The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี (E-Book)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มาดาม' อู๋, 2022-05-08 13:29:25

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี (E-Book)

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี (E-Book)

Keywords: มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

ป ร ะ พั น ธ์ โ ด ย เ จ้ า พ ร ะ ย า พ ร ะ ค ลั ง ( ห น )

มหาเวสสันดร
ชาดก กัณฑ์มัทรี

ส อ น โ ด ย น า ย ณั ฐ พ ง ษ์ ย ะ คำ

คำนำ

หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ เรื่อง
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี (E-BOOK)
เพื่อนำไปใช้ในการเรียนรู้ ส่วนนักเรียนจะ ได้
ทราบเนื้อหาสาระ ได้แก่ ความเป็นมา,
ประวัติผู้แต่ง, ลักษณะคำประพันธ์, เรื่องย่อ
กัณฑ์มัทรี, เนื้อเรื่อง (ร้อยกรอง), เนื้อเรื่อง
(ร้อยแก้ว) และความรู้เพิ่มเติม ได้แก่ คำ
อธิบายศัพท์, บทวิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหา,
คุณค่าด้านวรรณศิลป์, คุณค่าด้านสังคม,บท
สรุป และสุดท้ายเกี่ยวกับมหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี สะท้อนอะไรบ้าง ?

การจัดทำหนังสือ เล่มนี้ขึ้นเพื่อ ศึกษา
เรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี เพื่อให้
นักเรียนเกดความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำ
ไปประยุกต์ใช้ไดใ้ นการจัดการเรียนการสอน
ต่อไป

ณัฐพงษ์ ยะคำ

ส า ร บั ญ

เนื้อหาสาระ

๑. ความเป็นมา
๒. ประวัติผู้แต่ง
๓. ลักษณะคำประพันธ์
๔. เรื่องย่อกัณฑ์มัทรี
๕. เนื้อเรื่อง (ร้อยกรอง)
๖. เนื้อเรื่อง (ร้อยแก้ว)

ความรู้เพิ่มเติม

๑. คำอธิบายศัพท์
๒. บทวิเคราะห์
๓. คุณค่าด้านเนื้อหา
๔. คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๕. คุณค่าด้านสังคม
๖. บทสรุป
๗. มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี สะท้อนอะไรบ้าง ?

๑ . ค ว า ม เ ป็ น ม า

มูลเหตุการณ์เล่าเรื่องมหาชาติ
เรื่องมหาเวสสันดรชาดกเป็นวรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มีเค้าโครงเรื่องมา
จากที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนา ณ วัดนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ ขณะที่ประทับอยู่ที่วัดนิ
โครธาราม บรรดาพระประยูรญาติ ได้เข้าเฝ้าแต่ก็มีใจกระด้างถือตนไม่ยอมน้อมไหว้
พระองค์จึงทำให้บรรดาพระประยูรญาติสิ้นความมานะถือตน ด้วยพุทธบารมีให้บังเกิดฝน
โบกขรพรรษ์ ฝนโบกขรพรรษนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีสีแดงใสบริสุทธิ์ หากผู้ใด

ปรารถนาให้เปียกก็เปียก หากผู้ใดไม่ปรารถนาให้เปียกก็ไม่เปียก




ภิกษุทั้งหลายเห็นถึงความอัศจรรย์จึงทูลถามพระพุทธองค์ พระองค์จึงตรัสว่าฝนโบกขร
พรรษไม่มีความอัศจรรย์ เพราะเมื่อชาติก่อนก็เคยตกลงมาแล้ว เป็นเหตุให้พระองค์ทรง
เทศนาเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบพระชาติก่อนบรรลุธรรม แต่ละชาติ

ทรงบำเพ็ญบารมีแตกต่างกันดังนี้
๑. เตมิยชาดก (เต) เสวยชาติเป็นพระเตมีย์กุมารบำเพ็ญเนกขัมบารมี
๒. มหาชนกชาดก(ชะ) เสวยชาติเป็นพระชนกกุมาร บำเพ็ญวิริยะบารมี
๓. สุวัณณสามชาดก(สุ)เสวยชาติเป็นพระสุวรรณสาม บำเพ็ญเมตตาบารมี
๔. เนมิราชชาดก(เน) เสวยชาติเป็นพระเนมิราชกุมาร บำเพ็ญอธิษฐานบารมี
๕. มโหสถชาดก(มะ) เสวยชาติเป็นมโหสถกุมาร บำเพ็ญปัญญาบารมี
๖. ภูริทัตชาดก(ภู) เสวยชาติเป็นพญานาคชื่อภูริทัต บำเพ็ญศีลบารมี
๗. จันทกุมารชาดก(จะ)เสวยชาติเป็นพระจันทกุมาร บำเพ็ญศีลบารมี
๘. พรหมนารทชาดก(นา) เสวยชาติเป็นพระพรหมนารทกุมาร บำเพ็ญอุเบกขา
บารมี
๙. วิธุรชาดก(วิ) เสวยชาติเป็นพระวิธุรบัณฑิต บำเพ็ญสัจจะบารมี
๑๐. เวสสันดรชาดก(เว) เสวยชาติเป็นพระเวสสันดร บำเพ็ญทานบารมี

๒ . ป ร ะ วั ติ ผู้ แ ต่ ง



















เจ้าพระยาพระคลัง (หน)


เป็นกวีเอกคนหนึ่งในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน เกิดเมื่อใดไม่
ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา และถึงแก่อสัญกรรม
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๔๘ ผลงานด้านวรรณคดีที่ท่านได้แต่งไว้หลายเรื่องด้วยกัน
เจ้าพระยาพระคลัง เป็นบุตรเจ้าพระยาบดินทร์สุรินทร์ฦๅชัย (บุญมี) กับท่านผู้หญิงเจริญ
มีบุตรธิดาหลายคน ที่มีชื่อเสียงคือ เจ้าจอมพุ่ม ในรัชกาลที่ ๒ เจ้าจอมมารดานิ่ม
พระมารดาสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร (มั่ง) ในรัชกาลที่ ๒ นายเกต และนายพัด ซึ่ง
เป็นกวีและครูพิณพาทย์ เป็นต้นสกุล บุญ-หลง
รับราชการ


มีหลักฐานระบุได้ว่าท่านได้รับราชการมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี มีบรรดาศักดิ์
เป็นหลวงสรวิชิต ตำแหน่งนายด่านเมืองอุทัยธานี ครั้นเมื่อถึงปลายรัชกาล ที่เหตุ
ระส่ำระสายเกิดจลาจลในพระนคร ท่านได้ลอบส่งคนนำหนังสือแจ้งเหตุภายในพระนคร
ไปถวายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ภายหลังคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลก) ซึ่งกำลังยกกองทัพไปตีเขมรหลวงสรวิชิต (ในเวลานั้น) ออกไปรับ
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกถึงทุ่งแสนแสบ แล้วบอกข้อราชการต่างๆ จากนั้น
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้เข้ามาปราบเหตุจลาจลในพระนคร แล้วทรง
ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อเหตุการณ์ใน
พระนครสงบเรียบร้อย พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ท่านเป็น
พระยาพิพัฒน์โกษา และในที่สุดเมื่อตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลังว่างลง ได้รับพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาพระคลัง เป็นเสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า มีหน้าที่
ควบคุมบังคับบัญชากิจการทางหัวเมืองชายทะเลทั้งหมด เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้
นอกจากมีความสามารถในเชิงบริหารกิจการบ้านเมือง และเป็นนักรบแล้ว ยังมีความ
สามารถในเชิงอักษรศาสตร์เป็นที่ยกย่องว่าเป็นกวีฝีปากเอก มีสำนวนโวหารไพเราะ ทั้ง
ร้อยกรองหลากหลายชนิด และสำนวนร้อยแก้วที่มีสำนวนโวหารไพเราะไม่แพ้กัน




มี ต่ อ ห น้ า ถั ด ไ ป

๒ . ป ร ะ วั ติ ผู้ แ ต่ ง ( ต่ อ )

แต่งในสมัยกรุงธนบุรี ผลงาน
- ลิลิตเพชรมงกุฎ
- อิเหนาคำฉันท์

แต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
- สามก๊ก (เป็นผู้อำนวยการแปล)
- ราชาธิราช (เป็นผู้อำนวยการแปล)
- กากีกลอนสุภาพ
- ร่ายยาวมหาชาติ กัณฑ์กุมารและกัณฑ์มัทรี
- ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง
- โคลงสุภาษิต
- กลอนและร่ายจารึกเรื่องสร้างภูเขาที่วัดราชคฤห์
- ลิลิตศรีวิชัยชาดก
- สมบัติอมรินทร์คำกลอน
เจ้าพระยาพระคลังท่านนี้นอกจากมีความสามารถในเชิงบริหารกิจการบ้านเมือง

และเป็นนักรบแล้ว ยังมีความสามารถในเชิงอักษรศาสตร์เป็นที่ยกย่องว่าเป็นกวีฝีปากเอก
มีสำนวนโวหารไพเราะ ทั้งร้อยกรองหลากหลายชนิด และสำนวนร้อยแก้วที่มีสำนวน
โวหารไพเราะไม่แพ้กัน

๓ . ลั ก ษ ณ ะ คำ ป ร ะ พั น ธ์

การแต่งร่ายยาว ต้องรู้จัก เลือกใช้ ถ้อยคำ และสัมผัสใน ให้มีจังหวะ รับกัน
สละสลวย เมื่ออ่านแล้ว ให้เกิด ความรู้สึก มีคลื่นเสียง เป็นจังหวะๆ อย่างที่เรียกว่า
"เสียงดิ้น" หรือ "เสียงมีชีวิต" และจำนวนคำ ที่ใช้ ในวรรคหนึ่ง ก็ไม่ควรให้ยาว เกิน
กว่าช่วง ระยะหายใจ ครั้งหนึ่งๆ คือ ควรให้อ่าน ได้ตลอดวรรค แล้วหยุดหายใจได้ โดย
ไม่ขาดจังหวะ ดูตัวอย่างได้ ในหนังสือ เวสสันดรชาดก ร่ายยาวนี้ ใช้แต่งเทศน์ หรือบท
สวด ที่ต้องว่า เป็นทำนอง เช่น เทศน์มหาชาติ และเทศน์ธรรมวัตร เป็นต้น เมื่อจบ
ความ ตอนหนึ่งๆ มักลงท้ายด้วย คำว่า นั้นแล นั้นเถิด นี้แล ฉะนี้แล ด้วยประการฉะนี้
คำนั้นแล นิยมใช้เมื่อ สุดกระแสความตอนหนึ่งๆ หรือจบเรื่อง เมื่อลง นั้นแล ครั้งหนึ่ง
เรียกว่า "แหล่" หนึ่ง ซึ่งเรียกย่อ มาจากคำ นั้นแล นั่นเอง เพราะเวลาทำนอง จะได้ยิน
เสียง นั้นแล เป็น นั้นแหล่

กฏ:
๑. บทหนึ่งจะมีกี่วรรคก็ได้ มักจะมีตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป ก็ไม่กำหนดตายตัว
แน่นอน จะมีกี่คำก็ได้แล้วแต่จะเห็นเหมาะมักอยู่ระหว่าง ๘ - ๑๓ คำ
๒. สัมผัส มีดังนี้ คำสุดท้ายของวรรคต้น จะส่งสัมผัสไปยังวรรคต่อไป คำใด
ก็ได้ยกเว้นคำแรกและคำสุดท้าย
ซึ่งไม่นิยมรับสัมผัส ส่วนการส่งและการรับด้วยเอกโท อย่างร่ายที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่
ถือเป็นระเบียบเคร่งครัดนักการแต่งร่ายยาวผู้แต่งจะต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำ และสัมผัส
ในให้มีจังหวะรับกันอย่างสละสลวยและจำนวนคำที่ใช้ในวรรคหนึ่งๆก็ไม่ควรยาวเกินกว่า
ช่วงระยะหายใจครั้งหนึ่งๆ

๔ . เ รื่ อ ง ย่ อ กั ณ ฑ์ มั ท รี

พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดรทำนายฝันให้ แต่
พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนางฝากพระโอรสกับพระธิดากับพระ
เวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจากนั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติ
พระเวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติผิดปกติไปจากที่
เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ที่เคยมีผลก็กลายเป็นต้นที่มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอ
เก็บผลได้ง่าย ก็กลับกลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็นสี
เหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผลไม้ก็พลัดตกจากบ่า ไม้
ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่งพาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่าง
พากันกังวลว่า หากนางมัทรีกลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร ทรง
บริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมารทั้งสองคืนจากชูชก
พระอินทร์จึงส่งเทพบริวาร 3 องค์ให้แปลงกายเป็นสัตว์ร้าย 3 ตัว คือราชสีห์ เสือ
โคร่ง และเสือเหลือง ขวางทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วงเวลาดึก
แล้วจึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับถึงอาศรมไม่พบสอง
กุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็น
พระนางเศร้าโศก จึงหาวิธีตัดความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจคบหา
กับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะทรงเกรงว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่
พระนางกำลังโศกเศร้าหนักและกำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้ ในที่สุดพระนา
งมัทรีทรงคร่ำครวญหาลูกจนสิ้นสติไป ครั้นเมื่อฟื้นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า
พระองค์ได้ประทานกุมารทั้งสองแก่ชูชกไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรงบำเพ็ญทานบารมี
พระนางมัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและทรงอนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมีของพระ
เวสสันดรด้วย

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

ยํ โกลาหลํ อันว่าโกลาหลอันใดเป็นวิสัยแสนกัมปนาท รญฺญา เมาะ เวสฺส
สนฺตเรน อันพระมหาบุรุษราชชาติอาชาไนยเชื้อชินวงศ์ ทรงบำเพ็ญเพิ่มโพธิสมภาร
ด้วยเดชอำนวยทานโพธิสัตว์ เป็นปัจฉิมปรมัตถบารมีอันหมายมั่น ตํ โกลาหลํ ก็
บังเกอดมหัศจรรย์ในไตรภพ จบจนพรหเมศ ทินฺเนสุ ปางเมื่อท้าวเธอยกสองดรุณ
เยาวเรศผู้ยอดรัก ราวกะว่าจะแขวกควักซึ่งดวงเนตรทั้งสองข้างวางไว้ในมือพราหมณ์
เฒ่าก็พาสองกุมารพะงางามไปทางกันดาร ควรจะสงสารแสนอนาถอนาถา ด้วยพระ
ลูกเจ้าเป็นกำพร้า พรากพระชนนีแต่น้อยๆ ยังไม่วายนมพราหมณ์ยิ่งขู่ข่มเข่นเขี้ยว
คำรามตีต้อนให้ด่วนเดิน ตามป่ารกระหกระเหินหอบหิ้วแล้วไห้โหย มีแต่เสียงเธอ
โอดโอยสะอื้นร้องรำพันสั่งทุกเส้นหญ้า ก็หวั่นๆ วังเวงวิเวกป่าหิมพานต์ เตสํ ลาลปิตํ
สุตฺวา ฝ่ายฝูงเทพทุกสถานพิมานไม้ไศลเกริ่นเนินแนวพนาวาส ได้สลับคำประกาศ
สองกุมารทรงพระกันแสงสั่งศาส์นจนสุดเสียง ดั่งทิพยวิมารจะเอนเอียงอ่อนลงช้อยชด
เทพเจ้าก็เศร้าสลดพิลาปเหลียวมาแลดูดูมิได้ ภิชฺชิตหทยา วิย ปิ้มประหนึ่งว่าดวงหทัย
จะปะทะลุลั่นละเอียดออกทุกอกองค์ ด้วยทรงอาลัยนั้นใหญ่หลวง ก็พากันกุทกรข้อน
ทรวงทรงพระกันแสงโศกอยู่ซบเซา จึ่งปารถนาว่า ชาวเราเอ่ยจะคิดไฉนดี ถ้าแม้น
สมเด็จพระมัทรีเธอกลับเข้ามาแต่กาลยังวันมิทันเย็น อทิสฺวา เมื่อท้าวมิได้เห็น
พระเจ้าลูกเธอก็จะทูลถาม ครั้นแจ้งความว่าพราหมณ์พาไปนางก็จะอาลัยโลดแล่นตาม
ติดไม่คิดตาย มหนฺตํ ทุกฺขํ คิดไปคิดไปแล้วใจหายเห็นน่าน้ำตาตกว่าโอ้โอ๋อกมัทรี
เอ่ย จะเสวยพระทุกข์แทบถึงชีวิตจะปลิดปลง ด้วยพระลูกรักทั้งสองพระองค์นี้แล้วแล

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงศีลสังวรญาณ เทวสงฺขาโย ฝ่ายฝูงเทพทุกสถาน
พิมานไม้ไพรพนมมีอารมณ์อันร้อนเร่า ส่วนเทพยเจ้าจอมสากล จึ่งมีพระยุบลบังคับ
แก่เทพอันดับทั้งสามองค์ อันทรงมหิทธิฤธิศักดาว่า ท่านเอ่ยจงนิรมิตรบิดเบือนกาย
กลายอินทรีย์ เป็นพยัคราชสีห์สองเห็นดวงพระจันทร์ขึ้นมาอยู่รางๆ ท่านจึงลุกหนี
หนทางให้แก่นางงาม ตโย เทวปุตฺตา ส่วนเทพยเจ้าทั้งสามก็อำลาลีลาศผาดแผลง
จำแลงเป็นพญาไกรสรราชผาดแผดเสียงสนั่น ดั่งสายอสนีลั่นตลอดป่า องค์หนึ่งเป็น
พยัคฆพญาเสือโคร่งคำรนร้อง องค์หนึ่งเป็นเสือเหลืองเนื่องคะนองย่องหยัดสะบัดบาท
ต่างองค์ก็กระทำสีหนาทน่าพิลึกแสยงขน ก็พากันจนดลไปนอนคอยที่ช่องแคบขวาง
มรคาที่พระนางเธอเสด็จมา สู่พระบรรณศาลา นั้นแล

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

(สา มทฺที) ปางนั้นส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรเทพกัญญา จำเดิมแต่พระนาง
เธอลีลาล่วงลับพระอาวาส พระทัยนางให้หวั่นหวาดพะวงหลัง ตั้งแต่พระทัยเป็นทุกข์ถึง
พระเจ้าลูกมิลืมเลย เดินพลางทางเสวยพระโศกพลาง พระนัยเนตรทั้งสองข้างไม่ขาด
สายพระอัสสุชล พลางพิศดูผลาผลในกลางไพรที่นางเคยได้อาศัยทรงสอยอยู่เป็นนิตย์ผิด
สังเกต เหตุไฉนไม้ที่ผลเป็นพุ่มพวง ก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร แถว
โน้นก็แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดนั่นก็สายหยุดประยงค์และยมโดย พระพายพัดก็
ร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้เก็บดอกมาร้อยกรองไปฝากลูก เมื่อวันวานก็เพี้ยนผิด
พิสดารเป็นพวงผล ผิดวอกลแต่ก่อนมา ( สพฺพา มุยฺหนฺ เม ทิสา ) ทั้งแปดทิศก็มืดมิดมัว
มนทุกแห่งหน ทั้งขอบฟ้าก็ดาษแดงเป็นสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดเป็นลางร้ายไป
รอบข้าง ( ทกฺขิณกฺขิ ) พระนัยนเนตรก็พร่าง ๆ อยู่พรายพร้อย ในจิตใจของแม่ยังน้อย
อยู่นิดเดียว ทั้งอินทรีย์ก็เสียว ๆ สั่นระรัวริก แสรกคานบันดาลพลิกพลัดลงจากพระอังสา
ทั้งขอน้อยในหัตถาที่เคยถือ ก็เลื่อนหลุดลงจากมือไม่เคนเป็นเห็นอนาถ เอ๊ะประหลาด
หลากแล้วไม่เคยเลย โอ้อกเอ๋ยมหัศจรรย์จริง ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ่ง ๆ กรอมพระทัย เป็นทุกข์ถึง
พระลูกรักทั้งสองคน เดินพลางนางก็รีบเก็บผลาผลแต่ตามได้ ใส่กระเช้าสาวพระบาท
บทจรดุ่มเดินมาโดยด่วน พอประจวบจวนพญาพาฬมฤคราช สะดุ้งพระทัยไหวหวาดวะ
หวีดวิ่งวนแวะเข้าข้างทาง พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดั่งตีปลา ทรงพระกันแสงโศกาไห้
พิไรร่ำว่ากรรมเอ๋ยกรรม กรรมของมัทรี โอเวลาปานฉะนี้พระลูกน้อยจะคอยหาอนึ่ง
มรคาก็ช่องแคบหว่างคีรี เป็นตรอกน้อยรอยวิถีที่เฉพาะจร ทั้งสามสัตว์ก็มาเนื่องนอน
สกัดหน้า ครั้นจะลีลาหลีกลัดตัดเอาไปทางใดก็เหลือเดิน ทั้งสองข้างเป็นโขดเขินขอบ
คันข้นกั้นไว้ ( นีเจ โวลมฺพเก สุริเย ) ทั้งเวลาก็เย็นลงเย็นลงไร ๆ จะค่ำแล้ว ยังไม่เห็น
หน้าพระลูกแก้วของแม่เลย อกเอ๋ยจะทำไฉนดี จึ่งจะได้วิถีทางที่จะครรไล พระนางจึ่ง
ปลงหาบคอนลงวอนไหว้แล้วอภิวาทน์ ข้าแต่พญาพาฬมฤคราชอันเรืองเดช ท่านก็เป็น
พญาสัตว์ในหิมเวศวนาสณฑ์ จงจงผินพักตร์ปริมณฑลทั้งสามรา มารับวันทนาน้อมไป
ด้วยทศนัขเบญจางค์ ( เม เมาะ มยา ) แห่งน้องนางนามชื่อพระมัทรี ( ราชปุตฺตี ) น้อง
ก็กลายเป็นกัลยาณี หน่อกษัตริย์มัททราชสุริยวงศ์ อนึ่งน้องเป็นเอกองค์อัครบริจาริกากร
แห่งพระเวสสันดรราชฤๅษี อันจำจากพระบุรีมาอยู่ไพร น้องนี้ก็ตั้งใจสุจริตติดตามมา
ด้วยกตเวที อนึ่งพระสุริยศรีก็ย่ำสนทยาสายัณห์แล้ว เป็นเวลาพระลูกแก้วจะอยากนม
กำหนดเสวย พระเจ้าพี่ของน้องเอ๋ยพระสามรา ขอเชิญกลับไปยังรัตนคูหาห้องแก้ว แล้ว
จะได้เชยชมซึ่งลูกรักและเมียขวัญ อนึ่งน้องนี้จะแบ่งปันผลไม้ให้สักกึ่ง ครึ่งหนึ่งน้องจะ
ขอไปฝากพระหลานน้อย ๆ ทั้งสองรา ( มคฺคํ เม เทถ ยาจิตา ) พระเจ้าพี่ทั้งสามของ
น้องเอ่ย จงมีจิตคิดกรุณาสังเวชบ้าง ขอเชิญล่วงครรไลให้หนทาง พนาวันอันสัญจร แก่
น้องที่วิงวอนอยู่นี้เถิด

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

( ตโย เทวปุตฺตา ) ส่วนเทพเจ้าทั้งสามองค์ได้ทรงฟังพระเสาวนีย์ พระมัทรีเธอไหว้
วอนขอหนทาง พระพักตร์นางนองด้วยน้ำพระเนตร เทพพระเจ้าก็สังเวชในวิญญาณ ก็พา
กันอุฏฐาการคลาไคลให้มรคาแก่นางพระยามัทรี พอแจ่มแจ้งแสงศศิธร นางก็ยกหาบ
คอนขึ้นใส่บ่า เปลื้องเอาพระภูษามาคาดพระถันให้มั่นคง วิ่งพลางนางทรงกันแสงพลาง
ยะเหยาะเหย่าทุกฝีย่างไม่หย่อนหยุด พักหนึ่งก็ถึงที่สุดบริเวณพระอาวาสที่พระลูกเจ้าเคย
ประพาสแล่นเล่น ประหลาดแล้วแลไม่เห็นก็ใจหาย ดั่งว่าชีวิตนางจะวางวายลงทันที จึ่ง
ตรัสเรียนว่าแก้วกัณหาพ่อชาลีของแม่เอ่ย แม่มาถึงแล้ว เหตุไฉนพระลูกแก้วจึ่งมิมาเล่า
หลากแก่ใจ แต่ก่อนแต่ไรซิพร้อมเพรียง เจ้าเคยวิ่งระรี่เรียงเคียงแข่งกันมาคอยรับ
พระมารดา ทรงพระสรวลสำรวลร่าระรื่นเริงรีบเอาขอคานแล้วก็พากันกราบกรานพระ
ชนนี พ่อชาลีเจ้าเลือกเอาผลไม้ แม่กัณหาฉะอ้อนวอนไห้ว่าจะเสวยนม ผทมเหนือ
พระเพลาพลางฉอเลาะแม่นี้ต่างๆ ตามประสาทารกเจริญใจ ( วจฺฉา พาลาว มาตรํ ) มี
อุปไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนอง ปองที่ว่าจะชมแม่เมื่อสายัณห์ โอพระจอม
ขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ยากย่างเท้าลงเหยียบดิน รินก็มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอม เจ้าเคย
ฟังแต่เสียงพี่เลี้ยงเขาขับกล่อมบำเรอด้วยดุริยางค์ ยามบรรทมธุลีลมก็มิได้พัดมาแผ้วพาน
แม่สู้พยาบาลบำรุงเจ้าแต่เยาว์มา เจ้ามิได้ห่างพระมารดาสักหายใจ โอความเข็ญใจครั้งนี้
นี่เหลือขาด สิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัวต้องไปหามาเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวทุกเวลา แม่มาสละ
เจ้าไว้เป็นกำพร้าทั้งสององค์ ( หํสาว ) เสมือนหนึ่งลูกหงส์เหมราชปักษิน ปราศจาก
มุจลินท์ไปตกคลุกในโคลนหนอง สิ้นสีทองอันผ่องแผ้ว แม่กลับมาถึงแล้วได้เชยชมชื่น
สบาย ที่เหนื่อยยากก็เสื่อมหายคลายทุกข์ทุเลาลง ลืมสมบัติทั้งวงศาในวังเวียง โอ แต่
ก่อนเอยแม่เคยได้ยินแต่เสียงเจ้าเจรจาแจ้ว ๆ อยู่ตรงนี้ ( อิทํ ปทวลญฺชํ ) นั่นก็รอยเท้า
พ่อชาลี นี่ก็บทศรีแม่กัณหาพระมารดายังแลเห็น โน่นก็กรวดทรายเจ้ายังรายเล่นเป็นกอง
ๆ สิ่งของทั้งหลายเป็นเครื่องเล่นยังเห็นอยู่ ( น ทิสฺสเร ) แต่ลูกรักทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็น
เลย ( อยํ โส อสฺสโม ) โอ พระอาศรมเจ้าเอ๋ยน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนนี่ดูสดใสด้วยสี
ทอง เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญรังเรียกคู่คูขยับขัน ทั้งจักจั่นพรรณลองไน เรไรร้องอยู่
หริ่ง ๆ ระเรื่อยโรย โหยสำเนียงดั่งเสียงสังคีตขับกระโคมไพร โอ เหตุไฉนเหงาเงียบเมื่อ
ยามนี้ ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสมือนหนึ่งว่าจะโศกเศร้า เออ ชะรอยว่าพระเจ้าลูกจะวอโยก
พลัดพรากไปจากอกพระมารดาเสียจริงแล้วกระมังในครั้งนี้ นางก็กลับเข้าไปทูลพระราช
สามีด้วยสงสัยว่า พระพุทธเจ้าข้า ประหลาดใจกระหม่อนฉัน อันสองกุมารไปอยู่ไหนไม่
แจ้งเหตุ หรือพากันไปเที่ยวลับพระเนตรนอกตำแหน่ง สิงห์สัตว์ที่ร้ายแรงคะนองฤทธิ์ มา
พานพบขบกัดตัดชีวิตพระลูกข้าพาไปกินเป็นอาหาร ถึงกระนั้นก็จะพบพานซึ่งกเลวระร่าง
มิเลือดก็เนื้อจะเหลืออยู่บ้างสักสิ่งอัน แต่พอแม่ได้รู้สำคัญว่าเป็นหรือตาย สุดที่แม่จะมุ่ง
หมายสุดประมาณแล้ว จึ่งตรัสว่าโอ้เจ้าแว่นแก้วสุดสว่างอกของแม่เอ่ย แม่เคยได้รับ
ขวัญเจ้าทุกเวลา เป็นไรเล่าเจ้าจึ่งไม่มาเหมือนทุกวัน ( มตา ) หรือว่าพระลูกเจ้าอาสัญ
สูญสิ้นพระชนมาน อยู่ในป่าพระหิมพานต์นี้แล้วแล ๚ล๚

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอกราบทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าวเธอมิได้ตรัส
ปราศรัยจำนรรจา นางยิ่งกลุ้มกลัดขัดพระอุราผะผ่าวร้อน ข้อนพระทรวงทรงพระกันแสง
ว่าเจ้าแม่เอ่ย แม่มิเคยได้เคืองแค้นเหมือนหนึ่งครั้งนี้ เมื่อจากบุรีทุเรศมา ก็พร้อมหน้าทั้ง
ลูกผัวเป็นเพื่อนทุกข์ สำคัญว่าจะเป็นสุขประสายากเมื่อยามจน ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็
สิ้นคิด บังคมทูลพระสามีก็มิได้ตรัสแต่สักนิดสักหน่อยหนึ่ง ท้าวเธอก็ขึงขังตึงพระองค์ ดู
เหมือนพระขัดเคืองเต็มเดือดด้วยอันใด นางก็เศร้าสร้อยสลดพระทัย ดั่งเอาเหล็กแดงมา
แทงใจให้เจ็บจิตนี่เหลือทน อุปมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำยังแพทย์เอายาพิษมาวาง
ซ้ำให้เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไม่รอดไปสักกี่วัน พระคุณเอ่ย วาสนามัทรีไม่สมคะเนแล้ว
พระทูลกระหม่อมแก้วจึ่งชิงชังไม่พูดจา ทั้งลูกรักดังแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้
ทนเวทนาอุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเป็นเที่ยงแท้ ถ้า
แม้นพระองค์ไม่ทรงเลี้ยงมัทรีไว้ จะนิ่งมัธยัสถ์ตัดเยื่อใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่กเลวระ
ร่างซากศพของมัทรี อัมโทรมตายกายกลิ้งอยู่กลางดง เสียเป็นมั่นคงนี้แล้วแล

( อถ มหาสตฺโต ) สมเด็จพระราชสมภาร เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอ
แสนวิโยคโศกศัลย์สุดกำลัง ถึงแม้นจะมิตรัสกับนางมั้งจะมิเป็นการ จำจะเอาโวหารการ
หึงเข้ามาหักโศกให้เสื่อมลง จึ่งเอื้อนโองการตรัสประภาษว่า ( นนุ มทฺทิ ) ดูกรนางนาฏ
พระน้องรัก ( ภทฺเท ) เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองมาทาบทับประเทือง
ผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า ใครได้เห็นเป็นขวัญตาเต็มจะหลงละลายทุกข์
ปลุกเปลื้องอารมณ์ชายให้เชยชื่น จะนั่งนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง ( วราโรหา ) พร้อมด้วย
เบญจางคจริตรูปจำเริญ โฉมประโลมโลกล่อแหลมวิไลลักษณ์ ( ราชปุตฺตี ) ประกอบ
ด้วยเชื้อศักดิ์สมมุติวงศ์พงศ์กษัตรา เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่าน่าสงสารปานประหนึ่งว่า
จะไปมิได้ ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาดแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง ปานประหนึ่ง
ว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา ทำเป็นบีบน้ำตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้
แยบคายความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ เหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้า
มาแต่วี่วันไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจรนอนตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวัน
สารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธ์วิทยาธรคนธรรพ์ เทพารักษ์ผู้มีพักตร์อันเจริญ เห็นแล้วก็น่า
เพลิดเพลินไม่เมินได้ หรือเจ้าปะผลไมประหลาด รสสดสุกทรามเสวยไม่เคยกิน เจ้าฉวย
ชิมชอบลิ้นก็หลงฉันอยู่จึ่งช้า อุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะว่อน เที่ยวซับซาบเอาเกสร
สุคนธมาเลศ พบดอกไม้อันวิเศษต้องประสงค์ หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้า
ลืมพร้าได้หน้าแล้วลืมหลังไม่แลเหลียว เที่ยวทอดประทับมากลางทาง อันว่าพระนางสิ
เป็นหน่อกษัตริย์จะไปไหนก็มีแต่กลดกั้น พานจะเกรงแสงสุริยันไม่คลาเคลื่อน เจ้ารัก
เดินด้วยแสงเดือนชมดาวพลาง ได้น้ำค้างกลางคืนชื่นอารมณ์สมคะเน พอมาถึงก็ทำเส
ขึ้นเสียงเลี่ยงเลี้ยวพาโลว่าลูกหาย เออนี่เจ้ามิหมายว่าใคร ๆ ไม่รู้ทันกระนั้นกระมัง หรือ
เจ้าเห็นว่าพี่นี้เป็นชีอดจิตคิดอนิจจังทิ้งพยศอดอารมณ์เสีย เจ้าเป็นเพียงแต่เมียควรหรือ
มาหมิ่นได้ ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนแต่ก่อนเก่า หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ กายของมัทรีก็
จะขาดสะบั้นลงทันตา ด้วยพระกรเบื้องขวาของอาตมานี้แล้วแล

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

( สา มทฺที ) ส่วนสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี เมื่อได้สดับคำพระราชสามี
บริภาษณานาง ที่ความโศกก็เสื่อมสร่างสงบจิตเพราะเจ็บใจ จึ่งก้มพระเศียรลงกราบไหว้
แล้ววันทนาพลาง นางจึ่งทูลสนองพระราชบัญญัติว่า พระพุทธเจ้าข้า ควรมิควรสุดแท้แต่
จะทรงพระกรุณาโปรดที่โทษานุโทษเป็นล้นเกล้า ด้วยข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเวลาค่ำ
ทั้งนี้เพราะเป็นกระลีขึ้นในไพรวัน พฤกษาทุกสิ่งสารพันก็แปรปรวนทุกประการ ทั้งพื้น
ป่าพระหิมพานต์ก็ผัดผันหวั่นไหวอยู่วิงเวียนเปลี่ยนเป็นพยับมืดไม่เห็นหน ข้าพระบาทนี่
ร้อนรนไม่หยุดหย่อนแต่สักอย่าง แต่เดินมายังเกิดประหลาดลางขึ้นในกลางพนาลี พบ
พญาราชสีห์สองเสือทั้งสามสัตว์สกัดหน้าไม่มาได้ ต่อสิ้นแสงอโณทัยจึ่งได้คลาเคลื่อน
ใช่จะเป็นเหมือนพระองค์ดำรินั้นก็หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า ตั้งแต่เกล้ากระหม่อมฉันตกมา
เป็นข้าน้อย พระองค์เห็นพิรุธร่องรอยร้าวรานที่ตรงไหน ทอดพระเนตรสังเกตไว้แต่ปาง
ก่อน จึงเคืองค่อนด้วยคำหยาบยอกใจเจ็บจิตเหลือกำลัง พระคุณเอ่ยจะคิดดูมั่งเป็นไรเล่า
ว่า มัทรีนี้เป็นข้าเก่าแต่ก่อนมาดั่งเงาตามพระบาทาก็เหมือนกัน นอกจากนั้นที่แน่นอน
คือ นางไหนอันสนิทชิดใช้แต่ก่อนกาล ยังจะติดตามพระราชสมภารมาบ้างละหรือ ได้แต่
มัทรีแสนดื้อผู้เดียวดอก ไม่รู้จักปลิ้นปลอกพลิกไพล่เอาตัวหนี มัทรีสัตยาสวามิภักดิ์รักผัว
เพียงบิดาก็ว่าได้ ถึงจะยากเย็นเข็ญใจก็ตามกรรม ( วนมูลผล หาริยา ) อุตสาหะตระ
ตรากตระตรำเตร็ดเตร่หาผลาผลไม้ ถึงที่ไหนจะรกเรี้ยวก็ซอกซอนอุตส่าห์เที่ยวไม่ถอย
หลัง จนเนื้อหนังข่วนขาดเป็นริ้วรอย โลหิตไหลย้อยทุกหย่อมหนามอารามจะใคร่ ได้
ผลาผลไม้มาปฏิบัติลูกบำรุงผัว ถึงกระไรจะคุ้มตัวก็ทั้งยากน่าหลากใจ อกของใครจะ
อาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าที่จะสงสารสังเวชโปรดปรานีว่ามัทรีนี้เป็น
เพื่อนยากอยู่จริง ๆ ช่างค้อนติงปริภาษณาได้ลงคอไม่คิดเลย พระคุณเอ่ยถึงพระองค์จะ
สงสัย ก็น้ำใจของมัทรีนี้กตเวทีเป็นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ทางที่ทดแทน ( รามํ สีตาวนุพฺพตา )
อุปมาแม้นเหมือนสีดาอันภักดีต่อสามีรามบัณฑิต ปานประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์
พระคุณเอ่ยเกล้ากระหม่อมฉานทำผิดแต่เพียงนี้ เพราะว่าล่วงราตรีจึ่งมีโทษ ขอพระองค์
จงทรงพระกรุณาโปรดซึ่งโทษานุโทษกระหม่อมฉันมัทรี แต่ครั้งเดียวนี้เถิด ๚ล๚

เมื่อสมเด็จพระยอดมิ่งเยาวมาลย์มัทรี กรายทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าว
เธอจะได้ปราศรัยก็ไม่มี พระนางยิ่งหมองศรีโศกกำสรดสะอึกสะอื้น ถวายบังคมคืนออก
มาเที่ยวแสวงหาพระลูกรักทุกหนแห่ง กระจ่างแจ้งด้วยแสงพระจันทร์ส่องสว่างพื้นอัมพร
ประเทศวิถี นางเสด็จจรลีไปหยุดยืนในภาคพื้นปริมณฑลใต้ต้นหว้า จึ่งตรัสว่า ( อิเม เต
ชมฺพุกา รุกฺขา ) ควรจะสงสารเอ่ยด้วยต้นหว้าใหญ่ใกล้อาราม งามด้วยกิ่งก้านประกวด
กัน ใบชอุ่มประชุมช่อเป็นฉัตรชั้นดั่งฉัตรทอง แสงพระจันทร์ดั้นส่องต้องน้ำค้างที่ขังให้
ไหลลงหยดย้อย เหมือนหนึ่งน้ำพลอยพร้อยๆพราย ๆ ต้องกับแสงกรวดทรายที่ใต้ต้น
อร่ามวามวาวดูเป็นวงวนแวว ดั่งบุคคลเอาแก้วมาระแนงแกล้งมาโปรยโรยรอบปริมณฑล
ก็เหมือนกัน งามดั่งไม้ปริชาตในเมืองสวรรค์มาปลูกไว้ ลูกรัก เจ้าแม่เอ่ย เจ้าเคยมา
อาศัยนั่งนอนประทับร้อนสำราญร่มรื่น ๆ สำรวลเล่นเย็นสบายพระพายรำเพยพัดมาฉิว
เฉื่อยเรไรระรี่เรื่อยร้องอยู่หริ่ง ๆ แต่ลูกรักของแม่ทั้งชายหญิงไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย (
มหานิโค.รธชาตํ )

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

อนิจจาเอ่ยเห็นแต่ไทรทองถัดกันไป กิ่งก้านใบรากห้อยยื่นระย้า เจ้าเคยมา
ห้อยโหนโยนชิงช้าชวนกันแกว่งไกว แล้วเล่นไล่ปิดตาเร้นแทบหลังบริเวณพระอาวาส (อิ
มาตา โปกฺขรณี รมฺมา ) เจ้าเคยมาประพาสสรงสนานในสระศรี โบกขรณีตำแหน่งนอก
พระอาวาส นางเสด็จลีลาสไปเที่ยวเวียนรอบ จึ่งตรัสว่าน้ำเอ๋ยเคยมาเปี่ยมขอบเป็นไร
จึ่งขอดขุ่นลงหมอง พระพายเจ้าเอ่ยเคยมาพัดต้องกลีบอุบล พากลิ่นสุคนธ์ขจรรสมารวย
รื่นเป็นไรจึ่งเสื่อมหอมหายชื่นไม่เฉื่อยฉ่ำฝูงปลาเอ๋ยเคยมาผุดคล่ำดำแฝงฟอง บ้างก็ขึ้น
ล่องว่ายอยู่ลอยเลื่อยชมแสงเดือนอยู่พราย ๆ เป็นไรจึ่งไม่ว่ายเวียนวน นกเจ้าเอ่ยเคยบิน
ลงไล่จิกเหยื่อทุกเวลา วันนี้แปลกเปล่าตาแม่แลไม่เห็น พระลูกเอ่ยเจ้าเคยมาเที่ยวเล่น
แม่แลไม่เห็นแล้ว

โอ้แลเห็นแต่สระแก้วอยู่อ้างว้างวังเวงใจ นางก็เสด็จครรไลล่วงตำบลเที่ยว
ค้นหาพระลูกตามลำเนาเนินป่า ทุกสุ่มทุมพุ่มพฤกษาสูงยูงยางใหญ่ไพรระหง พนัสแดน
ดงเย็นยะเยือกเงียบสงัดเหงา ได้ยินแต่เสียงดุเหว่าละเมอร้องก้องพนาเวศ พระกรรณเธอ
สังเกตว่าสองดรุณเยาวเรศเจ้าร้องขานอยู่แว่ว ๆ ให้หวาดว่าสำเนียงพระลูกแก้วเจ้า
ขานรับพระมารดา นางเสด็จลีลาเข้าไปดู เห็นหมู่สัตว์จตุบาทกลาดกลุ้มเข้าสุมนอน
นางก็ยิ่งสะท้อนถอนพระทัยเทวษครวญเสด็จด่วน ๆ ดะดุ่มเดินเมิงมุ่งละเมาะไม้มอง
หมอบ แต่ย่างเหยียบกรอบก็เหลียวหลัง พระโสตฟังใหวาดแว่วว่าสำเนียงเสียงพระแก้ว
เจ้าบ่นอยู่งึม ๆ พุ่มไม้ครึ้มเป็นเงา ๆ ชะโงกเงื้อม พระเนตรเธอแลเหลือบให้ลายเลื่อม
เป็นรูปคนตะคุ่ม ๆ อยู่คล้าย ๆ แล้วหายไป สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง พระ
พักตร์เธอฟูมฟองนองไปด้วยน้ำพระเนตรเธอโศกา

จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้เอ่ยมิดึกดื่น จวนจะสิ้นคืนค่อนรุ่งเสียแล้วกระ
ไรไม่รู้เลย พระพายรำเพยพัดมารี่เรื่อยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดล่ะห้อย ทั้งดาว
เดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะติดตามเจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอน
หลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยว
เซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็ง
แล สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทราบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้า
ที่แม่จะเยื่องย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้
พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย จึ่งตรัสว่าเจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของ
แม่เอย หรือว่าเจ้าทิ้งขว้างวางจิตไปเกิดอื่น เหมือนแม่ฝันเมื่อคืนนี้แล้วแล

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

( ภิกฺขเว ) ดูกรสงฆ์ผู้ทรงพรหมจารี เมื่อสมเด็จพระมัทรีกำสรดแสนกัมปนาทเพียง
พระสันดานจะขาดจะดับสูญ ( ปริเทวิตฺวา ) นางเสวยพระอาดูรพูนเทวษในพระอุรา น้ำ
พระอัสสุชลนาเธอไหลนองครองพระเนตร ทรงพระกันแสงแสนเทวษพิไรร่ำ ตั้งแต่
ประถมยามค่ำไม่หย่อนหยุดแต่สักโมงยาม นางเสด็จไต่เต้าติดตามทุกตำบลละเมาะไม้
ไพรสณฑ์ศิขริน ทุกห้วยธารละหานหินเหวหุบก้องคูหาวาส ทรงพระพิไรร้องก้องประกาศ
เกริ่นสำเนียง พระสุรเสียงเธอเยือกเย็นระย่อทุกอกสัตว์ พระพายรำเพยทุกกิ่งก้านบุษบง
ก็เบิกบานผกากร รัศมีพระจันทร์ก็มัวหมองเหมือนหนึ่งจะเศร้าโศกแสนวิปโยคเมื่อยาม
ปัจจุสมัย ทั้งรัศมีพระสุริโยทัยส่องอยู่รางๆขึ้นเรืองฟ้า เสียงชะนีเหนี่ยวไม้ไห้หาละห้อย
โหย พระกำลังนางก็อิดโรยพิไรร่ำร้อง พระสุรเสียงเธอกู่ก้องกังวานดง เทพเจ้าทุก
พระองค์กอดพระหัตถ์เงี่ยพระโสตสดับสาร พระเยาวมาลย์เธอเที่ยวหาพระลูก พระนาง
เธอเสวยทุกข์แสนเข็ญ ตั้งแต่ยามเย็นจนรุ่งเช้าก็สุดสิ้นที่จะเที่ยวค้น ทุกตำแหน่งแห่งละ
สามหนเธอเที่ยวหา ( ปณฺณรสโยชนมคฺคํ ) ถ้าจะคลี่คลาย
ขยายมรคาก็ได้สิบห้าโยชน์โดยนิยม นางจึ่งเซซังเข้าไปสู่พระอาศรมบังคมบาทพระ
ภัสดา ประหนึ่งว่าชีวาจะวางวายทำลายล่วง สองพระกรเธอข้อนทรวงทรงพระกันแสง
ครวญคร่ำแล้วรำพันว่า โอ้เจ้าดวงสุริยันจันทรทั้งคู่ของแม่เอ่ย แม่ไม่รู้เลยว่าเจ้าจะหนี
พระมารดาไปสู่พาราใดไม่รู้ที่ หรือว่าข้ามนทีทะเลวนหิมเวศประเทศทิศแดนใด ถ้ารู้แจ้ง
ประจักษ์ใจแม่ก็จะตามเจ้าไปจนสุดแรง นี่ก็เหลือที่แม่จะเที่ยวแสวงสืบเสาะหา เมื่อเช้า
แม่จะเข้าไปสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลสั่งแม่ยังกลับหลังมาโลมลูบจูบกระหม่อมจอม
เกล้าทั้งสองรา กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยรื่น โอ้พระลูกข้านี้จะไม่คืนเสียแล้วกระมังในครั้ง
นี้ กัณหาชาลีลูกรักแม่ นับวันแต่ว่าจะแลลับล่วงไปเสียแล้วหนอ ใครจะกอดพระศอ
เสวยนมผทมด้วยแม่เล่า ยามเมื่อแม่จะเข้าที่บรรจถรณ์ เจ้าเคียงเรียงหมอนนอนแนบ
ข้างทุกราตรี แต่แม่นี้จะกล่อมใครให้นิทรา โอ้แม่อุ้มท้องประคองเคียงเลี้ยงเจ้ามาก็หมาย
มั่น สำคัญว่าจะได้อยู่เป็นเพื่อนยากจะฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน มิรู้ว่าจะกลับวิบัติพลัดพราก
ไม่เป็นผลให้อาเพศผิดประมาณ เจ้าเอาแต่ห่วงสงสารนี่หรือมาสวมคล้องให้แม่นี้ติดต้อง
ข้องอยู่ด้วยอาลัย เจ้าทิ้งชื่อและโฉมไว้ให้เปล่าอกในวิญญาณ์ เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่า
ยังได้เห็นหน้าเจ้าอยู่หลัด ๆ ควรและหรือมาสลัดแม่นี้ไว้ เหมือนจะเตือนให้แม่นี้บรรลัย
เสียจริงแล้ว ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแก้วกัลยาณี น้อมพระเกศีลงทูลถามหวังจะ
ติดตามพระลูกรักทั้งสองรา กราบถวายบังคมลาลุกเลื่อนเขยื้อนยกพระบาทเยื้องย่าง พระ
กายนางให้เสียวสั่นหวั่นไหวไปทั้งองค์ ดุจชายธงอันต้องกำลังลมอยู่ลิ่ว ๆ สิ้นพระแรงโรย
เธอโหยหิวระหวยทรวง พระศอเธอหงุบง่วงดวงพระพักตร์เธอผิดเผือดให้แปรผัน จะทูลสั่ง
ก็ยังมิทันที่ว่าจะทูลเลย แต่พอตรัสว่าพระคุณเจ้าเอ๋ยคำเดียวเท่านั้น ก็หายเสียงเอียงพระ
กายบ่ายศิโรเพฐน์ พระเนตรหลับหับพระโอษฐ์ลงทันที ( เวสญฺญ หุตฺวา ) นางถึง
วิสัญญีสลบลงตรงหน้าฉาน ปานประหนึ่งว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนีฟาดขาดระเนน
เอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งเจ้า นั้นแล ฯลฯ

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

( อถ มหาสตฺโต ) ปางนั้นสมเด็จพระเวสสันดรอดุลดวงกษัตริย์ ตรัสทอด
พระเนตรเห็นพระอัคเรศถึงวิสัญญีภาพสลบลงวันนั้น พระทัยท้าวเธอสำคัญว่าพระนาง
เธอวางวายสะดุ้งพระทัยหายว่าโอ้อนิจจามัทรีเจ้าพี่เอ๋ย บุญพี่นี้น้อยแล้วนะเจ้าเพื่อนยาก
เจ้ามาตายจากพี่ไปในวงวัด เจ้าจะเอาป่าชัฏนี่หรือมาเป็นป่าช้า จะเอาพระบรรณศาลานี่
หรือเป็นบริเวณพระเมรุทอง จะเอาแต่เสียงสาลิกาอันร่ำร้องนั้นหรือมาเป็นกลอง
ประโคมใน จะเอาแต่เสียงจักจั่นและเรไรอันร่ำร้องนั่นหรือมาต่างแตรสังข์และพิณพาทย์
จะเอาแต่เมฆหมอกในอากาศนั่นหรือมากั่นเป็นเพดาน จะเอาแต่ยูงยางในป่าพระ
หิมพานต์มาต่างฉัตรเงินและฉัตรทอง จะเอาแต่แสงพระจันทร์อันผุดผ่องมาต่างประทีป
แก้วโอภาส อนิจจามัทรีเอ่ยมาตายอเนจอนาถไร้ญาติที่กลางดง ครั้นท้าวเธอค่อยคลาย
ลงที่โศกศัลย์ จึ่งผันพระพักตร์มาพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่อาสัญ จึ่งเข้าไปยังพระคันธกุฎีจับ
เอาคนทีอันเต็มไปด้วยน้ำมาทันใด ตั้งแต่พระองค์ทรงพระผนวชไพรมาได้ถึงเจ็ดเดือน
ปลาย จะได้ต้องพระกายนางมัทรีก็หามิได้ เมื่อความทุกข์พ้นวิสัยที่จะกำหนดว่าอาตมะนี้
เป็นดาบสฤๅษี ยกเศียรพระมัทรีขึ้นใส่ตักวักเอาพระวารีมาโสรจสรงลงที่อุระพระมัทรี
หวังว่าจะให้ชุ่มชื่นฟื้นสมปฤๅดีคืนมาแห่งนางพระยา นั้นแล ฯลฯ

( ภิกฺขเว ) ดูกรภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลวิสุทธิสิกขา เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอได้
สมปฤาดีคืนมา นางพระยาเจ้าละอายแก่เทพยาดานัก ด้วยตัวตัวมานอนอยู่บนตักพระ
ราชสามีมิบังควร ( อุฏฐาย ) จึงอุฏฐาการโดยด่วนเลื่อนพระองค์ลงจากพระราชสามี
พระมัทรีจึ่งทูลถามว่าพระพุทธเจ้าข้า พระลูกรักทั้งสองเราไปอยู่ไหนนะฝ่าพระบาท ท้าว
เธอจึ่งตรัสประภาษว่า ดูกรเจ้ามัทรี อันสองกุมารนี้พี่ให้เป็นทานแก่พราหมณ์แต่วันวานนี้
แล้ว พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์ จงตั้งจิตของเจ้านั้นให้โสมนัสศรัทธา ในทางอันก่อ
กฤดาภินิหารทานบารมี ( ลจฺฉาม ปุตตฺ ชีวนฺตา ) ถ้าเราทั้งสองนี้ยังมีชีวิตสืบไป อัน
สองกุมารนี้ไซร้ ก็คงจะได้พบกันเป็นมั่นแม่น ถึงแสนสัตพิธรัตน์เครื่องอลงการซึ่ง
พระราชทานไปนั้นเราก็จะได้ด้วยพระทัยหวัง ( ทชฺชา สปฺปุริโส ทานํ ) มัทรีเอ่ย อัน
อริยสัตบุรุษเห็นปานดั่งตัวพี่ฉะนั้น ถึงจะมีข้าวของสักเท่าใด ๆ ( ทิสฺวา ยาจกมาคเต )
ถ้าเห็นยาจกเข้ามาใกล้ไหว้วอนขอไม่ย่อถ้อในทางทาน จนแต่ชั้นลูกรักยอดสงสารพี่ยัง
ยกให้เป็นทานได้ อันสองกุมารนี้ไซร้เป็นแต่ทานพาหิรกะภายนอกไม่อิ่มหนำ พี่จะใคร่
ให้อัชฌัติกทานอีกนะเจ้ามัทรี ถ้าแม้นมีบุคคลผู้ใดปรารถนาเนื้อหนังมังสังโลหิตดวงหทัย
นัยนเนตรทั้งซ้ายขวา พี่ก็จะแหวะผ่าให้เป็นทานไม่ย่อท้อเพียงนี้ มัทรีเอ่ย จงศรัทธาด้วย
อนุโมทนาทานในกาลบัดนี้เถิด

๕ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย ก ร อ ง )

สมเด็จพระมัทรีทูลสนองพระโองการว่า พระพุทธเจ้าข้า แต่วันวานนี้เหตุไฉน
จึ่งทราบเกล้า ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระน้องเอ่ย พี่จะเล่าให้เจ้าฟังก็สุดใจ ด้วยเจ้ามาแต่ป่า
ยังเหนื่อยนัก พี่เห็นว่าความร้อนความรักจะรุกอก ด้วยสองดรุณทารกเป็นเพื่อนไร้ เจ้า
มัทรีเอ่ย จงผ่องใสอย่าสอดแคล้น อันสองพระลูกแก้วไปไกลเนตร พระนางจึ่งตรัสว่า
พระพุทธเจ้าข้าอันสองกุมารนี้ เกล้ากระหม่อมฉานได้อุตสาหะถนอม ย่อมพยาบาลบำรุง
มา ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมี ขอให้น้ำพระหฤทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามี
มัจฉริยธรรมอกุศล อย่ามาปะปนในน้ำพระทัยของพระองค์เลย ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระ
น้องเอ่ย ถ้าพี่มิได้ให้ด้วยเสื่อมใสศรัทธาแท้แล้ว ที่ไหนเลยแผ่นดินดานจะกัมปนาท
หวาดหวั่นไหวจลาจล ท้าวเธอเล่านุสนธิ์มหัศจรรย์ อันมีอยู่ในกัณฑ์กุมารบรรพ กลับมา
เล่าให้พระมัทรีฟังแต่ในกาลหนหลังนี้แล้วแล

( สา มฺที ) ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดามหาสมมุติวงศ์วิสุทธิสืบ
สันดานมา ( วราโรหา ) ทรงพระพักตร์ผิวผ่องดุจเนื้อทองไม่เทียมสี ( ยสสฺสินี ) มีพระ
เกียรติยศอันโอฬารล้ำเลิศวิไลลักษณ์ยอดกษัตริย์ อันทรงพระศรัทธาโสมนัสนบนิ้ว
ประนมน้อมพระเศียรเคารพทาน ท้าวเธอก็ก็ชื่นบานบริสุทธิ์ด้วยปิยบุตรมิ่งมกุฎทานอัน
พิเศษ ฝ่ายฝูงอมรเทเวศทุกวิมานมาศมนเทียรทุกหมู่ไม้ ก็ยิ้มแย้มพระโอษฐ์ ตบพระหัตถ์
อยู่ฉาดฉาน ร้องสาธุการสรรเสริญทานบารมี ทั้งสมเด็จอมรินทร์เจ้าฟ้าสุราลัยอันเป็น
ใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์ ก็มาโปรยปรายทิพยบุปผากรอง ทั้งพวงแก้วและพวงทองก็โรยร่วง
จากกลีบเมฆกระทำสักการบูชาแก่สมเด็จนางพระยามัทรี ท้าวเธอทรงกระทำอนุโมทนา
ทาน ( เวสสฺสนฺตรสฺส ) แห่งพระเวสสันดรราชฤๅษีผู้เป็นพระภัสดา ( อิติ เมาะ อิมินา
ปกาเรน ) ด้วยประการดังนี้แล้วแล

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

พระมหาสัตว์เจ้ายังมหาปฐพีอันใหญ่ให้หวั่นไหวด้วยพระราชทานปิยบุตรทั้งสอง
แก่พราหมณ์ แล้วเกิดโกลาหลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดถึงพรหมโลก โกลาหลอัน
นั้นหมู่เทพเจ้าชาวป่าหิมพานต์ได้สดับเสียงพิลาปรำพันของสองพระกุมารกุมารีที่
พราหมณ์นำไป ก็มีความสงสารประหนึ่งว่าหฤทัยจะแตกทำลาย จึงปรึกษากันว่าถ้าพระ
นางมัทรีเสด็จกลับมาสู่อาศรมในเวลากลางวัน เมื่อไม่ได้เห็นพระเจ้าลูกทั้งสองก็จะต้อง
รบกวนทูลถามซึ่งพระเวสสันดร ครั้นได้ทรงทราบว่าพระเวสสันดรได้พระราชทานให้ไป
แก่พราหมณ์แล้ว พระนางเธอก็จะต้องวิ่งติดตามด้วยความสิเนหาอันแรงกล้าก็จะเสวย
เวทนาอันใหญ่หลวง จำเราทั้งปวงจะคิดหาอุบายกั้นกาง อย่าให้พระนางเธอเสด็จมาได้
แต่ในเวลายังวัน

ครั้นปรึกษากันอย่างนี้แล้วจึงพร้อมกันมอบหน้าที่ให้เทพบุตรทั้งสามว่า ท่านทั้ง
สามจงจำแลงเพศเป็นราชสีห์องค์หนึ่ง เป็นเสือโคร่งองค์หนึ่ง เป็นเสือเหลืององค์หนึ่ง
แล้วพากันไปขัดขวางกั้นกางหนทางที่พระนางเธอเสด็จมา ถึงพระนางเธอจะอ้อนวอนสัก
เพียงไรอย่าอนุญาตให้มาได้ จนกว่าพระอาทิตย์จะอัสดงคต จึงค่อยพากันละลดเลิกถอย
หนีไปให้พระนางเธอเสด็จมาด้วยรัศมีจันทร์ แต่ว่าท่านทั้งสามจงพากันป้องกันอย่าให้
พระนางเธอเป็นอันตรายด้วยสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้เป็นอันขาด

เมื่อเทพบุตรทั้งสามรับเทวราชปกาสิตของเทพเจ้าเหล่าที่ประชุมอยู่ในสถานที่
นั้นแล้ว ก็กระทำตามคำสั่งสอนทุกประการ ฝ่ายพระเยาวมาลย์มาศมัทรีพระนางเธอมี
พระหฤทัยไหวหวาดด้วยทรงคำนึงความฝัน แล้วทรงรีบขมีขมันแสวงหามูลผลาหาร แต่
บังเอิญเสียมที่พระนางเธอถือก็หลุดจากพระหัตถ์ กระเช้าก็จะพลัดตกลงจากพระอังสา
ทั้งพระเนตรเบื้องขวาก็เขม่นอยู่ริก ๆ ต้นไม้ที่พระนางเคยปลิดผลก็เผอิญไม่แลเห็น
ท้องฟ้าอากาศก็เป็นประหนึ่งว่ามืดมิดไปทั่วทุกทิศ พระนางเธอก็ทรงหลากจิตว่าเหตุไร
หนอจึงเป็นอย่างนี้ ชะรอยจะมีเหตุอันใดอันหนึ่งแก่ตัวเราหรือไม่ก็พระเจ้าลูกทั้งสอง มิ
ฉะนั้นก็พระสวามีเวสสันดรอย่างใดอย่างหนึ่ง

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )
ครั้นทรงคำนึงอย่างนี้แล้วจึงบ่ายหน้าเสด็จกลับแต่ได้มาพบมฤคราชร้าย
ทั้งสามที่นอนขวางทางพระนางอยู่ พอนางเสด็จจวนถึง มฤคราชทั้งสามนั้นก็พร้อมกัน
ลุกขึ้นยืนสกัดขวางทางพระนางไว้พระนางเธอจึงทรงพิไรรำพันว่า เวลาพระอาทิตย์ก็จวน
จะตกต่ำอยู่แล้วทั้งพระอาศรมก็ยังอยู่ไกล พระเจ้าลูกทั้งสองกับพระสวามีคงจะคอยเสวย
มูลผลาหารที่เราจะนำไป ป่านนี้พระจอมไทขัตติยาเบศร์คงจักปลอบพระราชโอรสธิดาผู้
หิวโหยอยู่ในบรรณศาลาตั้งหน้าทอดพระเนตรคอยเป็นแน่แท้ พระลูกรักทั้งสองของเราก็
จักพากันทรงกันแสงด้วยถึงเวลาเสวยแล้ว พระลูกแก้วกัณหาก็คงหิว พระถันธารา หรือ
ไม่อย่างนั้น พระเจ้าลูกทั้งสองก็คงจักมาคอยทางแม่เหมือนกับลูกโคอ่อนที่ชะแง้แลหา
แม่โค หรือไม่อย่างนั้นพระลูกทั้งสองคงยืนคอยแม่อยู่แต่ในอาศรม เหมือนกับหงส์ที่ตก
อยู่บนเปือกตมฉะนั้น อันหนทางก็ยังอยู่ไกล ทั้งเป็นหนทางน้อยเดินได้แต่ผู้เดียว เราไม่
อาจจะเลี้ยวลัดให้พญาสัตว์ทั้งสามนี้ได้ เพราะข้างหน้าหนึ่งก็มีสระ อีกข้างหนึ่งก็มีบึง
เราจำเป็นจะอ้อนวอนพญาสัตว์ทั้งสามนี้ให้หลีกหนีจากหนทางเรา
ครั้นทรงพระดำริแล้วจึงปลดกระเช้าผลไม้ลงจากพระอังสาแล้วประคอง
อัญชลีขึ้นอ้อนวอนว่า ข้าแต่พญามฤคราชผู้ทรงฤทธิรอน ขอท่านทั้งสามจงเห็นแก่ความ
อ้อนวอนของข้าพเจ้าผู้เป็นพระราชธิดาของมนุษย์ ส่วนท่านทั้งสามก็เป็นราชบุตรของ
พญามฤคราชเหมือนกัน ข้าพเจ้ากับท่านทั้งสามชื่อว่าเป็นพี่น้องกันโดยทางธรรม
ข้าพเจ้าขอกราบไหว้ท่านทั้งสาม ท่านทั้งสามจงกรุณาหลีกหนทางให้ข้าพเจ้า อัน
ข้าพเจ้านี้เป็นอัครมเหสีของพระราชโอรสกรุงสีพี ซึ่งถูกขับจากประเทศมาบวชเป็นชี
ไพร ข้าพเจ้านี้มิได้หมิ่นประมาทพระราชสามี จงรักภักดีต่อพระราชสามีอยู่เสมอเป็น
เนืองนิตย์ ขอท่านทั้งสามจงนิมิตจิตหลีกหนทางให้แก่ข้าพเจ้าด้วย ช่วยให้ข้าพเจ้าได้
กลับไปเห็นหน้าลูกรักทั้งสองศรี คือชาลีและกัณหา ท่านทั้งสามก็จงพากันแสวงหา
อาหารตามต้องการเถิด อีกประการหนึ่ง ลูกไม้หัวมันที่ข้าพเจ้าได้มานี้มีอยู่มาก ข้าพเจ้า
จะแบ่งให้ท่านทั้งสามเสียกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งจักนำไปฝากพระลูกรักและแลผัวขวัญ ขอ
ท่านทั้งสามจงรีบด่วนให้หนทางแก่ข้าพเจ้า

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

เมื่อพระนางอ้อนวอนอยู่อย่างนี้ จนกระทั่งเวลาพระอาทิตย์อัสดงคต พญา
มฤคราชทั้งสามนั้นจึงพากันละลดหลีกหนทางให้ ในคืนวันนั้นเป็นวันเพ็ญมีพระจันทร์
เด่นเต็มดวง พระนางเธอก็ได้เสด็จล่วงมรรคามาจนกระทั่งถึงที่สุดจงกรม เมื่อได้ทรง
พบเห็นพระเจ้าลูกทั้งสองในที่ ๆ เคยเห็นมา จึงตรัสว่าเราได้เคยเห็นพระเจ้าลูกทั้งสองพา
กันยืนคอยต้อนรับอยู่ที่นี้ พอเห็นแม่มาถึงก็พากันวิ่งเข้ารับ แต่วันนี้เหตุไรจึงกลับกลาย
เราไม่พบเห็นพระเจ้าลูกทั้งสองเหมือนอย่างที่เคย แม่นี้มีอุปมาเหมือนแม่แพะหรือแม่
เนื้อที่ละลูกน้อยไปเที่ยวหากิน หรือเหมือนกับปักษิณที่ทิ้งลูกน้อยไปจากรังหรือแม่
ราชสีห์ที่พะว้าพะวังอาหาร ละลูกน้อยไว้ในสถานของตนแล้วเที่ยวไปหากินฉะนั้น วันนี้
แม่ได้เห็นแต่รอยเท้าของเจ้าทั้งสองกับกองทรายที่เจ้าทั้งสองเคยกองเล่น วันอื่น ๆ แม่
ได้เห็นเจ้าทั้งสองขะมุกขะมอมอยู่ด้วยฝุ่นและทราย พอเห็นแม่มาถึงก็พากันวิ่งรับรองข้าง
มาวันนี้แม่รู้สึกอ้างว้างด้วยไม่เห็นหน้าเจ้าทั้งสอง วันก่อน ๆ เจ้าทั้งสองเคยคอยต้อนรับ
แม่ผู้กลับมาจากป่า เคยชะแง้แลหาแม่เหมือนกับลูกแพะหรือลูกเนื้อทราย อันมีความมุ่ง
หมายหาแม่ฉะนั้น แต่วันนี้แม่มิได้เห็นหน้าเจ้าทั้งสองเหมือนแต่ก่อนเลย เห็นแต่ผล
มะตูมสุกที่เจ้าทั้งสองเคยอุ้มเล่นมาตกกระเด็นอยู่ในที่นี้ โอ้ลูกรักของแม่เอ๋ย เวลานี้ถัน
ทั้งสองเต้าของแม่ที่ลูกกัณหาเคยได้ดูดดื่มมาแต่ก่อนก็เต่งเต็มประดุจว่าจะแตก ใครเล่า
เวลานี้จะมาค้นชายพกแม่เพื่อหาของเล่น และใครเล่าจะเข้าเหนี่ยวถันแม่เสวยนม โอ้
พระอาศรมนี้เมื่อก่อนปรากฏแก่เราเหมือนกับมีมหรสพครึกครื้น มาวันนี้ดูช่างเงียบเหงานี่
กระไร เราได้ดูอาศรมแล้วประหนึ่งว่าอาศรมหมุนเวียนเหมือนกับแป้นแห่งนายช่างหม้อ
โอ้ ไฉนหนอพระอาศรมนี้จึงมาเป็นเช่นนี้ ทั้งฝูงกาและสกุณาชาติทั้งหลายก็มิได้ส่งเสียง
ขันเหมือนวันก่อน หรือว่าลูกในอุทรของแม่ตายเสียแน่แล้วประการใด หรือว่ามีผู้ใดมา
นำเอาลูกแม่ไปเสียที่อื่น ลูกแม่จึงไม่เห็นปรากฏเหมือนกับในวันก่อน ๆ

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

เมื่อพระนางเธอทรงพิลาปรำพันอยู่ดังนี้แล้ว ก็เสด็จเข้าไปเฝ้าพระอดิศร
สวามีเวสสันดรราชฤาษี ทรงวางกระเช้าผลไม้ลงแล้วถวายบังคม เมื่อได้เห็นสมเด็จพระ
เวสสันดรราชฤาษีเสด็จประทับนั่งนิ่งอยู่มิได้ทรงพาที ทั้งมิได้เห็นพระชาลีกัณหา จึง
กราบทูลถามว่าข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เหตุไรพระองค์จึงทรงนิ่งอยู่เช่น
นี้ ทำให้หัวใจของหม่อมฉันมัทรีนี้หวั่นหวาด ทั้งเมื่อเวลาจวนจะใกล้รุ่งวันนี้ หม่อมฉัน
มัทรีก็ฝันประหลาดอยู่แล้วพระเจ้าข้า ในเวลานี้ฝูงนกกาไพรและนกต่าง ๆ ก็มิได้ส่งเสียง
ขับร้อง หรือพระเจ้าลูกทั้งสองพี่น้องตายเสียแล้วประการใด ข้าแต่พระจอมไทธิราชเจ้า
มีสัตว์ร้ายคาบเอาพระเจ้าลูกทั้งสองไปเคี้ยวกินเสียแล้วหรือไฉน หรือว่ามีใครนำเอาไป
เสียในป่า หรือในทุ่งกว้างอันสุดที่จะแสวงหา หรือว่าพระองค์ให้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็น
ทูตไปเฝ้าพระเจ้าสีพี หรือพระเจ้าลูกทั้งสองเข้าไปบรรทมอยู่ในอาศรมนี้ หรือว่าพระเจ้า
ลูกทั้งสองพากันออกไปเที่ยวเล่นในที่อื่น ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่กระหม่อมฉันด้วย
เถิด แม้แต่พระเกศาและพระหัตถ์พระบาทของพระเจ้าลูกทั้งสอง ก็มิได้ปรากฏในคลอง
จักษุของหม่อมฉันหรือนกหัสดีลิงค์จะโฉบเฉี่ยวพระลูกเจ้าทั้งสองของกระหม่อมฉันไป
แล้ว ขอพระองค์จงตรัสบอกแก่กระหม่อมฉันด้วยเถิด

เมื่อพระนางมัทรีทูลอ้อนวอนอยู่สักเท่าไรพระมหากษัตริย์เจ้าก็มิได้ตรัส
ตอบ นางมัทรีจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระเวสสันดรเจ้า ทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ตรัสแก่
กระหม่อมฉันนี้เป็นทุกข์อันยิ่งใหญ่กว่าทุกข์ที่ถูกเนรเทศจากเมือง ยังมิหนำซ้ำทุกข์ไม่ได้
เห็นหน้าพระเจ้าลูกทั้งสองอีก ขอพระองค์อย่าทรงทรมานกระหม่อมฉันให้ลำบากหัวใจ
เช่นนี้เลย หัวใจของกระหม่อมฉันเวลานี้เหมือนกับถูกไฟจี้ การที่พระองค์ทรงนิ่งอยู่อย่าง
นี้ทำให้กระหม่อมฉันลำบากหัวใจยิ่งนัก การที่พระองค์ทรงทำอย่างนี้เหมือนกับคนที่ตก
ต้นไม้แล้วมีผู้ตีซ้ำอีก หัวใจของกระหม่อมฉันเวลานี้รู้สึกชอกช้ำเหมือนกับถูกลูกศร
หัวใจของกระหม่อมฉันเวลานี้เร่าร้อนยิ่งนักในการที่ไม่ได้เห็นพระลูกรักทั้งสอง
กระหม่อมฉันขอกราบทูลให้ทรงทราบว่า ถ้ากระหม่อมฉันไม่ได้เห็นหน้าลูกในคืนนี้ หรือ
พระองค์ไม่ตรัสกับหม่อมฉันในคืนนี้แล้ว เช้าขึ้นพระองค์ก็จะเห็นซากศพของกระหม่อม
ฉันแน่

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

พระมหากษัตริย์เจ้าจึงทรงพระดำริว่าจำเราจักห้ามความโศกพระนางด้วย
ความหึงหวงจึงจะได้ ครั้นทรงพระดำริแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนมัทรีผู้มีรูปสวย อันในป่า
หิมพานต์นี้ย่อมมีนายพรานและดาบสหรือวิทยาธรเป็นอันมาก หากเจ้าไปทำอะไรในป่า
ก็ไม่มีใครจะรู้เห็น เจ้าออกป่าแต่เช้าเป็นอย่างไรจึงกลับมาจนค่ำมืดเช่นนี้ นี่แน่ะแม่มัทรี
ธรรมดาหญิงที่ทิ้งลูกหนีไปในป่าเขาจะมีสามีหรือไม่มีก็ตามเขาไม่ทำอย่างนี้ ตัวเจ้าเหตุ
ไรจึงทำเป็นไม่มีห่วงลูกห่วงผัวบ้างเลย ที่ถูกเข้าควรจะนึกถึงลูกบ้างไม่นึกถึงผัวก็ช่างเถิด
แต่นี่สิเข้าป่าแต่เช้าจนกระทั่งกลางคืนจึงกลับมา ยากที่เราจะเข้าใจว่าเจ้าไปทำอะไร
เมื่อเจ้ามีข้อแก้ไขอย่างไรจงว่ามาอย่าได้ช้า

เมื่อพระนางมัทรีได้ทรงสดับพระวาจาอันเสียดแทงพระหฤทัยเช่นนี้ จึง
กราบทูลว่า พระองค์ไม่ได้ยินเสียงราชสีห์เสือโคร่ง สัตว์สี่เท้าสองเท้าและนกอันบันลือ
ร้องในตอนเย็นนี้บ้างหรือ นั่นแหละคืออันตรายที่ทำให้กระหม่อมฉันกลับมาแต่ยังวันไม่
ได้ ในเวลาที่กระหม่อมฉันไปแสวงหาลูกไม้หัวมันนั้นเกิดรางร้ายขึ้นหลายประการ คือ
เสียมก็หลุดมือ กระเช้าก็หลุดจากบ่า และในป่านั้นกระหม่อมฉันรู้สึกหวาดกลัวจนตัว
สั่นขวัญหาย ได้ไหว้วอนเทพเจ้าทั้งหลายให้ช่วยคุ้มครองพระองค์กับพระเจ้าลูกที่อยู่ข้าง
หลัง แล้วกระหม่อมฉันได้นึกถึงความฝันร้ายในคืนนี้จึงตั้งใจจะกลับมาเร็ว ในกาลนั้น
ตาของกระหม่อมฉันก็เขม่นอยู่ริก ๆ ทั้งรู้สึกพร่าพราวแลเห็นต้นไม้แปลกไปกว่าแต่ก่อน
คือต้นไม้ที่เคยผลิผลก็แลเห็นเป็นไม่มีผล ส่วนต้นไม้ที่ไม่มีผลสิกลับแลเห็นเป็นมีผล
กระหม่อมฉันจึงเที่ยวหาผลไม้ได้โดยลำบากนัก พอแสวงหาได้แล้วก็รีบกลับมา ครั้นมา
ถึงช่องเขาก็มีสัตว์ร้ายสามตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง มานอนขวางทาง
กระหม่อมฉันอยู่ กระหม่อมฉันไม่รู้ที่จะหลีกไปทางไหน ได้กราบไหว้อ้อนวอนต่อสัตว์ทั้ง
สามอยู่จนกระทั่งพลบค่ำสัตว์ร้ายทั้งสามนั้นจึงหลีกทางให้กระหม่อมฉัน กระหม่อมฉัน
ได้รีบเดินเป็นวิ่งมาจนกระทั่งถึงอาศรมศาลาที่นี้ เหตุที่กระหม่อมฉันไปเช้ากลับมาถึงใน
เวลากลางคืนอยู่อย่างนี้แหละพระเจ้าข้า ฯ ส่วนพระมหากษัตริย์เจ้าเมื่อพระนางมัทรี
กราบทูลชี้แจงอย่างนี้แล้วก็มิได้ตรัสตอบประการใด ทรงนิ่งอยู่จนตลอดราตรี

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

ฝ่ายพระนางมัทรีก็ได้แต่ทรงโศกร่ำร้องปรับทุกข์ไปตามประสาหญิงด้วย
ถ้อยคำต่าง ๆ ว่าตัวเราไม่เคยประมาทต่อพระราชสามีเลย ได้ตั้งใจปฏิบัติพระราชสามี
เป็นอย่างดีเหมือนศิษย์ปฏิบัติอาจารย์ ได้เที่ยวแสวงหามูลผลาหารในป่ามาเลี้ยงพระสามี
แลพระลูกรักทั้งสองทุกวันมา โอ้พระลูกเอ๋ย นี่แน่ะขมิ้นแม่บดไว้สำหรับใช้เวลาเจ้าทั้ง
สองอาบน้ำ โอ้นี้สิผลมะตูมสุกที่เจ้าทั้งสองเคยเล่น นี่ก็เง่าบัวฝักบัวที่แม่หามาไว้ นี่ก็ลูก
กระจับอันมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้ง ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของกระหม่อมฉัน ขอ
พระองค์ได้โปรดเรียกพระลูกทั้งสองมาเสวยลูกไม้หัวมันเถิด ขอพระองค์จงประทาน
ดอกไม้ประทุกแก่พ่อชาลีประทานดอกโกมุทแก่แม่กัณหา ให้พระเจ้าลูกทั้งสองประดับ
ประดาแล้วฟ้อนรำให้ทอดพระเนตร ขอพระปิ่นเกษจงเรียกพระเจ้าลูกทั้งสองให้ตื่นจาก
บรรทมเถิด ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่าพลโยธี เราทั้งสองก็ย่อมมีสุขทุกข์เสมอกันได้
ถูกขับจากพระนครมาด้วยกัน สมควรที่พระองค์จะทรงพระกรุณาแก่กระหม่อมฉันบ้าง
อย่าทรงให้กระหม่อมฉันลำบากใจนักเลยพระเจ้าข้า หรือว่าข้ามัทรีมีบาปกรรมได้กระทำ
มา ได้เคยด่าว่าสมณพราหมณ์ว่าขอให้ท่านพลัดพรากจากบุตรธิดาไว้ในปางก่อนหรือ
อย่างไร วันนี้กระหม่อมฉันถึงพลัดพรากจากพระลูกรักทั้งสอง

เมื่อพระนางเธอไม่ได้รับคำตอบจากพระราชสามีอย่างนี้แล้ว ก็ถวาย
บังคมลาออกเที่ยวเสาะแสวงหาพระลูกเจ้าทั้งสองในที่ต่าง ๆ เมื่อพระนางเจ้าไปถึงต้นไม้
ที่พระเจ้าลูกทั้งสองเคยเล่นอยู่แต่ก่อนมา พระนางเจ้าก็ทรงปริเทวนารำพันเพ้อต่าง ๆ จน
กระทั่งหมู่เนื้อและนกได้ตกใจกลัวด้วยเสียงฝีพระบาทและเสียงร่ำร้องของพระนางเธอ
เมื่อพระนางเธอได้ทอดพระเนตรเห็นของเล่น คือตุ๊กตารูปเนื้อทรายตัวเล็ก ๆ รูปกระต่าย
รูปนกเค้า รูปชะมด รูปหงส์ รูปนกกะเรียน รูปนกยูง ซึ่งพระลูกทั้งสองได้เคยเล่นมาใน
กาลก่อน พระนางเจ้าก็ยิ่งทรงสะท้านอาวรณ์ถึงซึ่งพระเจ้าลูกทั้งสอง

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

แล้วพระนางเจ้าจึงวิ่งกลับไปที่พระอาศรมแล้วกลับออกมาจากพระอาศรม
ไปเที่ยวแสวงหาตามนานาสถาน มีสระโบกขรณีเป็นต้น แล้วกลับมากราบทูลพระมหา
สัตว์อีก เมื่อทรงเห็นพระมหาสัตว์ประทับนิ่งอยู่อีกเหมือนแต่ก่อน จึงกราบทูลตัดพ้อต่อว่า
ว่าเหตุไรพระองค์จึงไม่ทรงตักน้ำ ผ่าฟืน ก่อไฟไว้เหมือนวันก่อน ๆ มาทรงนั่งนิ่งอยู่
เหมือนอย่างนี้ทำไม ข้าแต่พระเวสสันดรเจ้าผู้เป็นที่รักของกระหม่อมฉันอย่างยิ่ง ไม่มีผู้
ใดจะเป็นที่รักของกระหม่อมฉันยิ่งไปกว่าพระองค์เลย วันก่อน ๆ เวลากระหม่อมฉันกลับ
มาเห็นพระพักตร์ของพระองค์แล้วก็หายเหน็ดเหนื่อยทุกข์ แต่วันนี้กระหม่อมฉันยิ่งทุกข์
ร้อนขึ้นอีก ในการที่พระองค์ไม่ทรงจำนรรจากับกระหม่อมฉัน ทั้งไม่ได้เห็นหน้าของพระ
ลูกเจ้าทั้งสอง เมื่อพระนางเธอเห็นพระมหาสัตว์เจ้าทรงนิ่งอยู่ ก็ทรงโศกเศร้าเป็นกำลังดัง
ประหนึ่งว่ามีลูกศรมาเสียบทรวง มีพระกายสะทกสะท้านปานแม่ไก่ถูกตี ได้ถวายอัญชลี
แล้วออกเที่ยวตามหาพระลูกเจ้าทั้งสองอีก

เมื่อไม่ทรงพบเห็นในที่ใด ๆ จึงกลับมาทูลอ้อนวอนถามพระมหาสัตว์เจ้า
อีก ฝ่ายพระมหาสัตว์เจ้าก็ไม่ตรัสประการใด พระนางเธอได้เที่ยวแสวงหาพระเจ้าลูกทั้ง
สองวกไปเวียนมารอบขอบเขตพระบรรณศาลาอยู่ตลอดราตรี ถ้าจะคลี่คลายหนทางทรง
ออกไปก็ได้ถึง ๑๕ โยชน์โดยคณา พอสิ้นราตรีแล้วพระนางเจ้าก็กลับไปเฝ้าพระมหาสัตว์
เจ้าอีก ทรงร้องไห้รำพันด้วยประการต่าง ๆ แล้วทรงยกย่องพระบาทว่าจะออกเที่ยว
แสวงหาอีก แต่พอดีพระนางเจ้าได้สิ้นพระสติสัมปฤดีล้มสลบลงที่พื้นพสุธาต่อหน้า
พระที่นั่งของพระเวสสันดรราชฤๅษี

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

ในขณะนั้นพระเวสสันดรราชฤๅษีทรงตกพระทัยว่า พระมัทรีสิ้นพระชนม์
ชีพแล้วทรงตระหนกตกประหม่า จนมีพระกายสั่นสะท้านด้วยความโศกศัลย์อันแรงกล้า
ออกพระโอษฐ์ว่า เจ้ามัทรีไม่ควรจะมาตายในที่เช่นนี้เลย ถ้าเจ้าตายอยู่ในกรุงสีพีก็จะได้
มีการถวายเพลิงเป็นการใหญ่ ประชาชนและกษัตริย์ทั้งสองประเทศก็จะได้ถวายสักการะ
พิเศษพระศพของเจ้า ครั้นออกพระโอษฐ์อย่างนี้แล้ว จึงรีบเสด็จจากพระบรรณศาลา
เพื่อทรงตรวจดูว่าพระนางสิ้นพระชนม์แล้วจริงหรือ เมื่อทรงวางพระหัตถ์เบื้องขวาลงที่
พระทรวงของพระนาง ก็ทรงทราบว่าพระนางยังทรงพระชนม์อยู่เพระพระทรวงยังอุ่นอยู่
จึงรีบไปหยิบเอา

พระเต้าลงมาช้อนพระเศียรของพระนางขึ้นวางบนพระเพลา เทน้ำออก
จากพระเต้ารดตัวพระนางให้เปียกชุ่ม แล้วทรงวักน้ำลูบพระพักตร์และทรวงของพระนาง
ฝ่ายพระนางมัทรีก็ทรงได้สติสมปฤดีขึ้นมา แล้วเคลื่อนพระองค์ลงจากพระเพลาขึ้นถวาย
บังคมทูลถามว่า พระเจ้าลูกทั้งสองอยู่ที่ไหนพระเจ้าข้า

ก็แลนับแต่พระเวสสันดรได้ทรงบรรพชามาถึง ๗ เดือนแล้ว ยังไม่เคย
แตะต้องพระกายของพระนางเลย เพิ่งได้มาแตะต้องในคราวนี้ด้วยความเศร้าโศกอันแรง
กล้าเท่านั้น ครั้นพระนางมัทรีทูลถามถึงพระลูกทั้งสอง จึงตรัสตอบว่า ดูก่อนมัทรี
พระเจ้าลูกทั้งสองนั้นเราได้ให้แก่พราหมณ์ชราไปเสียแต่วานนี้แล้ว ขอเจ้าจงทรง
ผ่องแผ้วอนุโมทนาต่อทานบารมีของเราเถิด พระนางมัทรีกราบทูลว่า เหตุไรพระองค์จึง
ไม่ตรัสบอกกระหม่อมฉันเสียในเวลาคืนนี้เล่า ดูก่อนมัทรี เพราะเราเห็นว่าถ้าเราจะบอก
แต่เดิมทีก็กลัวเจ้าจะหัวใจแตกตายด้วยความเสียใจ เพราะฉะนั้น ขอเจ้าอนุโมทนาใน
เวลานี้เถิด

๖ . เ นื้ อ เ รื่ อ ง ( ร้อ ย แ ก้ ว )

พระนางมัทรีจึงกราบอนุโมทนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ กระหม่อมฉัน
ขออนุโมทนาปุตตทานอันอุดมของพระองค์ ขอพระองค์จงทรงทำพระหฤทัยให้ผ่องใส
ให้พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญทานบารมียิ่ง ๆ ขึ้นไปเถิด เมื่อคนทั้งหลายตกอยู่ในอำนาจของ
ความตระหนี่เหนี่ยวแน่น พระองค์ผู้ทำแว่นแคว้นสีพีให้เจริญได้ทรงพระราชทานซึ่ง
พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทานแก่พราหมณาจารย์แล้ว จัดว่าเป็นทานอันประเสริฐของ
พระองค์ ฯ ลำดับนั้นพระเวสสันดรจึงตรัสว่า ดูก่อนมัทรี ถ้าเราไม่มีใจเลื่อมใสยินดีแล้ว
อัศจรรย์ต่าง ๆ ก็ไม่เกิดมี คือแผ่นดินไหว ฟ้าก็ร้อง ภูเขาก็สะท้านเหมือนกับจะถล่มเป็น
ที่น่าอัศจรรย์

พระคันถรจนาจารย์จึงสังวรรณนาการไว้ว่าอัศจรรย์ต่าง ๆ นั้นคือเทพเจ้า
ทั้งสองหมู่ที่สิงอยู่ในนารทบรรพต ก็ได้อนุโมทนาต่อปุตตทานของพระเวสสันดรอยู่ที่
ประตูวิมานแห่งตน ๆ มิใช่แต่เท่านั้น พระอินทร์ พระพรหม ท้าวปชาบดี พระจันทรเทพ
บุตร พระยม ท้าวเวสสุวัณ เทพเจ้าแห่งดาวดึงส์ มีพระอินทร์เป็นหัวหน้า และเทพเจ้าทุก
ราศีก็มีใจยินดีอนุโมทนาต่อปุตตทานของพระเวสสันดรขึ้นพร้อมกันว่า ข้าแต่พระ
เวสสันดรเจ้า ทานที่พระองค์ทรงบำเพ็ญนี้เป็นทานอันอุดม เป็นอันพระองค์ทรงบำเพ็ญ
แล้วเป็นอย่างดี ฝ่ายพระนางมัทรีผู้เป็นพระราชบุตรีมียศก็เปล่งสุนทรอนุโมทนาต่อปุตต
ทานอันอุดมของพระเวสสันดรบรมราชสวามี

๑. คำอธิบายศัพท์

๒ . บ ท วิ เ ค ร า ะ ห์

บทวิเคราะห์จะแยกวิเคราะห์เป็น ๓ ด้าน ดังนี้
๘.๑ คุณค่าด้านเนื้อหา
๘.๒ คุณค่าด้านวรรณศิลป์
๘.๓ คุณค่าด้านสังคม

๓ . คุ ณ ค่ า ด้ า น เ นื้ อ ห า

๑. รูปแบบ
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายยาว นำด้วยคำ
ภาษาบาลีท่อนหนึ่ง แล้วแต่งด้วยร่ายยาวมีคำบาลีแทรก เป็นการใช้รูปแบบคำประพันธ์
ได้เหมาะสมกับสาระสำคัญ ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านมีความซาบซึ้งในความรักของผู้เป็นแม่ได้

อย่างดียิ่ง

๒. องค์ประกอบของเรื่อง
๒.๑ สาระสำคัญ เป็นการแสดงความรักของแม่ที่มีต่อลูกว่าเป็นความรักที่ยิ่ง
ใหญ่ การพลัดพรากจากลูกย่อมนำความทุกข์โศกมาสู่แม่อย่างยากที่จะหาสิ่งใดเปรียบได้
๒.๒ โครงเรื่อง มีการวางโครงเรื่องได้ดีโดยผูกเรื่องให้เทพบุตร ๓ องค์นิรมิต
กายเป็นสัตว์ร้ายมาขวางนางมัทรีไว้ จนกลับอาศรมได้ทันเวลาที่พระเวสสันดรจะให้ทาน
สองกุมารให้กับพราหมณ์ชูชก เมื่อนางกลับมาแล้วไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสีย
พระทัยจนสลบไป ต่อมาภายหลังได้ทรงทราบว่าพระเวสสันดรทรงให้ทานสองกุมารให้
แก่พราหมณ์ชูชก นางมัทรีก็คลายความเศร้าโศกพระทัย และเต็มพระทัยอนุโมทนาใน

บุตรทานของพระเวสสันดร

๓ . คุ ณ ค่ า ด้ า น เ นื้ อ ห า

๒.๓ ตัวละคร มีลักษณะตัวละครสำคัญดังนี้
พระเวสสันดร มีลักษณะสำคัญดังนี้

๑) มีคุณธรรมสูงเหนือมนุษย์ ยากที่มนุษย์ทั่วไปจะทำได้ ได้แก่การบริจาคบุตร
ทาน คือพระชาลีและพระกัณหา ซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ให้เป็นทานแก่

ชูชก นับเป็นการบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง
๒) มีความเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ เช่น ทำการให้นางมัทรีต้องเจ็บพระทัย
เพื่อจะได้คลายความเศร้าโศกที่พระกุมารทั้งสองหายไป เป็นการใช้จิตวิทยาเพื่อให้นา
งมัทรีคลายความเศร้าโศก มิเช่นนั้นนางอาจจะเศร้าโศกจนเกิดอันตรายได้

นางมัทรี มีลักษณะสำคัญดังนี้
๑) มีความจงรักภักดีต่อพระสวามี
๒) เป็นยอดกุลสตรี ปฏิบัติหน้าที่ภรรยาและมารดาได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
๓) มีความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
๔) มีจิตอันเป็นกุศล จึงอนุโมบุตรทานของพระเวสสันดร

๓ . คุ ณ ค่ า ด้ า น เ นื้ อ ห า

๒.๔ ฉากและบรรยากาศ
ฉากเป็นป่าบริเวณอาศรมของพระเวสสันดร ผู้แต่งบรรยายบรรยากาศได้
สมจริง และเหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง ดังปรากฏบทอาขยานที่นักเรียนท่องจำ

๒.๕ กลวิธีในการแต่ง
แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายยาวที่มีคาถาบาลีนำ เป็นตอนที่ว่าด้วยนางมัท
รีเข้าป่าไปหาผลไม้ กลับมาไม่พบพระกุมารผู้เป็นลูก จึงออกตามหา
ผู้แต่งเน้นให้ผู้อ่านเกิดความซาบซึ้งในการพรรณนาความรักของแม่ที่มีต่อลูก
รสวรรณคดีที่เด่นชัดที่สุด คือ สัลลาปังคพิสัย รองลงมาคือ พิโรธวาทัง ซึ่งปรากฏใน
ตอนที่พระเวสสันดรทรงเห็นนางมัทรีเศร้าโศก จึงคิดหาวิธีตัดความเศร้าโศกนั้น ด้วยการ

กล่าวบริภาษนางมัทรีว่า คิดนอกใจไปคบกับชายอื่น
นางมัทรีทรงเจ็บพระทัยเลยตัดพ้อพระเวสสันดรก่อนจะออกตามหาพระโอรส
พระธิดา ด้วยพระวรกายที่อิดโรยจนสลบไป ตอนนี้เป็นช่วงที่สะเทือนอารมณ์และบีบ
คั้นหัวใจมาก ส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกสงสารและเห็นใจนางมัทรีที่ต้องสูญเสีย แต่
เมื่อทราบความจริงนางก็เข้าใจคลายความเศร้าโศกและอนุโมทนาทานบารมีกับพระ
เวสสันดร ผู้อ่านก็เกิดความปีติใจ นับว่าผู้แต่งได้ใช้กลวิธีในการนำเสนอได้อย่าง

สะเทือนอารมณ์ และน่าสนใจ

๔ . คุ ณ ค่ า ด้ า น ว ร ร ณ ศิ ล ป์

๑. การสรรคำ กวีได้เลือกสรรคำที่สื่อความคิดได้ดีดังนี้
๑.๑ การใช้ถ้อยคำให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ กวีเลือกใช้คำได้เหมาะสมกับอารมณ์
ที่ต้องการจะถ่ายทอด ดังตัวอย่างต่อไปนี้
การใช้ถ้อยคำรำพึงรำพัน เป็นการรำพึงรำพันบรรยากาศผ่านตัวละครที่ได้

อารมณ์ความสะเทือนใจ และตรงใจผู้เป็นแม่ในชีวิตจริงในทุกยุคทุกสมัย เป็นการเพิ่ม
ความรักความผู้พันให้ผู้อ่านและผู้ฟังที่เป็นแม่และลูกได้เป็นอย่างดียิ่ง ดังนี้
“...เมื่อเช้าแม่จะเข้าสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลสั่ง แม่ยังกลับหลังมาโลมลูบ

จูบกระหม่อมจองเกล้าทั้งสองรา กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยรื่น....ใครจะดอกพระศอเสวย
นมผทมด้วยแม่เล่า ยามเมื่อแม่จะเข้าที่บรรจถรณ์ เจ้าเคยเรียงหมอนนอนแนบข้างทุก

ราตรี แต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา...”

๒) การใช้ถ้อยคำสำนวนเชิงตัดพ้อ ให้ให้เกิดอารมณ์สงสารเวทยาและบีบคั้นจิตใจผู้
อ่านผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้

“....อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าที่จะสงสาร
สังเวชโปรดปราณีว่ามัทรีนี้เป็นเพื่อนยากอยู่จริงๆ ช่างค้อนติงปริภาษณาได้ลงคอไม่คิด
เลย พระคุณเอ่ยถึงพระองค์จะสงสัยก็น้ำใจของมัทรีนี้กตเวที เป็นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ที่ทาง
ทดแทน ......อุปมาเหมือน สีดาอันภักดีต่อสามีรามบัณฑิต ปานประหนึ่งว่าศิษย์กับ
อาจารย์ พระคุณเอ่ยเกล้ากระหม่อมฉานทำผิดแต่เพียงนี้ เพราะว่าล่วงราตรีจึ่งมีโทษ

ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรด ซึ่งโทษโทษานุโทษกระหม่อมฉันมัทรี แต่ครั้งเดียวนี้
เถิด”

๔ . คุ ณ ค่ า ด้ า น ว ร ร ณ ศิ ล ป์

๓) การใช้แสดงอารมณ์หึงหวงให้เจ็บแค้นเพื่อดับความโศกเศร้า ให้เกิดอารมณ์สงสาร
เวทยาและบีบคั้นจิตใจผู้อ่านผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้

“....จำจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้เสื่อมลง จึ่งเอื้อนโองการตรัส
ประภาษว่า (ดูกรนางนาฏ พระน้องรัก เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองมา
ทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า ใครได้เห็นเป็นขวัญตาเต็มจะ
หลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณ์ชายให้เชยชื่น จะนั่งนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง) พร้อม
ด้วยเบญจางคจริตรูปจำเริญ โฉมประโลมโลกล่อแหลมวิไลลักษณ์ ประกอบด้วยเชื้อ
ศักดิ์สมมุติวงศ์พงศ์กษัตรา เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่าน่าสงสารปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้

ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาดแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง ปานประหนึ่งว่าจะ
หลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา ทำเป็นบีบน้ำตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้แยบคาย
ความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ เหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วัน
ไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจรนอนตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพันที่จะมี
ทั้งฤๅษีสิทธ์วิทยาธรคนธรรพ์ เทพารักษ์ผู้มีพักตร์อันเจริญ เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่

เมินได้”

๔) การใช้คำซ้ำและกลุ่มคำที่มีพื้นเสียงเดียวกัน ดังนี้
“....อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่
จะติดตามเจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่
ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้อง
หิมเวศ ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วที่แม่
จะซับทราบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื่องย่องยก
ย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบประสบรอย

พระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย ”

๔ . คุ ณ ค่ า ด้ า น ว ร ร ณ ศิ ล ป์

๒. การใช้โวหาร กวีได้เลือกใช้สำนวนภาษาก่อให้เกิดจินตภาพ ดังนี้
๒.๑ การใช้อุปมาโวหารที่แสดงความเศร้าโศกของนางมัทรีจนสลบไป เป็นจุดเด่น
ของกัณฑ์มัทรีที่ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์สะเทือนใจด้วยความสงสาร การใช้ถ้อยคำแสดง

ความสามารถของกวีในการประพันธ์ได้อย่างชัดเจน ดังตัวอย่าง
“...ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแก้วกัลยาณี น้อมพระเกศีลงทูลถามหวังจะติดตาม
พระลูกรักทั้งสองรา กราบถวายบังคมลาลุกเลื่อนเขยื้อนยกพระบาทเยื้องย่าง พระกาย
นางให้เสียวสั่นหวั่นไหวไปทั้งองค์ ดุจชายธงอันต้องกำลังลมอยู่ลิ่วๆ สิ้นพระแรงโรยเธอ
โหยหิวระหวยทรวง พระศอเธอหงุบง่วงดวงพระพักตร์เธอผิดเผือดให้แปรผัน จะทูลสั่งก็

ยังมิทันที่ว่าจะทูลเลย



แต่พอตรัสว่าพระคุณเจ้าเอ๋ยคำเดียวเท่านั้นก็หายเสียงเอียงพระกายบ่ายศิโรเพฐน์
พระเนตรหลับหับพระโอษฐ์ลงทันที (วิสญฺญี หุตฺวา) นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงตรงหน้า
ฉาน ปานประหนึ่งว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนีฟาดขาดระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรง

หน้าพระที่นั่งเจ้า นั้นแล



























๒.๒ การใช้คำอ้างอิงสำนวนสุภาษิต เป็นการใช้ถ้อยคำให้เกิดแง่คิดกับผู้อ่านและผู้
ฟังได้เป็นอย่างดี ดังนี้

“...โอ้พระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ความยากย่างเท้าลงเหยียบดิน ริ้นก็
มิได้ไต่ ไรมิได้ตอม...

....อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะ
อาสัญลงเพราะลูกเป็นแท้เที่ยง ....



.... อุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะว่อน เที่ยวซับซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบ
ดอกไม้อันวิเศษต้องประสงค์ หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้าได้หน้าเจ้า

ลืมหลัง..”

๕ . คุ ณ ค่ า ด้ า น สั ง ค ม

คุณค่าด้านสังคม
๑. สะท้อนค่านิยมเกี่ยวกับสังคมไทย ในสมัยโบราณถือว่าภรรยาเป็นทรัพย์
สมบัติของสามี สามีมีสิทธิ์เหนือภรรยาทุกประการ ถ้าสามีเป็นกษัตริย์ อำนาจนั้นก็มาก

ขึ้น ดังคำที่พระเวสสันดรตรัสแก่นางมัทรีว่า
“...เจ้าเป็นแต่เพียงเมียควรหรือมาหมิ่นได้ ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนแต่
ก่อนเก่า หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ กายของมัทรีก็จะขาดสะบั้นลงทันตาด้วยพระกรเบื้องขวา
ของอาตมานี้แล้วแล..” นอกจากนี้ผู้หญิงจะต้องปรนนิบัติสามี ซื่อสัตย์ต่อสามี ส่วนลูก
นั้นถือเป็นสมบัติของพ่อแม่ ต้องเครารพเชื่อฟัง และพ่อแม่สามารถยกลูกให้ผู้อื่นได้



































๒. สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ ความรักนำมาซึ่งความทุกข์ ความโศกเศร้า
เสียใจเช่น เมื่อลูกพลัดพรากจากไปพ่อแม่ย่อมมีความทุกข์เพราความรัก ความเป็นห่วง
กังวล โศกเศร้า เมื่อคิดว่าลูกของตนล้มหายตายจากไป แต่ความโศกเศร้าเสียใจจะ
บรรเทาลงได้เมื่อมีความโกรธ เจ็บใจ หรือเมื่อเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นทำ
ตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเวสสันดรกล่าวบริภาษนางมัทรี เพื่อให้นางมัทรีจึง
โกรธจนลืมความโศกเศร้า
“...สมเด็จพระราชสมภาร เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์สุดกํา
ลัง ถึงแม้นจะมิตรัสแก่นางมั่งจะมิเป็นการ จําจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้
เสื่อมลงจึ่งเอื้อนโองการตรัสประภาษว่า....”

๕ . คุ ณ ค่ า ด้ า น สั ง ค ม

๓. สะท้อนความเชื่อของสังคมไทย จากข้อความตอนที่พระนางมัทรีออกสู่ป่าเพื่อหา
เก็บผลไม้ ผลไม้ก็เพี้ยนผิดปกติ ซึ่งถือว่าเป็นลางร้าย จากความในบทประพันธ์ว่า
“...เหตุไฉนไม้ที่มีผลเป็นพุ่มพวง ก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร

แถวโน้นนั่นแก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดไปก็สายหยุดประยงค์แลยมโดย ยามพระ
พายพัดเคยร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้เก็บมาร้อยกรองไปฝากลูกเมื่อวันวาน ก็
เพี้ยนผิดพิสดารเป็นพวงผล สพฺพา มุยฺหนฺติ เม ทิสา ทั้งแปดทิศก็มืดมัวทั่วทุกแห่ง ทั้ง
ขอบฟ้าก็ดาดแดงเป็นสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดเป็นลางร้ายไปรอบข้าง ทกฺขิณกฺขิ
นัยน์ตาขวาก็พร่างๆอยู่พรายพร้อย ดูจิตใจของแม่นี้ยังน้อยอยู่นิดเดียว ทั้งอินทรีย์ก็เสียวๆ
สั่นระรัวริก สาแหรกคานบันดาลพลิกดลงจากบ่า ทั้งขอน้อยในหัตถาที่เคยถือ ก็หลุด

หล่นลงจากมือไม่เคยเป็นเห็นอนาถ....”

































แปลความเป็นลางร้าย ๙ ประการ ได้แก่
๑. ไม้ผลกลับกลายเป็นไม้ดอก
๒. ไม้ดอกกลับกลายเป็นไม้ผล

๓. มืดมัวไปทั่วทั้ง ๘ ทิศ คือ อุดร อีสาน บูรพา อาคเนย์ ทักษิณ หรดี ปัจจิม พายัพ
๔. เขม่นตาขวา

๕. ใจเหมือนจะขาด
๖. ขอบฟ้ากลายเป็นสีแดงสายเลือด

๗. กายรู้สึกเสียวๆ สั่นๆ
๘. ขอที่ใช้สอยผลไม้หลุดลงจากมือ

๙. ไม้คานพลิกลงจากบ่า

๕ . คุ ณ ค่ า ด้ า น สั ง ค ม

๔. สะท้อนเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี อันเป็นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธ
ศาสนา โดยเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก เป็นชาดกที่พุทธศาสนิกชนนิยมนำมาเล่าขานจัด
เป็นงานเทศน์มหาชาติกันทุกปีมาตั้งแต่ครั้งอดีต โดยจัดสถานที่ให้สอดคล้องกับเรื่องราว

ให้เป็นป่าที่อุดมไปด้วยไม้ผล บางแห่งก็จัดตกแต่งภาชนะใส่เครื่องกัณฑ์เทศน์เป็นรูป
ต่างๆ ที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องกัณฑ์นั้นๆ เช่น ทำรูปเรือสำเภาบูชากัณฑ์กุมาร จัดเป็น
รูปกระจาดใหญ่ใส่เสบียงอาหารและผลไม้ต่างๆ บูชากัณฑ์มหาราช บางแห่งก็จัดกัณฑ์
เทศน์กันอย่างใหญ่โตในเชิงประกวดประชันกัน มีการบรรเลงดนตรีไทยประกอบเพื่อช่วย
สร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ฟังเทศน์ ทั้งนี้พระสงฆ์ที่มาเป็นผู้เทศน์จะเป็นพระสงฆ์ที่เทศได้
อย่างไพเราะ ใช้ภาษาง่ายๆ เพื่อให้เข้าถึงผู้ฟังทุกเพศทุกวัย บางครั้งก็มีการเทศน์แหล่ด้วย

ปัจจุบันเทศน์มหาชาติจัดเป็นงานประจำปีของทุกท้องถิ่นทั่วทุกภาในประเทศไทย

๖ . บ ท ส รุ ป

สรุป
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้รับการยกย่อง
ว่าดีที่สุดในเชิงพรรณนาโวหาร ลีลาการใช้ถ้อยคำของร่ายาวทุกตอนแพรวพราวด้วยการ
เล่นคำสัมผัส เล่นเสียง สำนวนโวหารเปรียบเทียบ นอกจากความงามด้านวรรณศิลป์
แล้ว กัณฑ์นี้ยังกล่าวถึงความรัก ความห่วงใยของมารดาที่มีต่อบุตร และเห็นถึงการ
บริจาคทานอันยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดร ซึ่งนอกจากจะได้สาระความรู้แล้ว ยังให้คติ

สอนใจและแง่คิดแก่ผู้ฟังและผู้อ่านอีกด้วย

ม ห า เ ว ส สั น ด ร ช า ด ก กั ณ ฑ์ มั ท รี ส ะ ท้ อ น อ ะ ไ ร
บ้ า ง ?

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้ประพันธ์ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ขึ้นในสมัย
รัชกาลที่ ๑ ร่ายยาวเรื่องมหาเวสสันดรชาดก จึงสะท้อนสังคมและค่านิยมในยุคสมัยนั้น
ซึ่งบางเรื่องอาจเป็นเรื่องคลาสสิกที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก เห็นได้จากความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อมีลางร้าย หรือความ
เศร้าโศกเสียใจเมื่อพระนางมัทรีไม่เจอลูกอยู่ในอาศรม สะท้อนให้เห็นว่าลูกเป็น
แก้วตาดวงใจของพ่อแม่ที่ไม่ว่ายุคสมัยไหน ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของพ่อแม่ยัง
เป็นเรื่องคลาสสิกที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
ความเชื่อเรื่องการทำนายฝัน หรือโชคลาง แม้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะ
พัฒนาอย่างก้าวกระโดด แต่ความเชื่อเรื่องดวงชะตา การทำนายฝัน หรือโชคลาง
ยังคงอยู่ในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต ซึ่งอาจ
มาจากความเชื่อหรือสิ่งที่มองไม่เห็นยังสามารถยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างความ
สบายใจให้กับผู้คนได้ โดยเฉพาะเรื่องอนาคตหรือเรื่องที่เราไม่สามารถคาดเดาได้
ล่วงหน้า
ขณะที่บางเรื่องอาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วในสังคมปัจจุบัน เช่น
มุมมองเรื่องลูกและภรรยานับเป็นสมบัติของสามี หรือสามีมีอำนาจเหนือกว่า
ภรรยา ทำให้สามีสามารถยกลูกและภรรยาให้กับผู้อื่นในฐานะทรัพย์สินอย่างหนึ่ง
ของตนได้ เพราะในอดีตยังมีเรื่องการขายทาส หรือค่านิยมชายเป็นใหญ่ ขณะที่
สภาพสังคมปัจจุบันเริ่มมองว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น และไม่มี
ทาสแบบในสมัยก่อน พ่อแม่จึงไม่สามารยกลูกของตนเองให้ผู้อื่นได้ และสามีไม่
ได้มีอำนาจเหนือภรรยาหรือมีบทบาทเป็นช้างเท้าหน้าแบบในอดีต
หน้าที่ของภรรยาที่ต้องคอยปรนนิบัติสามี จากเดิมที่เชื่อว่า ‘ผู้ชายเป็นช้างเท้า
หน้า’ หรือเป็น ‘หัวหน้าครอบครัว’ และเชื่อว่าภรรยาที่ดี ต้องเป็นคนที่ทำงานบ้าน
ไม่ขาดตกบกพร่อง ดูแลรับใช้สามีอย่างดี และเชื่อฟังสามีในทุก ๆ เรื่อง ปัจจุบัน
ความเชื่อเหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะสังคมปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเท่า
เทียมมากขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทำให้บางครั้งผู้ชายก็สามารถอ่อนแอ ทำ
อาหาร ดูแลลูก ๆ ช่วยภรรยาได้ ขณะที่ภรรยาก็สามารถทำงานเลี้ยงครอบครัว ไม่
จำเป็นต้องทำงานบ้านได้เสมอไป ขึ้นอยู่กับความสมัครใจและการตกลงกัน
ระหว่างสามีภรรยามา อย่างไรก็ตามค่านิยมเรื่องหน้าที่ของสามีและภรรยาแบบใน
อดีตอาจยังปรากฏให้เห็นบ้างในบางครอบครัว หรือสังคมไทยในปัจจุบัน เพราะ
เป็นเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต


Click to View FlipBook Version