MITRAGYNA
SPECIOSA
(KORTH.)
KMUTNB
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
1
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
2
ส ร ร พ คุ ณ ท า ง ย า
3
ส า ร สำ คั ญ
4
อั น ต ร า ย ต่ อ สุ ข ภ า พ
5
สี่ คู ณ ร้ อ ย
KMUTNB
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
6
ค ว บ คุ ม ค รั้ ง แ ร ก
7
พ . ร . บ . ย า เ ส พ ติ ด ใ ห้ โ ท ษ
กฎหมาย
KMUTNB
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
1
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
MITRAGYNA SPECIOSA
KMUTNB
บ ท ที่ ห นึ่ ง
พืชกระท่อม กระท่อมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mitragyna speciosa
(Korth.) Havil. เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เข็มและกาแฟ (Rubiaceae) เป็นไม้
ยืนต้น สูงประมาณ 4-16 เมตร เติบโตได้ดีในที่ชุ่มชื้น ความชื้นสูง ดินอุดม
สมบูรณ์ และมีแสงแดดปานกลาง กระท่อมจัดเป็นพืชที่มีสารออกฤทธิ์ต่อ
จิตประสาท เป็นพืชพื้นเมืองของประเทศไทยและมาเลเซีย สามารถพบได้ใน
เขตร้อนและกึ่งร้อนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปแอฟริกา
สมัยโบราณมีการใช้ใบกระท่อมเพื่อรักษาการติดเชื้อในลำไส้ บรรเทาอาการ
ปวดกล้ามเนื้อ ลดไข้ บรรเทาอาการไอและท้องร่วง โดยใช้ใบสดหรือใบแห้ง
นำมาเคี้ยว สูบ หรือชงเป็นน้ำชา นอกจากนี้ยังมีการใช้กระท่อมในกลุ่มของ
ผู้ใช้แรงงานเพื่อกดความรู้สึกเมื่อยล้า ทนต่อการทำงานกลางแจ้ง ทนร้อน
ทนแดด และสามารถทำงานได้ยาวนานมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการใช้เพื่อลด
อาการขาดยาจากสิ่งเสพติดอื่น เช่น ฝิ่ นและมอร์ฟีน เป็นต้น เนื่องจากมีผล
ข้างเคียงน้อยกว่ามอร์ฟีนเมื่อใช้ในระยะเวลาที่จำกัด การใช้แทนแอมเฟตา
มีน (ยาบ้า) เพื่อเพิ่มพละกำลัง ซึ่งในปัจจุบันพบว่ามีการใช้กระท่อมในหลาย
ประเทศทั่วโลกเกินกว่าขอบเขตทางภูมิศาสตร์ที่พบพืชชนิดนี้
ในประเทศไทยมีการนำมาใช้เป็นยาแก้โรคบิด ท้องร่วง และปวดมวน
ท้อง และบางพื้นที่กล่าวกันว่า สามารถบรรเทาโรคเบาหวานได้ ชาวนานิยม
บริโภคโดยการเคี้ยวใบสด หรือเอาใบมาย่างให้เกรียมและตำผสมกับน้ำพริก
รับประทานเป็นอาหาร เพื่อให้มีแรงทำงานและสามารถทนตากแดดอยู่กลาง
แจ้งได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกเหนื่อย ชาวมลายูใช้ใบกระท่อมตำพอกแผล
และใช้ทั้งใบเผาให้ร้อนวางบนท้องรักษาโรคม้ามโต ตลอดจนใช้กระท่อมเพื่อ
ทดแทนฝิ่ นในท้องที่ซึ่งหาฝิ่ นไม่ได้ และบ่อยครั้งมีการใช้ใบกระท่อมเพื่อ
ควบคุมการติดฝิ่ น โดยเฉพาะในประเทศนิวซีแลนด์ในปัจจุบัน ชนิดของ
กระท่อมในประเทศไทยมีดังนี้
1. พืชกระท่อมชนิดก้านใบสีแดง
2. พืชกระท่อมชนิดก้านใบสีเขียว (แตงกวา)
3. พืชกระท่อมชนิดขอบใบหยัก (ยักษ์ใหญ่, หางกั้ง)
01 KMUTNB 01
บ ท ที่ ห นึ่ ง
พืชกระท่อม หรือ Mitragyna speciosa (Korth.) Havil. เป็นพืช
ที่มีสารออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท โดยเฉพาะระบบประสาทส่วนกลาง โดย
พบ mitragynine เป็นสารหลัก และพบมากในใบกระท่อม สาร
mitragynine สามารถจับได้กับตัวรับออปิออยด์ จึงมีคุณสมบัติใช้เป็นยา
แก้ปวดในกลุ่ม opioid analgesic นอกจากนี้ยังใช้ลดอาการท้องเสีย ต้าน
การซึมเศร้า ลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และเพิ่มการดูดกลับ ของ
น้ำตาลกลูโคส เป็นต้น และเนื่องจากพืชกระท่อมในประเทศไทยถูกจัดอยู่ใน
ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ทำให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพืชกระท่อมน้อย
มาก ทั้งในแง่ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พิษวิทยา และการพัฒนาให้ เป็นยารักษา
โรค แม้ทางภาคใต้ของไทยจะมีผู้ใช้ใบกระท่อมเป็นจำนวนมาก ผนวกเข้ากับ
บริบทของสังคมและ วัฒนธรรมก็ตาม ก็ยังมีการใช้ใบกระท่อมในทางที่ผิด
และมีการใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันอื่น ๆ จนทำให้เกิด ปัญหาสังคม และ
อาชญากรรม ดังนั้นการจัดการพืชกระท่อมจึงเป็นต้องอาศัยองค์ความรู้ใน
ด้านต่าง ๆ มาผนวกเพื่อให้มีการใช้พืชกระท่อมให้ได้ประโยชน์สูงสุด จึงเป็น
โจทย์ที่ท้าทายสำหรับกระทรวงยุติธรรม และ กระทรวงสาธารณสุข ที่จะ
กำหนดแนวทางให้พืชกระท่อม ที่เป็นพืชถิ่นของประเทศไทย ได้มี “ที่ยืน”
อย่างถูก กฎหมาย ไม่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือไปใช้ในทางที่ผิดต่อ
ไป(รศ.ดร.จุไรทิพย์ หวังสินทวีกุล,2560)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ปาน
กลาง มีแก่นเป็นไม้เนื้อแข็ง สูง 10 -15 เมตร อยู่ในตระกูล Mitragyna
speciosa ใบคล้ายใบกระดังงา มีชนิดก้านใบแดงและใบเขียว ดอกกลมโต
ขนาดเท่าผลพุทรา ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียว เรียงตัวเป็นคู่ตรงข้าม แผ่นใบ
ขนาดกว้างประมาณ 5-10 ซม. ยาวประมาณ 8-14 ซม. ดอกมีสีขาวอม
เหลืองออกเป็นช่อตุ้มกลมขนาด 3-5 ซม. แหล่งที่พบในบางจังหวัดของ
ภาคกลาง เช่น ปทุมธานี แต่จะพบมากในป่าธรรมชาติบริเวณภาคใต้
เช่น สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง สตูลพัทลุง สงขลา ยะลา ปัตตานี
นราธิวาส และตอนบนของ
ประเทศมาเลเซีย
01 KMUTNB 02
บ ท ที่ ห นึ่ ง
การเพาะปลูกพืชกระท่อม
ดินและน้ำสำหรับปลูกกระท่อม ดินที่ใช้ปลูกกระท่อมควรเป็นดินร่วนซุย
ชาวบ้านนิยมใช้ปุ๋ยคอกผสมดิน พืชกระท่อมชอบน้ำ ต้องมีระบบน้ำอย่างทั่วถึง
ชาวบ้านนิยมใช้ปุ๋ยคอก ทำการให้ปุ๋ยที่ช่วยทำให้พืชเจริญเติบโตดี มีความ
ต้านทานต่อโรค และมีความเขียว เช่น ปุ๋ยโอโซน (Ozone) ที่ช่วยปรับสภาพดิน
ให้ร่วนซุย รากชอนไซได้ดี ดินอุ้มน้ำได้ดี เก็บรักษาความชื้น เป็นแหล่งราตุอาหาร
รองและราตุอาหารเสริม รวมถึงช่วยป้องกันการเกิดโรคพืช โรครากเน่าโคนเน่า
โรคแอนแทรกโนส โรคเน่าคอดินได้ด้วย หากต้องการจำกัดพื้นที่ปลูกก็สามารถ
หาภาชนะมาใช้ในการปลูก เช่น แก้วพลาสติกใส ได้ ควรมีน้ำอย่างทั่วถึงและปลูก
กลางแจ้งเพื่อลดโรคเชื้อราจุดดำได้ หรือเอาน้ำปูนขาวละลายรดหรือฉีดพืช
กระท่อมที่ปลูกในที่ฝนตกชุก เช่น จังหวัดระนอง จะเกิดโรคเชื้อราจุดดำ หรือเกิด
โรครากเน่า ให้ใช้สารชีวภัณฑ์อย่างไตรโคเทค ที่เป็นเชื้อราไตรโคเดอร์มา มี
คุณสมบัติช่วยป้องกันโรคที่มีสาเหตุจากเชื้อราได้ โดยใช้ร่วมกันกับน้ำผสมสาร
จับใบฉีดผ่นทางใบและราดโคนต้นรวมถึงจัดการกับแมลงศัตรูพืชประเภทหนอน
และเพลี้ยก็ควรจะใช้สารชีวภัณฑ์แทนการใช้สารเคมีด้วยเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ก็เพื่อ
ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน และผู้บริโภคที่ต้องนำใบ
ระยะการปลูกกระท่อม ปลูกระยะ 4×4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะสามารถปลูกได้
100 ต้น ถ้าปลูกแซมในสวนยางก็ปลูกระหว่างร่องยางแบบสลับฟันปลาโดยมี
ระยะการปลูก 3×7 เมตร = 76 ต้นต่อไร่หรือ 6×7 เมตร= 38 ต้นต่อไร่จะไม่ทำให้
แน่นจนเกินไป
วิธีการปลูกด้วยการปักชำกิ่งกระท่อม
1. เอาดินผสมกับน้ำพอชุ่ม แล้วใส่กระป๋องแก้วพลาสติกเตรียมรอไว้
2. เอาน้ำยาเร่งรากมาทาบริเวณโคนกิ่งหรือจุ่มกิ่งลงไปให้น้ำยาก็ได้
(แบ่งน้ำยาใส่ภาชนะอื่น ห้ามจุ่มลงในขวดโดยตรงเพราะจะทำให้น้ำยาเร่งรากเสีย
ไว ทิ้งไว้ประมาณ20นาทีสำหรับแบบจุ่ม
3. นำกิ่งที่ทาน้ำยาเร่งรากแล้วมาปักลงบนดินที่เตรียมไว้ ควรหากิ่งไม้แทงดิน
นำกิ่งไปก่อน
4. นำถุงใสที่เตรียมไว้มาครอบแล้วแล้วนำหนังยางมามัดไว้ให้แน่นไม่ให้
อากาศเข้าได้
5. นำไปตั้งไว้บริเวณที่มีแสง
6. รอดูว่ารากขึ้นไหม ให้รากเดินเต็มก่อนค่อยนำลงดิน
01 KMUTNB 03
บ ท ที่ ห นึ่ ง
วิธีการปลูกแบบเพาะเมล็ดพืชกระท่อม
1. นำเมล็ดกระท่อมมาตากแดดไว้ 1 วัน
2. การเตรียมดิน แนะนำให้ใช้ดินปลูกต้นไม้หรือดิน สำเร็จรูป เพราะมี
การปรุงดินไว้
3. เตรียมหน้าดินให้เท่ากันเเล้วรดน้ำให้ดินชุ่ม เอา เมล็ดกระท่อม
มาโรยให้ทั่วแล้วนำเอาดิน กลบบางฯ แล้วรดน้ำให้ชุ่ม กระท่อมเป็นพืชชอบ
น้ำ
4. รอประมาน 1-2 สัปดาห์ ก็จะแตกยอดให้ต้นกระท่อม ให้น้ำวันละครั้ง
ควรใช้ที่ฉีดน้ำเเบบฝ่อย ฉีดเบาเบา เพื่อไม่ให้ล้ม
วิธีการปลูกฟกระท่อมแบบเสียบตา เสียบตา หรือฝากตา แต่ขั้นตอนการทำ
ยากกว่ามาก โดยเฉพาะการแกะเปลือกต้นตอให้มีขนาดพอดีกับกิ่งตาที่จะนำ
ไปทาบและต้องพันพลาสติกหรือเทปกาวจนแน่นไม่ให้น้ำเข้าไปได้ หากน้ำ
เข้าไปแจะทำให้ตาเน่าเสียตายไป
การเก็บเกี่ยวใบกระท่อม ใบกระท่อมสามารถเก็บเกี่ยวได้ตั้งแต่อายุ 1
ปีขึ้นไปโดยให้เก็บเฉพาะใบแก่ แต่ถ้าจะให้ผลผลิตเต็มที่ต้นกระท่อมควร
มีอายุ 5 ปี จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวใบกระท่อมได้ต้นละ 1 กิโลกรัมและ
สามารถเก็บเกี่ยวได้ทุก 15 วัน
01 KMUTNB 04
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
2
ส ร ร พ คุ ณ ท า ง ย า
MITRAGYNA SPECIOSA
KMUTNB
บ ท ที่ ส อ ง
สมัยโบราณ กระท่อมเป็นพืชที่ใช้เข้าเป็นตัวยาในตำรับพวกประเภทยาแก้
ท้องเสีย ปวดเบ่ง ปวดเมื่อย ตามร่างกาย ท้องเสีย ท้องเฟ้อ ท้องร่วง ทำให้นอน
หลับ และระงับประสาท ในมุมมองของแพทย์แผน ไทยส่วนใหญ่ จะนำพืชใบ
กระท่อมมาใช้เป็นยารักษาแก้ท้องร่วง ในสูตรยาของหมอพื้นบ้านหรือหมอ แผน
โบราณ เช่น ตำรับยาประสะกระท่อม เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีความจำเป็นต้อง
ใช้ยาขนาดนี้ แล้ว เพราะมียาแผนปัจจุบันและแผนโบราณให้ผลเท่าเทียมหรือดี
กว่าอีกทั้ง แม้ใบกระท่อมให้ผลการ ออกฤทธิ์ที่อาจมีประโยชน์ทางยาได้ แต่ทำให้
เสพติดและมีผลเสียต่อสุขภาพ หากใช้ติดต่อกันนานๆ การนำใปใช้ในทางที่ผิด
ปัจจุบันใบกระท่อมมีปัญหาการแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นและนักเรียน อาจ เนื่อง
มาจากมีราคาถูกและทำให้เกิดอาการเคลิบเคลิ้มได้เช่นเดียวกับสารเสพติดอื่ น
โดยมักนิยมนำน้ า กระท่อมต้ม ผสมกับโค้ก ยากันยุง และยาแก้ไอ (4×100)
1. การใช้รักษาอาการท้องร่วง ปวดท้อง
- เคี้ยวใบกระท่อมให้ละเอียด ดื่มน้ําตาม
- ต้มใบกระท่อม เกลือ น้ําตาลทรายแดง กินแก้ปวดท้อง
- เปลือกต้นกระท่อม เปลือกต้นสะเดา เปลือกต้นมะขาม หนักอย่างละ 50 กรัม
หัวขมิ้นชัน (แก่) หัวกระทือ (แก่) อย่างละ 1 หัว เผาไฟพอสุก ต้มรวมกับน้ําปูนใส
น้ํา ธรรมดาอย่างละเท่าๆ กัน รับประทานครั้งละ 2-3 ช้อนแกง เมื่อหายจึงหยุด
2. รักษาโรคเบาหวาน
-ใช้กระท่อมทั้ง 5 (ใบ กิ่ง เปลือกต้น รากเนื้อไม้ หรือใช้ต้นกระท่อมต้นเล็ก สูง
ประมาณ 1 ศอก 1 ต้น) สับใส่หม้อตามวิธี รับประทานครั้งละ 3-5 ซ้อนแกง เช้า-
เย็น
- เคี้ยวใบกระท่อม วันละ 1 ใบ นาน 41 วัน
- ต้มใบกระท่อม หญ้าหนวดแมว ไม้ค้อนตีนหมา อย่างละเท่ากัน ต้มน้ํา 3 เอา 1
ดื่มครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ เช้า-เย็น
- ใบกระท่อม อินทนินน้ํา กระเทียมต้น กระเทียมเถา ต้มน้ําดื่ม
3. แก้ปวดเมื่อย
- เถาวัลย์เปรียง มะคําไก่ มะแว้งต้น มะแว้งเครือ เถาโคคลาน เถาสังวาล
พระอินทร์ หญ้าหนู ต้นผักเสี้ยนผี แก่นขี้เหล็ก ใบมะกา อย่างละ 1 ส่วน เนื้อใน
ฝัก ราชพฤกษ์ 5 ฝัก ใบกระท่อม 2 ส่วน เถากําแพงเจ็ดชั้น 3 ส่วน ต้มตามวิธี ใช้
รับประทาน ก่อนอาหาร เช้า-เย็น ครั้งละ ครึ่ง-1 ถ้วยกาแฟ
02 KMUTNB 01
บ ท ที่ ส อ ง
4. แก้ไอ
- ใช้ใบสด 1-2 ใบ ต้มกับน้ําตาลทรายแดง ดื่มแก้ไอ หรือเคี้ยวใบสด คายกาก
และดื่ มน้ําตามมากๆ
5. ขับพยาธิ
- ใช้ใบสดขยี้กับปูน (กินหมาก) ทาท้อง ฯลฯ
หมอพื้นบ้าน ทราบดีว่าการเคี้ยวใบกระท่อมทําให้ท้องผูก และวิธีการแก้ไขอาการ
ข้างเคียงนี้คือการใช้ร่วมกับสมุนไพรที่มีคุณสมบัติระบายท้อง เช่น ชุมเห็ดเทศ
เป็นต้น ส่วนอาการมึนศีรษะ หลังเคี้ยวใบกระท่อม ก็แนะนําให้ดื่มน้ํามากๆ
ประโยชน์จากการบริโภคใบกระท่อม จากงานวิจัยพบว่าในใบกระท่อมทำ
ปฏิกิริยากับร่างกายมีผลต่อเซลล์ประสาทบางชนิดในร่างกายในการรับรู้ความ
เจ็บปวดถูกนำมาใช้รักษาอาการเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดในส่วนต่างๆ
ของร่างกาย เช่น อาการปวดที่ไม่พึงประสงค์เป็นผลจากการบาดเจ็บทางร่างกาย
เนื้อเยื่อ ปวดหลัง ระบบประสาท กล้ามเนื้อ หรือเส้นเอ็น อาการปวดที่เกิดจาก
ภาวะเรื้อรัง เช่น โรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม มะเร็ง เบาหวาน โรคข้ออักเสบ
เป็นต้นโดยไม่คำนึงถึงที่มาความเจ็บปวดจะส่งผลต่อร่างกายทั้งทางร่างกายและ
จิตใจช่วยรักษาอาการไอ ช่วยลดการหลั่งกรด ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้เล็กใบ
กระท่อมช่วยให้มีสมาธิและระงับประสาทช่วยบรรเทาความวิตกกังวลและควบคุม
อารมณ์ไปในทางที่ดีขึ้นช่วยในเรื่องการเผาผลาญ ช่วยเพิ่มระดับพลังงานของ
ร่างกายในผู้ใช้ได้เป็นอย่างดีช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและลำเลียงออกซิเจนไป
ยังเซลล์สำคัญของร่างกาย แก้ท้องเสียแก้ปวดฟัน แก้ท้องร่วง ปวดเบ่ง แก้บิด
ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท แก้ปวดเมื่อยร่างกายช่วยให้ทำงานทนไม่หิวง่าย
ใช้ใบกระท่อมเพื่ อระงับอาการกล้ามเนื้ อกระตุกเป็นยาคลายกล้ามเนื้ อช่วยลด
ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
02 KMUTNB 02
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
3
ส า ร สำ คั ญ
MITRAGYNA SPECIOSA
KMUTNB
บ ท ที่ ส า ม
ไมทราไจนีน
ชื่อสามัญ Mitragynine, methyl (16E)-9,17-dimethoxy-16,17-
didehydro-20 β-corynan-16-carboxylate
ประเภทและข้อแตกต่างของสารไมทราไจนีน
สารไมทราไจนีน (mitragynine) จัดเป็นสาร อินโดแอลคาลอยด์
(indole alkaloids) ชนิด corynanthe ที่พบในพืช มีสูตรโมเลกุลคือ
C23H30N2O4 มีน้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 398.5 มีจุดหลอมเหลว 102-106
องศาเซลเซียสจุดเดือด 230-240 องศาเซลเซียส โดยสาร mitragynine จะมี
ลักษณะทางเคมีเป็นผงสีขาว (white amorphous powder) มีคุณสมบัติละลาย
ได้ในตัวทำละลายชนิด แอลกอฮอล์ คลอโรฟอร์ม และกรดอะซิติกซึ่งสาร
mitragynine ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1921 พบว่าสารชนิดนี้ไม่ละลายในน้ำ
แต่สามารถสกัดด้วยสารอินทรีย์อื่นๆ ส่วนในการกลั่นที่อุณหภูมิ 230-240 อง
ศสเซลเซียส ที่ความดัน 5 ม.ม. ปรอท จะได้สารมีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาว สำหรับ
ประเภทของสารไมทราไจนีนนั้นในปัจจุบันพบว่ามีอยู่ 2 ปะเภท คือ สารไมทราไจนี
นที่สกัดได้จากธรรมชาติ (mitragynine) และสารไมทราไจนีนที่สังเคราะห์ด้วยวิธี
ทางเคมี [(-)-mitragynine]
แหล่งที่พบและแหล่งที่มาของสารไมทราไจนีน
สารไมทรไจนีน (mitragynine) เป็นสาระสำคัญในกลุ่ม indole
alkaloids ที่สกัดได้เฉพาะจากพืชกระท่อม (mitragyna speciosa (Korth.)
Havil) เท่านั้น ไม่พบใน Mytragyna อื่นๆ และเมื่อเปรียบเทียบปริมาณ
Mitragynine ที่สกัดจากใบกระท่อมของประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย พบว่า
สาร Mitragynine ที่สกัดจากใบกระท่อมของประเทศไทยมีปริมาณสูงถึงร้อยละ
66.2 ของแอลคอลอยด์ทั้งหมดที่สกัดได้ ส่วน Mitragynine ที่พบในใบกระท่อม
จากประเทศมาเลเซียมีปริมาณเพียง ร้อยละ 12 เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน ยังมีการ
สังเคราะห์สารไมทรไจนีน mitragynine ด้วยวิธีทางเคมี (organic synthesis)
โดยสามารถสังเคราะห์ (-)-mitragynine ได้ สำเร็จ แต่ปริมาณที่สังเคราะห์ได้มี
ปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับการสังเคราะห์แบบธรรมชาติ นอกจากนี้ล่าสุดได้มี
รายงาน การพัฒนาวิธีการสกัด mitragynine จากใบกระท่อมอินโดนีเซีย โดยใช้
คลื่นเสียง ไมโคเวฟ และ solid-phase extraction พบว่าได้ปริมาณสูงกว่าวิธี
ดั้งเดิม อีกด้วย
03 KMUTNB 01
บ ท ที่ ส า ม
ปริมาณที่ควรได้รับจากสารไมทราไจนีน
สำหรับขนาดและปริมาณที่มีความปลอดภัยในการใช้ต่อวันนั้น
ยังไม่มีการกำหนดเกณฑ์การใช้ เนื่ องจากสารไมทราไจนีนจาก
กระท่อม เพิ่งได้รับการปลดจากบัญชี ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เมื่อ 26
พฤษภาคม 2564 อีกทั้งสารไมทราไจนีนยังเป็นสารที่มีผลต่อระบบ
ประสาทส่วนกลางดังนั้น ในการกำหนดขนาดและปริมาณในการใช้จึง
ต้องอาศัยการศึกษาวิจัยรวมถึงข้อมูลต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์อีก
ระยะหนึ่งจึงจะกำหนดขนาดและปริมาณการใช้ขึ้นมาได้
ประโยชน์และโทษจากสารไมทราไจนีน
ในการใช้ประโยชน์ของสารไมทราไจนีน (mitragynine) นั้นจะ
เป็นการใช้ประโยชน์ในรูปแบบสมุนไพรผ่านใบกระท่อมโดยในสมัย
โบราณมีการใช้ใบกระท่อมเพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ รักษา
การติดเชื้อในลำไส้ ลดไข้ บรรเทาอาการเมื่อยล้าเพิ่มพละกำลัง
บรรเทาอาการและท้องร่วง โดยใช้ใบสดหรือใบแห้งนำมาเคี้ยว สูบ
หรือชงเป็นน้ำชา ส่วนการใช้ประโยชน์ในประเทศมาเลเซีย ก็ใช้ใน
ลักษณะสมุนไพร เช่นเดียวกันกับไทยโดยมีรายงานการใช้ในการ
แพทย์พื้นบ้านในประเทศมาเลเซีย ที่ระบุว่าใช้ลดไข้ บรรเทาอาการไอ
หอบหืด รักษาโรคกระเพาะอาหาร เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ถ่าย
พยาธิ ทำให้นอนหลับง่าย ใช้เป็นยาพอกแผล และบำบัดอาการถอน
ยาจากการติดฝิ่ น เป็นต้น
03 KMUTNB 02
บ ท ที่ ส า ม
แต่ในปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยและพัฒนาสารไมทราไจนีนให้
ใช้เป็นยาแก้ปวดในกลุ่ม opioid analgesic และใช้ลดอาการท้องเสีย
ลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เพิ่มการดูดกลับของน้ำตาลกลูโคส
และต้านการซึมเศร้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ ใช้ระงับอาการปวด
เนื่องจาก mitragynine มีกลไกการออกฤทธิ์ที่สมองที่ opioid
receptors เช่นเดียวกับอัลคาลอยด์จากยางฝิ่ น เช่น มอร์ฟีน โดย
mitragynine มีความแรงน้อยกว่ามอร์ฟีนประมาณ 10 เท่า ออก
ฤทธิ์ที่ opioid receptors ซึ่งมีผลโดยตรงกับตัวรับมิว (μ) หรือตัว
รับเดลต้า opioid receptors suptype ใช้ลดอาการซึมเศร้า
(antidepressant) จากการกระตุ้นการผลิตสารสื่อประสาทชนิด
serotonin ใช้ลดการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อเรียบในลำไส้ จากการ
ศึกษาพบว่า ช่วยยับยั้งการหดตัวของลำไส้ (gastrointestinal
transit) ในหนู สามารถลดการถ่ายเหลวลงได้ สำหรับโทษของไมทรา
ไจนีนนั้น เมื่อใช้ในขนาดต่ำมีฤทธิ์กระตุ้นประสามคล้ายโคเคน
(‘cocaine like’ stimulant) ทำให้ผู้ใช้รู้สึกทำงานได้มาก ไม่เหนื่อย
ตากแดดได้ทน แต่ในการใช้ขนาดสูงมีฤทธิ์กดประสาทคล้ายมอร์ฟีน
(‘morphine like’ sedation ) หรือมีฤทธิ์กล่อมประสาทและเสพติด
ได้ในระยะยาว นอกจากนี้การใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเสลานานจะทำให้มีสี
ผิวคล้ำขึ้น (hyperpigmentation) กระเพาะกาง (distended
stomach) ผิวแห้ง และริมฝีปากคล้ำ เป็นต้น
03 KMUTNB 03
บ ท ที่ ส า ม
การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องของสารไมทราไจนีน
มีรายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของ
สารไมทราไจนีน มากมายหลายฉบับดังนี้
ฤทธิ์แก้ปวด มีการศึกษาวิจัยในปี ค.ศ.1972 พบว่า
mytragynine มีฤทธิ์แก้ปวดเมื่อให้ทางปากหรือโดยฉีดเข้าชั้นใต้
ผิวหนังหรือฉีดเข้าทางช่องท้องของสัตว์ทดลองโดยพบความแตก
ต่างของรูปแบบทางเภสัชวิทยาระหว่าง mitragynine และยาระงับ
ปวด narcotic อื่นๆ เช่น พบว่า nalorpine ซึ่งเป็นตัวยับยั้ง opioid
receptor ไม่สามารถยับยั้งฤทธิ์แก้ปวดของ mitragynine ที่ให้ทาง
ปากในหนูขาว เมื่อทดสอบใน tail flick test และพบว่า mitragynine
มีฤทธิ์ระงับการไอในสุนัขได้เทียบเท่ากับ codeine ที่ให้โดยการป้อน
ทางปาก แสดงฤทธิ์แก้ปวดได้ดีกว่าโดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ต่อมา
ในปี ค.ศ. 1995 ได้มีการพิสูจน์ฤทธิ์แก้ปวดของ mitragynine ในหนู
ถีบจักร พบว่าเมื่อฉีดสารสกัดจากใบกระท่อมส่วนแอลคาลอยด์ และ
mitragynine ขนาด 3-30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เข้าใต้ผิวหนังของหนู
ถีบจักรสามารถลดการปวดจากการทดสอบโดย
phenelbenzoquinone writhing (PBQ writhing) และ hot plate
test โดยมีความแรงแปลตามขนาดที่ให้ และในการทดสอบวิธี PBQ
writhing พบว่าการให้ prazosin (ยับยั้ง alpha receptor),
propranolol (ยับยั้ง beta receptor), ketanserin (ยับยั้ง opioid
receptor), theophylline (smooth muscle relaxation) และ
naloxone (ยับยั้ง opioid receptor) ไม่มีอิทธิพลต่อฤทธิ์แก้ปวด
ของสารสกัดจากใบกระท่อมส่วนแอลคาลอยด์และ mitragynine แต่
พบว่า yohimbine (α2-blocker) สามารถยับยั้งฤทธิ์แก้ปวดของ
สารสกัดจากใบกระท่อมส่วนแอลคาลอยด์ แต่ไม่มีผลต่อฤทธิ์ของ
mitragynine
03 KMUTNB 04
บ ท ที่ ส า ม
นอกจากนี้ยัมีรายงานว่า สารไมทราไจนีนและอนุพันธ์มีฤทธิ์บรรเทา
อาการปวดได้ โดยกลไกลการออกฤทธิ์จะเกิดจากการจับกับตัวรับสารดอพิออยด์
ชนิด mu และ delta (mu and delta opioids receptors)ซึ่งมีผลให้ไมทราไจ
นีนและอนุพันธ์มีฤทธิ์ลดปวดคล้ายกับมอร์ฟีนแต่พบอาการไม่พึงประสงค์น้อย
กว่ามอร์ฟีน นอกจากนี้สารไมทราไจนีนมีฤทธิ์อ่อนกว่าสารอนุพันธ์ชนิดเซเว่นไฮ
ดรอกซี ไมทราไจนีน (7-hydroxy mitragynine) ซึ่งเซเว่นไฮดรอกซีไมทราไจนีน
เป็นสารที่พบว่ามีฤทธิ์ลดปวดที่แรงที่สุด นอกจากนี้สารที่เป็นเมแทโบไลท์ของไม
ทราไจนีนคือ ไมทราไจนีน สูโดอินดอกซิล (mitragynine pseudoindoxy) พบ
ว่าเป็นสารที่มีฤทธิ์เป็น opioids agonist ได้เช่นเดียวกับมอร์ฟีน และการศึกษา
ฤทธิ์ลดปวด โดยการทดสอบด้วยวิธี tail-flck test ในหนูไมซ์ พบว่าสารดังกล่าว
นี้มีฤทธิ์ลดปวดน้อยกว่ามอร์ฟีน
ฤทธิ์ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ มีรายงานว่า mytragynine
มีฤทธิ์ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบโดยมีการศึกษาผลของ mitragynine
ต่อการหดตัวของลำไส้เล็กที่แยกจากตัวของกระต่าย โดย magnus method
และต่อการหดตัวของลำไส้เล็กของแมว (intact intestine) โดย bollon
method พบว่าเมื่อหยดสารละลาย mitragynine ความเข้มข้น 1:20,000-
1:100,000 แก่ลำไส้เล็กที่แยกจากตัวกระต่าย ทำให้ลำไส้หดตัวลดลง และการ
ฉีด mitragynine 10-15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เข้าทางหลอดเลือด พบว่าสามารถ
ลดการหดตัวของลำไส้เล็กของแมวที่ได้รับการกระตุ้นเส้นประสาทวากัส (vagus
nerve) ต่อมามีการศึกษาวิจัยฤทธิ์ของ mitragynine ต่อการหดตัวของกล้าม
เนื้อเรียบซึ่งทดสอบโดยใช้ชิ้นหลอดเลือดแดงใหญ่ของหนูขาว ลำไส้เล็กและ
กล้ามเนื้อเรียบของ vas defe-rens ที่แยกจากตัวของหนูตะเภา พร้อมทั้งหา
กลไกลการออกฤทธิ์ร่วมด้วย (28, 34, 41-42) จากการศึกษาผลของสารสกัด
จากใบกระท่อมส่วนแอลคาลอยด์ และ mitragynine ต้อการหดตัวของกล้ามเนื้อ
เรียบ พบว่าสารสกัดจากใบกระท่อมส่วนแอลคาลอยด์ และ mitragynine ความ
เข้มข้น 1-10 ไมโครโมล ยับยั้งการหดตัวของชิ้นหลอดเลือดแดงใหญ่ของหนู
ขาวที่เหนี่ยวนำด้วย norepinephrine โดยมีความแรงแปรตามควาเข้มข้นที่ให้
แสดงว่าการออกฤทธิ์ของ mitragynine อาจยับยั้งที่ α-receptor และทั้งการ
สกัดจากใบกระท่อมส่วนแอลคาลอยด์ และ mitragynine สามารถยับยั้งการหด
ตัวของลำไส้เล็กของหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นด้วย serotonin อย่างชัดเจน
03 KMUTNB 05
บ ท ที่ ส า ม
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ มีรายงานการศึกษาคุณสมบัติต้านการอักเสบ
ของสาร mitragynine ที่มีต่อเซลล์ RAW264.7 macropgage พบว่าสาร
mitragynine มีผลยับยั้งการแสดงออกของยีน cyclooxygenase-2 (COX-2)
และ prostaglandin E2 (PGE2) แต่ไม่มีผลต่อการทำงานของ COX-1
ฤทธิ์ยับยั้งการหลั้งกรดของกระเพาะอาหาร มีการศึกษาวิจัยของ
mitragynine ในการยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหารของหนูขาวที่ถูก
กระตุ้นโดย 2-deoxy-D-glucose ผ่าน opioid receptor ด้วยเมื่อฉีด
mitragynine ขนาด 3-30 ไมโครกรัม หรือมอร์ฟีนขนาด 1-10 ไมโครกรัม เข้า
ในโพรงสมองส่วน fourth ventricle ของหนูขางที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรด
ของกระเพาะอาหารด้วย 2-deoxy-D-glucose พบว่าทั้งมอร์ฟีน และ
mitragynine ยังยั้งการหลั่งกรดโดยมีความแรงแปรตามขนาดที่ให้ และฤทธิ์
ของ mitragynine ขนาด 30 ไมโครกรัม ถูกยับยั้งด้วย naloxone 100
ไมโครกรัม นอกจากนี้ พบว่า mitragynine ไม่จับกับ k-opioid receptor เพราะ
mitragynine ไม่กระตุ้น besal acid secretion แต่ k-opioid กระตุ้น besal
acid secretion เมื่อฉีดเข้าในโพรงสมองส่วน lateral ventricle นอกจากนี้ยัง
มีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆอีกเช่น มีการศึกษาผลการต้านอาการซึม
เศร้าของสารไมทราไจนีนด้วยโมเดลพฤติกรรมบังคับว่ายน้ำ (Forced Swim
Test) และการแขวนหาง (Tail Suspention Test) และผลของไมทราไจนีนต่อ
ระบบneuroendocrineมี่แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล
(Hypothalamic-pituitary-adrenal axis) ซึ่งหลังจากฉีดสารไมทรานีนขนาด
10 และ 30 มก./กก. เข้าทางช่องท้องของหนูทดลอง พบว่าเวลาของการไม่
เคลื่อนไหวของหนูทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และนอกจากนี้ยังพบ
ว่าสารไมทราไจนีนสามารถลดการหลั่งคอร์ติโคสเตอโรน (corticosterone) ได้
อย่างมีนัยสำคัญซึ่งผู้วิจัยสรุปว่าไมทราไจนีนมีผลต้านการซึมเศร้าในสัตว์ทดลอง
โดยกลไกการต้านการซึมเศร้าของสารไมทราไจนีน น่าจะมีความสัมพันธ์กับการ
ยับยั้งการเก็บกักสารสื่อประเภทกลุ่มโมโนเอมีน(monoamine
neurotransmitter) ที่แกนไฮโปทาลสมัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล (Hypothalamic-
pituitary-adrenalaxis)ซึ่งมีผลลดระดับของสารคอร์ติโคสเตอโรน
(corticosterone) ในสัตว์ทดลองได้ และอีกการศึกษาหนึ่งระบุถึงผลของสารไม
ทราไจนีนต่อพฤติกรรมและระบบความจำของหนูแรทและหนูไมซ์(ratand mice)
03 KMUTNB 06
บ ท ที่ ส า ม
โดยใช้โมเดลการทดสอบพฤติกรรมและความจำ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า ไมทราไจ
นีนในขนาดต่ำ (1 มก./กก.) จะให้ผลเพิ่มความเคลื่อนไหวแต่ขณะที่ไมทราไจนีนข
นาดกลางและสูง (10 และ30 มก./กก.) จะให้ผลลดการเคลื่อนไหวของหนู
ทดลอง การทดสอบเฉียบพลันของไมทราไจนีนต่อความวิตกกังวล พบว่าไมทรา
ไจนีนทั้งขนาดต่ำและสูงให้ผลลดความวิตกกังวลในหนูแรททั้งในโมเดล light-
dark box และ elevated plus maze test แต่อย่างไรก็ตาม พบอาการวิตก
กังวลเพิ่มขึ้นหลังจากหยุดยา 24 ชั่วโมง และอาการดังกล่าวจะหายไปหลังจาก
หยุดยาครบ 72 ชม. การศึกษาพฤติกรรมการติดยาของหนูทดลอง พบว่าสารไม
ทรไจนีนกระตุ้น reward pathway การทดสอบผลของไมทราไจนีนต่อ
พฤติกรรมการเรียนรู้หลังการฉีดไมทราไจนีนในขนาด 1,5 และ 10 มก./กก. เข้า
ทางช่องท้องหนูเป็นเวลา 28 วัน พบว่า การเรียนรู้และความจำของหนูทดลอง
ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
03 KMUTNB 07
บ ท ที่ ส า ม
ข้อแนะนำและข้อควรปฏิบัติ
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการถอนรายชื่อพืชกระท่อมที่เป็นแหล่งของสารไม
ทราไจนีนจากบัญชียาเสพติดให้โทษประหารที่ 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด
ให้โทษ พ.ศ. 2522 แล้ว แต่ในการใช้สารไมทราไจนีนนั้นในปัจจุบันยังไม่มีการ
กำหนดขนาดและปริมาณใช้ที่ปลอดภัย รวมถึงสารไมทราไจนีนยังมีผลต่อระบบ
ประสาทส่วนกลาง ดังนั้น ในการใช้สรดังกล่าวควรอยู่ภายใต้การดูแลแนะนำของ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยมีข้อมูลการศึกษาพิษวิทยาของสารดังกล่าว ดังนี้ มีการ
ศึกษาพิษของพืชกระท่อมและสาร mitragynine โดยพบว่าผู้ที่ใช้ใบกระท่อม
ปริมาณมาก และเป็นเวลานานจะพบอาการถอนยา เช่น จิตหวาดระแวง มาการก
ระตุกของแขนและขา ไม่มีสมาธิ อารมณ์รุนแรง ปวดกล้ามเนื้อและกระดูก ไม่
อยากอาหารและนอนไม่หลับ เมื่อหยุดการใช้กระท่อม อีกทั้งยัง มีรายงานเกี่ยว
กับการใช้ใบกระท่อมร่วมกับยาอื่ นๆที่อาจเป็นสาตุทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์
รุนแรงขึ้นหรือส่งผลทำให้เสียชีวิต ยาเหล่านั้น เช่น carisoprodol, monafinil,
propylhexedrine, Datura stramonium, fentanyl, diohenhydramine,
caffeine, morphine และ O-desmethyltramadol (krypton)
03 KMUTNB 08
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
4
อั น ต ร า ย ต่ อ สุ ข ภ า พ
MITRAGYNA SPECIOSA
KMUTNB
บ ท ที่ สี่
ิ วิธีเสพ เคี้ยวใบสดหรือบดใบแห้งให้เป็นผง ละลายน้ำดื่ม บางรายเติม
เกลือด้วยเล็กน้อยเพื่อป้องกันท้องผูก ส่วนมากจะเคี้ยวเพียง 2-3 ใบ และดื่มน้ำ
อุ่น หรือกาแฟร้อนตาม ใช้วันละ 3-10 ครั้งต่อวันตามอาการ เหนื่อย เมื่อใช้ไป
ระยะหนึ่ง ปริมาณการใช้จะเพิ่มขึ้น (ประมาณร้อยละ 37 ใช้วันละ 21-30 ใบ) ผล
จากการเสพ พบว่าหลังเคี้ยวใบกระท่อมไปประมาณ 5-10 นาที จะมีอาการเป็นสุข
กระปรี้กระเปร่า ไม่รู้สึกหิว (ไม่อยากอาหาร) กดความรู้สึกเมื่อยล้าขณะท างาน ท
าให้สามารถทำงาน ได้นาน และทนแดดมากขึ้น แต่จะเกิดอาการกลัวหนาวสั่น
เวลาอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผู้เสพจะมี ผิวหนังแดงเพราะเลือดไปเลี้ยงผิวหนัง
มากขึ้น อาการข้างเคียง ได้แก่ ปากแห้ง ปัสสาวะบ่อย เบื่อ อาหาร ท้องผูก
อุจจาระแข็งเป็นก้อนเล็กๆ นอนไม่หลับ ถ้าเสพใบกระท่อมในปริมาณมากๆ จะท
าให้ มึนงง และคลื่นไส้อาเจียน (เมากระท่อม) แต่ในบางรายเสพเพียง 3 ใบ ก็
ทำให้เมาได้ ในรายที่เสพใบ กระท่อมมากๆ หรือเป็นระยะเวลานาน มักจะท าให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีขึ้นที่บริเวณผิวหนัง ทำให้ผู้ที่รับประทานมีผิวคล้ำและ
เข้มขึ้น และยังพบอีกว่าเสพกระท่อมโดยไม่ได้รูดเอาก้านใบออกจาก ตัวใบก่อน
อาจจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ถุงท่อม” ในลำไส้ได้ เนื่องจากก้านใบและใบของ
กระท่อมไม่สามารถย่อยได้ จึงตกตะกอนติดค้างอยู่ภายในลำไส้ ทำให้ขับถ่ายออก
มาไม่ได้ เกิดพังผืด ขึ้นมาหุ้มรัดอยู่โดยรอบก้อนกากกระท่อมนั้น ทำให้เกิดเป็น
ก้อนถุงขึ้นมาในลำไส้ บางรายจะมีอาการ โรคจิตหวาดระแวง เห็นภาพหลอน คิด
ว่าคนจะมาทำร้ายตน และพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง อาการขาดยา ที่พบ คือ จะไม่มีแรง
ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและกระดูก แขนขากระตุก รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สามารถ ทนได้
อารมณ์ซึมเศร้า จมูกแฉะ น้ำตาไหล บางรายจะมีท่าทางก้าวร้าว แต่เป็นมิตร
(Hostility) นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ซึ่งตรงกับข้ามกับอาการขาดยาแอมเฟตามีน
ที่จะท าให้รู้สึกง่วงนอนมาก หิวจัดและมือสั่น
04 KMUTNB 01
บ ท ที่ สี่
การบริโภคกระท่อมในปริมาณต่ำ ๆ จะออกฤทธิ์กระตุ้น ลดอาการเมื่อยล้า
ทำงานได้นานขึ้น แต่ถ้าใช้ในปริมาณสูงจะมีฤทธิ์กล่อมประสาทและเสพติด ยิ่งถ้า
เสพไปนาน ๆ ผู้เสพอาจมีอาการท้องผูก นอนไม่หลับ คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนัง
คล้ำลง บางรายที่เสพมากเกินไปอาจพบอาการแขนกระตุก อารมณ์ซึมเศร้าหรือ
ไม่ก็ก้าวร้าว กระวนกระวาย ความดันสูง มีอาการทางจิต หวาดระแวง เห็นภาพ
หลอน พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เมื่อหยุดเสพใบกระท่อมก็จะทำให้ร่างกายไม่มีแรง
อ่อนเพลีย ทำงานไม่ได้ ปวดเมื่อยตัว
โทษของอาการของผู้ติดใบกระท่อม มีลักษณะคล้ายกับแอมเฟตามีน คือ
เบื่ออาหาร ทำงานได้มากเกินปกติ ตื่นเต้น เพราะประสาทถูกกระตุ้น แต่ยังไม่เคย
มีรายงานผู้เสพติด ใบกระท่อมก่อปัญหาอาชญากรรมหรืออุบัติเหตุ เหมือนที่ได้
รับรายงานกรณีผู้เสพติดแอมเฟตามีน ส่วนใหญ่จะไม่มีแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
และกระดูก แขนขากระตุก รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สามารถทำงานได้ อารมณ์ซึมเศร้า
จมูกแฉะ น้ำตาไหล บางรายจะมีท่าทางก้าวร้าว แต่เป็นมิตร (Hostility) นอนไม่
หลับ เบื่ออาหาร ซึ่งตรงกับข้ามกับอาการขาดยาแอมเฟตามีนที่จะทำให้รู้สึกง่วง
นอนมาก หิวจัดและมือสั่นเพราะในพืชกระท่อมมีสารแอลคะลอยด์ Mitragynine
อยู่ในใบ มีฤทธิ์ระงับอาการปวดเช่นเดียวกับมอร์ฟีน โดยมีความแรงต่ำกว่า
มอร์ฟีนประมาณ 10 เท่า และมีข้อดีกว่ามอร์ฟีนอยู่หลายประการ ดังนี้
1. กระท่อมไม่กดระบบทางเดินหายใจ
2. ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
3. พัฒนาการในการติดยาเกิดช้ากว่ามอร์ฟีนหลายปี
4. ไม่มีปัญหาเรื่องอาการอยากได้ยา (Craving) จึงไม่มีกรณีผู้ติดกระท่อม
ก่อเหตุร้ายหรือพัวพันกับอาชญากรรมใดเลย
5. อาการขาดยาไม่ทรมานเท่ามอร์ฟีน และสามารถบำบัดได้ง่ายกว่ายากล่อม
ประสาท ระยะ 2-3 สัปดาห์ ขณะที่ผู้ติดมอร์ฟีนอาจต้องพึ่ง Mitragynine ซึ่งเป็น
สารเสพติดเช่นเดียวกัน เป็นเวลานาน 3 เดือนขึ้นไป
6. การควบคุมทางกฎหมาย ไม่มีสนธิสัญญาที่เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศ
ห้ามการปลูกเหมือนฝิ่ น
7. ใช้บำบัดอาการติดฝิ่ นหรือมอร์ฟีนได้
04 KMUTNB 01
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
5
สี่ คู ณ ร้ อ ย
MITRAGYNA SPECIOSA
KMUTNB
บ ท ที่ ห้ า
การนำพืชกระท่อมไปผสมยาเสพติดอื่น ๆ เช่น "สี่คูณร้อย" ยังถือว่าเป็น
ความผิดตามกฎหมาย
สี่คูณร้อย คือสารเสพติดที่เริ่มแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่นในจังหวัดชายแดน
ภาคใต้ในช่วงปี 2547 เป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมหลัก 4 อย่าง คือ น้ำต้มใบ
กระท่อม น้ำอัดลมประเภทโคล่า ยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของโคเดอีน และยากันยุง
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสูตรเริ่มแรกของสี่คูณร้อยตามการระบุของกรมวิทยาศาสตร์
การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ผู้เสพเมามาย
นอกจากนี้ การนำพืชกระท่อมไปทำผลิตภัณฑ์สมุนไพรต้องดำเนินการภายใต้
พ.ร.บ.ผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. 2562 และการนำไปขายเป็นลักษณะแปรรูปเป็น
อาหารหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ก็ยังทำไม่ได้เนื่องจากผิด พ.ร.บ อาหาร พ.ศ. 2522
ผลของกระท่อมต่อร่างกาย
ขนาดต่ำ ๆ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทคล้ายยาบ้าอ่อน ๆ
ขนาดสูงมีฤทธิ์เคลิบเคลิ้ม กดประสาทคล้ายฝิ่ น
มีฤทธิ์ Psychedelic
เบื่ออาหาร ร่างกายซูบผอม
ผิวดำเกรียม โดยเฉพาะใบหน้าและโหนกแก้ม
ปากแห้ง คอแห้ง
ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
ปวดท้อง ท้องผูกเรื้อรัง อุจจาระเป็นก้อนดำคล้ายมูลแพะ
ปวดเมื่อยตามร่างกาย ตามข้อ แขนขากระตุกและชักเกร็งได้
นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ฟุ้งซ่าน
สับสน ประสาทหลอนได้
อาการเมาใบกระท่อม
อาการเมายาหรือภาวะเป็นพิษจากยาหรือสารเสพติดที่ใช้ (Intoxication)
เป็นการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมหรือจิตใจ ร่วมกับอาการและอาการแสดง
ทางร่างกาย (Symptoms and signs) ที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากใช้สารตัวใดตัว
หนึ่งในปริมาณมากเกินระดับที่ทนได้ เช่น ในคนที่เพิ่งใช้สารตัวนั้นเพียงครั้งแรก
หรือ ผู้ที่ใช้ในปริมาณที่มากกว่าที่เคยใช้มาก่อน อาการที่เกิดขึ้นจะเป็นฤทธิ์ของยา
หรือสารหลักในสารชนิดนั้น
05 KMUTNB 01
บ ท ที่ ห้ า
อาการเมาใบกระท่อมมีลักษณะคล้ายคลึงกับอาการเมาหรือภาวะเป็นพิษ
จากสารหลายชนิด เช่น จากสาร Tetrahydrocannabinols (THC) ซึ่งเป็นสาร
ออกฤทธิ์หลักในกัญชา เป็นต้น คือ มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้น ใน
ลักษณะที่เป็นการแปรปรวนของระบบประสาทอัตโนมัติ กล้ามเนื้อการทรงตัว
และระบบประสาทสัมผัส มักจะมีอาการตัวสั่น มือสั่น อุณหภูมิร่างกายลดลงเล็ก
น้อยทำให้รู้สึกตัวเย็น หนาว ความแข็งแรงและสมดุลของร่างกายลดลง จึงทำให้
รู้สึกว่าแขนขาอ่อนแรง ยืนเดินไม่ไหว ระดับการประสานงานของกล้ามเนื้อลดลง
จึงเดินเซ หรือทำของตกหล่น คลื่นไส้ ปวดหัวเวียนหัว และอาจมีความดันโลหิต
ลดลง หายใจเร็วขึ้น และหัวใจเต้นเร็วขึ้น อาการเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการ
เกิดโรคของหัวใจและหลอดเลือดได้ เพราะไปเพิ่มการทำงานของหัวใจมากขึ้น
อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บได้ หากผู้เสพไปขับรถหรือใช้
เครื่องจักรเครื่องยนต์เมื่อมีอาการ เพราะการทำงานของระบบประสาทสัมผัส
การประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อและระบบประสาทควบคุมบกพร่อง การตอบ
สนองต่อการกระตุ้นช้าลง และแปลสิ่งเร้าผิดไป
2. ยาแก้ไอน้ำดำ (PHENSEDYL, CODYL, TOCODYL)
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 จัดยาแก้ไอน้ำดำเป็นยา
เสพติด ให้โทษในประเภท 3 ห้ามมิให้มีการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่าย
นอกจากได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาน้ำยาแก้ไอ ที่มี
ส่วนผสมที่แตกต่างกันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ น้ำยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของ
โคเดอีน กับน้ำยาแก้ไอที่ไม่มีส่วนผสมของโคเดอีน การออกฤทธิ์ของตัว
ยาแก้ไอทั้ง 2 ประเภทจะเหมือนกันคือ ไปกดศูนย์การไอที่ประสาทส่วนกลาง โดย
ยาแก้ไอที่มีส่วนผสมของโคเดอีนจะออกฤทธิ์ที่รุนแรงกว่ายาแก้ไอที่ไม่มีส่วน
ผสมโคเดอีน ในปัจจุบันวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลามนำน้ำยาแก้ไอที่มี
การวางจำหน่ายทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยาแก้ไอที่
วางขายอยู่จะมีด้วยกันหลายยี่ห้อ เช่นPHENSEDYL,CODYL,TOCODYL
แต่ยี่ห้อ PHENSEDYL มีผู้นิยมเสพกันมาก
05 KMUTNB 02
บ ท ที่ ห้ า
สำหรับน้ำยาแก้ไอที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย มายังชายแดน
ภาคใต้ส่วนใหญ่จะใส่แกลอนๆละ ประมาณ 1,800 บาท เมื่อนำมาส่งให้กับพ่อค้า
ในพื้นที่จะนำไปขายต่อแกลอนๆละ3,000 – 4,000 บาท และนำมาแบ่งบรรจุขาย
ประมาณ 30 ซีซี ราคาจำหน่าย 50 บาท ขวดพลาสติกขนาด 50 ซีซี ราคา
จำหน่าย 60 บาท ขวดพลาสติกขนาด 100 ซีซี ราคาจำหน่าย 120 บาท และนิยม
กันมากก็คือบรรจุในขวดแก้วน้ำอัดลมโค้ก ขนาด 280 ซีซี ราคาจำหน่าย 300
-350 บาท แล้วนำมาลักลอบขายตามร้านขายยา ร้านน้ำชา ร้านขายไอศกรีม
(ศูนย์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดประจำภาคใต้ ,มปป ) ผลของการใช้ยาแก้
ไอที่มีโคเดอีนเป็นส่วนผสม ในกรณีที่นำไปใช้ในทางที่ผิด จะเกิดอันตรายต่อ
สุขภาพ อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม และที่สำคัญ การใช้ยาติดต่อเป็นเวลานาน
ทำให้เกิดการติดยา ทั้งทางกายและจิตใจ และมีอาการถอนยาเมื่อขาดยา เช่น
เดียวกับการติดมอร์ฟีนหรือเฮโรอีนซึ่งจะต้องเข้ารับการบำบัดรักษาจึงจะหาย
จากการติดยาได้
อาการไม่พึงประสงค์ของการใช้โคเดอีน
- คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม ท้องผูก
- ลดประสิทธิภาพในการขับขี่
- การใช้ยาในขนาดที่สูงๆทำให้การหายใจหยุดช็อกและหัวใจหยุดเต้น
- การใช้ยาติดต่อเป็นเวลานานทำให้เกิดการติดยาได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
3. น้ำอัดลมน้ำดำ ( น้ำโคล่าโคล่า )
น้ำอัดลมน้ำดำ เป็นเครื่องเสพที่ยอดนิยมชนิดหนึ่ง มีทั้งน้ำอัดลมดำหรือ
น้ำโคล่า ที่นิยมใช้ในการผสมในยาเสพติดชนิด 4x100 เป็นเครื่องเสพที่ถูก
กฎหมาย พบว่าน้ำอัดลมน้ำดำ มีส่วนผสมคาเฟอีน ซึ่งเป็นสารอัลคาลอยด์ จัด
อยู่ในตระกูลเมทิลแซนทีน มีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้รู้สึก
ตื่นตัว (ปปส., 2550)
05 KMUTNB 03
บ ท ที่ ห้ า
คาเฟอีนกระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีนและโดปามีน
ฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีน (adrenaline) ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจ
สั่น ความดันโลหิตสูงตับเร่งผลิตน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด กล้ามเนื้อตึงตัวพร้อม
ทำงาน ทำให้เหมือนเป็นยาชูกำลัง การบริโภคคาเฟอีนมีผลทำให้หัวใจเต้นช้าลง
เล็กน้อยในชั่วโมงแรก และกลับเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยในชั่วโมงที่ 2 และ 3 ความดัน
โลหิตจะเพิ่มประมาณ 5-10 มิลลิเมตรปรอท และเพิ่มขึ้นนานประมาณ 2-3
ชั่วโมงแล้วอาการดังกล่าวจะหายไป ส่วนฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งโดปามีน
(dopamine) ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ สุขลึกๆ เชื่อว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่
ทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีน ทั้งฤทธิ์กระตุ้นการกลั่งสารอะดรีนาลีนและโดปามีน
มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณสูงเกินไปอาจจะเกิดพิษ
ขึ้นได้ คาเฟอีนในปริมาณครั้งละ 200-500 มิลลิกรัม อาจทำให้ปวดศีรษะ เกิด
ภาวะเครียด กระวนกระวาย มือสั่นและประสิทธิภาพ การทำงานลดลง คาเฟอีน
ประมาณ 1,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ผู้บริโภคมีไข้สูง วิตกกังวล กระสับกระส่าย
พูดตะกุกตะกัก ควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น
เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียนปัสสาวะบ่อย ขนาดของคาเฟอีนที่อาจทำให้เสียชีวิตได้
ประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในเด็กเล็ก หรือประมาณ
3,000 มิลลิกรัมในเด็กโต 5,000-10,000 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่ตามลำดับ
ยากดประสาท
ยาอัลปราโซแลม (Alprazolam) หรือยาโซแรม (xoram) เป็นยากลุ่ม
benzodiazepine ที่ออกฤทธิ์สั้นหรือนานปานกลาง เช่นเดียวกับ lorazepam
มีชื่อทางการค้า เช่น zolam® , xanax® เป็นต้น ใช้สำหรับรักษาอาการวิตก
กังวล สงบระงับ และช่วยให้นอนหลับ
ยานี้จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภทที่4 ตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและ
ประสาท พ.ศ.2518 การขายต้องขายในร้านขายยาที่มีใบอนุญาต และต้องขาย
ตามใบสั่งแพทย์ โดยมีเภสัชกรควบคุมการจำหน่าย
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
คลายกล้ามเนื้อลาย (Muscle relaxants) ต้านอาการชัก (antiepileptics)
ทำให้สูญเสียความทรงจำชั่วขณะ (anterograde amnesia) ความสามารถใน
การเรียนรู้ และความจำลดลง สมรรถภาพในการทำงานที่ต้องใช้ความชำนาญ
หรือการตัดสินใจฉับพลันเสื่ อมลงเนื่ องจากยานี้มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
จึงมีผู้ที่นำยานี้มาใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด เช่นที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ เป็นต้น
05 KMUTNB 04
บ ท ที่ ห้ า
การติดยา
การใช้ยากลุ่ม Benzodiazepines ในขนาดสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จะ
ทำให้เกิดการ ติดยาทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งถ้าหยุดยาทันทีจะเกิดอาการขาด
ยาหรือถอนยา เช่น คลื่นไส้ นอนไม่หลับ มือสั่น หัวใจเต้นเร็ว ซึมเศร้า เป็นโรคจิต
หรืออาจถึงกับชักได้
4. BENZODIAZEPINES (ยาเบนโซไดอาซีปีน)
ยา Benzodiazepine ตัวแรกที่นำมาใช้คือ Chordiazepoxide ถัดมาคือ
Diazepam ซึ่งเป็นยาที่ใช้กว้างขวางกันในปัจจุบันยากลุ่มนี้ ส่วนมากมีฤทธิ์
หลายอย่างทั้งเป็นยานอนหลับ คลายกังวล ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว แก้ชัก แต่
บางตัวก็มีข้อบ่งใช้เฉพาะ เช่น Flurazepam มักใช้เป็นยานอนหลับเท่านั้นเพราะ
มีฤทธิ์น้อย การติดยานอนหลับกลุ่มเบนโซไดอาซีปีน ยาจำพวกกล่อมประสาท
และยานอนหลับ มีสูตรทางเคมีที่แตกต่างกัน แต่มักจะใช้เพื่อบรรเทาอาการนอน
ไม่หลับและอาการเครียดเหมือนกันยากลุ่มเบนโซโดอาซีปีนที่มีจำหน่ายกันใน
ปัจจุบันยาในกลุ่มนี้ทุกตัวจะกดการหายใจเพียงเล็กน้อย ยกเว้นการใช้ยาในขนาด
ที่สูงมากกว่าขนาดปกติที่ใช้เพื่อนอนหลับและคลายเครียด แม้ในผู้ป่วยที่ได้รับยา
เกินขนาด50 – 100 เท่าของขนาดปกติยังพบการเสียชีวิตจากการกดการหายใจ
น้อยมากความปลอดภัยของเบนโซไดอาซีปีนในกรณีใช้ยาเกินขนาดนับเป็นข้อได้
เปรียบที่สำคัญของยานี้เหนือยานอนหลับตัวเก่าๆ (วิโรจน์ วีรชัย และคณะ
,2548 )
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
กดระบบประสาทส่วนกลาง มีผลทำให้ง่วง หลับ คลายกังวล กล้ามเนื้อคลาย
ตัว และแก้ชัก
ขนาดสูงทำให้สลบหรือถึงโคม่า เมื่อระบบประสาทส่วนกลางถูกกด จะมีผล
เสียต่อการทำงานและจิตใจ ขนาดที่ทำให้หลับทำให้มีอาการเหมือนคนเมา บังคับ
อารมณ์ไม่อยู่หรือตื่นเต้นในบางคน การทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อเสียไป ที่
เห็นชัดๆ คือเดินเซ ในคนแก่อาจทำให้รู้สึกสับสน การทำงานของจิตใจเสื่อมลง
Benzodiazepine มีผลต่อ normal sleep pattern กด REM sleep
benzodiazepine
05 KMUTNB 06
บ ท ที่ ห้ า
อาการไม่พึงประสงค์
ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ตาพร่า วิงเวียน ปากแห้ง ลิ้นขม คลื่นไส้
อาเจียน อึดอัดบริเวณลิ้นปี่ ท้องเสีย และที่พบยากได้แก่ ปวดข้อ เจ็บหน้าอก กั้น
การขับถ่ายไม่ได้
เสพติดได้ ถ้าหยุดยาหลังจากใช้มานาน จะเกิดอาการตรงข้ามกับฤทธิ์ของ
มัน เช่น นอนไม่หลับจากยาที่มีฤทธิ์ทำให้หลับ หงุดหงิดจากยาที่มีฤทธิ์แก้กังวล
เป็นต้น อาการอื่นๆมีหัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก คลื่นไส้ มือสั่น กล้ามเนื้อบิดตัว
เศร้า ซึม ประสาทหลอน อาการจิตเภท ชัก ถ้าใช้ยามานานควรค่อยๆ ลดขนาดยา
ลง พวกที่มีฤทธิ์สั้นมักจะมีอาการได้บ่อย
05 KMUTNB 07
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
6
ค ว บ คุ ม ค รั้ ง แ ร ก
MITRAGYNA SPECIOSA
KMUTNB
บ ท ที่ ห ก
เมื่อสักประมาณ 20 ปีที่แล้ว หากใครสักคนพูดถึงกระท่อม สิ่งแรกที่คนจะ
นึกภาพตามคือ ที่อยู่อาศัยขนาดเล็ก ที่พอจะเป็นที่หลับนอนและใช้ชีวิตอยู่ได้
หรือหากเจาะจงมาถามชาวบ้านในแถบภาคใต้ ก็อาจจะนึกถึงต้นพืชสมุนไพรชนิด
หนึ่งที่เอาไว้ใช้สำหรับแก้อาการปวด ลดไข้ แก้ท้องผูก ถ้าถามคนใช้แรงงาน คน
ขับรถระยะไกล ก็จะนึกถึงใบไม้ที่ไว้เคี้ยวชูกำลัง
แต่หากคำว่า กระท่อม ถูกกล่าวขานอีกครั้ง ณ ปัจจุบันนี้ ความหมายแรก
ที่ทุกคนคิดถึงคงไม่ใช่อย่างที่เคยเป็นเมื่ออดีตเสียแล้ว สถานะของกระท่อม
กลายเป็น สิ่งเสพติดผิดกฎหมายที่มีคนใช้มากที่สุดอันดับหนึ่งในประเทศไทย มา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 จวบจนถึงปัจจุบัน (เพิ่งตกเป็นอันดับสองในช่วงกระแส
กัญชามาแรงสักปีสองปีนี้เองครับ)
กระท่อมได้สร้างพื้นที่ทางความรู้สึกแบบใหม่ให้คนในประเทศไทย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในแถบภาคใต้ของประเทศ คำว่าคนติดกระท่อม ไม่ได้แปลว่าคนติดบ้าน
ไม่ออกไปไหน ไม่เถลไถล แต่กลายเป็นคำที่เป็นภาระและตราบาปสำหรับคนที่ถูก
เรียก ติดกระท่อม ถูกตีความหมายว่าเป็นผู้เสพยาเสพติด ผู้ติดยาเสพติด มีแนว
โน้มจะไม่มีอนาคตที่ดี ยิ่งในบางหมู่บ้าน ติดกระท่อม ก็ประหนึ่งว่าเป็นอาชญากร
ไปเลย
เส้นทางการสร้างความหมาย การเปลี่ยนบทบาท และพลวัตรของพืชกระ
ท่อมตลอดช่วงเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมาเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ จากพืชที่ขึ้น
ตามป่าเขาของภาคใต้ตอนล่างมาเป็นพัน ๆ ปี ผู้คนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์ด้วย
สรรพคุณทางยา จนกระทั่งมีการนำมาใช้อย่างผิดวิธีด้วยการผสมสารอื่น ๆ ใช้
เพื่อความบันเทิงรื่นเริง จนเปลี่ยนสถานะเป็นพืชเสพติด มีความต้องการบริโภค
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเป็นสิ่งเสพติดที่มีการบริโภคมากที่สุดใน
ประเทศไทย อยู่ในลำดับที่มีคนเสพมากกว่าสิ่งเสพติดที่มีการใช้ทั่วโลกอย่าง
ยาบ้า ไอซ์ และ กัญชาได้
06 KMUTNB 01
บ ท ที่ ห ก
กระนั้นก็ตามเมื่อช่วงกลางปี 2564 ได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ
(ฉบับที่ 8) พ.ศ.2564 มีการแก้ไขถอดพืชกระท่อมออกจากยาเสพติด ประเภท 5
คือ พืชกระท่อมจะไม่เป็นยาเสพติดตามกฎหมายอีกต่อไป พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2564 และจะมีผลเริ่มใช้บังคับในวันที่ 24
ส.ค.2564 นั้น จึงทำให้สังคมเกิดคำถามและความสนใจต่อประเด็นดังกล่าว อันที่
จริงแล้วรายละเอียดทางกฎหมายที่ปรับปรุงนั้น มีการอนุญาตให้ใช้กระท่อม
เฉพาะในรุปแบบของการใช้เป็นพืชสมุนไพรเท่านั้น ไม่รวมในกรณีที่มีการนำมา
ต้มแปรรูป ผสมกับสารอื่น ๆ ใช้เพื่อการเสพเชิงสันทนาการ ซึ่งการใช้รูปแบบดัง
กล่าวนี้เองที่ทำให้กระท่อมเป็นที่รับรู้ว่าเป็นพืชเสพติด ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วกระ
ท่อมอยู่ร่วมกับวิถีชีวิตคนในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคใต้ตอนล่างมายาวนาน
เมื่อพูดถึงกระท่อมในประเทศไทยหรือสยาม ต้องพูดถึงฝิ่ นควบคู่ไปด้วย
เนื่องจากประวัติศาสตร์ของพืชเสพติดสองชนิดนี้มีความเกี่ยวข้องกัน และส่งผล
ทางกฎหมายซึ่งกันและกันจวบจนถึงปัจจุบัน
ฝิ่ นเข้ามาในสมัยใดของสยามไม่เป็นที่แน่ชัด แต่กฎหมายเกี่ยวกับฝิ่ นปรากฏครั้ง
แรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา ช่วงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 1903 หรือ ประมาณ 600 ปี ล่วงมา
แล้ว ตามกฎหมายฉบับนี้ ได้บัญญัติการห้ามซื้อ ขาย เสพฝิ่ นไว้ว่า "ผู้สูบฝิ่ น กิน
ฝิ่ น ขายฝิ่ นนั้น ให้ลงพระราชอาญาจงหนักหนา ริบราชบาทว์ให้สิ้นเชิง ทเวนบก
สามวัน ทเวนเรือสามวัน ให้จำใส่คุกไว้จนกว่าจะอดได้ ถ้าอดได้แล้วเรียกเอา
ทานบน แก่มันญาติพี่น้องไว้แล้ว จึงให้ปล่อยผู้สูบ ขาย กินฝิ่ น ออกจากโทษ"
ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ 1 ทรงแจกกฎหมายป่าวร้องห้ามปรามผู้ขาย ผู้สูบฝิ่ น แต่ให้ผลในทาง
ปฏิบัติได้น้อย ก็ยังคงมีผู้เสพฝิ่ นในราชอาณาจักรอยู่ เมื่อเปลี่ยนรัชกาลเป็นสมัย
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงได้ทรงตราพระราช
กำหนดโทษให้สูงขึ้นไปอีก โดย "ห้ามอย่าให้ผู้ใดสูบฝิ่ น กินฝิ่ น ซื้อฝิ่ นขายฝิ่ น และ
เป็นผู้สมซื้อสมขายเป็นอันขาดทีเดียวถ้ามิฟังจับได้ และมีผู้ร้องฟ้อง พิจารณา
เป็น สัจจะให้ลงพระอาญา เฆี่ยน 3 ยก ทเวนบก 3 วัน ทเวนเรือ 3 วัน ริบราชบา
ทว์ บุตรภรรยา และ ทรัพย์สิ่งของให้สิ้นเชิง ให้ส่งตัว ไปตะพุ่นหญ้าช้าง ผู้รู้เห็น
เป็นใจมิได้เอาความมาว่ากล่าว จะให้ลง พระอาญาเฆี่ยน 60 ที"
06 KMUTNB 02
บ ท ที่ ห ก
ในรัชกาลที่ 3 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นระยะที่ตรง
กับสมัยที่อังกฤษนำฝิ่ นจากอินเดีย ไปบังคับขายให้จีนทำให้มีคนจีนติดฝิ่ นเพิ่มขึ้น
และในช่วงเวลานั้น ตรงกับระยะที่คนจีนเข้ามาค้าขายในเมืองไทยมากขึ้น จึง
เป็นการนำการใช้ฝิ่ นและผู้ติดฝิ่ นเข้ามาในเมืองไทย ตลอดจนการค้าขายทางเรือ
มีมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการลักลอบนำฝิ่ นเข้ามาในเมืองไทยด้วยเรือสินค้าต่าง ๆ
มาก จึงเป็นเหตุให้การเสพฝิ่ นระบาดยิ่งขึ้นไปอีก พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 จึงได้
ปราบปรามผู้ค้า-ผู้เสพฝิ่ นหนักยิ่งขึ้น ในปี พ.ศ. 2382 ได้ไปจับฝิ่ นตามหัวเมือง
ชายทะเล ทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ ครั้งนั้นจับได้ฝิ่ นดิบถึง 3,700 หาบเศษ
ฝิ่ นสุก 2 หาบเศษ ได้ฝิ่ นรวมแล้วเกือบ 2.6 แสนกิโลกรัม และนำกลับมาเผา
ทำลายที่กรุงเทพ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่าการ
ปราบปรามไม่สามารถขจัดปัญหาการสูบ และขายฝิ่ นได้ และก่อให้เกิดความยุ่ง
ยากวุ่นวายขึ้น จึงทรงเปลี่ยนนโยบายใหม่ ยอมให้คนจีนเสพและขายฝิ่ นได้ตาม
กฎหมาย แต่ต้องเสียภาษีผูกขาดมีนายภาษีเป็นผู้ดำเนินการ ปรากฏว่าภาษีฝิ่ น
ทำรายได้ให้แก่ประเทศไทยมาก ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรง
รวบรวมไว้ในหนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ใน "ตำนานภาษีฝิ่ น" ว่าภาษีที่ได้นั้น
ประมาณว่าถึงปีละ 4 แสนบาท สูงเป็นอันดับที่ 5 ของรายได้ประเภทต่าง ๆ และ
ได้มีความพยายามห้ามคนไทยไม่ให้เสพฝิ่ น แต่ก็ไม่ได้ผลเต็มที่
ฝิ่ นดำรงอยู่ในสภาพของยาเสพติดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐมาตลอด
ตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 4 จนเมื่อถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 8 ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 8 ก็
เริ่มมีนักสูบฝิ่ นจำนวนหนึ่งทดลองใช้ใบกระท่อมทดแทนฝิ่ นที่ราคาแพงกว่าหลาย
เท่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ฝิ่ นขาดตลาด กระท่อมปรากฏเป็นยาเสพติดต้อง
ห้ามตามกฎหมายเป็นครั้งแรกในรัชสมัยนี้ ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงของการออก
พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. 2486 เนื่องจากฝิ่ นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดผลิตฝิ่ นสุก ฝิ่ น
ดิบ มีราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่ น (26) ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าแท้ที่
จริงการตรา พ.ร.บ. พืชกระท่อม พ.ศ. 2486 และใช้สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้มี
เหตุผลและหลักการทางการค้าทางภาษีของรัฐที่ต้องการรักษาผลประโยชน์ของ
รัฐจากการควบคุมการผลิตและจำหน่ายฝิ่ น ซึ่งหากนักสูบฝิ่ นไปสูบหรือเสพใบ
กระท่อมแทน รายได้ของรัฐจากการทำธุรกิจกับฝิ่ นก็จะลดลงไปด้วย หาใช่เพราะ
เหตุที่พืชกระท่อมเป็นพืชเสพติดเองไม่ และในสมัยดังกล่าวก็แทบไม่มีข้อมูลทาง
เภสัชวิทยาของกระท่อม รวมถึงไม่มีการจัดเก็บข้อมูลผลกระทบด้านสุขภาพกาย
และจิตของผู้ใช้กระท่อมที่เป็นมาตรฐาน
06 KMUTNB 03
บ ท ที่ ห ก
กฎหมายห้ามกระท่อมของไทยถือเป็นชาติแรกในโลกที่ระบุคำสั่งห้ามค้าและเสพ
พระท่อม เนื่องจากเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็น
ภูมิภาคเดียวที่มีพืชกระท่อมอยู่ และประเทศต่อมาที่ประกาศใช้กฎหมายนี้นั่นคือ
ประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของไทย ที่ประกาศใช้ในปี 1952 (พ.ศ. 2495)
ซึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการที่ผู้เสพฝิ่ นในประเทศใช้กระท่อมทดแทนในช่วงที่ฝิ่ น
ขาดตลาด จึงทำให้กระท่อมถูกเข้าใจว่าเป็นพืชเสพติดเช่นเดียวกันกับฝิ่ น
ใน พ.ศ. 2501 คณะปฏิวัติซึ่งปกครองประเทศไทยอยู่ในขณะนั้นได้พิจารณา
เห็นว่า การเสพฝิ่ นเป็นที่รังเกียจในวงการสังคม และเป็นอันตรายแก่สุขภาพและ
อนามัยอย่างร้ายแรง ประเทศต่าง ๆ ได้พยายามเลิกการเสพฝิ่ นโดยเด็ดขาดแล้ว
จึงเห็นเป็นการสมควรให้เลิกการเสพฝิ่ น และ จำหน่ายฝิ่ นในประเทศไทย จึงมี
ประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 37 ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2501 ให้เลิกการเสพ
ฝิ่ น และจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร และกำหนดดำเนินการให้เสร็จสิ้นเด็ดขาด
ภายในวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2502 แต่กระนั้นก็ตาม ก็ไม่ได้มีการแก้ไข
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพืชกระท่อม เมื่อฝิ่ นหายไปจากสังคมไทย และถูกทดแทน
ด้วยยาเสพติดชนิดอื่น กระท่อมก็หายไปจากสังคมไทยด้วย จนเมื่อปี 2547 ก็
กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งจากการทดลองใช้น้ำต้มกระท่อมผสมกับยาแก้ไอที่มี
ส่วนผสมของโคเดอีน กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม และต่อมาก็มีการแพร่ขยาย
ไปยังภูมิภาคอื่น ๆในประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน และทั่วโลกตามลำดับ
จนถึงปัจจุบันนี้ การเสพกระท่อมเป็นยาเสพติดและการใช้พืชกระท่อมแบบวิถีชาว
บ้าน เป็นสองพฤติกรรมการใช้ที่แตกต่างและแยกกลุ่มออกจากกันอย่างชัดเจน
การเสพกระท่อมเป็นยาเสพติดต้องใช้ใบกระท่อมจำนวนมากนำมาต้มเพื่อให้ได้
สารออกฤทธิ์ (mitragynine) จำนวนที่มากพอผสมกับสารออกฤทธิ์อื่นในกลุ่ม
opioid (เช่น ฝิ่ นหรืออนุพันธ์ของฝิ่ น) โดยใช้เพื่อให้เกิดฤทธิ์กระตุ้นประสาท และ
กดประสาท
ในขณะที่ผู้ใช้กระท่อมแบบวิถีชาวบ้านนั้นใช้ในรูปแบบของการเคี้ยวใบสด
หรือชงเป็นชาจากใบแห้ง มีวัตถุประสงค์ทางการบรรเทาอาการเป็นส่วนใหญ่
เพื่อรักษาอาการปวดเมื่อย ลดไข้ เมื่อพิจารณาจากวัตถุประสงค์และรูปแบบการ
ใช้ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงคิดว่ากฎหมายเดิมที่ควบคุมการใช้พืชกระท่อม
ทุกรูปแบบทำให้ประโยชน์ของพืชกระท่อมถูกทำลายไป เช่น ประโยชน์ทาง
เภสัชวิทยาที่กระท่อมประกอบด้วยสารหลายประเภทที่อาจนำมาใช้ประโยชน์ได้
การแก้ไขกฎหมายฉบับล่าสุดนี้จึงเป็นประตูบานสำคัญที่จะทำให้กระท่อมถูกกลับ
มาใช้ประโยชน์
06 KMUTNB 04
บ ท ที่ ห ก
อย่างไรก็ตามผู้ศึกษาเกี่ยวกับพืชกระท่อมวิเคราะห์ว่า การออกกฎหมายให้
กระท่อมเป็นยาเสพติดต้องห้ามในสมัยนั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผล
ประโยชน์ทางการค้าและภาษีของรัฐ เนื่องจากฝิ่ นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดการผลิตมี
ราคาแพง ทำให้คนหันมาสูบกระท่อมแทนฝิ่ น มิใช่เป็นการออกกฎหมายเพื่อ
ป้องกันการเสพติดพืชกระท่อม
เมื่อมีการออก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 พืชกระท่อมก็ถูก
ควบคุมอย่างต่อเนื่องในฐานะ "ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5" ซึ่งมีพืชเสพติดจัด
อยู่ในประเภทนี้ทั้งหมด 4 ชนิด นอกจากกระท่อมแล้วก็มีกัญชา ฝิ่ นและเห็ดขี้
ควาย
ปี 2562 มีการแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ เพื่อปลดล็อกให้มี
การใช้กัญชาและพืชกระท่อมในทางการแพทย์ โดย พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ
(ฉบับที่ 7) ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 "เว้นแต่การเสพ
นั้นเป็นการเสพเพื่อการรักษาโรค ตามคำสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้
ประกอบวิชาชีพทันตกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบ
วิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอพื้นบ้านตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพ
การแพทย์แผนไทย ที่ได้รับใบอนุญาต หรือเป็นการเสพเพื่อการศึกษาวิจัย" แต่
การเสพ ครอบครอง ขาย นำเข้าหรือส่งออกพืชกระท่อมที่นอกเหนือจากนี้ยัง
ถือว่าเป็นความผิด มีโทษทั้งจำคุกและปรับ
06 KMUTNB 05
พื ช ก ร ะ ท่ อ ม
7
พ . ร . บ . ย า เ ส พ ติ ด ใ ห้ โ ท ษ
MITRAGYNA SPECIOSA
KMUTNB
บ ท ที่ เ จ็ ด
การควบคุมตามกฎหมาย ปี พ.ศ. 2486 ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่
ประกาศควบคุมการใช้พืชกระท่อม โดยตรา พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ.
2486 ระบุห้ามปลูกและครอบครองรวมทั้งห้ามจำหน่ายและเสพ ใบกระท่อม
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 กระท่อมเป็นพืชเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราช
บัญญัติยา เสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 “ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า หรือส่งออกซึ่ง
ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 – 5 ปี และปรับ
ตั้งแต่ 20,000 – 150,000 บาท ครอบครองโดย มิได้รับอนุญาต ต้องระวาง
โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” การ
ควบคุมในต่างประเทศ สหประชาชาติ(UN) จะยังมิได้มีการประกาศควบคุมพืช
กระท่อมในบัญชี รายชื่อยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ตามอนุสัญญาระหว่าง
ประเทศ แต่จาก World drug report 2013 ของสำนักงานควบคุมยาเสพติด
และอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ได้มีการ ขอความร่วมมือให้
ประเทศสมาชิกเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ของสารออกฤทธิ์ตัวใหม่ๆ ซึ่งมี
พืชกระท่อมรวมอยู่ด้วย ซึ่งจากการสืบค้นข้อมูลพบว่าประเทศในยุโรป เช่น
เดนมาร์ก ลัตเวีย
การควบคุมพืชกระท่อมสาร mitragynine แ ล ะ 7-hydroxymitragynine
สำหรับออสเตรเลีย พม่า รวมถึงไทย มีการควบคุมพืชกระท่อมภายใต้ กฎหมาย
ที่เกี่ยวกับยาเสพติด ส่วนนิวซีแลนด์ ควบคุมพืชกระท่อม และสาร mitragynine
ภายใต้ กฎหมาย Medicines Amendment Regulations จาก World drug
report 2013 ของสำนักงาน ควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมแห่ง
สหประชาชาติ (UNODC) ให้ข้อมูลการแพร่ระบาดของ พืชกระท่อมว่า พืช
กระท่อมมีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมี
การรายงานการใช้ในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในปี ค.ศ. 2011 ยุโรปเริ่มการมีขายพืช
กระท่อมทาง อินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลาย คนไทยจะนิยมบริโภคใบกระท่อมกัน
เมื่อใดไม่อาจทราบได้แน่นอน เมื่อย้อนไปตรวจดูประวัติศาสตร์ กฎหมายถึง
พ.ศ. ๑๙๐๓ ในสมัยพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ปฐมกษัตริย์แห่งกรุง
ศรีอยุธยาใน กฎหมายตราสามดวง ว่าด้วยลักษณะโจร ก็ไม่ได้บัญญัติให้
กระท่อมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย คงมีแต่เฉพาะ ฝิ่ นเท่านั้นที่ห้ามการบริโภค ครอบ
ครองหรือจำหน่าย การที่แพทย์พื้นบ้านได้ใช้กระท่อมเป็นตัวยา สมุนไพรไทย
07 KMUTNB 01
บ ท ที่ เ จ็ ด
แสดงให้เห็นว่า คนไทยได้ใช้กระท่อมกันมาเป็นเวลานานและใช้กันอย่างแพร่หลาย
นั่นเอง จากการศึกษาและสอบถามจากประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศไทย คือ ลาว
เขมร มาเลเซีย อินโดนีเซีย พบว่า พืชกระท่อมที่อยู่ในรูปของ ต้น ใบ ราก ไม่เป็น
สิ่งผิดกฎหมายของประเทศเหล่านี้ และประชาชนบางกลุ่มที่นิยมบริโภคในรูปของ
ใบสดเพื่อกระตุ้นในการทำงาน อีกทั้งในข้อตกลงของ สหประชาชาติก็ไม่ได้
กำหนดให้กระท่อมเป็นสิ่งเสพติดหรือผิดกฎหมาย คงมีประเทศไทยประเทศ
เดียวเท่านั้นที่ก าหนดให้กระท่อมเป็นพืชที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ พ.ร.บ.ป่าไม้
พ.ศ. ๒๔๘๔ ซึ่งแก้ไข เพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้ก า
หนดให้ต้นกระท่อมเป็นพืชหวงห้าม จะตัดฟัน ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
ทำให้เกิดปัญหาว่าหากประชาชนมีต้นกระท่อมอยู่ในสวนหรือที่ดิน ก็จะไปตัดโดย
พลการไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันการครอบครองกระท่อมก็ผิดกฎหมายตาม
พ.ร.บ.ยาเสพ ติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ กระท่อมเพิ่งปรากฏเป็นยาเสพติดต้อง
ห้ามตามกฎหมายเป็นครั้งแรกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล
(รัชกาลที่ ๘) ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงของการออก พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ. ๒๔๘๖
เนื่องจากฝิ่ นที่รัฐเป็นผู้ผูกขาดผลิตฝิ่ นสุก ฝิ่ นดิบ มีราคาแพง ท าให้คนหันมาสูบ
กระท่อมแทนฝิ่ น ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าแท้ที่จริงการตรา พ.ร.บ.พืชกระท่อม พ.ศ.
๒๔๘๖ และใช้สืบเนื่องมาจนทุกวันนี้มี เหตุผลและหลักการทางการค้าทางภาษี
ของรัฐ หาใช่เพราะเหตุที่พืชกระท่อมเป็นพืชเสพติดเองไม่ ซึ่ง หลักเกณฑ์ที่
องค์การอนามัยโลกก าหนดเป็นแนวทางในการพิจารณาเพื่อจัดให้เป็นยาเสพติด
ที่จะต้อง ควบคุมนั้นมีดังนี้
1. เมื่อไม่ได้เสพแล้วก่อให้เกิดอาการขาดยา
2. มีประโยชน์ทางการแพทย์น้อยหรือไม่มีเลย
3. ก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุข
4. ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม
07 KMUTNB 02
บ ท ที่ เ จ็ ด
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 8) ปี 2564 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 24
สิงหาคม 2564 ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นผลให้ "พืชกระท่อม" ถูกถอดออกจากยาเสพ
ติดให้โทษในประเภท 5 หรือหมายความว่า การเพาะปลูก การบริโภค การจำหน่าย
สามารถกระทำได้ไม่ผิดกฎหมาย แต่เพื่อให้มีมาตรการกำกับดูแลเพื่อให้เกิด
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และเพื่อไม่ให้มีการบริโภคใบกระท่อมมากเกินสมควรอาจ
เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายเฉพาะอย่างร่างพระราช
บัญญัติพืชกระท่อม (ร่างพ.ร.บ.พืชกระท่อม) ขึ้นมา
ร่างพ.ร.บ.พืชกระท่อม กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีหน้าที่ส่งเสริมพืชกระท่อมให้เป็นพืชเศรษฐกิจ
และการใช้ตามวิถีชุมชน ดังนี้
๐ สนับสนุนประชาชนในการเพาะหรือปลูกพืชกระท่อมเพื่อใช้ตามวิถีชุมชน
และในการพัฒนาให้เป็นพืชที่มีมูลค่าในทางเศรษฐกิจ
๐ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่างๆ ทั้งการเพาะหรือ
ปลูกพืชกระท่อมหรือการพัฒนาสายพันธุ์ของพืชกระท่อม การผลิต การจัดการ
และการตลาด
๐ ให้ความรู้ และจัดทำเอกสารคำแนะนำ คู่มือ หนังสือวิชาการ หรือเอกสาร
อื่นใดที่ส่วนราชการจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ
ในการใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมโดยไม่ต้องเสียค่าเอกสาร
ห้ามขายให้กับเด็ก-สตรีมีครรภ์และห้ามขายในสถานศึกษา-หอพัก-สวน
สาธารณะ
ร่างพ.ร.บ.พืชกระท่อม ในหมวด 6 ได้กำหนดมาตรการคุ้มครองไม่ให้บุคคล
ได้รับอันตรายจากการบริโภคใบกระท่อมหรือใช้ใบกระท่อมในทางที่ผิด ดังนี้
๐ ห้ามขายใบกระท่อม (ใบพืชกระท่อม รวมถึงสารสกัดที่ได้จากใบพืชกระท่อม)
น้ำต้มกระท่อม ให้แก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นม
บุตร
๐ ห้ามขายใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ในสถานศึกษา หอพัก สวนสาธารณะ
สวนสัตว์ สวนสนุก หรือขายผ่านเครื่องขาย
๐ ห้ามบริโภคใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ที่ปรุงหรือผสมกับยาเสพติดให้โทษ
หรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมถึงวัตถุอันตรายต่างๆ
07 KMUTNB 03
บ ท ที่ เ จ็ ด
ทั้งนี้ การขายใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม หรืออาหารที่มีใบกระท่อมเป็น
วัตถุดิบหรือส่วนประกอบแก่บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ และสตรีให้
นมบุตร หรือการบริโภคใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ที่ปรุงหรือผสมกับยาเสพติด
ให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมถึงวัตถุอันตรายต่างๆ สามารถ
กระทำได้ เพื่อการรักษาโรค บำบัด หรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยภายใต้การดูแล
ของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ หรือ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ วิจัย
โดยบทลงโทษในกรณีที่มีการขายใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ให้แก่บุคคล
ซึ่งมีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร คือ ต้องระวางโทษปรับไม่
เกิน 30,000 บาท และบทลงโทษสำหรับการขายใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม ใน
สถานศึกษา หอพัก สวนสาธารณะ สวนสัตว์ สวนสนุก หรือขายผ่านเครื่องขาย
คือ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนการบริโภคใบกระท่อม น้ำต้ม
กระท่อมที่ปรุงหรือผสมกับยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท
รวมถึงวัตถุอันตราย หรือวัตถุใดๆ ที่กำหนดห้ามไว้ ต้องรับโทษปรับไม่เกิน
50,000 บาท
ห้ามโฆษณา จูงใจ ยุยงส่งเสริม เพื่อให้บริโภคใบกระท่อมที่ผสมสารเสพติด
ร่างพ.ร.บ.พืชกระท่อม กำหนดว่า ห้ามโฆษณาหรือทำการตลาดใบกระท่อม
น้ำต้มกระท่อม เพื่อจูงใจสาธารณชนให้บริโภคใบกระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมที่
ผสมกับยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมถึงวัตถุ
อันตรายต่างๆ รวมถึง ห้ามจูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม ใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ
ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีขืนใจเพื่อให้ผู้อื่นบริโภคใบกระท่อม
หรือน้ำต้มใบกระท่อมที่ผสมกับยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและ
ประสาท รวมถึงวัตถุอันตรายต่างๆ
โดยบทลงโทษสำหรับการโฆษณาหรือทำการตลาดใบกระท่อม น้ำต้มกระท่อม
ที่ผสมกับยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท รวมถึงวัตถุ
อันตรายต่างๆ คือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000
บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการจูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม ใช้อุบายหลอกลวง
ขู่เข็ญ ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีขืนใจเพื่อให้ผู้อื่นบริโภคใบ
กระท่อมหรือน้ำต้มใบกระท่อมที่ผสมกับยาเสพติดให้โทษหรือวัตถุออกฤทธิ์ต่อ
จิตและประสาท ให้มีบทลงโทษคือ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่
เกิน 100,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
07 KMUTNB 04
บ ท ที่ เ จ็ ด
การนำเข้า-ส่งออก ใบกระท่อม ต้องขออนุญาตและต้องได้รับใบอนุญาต
ร่างพ.ร.บ.พืชกระท่อม กำหนดว่า ผู้ใดประสงค์จะนำเข้าหรือส่งออกใบ
กระท่อมต้องได้รับใบอนุญาตจาก ป.ป.ส. โดยการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อม
ต้องมีการแจ้งต่อ ป.ป.ส. ทุกครั้ง แต่ถ้าเป็นกรณีที่นำใบกระท่อมติดตัวเข้ามาใน
หรือนอกราชอาณาจักร เพื่อใช้ในการบริโภคส่วนตัว หรือเพื่อบำบัด บรรเทา
อาการเจ็บป่วยของผู้ซึ่งเดินทางระหว่างประเทศในปริมาณที่จำเป็นสำหรับการ
บริโภคซึ่งกำหนดไว้ในกฎกระทรวง ก็จะได้รับยกเว้นไม่ต้องได้รับใบอนุญาต แต่
หากปริมาณใบกระท่องที่นำเข้าหรือส่งออกเกินกว่าที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง ก็
ยังคงต้องขอใบอนุญาตอยู่
ทั้งนี้ หากว่ามีการนำเข้าหรือส่งออกใบกระท่อมโดยไม่ได้ใบอนุญาต ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
07 KMUTNB 05