถือกรับหรือไม่รับข้อมูล ข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดย คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2) ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด สังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การ สร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล กุณธรรมและข้อมูล สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำ กระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการ ปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้าน การเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมีคุณธรรม
9 1.3.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพล โลก ดังนี้ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้ สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง 1.4 หลักสูตรสถานศึกษา พุทธศักราช 2566 1.4.1 วิสัยทัศน์ (Vision) "องค์กรแห่งการเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม น้อมนำเศรษฐกิจพอเพียง เคียงคู่ภูมิปัญญา รักษาสิ่งแวดล้อมพร้อมสู่คุณภาพตามมาตรฐาน" 1.4.2 พันธกิจ 1) พัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้มีคุณภาพ สู่มาตรฐานน้อมนำสู่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2) พัฒนาครูและบุคลากรให้มีสมรรถนะ ทักษะ ประสบการณ์ สู่ความเป็น ครูมืออาชีพ 3) พัฒนาสถานศึกษาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ควบคู่คุณธรรม รักษ์ภูมิ ปัญญาและสิ่งแวดล้อม 4) พัฒนาระบบบริหารจัดการศึกษา ตามแนวปฏิรูปการศึกษา ในศตวรรษ ที่ 21 เน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
10 1.4.3 เป้าประสงค์ 1) ผู้เรียนเข้าถึงบริการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประชากรวัยเรียนทุก กลุ่มเป้าหมายได้รับการศึกษาชั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึงเสมอภาคและต่อเนื่องจนจบหลักสูตร 2) ผู้เรียนทุกคนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตามเกณฑ์และหลักสูตร 3) ผู้เรียนทุกคนได้รับการพัฒนาให้มีภาวะโภชนาการและสุขนิสัยเป็นไป ตามเกณฑ์ 1.4.4 มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุ ปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1) ภาษาไทย 2) คณิตศาสตร์ 3) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4) สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5) สุขศึกษาและพลศึกษา 6) ศิลปะ 7) การงานอาชีพ 8) ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการ พัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรม และ ค่านิยมที่พึงประสงค์เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการ อะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกัน คุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่ง รวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อ ประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสะท้อนภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กำหนดเพียงใด 1.4.5 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละ ระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ใน
11 การกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัด ประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน 1) ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับ การศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 3) 2) ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ 4-6) หลักสูตรได้มีการกำหนดรหัสกำกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด เพื่อความเข้าใจและให้สื่อสารตรงกัน ดังนี้ ว 1.1 ป.1/2 ป. 1/2 ตัวชี้วัดชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ข้อที่ 2 1.1 สาระที่ 1 มาตรฐานข้อที่ 1 ว กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พุทธศักราช 2551 สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ประกอบจากหลายแขนงวิชา จึงมีลักษณะเป็นสหวิทยาการ โดยการนำวิทยาการจากแขนงวิชาต่างๆ ในสาขาวิชาสังคมศาสตร์มา หลอมรวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์นิติศาสตร์ จริยธรรม ประชากร ศึกษา สิ่งแวดล้อมศึกษา รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา ปรัชญาและศาสนากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกบา ศาสนาและวัฒนธรรม จึงเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมศักยภาพการเป็น พลเมืองดีให้แก่ผู้เรียน โดยมีเป็นหมายของการพัฒนาความเป็นพลเมืองดีคังนั้น กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเจริญงอกงาม ในด้านต่าง ๆ 1) ด้านความรู้จะให้ความรู้แก่ผู้เรียนในเนื้อหาสาระ ความคิดรวบยอดและหลักการ สำคัญ ของวิชาต่างๆ ในสาขาสังคมศึกษาตามขอบเขตที่กำหนดไว้ในแต่ละระดับชั้น ในลักษณะการบูร ณาการ 2) ด้านทักษะกระบวนการ ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาให้เกิดทักษะและกระบวนการ ต่าง ๆ เช่น ทักษะทางวิชาการ และทักษะทางสังคม 3) ด้านเจตคติและค่านิยม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จะช่วย พัฒนาเจตตติและค่านิยมเกี่ยวกับประชาธิปไตยและความเป็นมนุษย์ เช่น รู้จักตนเอง พึ่งตนเอง ชื่อสัตย์สุจริต มีวินัย มีความกตัญญู รักเกียรติภูมิแห่งตน มีนิสัยในการเป็นผู้ผลิตที่ดี มีความ พอดี ในการบริ โภค เห็นคุณคาของการทำงาน รู้จักคิดวิเคราะห์ รู้จักการทำงานเป็นกลุ่มเคารพสิทธิ
12 ของ ผู้อื่น และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มีความผูกพันกับท้องถิ่น รักประเทศชาติ เห็นคุณค่า อนุรักษ์ และพัฒนาศิลปวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา และการปกครอง ระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สังคมศึกษาเป็นวิชาที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมและ ธรรมชาติ มุ่งส่งเสริมทางด้านการแสวงหาความรู้ ให้รู้จักคิดหา เหตุผลและดุลยพินิจฝึกให้ศึกษาเป็น อิสระ ฝึกทักษะและนิสัย พรอมทั้งอบรมพฤติกรรมที่พึง ปรารถนา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544, น.3) 2.1 เรียนรู้อะไรในสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันใน สังคมที่มีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้สามารถปรับ ตนเองกับบริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และ ค่านิยมที่เหมาะสม โดยได้กำหนดสาระต่างๆ ไว้ดังนี้ 2.1.1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติ ใน การพัฒนาตนเองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงามพัฒนาตนเอง อยู่เสมอ รวมทั้งบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม 2.1.2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม ระบบการเมืองการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความสำคัญ การเป็น พลเมืองดีความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้าน ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ การดำเนินชีวิตอย่างสันติสุข ในสังคมไทยและสังคมโลก 2.1.3 เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การ บริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการ นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน 2.1.4 ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ ต่างๆผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอดีตความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก
13 2.1.5 ภูมิศาสตร์ ลักษณะกายภาพของโลก แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของ ประเทศไทยและภูมิภาคต่างๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กัน ของสิ่งต่าง ๆในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่ มนุษย์สร้างขึ้นการนำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน 2.2 คุณภาพผู้เรียน 2.2.1 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 1) มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเองและผู้ที่อยู่รอบข้าง ตลอดจนสภาพแวดล้อม ในท้องถิ่นที่อยู่อาศัย และเชื่อมโยงประสบการณ์ไปสู่โลกกว้างมีทักษะกระบวนการ และมีข้อมูลที่จะ เป็นต่อการพัฒนาให้เป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม ประพฤติปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนาที่ตน นับถือ มีความเป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันและการทำงานกับผู้อื่น มีส่วนร่วมใน กิจกรรมของห้องเรียนและได้ฝึกหัดในการตัดสินใจ 2) มีความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ใน ลักษณะการบูรณาการ ผู้เรียนได้เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับปัจจุบันและอดีต มีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐกิจ ได้ข้อคิดเกี่ยวกับรายรับ-รายจ่ายของครอบครัว เข้าใจถึงการเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค รู้จักการออมขั้นต้น และวิธีการเศรษฐกิจพอเพียง 3) รู้และเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่ พลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อเปลี่ยนพื้นฐานในการทำความเข้าใจในขั้นที่ สูงต่อไป 2.2.2 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 1) มีความรู้เรื่องของจังหวัด ภาค และประเทศของตนเอง ทั้งเชิง ประวัติศาสตร์ลักษณะทางกายภาพ สังคม ประเพณีและวัฒนธรรม รวมทั้งการเมือง การปกครอง และสภาพเศรษฐกิจโดยเน้นความเป็นประเทศไทย 2) มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตนตาม หลักธรรมคำสอนของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีส่วนร่วมศาสนาพิธีและพิธีกรรมทางศาสนามาก ยิ่งขึ้น 3) ปฏิบัติตนตามสถานภาพ บทบาท สิทธิหน้าที่ในฐานะพลเมืองดีของ ท้องถิ่นจังหวัดภาคและประเทศ รวมทั้งได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตามขนบธรรมเนียมประเพณีและ วัฒนธรรมของท้องถิ่นตนเองมากยิ่งขึ้น
14 4) สามารถเปรียบเทียบเรื่องราวของจังหวัดและภาคต่างๆ ของประเทศไทย กับประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ เกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง เศษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และภูมิศาสตร์ เพื่อขยายประสบการณ์ไปสู่การทำความ เข้าใจในภูมิภาคซีกโลกตะวันออกและตะวันตกเกี่ยวกับศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การดำเนินชีวิต การจัดระเบียบทางสังคม และการเปลี่ยนแปลง ทางสังคมจากอดีตสู่ปัจจุบัน 2.2.3 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1) มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทย เปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคต่างๆ ในโลก เพื่อพัฒนาแนวคิดเรื่องการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข 2) มีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณได้รับการพัฒนา แนวคิดและขยายประสบการณ์เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาคต่างๆ ในโลก ได้แก่ เอเชีย ออสเตรเลีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรมค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์ 3) รู้และเข้าใจแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถนำมาใช้ เป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตและวางแผนการดำเนินงานได้อย่างเหมาะสม 2.2.4 จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 1) มีความรู้เกี่ยวกับความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือมีค่านิยมอันพึง ประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นและอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข รวมทั้งมีศักยภาพเพื่อการศึกษา ต่อ ในชั้นสูงตามความประสงค์ได้ 2) มีความรู้เรื่องภูมิปัญญาไทย ความเข้าใจในความเป็นไทย ประวัติศาสตร์ ของชาติไทยยึดมั่นในวิถีชีวิต การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3) มีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่างเหมาะสม มี จิตสำนึกและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมไทยและสิ่งแวดล้อม มีความรักท้องถิ่นและ ประเทศชาติมุ่งทำประโยชน์และสร้างศิษย์ที่ดีงามให้กับสังคม 4) มีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้นำตนเองได้ และสามารถแสวงหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ในสังคมได้ตลอดชีวิต
15 2.3 สาระการเรียนรู้ละมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 มาตรฐาน ส 1.2 สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 มาตรฐาน ส 2.2 สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 มาตรฐาน ส 3.2 สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 มาตรฐาน ส 4.2 รู้และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่าง สันติสุข เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษา พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ ดีงามและธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลกอย่างสันติสุข เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา และธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขและ สังคมโลกอย่างสันติสุข เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการ บริโภคการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและ คุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจ หลักการของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลย ภาพทรงเป็นประมุขและ สังคมโลกอย่างสันติสุข เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทาง เศรษฐกิจและความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจใน สังคมโลก เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทาง ประวัติศาสตร์สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์ เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบันในด้าน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้น
16 มาตรฐาน ส 4.3 สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 มาตรฐาน ส 5.2 3. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน 2551 3.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคการ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจ หลักการของเศรษฐกิจ พอเพียงเพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ ตารางที่ 2.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์มาตรฐาน ส 3.1 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป. 5 1.อธิบายปัจจัยการผลิตสินค้า และบริการ ❖ ความหมายและประเภทของ ปัจจัยการผลิตประกอบด้วย ท ี ่ ด ิ น แร ง ง า น ท ุ น แ ล ะ ผู้ประกอบการ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรร ภูมิปัญญาไทย มีความ รักความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย เข้าใจลักษณะทางกายภาพของโลกและความสัมพันธ์ของสรรพ สิ่งซึ่งมีผลต่อกัน ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการ ค้นหา วิเคราะห์และสรุปข้อมูลตาม กระบวนการทางภูมิศาสตร์ ตลอดจนใช้ภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วิถีการดำเนินชีวิต มีจิตสำนึกและมี ส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน
17 ตารางที่ 2.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์มาตรฐาน ส 3.1 (ต่อ) ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ❖ เทคโนโลยีในการผลิตสินค้า และ บริการ ❖ ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ราคาน้ำมัน วัตถุดิบ ❖ พฤติกรรมของผู้บริโภคตัวอย่าง การผลิตสินค้าและบริการที่มี อยู่ในท้องถิ่นหรือแหล่งผลิต สินค้าและบริการในชุมชน 2. ประยุกต์ใช้แนวคิดของ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ใน ครอบครัว โรงเรียนและชุมชน ❖ หลักการปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ❖ การประยุกต์ใช้ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงในกิจกรรม ต่าง ๆ ในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เช่น การประหยัด พลังงานและค่าใช้จ่ายในบ้าน โรงเรียน การวางแผนการผลิต สินค้าและบริการเพื่อลดความ สูญเสียทุกประเภท การใช้ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น ❖ ตัวอย่างการผลิตสินค้าและ บริการในชุมชนเช่น หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์หรือโอท๊อป 3. อธิบายหลักการสำคัญและ ประโยชน์ ของสหกรณ์ ❖ หลักการและประโยชน์ของ สหกรณ์ ❖ ประเภทของสหกรณ์โดยสังเขป
18 ตารางที่ 2.1 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์มาตรฐาน ส 3.1 (ต่อ) ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ❖ สหกรณ์ในโรงเรียน (เน้น ฝึกปฏิบัติจริง) ❖ การประยุกต์หลักการของ สหกรณ์มาใช้ใชีวิตประจำ วัน มาตรฐาน ส 3.2 เข้าใจระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และความจำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก ตารางที่ 2.2 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระเศรษฐศาสตร์มาตรฐาน ส 3.2 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป. 5 1. อธิบายบทบาทหน้าที่ เบื้องต้นของธนาคาร ❖ บทบาทหน้าที่ของธนาคาร โดยสังเขป ❖ ดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ย กู้ยืม ❖ การฝากเงิน / การถอนเงิน 2. จำแนกผลดีและผลเสียของ การกู้ยืม ❖ ผลดีและผลเสียของการกู้ยืม เงินทั้งนอกระบบและในระบบ ที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น การ เสียดอกเบี้ยการลงทุน การซื้อ ของอุปโภคเพิ่มขึ้นที่นำไปสู่ ความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย เป็นต้น
19 4. การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT (Teams Games Tournament) 4.1 ความหมายของการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายเกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ไว้ดังนี้ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553, หน้า 208) กล่าวถึงการเรียนแบบทีมแข่งขัน (Team Games Tournament: TGT) ว่าเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้รวมกลุ่ม เพื่อทำงาน ร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สมาชิกในแต่ละทีมจะประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถ แตกต่างกัน คือ ความสามารถสูง ปานกลาง และต่ำ มารวมกลุ่มกัน ในอัตราส่วน 1: 2: 1 ซึ่งสมาชิก ของทีมจะได้แข่งขันกันในเกมเชิงวิชาการ โดยความสำเร็จของทีมจะขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละ บุคคลเป็นสำคัญ อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 121 ) ได้กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือหรือแบบมีส่วนร่วม หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถต่างกัน ได้ร่วมมือกันทำงานกลุ่ม ด้วยความตั้งใจและเต็มใจรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ในกลุ่มของตน ทำให้งานของกลุ่มดำเนินไปสู่ เป้าหมายของงานได้ วัชรา เล่าเรียนดี (2547 : 15) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ กันเรียนรู้เทคนคตทีมเกมแข่งขัน หรือ TGT จะมีการดำเนินการเรียนการสอนตามลำดับขั้นตอน เช่นเดียวกันกับเทคนิคการร่วมมือกันเรียนรู้อื่นๆ กล่าวคือ ครูต้องคำเนินการสอนในสาระความรู้หรือ ทักษะต่างๆ ให้นักเรียนทั้งชั้นก่อนจนแน่ใจว่านักเรียนทุกคนรู้และเข้าใจในสาระความรู้นั้น หรือรู้และ เข้าใจแนวทางการปฏิบัติพอสมควรก่อน แล้วจึงจัดกลุ่มให้นักเรียนร่วมมือกันเรียนรู้ตามใบงาน หรือใบ กิจกรรมที่เตรียมไว้ล่วงหน้าในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ หรือแต่ละชั่วโมงสอนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ นักเรียนในกลุ่มได้ร่วมมือกันศึกษา และทำแบบฝึกหัด คนเก่ง คอยช่วยเหลือ แนะนำอธิบายให้เพื่อน สมาชิกที่เรียนด้อยกว่าภายในกลุ่มสมาชิกที่เรียนอ่อนกว่าจะต้องยอมรับ รวมทั้งพยายามถามและตอบ ร่วมเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ นรู้และเข้าใจในสาระเหล่านั้นอย่างแท้จริง ที่สำคัญสมาชิกกลุ่มทุกคนต้องรู้ ยอมรับผลงานและผลการเรียนรู้จากการทดสอบคือผลงานที่ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบและเป็นผลงาน หรือผลปฏิบัติของกลุ่ม จากการศึกษาความหมายของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ดังกล่าว สรุปได้ว่าการเรียน แบบร่วมมือเทคนิค TGT (Teams - Games Tournament) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 4-6 คน คละความสามารถด้านผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนเก่งปานกลาง และ อ่อน ภาระงานของกลุ่มคือ หลังจากที่ครูนำเสนอบทเรียนทั้งชั้น แล้วให้แต่ละกลุ่มทำงานตามที่ครู กำหนด และเตรียมสมาชิกทุกคนให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ในการแข่งขันครูจะจัดให้นักเรียนที่มีผล การเรียนในระดับเดียวกันแข่งขันกัน คะแนนที่สมาชิกทำได้จะนำมารวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม กลุ่มที่ได้รางวัลคือกลุ่มที่ทำคะแนนได้สูงสุด
20 4.2 องค์ประกอบสำคัญของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT การเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TGT มีองค์ประกอบสำคัญดังนี้ (สุวิทย์ มูลคำ และอรทัย มูลคำ 2545 : 164) 1) การเสนอเนื้อหา เป็นการนำเสนอเนื้อหาหรือบทเรียนใหม่ รูปแบบการนำเสนอ อาจจะเป็นการบรรยาย อภิปราย กรณีศึกษา หรืออาจจะมีสื่อการเรียนอื่น ๆ ประกอบด้วยก็ได้ เทคนิค TGT จะแตกต่างจากเทคนิคอื่นๆ ตรงที่ผู้สอนต้องเน้นให้ผู้เรียนทราบว่าผู้เรียนต้องให้ความ สนใจมากในเนื้อหาสาระ เพราะจะช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จในการแข่งขัน 2) การจัดทีม เป็นการจัดทีมผู้เรียน โดยให้คละกันทั้งเพศและความสามารถ ทีมมี หน้าที่ในการเตรียมตัวสมาชิกให้พร้อมเพื่อการเล่นเกม หลังจากจบชั่วโมงการเรียนรู้แต่ละทีมจะนัด สมาชิกศึกษาเนื้อหา โดยมีแบบฝึกหัดช่วย และผู้เรียนจะผลัดกันถามคำถามในแบบฝึกหัดจนกว่าจะ เข้าใจเนื้อหาทั้งหมด เทคนิค TGT จุดเน้นในทีมคือ ทำให้ดีที่สุดเพื่อทีม จะช่วยเหลือให้กำลังใจเพื่อน ร่วมทีมให้มากที่สุด 3) เกม เป็นเกมตอบคำถามง่าย ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาสาระที่ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ใน การเล่นเกม ผู้เรียนที่เป็นตัวแทนจากทีมแต่ละทีมจะมาเป็นผู้แข่งขัน 4) การแข่งขัน การจัดการแข่งขันอาจจะจัดขึ้นปลายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียนก็ได้ซึ่ง จะเป็นคำถามเกี่ยวกับเนื้อห าที่เรียนมาแล้ว และผ่านการเตรียมความพร้อมจากกลุ่มมาแล้ว การจัด โต๊ะแข่งขันจะมีหลายโต๊ะ แต่ละโต๊ะจะมีตัวแทนของทีมแต่ละทีมมาร่วมแข่งขันทุกโต๊ะ การแข่งขันควร เริ่มดำเนินการพร้อมกันแข่งขันเสร็จแล้วจัดลำดับผลการแข่งขันแต่ละโต๊ะนำไปเทียบหาค่าคะแนน โบนัส 5) การยอมรับความสำเร็จของทีม มีการนำคะแนนโบนัสของสมาชิกแต่ละคนมา รวมกันเป็นคะแนนของทีม และหาค่าเฉลี่ยทีมที่มีคะแนนสูงสุดจะได้รับการยอมรับให้เป็นทีมชนะเลิศ กับรองลงมา ควรมีการประกาศผลและเผยแพร่ สู่สาธารณะ รวมทั้งการมอบรางวัลยกย่อง ชมเชย เป็นต้น นอกจากนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2547 : 15) ได้กล่าวถึงการจัดกิจกรรมการสอนด้วยวิธีสอนแบบ ร่วมมือกันเรียนรู้ เทคนิคทีมการแข่งขันหรือ TGT โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้ 1) การสอนเนื้อหา ครูต้องดำเนินการสอนในสาระความรู้หรือทักษะต่างๆ ให้นักเรียนทั้งชั้นก่อนจนแน่ใจว่านักเรียนทุกคนรู้และเข้าใจสาระความรู้นั้น หรือรู้และเข้าใจแนว ทางการปฏิบัติพอสมควรก่อนที่จะให้นักเรียนจัดกลุ่ม 2) การจัดกิจกรรมกลุ่ม ครูจัดกลุ่มให้นักเรียนร่วมมือกันเรียนรู้ตามใบงานหรือใบ กิจกรรมที่เตรียมไว้ถ่วงหน้าในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ หรือแต่ละชั่วโมงสอน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ นักเรียนในกลุ่มได้ร่วมกันศึกษาและทำแบบฝึกหัด คนเก่งคอยช่วยเหลือ แนะนำ อธิบายให้เพื่อน
21 สมาชิกที่เรียนด้อยกว่าภายในกลุ่ม สมาชิกที่เรียนอ่อนกว่าจะต้องยอมรับ รวมทั้งพยายามถามและ ตอบร่วมเรียนรู้และฝึกปฏิบัติ จนรู้และเข้าใจในสาระเหล่านั้นอย่างแท้จริง ที่สำคัญสมาชิกกลุ่มทุกคน ต้องรู้ยอมรับว่าผลงานและผลการเรียนรู้จากการทดสอบคือผลงานที่ทุกคนมีส่วนรับผิดชอบและเป็น ผลการปฏิบัติของกลุ่ม 3) การแข่งขัน นักเรียนแต่ละกลุ่มจะแข่งขันกันตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียน โดยครูจะเตรียมคำถามให้นักเรียนตอบ โดยอาจจะสร้างข้อคำถามให้มี 3 ระดับ คือ คำถามสำหรับ เด็กเรียนเก่ง เด็กเรียนปานกลาง เละเด็กเรียนอ่อน เป็นต้น หรืออาจจะเป็นข้อคำถามคละกันทั้งยาก และง่าย ให้แต่ละกลุ่มตอบคำถามเหล่านั้น คำถามอาจจะเหมือนกันก็ได้ โดยให้เหมาะสมกับระดับ ความพร้อมของนักเรียน พร้อมกับจำแนกเวลาในการทำแบบฝึกหัดเพื่อการแข่งขันในแต่ละครั้งก็ได้ จากการศึกษาองค์ประกอบสำคัญของการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT สามารถสรุปได้ ดังนี้คือ การเรียนแบบร่วมมือ TGT มีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การเสนอเนื้อหาเป็นการนำเสนอ เนื้อหาหรือบทเรียนใหม่ การจัดทีม เป็นการจัดทีมผู้เรียน เกม เป็นเกมตอบคำถามง่ายๆ การแข่งขัน การจัดการแข่งขันอาจจะจัดขึ้นปลายสัปดาห์หรือท้ายบทเรียนก็ได้ และทุกคนในทีมต้องมีการยอมรับ ความสำเร็จของทีม 4.3 ขั้นตอนการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ทิศนา แขมมณี (2552, หน้า 68-69) ได้อธิบายขั้นตอนกระบวนการเรียนการสอนของ รูปแบบ ที.จี.ที. (TGT) ไว้ว่า "TGT" ย่อมาจาก "Team Games Tournament" ซึ่งมีการ ดำเนินการ ดังนี้ 1) ขั้นเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วย 1.1) การจัดเตรียมเนื้อหาสาระ ผู้สอนจัดเตรียมเนื้อหาสาระหรือเรื่องที่จะ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ 1.2) การจัดเตรียมเกม ผู้สอนจะต้องจัดเตรียมคำถามง่าย ๆ ซึ่งเป็นคำถาม จากเนื้อหาสาระที่ผู้เรียนเรียนรู้ วิธีการให้คะแนนโบนัสในการเล่นเกม รวมทั้งสื่ออุปกรณ์การเรียนรู้ เช่น ใบงาน ใบความรู้ ชุดคำถาม กระดายคำตอบ กระดาษบันทึกกะแนน เป็นต้น 2) ขั้นจัดทีม ผู้สอนจัดทีมผู้เรียน โดยให้คละกันทั้งเพศ และความสามารถทีมละ ประมาณ 4 - 5 คน เช่น ทีมที่มีสมาชิก 4 คน อาจประกอบด้วยชาย 2 คน หญิง 2 คน เป็นคนเก่ง 1 คน ปลานกลาง 2 คน และอ่อน 1 คน เป็นต้น เพื่อเรียนรู้โดยการปฏิบัติกิจกรรม ตามคำสั่งหรือใบ งานที่กำหนดไว้ 3) ขั้นการเรียนรู้ 3.1) ผู้สอนแนะนำวิธีการเรียนรู้ 3.2) ทีมวางแผนการเรียนรู้และการแข่งขัน
22 3.3) สมาชิกในแต่ละทีมร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามคำสั่งหรือใบงาน 3.4) กลุ่มหรือทีมเตรียมความพร้อมให้กับสมาชิกในกลุ่มทุกคน เพื่อให้มี ความรู้ความเข้าใจในบทเรียนและพร้อมที่จะเข้าสู้สนามแข่ง 3.5) แต่ละทีมทำการประเมินความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของสมาชิกในทีม โดยอาจตั้งคำถามขึ้นมาเองโดยให้สมาชิกของทีมทดลองตอบคำถาม 3.6) สมาชิกของทีมช่วยกันอธิบายเพิ่มเติมในประเด็นที่บางคนยังไม่เข้าใจ 4) ขั้นการแข่งขัน ผู้สอนจัดการแข่งขัน ประกอบด้วย 4.1) ผู้สอนแนะนำการแข่งขันให้ผู้เรียนทราบ 4.2) จัดผู้เรียนหรือสมาชิกตัวแทนของแต่ละทีมเข้าประจำโต๊ะแข่งขัน 4.3) ผู้สอนแนะนำเกี่ยวกับเกม โดยอธิบายจุดประสงค์และกติกาของการ เล่นเกม 4.4) สมาชิกหรือผู้เรียนทุกคนเริ่มเล่นเกมพร้อมกัน ด้วยชุดคำถามที่ เหมือนกัน ผู้สอนเดินตามโต๊ะการแข่งขันต่าง ๆ เพื่อตอบปัญหาข้อสงสัย 4.5) เมื่อการแข่งขันจบลงให้แต่ละโต๊ะตรวจคะแนน จัดลำดับผลการแข่งขัน และให้หาค่าคะแนนโบนัส 4.6) ผู้เข้าร่วมการแข่งขันกลับเข้าทีมเดิมของตัวเอง พร้อมด้วยคะแนน โบนัสของตนเอง 4.7) ทีมนำคะแนนโบนัสของแต่ละคนมารวมกันเป็นคะแนนรวมของทีม อาจจะหาค่าเฉลี่ยหรือไม่ก็ได้ ทีมที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมชนะเลิศและรอง ชนะเลิศตามลำดับ 5) ขั้นยอมรับความสำเร็จของทีม ผู้สอนประกาศผลการแข่งขันและเผยแพร่สู่ สาธารณชนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ปิดประกาศที่บอร์ด ลงข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จดหมาย ข่าว ประกาศหน้าเสาธง เป็นต้น รวมทั้งการมอบรางวัล ยกย่อง ชมเชย จากการศึกษา การเรียนด้วยเทคนิคกลุ่มแข่งขัน สามารถสรุปได้ว่า เป็นการเรียนที่ เปิดโอกาสให้นักเรียนทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มย่อยโดยคละความสามารถและเพศ กิจกรรมการเรียน ส่วนมากจะให้นักเรียนเป็นผู้ปฏิบัติค้นคว้าด้วยตนเองและเร้าความสนใจด้วยเกมการแข่งขันเพื่อให้ทุก คนในกลุ่มได้ร่วมมือกันทำงานที่ได้รับมอบหมาย มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นซึ่ง กันและกัน รวมทั้งการเรียนรู้สภาพอารมณ์ การปรับตัว การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และการช่วย เสริมสร้างบรรยากาศในชั้นเรียนให้ดีขึ้น ลดความตึงเครียดเกิดความสนุกสนานและมีความภูมิใจใน ตนเองเพราะทุกคนช่วยกันเรียนช่วยกันทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ผู้เรียนมีโอกาสประสบความสำเร็จ
23 เท่าเทียมกันทำให้เกิดความมั่นใจในตนเอง และเป็นแนวทางในการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน 5. แผนการจัดการเรียนรู้ 5.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้เป็นคำที่มีความหลากหลายซึ่งได้แนวคิดมาจากแนวความคิดแต่ละทัศนะ ตาม กรอบความคิดและความเชื่อของแต่ละบุคคล ซึ่งมีนักวิชาการได้ให้ความหมายของแผนการจัดการ เรียนรู้มี ดังนี้ ชนาธิป พรกุล (2552 : 85) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็นแนวทางการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนที่เขียนไว้ล่วงหน้า ทำให้ผู้สอนมีความพร้อม และมั่นใจว่าสามารถสอนได้ บรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้และดำเนินการสอนได้ราบรื่น เอกรินทร์ ลี่มหาศาล (2552) ได้ให้ความหมายไว้ว่า วัสดุหลักสูตรที่ควรพัฒนามาจากหน่วย การเรียนรู้ ที่กำหนดไว้เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนบรรลุป้าหมายตามมาตรฐานการเรียนรู้ของ หลักสูตร เป็นส่วนที่แสดงการจัดการเรียนการสอนตามบทเรียน และประสบการณ์การเรียนรู้เป็น รายวันหรือรายสัปดาห์ ชวลิต ชูกำแพง (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง เอกสารที่เป็นลาย ลักษณ์อักษรของครูผู้สอน ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง โดยใช้สื่อและ อุปกรณ์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลา เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ของผู้เรียนใหเป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ วิมลรัตน์ สุนทรวิโรจน์ (2553) ได้อธิบายไว้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นแผนการจัด กิจกรรมการเรียน การจัดการเรียนรู้ การใช้สื่อการจัดการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้องกับ เนื้อหาและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้เป็น แผนที่จัดทำขึ้นจากคู่มือครู หรือแนวทางการจัดการเรียนรู้ของกรมวิชาการ ทำให้ผู้จัดการเรียนรู้ทราบ ว่าจะจัดการเรียนรู้เนื้อหาใด เพื่อจุดประสงค์ใด จัดการเรียนรู้อย่างไร ใช้สื่ออะไร และวัดผล ประเมินผลโดยวิธีใด อาภรณ์ ใจเที่ยง (2553, หน้า 208) ให้ความหมายแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า หมายถึง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การ ใช้สื่อการสอน การวัดผลประเมินผลให้สอดคล้อง กับ เนื้อหาและจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร ไกษร กองธรรม (2553, น. 48) แผนการจัดการเรียนรู้ คือการเตรียมแผน วางแผนเพื่อจัด กิจกรรมการเรียนรู้ หรือโครงสร้างที่จัดทำไว้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรปฏิบัติการสอนวิชาใดวิชา
24 หนึ่ง โคยสอดคล้องกับเรื่องที่จะสอนตรงตามวัตถุประสงค์ของสักสูตรและเหมาะสมกับผู้เรียน เพื่อให้ การสอนมีประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ คือ แผนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญโดยมีการวางแผน เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียด มีวัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อ การสอน และวิธีการวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน และครูคนอื่นสามารถใช้แผนการสอนร่วมกัน ในรายวิชานั้น ๆ ได้ 5.2 ความสำคัญของแผนการเรียนรู้ ความสำคัญของแผนการเรียนรู้มีผู้ให้ความแผนการสอน ดังนี้ ไกษร กองธรรม (2553, น. 48 ) ให้ความสำคัญของแผนการสอนไว้ดังนี้ 1) ช่วยให้ครูได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้ในเรื่องหลักสูตรแนวการสอนการจัดทำ จัดหาสื่อประกอบการสอน ตลอดจนวิธีการวัดผลประเมินผลอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม 2) ช่วยให้เกิดการวางแผนวิธีสอน วิธีเรียนที่มีความหมายยิ่งขึ้น เพราะการทำ แผนการสอนเป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระ และจุดประสงค์การเรียนกับหลักสูตรกับหลักจิตวิทยา การศึกษาหรือวัตกรรมการเรียนใหม่ๆ ตลอดจนปัจจัยอำนวยความสะดวกของโรงเรียนและสภาพ ปัญหา ความสนใจ ความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครอง และทรัพยากรในท้องถิ่นโดยใช้วิธีเชิงระบบ เพื่อให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3) ช่วยให้ครูมีคู่มือครูที่ทำด้วยตัวเองไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เกิดความสะควกในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพ ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตร ส่งเสริมในผู้เรียนเกิด การเรียนรู้ครบถ้วน สอดคล้องกับระยะเวลาและจำนวนคาบที่มีอยู่ในแต่ละภาคเรียน นั่นคือ สอนได้ ครบถ้วนและทันเวลา ช่วยให้ครูมีความมั่นใจการสอนมากขึ้น 4) ทำให้การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่กำหนด ไว้ช่วย ให้ครูสามารถวินิจฉัยจุดอ่อนของนักเรียนที่จะได้รับการแก้ไข และทราบจุดเด่นที่ควรได้รับการ เสริมสร้างต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูเห็นภาพการทำงานของตนเองให้เด่นชัดขึ้น 5) ครูผู้สอนสามารถใช้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง เที่ยงตรง เพื่อเสนอแนะแก่บุคลากรและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมวิชาการ ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหาร เพื่อปรับปรุงหลักสูตรให้ เหมาะสมขึ้น 6) ช่วยให้ผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถทราบขั้นตอน กระบวนการต่างๆ ในการ สอนของครู เพื่อการนิเทศติดตาม และประเมินผลการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7) ผู้สอนติดธุระจำเป็นไม่สามารถสอนได้ด้วยตนเองได้ แผนการสอน จะใช้เป็นคู่มือ แก่ผู้มาสอนแทนได้อย่างต่อเนื่อง
25 8) เป็นการพัฒนาวิชาชีพครู ที่แสดงว่างานสอนต้องได้รับการฝึกฝนมีความเชี่ยวชาญ โคนเฉพาะมีเครื่องมือและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ 9) เป็นผลงานทางวิชาการอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญพิเศษหรือความ เชี่ยวชาญของผู้จัดทำแผนการสอน ซึ่งสามารถนำไปพัฒนางานในหน้าที่ และเสนอเลื่อนระดับให้ สูงขึ้นได้ 5.3 องค์ประกอบแผนการเรียนรู้ กำหนดรูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละแผนว่าควรประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้ 1) สาระสำคัญ 2) มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น 3) ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 4) จุดประสงค์การเรียนรู้ 5) สาระการเรียนรู้ 6) กิจกรรมการเรียนรู้ 6.1) ขั้นเตรียม 6.2) ขั้นสอน 6.3) ขั้นทำกิจกรรมกลุ่ม/จัดทีม 6.4) ขั้นการแข่งขันเกมทางวิชาการ 6.5) ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลสำเร็จ 7) สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 8) การวัดและประเมินผล 9) กิจกรรมเสนอแนะ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2546: 21) ได้กล่าวถึงแผนการจัดการ เรียนรู้ว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดการเรียนรู้ที่นำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนควรมีองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ คือ 1) สาระสำคัญ 2) จุดประสงค์การเรียนรู้ 3) สาระการเรียนรู้ 4) กิจกรรมการเรียนรู้ 5) สื่อและแหล่งเรียนรู้ 6) การวัดผลและประเมินผล
26 7) การบันทึกผลหลังสอน ทิศนา แขมมณี (2548: 16) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ควร ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้ 1) สาระสำคัญ 2) จุดประสงค์การเรียนรู้ 3) กิจกรรมการเรียนการสอน 4) สื่อและอุปกรณ์ 5) การวัดและประเมินผล 6) บันทึกหลักสอน ซึ่งได้ระบุไว้ 3 ประการ ได้แก่ - ผลการเรียน - ปัญหา - อุปสรรคข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข แผนการจัดการเรียนรู้ ยังมีความสำคัญที่จะช่วยให้ครูบรรลุจุดหมายปลายทางที่ต้องการ มั่นใจในการสอน ส่งเสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ครบถ้วนการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า แผนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูผู้สอนจะต้องจัดทำ แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อเตรียมการสอนล่วงหน้าและเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน เพื่อทำให้การถ่ายทอดความรู้สู่นักเรียนนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด 5.4 ขั้นตอนการจัดทำแผนการเรียนรู้ อาภาภรณ์ ใจเที่ยง (2550, น. 60 - 62) ได้อธิบายขั้นตอนการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 1) วิเคราะห์คำอธิบายรายวิชา เพื่อประโยชน์ในการกำหนดหน่วยการเรียนรู้และ รายละเอียดของแต่ละหัวข้อของแผนกการจัดเรียนรู้ 2) วิเคราะห์จุดประสงค์รายวิชาและมาตรฐานรายวิชา เพื่อนำมาเขียนเป็น จุดประสงค์การเรียนรู้ โดยให้ครอบคลุมพฤติกรรมทั้งด้านความรู้ ทักษะ/กระบวนการ เจตคติ และ ค่านิยม 3) วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนรู้ให้สอดคล้องกับผู้เรียน ชุมชน และท้องถิ่น รวมทั้งวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน 4) วิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้ (กิจกรรมการเรียนรู้) โดยเลือกรูปแบบการ จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
27 5) วิเคราะห์กระบวนการประเมินผล โดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่ สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ 6) วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้ โดยคัดเลือกสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ ทั้งใน และนอกห้องเรียนให้เหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ ในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยครูจะต้องพิจารณาหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มา ประกอบ เช่น หนังสือค้นคว้า อ้างอิง สาระสำคัญสำหรับครู หนังสือเรียนสื่อการเรียนการสอนวัสดุ สำหรับนักเรียนฝึกปฏิบัติข้อทดสอบสำหรับวัดและประเมินผลนักเรียน ครูต้องทำการวิเคราะห์สภาพ ความพร้อมและปัจจัยที่เอื้อต่อการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นสื่อการสอน แหล่งวิทยาการในชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่นสภาพนักเรียน และอื่น ๆ แล้วดำเนินการอย่างมี ระบบระเบียบ เป็นขั้นตอนอย่าง รอบคอบ ในที่สุดครูก็จะได้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีมีความ เหมาะสม และมีประสิทธิภาพในการสอน อย่างแท้จริง รุ่งทิวา จักร์กร (2545, น. 122 - 123) กล่าวว่า จากส่วนประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ ทำให้มองเห็นแนวทางในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ คือ การเขียนสิ่งต่าง ๆ ตามองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ โดยทั่วไป แบ่งเป็นขั้นตอน ดังนี้ 1) การกำหนดเรื่องเพื่อกำหนดแผนการจัดการเรียนรู้ อาจกำหนดเรื่องในหลักสูตร หรือกำหนดเรื่องขึ้นใหม่ตามความเหมาะสมก็ได้ การจัดแบ่งเนื้อหาหรือเรื่องย่อยอย่างไรขึ้นอยู่กับ ลักษณะของเนื้อหา และการใช้แผนการจัดการเรียนรู้นั้น การจัดแบ่งเนื้อหาเพื่อทำแผนการจัดการ เรียนรู้ในแต่ละระดับย่อมไม่เหมือนกัน 2) การจัดหมวดหมู่เนื้อหาและประสบการณ์แล้วแต่ความต้องการ ความเหมาะสม 3) การจัดเป็นหน่วยการสอนจะแบ่งกี่หน่วย หน่วยหนึ่งควรใช้เวลาเท่าใดใช้ เวลา เรียนเป็นคาบหรือเป็นสัปดาห์ หรืออาจเป็นคาบตามความเหมาะสมกับวัย และระดับของ ผู้เรียนทั้งนี้ โดยคำนึงถึงหลักจิตวิทยาพัฒนาการของผู้เรียน 4) การกำหนดหัว เรื่อง จัดแบ่งหน่วยการสอนออกเป็นหัวข้อย่อย เพื่อสะดวกต่อ การเรียนรู้แต่ละหน่วยประกอบด้วยประสบการณ์ในการเรียนรู้อะไรบ้าง ก็กำหนดหัวข้อแต่ละหน่วย ขึ้น 5) การกำหนดความคิดรวบยอดหรือหลักการ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะให้ผู้เรียนมี ความคิดรวบยอดหรือหลักการอะไรบ้าง ถ้าผู้สอนไม่ชัดเจนว่าให้เกิดอะไรในการเรียนรู้การกำหนด จุดประสงค์ก็จะไม่ชัดเจน ฉะนั้นการพิจารณากำหนดความคิดรวบยอดหรือหลักการ ให้ชัดเจนจึงเป็น สิ่งสำคัญ
28 6) การกำหนดจุดประสงค์ในการอ่าน ซึ่งหมายถึงจุดประสงค์ทั่วไป และผลการ เรียนรู้ที่คาดหวัง มีเกณฑ์การตัดสินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของการเรียนรู้ได้ชัดเจน 7) การวิเคราะห์งาน โดยกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังแต่ละข้อนั้นมาวิเคราะห์ กิจกรรมว่า ควรจะทำอะไรก่อนหลัง แล้วจึงจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสม และสอดคล้อง กับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ 8) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน หลังจากพิจารณาจุดประสงค์ของแต่ละข้อนั้น ว่า จะจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างไรจึงจะบรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ นอกจากนั้นจะต้องพิจารณา กิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเสริมความสนใจและความสามารถของผู้เรียนได้ 9) กำหนดแบบประเมินผล ครูต้องพิจารณาวิธีการในการประเมินผลจึงจะ ประเมินผลได้อย่างแน่นอนตามผลการเรียนรู้ที่คาดหวังที่กำหนด 10) การเลือกและการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้โดยพิจารณาจากการวัดกิจกรรม การเรียนรู้ เมื่อทราบว่าจะใช้สื่อการสอนอะไรบ้างแล้วก็จะจัดหาและผลิตเพื่อให้ได้ตามต้องการและ จัดหมวดหมู่เพื่อสะดวกต่อการใช้ 11) การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วมี การทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขก่อนนำไปใช้จริง 12) การสร้างข้อทดสอบหลังเรียนแต่ละบทเรียนหรือหน่วยการเรียน ทั้งนี้การสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ถือเป็นภารกิจที่สำคัญสำหรับครูผู้สอน เพราะแผนการ จัดการเรียนรู้ที่ดีต้องเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้สอนจัดทำขึ้นใช้เอง ซึ่งผู้วิจัยได้จัดทำแผนการ เรียนรู้โดยปรับปรุงและพัฒนาตามลำดับ โดยนำขั้นตอนของการจัดสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ สรุปได้ดัง ภาพที่ 2.1 1. ศึกษาหลักสูตร คู่มือครู และแบบเรียนของกรมวิชาการ 2. วิเคราะห์หลักสูตร และคำอธิบายรายวิชา 3. จัดทำกำหนดการสอน 4. ดำเนินการสร้าง 5. ได้แผนการจัดการเรียนรู้ ภาพที่ 2.1 ขั้นตอนการสร้างแผ่นการจัดการเรียนรู้
29 ส่วนรายละเอียดแต่ละขั้นตอนในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ผู้สร้างควรดำเนินตาม รายละเอียด ดังนี้ 1) ศึกษาหลักสูตร คู่มือครู และแบบเรียนของกรมวิชาการศึกษาหลักสูตรเพื่อทำ แผนการจัดการเรียนรู้ จะต้องศึกษา ส่วนประกอบของหลักสูตรทั้งหมดตั้งแต่หลักการ โครงสร้าง จุดหมายจุดประสงค์ของกลุ่ม ประสบการณ์ คำอธิบายรายวิชา เพื่อประโยชน์ในการจัดทำแผนการ จัดการเรียนรู้ในขั้นตอน ต่อไป 2) วิเคราะห์หลักสูตรและคำอธิบายรายวิชา 2.1) ศึกษาหลักสูตร การศึกษาหลักสูตรเพื่อทำแผนการจัดการเรียนรู้ จะต้องศึกษาส่วนประกอบของหลักสูตรทั้งหมดตั้งแต่แนวคิด ขอบข่ายเนื้อหา ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ในขั้นต่อไป 2.2) วิเคราะห์หลักสูตร ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง เนื้อหา เวลา แนวการ จัดการเรียนการสอน จากคำอธิบายรายวิชาโดยให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์ของวิชาและจุดมุ่งหมายของ หลักสูตร 3) จัดทำกำหนดการสอน เมื่อวิเคราะห์หลักสูตร จากคำอธิบายรายวิชาได้แล้วก็ให้ จัดทำกำหนดการสอนเพิ่มขั้นตอนต่อไปนี้ กำหนดการสอนก็คือโครงสร้างของวิซาหรือกลุ่ม ประสบการณ์ที่จะสอนทั้งหมด 4) ดำเนินการสร้างเมื่อกำหนดการสอนโครงสร้างของวิชาหรือกลุ่มประสบการณ์ที่ สอนทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ให้ตอบสนองจุดประสงค์การ เรียนรู้และจุดมุ่งหมายของหลักสูตร 5) ได้แผนการจัดการเรียนรู้ เมื่อดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้เสร็จ เรียบร้อยก็จะได้แผนการจัดการเรียนรู้ สามารถดำเนินการสอนไปได้อย่างเรียบร้อยและมี ประสิทธิภาพ 5.5 ประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ สุวิมล สุวรรณจันดี (2554 : 10) กล่าวถึงประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า ช่วยให้ ผู้สอนมีความมั่นใจในการสอน สามารถจัดเตรียมสื่อ วัสดุอุปกรณ์ อีกทั้งจัดเตรียมกิจกรรมการเรียน การสอนเพื่อให้สอดคล้องกับท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังนำไปเสนอเป็นผลงานวิชาการได้ สำลี รักสุทรี (2546 : 101) กล่าวถึงประโยชน์ของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า แผนการจัดการ เรียนรู้ช่วยให้กระบวนการจัด วัด อย่างเป็นระบบ รัดกุม ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวเป็นลำดับ ขั้นตอน จากหัวไปท้าย จากง่ายไปยาก เป็นรูปธรรมชัดเจน มองเห็นความเคลื่อนไหวของกิจกรรมอย่าง สอดคล้องเป็นลูกโซ่สัมพันธ์กันตลอดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ นักเรียนได้ร่วมกิจกรรมอย่างมีชีวิตชีวา มีความสุขสนุกสนานกับการเรียน และนักเรียนเป็นจุดศูนย์กลางการเรียนรู้
30 สรุปได้ว่าแผนการจัดการเรียนรู้มีประโยชน์เพราะเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระบบไว้ล่วงหน้า เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ รวมทั้งมีการเตรียมวัสดุ อุปกรณ์และสื่อการสอน ทำให้เกิดความพร้อมและความมั่นใจเมื่อทำการสอน ผู้เรียนร่วมกิจกรรมได้ อย่างเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันตั้งแต่ต้นจนจบเป็นการแสดงถึงประสิทธิภาพของการจัดการเรียนการสอน และสามารถให้ผู้อื่นสอนแทนหรือนำไปใช้กับผู้เรียนกลุ่มอื่นได้ 6. การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 6.1 ความหมายของเกณฑ์ประสิทธิภาพ บุญชม ศรีสะอาด (2550 : 98 - 103) กล่าวว่า ประสิทธิภาพของสื่อการสอนหรือนวัตกรรม ทางการศึกษา (E1/E2 ) ในการวิจัยบางครั้งนักวิจัยใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมทางการศึกษา เช่น แผนการสอน บทเรียนคอมพิวเตอร์ ชุดสื่อผสม เป็นต้น เป็นเครื่องมือในการทำวิจัยด้วย ดังนั้น ต้องมี วิธีหาคุณภาพของสื่อดังกล่าวด้วย ซึ่งมีขั้นตอนคล้ายกับการหาคุณภาพของแบบทดสอบ หรือ เครื่องมือชนิดอื่น ๆ คือ วิเคราะห์คำอภิปรายรายวิชา กำหนดเนื้อหาสาระเป็นรายบทแล้ววิเคราะห์ เนื้อหาสาระเป็นรายบทในรูปของตารางความสัมพันธ์ ระหว่างเนื้อหาย่อย ความคิดรวบยอดและ จุดประสงค์การเรียนรู้ขั้นต่อไปดำเนินการ ดังนี้ 1) ตรวจสอบความเที่ยงตรง (Validity) มักอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งควรให้ผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาตารางความสัมพันธ์ดังกล่าว 2) สร้างแผนการสอนหรือสื่อต่าง ๆ แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความถูกต้อง จากนั้นนำไปทดลองกับนักเรียนเป็นรายบุคคล ซึ่งนิยมใช้กับนักเรียนระดับการเรียนเก่ง ปานกลาง อ่อนอย่างละ 1 คน เพื่อพิจารณาเรื่องการออกแบบสื่อ คำอธิบายการใช้สื่อ การสื่อความ หรืออาจจะ ทดลองใช้แผนการสอนเป็นรายกลุ่ม เพียง 1- 2 แผน เพื่อดูเรื่องเวลาที่ใช้จัดกิจกรรมบรรยากาศการ เรียนการสอน เป็นต้นส่วนการหาประสิทธิภาพของสื่อ (E1/E2 ) เป็นขั้นตอนทำการทดลองจริงกับกลุ่ม ตัวอย่าง ที่กำหนดไว้แล้ว (ไม่ใช่เป็นขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่ กลุ่มตัวอย่าง) สรุปได้ดังนี้ 2.1) ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1 ) เป็นค่าที่บ่งบอกว่า แผนการจัดการเรียนรู้นั้นสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิด การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องหรือไม่ภายใต้สถานการณ์และกิจกรรมที่กำหนดให้ โดยจะมีการเก็บข้อมูล ของผลการเรียนรู้อันเนื่องมาจากนวัตกรรมหรือแผนการเรียนรู้เป็นระยะ ๆ ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็น ถึงพัฒนาการและความงอกงามของผู้เรียนได้ โดยทั่วไปมักจะคำนวณจากคะแนนที่ได้จากการทำ แบบทดสอบย่อย แบบฝึกทักษะการใช้ชุดการเรียนรู้หรือคะแนนจากพฤติกรรมการเรียนในระหว่างที่ ผู้เรียนกำลังเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งคำนวณได้จากสูตร
31 E1 = ( ∑ x N ) A × 100 เมื่อ E1 แทน สื่อประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ x แทน ผลรวมของคะแนนทุกส่วนที่ผู้เรียนทุกคนได้ทำ N แทน จำนวนผู้เรียน A แทน คะแนนเต็มทั้งหมด 2.2) ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2 ) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าแผนการจัดการเรียนรู้นั้น สามารถส่งผลให้ผู้เรียนเกิด สัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้มากน้อย เพียงใดซึ่งคำนวณจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ทดสอบหลัง เรียน) ของผู้เรียนทุกคน ซึ่งคำนวณได้จากสูตร E2 = ( ∑ F N ) B × 100 เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ F แทน ผลรวมของคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนที่ผู้เรียนทุกคนทำได้ N แทน จำนวนผู้เรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จากที่กล่าวมาสามารถคำนวณได้ค่าตัวเลขที่บอกถึงประสิทธิภาพของสื่อ หรือแผนการจัดการเรียนรู้ แต่การที่จะสรุปว่าสื่อหรือแผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นนั้น มี ประสิทธิภาพหรือไม่จะต้องมีการกำหนดเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณ โดยเกณฑ์ดังกล่าวนิยมใช้ หลักการเรียนแบบรอบรู้(Mastering Learning) คือ ตั้งเกณฑ์ไว้ที่ ร้อยละ 80 และยอมรับความ ผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละ 2.5 ดังนั้น ต้องมีประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่า 80-2.5 = 77.5 หรือยอมรับความ ผิดพลาดได้ไม่เกินร้อยละ 5 สรุปได้ว่า การคำนวณหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เป็นการคำนวณ หาประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ/หรือประสิทธิภาพของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ โดยแสดงเป็นค่าตัวเลข 2 ตัว เช่น = 80/80 เป็นต้น
32 7. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 7.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Learning Achievement) เป็นผลที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ในการจัด การศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นดัชนีประการหนึ่งที่สามารถบอกถึงคุณภาพการศึกษา ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือคุณลักษณะ รวมถึงความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือ มวลประสบการณ์ทั้ง ปวงที่บุคคลได้รับจากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่างๆ ของ สมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่า เรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถด้านใดมากน้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่างๆ ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวมทั้งความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่างๆ ก็เป็นผลมาจากการฝึกฝนด้วย สมนึก ภัททิยธนี (2546 : 12) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถของนักเรียน ที่ได้รับจากการเรียนรู้โดยใช้เครือข่ายสังคม เรื่องการทำงานของ คอมพิวเตอร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งทำให้คะแนนจากการสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลการวัดการเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์การเรียนรู้ ในเนื้อหาสาระที่เรียนมาแล้วว่าเกิดการเรียนรู้ เท่าใดมีความสามารถชนิดใด โดยสามารถวัดได้จากแบบทดสอบวัดสัมฤทธิ์ในลักษณะต่างๆ และการ วัดผลตามสภาพจริง เพื่อบอกถึงคุณภาพการศึกษาความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 7.2 ลักษณะของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 76-77) กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรวัด เพื่อ วิเคราะห์ผู้เรียนก่อนเรียน และวัดความสำเร็จหลังเรียน ดังนี้ 1) วิเคราะห์ผู้เรียนก่อนเรียน เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนในแต่ละวิชา เพื่อตรวจสอบ ความรู้ ทักษะ และความรู้ต่าง ๆ ของผู้เรียนโดยใช้วิธีการที่เหมาะสม แล้วนําผลการประเมินมาเตรียม ผู้เรียน ทุกคน ให้มีความพร้อมและมีความรู้พื้นฐาน ซึ่งจะช่วยให้การจัดกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน ประสบความสำเร็จในการเรียนได้เป็นอย่างดี แต่จะไม่นําผลที่ได้ไปใช้ในการพิจารณาตัดสินผลการ เรียน มีแนวปฏิบัติดังนี้ 1.1) วิเคราะห์ความรู้ ทักษะที่เป็นพื้นฐานของเรื่องที่จะเรียนรู้
33 1.2) เลือกวิธีการและเครื่องมือสำหรับวัดความรู้และทักษะพื้นฐานอย่าง เหมาะสม การ ใช้แบบทดสอบ การซักถาม การสอบถามผู้ที่เคยสอน การพิจารณาแฟ้มสะสมงาน เป็นต้น 1.3) ดำเนินการประเมินความรู้และทักษะพื้นฐานของผู้เรียน 1.4) นําผลการประเมินไปพัฒนาผู้เรียนให้มีความพร้อมที่จะเรียน เช่น จัดการเรียนรู้พื้นฐานสำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อ สนับสนุนผู้เรียน ที่มีความสามารถพิเศษ เป็นต้น 2) วัดความสำเร็จหลังเรียน เป็นการประเมินเพื่อมุ่งตรวจสอบความสำเร็จของ ผู้เรียน เป็นการวัด และประเมินผู้เรียนที่ได้เรียนจบแล้ว เพื่อตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตาม ตัวชี้วัดหรือผลการเรียนรู้ พัฒนาการของผู้เรียนเมื่อนําไปเปรียบเทียบกับผลการประเมินวิเคราะห์ ผู้เรียน ก่อนเรียน ทำให้สามารถประเมินศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียน และประสิทธิภาพในการ จัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน ข้อมูลได้จากการวัดความสำเร็จของผู้เรียนภายหลังการเรียน สามารถ นําไปใช้ ประโยชน์ในการปรับปรุงแก้วิธีการเรียนของผู้เรียน การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้สอน หรือซ่อมเสริมผู้เรียนให้บรรลุตัวชี้วัด หรือผลการเรียนรู้ การประเมินความสำเร็จหลังเรียนนี้ จะ สอดคล้องกับการประเมินวิเคราะห์ผู้เรียนก่อนการเรียนการสอน หากใช้วิธีการและเครื่องมือประเมิน ชุดเดียวกัน หรือคู่ขนานกัน เพื่อดูพัฒนาการของผู้เรียนได้ชัดเจน จากหลักการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่กล่าวไว้ข้างต้น สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ต้องพิจารณาถึงพฤติกรรมของการวัดที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และพฤติกรรมที่ ต้องการให้เกิดกับผู้เรียน ในด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ซึ่งการวัดผลที่มีประสิทธิภาพ ต้องวัดให้ตรงตามจุดประสงค์ครอบคลุมเนื้อหาที่ ผู้เรียนได้เรียนไปแล้วเครื่องมือที่ใช้วัดต้องมีความน่าเชื่อถือ ถูกต้องและยุติธรรมโดยผ่านการหา คุณภาพที่ได้ผลออกมาเป็นที่ขอมรับ สามารถวิเคราะห์ผู้เรียนได้โดยการเปรียบเทียบผลการวัดก่อน เรียนและหลังเรียน 7.3 ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ดังนี้ สมนึก ภัททิยธนี (2546 : 13) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ว่า หมายถึง แบบทดสอบวัดสมรรถภาพทางสมองต่างๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างกับแบบทดสอบมาตรฐาน แต่เนื่องจากครูต้องทำ
34 หน้าที่วัดผลนักเรียน คือเขียนข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ตนได้สอน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับแบบทคสอบที่ ครูสร้างและมีหลายแบบแต่ที่นิยมใช้มี 6 แบบ ดังนี้ 1) ข้อสอบแบบอัตนัยหรือความเรียง ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำถาม แล้วให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้ และข้อคิดเห็นแต่ละคน 2) ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด ลักษณะทั่วไป ถือได้ว่าข้อสอบแบบกาถูก-ผิด คือข้อสอบ แบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือก แต่ตัวเลือกดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 3) ข้อสอบแบบเติมคำ ลักษณะทั่วไปเป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยคหรือ ข้อความที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ผู้ตอบเดิมคำ หรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้นเพื่อให้มี ใจความสมบูรณ์และถูกต้อง 4) ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ ลักษณะทั่วไป ข้อสอบประเภทนี้คล้ายกับข้อสอบแบบ เติมคำ แต่แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้น ๆ เขียนเป็นประ โยคคำถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคำเป็น ประ โยคที่ยังไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเป็นคนเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการจะสั้นและกะทัดรัดได้ ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยายแบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง 5) ข้อสอบแบบจับคู่ ลักษณะทั่วไป เป็นข้อสอบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีคำหรือ ข้อความแยกจากกันเป็น 2 ชุด แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่า แต่ละข้อความในชุดหนึ่ง (ตัวยืน) จะคู่ กับ คำ หรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง (ตัวเลือก ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบ กำหนดไว้) ข้อสอบแบบเลือกตอบ ลักษณะทั่วไป ข้อสอบแบบเลือกตอบนี้จะประกอบด้วย 2 ตอน ตอนนำหรือคำถามกับตอนเลือก ในตอนเลือกนี้จะประกอบด้วยตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือก ที่เป็นตัวลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้นักเรียนพิจารณาแล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุดเพียง ตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่น ๆ และคำถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกัน ดูเผินๆ จะเห็นว่าทุกตัวเลือกถูกหมด แต่ความจริงมีน้ำหนักถูกมากน้อยต่างกัน จากการศึกษาความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่กล่าวมาแล้ว สรุปได้ ว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทคสอบที่วัดความรู้ความสามารถทางการ เรียนด้านเนื้อหา ด้านวิชาการและทักษะต่าง ๆ ของวิชาต่าง ๆ 7.4 ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ (2541: 18) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ไว้ว่า เป็นแบบทดสอบที่วัดความ รู้ของนักเรียนที่ได้เรียนไปแล้ว ซึ่งเป็นข้อคำถามให้นักเรียน ตอบลงในกระดาษและให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริงแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์แบ่งเป็น 2 แบบดังต่อไปนี้
35 1) แบบทดสอบของครู หมายถึง ชุดข้อคำถามที่ครูเป็นผู้สร้างขึ้น ซึ่งเป็นข้อคำถามที่ ถามเกี่ยวกับความรู้ที่นักเรียนได้เรียนในห้องเรียนว่านักเรียนมีความรู้มากเพียงใด บกพร่องตรงไหน เพื่อจะได้สอนซ่อมเสริม หรือวัดดูความพร้อมที่จะสอนเรื่อง ใหม่ แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นนี้ มุ่งวัด ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนเฉพาะกลุ่มที่ครูสอน เป็นแบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้นใช้กันโดยทั่วไปใน สถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบทดสอบข้อเขียน ซึ่งแบ่งออกได้อีก 2 ชนิด คือ 1.1) แบบทดสอบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่กำหนดคำถามหรือปัญหาแล้ว ให้ผู้ตอบเขียนโดยแสดงความรู้ ความคิด เจตคติได้อย่างเต็มที่ 1.2) แบบทดสอบปรนัย หรือแบบให้ตอบสั้น ๆ เป็นแบบทดสอบที่ กำหนดให้ผู้ตอบเขียนตอบสั้นๆ หรือมีคำตอบให้เลือกแบบจำกัดคำตอบ ผู้ตอบไม่มีโอกาสแสดง ความรู้ ความคิดได้อย่างกว้างขวางเหมือนแบบทดสอบอัตนัย แบบทดสอบชนิดนี้แบ่งออกเป็น4 แบบ คือ แบบทดสอบถูกผิด แบบทดสอบจับคู่ แบบเติมคำ และแบบเลือกตอบ 2) แบบทดสอบมาตรฐาน สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาหรือจาก ครูผู้สอนวิชานั้นๆ แต่ ผ่านการทดลองหาคุณภาพหลายครั้ง จนกระทั่งมีคุณภาพดีพอจึงสร้างเกณฑ์ ปกติของแบบทดสอบนั้น สามารถใช้เป็นหลักและเปรียบเทียบผลเพื่อประเมินค่าของการเรียนการ สอนในเรื่องใด ๆ ก็ได้ จะใช้วัดอัตราการพัฒนาของเด็กแต่ละวัยในแต่ละกลุ่มก็ได้ จะใช้สำหรับให้ครู วินิจฉัยผลสัมฤทธิ์ระหว่างวิชาต่าง ๆ ในเด็กแต่ละคนก็ได้ ข้อสอบมาตรฐานนอกจากจะมีคุณภาพของ แบบทดสอบสูงแล้วยังมีมาตรฐานในด้านวิธีการดำเนินการสอบ กล่าวคือ ไม่ว่าโรงเรียนใดหรือส่วน ราชการใดจะนำไปใช้ต้องดำเนินการสอบเป็นแบบเดียวกัน แบบทดสอบมาตรฐานจะมีคู่มือดำเนินการ สอบ บอกถึงวิธีการสอบว่าทำอย่างไรละยังมีมาตรฐานในด้านการแปลคะแนนอีกด้วยทั้งแบบทดสอบ ที่ครูสร้างขึ้นและแบบทดสอบมาตรฐาน มีวิธีสร้างข้อคำถามเหมือนกัน คือจะเป็นคำถามที่วัดเนื้อหา และพฤติกรรมที่ได้สอนนักเรียนไปแล้ว สำหรับพฤติกรรมที่สามารถตั้งคำถามวัดได้ นิยมใช้ตามหลักที่ ได้จากการประชุมของนักวัดผล ชวลิต ชูกําแพง (2550 : 94-97) ได้จําแนกประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน ดังนี้ 1) แบบอัตนัย เป็นแบบทดสอบที่เขียนคําถามโดยกำหนดสถานการณ์หรือปัญหาใน รูปใด รูปหนึ่งเพื่อให้ผู้ตอบได้แสดงความรู้ ความเข้าใจ ความคิดเห็น ได้อย่างไม่จํากัด คําตอบของ ข้อสอบ แบบอัตนัย มีลักษณะและปริมาณไม่แน่นอน การตอบข้อสอบแบบอัตนัยจึงต้องจัดระเบียบ คําตอบ ภายในเวลาที่กําหนดให้ใช้สํานวนภาษาและแบบฉบับของตนเองเขียนตอบ เขียนคําตอบให้ ครอบคลุม อย่างสมบูรณ์และระมัดระวัง การตรวจให้คะแนน ผู้ที่ตรวจต้องมีความรู้ในเนื้อหาวิชานั้น ต้องอาศัย ทักษะและความพยายามในการอ่าน และทำใจให้เป็นกลางในการตรวจ
36 2) แบบเติมคํา เป็นลักษณะของแบบทดสอบที่เขียนประโยคหรือข้อความเป็นตอน นําไว้แล้วเว้นช่องว่างระหว่างข้อความหรือท้ายข้อความ สำหรับให้เติมคําหรือข้อความ เพื่อให้ ข้อความนั้น ถูกต้องสมบูรณ์ การเว้นช่องว่าง อาจจะเว้นที่ว่างให้เติมมากกว่าหนึ่งแห่ง 3) แบบเลือกตอบหลายตัวเลือก ประกอบด้วยส่วนที่เป็นคําถามและส่วนที่เป็น คําตอบ ส่วนคําถามเป็นข้อความปัญหา เขียนเป็นประโยคคําถาม ส่วนคําตอบให้เลือกเป็นตัวเลือก หลายตัวเลือก มีทั้งคําตอบถูกและคําตอบผิด เรียกว่าตัวลวง ข้อสอบแบบเลือกตอบจึงเป็นข้อสอบ ชนิดที่มีคำตอบกำหนดไว้ให้ก่อน แล้วผู้ตอบเลือกตอบตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่ง หรือหลายตัวเลือก แล้วแต่เงื่อนไขคําถาม 4) แบบถูกผิด ลักษณะของข้อสอบจะเขียนข้อความที่เป็นสถานการณ์ซึ่งมีทั้งถูกหรือ ผิด คละกันไป รูปแบบคําถามจําแนกเป็น แบบคําถามเดี่ยว แบบคําถามขยาย และแบบคําตอบผสม โดยให้พิจารณาว่าคําถามหรือข้อความนั้นถูกหรือผิด 5) แบบจับคู่ ลักษณะของข้อสอบประกอบด้วยคําถาม เขียนเป็นตัวยืนไว้ในสดมภ์ ซ้ายมือ โดยมีที่ว่างเว้นไว้หน้าข้อเพื่อให้ผู้ตอบเลือกหาคําตอบที่เขียนไว้ในสดมภ์ขวามือ รูปแบบ คําถาม สามารถจําแนกได้เป็น แบบหาความสัมพันธ์ แบบตัวเลือกคงที่ และแบบจัดเรียงลำดับ จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า แบบทดสอบที่ใช้ในการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนที่ ใช้ในปัจจุบันนี้นั้นมีมากมายหลายประเกท แต่ละประเภทก็จะมีลักษณะและจุดมุ่งหมายต่อการวัด ผลสัมฤทธิ์แตกต่างกัน ดังนั้นในการนำแบบทดสอบไปใช้ต้องระมัดระวังว่าการเลือกต้องเลือกใช้ แบบทดสอบได้ถูกต้องเหมาะสม การจำแนกแบบทดสอบสามารถทำได้หลายแบบขึ้นอยู่กับผู้จำแนก ว่าจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ในการจำแนก 7.5 หลักเกณฑ์ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้วิจัยได้วิเคราะห์จากนักวิชาการหลาย ท่าน มีที่กล่าวถึงหลักเกณฑ์ไว้สอดคล้องกัน และได้ลำดับเป็นขั้นตอน ดังนี้ 1) เนื้อหาหรือทักษะที่ครอบคลุมในแบบทดสอบนั้น จะต้องเป็นพฤติกรรมที่สามารถ วัดผลสัมฤทธิ์ได้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ใช้แบบทดสอบวัดนั้นถ้านำไปเปรียบเทียบกันจะต้องให้ ทุกคนมีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้ครอบคลุมและเท่าเทียมกัน 3) วัดให้ตรงกับจุดประสงค์ การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควร จะวัดตามวัตถุประสงค์ทุกอย่างของการสอน และจะต้องมั่นใจว่าได้วัดสิ่งที่ต้องการจะวัดได้จริง
37 4) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดความเจริญงอกงามของนักเรียน การ เปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าไปสู่วัตถุประสงค์ที่วางไว้ ดังนั้นครูกวรจะทราบว่าก่อนเรียนนักเรียนมี ความรู้ความสามารถอย่างไร เมื่อเรียนเสร็จแล้วมีความรู้แตกต่างจากเดิมหรือไม่ โดยการทดสอบก่อน เรียนและทดสอบหลังเรียน 5) การวัดผลเป็นการวัดผลทางอ้อม เป็นการยากที่จะใช้ข้อสอบแบบเขียนตอบวัด พฤติกรรมตรง 1 ของบุคคลได้ สิ่งที่ วัดได้ คือ การตอบสนองต่อข้อสอบ ดังนั้น การเปลี่ยน วัตถุประสงค์ให้เป็นพฤติกรรมที่จะสอบ จะต้องทำอย่างรอบคอบและถูกต้อง 6) การวัดการเรียนรู้ เป็นการยากที่จะวัดทุกสิ่งทุกอย่างที่สอนได้ภายในเวลาจำกัด สิ่งที่วัดได้เป็นเพียงตัวแทนของพฤติกรรมทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้นต้องมั่นใจว่าสิ่งที่วัดนั้นเป็นตัวแทน แท้จริงได้ 7) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นเครื่องช่วยพัฒนาการสอนของครู และเป็น เครื่องช่วยในการเรียนของเด็ก 8) ในการศึกษาที่สมบูรณ์นั้น สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การทคสอบแต่เพียงอย่างเดียว การ ทบทวนการสอนของครูก็เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง 9) การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ควรจะเน้นในการวัดความสามารถในการใช้ ความรู้ให้เป็นประโยชน์ หรือการนำความรู้ไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ 10) ควรใช้คำถามให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาและวัตถุประสงค์ที่วัด 11) ให้ข้อสอบมีความเหมาะสมกับนักเรียนในด้านต่าง ๆ เช่น ความยากง่าย พอเหมาะ มีเวลาพอสำหรับนักเรียนในการทำข้อสอบ จากที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ในการสร้างแบบทดสอบให้มีคุณภาพ วิธีการสร้างแบบทคสอบ ที่เป็นคำถาม เพื่อวัดเนื้อหาและพฤติกรรมที่สอนไปแล้วต้องตั้งคำถามที่สามารถวัดพฤติกรรมการเรียน การสอนได้อย่างครอบคลุมและตรงตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 7.6 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545: 99-101) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนดังนี้ 1) วิเคราะห์หลักสูตรและการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร เพื่อเป็นการวิเคราะห์ เนื้อหาสาระและพฤติกรรมที่ต้องการ ตารางวิเคราะห์หลักสูตรจะใช้เป็นกรอ บความรู้พื้นฐานในการ ออกแบบทดสอบ โดยระบุจำนวนของ ข้อสอบในแบบทดสอบในแต่ละเรื่องและพฤติกรรมที่ต้องการ จะวัดได้ 2) กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมที่ นำไปสู่การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ผู้สอนมุ่งหวังจะให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนซึ่งผู้สอนจะต้องกำหนด
38 ไว้ล่วงหน้าสำหรับเป็นแนวทางในการจัดกระบนการเรียนการสอน และการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ 3) กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้างโดยการศึกษาตารางวิเคราะห์หลักสูตร และจุดประสงค์การเรียนรู้ผู้ออกข้อสอบต้องพิจารณาและตัดสินใจเลือกใช้ชนิดของข้อสอบที่จะใช้วัด ว่าเป็นแบบใด โดยต้องเลือกให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และเหมาะสมกับวัยของผู้เรียนแล้ว ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบชนิดนั้นให้มีความเข้าใจในหลักการและวิธีการเขียนข้อสอบ 4) เขียนข้อสอบ ผู้ออกข้อสอบลงมือเขียนข้อสอบตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ใน ตารางวิเคราะห์หลักสูตร และให้สอดคล้ องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ โดยอาศัยหลักและวิธีการเขียน ข้อสอบที่ได้ศึกษามาแล้วในข้อ 3 5) ตรวจทานข้อสอบ เพื่อให้ข้อสอบที่เขียนไว้แล้วในขั้นตอนที่ 4 มีความถูกต้องตาม หลักวิชามีความสมบูรณ์ครบถ้วนตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตร ผู้ออก ข้อสอบต้องพิจารณาทบทวนตรวจทานข้อสอบอีกครั้งก่อนที่จะจัดพิมพ์และนำไปใช้ต่อไป 6) จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง เมื่อตรวจทานเสร็จแล้วให้พิมพ์ข้อสอบทั้งหมด จัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับทดลอง โดยมีคำชี้แจงหรือคำอธิบายวิธีตอบแบบทดสอบ (Direction) และจัดวางรูปแบบการพิมพ์ให้เหมาะสม 7) ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ การทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบเป็น วิธีการตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบก่อนนำไปใช้จริง โดยนำแบบทดสอบไปใช้ทดลองสอบกับ กลุ่มที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับกลุ่มที่ต้องการสอบจริง แล้วนำผลการสอบมาวิเคราะห์และปรับปรุง ข้อสอบให้มีคุณภาพ โดยสภาพการปฏิบัติจริงของการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในโรงเรียนมักไม่ค่อยมีการ ทดลองสอบและวิเคราะห์ข้อสอบ สวนใหญ่นำแบบทดสอบไปใช้ทดสอบแล้วจึงวิเคราะห์ข้อสอบเพื่อ ปรับปรุงข้อสอบและนำไปใช้ในครั้งต่อๆ ไป 8) จัดทำแบบทดสอบฉบับจริง นำผลจากการวิเคราะห์ข้อสอบ หากพบว่าข้อสอบข้อ ใดไม่มีคุณภาพหรือมีคุณภาพไม่ดีพอ อาจจะต้องตัดทิ้งหรือปรับปรุงแก้ไขข้อสอบให้มีคุณภาพดีขึ้น แล้วจึงจัดทำเป็นแบบทดสอบฉบับจริงที่จะนำไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายต่อไป บุญชม ศรีสะอาด (2554, หน้า 68-73) กล่าวถึงขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ อิงเกณฑ์ สรุปได้ดังนี้ 1) วิเคราะห์จุดประสงค์ เนื้อหาวิชา ขั้นแรกจะต้องทำการวิเคราะห์ดูว่ามีหัวข้อ เนื้อหาใดบ้างที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และที่จะต้องวัด แต่ละหัวข้อเหล่านั้นต้องการให้ผู้เรียน เกิดพฤติกรรม หรือสมรรถภาพอะไร กำหนดออกมาให้ชัดเจน 2) กำหนดพฤติกรรมย่อยที่จะออกข้อสอบ จากขั้นแรก พิจารณาต่อไปว่าจะวัด พฤติกรรมย่อยอะไรบ้าง อย่างละกี่ข้อ พฤติกรรมย่อยตังกล่าว คือ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมนั่นเอง
39 เมื่อกำหนดจำนวนข้อที่ต้องการจริงเสร็จแล้ว ต่อมาพิจารณาว่าจะต้องออกข้อสอบเกินไว้ควรออก เกินไม่ต่ำกว่า 25% ทั้งนี้ เนื่องจากหลังจากที่นำไปทดลองใช้และวิเคราะห์หาคุณภาพของข้อสอบราย ข้อแล้ว จะตัดข้อที่มีคุณภาพไม่เข้าเกณฑ์ออกข้อสอบที่เหลือจะได้ไม่น้อยกว่าจำนวนที่ต้องการจริง 3) กำหนดรูปแบบของข้อคำถามและศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ ขั้นตอนนี้จะเป็นการ ตัดสินใจว่าจะใช้คำถามรูปแบบใด และศึกษาวิธีเขียนข้อสอบ เช่น ศึกษาหลักในการเขียนข้อคำถาม แบบนั้นๆ ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบเพื่อจุดประสงค์ประเภทต่างๆ ศึกษาเทคโนโลยีในการเขียนข้อสอบ เพื่อที่จะได้นำมาใช้ในกรเขียนข้อสอบของตน 4) เขียนข้อสอบ ลงมือเขียนข้อสอบตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมตามตารางที่ได้ กำหนดจำนวนข้อสอบของแต่ละจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไว้และใช้รูปแบบเทคนิคการเขียนข้อสอบ ตามที่ได้ศึกษาในขั้นตอนที่ 3 5) ตรวจทานข้อสอบ นำข้อสอบที่ได้เขียนไว้แล้วในขั้นตอนที่ 4 มาพิจารณาทบทวน อีกครั้งหนึ่ง โดยพิจารณาตามความถูกต้องของหลักวิชา แต่ละข้อวัดพฤติกรรมย่อย หรือจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรมที่ต้องการหรือไม่ ภาษาที่ใช้เขียนมีความชัดเจนเข้าใจง่ายหรือไม่ ตัวถูกตัวลวงเหมาะสม เข้าเกณฑ์หรือไม่ ทำการปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น 6) ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความเที่ยงตรงตามเนื้อหา นำจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม และข้อสอบที่วัดแต่ละจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมไปให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้อหาจำนวนไม่ต่ำกว่า 3 คน พิจารณาว่า ข้อสอบแต่ละข้อวัดตามจุดประสงค์ที่ระบุไว้นั้นหรือไม่ จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า กระบวนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะต้องมี ขั้นตอนสำคัญในการสร้าง คือขั้นวางแผน ขั้นเตรียม ขั้นทดลองสอบ และขั้นประเมินผลแบบทดสอบ กระบวนนี้สามารถที่จะนำไปปฏิบัติหรือทำติดต่อซ้ำกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้คุณภาพของ แบบทดสอบที่ต้องการ การวางแผนสร้างแบบทดสอบนับว่าเป็นขั้นที่มีความสำคัญอย่างมากเพราะจะ เป็นตัวกำหนดการเขียนข้อสอบให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มแรก ดังนั้นตารางวิเคราะห์หลักสูตรจึงเป็นส่วน สำคัญที่จะต้องสร้างขึ้นก่อนที่จะทำการสร้างแบบทดสอบทุกครั้ง 8. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ธัญญาเรศ หมื่นไกร,กรรณิการ์ ภิรมย์รัตน์ และภาสชัย แถบกําปัง (2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำ การวิจัยเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ศาสนพิธีของศาสนาสากลของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/6 โรงเรียนโยธินบูรณะ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ประกอบ เกมการสอน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เรื่อง ศาสนพิธีของ ศาสนาสากลโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคTGT ประกอบเกมการสอน และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเรื่อง ศาสนพิธีของศาสนาสากลโดยใช้การจัดการ
40 เรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ประกอบเกมการสอน เป็นงานวิจัยเชิงทดลอง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ใน การวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/6 จำนวน 8 คนที่กําลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection)เครื่องมือที่ใช้สำหรับวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT 2) เกมประกอบการสอน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนทั้งหมดมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ประกอบเกมการสอน โดยรวมการพัฒนาอยู่ใน ระดับดีมาก (X= 13.30, S.D. = 1.77) 2) นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน ค่าเฉลี่ย เท่ากับ(X= 13.30, S.D. =1.77) สูงกว่าคะแนนก่อนเรียน ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ(X= 6.60, S.D.=2.26) จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคล พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนอยู่ในระดับผ่านเกณฑ์อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สมยศ บุญรักษ์(2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง วันสําคัญทางพระพุทธศาสนาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการ จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TGT มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน มัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบร่วมมือเทคนิค TGT 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจ ในการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบร่วมมือเทคนิค TGT กลุ่ม ตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนเทศบาลวัดไทรใต้ ที่กําลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จํานวน 23 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพระพุทธศาสนา มีระดับคุณภาพอยู่ในระดับเหมาะสม มาก 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง วันสําคัญทาง พระพุทธศาสนา และ 3)แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TGT สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพระพุทธศาสนา เรื่อง วันสําคัญทางพระพุทธศาสนาที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบร่วมมือเทคนิค TGT หลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.26 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการ เรียนรู้ด้วยการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค TGT มีความพึงพอใจในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด มี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 นุชนาฎ กลิ่นมาลี,อภิณห์พร สถิตภาคีกุล และแก้วใจ สุวรรณเวช (2566 : บทคัดย่อ) ได้ทำ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการทํางานเป็นทีมโดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือเทคนิคทีจีทีกลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมสําหรับนักเรียนชั้น