The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงาน-เรื่อง-สุนทรียภาพทางด้านศิลปะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by อิศรา พลเยี่ยม, 2023-03-21 12:18:15

รายงาน-เรื่อง-สุนทรียภาพทางด้านศิลปะ

รายงาน-เรื่อง-สุนทรียภาพทางด้านศิลปะ

รายงาน เรื่อง สุนทรียภาพทางด้านศิลปะ จัดท าโดย นายอิศรา พลเยี่ยม รหัสนักศึกษา 65410101024 นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ห้อง 1 สาขาวิชาภาษาไทย เสนอ อาจารย์สุรเชษฐ์ อินธิแสง รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาสุนทรียภาพด้านศิลปะ (GEN2104) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565


ค าน า รายงานเล่มนี้จัดท าขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนวิชาสุนทรียภาพด้านศิลปะ รหัสวิชา GEN2104 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสุนทรียภาพด้านศิลปะ โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่าง ๆ อาทิ เช่น หนังสือ และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยรายงานเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายและ ความส าคัญของสุนทรียภาพ รวมถึงสุนทรียภาพทางด้านศิลปะ ผู้จัดท าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดท ารายงานเล่มนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ส าหรับผู้ที่ต้องการศึกษาหา ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดท าขอน้อมรับไว้เพื่อปรับปรุงแก้ไข ผลงานในอนาคต และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย นายอิศรา พลเยี่ยม ผู้จัดท า


สารบัญ เรื่อง หน้า ความหมายของสุนทรียภาพ 1 ความงามกับศิลปะ 2-3 ความหมายของสุนทรียภาพด้านศิลปะ 3 ความรู้พื้นฐานทางศิลปะ ศิลปกรรม 4-5 ประเภทของศิลปะ 5-6 ทัศนศิลป์ 6-8 หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ 8-9 การวิเคราะห์และวิจารณ์ศิลปะ 9-12 ความเข้าใจศิลปะ ศิลปะและความเข้าใจ 12-14 การสร้างงานศิลปะด้วยสื่อและเทคโนโลยี 14-15 ยุคสมัยและรูปแบบของงานทัศนศิลป์ 15-23 ศิลปะกับมนุษย์ 23-24 อ้างอิง 25


1 ความหมายของสุนทรียภาพ สุนทรียภาพ คือความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะที่แต่ละบุคคลสามารถเข้าใจและรู้สึกได้ หรือเป็น ความรู้สึกและความเข้าใจของแต่ละบุคคลที่มีต่อความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะ สุนทรียภาพ (aesthetics) เป็นค าในภาษากรีก เดิมหมายถึงการรับรู้ทางความรู้สึก (sense perception) จนกระทั่งในศตวรรษที่ 18 บอมการ์เทิน (Baumgarten) นักปรัชญาชาวเยอรมันได้ให้ ความหมายใหม่โดยหมายถึง การรับรู้และชื่นชมความงาม เป็นที่ทราบดีว่าสุนทรียภาพเป็นเรื่องของอัตวิสัย (subjective) ซึ่งแต่ละคนย่อมให้คุณค่าสุนทรียภาพแตกต่างกัน ดังเช่นความหมายของสุนทรียภาพใน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ที่ให้ความหมายไว้ว่า ความเข้าใจและความรู้สึกของแต่ละ บุคคลที่มีต่อความงามในธรรมชาติหรืองานศิลปะ) ในความหมายทั่วไปค าว่าสุนทรียภาพมักจะใช้ร่วมกับค าว่าความสวยงาม (beauty) แม้ว่าความสวยงาม เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสุนทรยภาพ แต่ในสาขาวิชานี้ ถือว่าสุนทรียภาพมีความหมายกว้างและครอบคลุม มากกว่า กล่าวคือนักสุนทรียศาสตร์มีความเห็นว่าสุนทรียภาพอาจจะไม่ใช้ความสวยงามเพียงอย่างเดียว ความ เศร้าโศก (tragic) ความน่าเกลียด (ugly) ความขบขัน (comic) และความน่าพิศวง (sublime) ก็ท าให้เกิด อารมณ์สุนทรียได้เช่นเดียวกัน รวมถึงลักษณะของอารมณ์หรือความรู้สึกน่าสนใจ (interested) ความไม่ น่าสนใจ (disinterested) ความเพลิดเพลินใจ (pleasure) กินใจ (empathy) ลืมตัว (attention span) Starry Night Over the Rhône (1888) : Vincent van Gogh


2 ความงามกับศิลปะ เมื่อเราพูดถึงศิลปะ เรามักจะหมายถึง ความงาม แต่ความงามในที่นี้เป็นเรื่องของคุณค่า (Value) ที่เป็นคุณค่า ทางสุนทรียะ แตกต่างจากคุณค่าทางเศรษฐกิจที่เป็นราคาของวัตถุ แต่เป็นคุณค่าต่อจิตใจ ความงามเกิดขึ้น ด้วยอารมณ์ มิใช่ด้วยเหตุผล ความคิด หรือข้อเท็จจริง คนที่เคร่งครัดต่อเหตุผลหรือเพ่งเล็งไปที่คุณค่าทางวัตถุ จะไม่เห็นความงาม คนที่มีอารมณ์ละเอียดอ่อนไหวจะสัมผัสความงามได้ง่ายและรับได้มาก ความงามให้ความ ยินดี ให้ความพอใจได้ทันทีโดยไม่ต้องมีเหตุผล ความยินดีนั้นเกิดขึ้นเองโดยไม่มีการบังคับ ความงามนั้น เกี่ยวข้องกับวัตถุก็จริง แต่มิได้เริ่มที่วัตถุ มันเริ่มที่อารมณ์ของคน ดังนั้น ความงามจึงเป็นอารมณ์ เป็น สุขารมณ์หรือเป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดความสุข เป็น 1 ใน 3 สิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขกับมนุษย์ ซึ่งได้แก่ ความดี ความงาม และความจริง ผู้ที่ยอมรับและเห็นในคุณค่าของทั้งสามสิ่งนี้จะเป็นผู้มีความสุข เนื่องจากความงาม เป็นอารมณ์ เป็นสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิด ความงามจึงเป็นนามธรรม ดังนั้น การสร้างสรรค์งานศิลปะก็เป็น การถ่ายทอดความงามผ่าน สื่อวัสดุต่าง ๆ ออกมาเพื่อให้ผู้อื่นได้สัมผัส ได้พบเห็น ได้รับรู้ สื่อต่าง ๆ จะเป็น ตัวกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ทางความงามที่แตกต่างกันตามค่านิยมของแต่ละบุคคล ความงามไม่ใช่ศิลปะ เนื่องจากว่า ความงามไม่จ าเป็นต้องเกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ในธรรมชาติก็มีความงามเช่นกัน เช่น บรรยากาศ ขณะที่พระอาทิตย์ขึ้น หรือตกดิน ความสวยงามสดชื่นของดอกไม้ ทิวทัศน์ธรรมชาติต่าง ๆ เป็น ต้น งานศิลปะที่ดีจะให้ความพึงพอใจในความงามแก่ผู้ชมในขั้นแรก และจะให้ความสะเทือนใจที่คลี่คลาย กว้างขวางยิ่งขึ้นด้วยอารมณ์ทางสุนทรียะของผลงานศิลปะนั้นในขั้นต่อไป ความงามในงานศิลปะออกเป็น 2 ประเภท คือ 1 ความงามทางกาย (Physical Beauty) เป็นความงามของรูปทรงที่ก าหนดเรื่องราว หรือเกิดจากการ ประสานกลมกลืนกันของทัศนธาตุ เป็นผลจากการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ Marie Antoinette : metmuseum


3 2 ความงามทางใจ (Moral Beauty) ได้แก่ ความรู้สึก หรืออารมณ์ ที่แสดงออกมาจากงานศิลปะหรือ ที่ ผู้ชมสัมผัสได้จากงานศิลปะนั้น ๆ ในงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ๆ มีความงามทั้ง 2 ประเภทอยู่ร่วมกันแต่อาจ แสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง มากน้อยขึ้นอยู่กับประเภทของงาน เจตนาของผู้สร้างและการรับรู้ของผู้ชมด้วย ความงามในศิลปะ เป็นการสร้างสรรค์ล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความงามวัตถุในธรรมชาติเป็นความงามที่ แสดงออกได้แม้ในสิ่งที่น่าเกลียด หัวข้อ เรื่องราว หรือเนื้อหาที่ใช้สร้างงานนั้นอาจน่าเกลียด แต่เมื่อเสร็จแล้ว ก็ยังปรากฏความงามที่เกิดจากอารมณ์ที่ศิลปินแสดงออก ดังนั้น ความงามจึงเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งที่ว่าด้วย ความงามที่ศิลปินแสดงออกในงานศิลปะ ซึ่งเรียกว่า "สุนทรียศาสตร์" ทิพยานสู่สวรรค์: เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ความหมายของสุนทรียภาพด้านศิลปะ สุนทรียภาพด้านศิลปะ เป็นการรับรู้คุณค่าความงาม ความประณีตและเรื่องราวต่างๆจากการมองเห็น โดยตรง คุณค่าที่รับรู้ คือ รูปทรง และเรื่องราวที่เกิดจากทัศนธาตุ ได้แก่ เส้น สีแสงเงา พื้นผิว ความกลมกลืน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของความงามทัศนศิลป์นั่นเอง การที่มนุษย์เกิดความรู้สึกซาบซึ้ง หรือรับรู้คุณค่าของสิ่งที่ งาม ความประณีต และเรื่องราวต่างๆ ถือว่าได้รับสุนทรียภาพของสิ่งนั้นแล้ว


4 ความรู้พื้นฐานทางศิลปะ 1. ศิลปกรรม เป็นวิชาที่ว่าด้วยความรู้พื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับศิลปะ รวมทั้งหลักเกณฑ์การสร้างสรรค์ และคุณค่าของศิลปะ ท า ให้ผู้ศึกษาเข้าใจ ประทับใจในศิลปะ แล้วน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจ าวันของตนเอง และสังคม 1.1 ความหมายของศิลปะ ศิลปะ (ART) เป็นค าที่มีความหมายกว้าง และมีค่านิยมที่ไม่แน่นอนตายตัว ขึ้นอยู่กับผู้ให้ค านิยาม เช่น ศิลปิน นักการศึกษาทางศิลปะ และนักวิจารณ์ศิลปะ เป็นต้น จึงพอจะสรุปได้ว่า “ศิลปะ คือ ผลงานของมนุษย์ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อความงามและความพึง พอใจของมนุษย์” 1.2 ความงามของธรรมชาติและความงามของศิลปะ ความงามของธรรมชาติ ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามกฎเกณฑ์ของ ความเป็นจริง โดยส่วนรวมเกิดขึ้นตาม วัฏจักรของตนเอง และมีความจ าเป็นต่อการด ารงชีพ มนุษย์เราอาศัย ธรรมชาติเพื่อประโยชน์ทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น ธรรมชาติท าให้เราเกิดความรู้สึกมีความสุขสดชื่น แจ่มใส และเบิกบาน เมื่อเราได้พบเห็น หรือไม่ได้รับอากาศอันบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ความงามของศิลปะ คือ ความงามที่เกิดจากการสร้างสรรค์จากความคิด สติปัญญา ของมนุษย์เท่านั้น ซึ่งแบ่ง ออกได้ ดังนี้ 1. โดยการพิจารณาตามรูปแบบของศิลปะ ประกอบด้วย 1.1 ความงามของจิตรกรรม คือ ความงามที่แสดงออกเกี่ยวกับ เส้น สี แสง – เงา รูปร่าง 1.2 ความงามของปติมากรรม คือ ความงามที่แสดงออกให้เห็นถึง ปริมาตร แสง – เงา สัดส่วน 1.3 ความงามของสถาปัตยกรรม คือ ความงามที่แสดงออกให้เห็นรูปร่าง รูปทรง ปริมาตร บริเวณว่าง ความสะดวกในการใช้สอย 2. โดยการพิจารณาตามลักษณะของความมุ่งหมายในการแสดงออกประกอบด้วย


5 2.1 สร้างขึ้นเพื่อบรรยายหรืออธิบายตามเรื่องราว 2.2 สร้างขึ้นเพื่อแสดงออกเพื่ออารมณ์ตามความรู้สึก 2.3 สร้างขึ้นเพื่อประดับตกแต่งให้สวยงาม 1.3 คุณค่าของศิลปะ 1.3.1 คุณค่าของศิลปะทางความรู้สึก เช่น ความงาม ความเชื่อ เป็นต้น 1.3.2 คุณค่าของศิลปะทางการอ านวยประโยชน์ เช่น การอยู่อาศัย 1.3.3 คุณค่าของศิลปะในทางช่วยสร้างสรรค์ความเจริญ เช่น ด้านมนุษยธรรม 2. ประเภทของศิลปะ (Classification of art) แบ่งออกได้สองประเภท คือ 2.1 วิจิตรศิลป์ (Fine art) บางที่เราก็เรียกว่าประณีตศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่ ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ด้านจิตใจและอารมณ์แบ่งออกได้เป็น 5 แขนง คือ 2.1.1 จิตรกรรม หมายถึง การวาดภาพโดยใช้วัสดุการเขียนลงบนพื้นระนาบ 2.1.2 ประติมากรรม หมายถึง การปั้น การแกะสลัก และการหล่อ 2.1.3 สถาปัตยกรรม หมายถึง การออกแบบสิ่งก่อสร้างและที่อยู่อาศัย 2.1.4 วรรณกรรม หมายถึงการประพันธ์ต่างๆ 2.1.5 นาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่แสดงออกทางท่าทางและทางเสียงที่มีจังหวะ 2.2 ประยุกต์ศิลป์ (Applied art) หมายถึง ศิลปะที่ตอบสนองความต้องการทางร่างกาย จิตใจ ได้แก่ 2.2.1 พาณิชยศิลป์ หรือศิลป์เพื่อการค้า 2.2.2 อุตสาหกรรมศิลป์ หมายถึง ศิลป์ที่เป็นผลผลิตด้านอุตสาหกรรม


6 2.2.3 มัณฑนศิลป์ หมายถึง ศิลปะการออกแบบตกแต่ง ภายใน – ภายนอก 2.2.4 ศิลปหัตถกรรม หมาย ศิลปะที่ท าด้วยมือเป็นส่วนใหญ่ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “หัตถศิลป์” ความเป็นมาของประยุกต์ศิลป์ มีบทบาทต่อสังคมมาตั้งแต่สมัยดึกด าบรรพ์และ ได้เจริญขึ้นตามกาลเวลา รูปแบบเปลี่ยนไปตามความนิยมของแต่ละยุคสมัย ซึ่งจ าแนกได้ ดังนี้ 1. ความต้องการทางประโยชน์ใช้สอย 2. สภาพทางสังคมตามสภาพความนิยม 3. สภาพทางเศรษฐกิจ คุณค่าของงานประยุกต์ศิลป์ มีดังนี้ 1. คุณค่าทางประโยชน์ใช้สอย เช่น ขนาดสัดส่วนที่สัมพันธ์กับมนุษย์ ความเหมาะสมกับหน้าที่ใช้สอย ความ มั่นคงแข็งแรงและปลอดภัย 2. คุณค่าทางความงาม เช่น การออกแบบอย่างสมบูรณ์ลงตัว 3. ทัศนศิลป์ (VISUAL ART) ทัศนศิลป์ หมายถึง ศิลปะที่มีตัวตน กินเนื้อที่ในอากาศ สามารถจับต้องได้และสนองประสาท สัมผัสทางตา สามารถแบ่งออกได้เป็นแขนงต่าง ๆ คือ 3.1 จิตรกรรม (PAINTING) คือการเขียนภาพโดยใช้สี ส่วนมากผู้เขียนใช้ พู่กัน ซึ่งเป็นการถ่ายทอดรูปแบบที่เห็นจากธรรมชาติ หรือ สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นตามแนวความคิด สร้างสรรค์ ผู้ที่ท างานจิตรกรรม เรียกว่า “จิตรกร(ARTIST)” ผลงานจิตรกรรมสามารถแยกตามลักษณะต่าง ๆ กัน คือ 3.1.1 เรียกชื่อตามวัสดุที่ใช้ เช่น จิตรกรรมสีน้ า จิตรกรรมสีน้ ามัน จิตรกรรมสีอครีลิก ฯลฯ 3.1.2 เรียกชื่อตามเรื่องราว เช่น จิตรกรรมหุ่นนิ่ง จิตรกรรมภาพทิวทัศน์ จิตรกรรมภาพคน ฯลฯ


7 3.1.3 เรียกชื่อตามต าแหน่งติดตั้ง เช่น จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมโฆษณากล้างแจ้ง จิตรกรรมประดับผนัง อาคาร, โรงแรม ฯลฯ 3.2 ประติมากรรม (SCULPTURE) มีลักษณะเป็นสามมิติ คือ มีความกว้าง ความยาว ความหนา หรือความสูง มีวิธีท าได้หลายวิธี เช่น 3.2.1 วิธีปั้น หมายถึง การเอาวัสดุส่วนย่อยเพิ่มเข้าเพื่อให้เป็นส่วนใหญ่ เช่น ดินเหนียว ดินน้ ามัน ขี้ผึ้ง ฯลฯ 3.2.2 วิธีแกะสลัก หมายถึง การเอาส่วนย่อยออกจากส่วนรวม วัสดุที่ใช้ เช่น หินอ่อน ไม้ ศิลาแลง ฯลฯ 3.2.3 วิธีทุบ ตี วัสดุที่ใช้เป็นพวกโลหะ น ามาท าเพื่อให้ได้รูปทรงตามต้องการ 3.2.4 วิธีหล่อ เป็นกระบวนการที่ต่อจากการท าประติมากรรมปั้นเพื่อให้ได้จ านวนมากตามความต้องการ 3.3 สถาปัตยกรรม (ARCHITECTURE) สถาปัตยกรรมเป็นงานที่รวม จิตรกรรมและประติมากรรมมาประกอบด้วยมีขนาดใหญ่กว่าศิลปะแขนงอื่น ๆ เป็นทัศนศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับ การออกแบบก่อสร้างเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ เป็นการก าหนดขอบเขตบริเวณว่างเพื่อให้เกิดประโยชน์ ผู้ออกแบบสถาปัตยกรรม เรียกว่า สถาปนิก (ARCHITECT) ความเป็นมาของสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมที่มี ลักษณะเด่น ให้เห็นเด่นชัด สมัยแรกมนุษย์อยู่ตามถ้ า ซึ่งมีขนาดเล็กใหญ่ต่างกัน ต่อมามนุษย์อพยพออกจากถ้ า แหล่งที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ก็คือ บริเวณใกล้แม่น้ าล าธาร เพื่อสะดวกในการไปมาหาสู่กัน เป็นที่สร้างที่อยู่อาศัยใช้ ในการเพาะปลูก สถาปัตยกรรมจึงเป็นการก่อสร้างอันส าคัญของมนุษย์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของตนเอง และสังคม ประเภทของสถาปัตยกรรม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1. สถาปัตยกรรมที่เป็นปูชนียสถาน เป็นประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่อาศัยไม่ได้ 2. สถาปัตยกรรมที่อยู่อาศัย เป็นประเภทที่มนุษย์เข้าไปอยู่ได้ เช่น อาคารบ้านเรือน


8 สถาปัตยกรรมแบ่งตามลักษณะวัสดุและเทคนิคการก่อสร้าง มี 4 ประเภท คือ 1. สถาปัตยกรรมเครื่องไม้ 2. สถาปัตยกรรมเครื่องหิน 3. สถาปัตยกรรมคอนกรีตเสริมเหล็ก 4. สถาปัตยกรรมโครงเหล็ก ทัศนธาตุ (VISUAL ELEMENTS) เป็นองค์ประกอบส าคัญของงานศิลป์ ได้แก่ 1. เส้น (LINE) คือส่วนประกอบเบื้องต้นที่ส าคัญ 2. รูปร่างและรูปทรง 3. แสงและเงา 4. บริเวณว่าง 5. สี 6. ลักษณะพื้นผิว 4. หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ หมายถึง หลักการจัดวางสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน และเกิดเป็นศิลปะจะเอาองค์ประกอบมาจัดทุกอย่างหรือบางอย่างก็ได้มาประกอบกัน สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นมีอยู่ หลายอย่างด้วยกัน ซึ่งมนุษย์ได้แบบอย่างมาจากธรรมชาติ บางครั้งก็ดัดแปลงขึ้นมาใหม่ แต่บางอย่างก็น า ธรรมชาติมาใช้เลย สิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวมา ได้แก่ 1. จุด 2. เส้น 3. ทิศทาง


9 4. รูปร่างและรูปทรง 5. ขนาดและสัดส่วน 6. ลักษณะผิว 7. น้ าหนักสีอ่อนแก่ 8. สี องค์ประกอบที่ดีนั้น ควรจะประกอบไปด้วยส่วนส าคัญ 2 ส่วน คือ 1. ส่วนประธาน หมายถึง จุดสนใจของภาพเป็นส่วนที่ส าคัญที่สุด 2. ส่วนรองประธาน หมายถึง ส่วนส าคัญรองลงไปเป็นส่วนที่จะมาช่วยให้งาน มีเนื้อหา มีความเด่น มีคุณค่าและสมบูรณ์มากขึ้น 5. การวิเคราะห์และวิจารณ์ศิลปะ มีความส าคัญเพราะเป็นเครื่องแสวงหาความรู้ ตรวจสอบ แนวความคิด และ วิธีการแสดงออกในผลงานศิลปะทั้งของตนเองและผู้อื่น การวิจารณ์ศิลปะเป็นเนื้อหา และกิจกรรมใหม่ส าหรับ สังคมไทย เริ่มมีขึ้นเมื่อตอนมีการจัดสัมนาศิลปะการวิจารณ์ขึ้นที่มหาวิทยาลัยศิลปากร พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม ในปี พ.ศ. 2523 ปัจจุบันยังไม่ก้าวหน้าไปมากเท่าที่ควร ฉะนั้นการพัฒนาเกี่ยวกับการวิจารณ์ ศิลปะจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ในชั้นเรียน ฝึกหัดให้แสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ และตีความผลงานศิลปะอยู่เสมอ สร้างความเชื่อมั่นในวิจารณญาณของตน โดยตั้งอยู่บนเหตุผลที่ถูกต้อง การวิเคราะห์ ตามพจนานุกรมนักเรียน ฉบับเฉลิมพระเกียรติ หมายถึง การ ใคร่ครวญ แยกแยะออกเป็นส่วน ๆ การวิจารณ์ศิลปะ ตามพจนานุกรมศัพท์ศิลปะฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง การวิพากษ์วิจารณ์ ผลงานทางศิลปะซึ่งศิลปินได้สร้างสรรค์ไว้ โดยให้ความเห็นตามกฎเกณฑ์และหลักการของ ศิลปะแต่ละสาขา ทั้งในด้านสุนทรีย์ศาสตร์และปรัชญาสาขาอื่น ๆ คุณสมบัติของนักวิจารณ์ สรุปได้ดังนี้ 1. ควรมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะทั้งในส่วนที่เป็นประจ าชาติ และสากล


10 2. ควรมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ศิลป์ รูปแบบงานศิลปะ ท าให้มองงานที่จะวิจารณ์ได้หลายประเด็น 3. ควรมีความรู้เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์ ช่วยให้รู้แง่มุมของความงาม เปิดใจให้กว้างขึ้น จะได้ไม่เอากรอบใด กรอบหนึ่งมาวัดงานทุกชิ้น 4. ต้องมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง และไม่คล้อยตามคนอื่น 5. กล้าที่จะแสดงออกทั้งที่เป็นไปตามหลักวิชาการและแสดงออกตามความรู้สึกและประสบการณ์ ทฤษฎีหรือเกณฑ์ในงานศิลปะ สิ่งส าคัญในการวิจารณ์ศิลปะ คือ “เกณฑ์” ที่ เป็นบรรทัดฐาน ของวิธีการศึกษาที่ก าหนดขึ้นใช้ โดยก่อนจะท าการวิจารณ์งานศิลปะควรที่จะทราบลักษณะ ของงานเสียก่อน เพื่อจะได้ท าการวิจารณ์ได้อย่างถูกต้อง ทฤษฎีการสร้างงานศิลปะ จัดเป็น 4 ลักษณะ ดังนี้ 1. นิยมการเลียนแบบ เป็นการเห็นความงามในธรรมชาติแล้วเลียนแบบไว้ให้เหมือนทั้งรูปร่าง รูปทรง สีสัน ฯลฯ เกณฑ์ พิจารณาความเหมือนทั้งรูปร่างลักษณ์และความรู้สึก เช่น ภาพแตงโมผ่า ซีก ต้องดูแล้วรู้สึกหวานฉ่ า 2. นิยมสร้างรูปทรงที่สวยงาม เป็นการสร้างสรรค์รูปทรงใหม่ ให้สวยงามด้วยทัศนธาตุ (เส้น รูปร่าง รูปทรง สี น้ าหนัก ผิว บริเวณว่าง ) และเทคนิควิธีการต่าง ๆ เกณฑ์ ความสวยงามรูปร่าง รูปทรง สัดส่วน การจัดภาพ เทคนิคการสร้างสรรค์ บางครั้งไม่แสดงเนื้อหาเรื่องราว 3. นิยมแสดงอารมณ์ เป็นการสร้างงานให้ดูมีความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งที่เป็นอารมณ์อันที่เนื่องมาจากเนื้อหา เรื่องราว และอารมณ์ของศิลปินที่ถ่ายทอดลงไปในชิ้นงาน เกณฑ์ ภาพกระตุ้นให้ผู้ดูผู้ชมเกิดความรู้สึกไปตามที่ แสดงออก หรือกระตุ้นความรู้สึกที่เป็นประสบการณ์เดิมของผู้ดูแต่ละคน 4. นิยมแสดงจินตนาการ เป็นงานที่แสดงภาพจินตนาการ และแสดงความคิด ฝันที่แตกต่างไปจากธรรมชาติ และสิ่งที่พบเห็นอยู่เป็นประจ า เกณฑ์ การแสดงออกอย่างอิสรเสรีทั้งเนื้อหา เรื่องราว และเทคนิควิธีการสร้างสรรค์


11 วงจรของศิลปะวิจารณ์ การท าความเข้าใจศิลปะวิจารณ์จะต้องรับรู้องค์ประกอบ หรือวงจรที่เกี่ยวข้อง เพื่อท าให้เข้าใจความสัมพันธ์อันเป็นเหตุปัจจัยต่อกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน ดังนี้ 1. ศิลปิน เป็นผู้มีหน้าที่สร้างสรรค์งานศิลปะซึ่งต้องมีความจริงใจที่จะสร้างผลงานขึ้นมาอย่างบริสุทธิ์ใจไม่ตก อยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคลใดทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์ และในด้านของผลประโยชน์ทาววัตถุ นอกจากนั้นศิลปินจะต้องมีความสามารถพิเศษหรือเรียกว่า “พรสวรรค์” ในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของ ตนเองด้วยภาษาของทัศนศิลป์ ประการส าคัญศิลปิน จะต้องเป็นผู้ที่มีโลกทัศน์กว้างขวาง มีความเข้าใจในชีวิต มนุษย์และปรัชญาการด าเนินชีวิต 2. ผลงานศิลปะ คือ รูปของผลงานศิลปะที่ศิลปินใช้เป็นภาษาหรือสื่อกลางที่จะถ่ายทอดความนึกคิดและ อารมณ์ความรู้สึกของตนออกมา ภาษาทางทัศนศิลป์เป็นการใช้ภาษาของการมองเห็นด้วยตา 3. คนดู คือ ส่วนของประชาชนที่เป็นผู้รับรู้ภาษาที่ศิลปินใช้สื่อความหมาย คนดูเป็นองค์ประกอบส าคัญที่จะท า ให้ความหมายของการสร้างศิลปะสมบูรณ์ครบวงจร ผลงานศิลปะใดถ้าขาดคนดูย่อมจะสูญเสียความประสงค์ ส าคัญทั้งหมด คนดูจะรวมไปถึงนักวิจารณ์ศิลปะด้วย ปละคนดูโดยทั่วไปอาจกล่าวโดยอนุมานได้ว่า เขาทุกคน คือนักวิจารณ์ศิลปะเพราะจะต้องตัดสิน หรือวิพากษ์วิจารณ์ถึงความชอบและไม่ชอบของตนเอง การวิจารณ์ศิลปะ มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ 1. เพื่อให้ผู้รู้ ครู อาจารย์ และนักวิจารณ์ศิลปะ ได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ของตน เกี่ยวกับศิลปะให้กับผู้ที่สนใจรวมทั้งนักศึกษา อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ที่ผ่านมายังไม่มี 1. เพื่อให้ผู้รู้ ครู อาจารย์ และนักวิจารณ์ศิลปะ ได้ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ของตน เกี่ยวกับศิลปะให้กับผู้ที่สนใจรวมทั้งนักศึกษา อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ที่ผ่านมายังไม่มีการเรียนการสอน วิชาศิลปวิจารณ์อย่างเป็นระบบ 2. เพื่อให้ผู้ที่สนใจรวมทั้งนักเรียน นักศึกษาได้รับความรู้ หรือเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจ และประสบการณ์ เกี่ยวกับศิลปะให้กับตนเองอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ จนสามารถเข้าใจและชื่นชมศิลปะได้ 3. เพื่อให้นักวิจารณ์ศิลปะได้ช่วยเผยแพร่ หรือบอกเล่าความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะนักวิจารณ์ศิลปะยังท า หน้าที่เป็นตัวกลาง เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างศิลปินกับผู้ชม ขั้นตอนการวิจารณ์ 1. ข้อมูลภาพ เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับผลงานที่จะวิจารณ์ ได้แก่ เป็นงานทัศนศิลป์แขนงใด ชื่อภาพ ชื่อศิลปิน วัสดุ เทคนิค วิธีการ ขนาด เป็นต้น 2. ขั้นพรรณนา เป็นข้อมูลที่ได้จากการมองเห็น การสังเกต การตั้งค าถาม ว่าท่านเห็นอะไรบ้างในงานชิ้นนั้น 3. ขั้นแปลความ เป็นขั้นการค้นหาความหมายของภาพ โดยเริ่มจากความสัมพันธ์ระหว่างภาพที่เห็นกับชื่อภาพ เป็นอย่างไร


12 4. ขั้นวิเคราะห์ภาพรวม โดยพิจารณาว่า เป็นงานศิลปะแบบใด จัดอยู่ในทฤษฎีอะไร 5. ขั้นตัดสินประเมินค่า พิจารณาจากข้อ 1, 2, 3 และ 4 แล้วตัดสินเลยว่า ผลงานเป็นอย่างไรงามหรือไม่งาม ดี หรือไม่ดี ถ้าดีก็ชม ถ้าไม่ดีอาจติหรือเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อไป ความเข้าใจศิลปะ 1. ศิลปะและความเข้าใจ ศิลปะตามความเข้าใจของคนทั่วไป พอสรุปได้คือ ศิลปะเป็นสิ่งทีมีความสวยงาม สามารถอ านวยความสุข และเกิดความบันเทิงใจเมื่อได้พบเห็น สามารถน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิความเป็นอยู่ได้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การ แต่งกาย การตกแต่งห้อง ศิลปะตามความเข้าใจของศิลปิน สรุปคือ ศิลปะเป็นการสื่อความหมายร่วมกันของมนุษย์ที่ผู้สร้างสรรค์ ผลงานให้เป็นเครื่องเร้าให้ผู้พบเห็นเกิดความประทับใจเมื่อได้พบเห็น สัมผัส ท าให้เกิดความคิดเช่นเดียวกับ ความหมายที่ต้องการ สามารรถยกระดับอารมณ์ และจิตใจด้วนคุณธรรม จะเห็นว่าศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีความผูกพันกับชีวิตประจ าวัน การที่มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จาก สิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองจากการรับรู้นั้น เช่น ตอบสนองต่อรูปร่าง รูปทรง ระนาบผิว ความหนักแน่น ทึบตัน บริเวณว่า การเคลื่อนไหวแสง สี เสียง หรือลักษณะที่ปรากฏให้เห็นของสิ่งต่าง ๆ เกิด ความประทับใจ แล้วถ่ายทอดออกไป เราเรียกกระบวนการนี้ว่า “การรับรู้น าไปสู่การถ่ายทอด ดังจะกล่าวได้ ต่อไป” 1.1 การรับรู้น าไปสู่การถ่ายทอด มนุษย์รับรู้สิ่งต่างๆ จากโลกภายนอก จากสิ่งแวดล้อมผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้าสู่เส้นประสาทแล้วน าเข้าสู่ระบบสมอง เกิดเป็นการแปลความตัดสินประเมินค่า ถ้าสั่งนั้นดีเก็บไว้เป็น ความทรงจ า ถ้าผู้นั้นเป็นศิลปินจะไม่เก็บความดีงาม ความประทับใจไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่จะถ่ายทอดเป็นงาน ศิลปะตามที่ตนถนัดเพื่อเผื่อแผ่ความดีงาม การรับรู้และการถ่ายทอดจากการมองเห็น ศิลปินรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ จากสังคม สิ่งแวดล้อม แล้วต้องการจะ ถ่ายทอดหรือแสดงออกเป็นงานศิลปะตามที่ตนถนัดหรือมีประสบการณ์ จึงท าให้เกิดรูปแบบการถ่ายทอด ต่างกันมากมาย 1. ถ่ายทอดตรงตามที่เห็นจริง ศิลปินเห็นอย่างไรก็ถ่ายทอดออกมาอย่างนั้นเป็นงานศิลปะที่เหมือนของจริง ผู้ดีเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นภาพอะไร เรื่องอะไร จัดเป็นศิลปินนิยม การเลียนแบบ 2. ถ่ายทอดโดยปรุงแต่งสิ่งที่เห็น ศิลปินบางคนต้องการแสดงเรื่องราวจากความคิดฝัน จินตนาการจึงต้องมี การประดิษฐ์รูปทรงให้เหมาะสมกับเนื้อหาเรื่องราวที่ต้องการแสดงออกโดยน าสิ่งที่เห็นมาปรับแต่งเพิ่มเติม


13 3. ถ่ายทอดความรู้สึก ศิลปินกลุ่มนี้ไม่สนใจรูปทรงภายนอกของวัตถุแต่สนใจเกี่ยวกับความรู้สึก เช่น ความ รัก ความงาม ความสดชื่น ความน่ากลัว ความรู้สึกเหล่านี้ยังไม่มีรูปร่างที่แน่นอนตายตัว จึงท าให้ศิลปินสร้าง งานได้อย่างอิสระมากกว่าการถ่ายทอดตามแบบที่ 1 และ 2 ศิลปะแต่ละคนมีการถ่ายทอดแตกต่างกัน ตามความคิดสร้างสรรค์และความถนัดเมื่อมีการจัดกลุ่มเพื่อ การศึกษา จึงเรียกใหม่ว่ารูปแบบศิลปะ หรือสไตล์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. แบบเหมือนของจริง 2. แบบดัดแปลงจากธรรมชาติ 3. รูปแบบอิสระ 1. แบบเหมือนของจริง เป็นผลมาจากการถ่ายทอดของศิลปินในลักษณะเลียนแบบธรรมชาติ พวกนิยมการ เลียนแบบ ทั้งนี้เป็นเพราะเห็นว่ารูปลักษณ์ของธรรมชาติมีความงามความไพเราะอยู่แล้ว 2. แบบดัดแปลงจากธรรมชาติ เป็นผลมาจากการถ่ายทอดของศิลปินโดยการปรับปรุงแต่งสิ่งที่เห็นให้เหมาะสม สวยงามขึ้น นอกจากนี้รูปร่าง รูปทรงในธรรมชาติบางครั้งน่าเกลียด น่ากลัว ศิลปินนักออกแบบปรับแต่งให้ได้รูปร่างรูปทรง ที่สวยงาม น่ารักขึ้น รูปแบบดัดแปลงนี้เป็นที่นิยมมากเพราะศิลปินได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ร่วมกับรูปร่าง รูปทรงตามธรรมชาติ ปละผู้ดูให้ความคิดและการสังเกต ก็สามารถรับรู้เนื้อหาเรื่องราวหรือสิ่งที่ศิลปินต้องการ แสดงออกได้ ศิลปินและนักออกแบบจะปรุงแต่งดัดแปลงรูปร่าง รูปทรง โดยวิธีการต่อไปนี้ 1. การเพิ่มเข้า เช่น ภาพทศกัณฑ์ 2. การบิดพลิ้วรูปทรง ในงานนาฏศิลป์ใช้มาก 3. การลดตัดทอน เป็นการจัดส่วนที่ไม่ส าคัญออกให้เหลือรูปร่างรูปทรงที่ส าคัญ 3. แบบอิสระ เป็นผลมาจากการถ่ายทอดความรู้สึกของศิลปิน ทั้งนี้เพราะศิลปินเห็นว่าความงามเป็นเรื่องของ มนุษย์ ที่มีขอบเขตกว้างขวางมาก ไม่ติดอยู่กับความเหมือนหรือดัดแปลงรูปทรงธรรมชาติเท่านั้น ประกอบกับ ประชาชนมีความชื่นชอบ หรือรสนิยมทางความงามต่างกัน ศิลปินบางกลุ่มจึงควรที่จะสร้งสรรค์สิ่งแปลกใหม่ น าเสนอสู่สังคมให้ประชาชนมีโอกาสเลือกชมได้ ศิลปินจึงเลือกแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้สึก ซึ่งยังไม่มี รูปแบบแน่นอนตายตัว ศิลปินจึงใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่


14 1.2 ผลงานศิลปะกับการถ่ายทอดของศิลปิน ลักษณะเฉพาะตัวของศิลปินแต่ละคน ลักษณะเฉพาะหรือความ เป็นตัวของตัวเองของศิลปะแต่ละคนท าให้มีรูปแบบความงามในงานศิลปกรรมต่างกัน แม้ว่าจะได้รับการศึกษา พื้นฐานมาในระดับเดียวกันจากครูคนเดียวกัน แต่ความคิดและความรู้สึกทางความงามจะแตกต่างกัน การแสดงออกทางความงามเป็นงานหลักของศิลปิน ทั้งที่แสดงออกโดยเลียนแบบชาติ และประดิษฐ์ขึ้นใหม่ นอกจากนี้ยังต้องกล้าที่จะแสดงออกเพื่อความแปลกใหม่ และความก้าวหน้าทางวิชาการด้วย 1.3 วัสดุและเทคนิค ในการสร้างงานศิลปะ นอกจากสีฝุุน สีน้ า สีโปสเตอร์แล้วยังมีสีอื่น ๆ ที่ใช้ในการเขียนรูป อีก เช่น สีอะครีลิค สีจากโมเสก ดินสอสีระบายน้ า มีรายละเอียดดังนี้ 1.3.1 สีอะครีลิค เป็นสีใหม่ล่าสุดที่ได้รับความนิยมในวงการจิตรกรรมมากเพราะสามารถเขียนแบบสีน้ ามัน และแบบสีน้ าได้ สีนี้เป็นเป็นผลพลอยได้มาจากการกลั่นน้ ามันปิโตรเลียม จึงมีราคาแพงพอสมควร แต่มี คุณภาพดีมีสีสวยสดใส 1.3.2 สีจากโมเสก เป็นสีหินขนาดเล็กใช้เรียงติดกันเป็นภาพ เรียกว่า ภาพประดับโมเสก 1.3.3 ดินสอสีระบายน้ า เป็นวัสดุใหม่ระบายแบบดินสอสีและสามารถใช้น้ า ลูบตามลงไป ท าให้สีเรียบแบบสีน้ า ช่วยให้นักเรียนระบายสีได้ง่ายขึ้นและได้ผลงานที่มีความงามแปลกออกไป 2. การสร้างงานศิลปะด้วยสื่อและเทคโนโลยี 2.1 การสร้างงานศิลปะด้วยสื่อและเทคโนโลยีการสร้างงานศิลปะ จัดเป็นการ สร้างสรรค์งานศิลปกรรมด้วยวิธีการใหม่ วงการศิลปะในอดีตการก าหนดประเภทและแขนงต่าง ๆ ของศิลปะ ตามวัสดุและเทคนิคที่ใช้ในการสร้างสรรค์ ปัจจุบันวงการศิลปะก้าวหน้ามากขึ้นประกอบกับสังคมชื่นชมใน ความคิดสร้างสรรค์ของศิลปิน และเห็นคุณค่าของเสรีภาพส่วนบุคคล ท าให้เกิดการแสวงหารูปแบบความงาม ใหม่ วิธีการสร้างสรรค์ใหม่ๆ 2.1.1 การสร้างงานศิลปะด้วยการปะติด เป็นการน าวัสดุจริง เช่น กระดาษ ผ้า มาจัดวางร่วมกับภาพที่เขียน ท าให้เกิดการผสมผสานอย่างเหมาะสมระหว่างพื้นผิวจากการเขียนภาพกับพื้นผิวจากของจริง 2.1.2 การสร้างงานศิลปะแบบสื่อผสม เป็นการน าเอาสื่อต่าง ๆ ทางทัศนศิลป์มาผสมผสานกันให้เหมาะสม สวยงามนับเป็นการสร้างรูปแบบความงามอยางอิสระ


15 2.1.3 การสร้างงานโดยการทดลอง การทดลองเรื่องสี เป็นกิจกรรมทางศิลปะที่ช่วยพัฒนาความคิด การศึกษาค้นคว้า และการแสวงหาค าตอบด้วยตนเอง โดยเฉพาะเรื่องของสีนับเป็นเรื่องของความรู้สึกทาง ความงามที่ไม่มีที่สิ้นสุด 2.1.4 การสร้างงานศิลปะด้วยคอมพิวเตอร์การสร้างงานศิลปกรรมด้วยคอมพิวเตอร์ เรียกโดยทั่วไปว่า คอมพิวเตอร์อาร์ต หรือกราฟิกอาร์ต เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ก าลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ได้ ทั้งสื่อภาพ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว เป็นลักษณะสื่อผสมในอีกรูปแบบหนึ่ง 3. ยุคสมัยและรูปแบบของงานทัศนศิลป์ 1. ยุคสมัยต่าง ๆ ของงานทัศนศิลป์ 1.1 ยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษย์ผู้เริ่มสร้างศิลปะในยุโรปได้แก่ มนุษย์โคร-มันยอง ซึ่งมีอายุระหว่าง 50,000 – 5,000 ปีมาแล้ว งานทัศนศิลป์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในยุโรปและในประเทศไทย มีรายละเอียดดังนี้ งานจิตรกรรม ที่มีชื่อเสียงมากคือ จิตรกรรมบนฝาผนังที่ค้นพบตามผนังถ้ าและหน้าผา เช่น ที่ผนังถ้ า อัลตามิรา ในประเทศสเปน ส่วนในประเทศไทยก็มีหลายแห่ง เช่น ผาแต้ม จ.อุบลราชธานี ลักษณะของงานจิตรกรรมพอสรุปได้ ดังนี้ 1. เรื่องราวของภาพส่วนใหญ่เป็นภาพสัตว์ ภาพคน การด ารงชีวิต 2. ลักษณะของภาพ เขียนเป็นภาพเส้นรอบนอกก่อน แล้วระบายสีภายใน บาง


16 ภาพก็เป็นภาพเส้นหยาบๆ มักแสดงรูปสัตว์ด้านข้างแสดงให้เห็นอวัยวะต่าง ๆ ชัดเจน 3. สีที่ใช้มีสีที่ได้จากดินสีต่าง ๆ เช่น ดินเหลือง ดินแดง ดินด า งานประติมากรรม ได้แก่ ภาพสลักหิน ภาพลอยตัวขนาดเล็ก ๆ มีทั้งภาพคน และภาพสัตว์ ภาพคนที่มีชื่อเสียงมากคือ ภาพสตรีที่มีชื่อว่า “วีนัส วิเลนดอรฟ” พบในถ้ าที่ออสเตรีย งานสถาปัตยกรรม ในสมัยแรกมนุษย์รู้จักท าการก่อสร้าง เมื่อออกจากถ้ า ได้แก่ การน าก้อนหินหรือแท่ง หินมาประกอบกันโดยการวางโครงสร้างหยาบๆ คือวางซ้อนกันหรือพาดกัน เรียกว่าหินตั้ง หรือโต๊ะหิน ศิลปะสมัยอียิปต์ ชาวอียิปต์เชื่อว่า ชีวิตจะกลับคืนสู่ร่างกายของคนตายได้ จึงเก็บซากศพของคนตายไว้แล้วอาบน้ ายาเรียกว่า มัมมี่ และของใช้ทั้งหลายขณะที่ยังด าเนินชีวิตอยู่ ก็เก็บฝังรวมกับศพล้วนเป็นของมีค่าทั้งสิ้น หลุมฝังศพเป็น ของกษัตริย์ที่มีความส าคัญ ก็จะสร้างเป็นปิรามิด ศิลปะอียิปต์ที่ส าคัญคือ 1. จิตรกรรม ลักษณะภาพเขียนของอียิปต์เป็นศิลปะแบบเริ่มแรก คือ เขียนตามความรู้สึกไม่ ค านึงถึงความถูกต้อง และความเป็นจริง เป็นรูปทรงแบบง่าย ๆ


17 2. ประติมากรรม เป็นรูปสลักใหญ่โต คือ รูปสฟริงค์ 3. สถาปัตยกรรม 3.1 สถานที่ฝังศพ สร้างปิรามิด องค์และมีชื่อเสียงที่สุด คือ สร้างขึ้นเพื่อบรรจุศพกษัตริย์ คุฟู 3.2 วิหาร ส าหรับประดิษฐานเทวรูปหรือเทพเจ้า วิหารที่ส าคัญ คือ วิหารคาร์นัค วิหารลักซอร์


18 ศิลปะสมัยเมโสโปเตเมีย ศิลปกรรมที่ส าคัญและรู้จักกันแพร่หลายคือ 1. ประติมากรรม ได้แก่ ภาพแกะสลักลงไปในอิฐที่เรียงเป็นซุ้มประตู ผนังหรือก าแพงอยู่แล้ว 2. สถาปัตยกรรม ได้แก่ ซากบ้านเมือง และวิหารเมือง อูร์ (UR) สิ่งก่อสร้างในเมืองนี้สร้างด้วยอิฐดินเผาและดินดิบที่มีชื่อเสียง มากคือ วิหารใหญ่ที่ท าเป็นหอสูง มีทางวนเวียนราดลงแทนบันได อาคารต่าง ๆ มีเสาขนาดใหญ่ ๆ มีการสร้าง เพดานโค้งและมีการสลักตกแต่งสวยงาม สิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมากอีกแห่งคือ สวนลอยแห่งบาบิโลน มีการ สร้างสวนให้สูงจากพื้น โดยการก่อสร้างอิฐซ้อนกันขึ้นไป โดยวางแผนผังลดหลั่นกันอย่างสลับซับซ้อน ตามซุ้ม ประตูต่างๆ ประดับด้วยภาพสลักมหึมา ศิลปะสมัยโรมัน แบบอย่างศิลปะโรมันปรากฎลักษณะชัดเจนในช่วงพุทธศตวรรษที่ 4 เรื่อยมา จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1040 โดยในช่วงเวลาหลังได้เปลี่ยนสาระเรื่องราวใหม่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ สืบต่อมาเป็นเวลาอีกนาน


19 มาก จนกระทั่งเมื่อ กรุงคอนสะแตนติโนเปิลได้กลายเป็นเมืองหลวงใหม่ของจักรวรรดิโรมัน ในปี พ.ศ.870 ท า ให้สมัยแห่งโรมันต้องสิ้นสุดลง แหล่งอารยธรรมส าคัญของโรมัน คือ อารยธรรมกรีกและอีทรัสกัน จิตรกรรมของโรมัน อาศัยจากการค้นคว้าข้อมูลจากเมืองปอมเปอี สตาบิเอ และ เฮอร์คิวเลนุม ซึ่งถูกถล่มทับ ด้วยลาวาจากภูเขาไฟวิสุเวียส เมื่อ พ.ศ. 622 และถูก ขุดค้นพบในสมัยปัจจุบัน จิตรกรรมผาฝนังประกอบด้วย แผงรูปสี่เหลี่ยผืนผ้า ซึ่ง มักเลียนแบบหินอ่อน เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพคน และภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม มี การใช้แสงเงา และกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจน เขียนด้วยสีฝุุนผสมกับกาวน้ าปูน และสีขี้ฝึ้งร้อน นอกจากการ วาดภาพ ยังมีภาพประดับด้วยเศษหินสี (Mosaic) ซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งบนพื้นและผนังอาคาร ประติมากรรมของโรมันรับอิทธิพลมากจากชาวอีทรัสกันและกรีกยุคเฮเลนิสติก แสดงถึงลักษณะที่ถูกต้องทาง กายภาพ เป็นแบบอุดมคติที่เรียบง่าย แต่ดูเข้มแข็ง มาก ประติมากรรมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือ ประติมากรรมรูปนูนเรื่องเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดของเรื่องราว เหตุการณ์ถูกต้อง ชัดเจน ประติมากรรม โรมันในยุคหลัง ๆ เริ่มเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนามากเป็นพิเศษ วัสดุที่ใช้สร้าง ประติมากรรมของโรมันมักสร้างขึ้นจาก ขี้ผึ้ง ดินเผา หิน และส าริด จักรพรรดิออกัสตัส สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐาน วัสดุที่ใช้ สร้างอาคารได้แก่ ไม้ อิฐ ดินเผา หิน ปูน และคอนกรีต ซึ่งชาวโรมันเป็นชาติแรก ที่ใช้คอนกรีตอย่างกว้างขวาง และพัฒนารูปแบบออกจาก ระบบเสาและคาน ไป สู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง หลังคาทรงโค้ง หลังคาทรงกลม และหลังคาทรงโค้ง กากบาท มีการน าสถาปัตยกรรมที่ส าคัญของกรีกทั้ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลงและ ปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้นชาวกรีกใช้ เสาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง แต่ชาว โรมันมักจะเพิ่มการตกแต่งลงไป โดยไม่ค านึงถึงประโยชน์ทาง โครงสร้างเท่าไร นัก ล าเสาของกรีกจะเป็นท่อน ๆ น ามาวางซ้อนต่อกันขึ้นไป แต่เสาของโรมันจะ เป็นเสาหิน ท่อนเดียวตลอด รูปแบบอนุสาวรีย์ที่พบมากของโรมันคือ ประตูชัย เป็นสิ่งก่อสร้างตั้งอิสระประดับตกแต่งด้วย ค าจารึก และรูปนูนบรรยายเหตุการณ์ ที่เป็นอนุสรณ์ สถาปัตยกรรมที่ส าคัญอีกอย่างหนึ่งของโรมัน คือสะพาน


20 ส่งน้ า ซึ่ง ใช้เป็นทางส่งน้ าจากภูเขา มาสู่เมืองต่าง ๆ ของชาวโรมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดง ถึงความก้าวหน้าทาง วิศวกรรมของโรมันอย่างเห็นได้ชัด สถาปัตกรรมโรมัน ในช่วง พ.ศ. 600 - 873 ได้สะท้อนให้เห็นความมั่งคั่งและ อ านาจของจักรวรรดิโรมัน อาคารสถาปัตยกรรมมีขนาดกว้างใหญ่ และมีการตก แต่งอย่างฟุุมเฟือย มีการควบคุมท าเลที่ตั้ง การจัดภูมิ ทัศน์อย่างพิถีพิถัน มีการ สร้างลานชุมนุมชาวเมือง โรงมหรสพหรือสนามกีฬา โรงอาบน้ าสาธารณะ และ อาคารที่พักอาศัยต่าง ๆ เป็นจ านวนมาก ภายในอาคารมักประดับด้วยหินอ่อน หินสี และประติมากรรม แกะสลักตกแต่งอย่างสวยงาม โคลอสเซียมในกรุงโรม ศิลปะตะวันออก ได้แก่ ลักษณะของศิลปะที่แสดงคุณลักษณะเฉพาะอย่างของรูปแบบ ศิลปะจะแสดงออกทางอิทธิพลทาง ภูมิอากาศ ขนบประเพณี รูปแบบของศิลปะตะวันออกจะเด่นชัดทางอิทธิพลทางศาสนา เช่น งานทางด้าน จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนประยุกต์ศิลป์ งานประณีตศิลป์และงานหัตถกรรม ซึ่งมีส่วน ในการน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันของชาวตะวันออกตามพื้นเพเดิมของการด ารงชีวิต ชาวตะวันออก คือ มนุษย์ที่อยู่อาศัยในประเทศแถบตะวันออก ตั้งแต่ตะวันออกกลางจนถึงตะวันออกไกล โดยมีรูปร่างทาง ร่างกายและวัฒนธรรมเป็นอีกลักษณะหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปด้วย การนับถือศาสนาก็มีอิสระต่อกัน ประกอบด้วย ศาสนาอิสลาม ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู ลัทธิเต๋า และศาสนาคริสต์ เป็นต้น สภาพความเป็นอยู่ จะเป็นไปตามลักษณะของภูมิประเทศและภูมิอากาศ ซึ่งท าให้ลักษณะบ้านเรือน เครื่องแต่งกายและสิ่งของ เครื่องใช้เป็นไปตามสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์ศิลปะจึงเป็นไปอีกแบบหนึ่ง ศิลปะในประเทศตะวันตกนั้น มี โอกาสที่จะเป็นลักษณะเดียวกันในบางยุคบางสมัย เพราะมีความนิยมร่วมกัน แต่ในประเทศตะวันออกนั้น ล้วน มีเอกลักษณ์ประจ าชาติของตนเองมาแต่ยุคโบราณ และต่างก็สืบต่อลักษณะทางศิลปะกันลงมาไม่ขาดสายจึง เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าชาวตะวันออกซึ่งประกอบด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ นั้น มีความเคารพนับถือในขนบธรรมเนียม ประเพณีของตนเองยิ่งกว่าชีวิต ท าให้ศิลปะของชาวตะวันออกมีลักษณะรูปแบบตนเอง “ ศิลปะประจ าชาติ ”


21 เด่นชัด และไม่ถือเอาความเป็นจริงตามธรรมชาติเป็นส าคัญ จึงสร้างสรรค์ศิลปะให้บังเกิดความงามที่เหนือขึ้น ไปจากธรรมชาติตามรสนิยมและความรู้สึกของตน คลื่นยักษ์นอกฝั่งคะนะงาวะ The Great Wave off Kanagawa (1829-1833) : คัทซึชิคะ โฮะคุไซ (Katsushika Hokusai) ความเป็นมาของศิลปะไทย ไทยเป็นชาติที่มีศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของตนเองมาช้านานแล้ว เริ่มตั้งแต่ ก่อนประวัติศาสตร์ ศิลปะไทยจะวิวัฒนาการและสืบเนื่องเป็นตัวของตัวเองในที่สุด เท่าที่เราทราบราว พ.ศ. 300 จนถึง พ.ศ. 1800 พระพุทธศาสนาน าเข้ามาโดยชาวอินเดีย ครั้งนั้นแสดงให้เห็นอิทธิพลต่อรูปแบบของ ศิลปะไทยในทุก ๆ ด้านรวมทั้งภาษา วรรณกรรม ศิลปกรรม โดยกระจายเป็นกลุ่มศิลปะสมัยต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่ สมัยทวาราวดี ศรีวิชัย ลพบุรี เมื่อกลุ่มคนไทยตั้งตัวเป็นปึกแผ่นแล้ว ศิลปะดังกล่าวจะตกทอดกลายเป็นศิลปะ ไทย ช่างไทยพยายามสร้างสรรค์ให้มีลักษณะพิเศษกว่า งานศิลปะของชาติอื่น ๆ คือ จะมีลวดลายไทยเป็น เครื่องตกแต่ง ซึ่งท าให้ลักษณะของศิลปะไทยมีรูปแบบเฉพาะมีความอ่อนหวาน ละมุนละไม และได้สอดแทรก วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความรู้สึกของคนไทยไว้ในงานอย่างลงตัว ดังจะเห็นได้จากภาพฝาผนัง ตามวัดวาอารามต่าง ๆ ปราสาทราชวัง ตลอดจนเครื่องประดับและเครื่องใช้ทั่วไป ลักษณะของศิลปะไทย ศิลปะไทยได้รับอิทธิพลจากธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ความงามอย่างนิ่ม นวลมีความละเอียดปราณีต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยและจิตใจของคนไทยที่ได้สอดแทรกไว้ในผลงานที่ สร้างสรรค์ขึ้น โดยเฉพาะศิลปกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาประจ าชาติของไทย อาจกล่าวได้


22 ว่าศิลปะไทยสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมพุทธศาสนา เป็นการเชื่อมโยงและโน้มน้าวจิตใจของประชาชนให้เกิดความ เลื่อมใสศรัทธาในพุทธศาสนา ภาพไทย หรือจิตรกรรมไทยจัดเป็นภาพเล่าเรื่องที่เขียนขึ้นด้วยความคิดจินตนาการของคนไทย มีลักษณะตาม อุดมคติของกระบวนงานช่างไทย คือ 1. เขียนสีแบน ไม่ค านึงถึงแสงและเงา นิยมตัดเส้นให้เห็นชัดเจน และเส้นที่ใช้ จะแสดงความรู้สึกเคลื่อนไหว นุ่มนวล คุณส่ง 2. เขียนตัวพระ-นาง เป็นแบบละคร มีลีลา ท่าทางเหมือนกัน ผิดแผกแตกต่าง กันด้วยสีร่างกายและ เครื่องประดับ 3. เขียนแบบตานกมอง หรือเป็นภาพต่ ากว่าสายตา โดยมุมมองจากที่สูงลงสู่ ล่าง จะเห็นเป็นรูปเรื่องราวได้ ตลอดภาพ 4. เขียนติดต่อกันเป็นตอน ๆ สามารถดูจากซ้ายไปขวาหรือล่างและบนได้ทั่ว ภาพ โดยขั้นตอนภาพด้วยโขดหิน ต้นไม้ ก าแพงเมือง และเส้นสินเทาหรือ คชกริด เป็นต้น 5. เขียนประดับตกแต่งด้วยลวดลายไทย มีสีทองสร้างภาพให้เด่นเกิดบรรยากาศ สุขสว่างและมีคุณค่ามากขึ้น ภาพลายไทย เป็นลายที่ประดิษฐ์ขึ้นโดยมีธรรมชาติมาเป็นแรงดลบันดาลใจ โดยดัดแปลงธรรมชาติให้เป็น ลวดลายใหม่อย่างสวยงาม เช่น ตาอ้อย ก้ามปู เปลวไฟ รวงข้าว และดอกบัว ฯลฯ ลายไทยเดิมทีเดียวเรียกกัน ว่า "กระหนก" หมายถึงลวดลาย เช่น กระหนกลาย กระหนกก้านขด ต่อมามีค าใช้ว่า "กนก" หมายถึง ทอง กนกปิดทอง กนกตู้ลายทอง แต่จะมีใช้เมื่อใดยังไม่มีหลักฐานแน่ชัด ซึ่งค าเดิม "กระหนก" นี้เข้าใจเป็นค าแต่ สมัยโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี โดยเรียกติดต่อกันจนเป็นค าเฉพาะ หมายถึงลวดลายก้านขด ลายก้านปู ลายก้างปลา ลายกระหนกเปลว เป็นต้น การเขียนลายไทย ได้จัดแบ่งตามลักษณะที่จัดเป็นแม่บทใช้ในการ เขียนภาพมี 4 ลาย ด้วยกัน คือลายกระหนก ลายขดรี ลายกระบี่และลายคชะ เป็นต้น ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์


23 ศิลปะสากล ศิลปะสากลหรือศิลปะตะวันตก หมายถึง ศิลปะที่สรางขึ้นในอารยธรรมยุโรป อียิปต กรีก โรมัน ซึ่งมีการ พัฒนามาเปนเวลากวาสามพันป จนมีรูปแบบแนวคิด ความเชื่อตามยุคสมัยตาง ๆ 1. สมัยโบราณ ไดแก ยุคหินเกา หินใหม อียิปต กรีก โรมัน มนุษยยุคหินเปนยุคที่ยัง ไมมีการบันทึกเรื่องราวเป นลายลักษณอักษร เชน มนุษยโครมันยอง จะสรางงานศิลปะขึ้นตามความ เชื่อเรื่องภูตผีปศาจ อภินิหาร เชน ภาพเขียนบริเวณฝาผนังถ้า อนุสาวรียหิน สมัยอียิปตมีการสราง พีระมิดรูปสลักหินฟาโรห จิตรกรรมฝาผนัง สมัยกรีกมีความเชื่อเรื่องเทพเจา เชน ซีอุส เฮอรคิวลิศ โพไซคอน จึงมีรูปเขียนและรูปปนเกี่ยวกับเทพในสมัย โรมันมีการสรางซุมประตูโคงตอนรับผูที่ไดรับ ชัยชนะ 2. สมัยกลาง ชาวตะวันตกเริ่มนับถือศาสนาคริสต จึงนิยมสรางศิลปกรรมเพื่อท านุบ ารุง ศาสนา เชน สราง โบสถวิหาร มีการประดับกระจกสีบริเวณหนาตาง มีการสรางภาพจากกระเบื้องสี และเขียนภาพแบบปูนเปยก สรางประติมากรรมจากหินออน ที่มีรูปแบบของสัดสวนตามลักษณะกาย วิภาค สวนศิลปกรรมไทยสมัยรัตนโก สินทรที่ไดรับแบบอยางจากตะวันตก คือพระที่นั่งอนันตสมาคม สรางดวยหินออน พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งมีตัวอาคารแบบตะวันตก 3. ศิลปะสมัยใหม เริ่มตอนปลายศตวรรษที่ 18 จะแสดงออกซึ่งเปนความจริงในสังคมมากกวาเรื่องศาสนา เช่น สภาพสังคม สงคราม ภาพทิวทัศน ความประทับใจธรรมชาติ ความเพอฝน 4. ศิลปะกับมนุษย์ 4.1. ศิลปะกับชีวิต 1.1 ศิลปะกับสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งจะแบ่งกล่าวเป็นข้อ ๆ ดังนี้ 1.1.1 ศิลปะกับสังคม ศิลปะกับสังคม เป็นการแสดงออกทางศิลปะต่อสังคมที่ต่างไปจากศิลปะ เพื่อสังคม โดยผลงานจะสนับสนุนเหตุผลทางสังคมแต่อย่างเดียวในทางบวก ซึ่งศิลปะกับสังคมจะสะท้อน เรื่องราว แนวคิดต่าง ๆ ต่อสังคมทั้งในทางบวกและทางลบ ด้วยเปูาหมายที่จะเห็นสังคมดีขึ้นกว่าเดิมหรือดีต ลอดไป 1) ความหมายและสาระส าคัญของศิลปะกับสังคม สังคมมนุษย์จะกระท าสิ่งใดต้องมีความต้องการหรือความพอใจเป็นหลักก าหนด เมื่อไม่มีความต้องการหรือไม่ พอใจก็ไม่ท า หากถูกบังคับให้ท าหรือจะท าแต่ถูกยับยั้ง ขัดขวาง ก็จะรู้สึกไม่มีเสรีภาพหรือถูกริดรอน เสรีภาพ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องส าคัญในชีวิต ความพอใจจึงเป็นกลไกส าคัญที่ควบคุมการกระท าของมนุษย์ในสังคม


24 2) สาเหตุของการเกิดศิลปะกับสังคม เพราะสังคมมนุษย์ไปเพิ่มความหมายและคุณค่าของความพอใจทั้งหลายที่ มากเกินระดับความจ าเป็นตามธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตามความโลภของแต่ละคนหรือตามที่แต่ละคน ช่วยกันก าหนดได้ เช่น คนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีสูง จะต้องนั่งรถราคาแพง กินอาหารแพง สวมเสื้อผ้าด้วยวัสดุหา ยาก มนุษย์ได้ใช้ความรู้ความสามารถเปลี่ยนแปลงปรับปรุงวัตถุและวิธีด าเนินชีวิตให้ถูกใจสอดคล้องกับแรง ปรารถนายิ่งขึ้นเท่าที่โอกาสจะกระท าได้ 3) รูปแบบศิลปะกับสังคม โครงสร้างของศิลปะกับสังคมเกิดขึ้นบนความขัดแย้งระหว่างความไม่งดงาม ในความรู้สึกของสังคมจึงมีความสอดรับกับศิลปะเพื่อชีวิต ที่มีความชัดเจนของชีวิตคนยากไร้ กรรมการ ชาวไร่ ชาวนา ชาวชนบท ซึ่ศิลปินได้น ามาตีแผ่สร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะ แบบสัจนิยม มองเห็นความดีความชั่วที่ต่ง กันได้ชัดเจน รูปแบบศิลปะกับสังคมที่เนื้อหารับรู้ง่ายจะกระตุ้นให้ผู้ดูเกิดจิตส านึกต่อการรับผิดชอบและเอื้อ อาทรต่อสังคมมากกว่าที่จะยกย่องสรรเสริญเรื่องราวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง 4) บทบาทหน้าที่ และคุณค่าของศิลปะกับสังคม ศิลปะมีหน้าที่สะท้อนวิกฤตการณ์ทางสังคม บทบาทของศิลปะจึงต้องเกิด และมีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ บน ความเปลี่ยนแปลงของสังคม เพื่อเตือนสังคมให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะสลัดพันธนาการแห่งความพิกล พิการในสังคมให้หมดไป


25 อ้างอิง วิกิพีเดียร์. (2022). ความหมายของสุนทรียภาพ, สืบค้นเมื่อ 3 มีนาคม 2566. จาก. https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A 3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E ภานุ บุญพิพัฒนาพงษ์. (2022). Van Gogh. Life and Art, สืบค้นเมื่อ 4 มีนาคม 2566. จาก. https://adaymagazine.com/van-gogh-life-and-art/ ภานุ บุญพิพัฒนาพงษ์. (2022). Katsushika Hokusai ศิลปินยุคเอโดะ, สืบค้นเมื่อ 4 มีนาคม 2566. จาก. https://www.gqthailand.com/style/article/katsushika-hokusai ploykimjie. (2022). ความรู้พื้นฐานทางศิลปะ, สืบค้นเมื่อ 4 มีนาคม 2566. จาก. https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=ploykimjie&group=2


Click to View FlipBook Version