กรีก โรมัน
วฒั นธรรมกรกี โรมนั มกี ารใชเ้ ครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาเพอ่ื กกั เกบ็ อาหารและของเหลว ตง้ั แตป่ ระมาณ
8,400 ปกี อ่ น ในยคุ แรกเปน็ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาทข่ี น้ึ รปู ดว้ ยมอื และใชเ้ ทคนคิ การขดดนิ ซอ้ นกนั
เปน็ วงมกี ารตกแตง่ ดว้ ยการเคลอื บเขยี นสีขดู ขดี และการขดั มนั ตอ่ มามกี ารคดิ คน้ แปน้ หมนุ
ทใ่ี ชข้ น้ึ รปู จงึ สามารถผลติ เปน็ สนิ คา้ สำหรบั สง่ ออกไดด้ ว้ ย โดยสนิ คา้ ทม่ี ชี อ่ื เสยี งคอื โถขนาดใหญ่
ที่มีหูจบั ใช้สำหรบั บรรจุไวนท์ เ่ี รียกวา่ แอมโฟร่า
ภาพเขียนสีแสดงถึงการเผา
เครือ่ งปัน้ ดนิ เผากรีก
แอมโฟร่า
อินเดยี
อนิ เดยี ไดร้ บั อทิ ธพิ ลการผลติ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผามาจากตะวนั ตก เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผารนุ่ แรกทพ่ี บ
เปน็ เครอ่ื งปน้ั ดินเผาทข่ี ึ้นรปู ดว้ ยมอื และแป้นหมุน ตกแต่งด้วยการเขยี นสแี ละขดั มัน และ
ได้พัฒนาไปเป็นเครอ่ื งป้ันดินเผาท่ีมเี อกลักษณเ์ ฉพาะตวั ทเี่ รียกวา่ รเู ลทต์
เครือ่ งปัน้ ดินเผาแบบรูเลทต์
51
{ เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาแบบรูเลทต์ (Rouletted ware) }
เป็นเคร่ืองปั้นดินเผาที่ตกแต่งโดยการกล้ิงล้อที่เป็นฟันเฟืองลงบนผิวภาชนะขณะท่ียังไม่แห้ง
ทำให้เกดิ รอยกดลกึ อยา่ งเป็นระเบียบบนผิวภาชนะ มกั ทาน้ำดนิ สีดำทงั้ ดา้ นในและด้านนอก
ภาชนะแลว้ ขัดผวิ จนขนึ้ เงา
{ เครื่องปัน้ ดนิ เผาอนิ เดียในไทย }
นอกจากจะพบตามชายฝง่ั ทะเลตะวนั ออกของอนิ เดยี แลว้ ยงั พบในศรลี งั กา บงั กลาเทศ รวมถงึ
มาเลเซีย อินโดนเี ซีย เวยี ดนามและประเทศไทยดว้ ย โดยพบเคร่อื งปนั้ ดินเผาอายุประมาณ
2,000 ปี ทแ่ี หล่งโบราณคดีภเู ขาทอง จ.ระนอง และแหล่งโบราณคดีเขาสามแกว้ จ.ชมุ พร
เคร่ืองป้ันดินเผาในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
เขมร
เขมรมีการผลิตเครื่องปั้นดินเผามาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคือเครื่องปั้น
ดินเผาสมัยเมอื งพระนคร นอกจากจะมีการผลิตเปน็ ภาชนะใช้สอยอยา่ งไห ตลับ โถ เตา้ ปนู
กระปกุ แล้วยงั มรี ูปทรงพิเศษทีน่ ่าจะใชใ้ นพธิ กี รรม เชน่ สังขด์ นิ เผา คนโท คนที ทีม่ กี าร
แต่งรปู บุคคลหรอื สัตวป์ ระกอบด้วย
ไหเคลือบสนี ำ้ ตาล
ของเขมร
52 คู่มือพชิ ิตองค์ความรู้ “เครอื่ งปั้นดินเผา”
เวยี ดนาม
เวียดนามมีเครื่องลายครามที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน ในพุทธศตวรรษที่ 19
แตจ่ ะมสี ีฟา้ ใสกวา่ ของจนี เพราะสว่ นใหญใ่ ชโ้ คบอลตจ์ ากเอเชยี กลาง นอกจากน้ี
ยงั มกี ารผลติ เครอ่ื งเคลอื บสตี า่ งๆ ดว้ ย
ชามลายสบี นเคลอื บ
ของเวียดนาม
ลาว
เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาลาวทพ่ี บมากจะเปน็ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาชนดิ เนอ้ื หนิ แบบไมเ่ คลอื บ
โดยผลติ เปน็ ไห และเคร่อื งปนั้ ดินเผาชนิดเน้อื ดนิ ทผี่ ลิตเปน็ กล้องยาสูบ
ไหเน้ือแกร่ง
ไม่เคลอื บ ของลาว
53
พม่า
เครื่องปน้ั ดินเผาพมา่ ทมี่ ีการคน้ พบคอื เครื่องเคลอื บสีเขยี ว เครือ่ งเคลือบสนี ้ำตาลที่ชอ่ื ว่า
ไหมะตะบัน รวมถึงมีการผลิตแผ่นดินเผาจากแหล่งเตาตวนเต้ ในแถบตะวันตกเฉียงใต้
ของเมอื งยา่ งกุง้ สำหรบั ใช้ประดบั ศาสนสถาน เป็นภาพประติมากรรมนนู ตำ่
ไหมะตะบนั ของพมา่
ภาพประติมากรรมนนู ตำ่ บนแผ่นดินเผา
ใชป้ ระดบั ศาสนสถาน
ไทย
จากการคน้ พบหลกั ฐานทางโบราณคดตี า่ งๆ ทง้ั ในและตา่ งประเทศ ทำใหท้ ราบวา่ ประเทศไทย
มีแหล่งผลิตเครอ่ื งปั้นดนิ เผากระจายอยทู่ ่ัวประเทศ โดยเฉพาะทางภาคเหนอื
54 คู่มอื พชิ ิตองค์ความรู้ “เครื่องปั้นดนิ เผา”
แผนที่แสดงกลุ่มเตาในภาคพื้นเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
เครอ่ื งปัน้ ดนิ เผายคุ แรกสุดของไทย
บริเวณประเทศไทยมกี ารผลติ เครอื่ งปนั้ ดินเผาตัง้ แต่ยุคกอ่ นประวัตศิ าสตร์ โดยเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาทม่ี อี ายุ
เกา่ แกท่ ส่ี ดุ ทม่ี กี ารคน้ พบคอื ภาชนะดนิ เผาลายเชอื กทาบชว่ งปลายวฒั นธรรมหวั บนิ เนยี นหรอื ประมาณ
8,350-10,000 ปมี าแล้ว พบท่ถี ำ้ ผแี มน จ.แมฮ่ อ่ งสอน
เครือ่ งปั้นดินเผาในสังคมเกษตรกรรมพบท่ีบา้ นเกา่ จ.กาญจนบุรี มเี นือ้ ดินสดี ำตกแต่งดว้ ยการขูดขีด
ลายและลายจุด
เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาในยคุ สำรดิ มกี ารทานำ้ ดนิ สแี ดง ตกแตง่ ดว้ ยลายเชอื กทาบ ลายปน้ั ตดิ มกั เปน็ ภาชนะทพ่ี บ
ในหลมุ ฝงั ศพ พบทโ่ี นนนกทา จ.ขอนแกน่ และบา้ นปราสาท จ.นครราชสมี า
เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาสมยั เหลก็ ไดแ้ ก่ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาลายสแี ดงของบา้ นเชยี ง จ.อดุ รธานี เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา
ขดั มนั สีดำทเ่ี รียกวา่ พิมายดำ แถบล่มุ แมน่ ำ้ มลู จ.นครราชสมี า และเครื่องป้ันดินเผาสีนำ้ ตาลขดั มัน
รวมถงึ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผารปู บคุ คลและสตั ว์ พบในแถบบรเิ วณลมุ่ แมน่ ำ้ ปา่ สกั จ.ลพบรุ ี
ภาชนะดินเผาสามขา
ของบ้านเก่า จ.กาญจนบรุ ี
{ วัฒนธรรมหวั บินเนียน คืออะไร }
วฒั นธรรมหัวบนิ เนยี น (Hoabinhian Culture) เป็นวัฒนธรรมสมยั ก่อนประวัติศาสตร์
ตั้งช่อื ตามชื่อแหล่งทพ่ี บเปน็ ครงั้ แรกในเขตจงั หวดั หวั บินห์ (Hoabinh) ทางตอนเหนอื
ของประเทศเวียดนามจัดเป็นวัฒนธรรมเครื่องมือเครื่องใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชว่ งกอ่ นสมัยหินกลาง
การจดั ลำดับอายุทางโบราณคดยี คุ กอ่ นประวัติศาสตร์ แบง่ ออกเปน็ 3 สมยั โดยอาศัย
วสั ดแุ ละลกั ษณะของเครอ่ื งมอื ทม่ี นษุ ยป์ ระดษิ ฐข์ น้ึ เพอ่ื ใชง้ านเรยี งลำดบั ตามความเกา่ แก่
คอื สมัยหนิ สมัยสำริด และสมยั เหล็ก
56 คู่มือพิชติ องค์ความรู้ “เครอื่ งป้นั ดินเผา”
สกลุ ช่างศลิ ปะเคร่อื งปั้นดนิ เผาไทย
เราสามารถจัดกลุ่มเครื่องป้ันดินเผาตามสกุลช่างศิลปะท่ีเจริญรุ่งเรืองอยู่ในยุคสมัยของอาณาจักร
ต่างๆ ดงั นี้
ทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16) มีการผลิตเคร่อื งป้นั ดนิ เผาชนดิ เนือ้ ดนิ ทค่ี ่อนข้างหนา ขน้ึ รูปด้วย
แปน้ หมนุ ตกแตง่ ลวดลายโดยการใชพ้ มิ พก์ ดประทบั และการเขยี นสแี ดง คน้ พบทเ่ี มอื งโบราณจันเสน
จ.นครสวรรค์ เมืองโบราณคบู วั จ.ราชบรุ ี และเมอื งโบราณนครปฐม จ.นครปฐม
เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาทวารวดบี างสว่ นไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากอนิ เดยี เช่น คนโท คนที และภาชนะทม่ี ลี วดลาย
กดประทับ
คนทีดินเผาลายสแี ดง
สกลุ ชา่ งทวารวดี
ศรวี ิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) เป็นสกุลชา่ งของอาณาจกั รศรวี ิชยั ท่ีครอบคลมุ บรเิ วณภาคใตข้ อง
ประเทศไทย และแหลมมลายูตลอดจนเกาะสุมาตรา นอกจากจะผลิตภาชนะเนื้อดนิ คอ่ นข้างหยาบ
และหนาแล้วยังมีแบบท่มี รี ูปทรงพิเศษ เน้อื ละเอียดท่เี ผาด้วยอณุ หภูมิสูง เชน่ คนโททรงกลมแป้น
ฐานสงู ที่มีการขดู สลักลายดอกไม้กา้ นขด
ลายดอกไม้กา้ นขด
บนคนทีดนิ เผา
สกุลชา่ งศรีวชิ ัย
57
สุโขทยั (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 19) เป็นสกุลช่างในอาณาจักรบรเิ วณภาคเหนือตอนลา่ ง มีการผลิต
เคร่อื งปัน้ ดินเผาเพอ่ื การสง่ ออก โดยมีแหล่งผลติ อยทู่ ี่เมอื งสุโขทยั และศรสี ัชนาลัย เครื่องปัน้ ดนิ เผา
ทม่ี ชี อ่ื เสยี ง คอื สงั คโลกทพ่ี บในเรอื สนิ คา้ ทอ่ี บั ปางในอา่ วไทยและนา่ นนำ้ ของประเทศเพอ่ื นบา้ นมากมาย
{ เครื่องสงั คโลก (Sawankhalok Ware }
เป็นเครื่องปั้นดินเผาชนิดเนื้อหินที่ตกแต่งด้วยลายสีดำ
และเคลือบสีเขยี ว ผลติ จากกลุม่ เตาศรีสัชนาลัย หรอื
สวรรคโลก (เกา่ )
ตกุ๊ ตาเคลือบสเี ขียว
กลุม่ เตาศรีสัชนาลัย
ล้านนา (พทุ ธศตวรรษท่ี 19-20) เป็นสกุลช่างในอาณาจกั รทางภาคเหนอื ของประเทศไทย มเี ครอ่ื งปน้ั
ดนิ เผาหลายประเภท เชน่ เครอ่ื งเคลอื บสเี ขยี ว เครอ่ื งเคลอื บสนี ำ้ ตาล เครอ่ื งเคลอื บสขี าว เครอ่ื งลายสดี ำ
เครอื่ งเคลอื บสองสี โดยผลิตเปน็ จาน ชาม ไห โถ ตลับ ขวด กระปกุ ตุก๊ ตา ตะเกียง ตะคนั ฯลฯ
อยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 18-23) เป็นสกุลช่างของอาณาจักรอยุธยาที่อยู่บริเวณภาคกลาง
แถบลุ่มน้ำเจา้ พระยา มแี หล่งผลิตเครื่องป้นั ดนิ เผาอยู่ท่ีบางระจัน จ. สิงห์บุรี พบหลกั ฐานจากแหล่ง
เรืออับปางเป็นไหดินเผาเนื้อหยาบ ขนาดใหญ่มี 4 หู มที ง้ั แบบทเ่ี คลือบสีนำ้ ตาลและไมเ่ คลอื บ
ไหเคลือบสนี ำ้ ตาลเตา
แมน่ ้ำน้อย จ.สิงห์บรุ ี
จานเคลอื บสีเขยี ว
สกุลชา่ งลา้ นนา
58 คมู่ อื พชิ ติ องคค์ วามรู้ “เคร่อื งป้นั ดนิ เผา”
แผนที่แสดงแหลง่ เตาท่เี มืองศรีสชั นาลยั
ในประเทศไทยมแี หลง่ เตาเผาที่ไหนบ้าง
ในประเทศไทยมเี ตาเผาเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผากระจายอยทู่ ว่ั ทกุ ภาคแตส่ ว่ นมากอยใู่ นภาคเหนอื ทพ่ี บแหลง่ เตาเผา
ทง้ั ใน จ.สโุ ขทยั (กลมุ่ เตาสโุ ขทยั และกลมุ่ เตาศรสี ชั นาลยั ) จ.เชยี งใหม่ (กลมุ่ เตาสนั กำแพง) จ.เชยี งราย
(กลมุ่ เตากาหลง) จ.นา่ น (กล่มุ เตาบ่อสวก) จ.ลำปาง (กลุ่มเตาวงั เหนอื ) ในการค้นพบเตาเผานน้ั
บางกลุม่ เตาพบเครือ่ งป้นั ดินเผาชิ้นสมบูรณ์ รวมถึงเศษภาชนะถูกท้งิ อยูบ่ รเิ วณพน้ื เตาดว้ ย
กลมุ่ เตาในภาคเหนอื
กลุ่มเตากาหลง (อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย) เป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผากาหลงที่มีเนื้อดิน
ละเอยี ดสขี าวหรอื นวลและสเี ทา ซง่ึ เผาดว้ ยเตาชนดิ ความรอ้ นไหลผา่ นแนวเฉยี งขน้ึ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา
กลมุ่ เตากาหลงมกี ารขน้ึ รปู ภาชนะไดบ้ างมากกวา่ ทผ่ี ลติ ไดจ้ ากกลมุ่ เตาอน่ื ๆ ในประเทศ และมนี ำ้ เคลอื บ
ทบ่ี างใสมรี อยราน มที ง้ั แบบทเ่ี คลอื บใส ประเภทลายสดี ำ ประเภทเคลอื บสเี ขียว และประเภทเคลอื บ
สีน้ำตาล
จานเขียนลายสีดำ
กลุม่ เตากาหลง
กลุ่มเตาวงั เหนอื (วงั ใต้ อ.วังเหนอื จ.ลำปาง) เปน็ เตาดินขนาดเล็กท่อี ยู่ในพ้นื ทขี่ องกล่มุ เตากาหลง
ลักษณะเนื้อดินและสีของเครื่องปั้นดินเผามีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือเนื้อดินละเอียดมีสีขาวอมเทา
หรือสีขาวนวลเคลือบสีเขียวใส และมีรอยรานแต่มักจะผลิตเป็นจานที่มีขอบปากเป็นรูปกลีบดอกไม้
และตวั จานดา้ นในตกแตง่ ดว้ ยการเซาะใหเ้ ป็นร่อง
จานเคลอื บสเี ขยี ว
กล่มุ เตาวังเหนือ
60 คมู่ อื พชิ ิตองค์ความรู้ “เครอื่ งปัน้ ดนิ เผา”
กลุ่มเตาสนั กำแพง (ต.ออนใต้ อ.สนั กำแพง จ.เชยี งใหม)่ เป็นแหล่งเครอ่ื งป้นั ดินเผาสันกำแพงทีม่ ี
เนื้อดินสีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีเทาอมดำ เนื้อค่อนข้างหยาบ มีการทาน้ำดินที่ตัวภาชนะด้านในก่อนนำ
ไปตกแต่งลายหรือเคลือบและปาดน้ำเคลือบบริเวณขอบปาก มีทั้งเครื่องปั้นดินเผาประเภทเคลือบ
สีเขียว ประเภทลายสีดำ ประเภทเคลอื บสีน้ำตาล และประเภทเคลือบสองสี
จานเคลือบสเี ขยี ว
กลมุ่ เตาสนั กำแพง
กลมุ่ เตาสันทราย (อ.สันทราย จ.เชยี งใหม)่ เคร่ืองปัน้ ดนิ เผาทีพ่ บในแหล่งนค้ี ือไหเคลอื บสนี ำ้ ตาล
เนือ้ ดนิ หยาบ
ไหเคลอื บสนี ำ้ ตาล
กล่มุ เตาสนั ทราย
กลมุ่ เตาพาน (เตาโปง่ แดง) (ต.ทรายขาว อ.พาน จ.เชียงราย) เปน็ แหลง่ ผลติ เคร่ืองเคลอื บสเี ขยี ว
คณุ ภาพดี เนือ้ แกรง่ คลา้ ยเคร่อื งเคลอื บของกลุ่มเตาศรีสชั นาลัย แตม่ คี วามมนั นอ้ ยกวา่
จานเคลือบสเี ขียว
กลุ่มเตาพาน
61
กลมุ่ เตาเวยี งบวั (ต.แมก่ า อ.เมอื ง จ.พะเยา) มขี อ้ สนั นษิ ฐานวา่ ทน่ี เ่ี ปน็ แหลง่ ผลติ เครอ่ื งเคลอื บทเ่ี กา่ ทส่ี ดุ
ในภาคเหนอื ของประเทศไทย โดยผลิตเครื่องปน้ั ดินเผาชนิดเนอื้ หนิ ท่ีเคลอื บสเี ขยี วและสนี ้ำตาล ซึง่ มี
ลกั ษณะรปู ทรงลวดลายวธิ กี ารตกแตง่ คลา้ ยกบั ของกลมุ่ เตาสนั กำแพงแตเ่ นอ้ื ดนิ จะมสี เี ทาเขม้ เกอื บดำ
เนือ่ งจากดินทน่ี ำมาผลติ มีสว่ นผสมของทรายและแร่เหลก็ สูง
จานเคลือบสีเขียว
กล่มุ เตาเวยี งบัว
เตาบ่อสวก (ต.สวกพัฒนา อ.เมือง จ.น่าน) เครื่องปั้นดินเผาน่านมีเนื้อดินสีเข้มมักเคลือบด้วย
น้ำเคลือบสีน้ำตาลหรืออมสีดำ ส่วนเครื่องปั้นดินเผาสีอ่อนจะมีการทาน้ำดินสีขาวแล้วเคลือบใส
คลา้ ยคลงึ กบั เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาจากกลมุ่ เตาศรสี ชั นาลยั ระยะแรก
กล่องดิน
และลกั ษณะ
การวางเผา
ที่เตาบ่อสวก
ทงุ่ เตาไห (บา้ นวังหม้อ ต.ตน้ ธงชัย อ.เมือง จ.ลำปาง) เป็นแหลง่ ทผ่ี ลติ เฉพาะเครอ่ื งเคลอื บสนี ำ้ ตาล
ซง่ึ เคลอื บคอ่ นขา้ งหนา มักผลติ เป็นไหท่ีมขี อบปากสองช้ัน คนที แจกัน และตุ๊กตารปู สัตวต์ ่างๆ เช่น
วัวมโี หนก ช้าง และนก
ต๊กุ ตาเคลือบสีนำ้ ตาล
เคร่อื งปน้ั ดินเผาล้านนา
ของทุง่ เตาไห
62 คมู่ ือพชิ ิตองคค์ วามรู้ “เครอ่ื งปั้นดินเผา”
กลมุ่ เตาอินทขลิ (ต.อนิ ทขิล อ.แมแ่ ตง จ.เชียงใหม่) เป็นทผ่ี ลิตเคร่ืองปั้นดนิ เผาชนิดเนือ้ หินประเภท
เคลือบสเี ขยี วและเคลือบสนี ำ้ ตาล โดยใชด้ ินสขี าวคุณภาพดเี ชน่ เดยี วกับเคร่อื งป้นั ดินเผาศรีสัชนาลยั
เตาเผาห้วยน้ำหยวก (ต.ขนุ ยวม อ.ขนุ ยวม จ.แมฮ่ อ่ งสอน) เปน็ เตาชนดิ ความรอ้ นไหลผา่ นแนวเฉยี ง
ขน้ึ ทส่ี รา้ งขน้ึ ในยคุ หลงั เริ่มทำการผลิตเมื่อปี พ.ศ. 2444 โดยเน้นการผลิตแจกัน กระโถน อา่ ง
และชามเคลือบสเี ขียว
เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาหรภิ ญุ ไชย มศี นู ยก์ ลางอยทู่ เ่ี มอื งลำพนู มที ง้ั เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาแบบทข่ี น้ึ รปู งา่ ยๆ เปน็ ภาชนะ
สำหรบั ใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั และกลมุ่ ทม่ี กี ารตกแตง่ ดว้ ยการขดู ขดี ลายซง่ึ เปน็ ภาชนะทใ่ี ชบ้ รรจอุ ฐั ิ คาดว่า
ใช้วธิ เี ผากลางแจง้ เนือ่ งจากไมพ่ บเตาเผา
คนโทดินเผาหริภุญไชย
กลุม่ เตาศรสี ชั นาลยั (อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทยั ) ตั้งอยูร่ ิมฝงั่ แมน่ ้ำยม มเี ตาท่ีสำคัญคือเตาเกาะน้อย
ทม่ี ซี ากเตาซ้อนทบั กนั ถงึ 9 เตา ในเนินดินเดยี วกัน และเตาป่ายางทม่ี กี ารซ้อนทับกันของเตาอย่างน้อย
3 เตา
เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาจากลมุ่ เตานม้ี คี วามหลากหลายทง้ั รปู ทรงและประเภท มที ง้ั แบบไมเ่ คลอื บ แบบเคลอื บสขี าว
แบบเคลือบสีน้ำตาล เคลือบสีเขียว เคลืองสองสี และประเภทลายสีดำ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผา
ทเ่ี ลียนแบบรูปทรงและลวดลายของเครอื่ งปั้นดินเผาจีนเพ่ือเอาใจตลาด
ภาชนะเขยี นลายสดี ำและภาชนะเคลอื บสเี ขียว
63
{ อทิ ธพิ ลจากเครอ่ื งป้ันดนิ เผาจีน }
เคยมีความเช่ือกันว่าคนไทยได้รับความรู้เร่ืองการทำเคร่ืองปั้นดินเผาจากช่างชาวจีนท่ีเดินทางเข้ามาใน
อาณาจกั รสโุ ขทัย แต่พบหลกั ฐานวา่ กลุ่มเตาศรีสัชนาลัยเกิดข้ึนก่อนหน้าทจี่ ะมกี ารนำเคร่อื งป้ันดินเผาจนี
เขา้ มาในภูมภิ าคนี้ อยา่ งไรก็ตาม กระแสความนยิ มเครอ่ื งป้นั ดนิ เผาจากจนี และเวียดนาม โดยเฉพาะตลาด
ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ทำให้ช่างไทยนำเคร่ืองปั้นดินเผาจีนมาเป็นต้นแบบในการผลิตผลงาน
ท้งั รูปแบบ รปู ทรง และลวดลาย กอ่ นจะพฒั นาเปน็ เอกลกั ษณ์ของตวั เองในที่สุด
กลมุ่ เตาเมอื งเกา่ (อ.เมือง จ.สุโขทัย) อยู่บริเวณริมฝ่ังลำน้ำโจน เคร่อื งป้นั ดนิ เผาจากกล่มุ เตาน้ีเปน็
ประเภทลายสดี ำ และประเภทเคลอื บสขี าว มกั ทำเปน็ จานชามลายสดี ำทเ่ี ขียนเป็นลายรูปปลาและ
ดอกไม้ นอกจากน้ียังพบเคร่อื งประดบั สถาปตั ยกรรมท่มี ลี ายสดี ำอกี ดว้ ย
กล่มุ เตาชีปะขาวหาย (ต.หวั รอ อ.เมอื ง จ.พิษณุโลก) ต้ังอยรู่ มิ แมน่ ำ้ นา่ น ลักษณะเครือ่ งปั้นดนิ เผาท่ี
ผลติ มีทั้งชนดิ เนือ้ ดิน เน้ือหิน ประเภทไมเ่ คลือบและเคลอื บสนี ำ้ ตาล มีการตกแต่งด้วยการกดประทบั
ขูดขดี และปัน้ ติด
เตาชปี ะขาวหาย
ไหเนื้อแกรง่ ไม่เคลือบ จานเขียนลายสดี ำรปู ปลาคู่
ของเตาชีปะขาวหาย จากกลุ่มเตาเมอื งเก่า
64 คู่มือพชิ ติ องค์ความรู้ “เครอ่ื งป้นั ดนิ เผา”
กลุ่มเตาเผาในภาคกลาง
กลมุ่ เตาบางปูน (ต.พิหารแดง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี) เชอื่ วา่ มกี ารพัฒนามาตั้งแต่ก่อนอาณาจักร
อยธุ ยา โดยทำการผลิตเครอื่ งป้นั ดินเผาท้งั ชนิดเนื้อดินและชนิดเน้อื หนิ ตกแต่งดว้ ยการกดประทับเป็น
ลวดลายซ้ำๆ เช่น ลายใบโพธิ์ ใบเสมา ลายเทพพนม ลายรปู สตั ว์ และภาพที่เลา่ เรอ่ื งราวในพิธีกรรม
ต่างๆ เช่น พธิ ีแรกนาขวัญ การคล้องชา้ ง การล่าสตั ว์ การทำสงครามดว้ ยทัพช้าง ทัพม้า ฯลฯ
ภาพลายเส้นรูปท่ีกดประทบั บนไห
ไหไมเ่ คลือบ กลุม่ เตาบางปนู
กลุ่มเตาบางระจนั (บา้ นโคกหม้อ ต.เชงิ กลัด อ.บางระจนั จ.สงิ หบ์ ุร)ี กลุ่มเตาบางระจนั หรือเตา
แมน่ ำ้ นอ้ ย เปน็ แหลง่ ผลติ ภาชนะดนิ เผาเพอ่ื สง่ ออกไปยงั ตา่ งประเทศตง้ั แตส่ มยั อยธุ ยา ลกั ษณะผลติ ภณั ฑ์
จะเปน็ ชนดิ เคลือบสนี ำ้ ตาล สว่ นมากเป็นไหส่หี ู อ่าง กระปกุ ขวดปากบาน ไหสองหู ขวดสองหู
และผลิตชิ้นส่วนทใ่ี ชท้ างสถาปตั ยกรรม เชน่ กระเบื้องปูพน้ื ลวดลายนูนสงู สำหรับประดบั อาคาร
ประติมากรรมรปู สงิ หล์ อยตวั ขมวดพระเกศาดนิ เผา ท่อนำ้ ดนิ เผา ฯลฯ
กลมุ่ เตาสามโคก (บา้ นโคกขาม อ.สามโคก จ.ปทมุ ธาน)ี เปน็ แหลง่ ผลติ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาเชงิ อตุ สาหกรรม
ของชมุ ชนชาวมอญตัง้ แต่ปลายสมัยอยุธยาถึงรตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น ผลติ เครอื่ งใช้ในชีวติ ประจำวนั
ท่ีมรี ปู แบบเรยี บงา่ ย เช่น โอ่ง ครก กระปกุ และเครอ่ื งประดบั สถาปัตยกรรมอย่างกระเบ้อื งปูพ้ืน
กระเบือ้ งมงุ หลงั คา ทอ่ น้ำดนิ เผา โดยจำหนา่ ยให้กบั ชุมชนในลุ่มแมน่ ้ำเจ้าพระยา
กลมุ่ เตาริมคลองสระบัว (อ.พระนครศรีอยธุ ยา จ.พระนครศรอี ยธุ ยา) ชุมชนคลองสระบวั สืบทอด
การปั้นหม้อดินมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวบ้านคลองสระบัวเป็นช่างปั้นหม้อโดยเฉพาะหม้อดินเผา
เนื้อดินธรรมดาและเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น อ่าง กระทะ เตา พบหลักฐานเป็นชิ้นส่วน
เคร่อื งป้ันดนิ เผาและเตาเผาจำนวนมากอย่รู ิมฝงั่ คลอง โดยบนั ทกึ ในพระราชพงศาวดารเรียกบริเวณ
ดงั กล่าววา่ คลองหมอ้
65
กลมุ่ เตาเกาะเกรด็ (ต.ปากเกรด็ อ.ปากเกรด็ จ.นนทบรุ )ี ชาวมอญได้อพยพเขา้ มาตัง้ ถิน่ ฐานบรเิ วณ
ปากเกรด็ และได้นำภูมิปญั ญาการทำเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาจากบรรพบรุ ษุ ตดิ ตวั มาดว้ ย ประกอบกบั บรเิ วณ
เกาะเกร็ดมีดินคุณภาพเหมาะสมจึงมีการผลิตเคร่อื งป้นั ดินเผาขึ้นที่มีชื่อเสียงคือหม้อน้ำลายวิจิตร
ทำเพื่อถวายพระสงฆ์
หมอ้ น้ำลายวิจิตร
เคร่อื งปนั้ ดินเผาท่ีเปน็ เอกลกั ษณ์
ของชาวเกาะเกรด็
กลุม่ เตาเผาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กลมุ่ เตาพนมดงเรก็ (อ.ละหานทราย และอ.บา้ นกรวด จ.บรุ รี มั ย)์ เป็นกลุ่มเตาทีผ่ ลิตเคร่อื งป้ันดนิ เผา
วฒั นธรรมเขมรในชว่ งทอ่ี าณาจกั รเขมรรงุ่ เรอื งและแผอ่ ำนาจไปยงั เมอื งพมิ าย ประมาณชว่ งพทุ ธศตวรรษ
ท่ี 15-18 โดยผลติ ทงั้ เคร่ืองเคลือบทีเ่ ปน็ ภาชนะสำหรับใชส้ อยในชวี ติ ประจำวนั เชน่ ไห ชาม ตลับ โถ
เตา้ ปนู กระปกุ และรปู ทรงพเิ ศษทผ่ี ลิตเพ่อื ใชใ้ นพิธีกรรม เช่น สังข์ดนิ เผาเคลือบ คนโท คนทที ม่ี กี าร
ตกแต่งรูปบคุ คลหรือรปู สตั ว์ประกอบ
กระปกุ รปู ชา้ งเคลอื บสีน้ำตาล คนโทเคลอื บสองสี
66 คมู่ อื พชิ ติ องค์ความรู้ “เคร่ืองปั้นดินเผา”
กลุ่มเตาลุ่มน้ำสงคราม (อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร กิ่ง อ.นาทม และ อ.ศรีสงคราม
จ.นครพนม และ อ.เซกา จ.หนองคาย) เปน็ กลุ่มเตาที่กระจายตัวอยู่รมิ ฝงั่ แมน่ ำ้ สงคราม
มลี กั ษณะเปน็ เตาขดุ หรอื เตาอโุ มงคท์ ข่ี ดุ เขา้ ไปในตลง่ิ ของแมน่ ำ้ กลมุ่ เตานผ้ี ลติ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา
เนื้อแกร่งมีทั้งประเภทเคลือบสีน้ำตาลและไม่เคลือบ ส่วนมากเป็นไหทรงสูงที่มีขอบปาก
สองชนั้
รอ่ งรอยเตาเผาเครื่องป้ันดินเผารมิ แม่นำ้ สงคราม
กลุ่มเตาเผาในภาคใต้
กลุ่มเตาปะโอ (ต.มว่ งงาม อ.สิงหนคร จ.สงขลา) เป็นแหล่งผลติ เครอ่ื งปั้นดนิ เผาเพอ่ื สง่ ไป
ขายในเมืองสำคญั ๆ ทางภาคใต้ ในชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 16-18 โดยมีผลิตภณั ฑท์ สี่ ำคัญคือ
คนโท คนที และหม้อก้นกลม
67
เคร่ืองปน้ั ดินเผาอมิ พอรต์
แมว้ า่ จะมเี ตาเผาทสี่ ามารถผลติ เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาใชเ้ องและเคยผลติ เปน็ สนิ คา้ สง่ ออกทไ่ี ดร้ บั ความนยิ ม
แตเ่ ครอ่ื งปั้นดนิ เผาไทยค่อยๆ เสือ่ มความนยิ มลง และเลิกทำการผลติ ในเชิงอตุ สาหกรรมไปในท่สี ดุ
เนื่องจากการทำสงครามกบั ประเทศเพอื่ นบา้ น รวมถึงตลาดท้ังในและตา่ งประเทศไดเ้ ปล่ียนไปนิยม
เครอื่ งลายครามจากตา่ งประเทศแทน
เคร่ืองปนั้ ดนิ เผาจากตา่ งประเทศท่ไี ด้รบั ความนยิ มตง้ั แตป่ ลายสมยั กรุงศรอี ยุธยา คือ เครื่องป้นั ดนิ เผา
จากประเทศจนี ในยคุ นน้ั กลมุ่ ชนชน้ั สงู ไมว่ า่ จะในวงั วดั หรอื บรรดาเศรษฐี ตา่ งนยิ มใชเ้ ครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา
จากประเทศจนี กนั มาก นอกจากนย้ี งั มกี ารสง่ั ผลติ เครอ่ื งเบญจรงคแ์ ละเครอ่ื งลายนำ้ ทองทใ่ี ชก้ ารตกแตง่
ดว้ ยการเขยี นลายสที อง จนกระทง่ั ในรชั กาลสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทม่ี กี ารตดิ ตอ่ กบั ประเทศตะวนั ตก
ก็เริ่มมีการนำเครื่องปั้นดินเผาจากยุโรปเข้ามาใช้ ทำให้กลุ่มชนชั้นสูงหันไปนิยมเครื่องกระเบื้องและ
เครอ่ื งแกว้ ยโุ รปแทนในทส่ี ดุ อยา่ งไรกต็ ามประชาชนทว่ั ไปยงั คงนยิ มเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาจนี ทม่ี รี าคาถกู กวา่
เชน่ เดมิ
ภาพซา้ ยและขวา
ชดุ เครือ่ งนำ้ ชาและถ้วยชาลายครามในสมยั รชั กาลที่ 5
นยิ มส่ังทำพิเศษและนำเขา้ จากประเทศจีน
โถเขยี นลายเบญจรงค์ในสมยั อยธุ ยา
สงั่ ทำพเิ ศษจากประเทศจีน
68 คมู่ อื พิชิตองค์ความรู้ “เคร่ืองปน้ั ดินเผา”
การเกดิ ใหมข่ องเครอื่ งปน้ั ดินเผาไทย
ประเทศไทยกลบั มาผลติ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาในเชงิ อตุ สาหกรรมอกี ครง้ั เมอ่ื มกี ารตง้ั เตาเผาขน้ึ ใหมท่ ่ี จ.ลำปาง
และจ.ราชบรุ ี โดยไดร้ บั การสง่ เสรมิ สนบั สนนุ จากรฐั บาลทง้ั ดา้ นการลงทนุ และการหา้ มนำเขา้ เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผา
จากตา่ งประเทศจนทำใหเ้ กดิ โรงงานเครอื่ งปนั้ ดนิ เผาคณุ ภาพสงู เพมิ่ ขน้ึ ปจั จบุ นั นอกจากจะผลติ เพอ่ื ใช้
ภายในประเทศแลว้ ยังสามารถส่งออกไปขายยงั ต่างประเทศไดอ้ ีกดว้ ย
69
ภาคผนวก
อภิธานศพั ท์
เครือ่ งปั้นดินเผา (Ceramics) หมายถึง ส่งิ ของเครือ่ งใช้หรือวตั ถุทกุ ชนิดทีท่ ำดว้ ยดินเหนยี วและส่วนผสมอน่ื เช่น
ทราย แกลบ เป็นตน้ มาปนั้ เปน็ รูปร่างต่างๆ ตามลกั ษณะการใช้งาน จากนั้นนำมาเผาเพือ่ ให้เกดิ ความทนทาน
การกำหนดอายดุ ว้ ยวธิ ีคารบ์ อน 14 (Radiocarbon Dating or C-14) การหาอายุโดยวธิ ีการทางวิทยาศาสตรโ์ ดย
การตรวจสอบจำนวนคารบ์ อน 14 ซ่งึ เป็นไอโซโทปของคารบ์ อนทเี่ ปน็ กัมมนั ตภาพรังสที ่ีเหลืออยู่ในอินทรยี วตั ถุ
หลังจากสลายตัว จะสลายตัวไปครึ่งหนง่ึ ทกุ 5,730 ปี เรยี กว่า “คร่ึงชีวิต” (half-life) วิธีการน้ีสามารถกำหนดอา
ยไุ ด้ยอ้ นไปถึง ประมาณ 50,000 ปี
การกำหนดอายุดว้ ยวิธีเทอรโ์ มลูมิเนสเซนส์ (Thermo luminescence Dating) วธิ ีหาอายขุ องเครือ่ งปั้นดินเผา
หินและแร่ โดยการให้ความร้อนไปยังตัวอย่างเครื่องปั้นดินเผา หินและแร่นั้น เพื่อให้ปลดปล่อยอิเล็กตรอนท่ี
ถูกดักเก็บอย่ใู นผลกึ แรท่ ปี่ ระกอบในเนอื้ ของตวั อย่างนั้นๆ กระบวนการนจ้ี ะทำให้เกิดการเปลง่ แสง ปริมาณของแสง
ทีเ่ ปล่งออกมาเปน็ สัดส่วนสัมพันธ์กับปรมิ าณรงั สีท่ตี วั อย่างนั้นดักเก็บไวต้ อนทถ่ี กู เผาในอดีต อัตราการเปลง่ แสง
จะสามารถนำไปคำนวณหาอายุของตัวอย่างนั้นๆ ตัวอย่างที่เหมาะสมสำหรับการหาอายุด้วยวิธีนี้ คือ มีอายุ
ระหวา่ ง 300 – 10,000 ปมี าแลว้
เครื่องเบญจรงค์ (Benjarong Ware) เครือ่ งป้ันดนิ เผาท่เี คลือบและลงยาลวดลายดว้ ยสตี ่างๆ โดยมีสหี ลัก ไดแ้ ก่
สดี ำ สีแดง สีขาว สีเหลือง และสเี ขียว ซ่ึงสั่งผลิตจากประเทศจนี ตงั้ แตส่ มยั อยธุ ยา (ประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 22)
ต่อเนือ่ งถงึ สมัยตน้ รตั นโกสินทร์ (พุทธศตวรรษท่ี 24) ในสมยั อยุธยาตอนปลาย (พทุ ธศตวรรษที่ 23) มกี ารสงั่ ผลติ
เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาทม่ี กี ารตกแตง่ ดว้ ยสที องเรยี กวา่ “ลายนำ้ ทอง”และนยิ มใชเ้ ครอื่ งปนั้ ดนิ เผาทงั้ สองประเภทตอ่ เนอ่ื ง
มาจนถงึ พุทธศตวรรษที่ 24
เคร่อื งลายคราม (Blue and White Ware) เป็นชอ่ื เรยี กเคร่อื งกระเบ้อื งทตี่ กแต่งดว้ ยการเขยี นลายสนี ำ้ เงนิ ใตเ้ คลอื บ
ทำเป็นครัง้ แรกในประเทศจีนตง้ั แตส่ มยั ราชวงศ์ซง่ และราชวงศเ์ ยวีย๋ น แตม่ ชี ือ่ เสียงมากในสมัยราชวงศ์หมงิ และ
ราชวงศช์ งิ
เครื่องสังคโลก (Sawankhalok Ware) เครอ่ื งป้นั ดินเผาประเภทชนิดเนือ้ หิน ตกแตง่ ดว้ ยลายสีดำ และเคลือบสีเขียว
ผลติ จากกลมุ่ เตาศรสี ชั นาลยั โดยมที ม่ี าจากคำวา่ “สวรรคโลก” ปจั จบุ นั จงึ ไมน่ ยิ มนำมาใชเ้ รยี ก และหมายถงึ เฉพาะ
เครื่องถ้วยท่ผี ลติ จากกลุ่มเตาศรสี ชั นาลยั หรอื สวรรคโลก (เก่า) เพยี งแหง่ เดียว
เคลอื บ (Glazing) วธิ ตี กแต่งบนผวิ ภาชนะดนิ เผาโดยการใช้นำ้ เคลอื บทมี่ สี ่วนผสมซิลกิ า (Silica) ทา ชุบ จุ่ม เท
หรือราดนำ้ เคลอื บทับบนผวิ เมอื่ นำไปเผาดว้ ยความร้อนสูง นำ้ เคลือบจะกลายเปน็ แก้วเคลอื บเปน็ ชั้นบางๆ บนผิว
ภาชนะ
เคลือบขี้เถ้าพืช (Ash Glaze) เป็นการเคลือบเครื่องปั้นดินเผาให้ผิวมันวิธีหนึ่ง โดยใช้ขี้เถ้าจากพืชเป็น
ส่วนผสมหลักเป็นตัวช่วยในการหลอมละลาย (flux) น้ำเคลือบชนิดนี้มีลักษณะพิเศษคือมีสีเขียวจนถึงสีน้ำตาล
ปกติมกั มผี ิวราน จดั เปน็ นำ้ เคลอื บชนดิ เกา่ แกท่ ี่สดุ ทีม่ นษุ ยค์ น้ พบและเผยแพร่อย่ทู างซีกโลกตะวันออก จากการ
ขุดค้นทางโบราณคดีในประเทศจีนได้พบเครื่องเคลือบขี้เถ้าพืชที่หลุมฝังศพสมัยราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ. 337 - 763)
สว่ นเครอ่ื งปน้ั ดินเผาเคลอื บขี้เถา้ ของไทยทผี่ ลติ ส่งออกจนมีช่อื เสียงทัว่ โลก ส่วนใหญ่ทำจากกลมุ่ เตาทศี่ รีสชั นาลยั
ซงึ่ เปน็ ทรี่ ู้จักในนาม “เครอ่ื งสงั คโลก” (ญี่ปนุ่ เรียกว่า ซงั กโุ รก)ุ สว่ นในทวีปยุโรปเรม่ิ รู้จักเครอ่ื งเคลอื บขเ้ี ถ้าพืช
ในพุทธศตวรรษท่ี 22 ในช่ือวา่ เซลาดอน
70 คูม่ อื พชิ ติ องค์ความรู้ “เครือ่ งปัน้ ดนิ เผา”
เคลอื บขนุ่ (Opaque Glaze) หรอื เคลือบดา้ น เป็นการเคลือบภาชนะดินเผาดว้ ยน้ำเคลือบ เมอ่ื เผาเสรจ็ แลว้
ผวิ เคลือบทีไ่ ดม้ ีลักษณะทบึ แสง
เคลอื บราน (Crackle Glaze) การเคลอื บภาชนะดนิ เผาทีท่ ำใหเ้ กดิ รอยแตกอย่ใู ตผ้ วิ เคลือบเพ่ือความสวยงาม
เคลือบสี (Color Glaze) การเคลอื บภาชนะดินเผาโดยใช้นำ้ เคลือบที่ทำให้เกิดสีโดยการเตมิ ออกไซด์ของโลหะต่าง ๆ
สที เ่ี กิดขึน้ อย่กู ับชนิดจำนวนของออกไซด์และอุณหภูมทิ ใ่ี ชใ้ นการเผาภาชนะ
เคลือบใส (Transparent Glaze) การเคลือบภาชนะดินเผาโดยใช้น้ำเคลือบที่เมื่อเผาเสร็จแล้วน้ำเคลือบจะใส
เหมือนแกว้ สามารถเหน็ ผวิ ภาชนะใตเ้ คลอื บได้
โคบอลตอ์ อกไซด์ (Cobalt Oxide) เปน็ สารทใ่ี ห้สีน้ำเงนิ ในการผลิตเครื่องลายคราม โดยจะเขยี นลายลงบนภาชนะที่
เผาดบิ แลว้ เคลอื บทบั ดว้ ยนำ้ เคลอื บโปรง่ แสงหรอื เคลอื บใส พบมากในเครอ่ื งลายครามจนี เครอ่ื งลายครามเวยี ดนาม
และเครือ่ งลายครามญ่ีปุน่
จดุ หลอมเหลว (Melting Point) คอื จดุ ทส่ี ารเปลย่ี นสถานะจากของแขง็ เปน็ ของเหลว ตวั อยา่ งเชน่ นำ้ มจี ดุ หลอมเหลว
เปน็ 0 องศาเซลเซยี ส หมายความว่า น้ำแขง็ จะกลายเป็นนำ้ เมื่ออุณหภูมิมากกว่า 0 องศาเซลเซียส
ช่อฟา้ (Ridge Finial) เป็นเคร่อื งประดบั หลงั คาบนงานสถาปัตยกรรมไทยประเภทอุโบสถหรือวหิ าร เป็นส่วนซงึ่
ประดบั อยสู่ ว่ นยอดบนสดุ ของปลายสนั หลงั คา หรอื สว่ นยอดของปา้ นลม นยิ มทำเปน็ รปู ตา่ งๆ เชน่ รปู นาค รปู เทพนม
ซลิ กิ า (Silica) เป็นสารประกอบชนดิ หนง่ึ สตู รเคมีคอื SiO2 มจี ุดหลอมเหลว 1,700 องศาเซลเซยี ส มีจดุ เดือด
2,230 องศาเซลเซียส เป็นของแข็งไม่มสี ี มีโครงสร้างแบบผลึกซิลกิ าในธรรมชาตจิ ะอยู่ในรูปของทราย ควอตซ์
และหินบางชนิด ใชใ้ นอตุ สาหกรรมการผลิตแกว้ วัสดุทนไฟ และเครอื่ งป้ันดนิ เผา เปน็ ต้น
เซลาดอน (Celadon) เครอ่ื งเคลอื บดนิ เผาชนดิ เนอ้ื หนิ เคลอื บสเี ขยี วหรอื สเี ขยี วอมสฟี า้ เรยี กวา่ “เครอ่ื งเคลอื บเขยี วไขก่ า”
ใช้เรียกเครื่องเคลือบสีเขียวของภาชนะดินเผาจากทางตะวันออกที่เคลือบบนเน้ือดินปั้นชนิดเน้ือหิน
และชนดิ เนอ้ื กระเบอ้ื ง คำนม้ี าจากภาษาฝรง่ั เศสเปน็ ชอ่ื ของคนเลย้ี งแกะทช่ี อ่ื เซลาดอน ซง่ึ สวมเสอ้ื คลมุ สเี ขยี วอมสเี ทา
ในละครท่ไี ดร้ ับความนยิ มมากในพุทธศตวรรษที่ 23 คอื เร่อื ง D’Urfe’s Romance of Astree ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับ
เคลือบสีเขียวที่ดูสวยงามและมีคุณค่าของจีนกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในยุโรป
โซดาแอช (Soda Ash) หรือโซเดยี มคาร์บอเนต สูตรเคมี คือ Na2CO3 เปน็ สารประกอบเกลือของกรดคาร์บอนิก
มีลกั ษณะเป็นผงสีขาว ไมม่ ีกลิ่น สามารถดูดความชน้ื จากอากาศได้ดี ละลายได้ในนำ้ มีฤทธเิ์ ปน็ ด่างแกเ่ มอื่ ละลายนำ้
พบในขี้เถ้าของพืชหลายชนดิ (จงึ ได้ช่ือว่า โซดาแอช เนื่องจาก ash หมายถึง ขีเ้ ถา้ ) เป็นสารเคมีทใี่ ช้ในอตุ สาหกรรม
หลายชนิด เช่น แก้ว เครื่องปั้นดินเผา กระดาษ ผงซักฟอก สบู่ การแก้ไขน้ำกระด้าง โซเดียมคาร์บอเนต พบได้
ในธรรมชาตใิ นเขตแหง้ แล้งโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในแหลง่ แรท่ ีเ่ กดิ จากทะเลสาบทีร่ ะเหยแหง้ ไป ในสมยั อียิปต์โบราณ
มีการขุดแร่ที่เรียกว่า เนทรอน (natron) (ซึ่งเป็นเกลือที่ประกอบด้วยโซเดียมคาร์บอเนต หรือโซดาแอช)
จากกน้ ทะเลสาบท่แี ห้งใกล้แมน่ ำ้ ไนล์ และนำมาใช้ในการทำมมั ม่แี ละนำ้ เคลือบเคร่อื งปั้นดินเผา
ดินขาว (White Clay – Kaolin) เกาลิน ดินสีขาวที่มีส่วนประกอบของ อลูมินา, ซิลิกา คนโบราณเรียนรู้ว่า
มีคณุ สมบัตเิ หมาะสมท่ีจะนำมาผลติ เคร่ืองป้ันดินเผาทม่ี ีคณุ ภาพดี
ดนิ เช้ือ (Filter) ดินทเี่ ผาแลว้ หรือเศษภาชนะดนิ เผาที่นำมาบดผสมวัสดอุ ่นื เช่น แกลบ ฟางข้าว ทราย เป็นตน้
ปน้ั เปน็ กอ้ นเผาไฟบดละเอยี ดใชผ้ สมในดนิ เหนยี วเพอื่ ใหด้ นิ มคี ณุ สมบตั เิ หมาะสมในการขนึ้ รปู ลดความเหนยี วของดนิ
เวลาเผาจะไดไ้ ม่หดตวั มากเกนิ ไปจนบดิ เบยี้ วเสยี รปู
71
ตะคันดนิ เผา (Lamp) เคร่ืองใช้สำหรับใหแ้ สงสวา่ งทำจากดนิ เผา มีรปู รา่ งคล้ายถ้วยหรอื จานขนาดเล็ก ใสน่ ำ้ มัน
และไสส้ ำหรับจุดไฟ
ตวั ละลาย (Flux) เป็นสารทใี่ สใ่ นเน้อื ดนิ เพอ่ื ชว่ ยลดอณุ หภมู ใิ นการหลอมละลาย ทำให้ดินสุกเรว็ ข้ึนและช่วยให้
เนื้อดนิ เหนยี วแนน่ ขนึ้ วัตถดุ บิ ประเภทสารช่วยหลอมเป็นแรท่ ่ีประกอบด้วย อลั คาไลน์ ซ่งึ จะหลอมตัวระหว่างเผา
และทำปฏกิ ริ ยิ ากบั สารประกอบตวั อนื่ ๆเพอื่ แขง็ ตวั เปน็ แกว้ ซงึ่ จะทำหนา้ ทใ่ี หค้ วามแขง็ แรงกบั ชนิ้ งานหลงั เผาดงั นนั้
ตวั ละลายจะเปน็ ตวั ชว่ ยลดอณุ หภมู ิทีใ่ ชใ้ นการเผาชน้ิ งานลง
ตุก๊ ตาเสยี กบาล (Figurine) ตุ๊กตารปู บุคคลปน้ั ด้วยดินอย่างง่ายๆ สว่ นศรี ษะหักหายไป เชอ่ื ว่าเกิดจากการหักศีรษะ
ตกุ๊ ตาออกอันเป็นพิธีกรรมสะเดาะเคราะหห์ รอื เพ่ือรับเคราะหแ์ ทนตนเอง
เตาเชิงกราน (Stove) เตาหงุ ต้มอาหารมลี กั ษณะเป็นทรงโค้งเปิดชอ่ งไฟไวด้ ้านหน่ึง ส่วนลา่ งเป็นฐานรองคล้ายถาด
สำหรบั ใสเ่ ชื้อเพลิง ที่ผนงั มีนมเตาย่นื ออกมาสำหรบั รองรบั ภาชนะ
เตา (Kiln) สิง่ ก่อสรา้ งดว้ ยอิฐหรือดนิ ใช้ในการเผาผลติ ภัณฑ์ท่ที ำจากดนิ เพอื่ การควบคมุ อณุ หภมู ิ มีรปู แบบต่างๆ
ข้นึ อยู่กับเทคนิคสถานทีต่ งั้ อุณหภูมิทตี่ อ้ งการเผา เช่น เตาเปิด เตาชนิดระบายความรอ้ นข้ึน เตาชนดิ ระบายความ
รอ้ นแนวเฉยี งขึน้ เป็นตน้
เตาชนิดระบายความรอ้ นขึน้ (Up Draught Kiln) มลี ักษณะเตาเปน็ รปู กลม รูปไข่ หรอื รูปส่เี หลีย่ ม มีทั้งที่สร้างด้วย
ดินเหนยี วและอฐิ แบง่ เตาเปน็ สองตอนโดยใชแ้ ผ่นดนิ เหนยี วรูปกลมรูปไข่ หรือสี่เหลีย่ ม ตามลักษณะของเตาเรยี กว่า
“ตะกรับ” ซง่ึ เจาะรูกลมเลก็ ๆ คล้ายรังผ้ึง ทั่วทั้งแผน่ ตอนบนเป็นชนั้ วางเครือ่ งปั้น หรอื ภาชนะทจี่ ะเผามีชอ่ งใส่
เชอ้ื เพลงิ อยูท่ างตอนล่าง ความรอ้ นจากการเผาเช้ือเพลงิ จะระบายขนึ้ สชู่ นั้ วางเครอ่ื งป้ันดินเผา หรือภาชนะดินเผา
ผา่ นรกู ลมเลก็ ๆท่ตี ะกรบั เตาเตาชนดิ นจี้ ะให้ความร้อนไมส่ งู นักภาชนะที่ไดจ้ ะเปน็ ชนิดเนือ้ ดินหรอื ประเภทไม่เคลอื บ
ทใ่ี ชใ้ นชวี ิตประจำวนั
เตาชนิดระบายความร้อนเฉียงขนึ้ (Cross Draught Kiln) มีลกั ษณะหลงั คาโค้งเป็นรปู ประทุน มีทง้ั ท่ีสร้างดว้ ย
ดินดบิ และอฐิ แบ่งพ้นื ท่ภี ายในเตาเป็นสามส่วน ด้านหน้าเป็นที่ใสไ่ ฟ ตรงกลางเปน็ ทีว่ างเครื่องปนั้ หรอื ภาชนะท่ี
จะเผาตอนท้ายเปน็ สว่ นของปลอ่ งไฟ โดยทำระดับพืน้ ของเตาใหส้ ูงข้ึนเป็นลาดเอียงขน้ึ ไปหาปล่องควัน ความรอ้ น
จากส่วนที่ใส่เชื้อเพลิงจะค่อยๆ ไหลผ่านภาชนะที่เรียงอยู่ในเตาออกสู่ปากปล่อง เตาชนิดนี้จะให้ความร้อนสูง
ภาชนะทไี่ ด้จะเป็นชนดิ เนื้อหนิ มที ้งั แบบเคลอื บและแบบไมเ่ คลอื บ
เตาหลมุ (Pit,Cavekiln)การขุดลงไปในดินหรอื ขุดเข้าไปในดนิ ให้เป็นอโุ มงค์นำภาชนะใสล่ งไปในหลุมหรืออโุ มงค์นน้ั
แลว้ สมุ ไฟบนภาชนะ ตอ่ มาดดั แปลงเตาใหด้ ขี น้ึ โดยทำทางระบายอากาศไวด้ า้ นตรงขา้ มกบั ทใ่ี สไ่ ฟเตาแบบนเ้ี ปน็ ตน้ แบบ
ของเตาชนิดระบายความรอ้ นขึ้นในระยะต่อมา
แตกราน (Crazing) มรี อยราน เคลอื บท่ีแตกเป็นเสน้ เลก็ ๆ โยงกันเป็นตาเล็กบ้างใหญ่บา้ ง สาเหตเุ กิดจากเมอ่ื
นำ้ เคลอื บและเนือ้ ดนิ ป้นั เย็นตัวลงภายหลงั จากผา่ นการเผาเคลือบหดตวั มากกวา่ เนื้อดิน ผิวเคลอื บมีความตงึ ตวั
จนแยกออกจากกนั
ทวารบาล (Guardian) ผู้ดแู ลรกั ษาประตหู รอื ทางเขา้ สูศ่ าสนสถาน สถานทีอ่ นั ศกั ดิ์สิทธห์ิ รอื เขตพระราชฐาน เพอ่ื
ปกป้องไม่ใหส้ ่ิงช่ัวรา้ ยเข้าไปภายในอาคาร
72 คมู่ ือพิชติ องคค์ วามรู้ “เคร่อื งปนั้ ดนิ เผา”
ทวารวดี (Dvaravati) ยคุ สมัยทางโบราณคดขี องไทย เปน็ ยุคแรกเร่มิ ประวัติศาสตร์ ราวพุทธศตวรรษที่ 11 - 16
ชุมชนทวารวดีมพี ฒั นามาจากชมุ ชนยคุ ก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายสมัยเหล็กและรับเอาวฒั นธรรมอินเดยี เช่น
ความเชอื่ ทางศาสนา ศิลปกรรม อักษร ภาษาและการปกครอง เป็นต้น เข้ามาผสมผสานเปน็ วฒั นธรรมใหมข่ อง
ตนเองในสมยั ทวารวดมี กี ารสรา้ งคนู ำ้ คนั ดนิ ลอ้ มรอบเมอื งเพอื่ ปอ้ งกนั นำ้ ทว่ มและปอ้ งกนั เมอื งรวมทง้ั เพอื่ ผลประโยชน์
ในการเกษตรและการคมนาคมทางน้ำ นกั โบราณคดไี ด้พบรอ่ งรอยเมืองโบราณสมยั ทวารวดีหนาแน่นมากในบริเวณ
ภาคกลางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ภาคเหนือ และภาคใตข้ องประเทศไทย
เทพนม (Teppanom) เป็นรูปเทวดาคร่งึ องค์พนมมอื หนั หน้าตรง มโี ครงรา่ งของลายเปน็ รปู สามเหลยี่ ม
เทอร์ราคอตตา้ (Terracotta)วัตถดุ ินเผาเน้อื ดินออกสีแดงเนือ้ ไม่แกร่งมคี วามพรนุ ตัวสงู สามารถดดู ซึมน้ำไดม้ าก
มกั ไม่เคลอื บผวิ
น้ำเคลือบ (Glaze) น้ำยาที่มีความเหนียวมากในอุณหภูมิปกติจึงไม่เกิดรูปผลึกขึ้น มีส่วนประกอบเช่นเดียวกับ
เน้ือดินทใ่ี ช้ป้ันภาชนะ คอื ซลิ กิ า (silica) และอลมู นิ า (alumina) เมือ่ ถูกความรอ้ นสงู นำ้ เคลอื บจะปรับตวั ใหม่
เหมือนกบั การเกิดของแก้วธรรมชาตเิ ป็นชัน้ บางๆ เคลือบผิวภาชนะ
บรรยากาศการเผาไหม้รดี ักชนั (Reduction firing) เปน็ การเผาผลิตภัณฑท์ ่ีเชอื้ เพลิงเกดิ การเผาไหม้ไมส่ มบูรณ์
จะเกดิ กา๊ ซคารบ์ อนมอนนอกไซดใ์ นสภาวะทเ่ี ปน็ ควนั หรอื เขมา่ ไดถ้ า้ มอี ากาศนอ้ ยเกนิ ไป การเผาแบบนจ้ี ะใหพ้ ลงั งาน
ความรอ้ นน้อยกว่าการเผาแบบเพ่มิ ออกซเิ จน การเผาแบบนมี้ ักจะไดน้ ้ำเคลอื บสเี ทา สเี ทาอมสเี ขยี วหรอื สีเขียว
มะกอก
บรรยากาศการเผาไหม้ออกซเิ ดชัน(Oxidationfiring)เปน็ การเผาผลติ ภัณฑ์ที่เช้ือเพลิงเกิดจากการเผาไหมส้ มบรู ณ์
และมอี ากาศสว่ นเกนิ จากการเผาไหมอ้ อกมาดว้ ย การเผาแบบนม้ี กั จะไดน้ ำ้ เคลอื บสเี หลอื งนวล สนี ำ้ ตาลออ่ นจนถงึ
สีน้ำตาลแก่ ซงึ่ เกิดจากเหลก็ ท่ีมีอยูใ่ นข้เี ถ้าและเหล็กจากวัตถดุ บิ อืน่ ผสม
แปน้ หมนุ (Potter’s Wheel) อปุ กรณใ์ นการขน้ึ รปู ภาชนะดนิ เผา โดยการวางกอ้ นดนิ หรอื ขดดนิ บนแผน่ ไมห้ รอื แผน่ หนิ
ทหี่ มุนไปรอบๆ ซ่ึงทำให้การข้นึ รูปนัน้ งา่ ยและเร็วข้นึ
เผาดบิ (Biscuit firing) หรอื การเผาดบิ เปน็ การนำภาชนะทต่ี ากแหง้ แลว้ มาเผาจะไดภ้ าชนะทส่ี ามารถนำไปใชไ้ ดเ้ ลย
หรอื อาจนำไปตกแตง่ ด้วยวิธีอนื่ ต่อไป
เผาเคลอื บ (Gloss firing) เปน็ การเผาครง้ั ที่สอง โดยนำภาชนะท่ีไดจ้ ากการเผาดบิ แลว้ คร้ังหน่ึง แล้วนำไปเคลือบ
และนำไปเผาเพ่อื ใหเ้ คลอื บหลอมเปน็ แก้วติดแน่นอยูบ นผวิ
ภาชนะดินเผา (Pottery) เครือ่ งปัน้ ดินเผาทีท่ ำเป็นภาชนะมรี ปู ทรงต่างๆ เชน่ หมอ้ ถ้วย ชาม ไห กระปุก ฯลฯ
เครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาชนดิ เนอ้ื กระเบอ้ื ง (Porcelain) มเี นอ้ื ดนิ สขี าว เพราะมสี ว่ นผสมของดนิ ขาวหรอื เกาลนิ เนอ้ื ดนิ ละเอยี ด
สามารถขน้ึ รปู ภาชนะไดบ้ าง เมอ่ื เคาะเสยี งเสยี งจะดงั กงั วาน ไมด่ ดู ซมึ นำ้ เผาดว้ ยอณุ หภมู ปิ ระมาณ 1,300-1,450
องศาเซลเซียส
เคร่ืองปัน้ ดนิ เผาชนิดเนอ้ื หนิ (Stoneware)เคร่อื งปั้นดินเผาท่มี เี นื้อแกรง่ คลา้ ยหนิ เพราะเนื้อดินหลอมละลายติดกนั
น้ำไมส่ ามารถซึมผ่านได้ ดีดเคาะมีเสียงใส กังวาน เผาดว้ ยอณุ หภูมิประมาณ 1,000-1,300 องศาเซลเซยี ส
เครื่องปนั้ ดินเผาชนิดเนื้อดนิ (Earthenware) มีเนอ้ื หยาบ มคี วามพรนุ ตวั สามารถดดู ซึมน้ำไดด้ ี เมอ่ื เคาะเสยี งจะ
ไม่ใสกงั วาน เผาด้วยอณุ หภมู ปิ ระมาณ 850-1,000 องศาเซลเซียส
73
ไม้ตีลาย (Paddle) ไม้แบนรูปร่างคล้ายใบพายแต่มีขนาดเล็กกว่าด้ามสั้น ใช้สำหรับตีตกแต่งผิวภายนอกของ
เครอ่ื งปัน้ ดนิ เผามักใช้คกู่ บั หินดุ บางครงั้ พบวา่ มีการตกแตง่ ลวดลายหรอื พนั เกลยี วเชอื กเพ่อื ใหเ้ กดิ ลายประทบั บน
ผวิ ภาชนะ
ลายกดประทับ (Impressed or Stamped Decoration) ลวดลายบนผวิ ภาชนะทเ่ี กิดจากการนำวตั ถธุ รรมชาติ
หรือวัตถุที่ตกแต่งเป็นลวดลายต่างๆ มากดประทับลงบนผิวภาชนะขณะที่ดินยังหมาดๆ ทำให้เกิดรอยลึกลงใน
เนือ้ ภาชนะ
ลายกน้ หอย (Spiral Pattern) ลายทม่ี ว้ นวนเป็นเกลยี วเหมอื นเปลอื กหอยโขง่
ลายขดุ (Excised Decoration) ลวดลายบนผวิ ภาชนะที่เกิดจากการใช้ของมคี มปลายมน ปลายโค้ง หรอื ปลายตัด
ขดุ ตดั เอาดนิ บนภาชนะดนิ เผาออกเปน็ รอ่ งทำเปน็ ลวดลายตามตอ้ งการจะทำในขณะทด่ี นิ ยงั ออ่ นตวั อยู่(Leather-Hard)
เช่น เคร่ืองป้ันดินเผามลี วดลายทเ่ี กาะเกรด็ จงั หวัดนนทบรุ ี
ลายขดู ขีด (Incising Decoration) ลวดลายบนภาชนะดนิ เผาทเี่ กดิ จากการใชเ้ ครือ่ งมอื ปลายแหลม เชน่ ไม้ กระดกู
โลหะ หรอื หิน ขดู ขดี ลงบนผิวภาชนะขณะทีด่ ินยังหมาดๆ ทำให้เกิดลวดลายต่างๆ ตามต้องการ
ลายจกั สาน (Cross-hatch Design) ลวดลายบนภาชนะดนิ เผาท่ีเกิดจากการใช้เครือ่ งจกั สานเป็นแบบข้ึนรูป
เมือ่ นำไปเผาเคร่ืองจักสานจะไหมส้ ลายไปเหลอื เฉพาะลายปรากฏบนภาชนะ
ลายเชือกทาบ (Cord-marked Design) ลวดลายบนผวิ ภาชนะทเ่ี กิดจากการใชเ้ ชือกฟน่ั หรือเชือกพันไมก้ ด
กลิง้ ลงบนผวิ ภาชนะขณะทด่ี นิ ยงั หมาดๆ
ลายซีห่ วี (Combed Design) ลวดลายบนภาชนะดินเผาที่เกิดจากการใชห้ วี หรอื ของแขง็ ท่ที ำเปน็ ซ่ีคล้ายหวีขูดลง
บนผิวภาชนะขณะทดี่ นิ ยังหมาดๆ ทำใหเ้ กิดลวดลายขนานกัน จัดเปน็ วิธีตกแตง่ วธิ หี น่งึ
ลายปั้นแปะ (Applique Design) ลวดลายบนภาชนะดินเผาทเ่ี กดิ จากการป้ันดนิ แปะลงบนตัวภาชนะเพื่อใหเ้ กดิ
ลวดลายตา่ งๆ
ลกู กลิ้ง (Clay roller) ก้อนดนิ เผารูปทรงกระบอกหรอื ทรงกระบอกรีขนาดเลก็ เจาะรตู รงกลาง ตกแต่งผิวด้วยการ
ขดี เปน็ รอ่ งหรอื แกะเปน็ ลายนนู เปน็ ลวดลายตา่ งๆ เชน่ ลายฟนั ปลาลายขดี เปน็ ตน้ อาจใชส้ ำหรบั พมิ พล์ ายบนผวิ หนงั
หรอื พิมพ์ลายบนผ้า นอกจากนเ้ี คยเชือ่ กันว่าใช้พมิ พ์ลายบนภาชนะดินเผา บ้างวา่ ใช้เป็นเครอื่ งราง
วัฒนธรรมกราเวตเตียน ( Gravettian Culture) มีอายรุ าว 28,000-23,000 ปมี าแล้ว ในทวปี ยโุ รป เป็นวัฒนธรรม
ยุคหนิ ตอนปลายทีม่ ลี ักษณะเด่นคอื เกิดอตุ สาหกรรมการผลิตเครือ่ งมอื หนิ ทมี่ ีใบมีดหินปลายแหลมขนาดเล็กใช้
สำหรับการลา่ สัตว์ขนาดใหญ่ (ววั กระทิง ม้ากวางเรนเดียร์ และแมมมอธ) แบ่งออกเปน็ สองกลุม่ ตามภูมภิ าคคอื
กราเวตเตียนตะวันตก แหล่งโบราณคดีที่รู้จักส่วนใหญ่คือ ถ้ำในประเทศฝรั่งเศส และกราเวตเตียนตะวันออก
แหลง่ โบราณคดที ร่ี จู้ กั สว่ นใหญค่ อื ทงุ่ ลา่ สตั วบ์ นทร่ี าบยโุ รปตอนกลางและรสั เซยี ตวั อยา่ งงานศลิ ปะและโบราณวตั ถุ
ที่สำคญั คือ ศิลปะถ้ำและประติมากรรมรปู คนและรปู สตั วข์ นาดเลก็
วัฒนธรรมโจมอน (Jomon Culture) วฒั นธรรมเครื่องปน้ั ดนิ เผารุ่นแรกในประเทศญป่ี ุ่น คำวา่ “โจมอน” แปลวา่
เชอื กทาบ ตง้ั ชอ่ื ตามลวดลายทม่ี อี ยบู่ นเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาเหลา่ น้ี วฒั นธรรมโจมอนมรี ะยะกอ่ ตวั ตง้ั แต่ 16,000 ปมี าแลว้
จนถงึ ระยะสดุ ท้ายราว 3,000 ปีมาแล้ว เครื่องปน้ั ดนิ เผาสมยั นม้ี คี วามหลากหลาย นอกเหนือจากการผลิตขน้ึ
เพื่อใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีเครื่องปั้นดินเผาบางกลุ่มอาจถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมด้วย
มนุษย์ในวัฒนธรรมโจมอนยังชีพด้วยการจบั สัตว์นำ้ และเก็บหาอาหารจากทรัพยากรชายฝ่ังทะเล
74 ค่มู ือพิชติ องค์ความรู้ “เครอ่ื งปั้นดนิ เผา”
วัฒนธรรมบ้านเก่า (Ban Kao Culture) วัฒนธรรมสมัยหินใหม่ที่มีอายุ ระหว่าง 4,000-3,700 ปีมาแล้ว
ถกู ค้นพบครั้งแรกท่บี า้ นเก่า ตำบลจระเข้เผอื ก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ลกั ษณะเด่นของวัฒนธรรมน้ี คอื
เครือ่ งปัน้ ดนิ เผาท่มี รี ูปแบบหลากหลาย นยิ มตกแต่งผวิ ให้เป็นสีเขม้ ขดั มัน และหมอ้ สามขา
วัฒนธรรมบ้านเชียง (Ban Chiang Culture) เป็นแหล่งโบราณคดีสำคัญแห่งหนึ่งอยู่ที่อำเภอหนองหาน
จังหวัดอุดรธานี ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมนี้ คือ เครื่องปั้นดินเผาที่สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ยุค ได้แก่
เคร่อื งป้นั ดินเผาสมยั ต้น อายุ 5,600-3,000 ปี มลี ายเชอื กทาบท้ังยงั มีลายขดู ขีด โดยพบวางค่กู ับโครงกระดกู
เครอื่ งปนั้ ดนิ เผาสมยั กลาง อายุ 3,000 ปี-2,300 ปี สมัยนเ้ี ปน็ สมัยทเ่ี รม่ิ มกี ารทาสแี ดงแล้ว เครือ่ งปน้ั ดินเผา
สมยั ปลาย อายุ 2,300 ปี-1,800 ปี เปน็ ยุคทม่ี ลี วดลายทาสีแดงทีส่ วยงามท่สี ดุ ก่อนทจี่ ะกลายมาเปน็ ภาชนะ
ทานำ้ ดินสแี ดงขัดมนั
วฒั นธรรมหวั บเิ นยี น (Hoabinhian Culture) วฒั นธรรมสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ ตง้ั ชอ่ื ตามชอ่ื แหลง่ ทพ่ี บเปน็ ครง้ั แรก
ในเขตจงั หวดั หวั บนิ ห์ (Hoabinh) ทางตอนเหนอื ของประเทศเวยี ดนาม ซง่ึ พบเครอ่ื งมอื เปน็ แกนหนิ ทำขน้ึ จากกรวดแมน่ ำ้
เครอ่ื งมือหินกะเทาะวัฒนธรรมหัวบเิ นียน กำหนดอายุได้ 18,000 ปีมาแล้ว โดยยอมรบั กนั ทั่วไปวา่ วฒั นธรรม
หวั บิเนียนเปน็ วฒั นธรรมเครอื่ งมอื เครือ่ งใช้ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ทมี่ ีพัฒนาการในช่วงก่อนสมยั หนิ กลาง
เศษภาชนะดินเผา (Potsherd, shards) ชน้ิ สว่ นทแ่ี ตกออกมาจากเคร่อื งปน้ั ดนิ เผา
สนมิ (Oxide) หรอื ออกไซดข์ องแร่ เกดิ จากการทำปฏกิ ริ ยิ ากนั ระหวา่ งออกซเิ จนและแรธ่ าตุ ลกั ษณะเปน็ การผกุ รอ่ น
สมยั หิน (Stone Age) การจดั ลำดบั อายทุ างโบราณคดยี ุคก่อนประวตั ิศาสตรท์ ี่แบ่งออกเปน็ 3 สมัย โดยอาศัยวสั ดุ
และลักษณะของเคร่ืองมอื ทม่ี นษุ ย์ประดษิ ฐ์ข้ึนเพอ่ื ใช้งาน เรียงลำดบั ตามความเก่าแกล่ งมา คือ สมยั หนิ สมัยสำริด
สมยั เหล็ก
สฟี ้านำ้ ทะเล (Turquoise Blue) หมายถึงสีฟา้ หรอื สฟี า้ อมสเี ขยี ว ซึ่งสฟี ้าน้ันเกิดจากออกไซด์ของทองแดง ส่วนสีเ
ขียวนั้นเกดิ ออกไซดข์ องเหลก็ คำว่า “เทอร์คอยซ์” Turquoise มาจากคำในภาษาฝรัง่ เศส หมายถึง “หินตุรกี” หรอื
Turkish Stone เนื่องมาจากครั้งแรกสุดเสน้ ทางทหี่ ินชนดิ นี้ผ่านมาทางประเทศตรุ กเี ข้าส่ยู โุ รป
เสน้ ทางสายไหม (Silk Road, Silk Route) เส้นทางการค้าท่เี ช่อื มระหว่างทวปี เอเชยี กบั ทวปี ยโุ รปเป็นเส้นทาง
เก่าแก่ใช้ในการเดนิ ทางมายาวนานไม่นอ้ ยกวา่ 1,500 ปี เสน้ ทางน้ีหมดความสำคญั ลงในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 20
เสน้ ทางนีม้ คี วามสำคญั ในการคา้ ผา้ ไหมและเคร่ืองปั้นดนิ เผาจากประเทศจนี หินสีจากตะวันออกกลาง ลูกปดั แกว้
และลกู ปดั หินจากโรมันหรืออินเดีย เครื่องเทศจากประเทศอินเดยี และเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ สามารถแบง่ เส้นทาง
สายไหมออกเปน็ 3 เส้นทาง ไดแ้ ก่
1. เสน้ ทางสายไหมทางทะเลทราย เริม่ ตน้ จากเมอื งซีอานผา่ นไปทางตะวนั ตกของประเทศจนี ผา่ นมณฑล
กานซแู ละสดุ ทางท่ีเมอื งคชั การ์ ในเสน้ ทางสายนี้ยงั แบ่งเป็นสายเหนอื และสายใต้ ทอดผา่ นหลายประเทศ
ในตะวนั ออกกลางทั้งอริ ัก อหิ รา่ นไปสนิ้ สดุ ทางบกทท่ี ะเลเมดิเตอรเ์ รเนยี น
2. เส้นทางสายไหมทางทุ่งหญ้าเป็นเส้นทางที่มุ่งสู่ทางเหนือจากเมืองตุนหวงข้ามเทือกเขาเทียนซาน
สบู่ ารค์ ลุ นอร์ จากนน้ั เสน้ ทางทอดไปทางตะวนั ตกผา่ นทางตอนเหนอื ของทะเลสาบแคสเปยี น ไปสดุ เสน้ ทางท่ี
ทะเลดำ
3. เสน้ ทางสายไหมทางทะเลเรม่ิ ตน้ จากชายฝง่ั ทะเลตอนใตข้ องประเทศจนี บรเิ วณเมอื งกวา่ งโจวมณฑลกวา่ งตง
ผา่ นทะเลจนี ใต้ เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ สมู่ หาสมุทรอนิ เดยี เข้าทะเลแดง สดุ ทางท่ีประเทศอยี ิปต์
75
หนา้ บัน (Pediment) เปน็ เครอ่ื งประกอบสถาปตั ยกรรมไทย คอื แผงไมห้ รือปูนรปู สามเหลีย่ มท่ีปดิ โครงหลงั คาดา้ น
สกดั หนา้ และหลงั ของอาคารเน่ืองในศาสนาพุทธ และพระมหากษัตริย์ ส่วนบา้ นเรอื นทั่วไปเรยี กวา่ “หน้าจวั่ ”
หม้อสามขา (Tripod Pot, Tripod Pottery) เป็นรปู ทรงของเคร่อื งปั้นดนิ เผาสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์รปู ทรงหนึง่
มี 3 ขา ทำใหส้ ะดวกต่อการหงุ ต้ม เพราะไมต่ อ้ งใชก้ อ้ นเสา้ รอง
หริภญุ ชยั (Haripunjaya) อาณาจักรหริภญุ ชัยตั้งอย่ใู นทร่ี าบลมุ่ แมน่ ้ำกวงและแม่น้ำปงิ ตอนบน มศี นู ย์กลางอยู่
บรเิ วณเมืองลำพนู จากหลกั ฐานทางโบราณคดีพบวา่ เมอื งหริภุญชยั ในระยะแรกไดร้ บั อิทธพิ ลวฒั นธรรมทวารวดี
จากภาคกลางของประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับเรื่องเล่าในลักษณะตำนานที่กล่าวถึงพระนางจามเทวีพร้อมกับ
นกั ปราชญ์ราชบัณฑิตไดเ้ ดนิ ทางข้ึนมาจากกรุงละโว้เพอ่ื ปกครองเมอื งหรภิ ญุ ชัยในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 13 ภายหลัง
เมอื งหรภิ ญุ ชยั ได้ถูกผนวกเขา้ กับอาณาจักรล้านนาในราวต้นพทุ ธศตวรรษท่ี 19 ในรชั กาลพญามงั ราย ปฐมกษัตริย์
แห่งอาณาจักรลา้ นนา
หลกั ฐานทางโบราณคดี (ArchaeologicalEvidence)หลกั ฐานทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั มนษุ ยใ์ นอดตี ทง้ั หลกั ฐานทม่ี นษุ ยท์ ำขน้ึ
หรอื หลกั ฐานทเ่ี ปน็ ธรรมชาตซิ ง่ึ เกย่ี วขอ้ งกบั มนษุ ยใ์ นอดตี หลกั ฐานเหลา่ นใ้ี ชใ้ นการวเิ คราะหแ์ ละตคี วามในการศกึ ษา
วิจัยทางโบราณคดี
หินดุ (Dabber) อุปกรณ์ที่ช่วยขึ้นรูปภาชนะ ทำด้วยหินหรือดินเผามีรูปร่างคล้ายดอกเห็ด ส่วนก้านใช้จับดัน
ส่วนหัวที่โค้งนูนแนบไปกับผนังด้านในภาชนะขณะที่ผิวด้านนอกใช้ไม้แผ่นเรียบตบลงเบาๆ เพื่อทำให้ผิวภาชนะ
ทัง้ ดา้ นในและด้านนอกเรยี บได้รูปทรงตามตอ้ งการ
เหลก็ ออกไซด์ (Iron Oxide, Ferric Oxide) สีแดงทมี่ ปี นอยู่ในดนิ โดยธรรมชาตจิ ะทำให้อุณหภมู ใิ นการเผา
ของดนิ ตำ่ ลงและจะเปน็ สแี ดงหรอื นำ้ ตาล เหลก็ ออกไซดเ์ ปน็ สารทใ่ี ชผ้ สมในเนอ้ื ดนิ และนำ้ เคลอื บเพอ่ื ใหเ้ กดิ สนี ำ้ ตาล
เม่อื เผาแบบเพ่มิ ออกซเิ จน (ออกซิเดช่นั ) และเป็นสีเขยี วเมอื่ เผาแบบลดออกซิเจน (รีดักช่นั )
แหล่งโบราณคดี (Archaeological Site) สถานที่ที่ก่อสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์หรือสถานที่ที่พบร่องรอยของ
กจิ กรรมของมนุษย์ในอดีตท่ีมคี ณุ คา่ ในทางศลิ ปะ ประวัตศิ าสตร์ และโบราณคดี
ไหมะตะบัน (Martaban Jar) คือชือ่ เรียกไหเคลือบสีนำ้ ตาลขนาดใหญ่ สันนษิ ฐานวา่ มีแหลง่ ผลิตในประเทศพมา่
และสง่ มาจำหนา่ ยในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใตผ้ า่ นเมอื งทา่ มะตะบนั หรอื เมาะตะมะ มลี กั ษณะเดน่ คอื เคลอื บสนี ำ้ ตาล
มันวาว น้ำเคลอื บไม่สมำ่ เสมอ มไี หล่กว้างและฐานสอบ ตกแตง่ ด้วยการปัน้ ตดิ เม็ดดนิ กลมเรียงเป็นแนวตกแต่ง
ลำตวั และไหล่ ทำหนา้ ทเี่ ป็นไหบรรจุภัณฑ์ พบได้ในแหล่งเรอื อบั ปางในเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้
อลมู นิ า (Alumina) เปน็ สารท่ชี ว่ ยทำให้น้ำเคลอื บมคี วามหนืด ไม่ไหลตัวงา่ ย หากมอี ลูมนิ ามากเกนิ ไปจะทำให้เกดิ
เคลือบดา้ น อลมู นิ าในเครอ่ื งป้ันดนิ เผาโบราณพบไดต้ ามธรรมชาติในดินเหนยี วและดินขาว
76 คูม่ อื พิชติ องคค์ วามรู้ “เครอ่ื งปัน้ ดนิ เผา”
คลงั ขอ้ มลู ค้นคว้าเพิม่ เติม
กรกฏ บุญลพ. มนุษย์กับภาชนะดินเผา จากอดีตกาลสู่โลกสมัยใหม่. พิมพค์ รง้ั ที่ 1. กรุงเทพฯ :
ศนู ยม์ านุษยวิทยาสริ นิ ธร (องคก์ ารมหาชน), 2551
กฤษฎา พิณศรี. การศึกษารปู แบบศลิ ปะและคตคิ วามเชอ่ื ในงานเคร่ืองปน้ั ดินเผาวฒั นธรรมเขมร
ในประเทศไทย. มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ นิ ทร,์ 2552
เกศรินทร์ แซเ่ บ๊. วเิ คราะหง์ านศกึ ษาเคร่ืองถ้วยแหลง่ เตาสุพรรณบรุ ีท่บี า้ นบางปนู อำเภอเมือง
จังหวัดสพุ รรณบุรี. วิทยานิพนธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าประวัตศิ าสตร์ศิลปะ.
บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, 2549
โก มไุ ก. การศกึ ษาการแพร่กระจายของการบรโิ ภคเครอ่ื งถ้วยสงั คโลกบรเิ วณภาคกลางของ
ประเทศไทยในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 18-22. วทิ ยานพิ นธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑติ
สาขาวชิ าโบราณคดสี มยั ประวัตศิ าสตร์. บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร, 2553
ภานุเทพ สุวรรณรัตน.์ การทดลองเคลอื บข้ีเถ้าจากอัตราสว่ นผสมขี้เถา้ ไมม้ ะมว่ ง หนิ ฟันมา้ และ
ดินเหนียวทอ้ งนา เพ่ือเคลอื บผลิตภณั ฑเ์ ครอื่ งปนั้ ดนิ เผาชนิดสโตนแวร.์ ปรญิ ญานิพนธ์
การศึกษามหาบัณฑติ สาขาวิชาอตุ สาหกรรมการศึกษา. บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัย
ศรีนครินทร์วิโรฒ, 2548
สกุลตา เลศิ วฒั นานวุ ัฒน์. การศกึ ษาวิเคราะหเ์ ครื่องถว้ ยในพิพธิ ภณั ฑเ์ ฉลิมพระเกียรติ หกรอบ
รชั กาลที่ 9 วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม ราชวรมหาวหิ าร. ปริญญานพิ นธก์ ารศกึ ษา
มหาบณั ฑิตสาขาวิชาศิลปศกึ ษา. บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทร์วิโรฒ,
2548
สุจติ ต์ วงษเ์ ทศ. เครื่องป้ันดนิ เผาและเคร่อื งเคลือบกบั พัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมของ
สยาม. พิมพค์ ร้ังที่ 1. กรงุ เทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน, 2550
สุจิตต์ วงษเ์ ทศ. สวุ รรณภมู ิ ต้นกระแสประวัตศิ าสตร์ไทย.พิมพ์ครงั้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ :
สำนักพมิ พ์มติชน, 2549
ปิลนั ธน์ ไทยสรวง. การศึกษาภาชนะดนิ เผาจากแหลง่ โบราณคดีชายฝัง่ ทะเลในภาคใตก้ อ่ น
พุทธศตวรรษที่ 16 ของประเทศไทย. วิทยานพิ นธศ์ ิลปศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชา
โบราณคดี สมยั ประวตั ิศาสตร์. บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร, 2552
ปรวิ รรต ธรรมาปรชี ากร. ศิลปะเครอื่ งถว้ ยในประเทศไทย.พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ:
บริษทั โอสถสภา จำกดั , 2539
ปรวิ รรต ธรรมาปรชี ากร. เอกสารประกอบการอบรมเคร่อื งถว้ ยในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้
รุ่นท่ี 1. เอกสารอัดสำเนา, 2548
77
ปรวิ รรต ธรรมาปรชี ากร. เอกสารประกอบการฝึกอบรมเชิงปฏิบตั กิ าร เรื่อง ความรใู้ หม่
เก่ยี วกับการกำหนดอายแุ ละแหล่งผลิตของเครอื่ งถว้ ยจีนท่พี บจากแหล่งโบราณคดี
ในประเทศไทย. เอกสารอัดสำเนา, 2549
ผาสุก อนิ ทราวธุ . ดรรชนภี าชนะดินเผาสมยั ทวารวด.ี พมิ พค์ ร้ังท่ี 1. กรงุ เทพฯ :
สำนักพมิ พ์ ไทย ไอ อ,ี 2528
พัชรี สารกิ บุตร. เทคโนโลยสี มัยโบราณ เคร่ืองมือหิน งานโลหะ เคร่ืองปน้ั ดินเผา แก้ว
และลูกปดั . กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. 2523
ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525. พมิ พค์ ร้ังท่ี 4.
กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพอ์ กั ษรเจริญทศั น์, 2528
ศิลปากร, กรม. เครอื่ งถว้ ยญป่ี ุน่ . กรุงเทพฯ : พิพิธภัณฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร, 2540
ศิลปากร, กรม. เตาแมน่ ำ้ นอ้ ย 2. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชมุ ชนุ สหกรณ์การเกษตร
แหง่ ประเทศไทย จำกัด, 2538
ศิลปากร, กรม. ประวตั ิศาสตร์การพาณิชยน์ าวไี ทย. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 4. กรุงเทพฯ :
สำนักพมิ พส์ มาพันธ์ จำกดั , 2544
ศลิ ปากร, กรม. ศัพทานกุ รมโบราณคดี. กรุงเทพฯ : รงุ่ ศลิ ป์การพมิ พ์ จำกัด, 2550
ศลิ ปากร, กรม. แหลง่ เตาลา้ นนา. กรงุ เทพฯ : โครงการโบราณคดีประเทศไทย
ฝา่ ยวชิ าการ กองโบราณคดี กรมศลิ ปากร, 2532
สำนกั โบราณคดีและพพิ ธิ ภัณฑสถานแหง่ ชาตทิ ่ี 2 สพุ รรณบรุ .ี รายงานเบอื้ งตน้ การขดุ ค้น
ทางโบราณคดแี หล่งเตาโอ่งอา่ ง ตำบลสามโคก อำเภอสามโคก จังหวดั ปทุมธาน.ี
เอกสารอัดสำเนา, 2543
หน่วยเทคโนโลยเี ซรามกิ เนอ้ื ดนิ และนำ้ เคลือบ. การประชมุ ทางวิชาการเพือ่ นำเสนอผลงานวจิ ัย
และพัฒนาเพ่อื ฟื้นฟูเคร่ืองเคลือบดินเผาในแหลง่ เตาล้านนาและการวิจัยพฒั นา
เพอ่ื เพ่มิ มลู คา่ ผลติ ภัณฑ์ดนิ แดงบา้ นม่อนเขาแก้ว จงั หวดั ลำปาง. พิมพค์ รง้ั ท่ี 1.
ลำปาง : หนว่ ยเทคโนโลยีเซรามิกเนือ้ ดนิ และน้ำเคลอื บ, 2546
78 คมู่ อื พชิ ิตองคค์ วามรู้ “เครอ่ื งป้ันดนิ เผา”
Brown, R.M. The Ceramics of South-East Asia –Their Dating and Identification.
Singapore: Oxford University Press. 2nd Edition, 1988
Emily Reason. Ceramic for beginners Wheel throwing. 1st Edition. New York:
Lark Book, 2010
Guerin, Nicol & Dick Van Oenen. Thai Ceramic Art the three religions. 1st Edition.
Singapore: Sun Tree Publishing, 2005
Hugo Munsterberg. World Ceramics from Prehistoric to Modern Times.
1st Edition. Hong Kong: Penguin Studio Book, 1998
Shaw J.C. Northern Thai Ceramics. Kuala Lumpur: Oxford University Press, 1981
Wang Qingzheng. Dictionary of Chinese ceramics. 1st Edition. Singapore:
Sun Tree Publishing, 2003 World Ceramics
Smitthsonian Freer Gallery of Art and Arther M. Sacler Gallery. Ceramics in
Mainland Southeast Asia. Retrieved January, 2012.
from http://seasianceramics.asia.si.edu/index.asp
Southeast Asian Ceramics Society. Emuseum Southeast Asian Ceramics.
Retrieved February, 2012. from http://museum.seaceramic.org.sg/
The Metropolitan Museum of Art. HEILBRUNN TIMELINE OF ART HISTORY.
Retrieved March, 2012. from http://www.metmuseum.org
Wikipedia, the free encyclopedia. Ceramic. Retrieved February, 2012.
from http://en.wikipedia.org/wiki/Ceramic
79