หน่วยที่ 2 งานดอกไม้สดและการประดิษฐ์ดอกไม้สด การประดิษฐ์ดอกไม้สด การประดิษฐ์ดอกไม้สด เป็นเอกลักษณ์ที่คนไทยและคนต่างชาติยอมรับความเป็นศิลปะที่ ละเอียดอ่อนละเมียดละไมที่ชาติใดในโลกไม่สามารถทัดเทียม และเลียนแบบได้ ซึ่งเป็นเวลาอันยาวนาน จาก หนังสือเรื่องต ารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือเรื่องนางนพมาศ ปรากฏในรัชสมัยของสมเด็จพระร่วงเจ้าแห่งกรุง สุโขทัยนั้น 650 ปีมาแล้ว ชาวไทยรู้จักร้อยกรองดอกไม้เป็นรูปแบบต่างๆ เช่น โคมรูปสัตว์หรือเครื่องใช้ต่างๆ ตลอดจนการร้อยตาข่ายดอกไม้ สิ่งเหล่านี้ย่อมชี้ให้เห็นความเจริญในทางสติปัญญาและจิตใจของชาวไทยใน สมัยนั้นได้ดี เป็นที่น่าภูมิใจว่าความเจริญนี้เรายังสามารถรักษาไว้ได้ตลอดมา การประดิษฐ์ดอกไม้สืบเนื่องและวิวัฒนาการมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีผู้เชี่ยวชาญการประดิษฐ์ดอกไม้ เช่น เจ้าคุณตานี ธิดาเจ้าพระยามหาเสน (บุนนาค) ซึ่งเป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ 1 และเป็นผู้ที่มีการคิดประดิษฐ์ ดอกไม้เป็นรูปแบบต่างๆและเป็นช่างสืบต่อมาจนถึงธิดาและนัดดา กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร พระ เจ้าบรมวงศ์ฝ่ายในชั้นผู้ใหญ่ และเจ้านายซึ่งประทับอยู่ด้วยก็ทรงประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง และผูกดอกไม้ช่อเป็น จ านวนมาก การร้อยดอกไม้ ศิลปะการร้อยดอกไม้เป็นงานที่แสดงถึงการประดิษฐ์ดอกไม้ด้วยวิธีการต่างๆ โดยความคิดสร้างสรรค์ เช่น การเย็บแบบ การร้อยดอกไม้ การกรองดอกไม้ ฯลฯ วิธีการต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้ท าให้เกิดผลงาน หลากหลาย และมีชื่อเรียกต่างๆ กัน ได้แก่ อุบะ เฟื่อง ตาข่าย มาลัย ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งน าไปใช้ประโยชน์ต่างๆ กัน เช่นน าไปตกแต่ง งานดอกไม้สดอื่นๆ คือ กรวย อุปัชฌาย์ ที่คลุมไตร เครื่องแขวนต่างๆ พานดอกไม้สด และมาลัยประเภทต่างๆ ผลงานที่เกิดจากการร้อยดอกไม้นี้จึงถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ และวัฒนธรรมประจ า ชาติไทยที่บรรพบุรุษได้คิดประดิษฐ์ขึ้น และได้มีการพัฒนาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นลูกหลานไทยควรจะ อนุรักษ์รักษาและพัฒนามรดกที่มีคุณค่านี้ ให้เป็นเอกลักษณ์ประจ าชาติไทยสืบต่อกันไป ความหมายและความส าคัญของงานดอกไม้สดของไทย งานดอกไม้สดของไทย หมายถึง การน าดอกไม้สดของไทยชนิดต่างๆ มาประดิษฐ์ให้เป็นชิ้นงานที่ ประณีตงดงามด้วยวิธีการกรอง เย็บ มัด ร้อย ซึ่งสามารถน าไปใช้ประโยชน์ได้ ความส าคัญของงานดอกไม้สดไทยมีหลายประการดังนี้ 1. เป็นงานฝีมือที่น าไปใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา พิธีกรรมทั่วไป ตกแต่งสถานที่ที่ใช้ประกอบพิธีและใช้เป็น ของช าร่วยเพื่อแสดงความขอบคุณผู้ที่มาร่วมงาน 2. เป็นงานฝีมือที่แสดงถึงเอกลักษณ์ วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชนชาติไทยซึ่งออกมาให้เห็นจากความ ประณีต บรรจง 3. เป็นงานฝีมือที่สามารถสร้างอาชีพรายได้ให้แก่ผู้ที่มีทักษะความช านาญในการท า สามารถรับจ้างร้อยมาลัย ท าเครื่องแขวนดอกไม้สด ท าพานพุ่ม เป็นต้น
วิธีการประดิษฐ์ดอกไม้สดของไทย การประดิษฐ์ดอกไม้สดของไทยเป็นมาลัย เครื่องแขวน เครื่องประดับตกแต่งสถานที่ในงานพิธีต่างๆ มักจะใช้วิธีการกรอง การร้อย การเย็บ การมัด เพื่อให้เกิดเป็นชิ้นงาน การกรอง คือ การเอาบางส่วนของดอกไม้ที่ได้จากการเฉือนเป็นแว่นๆหรือผ่ากลางชิ้น แล้วน ามาเสียบหรือร้อย ในไม้ไผ่ที่เหลาแหลม หรือก้านมะพร้าว ( ทางมะพร้าว ) ซ้อนกัน การกรองมี 2 แบบ ได้แก่ การกรองดอก และการกรองเส้น การประดิษฐ์ดอกไม้สดของไทยเป็นมาลัย เครื่องแขวน เครื่องประดับตกแต่งสถานที่ในงานพิธีต่างๆ มักจะใช้วิธีการกรอง การร้อย การเย็บ การมัด เพื่อให้เกิดเป็นชิ้นงาน การกรอง การกรอง คือ การเอาบางส่วน ของดอกไม้ที่ได้จากการเฉือนเป็นแว่นๆหรือผ่ากลางชิ้น แล้วน ามาเสียบหรือร้อยในไม้ไผ่ที่เหลาแหลม หรือ ก้านมะพร้าว ( ทางมะพร้าว ) ซ้อนกัน 1.วิธีการกรองมีขั้นตอน ดังนี้ 1.1 เหลาไม้เล็กปลายแหลมทั้ง 2 ด้าน ยาวประมาณ 2 นิ้ว 2 อันเลือกดอกมะลิขนาดเล็ก 1 ดอก เสีย ไม้แหลมทั้งสองอัน ไปที่กึ่งกลางดอก เป็นแนวกากบาท และเสียบไม้ที่โคนดอกส าหรับเป็นก้านดอก 1.2 ผ่าดอกตูมขนาดกล่างออกเป็น 2 ส่วน เสียบดอกมะลิแต่ละส่วนกับไม้แหลมด้านละ 1 ส่วน ทั้ง 4 ด้าน แล้วใช้ด้ายพันขัดกับไม้แหลมให้แน่น 1.3 ผ่าดอกตูมใหญ่ออกเป็น 2 ส่วน เสียบแต่ละส่วนกับไม้แหลมทั้ง 4 ด้าน ใช้ด้ายพันขัดกับไม้แหลม โดยวางกลีบให้สับหว่างกันเพื่อึวามสวยงาม ท าเช่นนี้อีก 2 ชั้น แล้วมัดด้ายให้แน่น เมื่อท าเสร็จแล้วจึงตัดไม้ กากบาทที่เหลือทิ้งและพันฟลอราเทป 2.วิธีการกรองเส้น มีขั้นตอน ดังนี้ 2.1 เฉือนดอกบานไม่รู้โรยที่มีขนาดดอกเท่าๆกันออกเป็นแว่นๆโดยแต่ละแว่นไม่หนาหรือบาง จนเกินไป ดอกบานไม่รู้โรย 1 ดอก จะได้ 2-3 แว่น แล้วแยกกลีบเป็นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เพื่อความสะดวกในการกรอง 2.2 เหลาทางมะพร้าวให้ปลายแหลมแล้วพันฟลอราเทปที่โคนทางมะพร้าว เว้นความยาวตามขนาด ความยาวของเส้นหางกระรอกที่ต้องการ หรือจะใช้เส้นลวดแทนทางมะพร้าวได้ 2.3 ร้อยกลีบดอกขนาดใหญ่ใส่ทางมะพร้าวยาวประมาณ 11 ใน 3 ของความยาวทางมะพร้าว 2.4 ร้อยกลีบดอกขนาดกลางใส่ทางมะพร้าวยาวประมาณ 2 ใน 3 ของความยาวทางมะพร้าว 2.5 ร้อยกลีบดอกขนาดเล็กใส่ทางมะพร้าวยาวจนสุดปลายทางมะพร้าว แล้วจบลงด้วยดอก บานไม่รู้โรย ดอกเล็กปิดปลายทางมะพร้าว
การเย็บ คือ การน าดอกไม้ทั้งดอก หรือกลีบดอกมาเย็บลงบนใบตองที่ตัดเป็นแบบ โดยใบตองท ามาจากการน า ใบตองสด มาซ้อนสับทางตองกันตั้งแต่ 4 ชั้นขึ้นไป แล้วตัดเป็นรูปร่างต่างๆ ตามต้องการ การมัด คือ การน าดอกไม้ทั้งดอก หรือกลีบดอกมามัดติดกับแกนใบตองที่มัดเป็นกรวยแข็ง หรือมัดติดก้าน ดอกรัก ก้านผักบุ้ง ก้านมันส าปะหลัง กาบกล้วย โดยใช้ด้ายมัดทั้งดอกหรือกลีบดอกที่จับจีบแล้วมัดติดเป็น แกน ให้มีลักษณะเหมือนดอกตุ้ม หรือดอกข่า การร้อย คือ การน าดอกไม้ทั้งดอก หรือกลีบดอกมาร้อยลงในเข็ม ลวดเส้นเล็ก หรือทางมะพร้าวเป็นต้นเพื่อให้ ได้รูปทรงและลวดลายตามที่ต้องการ ซึ่งรูปแบบการร้อยมีหลายแบบ ได้แก่ การร้อยมาลัยตุ้ม มาลัยกลม มาลัยซีก การร้อยเส้นดอกไม้ ประเภทของงานประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย 1. งานดอกไม้สด แบ่งเป็น 4 ประเภท 1) ดอกไม้พุ่ม คือ การจัดดอกไม้ลงในภาชนะ โดยมีแกนเป็นโครงหุ่น ปั้นหรือเหลาให้เป็นท่อนกลม ใช้ไม้กลัด เสียบดอกไม้ปักติดกับแกน มีใบไม้แซมเพื่อความสวยงาม แล้วจัดให้ได้ทรงพุ่มตามต้องการ 2) มาลัย คือ การร้อยดอกไม้เป็นพวง ด้วยการใช้ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ 3) เครื่องแขวน คือ เครื่องดอกไม้ที่ใช้แขวนประดับประตู หน้าต่าง หรือกลางห้องในพิธีต่าง ๆ 2. งานใบตอง เป็นงานประดิษฐ์ที่มีมาตั้งแต่อดีต โดยคนไทยในสมัยก่อนนิยมน าใบตองมาท าเป็นภาชนะใส่ อาหาร จนถึงปัจจุบันก็ยังคงใช้ส าหรับห่อขนม หรือใช้ในพิธีแบบประเพณีไทยในงานต่าง ๆ
3. งานแกะสลัก เป็นการแกะหรือสลักลายให้เกิดเป็นรูปทรงต่าง ๆ ลงบนพื้นผิววัสดุ ได้แก่ 1) งานแกะสลักของอ่อน ผักสด และผลไม้ สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยที่มีความประณีต ละเอียด มักพบในงาน พิธีกรรม งานแสดงศิลปะ และงานจัดเลี้ยงต่าง ๆ ส่วนใหญ่นิยมท าเพื่อน าไปประดับ ตกแต่งอาหาร จานผักสด เครื่องจิ้ม หรือจัดพาน 2) งานแกะสลักไม้เนื้ออ่อน เป็นการใช้เครื่องมือต่างๆ สลักลายลงบนเนื้อไม้เพื่อให้เกิดเป็นลวดลายที่ต้องการ ส่วนใหญ่ท าในสถานที่ส าคัญ 4. งานเครื่องปั้นดินเผา ในระยะแรกการประดิษฐ์เครื่องปั้นดินเผาจะมีรูปแบบที่เรียบง่าย ต่อมาได้พัฒนาเป็น ผลิตภัณฑ์เซรามิก และประดิษฐ์เป็นชิ้นงานที่มีความหลากหลาย
5. งานจักสาน เป็นงานที่ใช้วัสดุซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติ มาสาน ทอ หรือถักให้เกิดเป็นลวดลายที่สวยงาม และ น ามาใช้ประโยชน์แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและ สวยงามมากขึ้น ข้อควรค านึงในการท างานประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย 1. ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงานประดิษฐ์ที่สนใจ จากแหล่งต่าง ๆ หรือศึกษาจากสถานที่ที่เปิดสอน เช่น ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร วิทยาลัยในวัง ศูนย์แสดงสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน ศูนย์จ าหน่ายสินค้าหนึ่งต าบลหนึ่ง ผลิตภัณฑ์ (OTOP) เป็นต้น 2. การน าชิ้นงานไปใช้ให้เหมาะสมกับโอกาสและสถานที่ เช่น เครื่องแขวนดอกไม้สดนิยมใช้แขวนตาม เพดาน ช่องประตู หน้าต่าง และม่านแหวก เป็นการอนุรักษ์งานประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทยให้เยาวชนไทยได้ ทราบว่างานประดิษฐ์ดังกล่าวใช้เนื่องในโอกาสใด สถานที่ใด และใช้เพื่อประโยชน์อะไร 3. การเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือ แต่ละชนิดจะใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือที่แตกต่างกัน การ เตรียมจะช่วยให้ชิ้นงานมีคุณภาพและสวยงามตามต้องการ 4. ความปลอดภัยในการท างาน เครื่องมือบางอย่างอาจท าให้บาดเจ็บได้ หลักการออกแบบงานประดิษฐ์ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย หากประดิษฐ์ชิ้นงานเพื่อการค้าต้องมีหลักในการออกแบบดังต่อไปนี้ 1. ความต้องการของผู้บริโภค ต้องคิดออกแบบให้มีความสวยงาม แปลกตาและน่าสนใจ เพื่อให้เป็นที่ ต้องการของผู้บริโภค 2. หน้าที่ใช้สอยของผลิตภัณฑ์งานประดิษฐ์ต้องค านึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นส าคัญ 3. คุณภาพของผลิตภัณฑ์งานประดิษฐ์ต้องค านึงถึงความคงทนแข็งแรง และอายุการใช้งาน 4. วัสดุและกระบวนการผลิต ขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต ควรพิจารณาเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมกับ กระบวนการผลิต เพื่อเป็นการประหยัดเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายในการผลิต
5. คุณค่าทางความงามของงานประดิษฐ์ควรค านึงถึงความงามเด่นชัด ร่วมสมัย ประณีตบรรจงและมี ความคิดสร้างสรรค์ งานประดิษฐ์ของใช้ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย งานดอกไม้สด ประเภทของมาลัย แบ่งตามหน้าที่ใช้สอยได้ 3 ประเภท ดังนี้ 1) มาลัยช าร่วย คือ มาลัยขนาดเล็ก มีลักษณะชายเดียวผูกโบ และอุบะ 2 ขา ใช้ส าหรับเป็นของช าร่วย เพื่อ ขอบคุณแขกที่มาร่วมในงานพิธีมงคลสมรสและงานพิธีอื่น ๆ 2) มาลัยชายเดียว คือ มาลัยที่มีลักษณะกลม มีอุบะห้อยอยู่ชายเดียวบางทีเรียกว่า มาลัยข้อมือ มาลัยมือ มาลัยคล้องแขน ใช้ส าหรับการบูชาพระหรือตกแต่งสถานที่
3) มาลัยสองชาย คือมาลัย 2 เส้น ผูกต่อกันด้วยโบ ส่วนชายผูกอุบะแขกข้างละเท่า ๆ กันทัง 2 ข้าง มาลัยชนิด นี้ถ้าใช้ในการมงคลสมรส เรียกว่า มาลัยบ่าวสาว ถ้าผูกโบสีด าใช้ส าหรับแขวนประดับรูปผู้ตายในงานฌาปนกิจ ส่วนประกอบของมาลัย โดยทั่วไปมาลัยมีส่วนประกอบดังต่อไปนี้ 1) ตัวมาลัย คือ ส่วนที่อยู่ตรงกลางมาลัย 2) อุบะ คือ ส่วนที่ตกแต่งตัวมาลัยเพื่อเพิ่มความสวยงาม 3) มาลัยซีก คือ มาลัยชนิดหนึ่ง มีลักษณะรูปทรงตามขวางเพียงเสี้ยวหนึ่งถึงครึ่งวงกลมส าหรับน าไปผูกรัดเป็น มาลัยลูกโซ่ หรือส าหรับผูกปิดรอยต่อของตัวมาลัยกับอุบะเพื่อให้เกิดความสวยงามยิ่งขึ้น 4) ริบบิ้นหรือโบ คือ ส่วนที่ผูกติดกับมาลัยส าหรับคล้องคอ หรือแทนหูหิ้ว มักใช้กับมาลัยสองชาย
วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือ มีดังนี้ 1) ดอกไม้ 2) ใบไม้ 3) เข็มมาลัยและด้าย มี 2 ขนาด คือ ขนาดเล็กและใหญ่ ใช้กับด้ายขนาดเดียวกัน 4) วาสลีน ใช้ส าหรับทาเข็มมาลัยก่อนร้อย และก่อนจะรูดมาลัยออกจากเข็ม 5) กรรไกร ขนาดเล็กปลายแหลมใช้ตัดกลีบดอกไม้และใบไม้ ส่วนขนาดกลางใช้ตัดใบตองและด้าย 6) คีม ใช้ส าหรับจับเข็มมาลัยขณะที่รูดมาลัยออกจากเข็ม 7) ฉีดน้ า ใช้ส าหรับพรมดอกไม้และใบไม้เพื่อไม่ให้เหี่ยว 8) ผ้าขาวบาง ใช้ส าหรับคลุมดอกไม้เพื่อให้สดอยู่ได้นาน การร้อยมาลัยกลม มีขั้นตอนการร้อยตามกระบวนการท างานดังนี้ 1. การวิเคราะห์งาน ลักษณะของงาน เป็นการร้อยดอกไม้ทีละดอกหรือทีละกลีบจนรอบเข็ม มาลัย ทุกแถวมีจ านวนดอกหรือกลีบเท่ากัน นิยมใช้จ านวนดอกหรือกลีบเป็นเลขคู่ โดยเริ่มจากแถวละ 6 กลีบ 8 กลีบ 10 กลีบ จนถึง 12 กลีบ ดอกไม้ที่นิยมน ามาร้อย ได้แก่ ดอกกุหลาบ ดอกพุด ดอกมะลิ รายละเอียดที่ จะต้องศึกษาได้แก่ วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือ วิธีการร้อยและการน าไปใช้ประโยชน์ คุณสมบัติของผู้ร้อยมาลัย ควรเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับการร้อยมาลัยประเภทต่าง ๆ ชนิดของดอกไม้ที่เหมาะ จะน ามาร้อยมาลัย มีความประณีต ละเอียด และใจเย็น 2. การวางแผนในการท างาน ขั้นตอนนี้อาจน าแผนที่ความคิดมาช่วยประกอกการวางแผนดังนี้ 3. การปฏิบัติงานตามล าดับขั้นตอน มีวิธีดังนี้ การร้อยตัวมาลัย มีวิธีการปฏิบัติดังนี้
(1) เตรียมดอกพุดที่มีขนาดเท่ากัน ทาเข็มมาลัยด้วยวาสลีน (2) แถวที่ 1 น าดอกพุด 2 ดอก ร้อยเรียงกันในลักษณะที่ไม่เกินครึ่งวงกลม (3) แถวที่ 2 น าดอกพุด 1 ดอก ร้อยสับหว่างดอกพุดดอกที่ 1 และ 2 ของแถวที่ 1 แล้ว แถวต่อๆไปร้อย เหมือนแถวที่ 1 สลับกับแถวที่ 2 จนได้ความยาวตามต้องการ และเวลาจบควรจบด้วยดอกพุด 1 ดอกเสมอ เพื่อเวลาผูกต่อกันจะได้ลงลายพอดี
2) มาลัยซีกเจ็ดหลัก (4-3) (1) เตรียมดอกพุดที่มีขนาดเท่ากัน ทาเข็มมาลัยด้วยวาสลีน (2) แถวที่ 1 น าดอกพุด 4 ดอก ร้อยเรียงกันในลักษณะที่ไม่เกินครึ่งวงกลม (3) แถวที่ 2 น าดอกพุด 3 ดอก ร้อยสับหว่ากับแถวที่ 1 แถวต่อ ๆ ไปร้อยเหมือนแถวที่ 1 สลับกับแถวที่ 2 จน ได้ความยาวตามต้องการ และเวลาจบควรจบด้วยดอกพุด 3 ดอกเสมอ เพื่อเวลาผูกต่อกันจะได้ลงลายพอดี การร้อยอุบะ มีวิธีการปฏิบัติดังนี้ 1) เลือกดอกรักให้มีขนาดใหญ่และเล็ก ลดหลั่นกันตามล าดับ 7 ขนาด 2) ร้อยดอกกุหลาบเป็นตุ้ม ตามด้วยดอกรัก 7 ดอก ขนาดใหญ่และเล็กตามล าดับ จะได้อุบะ 1 ขา 3) ร้อยอุบะให้ได้ 7 ขา แล้วน ามาผูกรวมกันเป็นพวงโดยให้ตุ้มดอกกุหลาบของอุบะแต่ละพวกอยู่ในระดับ เดียวกัน การประกอบพวงมาลัยกลม มีวิธีการปฏิบัติดังนี้
4. การประเมินผลการท างาน หากพบว่ามาลัยที่ร้อยไม่สวยงาม เช่น ระยะห่างของแต่ละดอกไม่เท่ากัน ให้ท า การปรับปรุงแก้ไขโดยจัดกระยะห่างของแต่ละดอกให้เท่ากันจนกระทั่งเป็นที่พอใจ การเก็บรักษามาลัย เพื่อให้ดูสวยสดอยู่ได้นานสามารถเก็บรักษาด้วยวิธีการดังนี้ 1. เก็บโดยวางมาลัยในถาดที่รองด้วยใบตอง แล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางชุบน้ าบิดหมาด เก็บไว้ในที่เย็นแต่ลมไม่ โกรก วิธีนี้เก็บมาลัยได้ในระยะเวลาไม่นานมากนัก 2. เก็บโดยใส่มาลัยไว้ในถุงพลาสติก วิธีนี้เก็บมาลัยได้นานกว่าวิธีแรก 3. เก็บโดยใส่มาลัยในถุงพลาสติก แล้วเก็บไว้ในช่องผักสดของตู้เย็น วิธีนี้เก็บได้นานหลายชั่วโมง งานใบตอง การเลือกใบตองมาใช้ในงานประดิษฐ์มีหลักปฏิบัติ ดังนี้ 1. เลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานประดิษฐ์เช่น ถ้าจะห่อขนม นิยมให้ใบตองกล้วยน้ าว้า เพราะสีไม่ตก ไม่ท าให้ รสชาติหรือสีของอาหารเปลี่ยนไป และหาได้ง่าย ถ้าจะประดิษฐ์เป็นภาชนะใส่อาหาร นิยมใช้ใบตองกล้วยตานี เพราะมีช่วงใบยาว มีความเหนียวและไม่แตกง่าย 2. การเลือกใบตองควรเลือกใบที่ไม่ด่าง ไม่มีรอยฉีกขาด เนื้อใบนุ่ม สดกรอบมีสีเขียวเข้มตลอด และใบไม่อ่อน หรือแก่เกินไป (ถ้าใบอ่อนเกินไปจะเหี่ยวง่ายและถ้าใบแก่เกินไปจะแข็ง กรอบ และแตกง่าย) การประดิษฐ์บายศรีปากชาม บายศรีปากชาม คือ เครื่องเชิญขวัญหรือรับขวัญ มีเครื่องสังเวยวางอยู่ในชามบายศรี และมีไข่ขวัญ เสียบอยู่ บนยอด มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในพิธีต่าง ๆ การเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือ ได้แก่ 1. ใบตองตานี 7. ไข่ต้ม 1 ฟอง 2. เข็ม 8. แตงกวา 1 ผล 3. ไม้กลัด 9. กล้วยน้ าว้า 1 ผล 4. มีด 10. ข้าวสุกปากหม้อ 3-4 ถ้วยตวง 5. กรรไกร 11. ชามปากกว้างประมาณ 5 นิ้ว
6. ด้ายสีเขียว 12. มาลัยตุ้ม 13. ดอกพุดตูมประมาณ 30 ดอก และดอกรักประมาณ 7 ดอก ลงมือประดิษฐ์บางศรีปากชาม มีวิธีการดังนี้ การเตรียมใบตอง 1) การตัดใบตอง วัดเส้นรอบวงของปากภาชนะที่จะใช้ หาร 3 ผลลัพธ์คือความกว้างฐานบายศรี 2) การฉีกใบตอง เช็ดใบตองให้สะอาดแล้วฉีกเป็นชิ้นส่วน ดังนี้ (1) ตัวแม่กว้างประมาณ 9 เซนติเมตร และยาวตลอดใบตอง แล้วตัดปลายทั้ง 2 ข้างออกให้เรียบร้อย จะได้ ใบตองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 3 แผ่น (2) ตัวลูก จ านวนตามต้องการ โดยกว้างประมาณ 6-7 เซนติเมตร แล้วตัดปลายสองข้างให้เรียบร้อย เช่นเดียวกับตัวแม่ (3) ผ้านุ่ง เท่าจ านวนตัวแม่และลูกรวมกัน โดยกว้างประมาณ 9 เซนติเมตร (4) กรวย ใช้ใบตองซึ่งมีช่วงใบยาวและกว้างประมาณ 15–20 เซนติเมตร จ านวน 2 แผ่น (5) ตัวแมงดา กว้างประมาณ 9 เซนติเมตร จ านวน 1 แผ่น การประดิษฐ์ตัวแม่ ตัวลูก ตัวแมงดา และกรวย 1) การประดิษฐ์ตัวแม่ จับใบตองทางอ่อนด้วยมือซ้าย และจับใบตองทางแข็งด้วยมือขวาม้วนมาทางซ้ายมือให้ เป็นรูปกรวย แน่น เป็นยอดแหลม แล้วให้มือรีดข้างใบตองเพียงครั้งเดียวอย่าให้ถึงยอดแหลม จากนั้นใช้ไม่กลัด กลัดไว้ ท าเช่นนี้จนครบ 3 ตัว 2) การประดิษฐ์ตัวลูก จับใบตองทางแข็งด้วยมือซ้าย พับไพล่มาทางขวามาก ๆ ให้เกินครึ่ง แล้วใช้มือขวาพับริมอ่อนทางขวามาทางซ้าย 2 ครั้ง ให้รอยพับอยู่ตรงกลางพอดี รีดข้างใบตองเพียงครั้งเดียว จากนั้นใช้ไม้กลัดกลัดไว้ ท าเช่นนี้จนครบ 18 ตัว
3) การประดิษฐ์ตัวแมงดา พับกลางตามยาวของใบตองแล้วใช้มีดเจียนริมใบตองทางอ่อนให้มนเหมือนตัว แมงดา และทางด้านแข็งเป็นหาง ส่วนที่เป็นตัวเจาะเป็นลวดลายให้สวยงาม 4) การประดิษฐ์กรวย ใช้ใบตอง 2 ชิ้นซ้อนกัน หันด้านมันออก จับด้านแข็งด้วยมือขวาม้วนไปทางด้านซ้ายมือ ให้เป็นรูปกรวย ปากกรวยกะให้วางลงในระหว่างตัวบายศรีพอดี ส่วนสูงกะให้พ้นตัวบายศรีเล็กน้อย แล้วเย็บ ตรึงปากกรวยให้เรียบร้อยด้วยด้ายสีเขียว จากนั้นเจียนใบตองที่ปากกรวยออกบ้างเพื่อให้ตั้งได้ การประกอบตัวบายศรี มีวิธีการดังนี้
1) จับตัวแม่วางกึ่งกลางผ้านุ่ง โดยให้ปลายแหลมของตัวแม่สูงกว่าผ้านุ่งประมาณ 6 เซนติเมตร 2) ใช้มือซ้ายพับริมใบตองทางซ้ายเข้ามาเล็กน้อยให้เป็นรูปชายธง แล้วพับอีกครั้งหนึ่งให้หุ้มแนบไปกับตัวแม่ ซึ่งเป็นการนุ่งผ้าชั้นแรก เมื่อนุ่งผ้าตัวแม่เสร็จ ให้หยิบตัวลูกที่ 1 วางทับด้านหน้าตัวแม่ให้ต่ าจากปลายตัวแม่ ประมาณ 6–7 เซนติเมตร แล้วนุ่งผ้าอีกผืนหนึ่ง 3) ท าจนครบจ านวนตัวลูกและตัวบายศรีทั้งหมด 3 ตัว การนุ่งผ้าแต่ละชั้นควรลดหลั่นจากกันประมาณ 2–1 เซนติเมตร และชายผ้านุ่งตัวลูกทุกตัวควรตัดออกบ้าง เพื่อไม่ให้บายศรีขนาดใหญ่เกินไป 4) การหักและกลัดไม้กลัด เมื่อนุ่งผ้าเสร็จแล้ว หันหน้าบายศรีเข้าหาตัว ใช้มือทั้ง 2 ข้างจับตัวบายศรีตรงโคน หักลงกับพื้น ให้ชายใบตองพับไปด้านหลัง จากนั้นใช้ไม้แหลมยาวเสียบให้ทะลุติดกันทั้งสองด้านและตั้งได้ แล้ว หักไม้ที่ยื่นยาวออกมาจนครบ 3 ตัว
การจัดและตกแต่งบายศรี มีวิธีการดังนี้ 1) วางตัวบายศรีทั้ง 3 ลงในชาม กะระยะห่างให้เท่า ๆ กัน 2) ตักข้าวสุกปากหม้อใส่ลงในกรวย อัดให้แน่น แล้วคว่ าลงในชาม ระหว่างกลางตัวบายศรี 3) น าไม้ยาวเลียบกลางกรวยให้ปลายไม้ด้านบนสูงกว่ากรวย ประมาณ 6–7 เซนติเมตร เพื่อเสียบไข่และมาลัย ตุ้ม ปลายแหลมด้านล่างให้หยั่งถึงตัวบายศรีที่ก้นชาม เมื่อเสียบไข่จะได้ไม่คลอน 4) ไข่ต้ม ปอกแล้วล้างน้ าให้สะอาด เลียบลงปลายไม้เหนือกรวย เหนือไข่ขึ้นไปเสียบด้วยมาลัยตุ้ม แล้วต่อด้วย ดอกรักให้เป็นยอดแหลม 5) ใช้ไม่กลัดเสียบด้านดอกไม้เล็กๆ เช่น ดอกพุด ตามยอดบายศรีทุกตัว 6) น ากล้วยน้ าว้า 1 ผล และแตงกวา 1 ผล มาผ่า 3 ชิ้นแล้ววางข้างหลังแมงดา