การปลกู ไผ่เพอ่ื การค้า
คำนำ
ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั อำเภอเมืองนา่ น ได้ดำเนินการจดั ทำหนงั สือ ชดุ ใหม่
น้ขี ้ึน เพ่ือสำหรับใช้ในการเรียนการสอนตามหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช
2551 ที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญาและศักยภาพ ในการประกอบ
อาชีพการศึกษาต่อ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในครอบครัว ชุมชน สังคม ได้อย่างมีความสุขโดยผู้เรียนสามารถนำ
หนังสอื เรยี นไปใชใ้ นการเรยี นการสอนด้วยวิธกี ารศึกษาคน้ ควา้ ด้วยตนเอง ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมรวมทง้ั ทำแบบฝึกหัด เพ่ือ
ทดสอบความรู้ความเข้าใจในสาระเนื้อหา โดยเมื่อศึกษาแล้วยังไม่เข้าใจ สามารถกลับไปศึกษาใหม่ได้ ผู้เรียน
อาจจะสามารถเพิ่มพูนความรู้หลังจากศึกษาหนังสือเรียนนี้ โดยนำความรู้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ศึกษาจากภูมิ
ปญั ญาท้องถน่ิ จากแหล่งเรยี นรแู้ ละจากสอื่ อ่ืน ๆ
ในการดำเนินการจัดทำหนังสือเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 ไดร้ ับความร่วมมือท่ีดจี ากผู้ทรงคณุ วุฒิและผู้เกี่ยวข้องหลายท่านช่วยกันค้นคว้าและเรียบเรียงจาก
ประสบการณ์และเนื้อหาสาระจากส่อื ต่างๆ เพื่อใหไ้ ดส้ ่ือที่สอดคล้องกับหลักสูตรและเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนท่ีอยู่นอก
ระบบอย่างแท้จรงิ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองน่าน ขอขอบคุณคณะผู้บริหาร
บุคลากรครู ตลอดจนคณะผจู้ ดั ทำทุกทา่ น ที่ไดใ้ ห้คำปรึกษาแนะนำ ข้อเสนอแนะ และให้ความร่วมมือดว้ ยดี ไว้ ณ
โอกาสน้ี
ดังนั้น ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน จึงได้จัดทำ
หลกั สูตรรายวิชา การปลูกไผ่เพ่ือการค้า เปน็ หลกั สูตรรายวิชาเลอื กในสาระการประกอบอาชีพ ระดับมัธยมศึกษา
ตอนปลาย จำนวน 3 หน่วยกติ เพือ่ ให้ผเู้ รยี น กศน. มคี วามรู้ ความเข้าใจ เกย่ี วกับการปลูกไผ่เพ่ือการค้า หวังว่า
หนังสือเรียนชุดนี้จะเป็นประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอนในระดับหนึ่ง หากมีข้อเสนอแนะประการใด ศูนย์
การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองน่าน ขอน้อมรบั ไวด้ ้วยความขอบคณุ ย่งิ
กศน.อำเภอเมืองน่าน
พฤศจกิ ายน 2560
สารบญั
หนา้
คำนำ…………………………………………………………………………...........................................………. ก
สารบัญ……………………………………………………………………………………………………………………… ข
คำแนะนำการใชเ้ อกสาร............................................................................................................. ค
แบบทดสอบกอ่ นเรียน…………………………………………………………………………………………………… ง
หนว่ ยท่ี 1 ความรู้ทัว่ ไปในเรือ่ งของไผ่……………………………………………………………………………… 1
หนว่ ยท่ี 2 การปลูกและการจัดการไผ่……………………………………………………………………………… 42
หน่วยท่ี 3 การใชป้ ระโยชน์ จากไผ่เพอื่ การคา้ …………………………………………………..……………… 48
หนว่ ยที่ 4 ไผก่ ับกฎหมายท่ีควรทราบ…………………………………………………………………...………… 71
หนว่ ยที่ 5 การเก็บเกีย่ วและการบริหารจัดการตลาดเพอื่ การคา้ …………………………….…………... 86
บรรณานกุ รม.............................................................................................................................. 97
ภาคผนวก................................................................................................................................... 98
แบบทดสอบหลงั เรียน........................................................................................................ 99
เฉลยแบบทดสอบกอ่ น – หลังเรยี น.................................................................................... 101
คณะผ้จู ัดทำ........................................................................................................................ 102
คำแนะนำการใชเ้ อกสาร
เอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง “การปลูกไผ่เพื่อการค้า” ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารที่ใช้
ประกอบการเรียนรายวิชาเลือก การปลูกไผ่เพื่อการค้า สาระการประกอบอาชีพ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
โดยมุ่งหวังใหผ้ ู้เรียน กศน. มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญของไผ่ ความรู้ทั่วไปของไผ่ ปัจจัยที่มีผลตอ่
การปลูกไผ่ การปลูกและการดูแลรกั ษา วิธีขั้นตอนการขยายพนั ธุ์ ประโยชน์จากการปลูกไผ่ กฎหมายที่ควรร้กู บั
การปลกู ไผ่ การเกบ็ เก่ยี ว การตลาดและการจัดจำหนา่ ย พร้อมทง้ั อธิบายการจัดการตลาดและสามารถจดั ทำบัญชี
รายรบั – รายจา่ ยได้
วัตถปุ ระสงคร์ ายวชิ าเพอื่ ให้ผเู้ รียน
1. มีความรู้ความเข้าใจท่ัวไปในเรอื่ งของไผ่
2. มีทกั ษะสามารถอธบิ ายขั้นตอนการปลูกและการจัดการไผ่ได้
3. มที กั ษะสามารถอธิบายการใชป้ ระโยชน์ จากไผ่เพ่ือการค้า
4. มีความรู้ความเข้าใจกฎหมายเบอื้ งตน้ เก่ียวกับการใชป้ ระโยชน์จากไผ่เพ่อื การค้า
5. มีทกั ษะสามารถอธบิ ายการเก็บเก่ยี ว การตลาด เพือ่ การค้าได้
เนื้อหา
รายวชิ า การปลูกไผ่เพื่อการคา้ ประกอบดว้ ยเนอ้ื หา จำนวน 5 หวั เร่อื ง ดังน้ี
หน่วยที่ 1 ความรทู้ ว่ั ไปในเรื่องของไผ่ เวลา 20 ชั่วโมง
หนว่ ยที่ 2 การปลูกและการจดั การไผ่ เวลา 40 ช่วั โมง
หนว่ ยท่ี 3 การใช้ประโยชน์ จากไผเ่ พ่ือการคา้ เวลา 20 ช่ัวโมง
หน่วยท่ี 4 ไผ่กบั กฎหมายที่ควรทราบ เวลา 20 ชั่วโมง
หนว่ ยท่ี 5 การเกบ็ เกยี่ วและการบรหิ ารจัดการตลาดเพือ่ การค้า เวลา 20 ช่วั โมง
ผใู้ ชเ้ อกสาร
ผู้ใช้เอกสาร คือ “ผู้เรียน กศน.” หมายถึง ผู้เรียน หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้น
พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รายวิชาเลือก การปลูกไผ่เพื่อการค้า รหัสวิชา อช331074 สาระการประกอบอาชพี
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองน่าน สำนักงาน
สง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยจังหวัดนา่ น
วธิ กี ารใช้เอกสารการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง
1. ก่อนการศึกษาเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเอง ให้ทำแบบทดสอบก่อนเรียนแล้วตรวจคำตอบในแบบ
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น เพื่อประเมินความร้กู อ่ นศึกษาเอกสาร
2. ศกึ ษาเอกสารการเรยี นรดู้ ้วยตนเองตามลำดับของเนอื้ หา
3. ทำแบบฝึกหัดท้ายบทเพื่อประเมินความรู้ ความเข้าใจของตนเอง ตรวจคำตอบจากเฉลยคำตอบ
แบบฝึกหดั ท้ายบท ใหค้ ะแนนตนเอง หากทำผดิ ให้กลับไปทำความเข้าใจเนอ้ื หานนั้ อีกครั้ง
4. เมื่อศึกษาเอกสารการเรียนรู้ด้วยตนเองจบแล้ว ให้ทำแบบทดสอบหลังเรียนตรวจคำตอบในเฉลย
แบบทดสอบหลังเรียน เปรียบเทียบกับผลการทดสอบก่อนเรียน เพื่อประเมินผลความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของ
ตนเอง
5. ประโยชนอ์ ยา่ งแทจ้ ริงของเอกสารการเรียนร้ดู ้วยตนเองฉบับนี้ คือ ผ้เู รียน กศน. ได้นำเอาความร้ไู ป
ประยกุ ตใ์ ช้ในการดำเนินชีวิต
ใบความรทู้ ่ี 1
เร่ืองความรู้ท่วั ไปในเร่อื งของไผ่
ประวตั คิ วามเป็นมาของไผ่
การที่คนไทยนยิ มปลกู ตน้ ไผ่นน้ั มีความเชื่อมาตง้ั แต่สมัยโบราณแลว้ ว่า หากปลูกต้นไผ่เอาไวภ้ ายใน
บริเวณบ้าน กจ็ ะช่วยให้ สมาชิกทกุ คนภายในบ้านนั้น เปน็ คนที่
ไม่คดโกง หรอื เอารดั เอาเปรียบใคร ไม่ว่าจะประกอบอาชพี อะไร
กจ็ ะตง้ั ใจทำ ด้วยความซื่อสัตยส์ ุจรติ และมคี ุณธรรมซ่งึ ความเช่อื
เหล่าน้ัน กม็ ีพน้ื ฐานมาจากลกั ษณะของต้นไผน่ ่นั เอง ต้นไผน่ ้ันจะ
เจริญเตบิ โตอยา่ งรวดเร็ว แตกกง่ิ กา้ นสาขาที่เหยยี ดตรง และเรยี บ
เนียนสว่ นด้านใน ของปลอ้ งไผแ่ ตล่ ะปล้อง ก็จะมีแต่เนอ้ื ไม้ สขี าว
บริสุทธ์ิ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คนโบราณเชือ่ ว่าไผ่สีสกุ นน้ั จะชว่ ย
ส่งผลให้สมาชิกทกุ คนในบา้ นนนั้ ประสบแต่ความสำเรจ็ รำ่ รวย
เงินทอง มีความสุขกนั ถ้วนหน้า เพราะชื่อของไผ่ชนิดนี้ คล้องจองกับคำว่า “มง่ั มีศรีสุข” จงึ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความสุข
ความเจรญิ แก่ผู้ปลูกกนั ทว่ั ทุกคนชาวจีนกเ็ ชอ่ื กนั วา่ ไผจ่ ะเสริมมงคลใหค้ นในบ้าน เป็นคนมุง่ มน่ั ตงั้ ใจจรงิ มีปญั ญา
เลิศมีเหตุผล ชอ่ื ตรง เอื้ออารี และกตญั ญรู ้คู ุณ
ไผ่เป็นพชื สีเขียวตลอดปี ไผเ่ ปน็ หญ้าชนดิ หนึ่งทีส่ งู ท่สี ุดในโลก พบท่วั ไปทกุ สภาพอากาศ ตั้งแต่ภเู ขาที่
หนาวเยน็ ถงึ เขตร้อนช้นื ของโลก แต่ไม่พบไผต่ ามธรรมชาติในยโุ รป แอฟรกิ าเหนอื เอเชียตะวนั ตก ตอนเหนอื ของ
อเมรกิ าเหนือ และทง้ั หมดของออสเตรเลยี และแอนตารค์ ตกิ า ไผอ่ าจสูงเพยี งไมก่ เ่ี ซนตเิ มตรจนถึง 40 เซนติเมตร
ขนาดเส้นผา่ ศูนยก์ ลางตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรจนถงึ 30 เซนตเิ มตร ไผม่ ขี ้อและปล้อง ที่ข้อมีใบหนึง่ ใบและอาจมีหน่งึ
หรอื หลายกิ่งแขนง ในหนึ่งกอไผอ่ าจมีไผ่นับพันลำ ไผไ่ มใ่ ช่เนื้อไม้ เพราะไผ่เปน็ พชื ใบเลี้ยงเด่ียวเช่นเดียวกบั พวก
ปาลม์ แต่ทัว่ ไปมกั เรยี กวา่ ไม้ไผ่
ไผ่ปกติจะโต 30 เซนตเิ มตรในหนึง่ วนั แต่บางชนดิ อาจโต 1 เมตรต่อวัน ไผ่โตเตม็ ทภี่ ายในหนึง่ ปี แต่อยู่ได้
หลายๆ ปี และแตกลำรอบกอไผเ่ พมิ่ ข้นึ เรอื่ ยๆ ไผ่มีอายปุ ระมาณ 10-100 ปี หรือมากกว่าน้ี หลงั จากออกดอกและ
พฒั นาเปน็ เมล็ดแลว้ กอไผ่น้ันจะแห้งตายไป โดยไผ่ชนิดเดียวกนั จะออกดอกพรอ้ มกนั ซง่ึ ไม่มีใครสามารถพยากรณ์
ได้วา่ เม่ือไหร่
ไผ่จากป่าหลายชนิดคนนิยมนำมาปลูกริมรั้วบ้านหรือเป็นสวนไผ่แปลงใหญ่ๆ ซึ่งต้องมีการจัดการดูแล
บำรุง รักษา เพื่อให้รากขยายกระจายไปใต้ดินเกดิ หน่อใหม่เป็นหน่อไผ่ หรือปล่อยให้โตขึน้ เป็นลำไผ่นำไปใชส้ อย
สารพัดอยา่ ง รวมทั้งผลิตเปน็ กระดาษไดด้ ว้ ย โดยคนจนี เป็นชาตแิ รกท่คี ิดประดิษฐ์ขน้ึ ซง่ึ ทำด้วยมือมคี ุณภาพสงู แต่
ได้จำนวนน้อย ปจั จุบันยังคงผลิตกระดาษไหวเ้ จา้ จากไผ่เพ่ือใช้อยใู่ นวฒั นธรรมของจีน
ไผม่ อี ายยุ นื ชาวจีนจึงถือวา่ ไผเ่ ป็นสัญลักษณ์ ของการมีชวี ิตท่ียนื ยาว ขณะทีอ่ นิ เดยี ถอื ว่าไผ่เป็นสัญลักษณ์
ของความเปน็ เพ่ือน เพราะออกดอกยาก และหากออกดอกจะถอื เปน็ สญั ญาณว่าความอดอยากกำลังจะมาถึง ใน
วัฒนธรรมของชาวเอเชีย รวมถงึ หมู่เกาะอันดามนั เชื่อว่ามนษุ ย์เกิดมาจากกอไผ่ ในตำนานของชาวมาเลเซยี มีชาย
คนหนง่ึ นอนฝันเห็นหญงิ สาวสวยในกอไผเ่ มอื่ เขาตืน่ ขนึ้ ไปคน้ หาและพบหญิงนน้ั ในกอไผ่ ในฟิลิปปนิ ส์ชาวนาถือว่า
ไผ่ไขว่กันทำให้ดูมีเสน่ห์ ในญี่ปุ่นถอื ว่าปา่ ไผ่รอบๆ ศาลเจ้าจะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจ ถือว่าเป็นไมท้ ี่สำคญั อันดับ
สองรองจากไม้สน ดว้ ยเหตุนชี้ าวญป่ี ุ่นจงึ นยิ มใชไ้ ผต่ กแต่งในห้องอาหารหรอื ห้องรับรองแขก
ไผ่ เปน็ ไมพ้ ุม่ หลายชนดิ และหลายสกุลใน วงศ์หญ้า Poaceae (เดิมคือ Gramineae) วงศ์ยอ่ ย
Bambusoideae เป็นไมไ้ ม่ผลัดใบใน ขึ้นเป็นกอ ลำต้นเป็นปล้อง ๆ เชน่ ไผ่จีน (Arundinaria suberecta
Munro) ไผป่ ่า (Bambusa arundinacea Willd.) ไผส่ ีสุก (B. flexuosa Munro และ B. blumeana
Schult.) ไผไ่ ร่ (Gigantochloa albociliata Munro) ไผ่ดำ (Phyllostachys nigra Munro).
ไผ่ทวั่ โลกมอี ยู่ประมาณ 90 สกุล และ 1,000 ชนดิ ทีร่ จู้ กั กันแพรห่ ลาย สว่ นใหญจ่ ะอยใู่ นสกลุ
ต่อไปนี้ Arundinaria, Bambusa, Chimonobambusa, Chusquea, Dendrocalamus, Drepanostachyum,
Guadua angustifolia, Hibanobambusa, Indocalamus, Otatea, Phyllostachys, Pleioblastus,
Pseudosasa, Sasa, Sasaella, Sasamorpha, Semiarundinaria, Shibataea, Sinarundinaria,
Sinobambusa, Thamnocalamus
ไม้ไผ่ เป็นวัสดุทีเ่ กา่ แก่ท่ีสดุ ที่มนุษยร์ ู้จกั นำมาใช้เพ่ือความสะดวกสบายในชีวิต ประจำวัน ในขณะที่โลก
ปัจจุบันเป็นเรื่องของพลาสติกและเหล็ก แต่ก็ยังมีโครงการร่วมมือค้นคว้า เรื่องไม้ไผ่ระหว่างชาติต่าง ๆ เพื่อ
แลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการในการใช้ไม้ไผ่ซึ่งกันและกันในประเทศลาติน อเมริกัน 6 ประเทศ ในขณะนี้ได้มี
โครงการวจิ ัยร่วมกันเพือ่ จะหาชนิดของไม้ไผ่ที่ดีท่ีสดุ จากภาค ต่าง ๆ ทั่วโลก ไม้ไผ่เป็นพืชใบเลีย้ งเดี่ยวอย่ใู นวงศ์
Gramineae เช่นเดียวกับหญ้าแต่เปน็ พชื ตระกูลหญ้าที่สงู ที่สุดในโลก และเป็นพืชเมืองร้อน ไม้ไผ่ใชป้ ระโยชนไ์ ด้
อยา่ งกว้างขวาง เช่น ใชใ้ นการก่อสร้างไม้น่งั รา้ นทาสีฉาบปนู ใชจ้ กั สานภาชนะต่าง ๆ ใชท้ ำเคร่อื งดนตรี ใช้เปน็ เย่ือ
กระดาษในอตุ สาหกรรมทำกระดาษ ทำเครอื่ งกฬี า ใช้เปน็ อาวุธ เช่น คนั ธนู หอก หลาว ใช้เปน็ เคร่ืองอุปกรณ์การ
ประมง เช่น ทำเสาโป๊ะ ทำเครื่องมือในการเกษตร นอกจากนั้นใบยังใช้ห่อขนม หน่อไผ่ใช้เป็นอาหารอย่างวิเศษ
และกอไผ่ยังใช้ประดับสวนได้งดงาม ไม่ไผ่ทั่วโลกที่รู้จักกันมีประมาณ 75 สกุล ที่ได้สำรวจพบในเมืองไทยมี
ประมาณ 12 สกุล แยกเป็นชนดิ ประมาณ 44 ชนดิ ชนิดของไมไ้ ผ่ทใี่ ชใ้ นการก่อสร้างที่ควรทราบ ไม้ไผ่ท่ีใช้ใน
การกอ่ สร้างน้ันมดี งั ตอ่ ไปน้ี
1. ไผ่ตง (D.asper) เปน็ ไผใ่ นสกลุ Dendrocalamus นิยมปลกู กนั ในภาคกลางโดยเฉพาะทจ่ี ังหวัดปราจนี บุรี
ปลูกกนั มาก เป็นไผ่ขนาดใหญ่ ลำตน้ มีเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 6-12 เซนตเิ มตร ไม่มีหนามปลอ้ งยาวประมาณ
20 เซนติเมตร โคนตน้ มลี ายขาวสลับเทา มีขนเลก็ ๆ อยทู่ ว่ั ไปของลำ มีหลายพนั ธ์ุ เชน่ ไผต่ งหมอ้ ไผ่ตงดำ ไผต่ งเขียว
ไผต่ งหนู เปน็ ตน้ หนอ่ ใชร้ บั ประทานได้ ลำต้นใชส้ รา้ งอาคาร เชน่ เป็นเสา โครงหลงั คา เพราะแขง็ แรงดี ไผต่ งมีต้น
กำเนิดจากประเทศจีน ชาวจีนนำมาปลกู ในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ. 2450 ปลูกคร้งั แรกทตี่ ำบลพระราม
จังหวัดปราจนี บรุ ี
2. ไผ่สสี กุ (B.flaxuosa) อยู่ในสกลุ Bambusa ไผช่ นดิ นม้ี ีอยู่ท่ัวไปและมมี ากในภาคกลางและภาคใต้ลำ
ตน้ เขียวสดเปน็ ไผ่ขนาดสงู ใหญ่ มเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของต้นประมาณ 7 - 10 เซนติเมตร ปลอ้ งยาวประมาณ 4 -
10 เซนติเมตร บริเวณขอ้ มกี ิ่งเหมือนหนาม ลำต้นเนอ้ื หนา ทนทานดีใช้ทำนง่ั ร้านในการก่อสร้างเชน่ นง่ั ร้านทาสี
นง่ั รา้ นฉาบปูน
3. ไผ่ลำมะลอก (D.longispathus) อยใู่ นสกลุ Dendrocalamus มที วั่ ทุกภาคแต่ในภาคใต้จะมีน้อย
มากลำต้นสีเขยี วแกไ่ มม่ ีหนามข้อเรียบ จะแตกใบสงู จากพ้ืนดินประมาณ 6 - 7 เมตร ปล้องขนาดเสน้ ผา่ น
ศูนย์กลาง 7-10 เซนตเิ มตร ลำตน้ สูงประมาณ 10-15 เมตร ลำตน้ ใช้ทำนัง่ ร้านในงานก่อสร้างไดด้ ี
4. ไผป่ ่าหรือไผ่หนาม (B.arumdinacea) อยใู่ นสกุล Bambusa มที ่วั ทุกภาคของประเทศต้นแก่มีสเี ขียว
เหลืองเป็นไผข่ นาดใหญ่มหี นามและแขนงปลอ้ งขนาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 10-15 เซนติเมตร ใชท้ ำโครงบา้ นใช้ทำ
นั่งรา้ น
5. ไผ่ดำหรือไผ่ตาดำ (B.sp.) อยูใ่ นสกุล Bambusa มีในป่าทบึ แถบจงั หวัดกาญจนบุรีและจันทบรุ ี ลำต้นสี
เขียวแก่คอ่ นข้างดำ ไม่มีหนาม ขนาดเส้นผา่ นเส้นศนู ยก์ ลางของปลอ้ ง ประมาณ 7-10 เซนติเมตร ปล้องยาว
30-40 เซนติเมตร เนอ้ื หนา ลำตน้ สงู 10-12 เมตร เหมาะจะใช้ในการก่อสรา้ งจักสาน
6. ไผ่เฮยี ะ (C.Virgatum) อยู่ในสกลุ Cephalastachyum มีทางภาคเหนือ ลำต้นขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง
5-10 เซนตเิ มตร ปลอ้ งยาวขนาด 50-70 เซนติเมตร ข้อเรยี บมีกิง่ ก้านเลก็ นอ้ ย เนอ้ื หนา 1-2 เซนติเมตร ลำต้น
สูงประมาณ 10-18 เมตร ลำตน้ ใชท้ ำโครงสรา้ งอาคาร เช่น เสา โครงคลงั คาคาน
7. ไผ่รวก (T. siamensis) อยู่ในสกุล Thyrsostachys มีมากทางจงั หวดั กาญจนบุรี ลำต้นเลก็ ขนาดเส้น
ผา่ นศนู ยก์ ลางประมาณ 2.7 เซนตเิ มตร สงู ประมาณ 5-10 เมตร ลกั ษณะเป็นกอ ลำตน้ ใชท้ ำรว้ั ทำเย่อื กระดาษ
ไมร้ วกทส่ี ง่ ออกขายตา่ งประเทศ เมื่อทำให้แหง้ ดแี ล้ว จะนำไปจุ่มลงในนำ้ มันโซลาเพอื่ กนั แมลง น้ำมันโซล่า 20 ลิตร
จะอาบไม้รวกไดป้ ระมาณ 40,000 ลำ ไม้ไผท่ ี่ปลกู กันมากในประเทศไทยและนำมาใช้ประโยชน์มีอยปู่ ระมาณ
32 ชนดิ ไมไ้ ผท่ ่ปี ลกู กันมากในประเทศไทยและนำมาใช้ประโยชน์
การทำให้ไมไ้ ผ่คงทน
ไมไ้ ผท่ ี่นำมาใช้ในการกอ่ สรา้ งทัว่ ๆ ไปนน้ั ตดั มาใชไ้ ด้เมื่อไมไ้ ผอ่ ายุ 3-5 ปี แต่ถ้าไมไ่ ด้รับการปรับปรงุ
แก้ไขกำจัดแมลง และเชอื้ ราแลว้ ไม้ไผ่ทอี่ ยู่ติดดินอาจมอี ายุใชง้ านประมาณ 1-2 ปี เท่านนั้ แต่ถ้าใช้ในที่รม่ และ
จากดินอายอุ าจจะใชง้ านถึง 5 ปี ไม้ไผ่อาจถกู รบกวนทำลายโดยมอดและปลวก เพราะมีอาหารในเนื้อไม้
นอกจากนั้นอาจถูกทำลายโดยเชือ้ รา และถ้าใชใ้ นน้ำทะเลกอ็ าจถกู ทำลายโดยเพรียงได้การรกั ษาใหไ้ ม้ไผ่มอี ายยุ ืน
นานนน้ั อาจทำไดต้ ่างๆกันดงั น้ี
1. วิธีแช่น้ำ การแชน่ ้ำก็เพอ่ื ทำลายสารในเน้อื ไมท้ ่มี ีอาหารของแมลงต่าง ๆ เชน่ พวกนำ้ ตาล
แป้ง ใหห้ มดไป การแชต่ อ้ งแช่ใหม้ ดิ ลำไมไ้ ผ่ เป็นนำ้ ไหลซึ่งมีระยะเวลาแชน่ ำ้ สำหรับไม้สดประมาณ 3 วัน ถึง 3
เดือนแต่ถา้ เป็นไม้ไผ่แหง้ ตอ้ งเพมิ่ อกี ประมาณ 15 วนั วิธใี ช้ความรอ้ น หรอื การสกัดน้ำมันจากไม้ไผ่ กอ่ นนำมา
สกัดน้ำมนั ควรตงั้ พงิ เอาส่วนโคนไว้ตอนบนการสกดั นำ้ มันออกจากไมไ้ ผ่ทำไดโ้ ดยให้ความร้อนดว้ ยไฟหรอื ตม้
2. วิธกี ารสกัดน้ำมนั ดว้ ยไฟจะทำให้เนอ้ื ไม้มีลกั ษณะแกร่ง สว่ นมากสกัดนำ้ มนั ด้วยวธิ ตี ้มนน้ั เนอ้ื
ไมจ้ ะอ่อนนุม่ การสกัดนำ้ มนั ด้วยไฟนนั้ ทำโดยเอาไม้ไผ่ปงิ้ ในเตาไฟต่อย่าใหไ้ หม้ และรบี เช็ดนำ้ มันทเ่ี ยม้ิ ออกมา
จากผิวไผ่ให้หมดระยะเวลาการปงิ้ ประมาณ 20 นาที อณุ หภูมิประมาณ 120-130 องศาเซลเซียส การสกัด
นำ้ มนั ดว้ ยวิธีต้มนั้นใช้ต้มในน้ำธรรมดาใช้เวลาประมาณ 1-2 ชว่ั โมง หรอื อาจใช้โซดาไฟ 10.3 กรมั หรอื โซเดยี ม
คารบ์ อเนต 15 กรัม ละลายในนำ้ 18.05 ลติ ร ใช้เวลาตม้ ประมาณ 15 นาที หลังจากตม้ แลว้ ใหร้ ีบเชด็ นำ้ ท่ซี มึ
ออกมาจากผวิ ไม้ไผก่ ่อนทีจ่ ะแหง้ เพราะถา้ เย็นลงจะเชด็ ไม่ออกแลว้ จึงนำไม้ไผท่ ่ีสกัดน้ำมนั ออกไปแล้วลา้ งน้ำให้
สะอาดและทำให้แห้ง
3. การใช้สารเคมี วธิ ีที่จะได้ผลดกี ว่าการปิ้งหรือตม้ ซึง่ อาจทำได้ทง้ั วิธีชุบหรอื ทานำ้ ยาลงไปท่ี
ไมไ้ ผ่หรอื จะโดยวิธีอัดสารเคมี เข้าไปในเน้ือไม้ไผ่ วธิ ีชบุ นนั้ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เช่น ชุบในน้ำยา DDT ทม่ี ี
ความเขม้ ข้น 5 เปอร์เซ็นต์ ผสมกับน้ำมันก๊าดจะทนได้นานถงึ 1 ปี ถ้าชุบหรือแช่ใหน้ านขน้ึ กอ็ าจทนไดถ้ ึง 2 ปี
หรอื อาจใชโ้ ซเดยี มแพนตาคลอโรฟเี นต 1 เปอรเ์ ซ็นต์ ละลายนำ้ บอแรกซ์ กจ็ ะสามารถปอ้ งกันมอดไดเ้ ป็นอย่างดี
วธิ อี ัดนำ้ ยานนั้ ถา้ ไม้ไผ่ไมม่ ากนกั และเปน็ ไมไ้ ผ่สดทำโดยเอานำ้ ยารกั ษา เนือ้ ไมใ้ ส่ภาชนะท่ีมีความลึก ประมาณ
40-60 เซนตเิ มตร เอาไม้ไผล่ งแช่ท้ังทีม่ กี ิ่งและใบเมอื่ ใบสดระเหยนำ้ ออกไปโคนไมไ้ ผจ่ ะดูดน้ำยาเข้าแทนท่ี
วธิ อี ดั นำ้ ยาอกี วธิ ีหนง่ึ ทจ่ี ะอัดนำ้ ยาเข้าไม่ไผ่สดท่ตี ัดกิง่ ก้านออกแล้ว ทำโดยนำยางในของรถจกั รยานยาว
พอสมควรแล้วใสน่ ำ้ ยาขา้ งหนงึ่ สวมเข้าทโี่ คนไม้ ไผใ่ ช้เชอื กรดั กันนำ้ ยาออก ยกปลายยางขา้ งที่ไม่ไดก้ รอกนำ้ ยาให้
สูงวิธีนีไ้ ดผ้ ลดกี ับไม้ไผ่สด วธิ อี ัดนำ้ ยาอกี วธิ ีหนึ่งคือ ตั้งถังนำ้ ยาสงู ประมาณ 10 เมตร แลว้ ต่อท่อสวมท่ีโคนไมไ้ ผ่สด
ดว้ งรา้ ง แตอ่ าจใชไ้ ด้สำหรบั เสริมพ้นื คอนกรตี ทีต่ ิด กับดนิ และ ไม่ได้รับน้ำหนักมากนัยทอ่ ยางแลว้ รดั ไวไ้ ม่ใหน้ ้ำยา
ไหลออกมาแรงดัน ของน้ำยาทีอ่ ยสู่ ูง 10เมตรจะดันน้ำยาเข้าไปในไมไ้ ผ่
การใช้ไมไ้ ผ่เสรมิ คอนกรีตในระหวา่ งสงครามรา้ งแตอ่ าจใชไ้ ดส้ ำหรับเสริมพืน้ คอนกรีตท่ตี ิดกับดนิ และไมไ่ ด้
รับน้ำหนักมากโลกครง้ั ท่ี 2 เหล็กเสริมคอนกรตี ขาดแคลนจึงไดม้ ผี ู้นำไม้ไผ่มาผ่าเป็นซกี เล็กๆแล้วใช้เสริมคอนกรีต
แทนเหล็กแม้ในปัจจุบันก็ยังมีผู้ใชว้ ิธนี ีอ้ ยู่
ไม้ไผน่ นั้ มีคา่ พกิ ดั แหง่ ความยืดหยนุ่ ต่ำ และเปน็ วัสดุที่ยืดตัวมากกวา่ เหล็กถงึ ประมาณ 14 เทา่ เมอ่ื รบั แรง
เท่ากนั ไม้ไผ่ตา้ นแรงดงึ ได้ 13,000 กโิ ลกรมั ตอ่ ตารางเซนติเมตร ท่ีข้อและตา้ นแรงดงึ ได้ 17,000 กิโลกรัมตอ่ ตาราง
เซนติเมตรที่ปล้อง เพราะเหตุท่ไี มไ้ ผ่ดดู นำ้ มากเมอื่ นำมาเสริมคอนกรตี แทนเหล็กเสริมทำให้การยดึ เกาะกับคอนกรีตตำ่
ถา้ นำไมไ้ ผม่ าเสรมิ คอนกรีตขณะทเ่ี ทคอนกรีตซง่ึ มนี ้ำผลมอยู่ ไมไ้ ผจ่ ะพองตวั และต่อมาไม้ไผ่หดตัวลงเนือ่ งจากน้ำ
ระเหยไป จะทำให้ไมไ้ ผ่ท่ีเสรมิ แยกตัวกับคอนกรตี ที่หุ้มอยู่ ไมไ้ ผ่จงึ ไม่เหมาะสำหรับมาเสรมิ คอนกรตี โครงสรา้ ง แต่
อาจใชไ้ ด้สำหรบั เสรมิ พ้ืนคอนกรตี ท่ีติดกับดินและไมไ่ ดร้ ับน้ำหนกั มากนกั
ความหมายอนั เป็นสัญลกั ษณข์ องตน้ ไผ่
หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า ประเทศหลังม่านไม้ไผ่เม่ือเปดิ เข้าไปข้างหลงั ม่านไมไ้ ผ่เราก็ จะพบกับประเทศ
จนี ประเทศทมี่ ปี ระเพณี วฒั นธรรม ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอนั มาก ซงึ่ ครั้งนเี้ ราจะไดน้ ำเกลด็ เกีย่ วกับตน้ ไผม่ าฝาก
จะเห็นไดว้ า่ ต้นไผน่ ้ชี าวจนี นิยมปลกู กันมาก จนฝรัง่ กล่าววา่ ไผ่เปน็ มติ รของชาวจีน ต้นไผม่ ีอยู่หลายชนิดบางชนิดลำต้นมี
ลายจงึ มีนทิ านเล่าว่าลำข้อท่ีลายเกิดขึ้นจากน้ำตาของพระมเหสี 2 องค์ของฮ่องเตซ้ ุน ทร่ี ่ำไห้เสียใจทฮ่ี ่องเต้ได้ส้ิน
พระชนมล์ ง และนำ้ ตามาตดิ ที่ข้อไผจ่ นเกดิ เปน็ ลาย บางชนดิ บางต้นเปน็ สีเขียวเรยี บ ส่วนขนาด ของลำต้นนนั้ มี
ความสงู ต้ังแต่ 2-3 ฟตุ ไปจนถึง 20-30 ฟุต สว่ นมากจะนยิ มปลกู ทางใต้ของประเทศจีน แต่ต่อมาไดน้ ำมาปลกู
ทางเหนือดว้ ย ตน้ ไผน่ ้ีชาวจีนถือว่าเป็นตน้ ไม้ของนักปราชญ์ ไผ่มีความหมายในทางสัญลักษณ์คือ ตัวลำตน้ เป็น
ข้อแข็งแกร่งคงทนจีนเรยี กวา่ "เจ๊ยี "หมายถงึ คนมีขอ้ คอื คนท่มี หี ลักการไม่ลู่ตามลม
ขา้ งในของไผจ่ ะกลวง ถา้ เปรยี บกับคน ก็เปรยี บเสมือนคนใจกว้างยอมรบั ความคดิ เห็นและคำแนะนำของ
ผ้อู น่ื ชอบหาความรู้เพิ่มเติม ส่วนใบเขียวของไผม่ ีความแขง็ แรงทนไดท้ ุกสภาวการณไ์ มว่ า่ จะร้อนหรอื หนาว จงึ เปน็
เหตใุ ห้เหล่า เสนาธกิ าร หรอื กุนซอื ของกองทัพจนี นยิ มมีเข็มกลดั เป็นรปู ขอ้ ไผต่ ิดบนหนา้ อก ซงึ่ เป็น สญั ลกั ษณข์ อง
ความเข้มแขง็ ความมีปญั ญา ความจงรกั ภักดี ความซ่ือสตั ยแ์ ละความกตญั ญู ในเมอื งไทยท่ีเหน็ ปลูกไผ่น้ันสว่ นมาก
นยิ มปลกู เพื่อการตกแตง่ บา้ นใหร้ ่มเงา หรอื นำเอาส่วนตา่ ง ๆ ของตน้ ไผ่มาทำเฟอรน์ ิเจอร์ เครอื่ งตกแต่งต่างๆแต่ถา้
เราจะเอาแบบอย่างของความหมายทาง สัญลกั ษณข์ องต้นไผม่ าใช้ในชีวิตประจำวัน กค็ ดิ วา่ สงั คมไทยคงจะน่าอยู่
มากกวา่ นี้
ลกั ษณะทว่ั ไปของไมไ้ ผ่
ประเภทของไมไ่ ผ่ (Types of bamboo) ไมไ่ ผน่ ้ี นกั พฤกษศาสตรส์ ่วนใหญไ่ ด้จดั รวมให้อย่ใู นวงศเ์ ดียวกัน
กบั หญา้ ชนิดตา่ ง ๆ คือวงศ์ GRAMINEAE แตไ่ ม่ไผ่เปน็ พวกหญ้าท่ีมีลำต้นเปน็ ไม้ (ลำ) เจริญเตบิ โตมาจากเหง้า ไม้
ไผเ่ ปน็ พืชกอ ส่วนมากมลี ำตน้ กลวง เป็นปลอ้ ง ผิวแขง็ การแตกกอจะหนาแนน่ มากน้อยเพียงใดนั้นย่อมข้ึนอยู่กับ
ชนิดพันธุ์เป็นหลัก บางพวกอาจจะขึ้นเป็นลำเดี่ยว ๆ ไม่เป็นกอ มีระยะห่างแน่นอนก็มีศาสตราจารย์ ดร.อูเอดะ
(UEDA) ผู้เชี่ยวชาญไม้ไผ่ชาวญี่ปุน่ ได้จำแนกไวเ้ ปน็ 3 ประเภท โดยอาศยั ระบบการเจรญิ เติบโตของเหง้าเป็นหลัก
คอื
1. พวกที่ขึน้ เปน็ กอ การเจริญของพวกน้ีจะสงั เกตไดจ้ ากตาของเหงา้ ซึง่ มีอยู่หลายขอ้ จะพุ่งตัวแทงหน่อ
โผล่เหนอื พื้นดนิ เจริญเตบิ โตกลายเปน็ ลำก่อน และในปีต่อ ๆ มาตาตอนสว่ นล่างของเหง้าลำดังกลา่ วซง่ึ มีขนาดส้ัน
จะพงุ่ ตัว แทงหน่อโผลเ่ หนือพน้ื ดนิ กลายเป็นลำท่ีสอง ลำที่สาม เปน็ เช่นน้เี รอื่ ย ๆ ไปจนกระท่งั หนาแน่นเป็นกอใน
ท่ีสุด ตวั อยา่ งได้แก่ ไผ่ป่า ไผ่สสี ุก ไผบ่ ง ไผซ่ าง หรืออาจจะกล่าวไดว้ ่า ไผ่ทุกชนิดในประเทศไทยจดั อยใู่ นประเภทนี้
และไผ่ส่วนใหญใ่ นเขตรอ้ นกจ็ ัดอยู่ในพวกทีข่ นึ้ เป็นกอแทบทง้ั สน้ิ
2. พวกที่ขึ้นเป็นลำเดี่ยว การเจริญของไผ่พวกนี้ อาศัยเหง้าในการขยายพันธุ์เป็นหลัก โดยที่ตาตรงข้อ
ของเหง้าจะเจริญเติบโตแทงหน่อโผล่เหนือพื้นดินกลายเป็นลำใหม่ และขณะเดียวกันตาที่เป็นส่วนปลายของข้อ
เหง้าก็จะเจริญกลายเป็นเหง้าใหม่ และมีระยะเกอื บเท่ากับความยาวของเหง้าเดิม ส่วนในปีต่อ ๆ มาตาที่ข้อของ
เหง้าเติบโตกลายเป็นลำใหม่และเหง้าใหม่เช่นนี้เรื่อย ๆ ไป ส่วนระยะห่างระหว่างลำก็จะมีระยะค่อนข้างคงท่ี
แน่นอน เจริญเติบโตในรูปของลำเดี่ยว ๆ ตลอดไปทุกปี ตัวอย่างได้แก่ พันธุ์ไม้ไผ่ที่ข้ึนอยู่ในเขตอบอุ่น เช่น พวก
มาดาเกะ หรอื โมโชชกิ ุ ในประเทศญ่ีปนุ่ เป็นต้น สำหรบั ในประเทศไทย จะมไี ผป่ ระเภทนห้ี รอื ไมก่ ็ไมอ่ าจจะทราบ
ได้ เพราะยังไม่มีการสำรวจอย่างละเอียดมาก่อนและถ้าจะเป็นไปได้ก็เข้าใจว่า ไผ่เลี้ยงหรือไผ่คลานอาจจะอยู่ใน
ประเภทนกี้ ็ได้
3. พวกผสม (เป็นทั้งแบบลำเดี่ยวและกอ) การเจริญเติบโตของไผ่พวกนี้มีทั้งสองแบบคือ บางปีก็
เจริญเติบโต แบบลำเดี่ยว บางปีก็เจริญเติบโตแบบกอ หรือบางปีก็อาจเจริญเติบโตทั้งแบบลำเดี่ยวและแบบกอ
สลบั กนั ไปสว่ นใหญ่ เป็นพวกไมไ้ ผใ่ นเขตอบอุ่น สำหรับในประเทศไทยยังไมป่ รากฎหลกั ฐานทแ่ี นช่ ดั แตอ่ ย่างใด
คุณลกั ษณะพเิ ศษของไผ่
1. ไผ่โตเร็วสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ภายในเวลา 1-4 ปี และใช้ประโยชน์ไดท้ ุกส่วน ตัง้ แตร่ ากไผเ่ ปน็
สมุนไพรอยา่ งหนงึ่ ทีใ่ ช้เปน็ ยารกั ษาโรคได้ หน่อไผ่หรือหนอ่ ไม้ใช้ทำอาหาร กาบหรือใบไผใ่ ชห้ อ่ อาหารหรอื หมักปยุ๋
กิ่งและแขนงใชท้ ำรว้ั ลำต้นใชป้ ระโยชน์ได้สารพัดอย่าง ตั้งแต่นำมาใชป้ ลกู สร้างท่ีพกั อาศัยและแปรรปู เปน็ เครื่อง
จกั สานและเครื่องมอื เครอ่ื งใชน้ านาชนดิ จนถงึ นำมาใช้เก่ยี วกบั ความเชื่อและพธิ ีกรรมต่างๆ ตง้ั แตเ่ กิดจนตาย ดังนั้น
ชาวนาจึงมักปลกู ไผต่ ามหัวไรป่ ลายนา และปลูกไวร้ อบๆบ้าน เพือ่ ใช้เป็นร้วั บ้านและป้องกันพายุ เพราะไมไ้ ผจ่ ะลู่
ตามลมไม่หกั โค่นเหมอื นไม้อื่น หากปลูกไผไ่ ว้ตามริมแมน่ ำ้ ลำคลอง จะชว่ ยชะลอความเรว็ ของกระแสน้ำไม่ใหด้ ินพวั
ทะลายงา่ ย นอกจากนไี้ ผย่ ังใช้เปน็ อาหารในครวั เรอื นไดด้ ว้ ย
2.ไผม่ ีลำตน้ ตรงและกลวงคลา้ ยหลอดและมีปลอ้ งขอ้ คัน่ เป็นปลอ้ งๆจึงใชเ้ ป็นภาชนะประเภทกระบอก
ถ้วย สำหรับใสข่ องเหลว เชน่ ใชเ้ ปน็ กระบอกนำ้ กระบอกนำ้ ตาล ซงึ่ ใชก้ นั ทว่ั ไปในหลายประเทศ ลักษณะพเิ ศษ
ของไม้ไผ่น้ีสามารถนำมาใชส้ รา้ งอาคารทพ่ี ักอาศัยได้ โดยนำมาทำเป็นโครงสรา้ งของบา้ นเรือน ใชเ้ ป็นพน้ื เรอื น ฝา
เรอื น ใชท้ ำรางน้ำ ท่อน้ำ และทำเครอื่ งดนตรปี ระเภทขลยุ่ ไดด้ ีอกี ด้วย
3. เนอ้ื ไผ่เปน็ เส้นตรงมีความยดื หย่นุ ในตัวเองและสามารถคนื ตัวสู่สภาพเดิมได้ เมือ่ นำไมไ้ ผม่ าแปรรูปกจ็ ะ
สามารถใชป้ ระโยชนไ์ ด้ดี เพราะเน้ือไม้ไผเ่ ปน็ เส้นตรง นำมาจักเปน็ ปนื้ บางๆ หรอื เหลาเปน็ เส้นไดด้ ี จึงใชท้ ำเครือ่ ง
จกั สานนานาชนิดได้ ท้งั เครอ่ื งจักสานทีม่ ีขนาดใหญ่ แข็งแรงมั่นคง สำหรับใช้งานหนกั จนถึงเครอื่ งจักสานขนาดเลก็
ท่ีมีความประณีตบอบบาง และเพราะคณุ สมบัติในท่มี คี วามยดื หยนุ่ จึงเหมาะทจี่ ะใช้เปน็ เครือ่ งหาบหรือหาม เช่น
คาน คนั กระสุน คนั ธนูและเม่ือแปรรปู เป็นตอกก็ยังมคี วามยดื หยนุ่ คืนรูปทรงเดิมไดง้ ่ายจึงทำให้ภาชนะจกั สานทท่ี ำ
จากไผ่มีคณุ ลักษณะพิเศษต่างไปจากภาชนะที่ทำจากวตั ถุดบิ ชนิดอน่ื
4. ไมไ้ ผ่มีความสวยงามในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผิวท่ีมสี ตี า่ งๆ กนั เมอ่ื แห้งแลว้ มกั จะมสี ีเหลืองอย่เู ชน่ น้ัน
ตลอดไป ด้วยคณุ สมบัติพิเศษนี้ ชาวเอเชียจงึ ใช้เหล็ก
หรอื โลหะเผาไฟจนรอ้ นแล้วเขยี นตวั อกั ษรหรือลวดลาย
ลงบนผวิ ไม้ไผ่ (Bamboo Pyrographic) เชน่ จีนจารึก
บทกวบี นผวิ ไมไ้ ผ่ ชาวญ่ีปุน่ ใช้เขยี นชื่อเจ้าของบ้าน
แขวนไวห้ นา้ บา้ นและจารึกบทกวีแขวนไวส้ องข้างประตู
เรือนน้ำชา (Tea House) ชาวเกาหลีใชเ้ ขียนเปน็
ลวดลายบนเคร่ืองใช้ เช่นเดยี วกบั ท่ีชาวบาตัก (Batak)
ในประเทศอนิ โดนเี ซยี ใช้เหล็กเผาไฟ ขดู ขีด เขียน ลง
บนกระบอกไมไ้ ผ่ สำหรับเกบ็ ยาหรอื ทำเป็นปฏทิ ิน
ในขณะท่ชี าวบาหลีใช้จารลงบนผิวไผ่เป็นแผน่ ๆ เพือ่ ใช้
เปน็ คัมภรี ์ในศาสนาตน นอกจากไม้ไผ่จะมีผวิ สวยแลว้ เนื้อไผ่ยังมลี ักษณะพเิ ศษต่างจากเน้ือไมอ้ ่ืนคอื มีเส้ยี นยาว
ขนานกันเป็นเสน้ จงึ แปรรูปเป็นเสน้ เป็นปน้ื หรือเหลาใหก้ ลมได้ง่าย และเมือ่ แก่เต็มทีแ่ ล้วจะเปน็ เส้นละเอียดแขง็
มอดแมลงไม่กนิ จนมผี ู้กล่าววา่ เครื่องจักสานไม้ไผน่ นั้ ผสู้ านสามารถสานใหเ้ ปน็ รูปทรงแปลก ๆ แตกตา่ งกนั ได้
มากมาย จนเครือ่ งจกั สานบางชิน้ มีรูปทรงและผวิ สวยงามดุจงานประตมิ ากรรมสมัยใหมท่ ีเดียว
ไมไ้ ผก่ ับวฒั นธรรมไทย
คนไทยมชี ีวิตความเป็นอยทู่ เี่ รียบงา่ ย รักธรรมชาติ ย้มิ แย้ม
แจ่มใสใจดี รักศิลปะ เสียงเพลงและดนตรี มีนิสัยอ่อนโยน
อ่อนน้อมถ่อมตนและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
และสภาพแวดล้อมได้เปน็ อย่างดีมีภูมปิ ัญญาสามารถนำสิ่งที่
ใกล้มือในท้องถิ่นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือใช้สอยใน
ชีวิตประจำวันได้อย่างสวยงามโดยเฉพาะไม้ไผ่ เป็นวัตถุดิบ
จากธรรมชาติที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์โดยตรงหรือแปรรูป
ให้เป็นเครื่องมือเคร่ืองใชใ้ นการดำรงชีวติ คนไทยรู้จักคุ้นเคย
และมีความผูกพันอย่างชนิดแยกไม่ออกมาตั้งแต่เกิดจนตาย
กลายเป็นวัฒนธรรมสืบทอดกันต่อมา “ไผ่” เป็นชื่อพันธุ์ไม้พวกหนึ่ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2424
กลา่ วว่า ไผ่เปน็ ชอื่ พรรณไม้พวกหน่ึง ( Bambusa spp.) อย่ใู นวงศ์ Graminese เป็นกอ ลำต้นสงู และเป็นปล้องๆ
มีหลายชนิดมากกว่า 1,240 ขนิด 40 ตระกลู เช่น ไผ่จนี ไผป่ า่ ไผส่ ีสุก ไผเ่ ล้ียง ไผ่ดำ เป็นตน้ ไม้ไผ่เปน็ พันธุ์ไม้ที่
มีลักษณะเฉพาะที่แปลกไปจากพืชและพันธุ์ไม้อื่นๆ เพราะแม้ว่าไผ่มีลักษณะที่ควรจะเป็นต้นไม้ แต่ไผ่กลับถูก
จัดเป็นหญ้าประเภทหน่ึง และเป็น “หญ้ายักษ์” เพราะลำต้นสูง กลวงเป็นปล้องๆ หากสังเกตให้ดีจะเห็นวา่ ใบไผ่
คล้ายกับใบหญ้า ไผ่ขยายพันธ์ุด้วยการแตกหน่อ เพราะหนึ่งในร้อยปีไผ่จึงอาจจะออกดอกสักครั้ง และหลังจาก
ออกดอกแลว้ ก็ตาย ไผ่จะเติบโตอยา่ งรวดเรว็ และจะโตเต็มทีภ่ ายในสองเดือน และจะคงขนาดเชน่ นน้ั ไปตลอดชีวิต
ของมัน ลำต้นของไผ่จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 0.7 – 7 นิ้ว สูง 1 – 60 ฟุต ไผ่ขึ้นได้ทั้งในบริเวณที่มี
อากาศอบอุ่นและอากาศเย็นต่ำกว่าศูนย์องศา ไผ่จึงเป็นไม้ที่มีมากในบริเวณเอเชีย และแปซิฟิค อเมริกาใต้บาง
ทอ้ งถน่ิ
คณุ ลกั ษณะพเิ ศษของ “ไผ่”
1. ไผ่โตเร็วสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ภายในเวลา 1 – 4 ปี และใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ตั้งแต่รากไผ่
เป็นสมุนไพรอยา่ งหนง่ึ ที่ใชเ้ ป็นยารกั ษาโรคได้ หน่อไผ่หรือหนอ่ ไมใ้ ชท้ ำอาหาร กาบหรือใบไผใ่ ชห้ ่ออาหารหรือหมัก
ปุ๋ย กิ่งและแขนงใช้ทำรั้ว ลำต้นใช้ประโยชน์ได้สารพัดอย่าง ตั้งแต่นำมาใช้ปลูกสร้างที่พักอาศัยและแปรรูปเป็น
เครือ่ งจกั สานและเครอ่ื งมือเครื่องใช้นานาชนิดจนถึงนำมาใช้เก่ยี วกบั ความเชือ่ และพิธีกรรมต่างๆ ต้งั แต่เกดิ จนตาย
ดงั นน้ั ชาวนาจงึ มักปลกู ไผ่ตามหวั ไร่ปลายนา และปลกู ไว้รอบๆบ้าน เพื่อใช้เป็นรัว้ บา้ นและป้องกันพายุ เพราะไม้ไผ่
จะล่ตู ามลมไมห่ ักโค่นเหมือนไม้อ่นื หากปลูกไผไ่ วต้ ามริมแม่น้ำลำคลอง จะชว่ ยชะลอความเร็วของกระแสน้ำไม่ให้
ดินพัวทะลายง่าย นอกจากนไ้ี ผ่ยงั ใชเ้ ป็นอาหารในครวั เรอื นได้ด้วย
เปลสานสำหรับเด็กออ่ น
ขลุย่ ญีป่ ุ่น
2. ไผ่มีลำต้นตรงและกลวงคล้ายหลอดและมีปล้องข้อคั่นเป็นปล้องๆ จึงใช้เป็นภาชนะประเภทกระบอก
ถ้วย สำหรับใส่ของเหลว เช่นใช้เป็นกระบอกน้ำ กระบอกน้ำตาล ซ่ึงใช้กันทั่วไปในหลายประเทศ ลักษณะพิเศษ
ของไม้ไผน่ ีส้ ามารถนำมาใชส้ ร้างอาคารท่ีพักอาศยั ได้ โดยนำมาทำเปน็ โครงสรา้ งของบา้ นเรอื น ใชเ้ ปน็ พ้ืนเรือน ฝา
เรือน ใช้ทำรางนำ้ ท่อน้ำ และทำเคร่ืองดนตรีประเภทขลุย่ ไดด้ ีอีกดว้ ย
ปลอกมีดเขยี นลวดลาย
หวี
3. เน้อื ไผ่เปน็ เส้นตรงมีความยืดหยุน่ ในตัวเองและสามารถคนื ตัวสู่สภาพเดิมได้ เมอื่ นำไม้ไผม่ าแปรรูปก็จะ
สามารถใชป้ ระโยชน์ได้ดี เพราะเน้อื ไม้ไผ่เปน็ เส้นตรง นำมาจกั เปน็ ปนื้ บางๆ หรอื เหลาเปน็ เสน้ ได้ดี จึงใช้ทำเคร่ือง
จกั สานนานาชนดิ ได้ ท้ังเคร่ืองจักสานทมี่ ีขนาดใหญ่ แขง็ แรงมน่ั คง สำหรบั ใช้งานหนกั จนถึงเครอ่ื งจักสานขนาดเล็ก
ท่มี คี วามปราณีตบอบบาง และเพราะคุณสมบัติในที่มีความยืดหยุ่น จงึ เหมาะที่จะใช้เปน็ เครื่องหาบหรือหาม เช่น
คาน คันกระสุน คันธนูและเม่ือแปรรูปเป็นตอกก็ยังมีความยืดหยุ่นคนื รปู ทรงเดิมได้ง่าย จึงทำให้ภาชนะจักสานท่ี
ทำจากไผม่ คี ณุ ลักษณะพิเศษตา่ งไปจากภาชนะท่ที ำจากวตั ถดุ ิบชนดิ อ่ืน
4. ไม้ไผ่มีความสวยงามในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผิวที่มีสีต่างๆ กันเมื่อแห้งแล้วมักจะมีสีเหลืองอยูเ่ ช่นนั้น
ตลอดไป ดว้ ยคุณสมบัตพิ ิเศษนี้ ชาวเอเซียจงึ ใชเ้ หล็กหรอื โลหะเผาไฟจนร้อนแล้วเขยี นตวั อกั ษรหรอื ลวดลายลงบน
ผิวไมไ้ ผ่ ( Bamboo Pyrographic ) เช่นจนี จารึกบทกวีบนผิวไมไ้ ผ่ ชาวญีป่ นุ่ ใช้เขียนชื่อเจ้าของบ้านแขวนไว้หน้า
บ้าน และจารกึ บทกวแี ขวนไว้สองข้างประตูเรือนน้ำชา (Tea House) ชาวเกาหลีใช้เขียนเป็นลวดลายบนเครื่องใช้
เช่นเดยี วกบั ที่ชาวบาตกั (Batak) ในประเทศอนิ โดนเี ซีย ใช้เหลก็ เผาไฟ ขูด ขีด เขียน ลงบนกระบอกไมไ้ ผ่ สำหรับ
เก็บยาหรอื ทำเปน็ ปฏิทนิ ในขณะทชี่ าวบาหลีใช้จารลงบนผวิ ไผเ่ ปน็ แผน่ ๆ เพื่อใชเ้ ปน็ คมั ภีร์ในศาสนาตน นอกจาก
ไม้ไผ่จะมผี ิวสวยแล้ว เนื้อไผ่ยังมีลักษณะพิเศษต่างจากเนือ้ ไมอ้ ื่นคือ มีเสี้ยนยาวขนานกันเป็นเส้น จึงแปรรูปเป็น
เส้น เปน็ ปน้ื หรือเหลาใหก้ ลมได้ง่าย และเม่ือแก่เต็มท่ีแลว้ จะเปน็ เสน้ ละเอียดแขง็ มอดแมลงไม่กินจนมีผู้กล่าวว่า
เคร่ืองจักสานไมไ้ ผ่นั้น ผู้สานสามารถสานให้เป็นรูปทรงแปลกๆ แตกตา่ งกนั ไดม้ ากมาย จนเคร่ืองจักสานบางช้ินมี
รปู ทรงและผวิ สวยงามดจุ งานประติมากรรมสมัยใหมท่ ีเดียว
งานศลิ ปหตั ถกรรมจากไมไ้ ผ่ของมูลนิธศิ ลิ ปาชพี
ในสมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินนี าถ
ไม้ไผ่ในชวี ิตคนเอเซยี และแปซฟิ ิค
จากคณุ ลักษณะพิเศษของไม้ไผด่ งั กลา่ วคนเอเชีย และแปซิฟกิ จงึ นำไม้ไผม่ าทำเปน็ เครอ่ื งมือเครื่องใช้ใน
ชีวิตประจำวนั มากมายหลายชนดิ แต่ละชนิดจะมีรปู แบบและประโยชนใ์ ช้สอยแตกตา่ งกันไปตามความนิยมของแต่
ละทอ้ งถน่ิ แต่ละประเทศตา่ งกันไป บางชนิดมีคุณคา่ ทางศิลปะและสนุ ทรยี ภาพควบคูไ่ ปกับประโยชน์ใชส้ อย และมี
ความเก่ียวเนอ่ื งกับความเชอ่ื ขนบประเพณีของผู้สร้างและผู้ใช้ในแต่ละถ่ินแตล่ ะประเทศ
ศลิ ปหัตถกรรมจากไม้ไผ่ของญปี่ ุ่น
ชาวจีนเรียกไม้ไผ่ว่า “ชู” (Chu) ไผ่มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวจีนมาแต่อดีต ตั้งแต่ใช้หน่อไม้เป็น
อาหาร ใช้ทำตะเกียบ ใช้สร้างที่อยู่อาศัย ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ ใช้เป็นอาวุธและเป็น
เคร่อื งดนตรี ตลอดจนทำไม้เรยี ว ทำเป็นเชอื กเพอ่ื ผกู มัดมนษุ ย์เข้าด้วยกนั
ชาวญ่ีป่นุ เรยี กไม้ไผว่ ่า “ทา-เก” (ta-ke) และในประเทศญี่ปุ่นมไี มไ้ ผ่ชนดิ ต่าง ๆ ถงึ 400 – 400 ชนดิ ชาว
ญี่ปุ่นนำไม้ไผ่มาใช้ประโยชน์มากมายมาแต่สมัยโบราณ กล่าวกันว่าเมื่อสองร้อยปีมาแล้ว ชาวญี่ปุ่นจะจารึกช่ือ
เจา้ ของบ้านไว้บนทอ่ นไมไ้ ผแ่ ขวนไวห้ นา้ บา้ น บอกจากนี้ชาวญี่ป่นุ ยงั นำไม้ไผ่มาทำเปน็ เครอื่ งมือเครอื่ งใช้ และงาน
หตั ถกรรมหลายชนิดเปน็ ชาตหิ น่งึ ในเอเซยี ที่ใชไ้ มไ้ ผใ่ หเ้ กิดประโยชนอ์ ยา่ งกวา้ งขวาง
ท่อี ยอู่ าศัย
ไม้ไผ่ที่นำมาทำเป็นที่อยูอ่ าศัย คุณสมบัติพิเศษของไมไ้ ผท่ ี่สามารถใช้ประโยชนไ์ ด้โดยไม่ต้องแปรรูปและ
แปรรปู และเปน็ ไม้ที่มคี วามคงทนต่อสภาพดนิ ฟ้าอากาศได้ดี จงึ มกี ารนำไม้ไผม่ าสรา้ งเปน็ บา้ นเรือนท่ีพักอาศัยกัน
ทั่วไป เช่นเรือนไม้ไผ่ในประเทศไทยที่เรียกว่า “เรือนเครื่องผูก” ที่สร้างด้วยไม้ไผ่แทบทั้งหมด ตั้งแต่ใช้เป็น
โครงสร้างและส่วนประกอบของบ้านเรือน ได้แก่ ใช้ลำไม้ไผ่เป็นเสา โครงหลังคา และใช้ไม้ไผ่แปรรูปด้วยการผา่
เปน็ ซกี ๆ เปน็ พื้นและสานเปน็ แผงใชเ้ ปน็ ฝาเรอื น เป็นต้น
ชาวชนบทที่มฐี านะทางเศรษฐกิจไมด่ ีนกั มักสร้างเครอื่ งเรอื นผูกเป็นท่อี ย่อู าศยั เพราะสามารถสร้างได้เอง
โดยใช้ไมไ้ ผแ่ ละวสั ดุที่มีในทอ้ งถิน่ ของตนมาประกอบกันเป็นเรือนท่พี กั อาศยั รูปแบบของเรอื นเคร่ืองผกู จะแตกตา่ ง
กนั ไปตามความนยิ มของแต่ละทอ้ งถน่ิ โดยทว่ั ไปจะใช้ไม้ไผเ่ ป็นวสั ดหุ ลกั ในการกอ่ สรา้ ง
บา้ นชนบทริมน้ำสรา้ งด้วยไมไ้ ผ่
บ้านในชนบทสรา้ งดว้ ยไมไ้ ผ่
การใช้ไม้ไผ่สร้างเป็นที่พักอาศัยนี้มีอยู่ทั่วไปในประเทศที่มีไม้ไผ่ ซึ่งอาจจะใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้างของ
บ้านเรือนโดยตรงหรือใช้ประกอบกับวัสดุอื่น เฉพาะประเทศในเอเซียนั้นมีหลายท้องถิ่นที่ใช้ไม้ไผ่สร้างเป็น
บ้านเรือน เช่น บ้านของชาวสุราเวสี (Surawesi ) และบ้านเรือนของชาวเกาะต่างๆ ในประทศอินโดนีเซียและ
มาเลเซยี นอกจากการใชไ้ ม้ไผ่สร้างท่ีอยู่อาศัยแลว้ ยงั ใช้ไมไ้ ผ่สรา้ งสะพาน ทำเปน็ แพหรือลกู บวบเป็นท่ีพักอาศัยใน
แม่น้ำลำคลองดว้ ย และรวมทง้ั การนำไมไ้ ผ่มาทำรว้ั บา้ น ทำคอกวัว คอกควาย เลา้ เป็ด เล้าไก่ ด้วยว่าไม้ไผ่เป็นส่ิง
หาง่ายในท้องถนิ่
เคร่อื งมอื เครอ่ื งใช้
งานไมไ้ ผท่ ่ีใช้เป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใชใ้ นครวั เรอื นและชีวิตประจำวัน งานไม้ไผป่ ระเภทนี้มีความเก่ียวเน่อื ง
กบั ชีวติ มนษุ ย์มาช้านานและอาจจะเปน็ เคร่อื งใชใ้ นครวั เรือนท่ีเกา่ แกท่ ่ีสุดอย่างหน่งึ เฉพาะอยา่ งยิง่ ชาวตะวันออก
นั้น มเี ครอื่ งมือเครอ่ื งใชท้ ีท่ ำด้วยไมไ้ ผ่มาแต่โบราณ เช่น ตะเกยี บไม้ไผข่ องจนี เป็นเครอ่ื งมือการกนิ อาหารทที่ ำ
อย่างง่ายๆ แต่ใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ย่างดี กอ่ งขา้ วและกระติบสำหรับใส่ขา้ วเหนียวของชาวอีสานและชาวเหนือ เปน็
ตวั อย่างท่ดี ีซึง่ แสดงให้เห็นความชาญฉลาดในการนำไมไ้ ผ่มาแปรรูปเปน็ ภาชนะสำหรับใสข่ า้ วเหนียวนง่ึ ได้ดเี ท่าก่อง
ขา้ วและกระติบท่ีสานด้วยตอก
นอกจากนยี้ ังใช้ทำเคร่ืองใช้สอยในครัวเรือน เชน่ ตะกรา้ กระจาด สาแหรก กระบอกเป่าไฟ กระชอน
ตะเกียบ ชะลอม ท่ีเสยี บมดี กระบอกเกบ็ สาก ทพั พี ชอ้ น ตะหลิว ทำพัด ตับปงิ้ ปลา ทำฟนื ดา้ มเครื่องมอื อน่ื ๆ
เครื่องจักสาน ของที่ระลกึ เครอ่ื งเขิน ทำโครงร่ม ไมก้ วาด ใช้เปน็ ไมค้ ำ้ ยนั ในการทำการเกษตร เช่นไม้ค้ำตน้ ส้ม คำ้
ผัก คา้ งถั่ว ฯลน ไมไ้ ผ่ยงั ใชเ้ ป็นหลกั ปักกองฟาง ใช้ทำเขง่ บรรจุผลไม้ บรรจใุ บชา ของป่าตา่ งๆ ทำหุ่นหรอื ลกู บวบ
หนุนเรือนแพลอ่ งไมไ้ ม่ใหจ้ ม บุง้ ก๋ี กระพ้อม เสียม เสื่อลำแพน ทำท่อ ทำโต๊ะ เก้าอี้ และเฟอรน์ ิเจอร์ตกแตง่ ภายใน
บ้าน
กอ่ งขา้ วภาคเหนอื
ปัน้ ใสใ่ บชาของภาคเหนือ กระจาดภาคกลาง
พัด
กอ่ งข้าวภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื
......................................................................................................................................................
แหลง่ ที่มาของข้อมูล
นิยามไทย
https://www.google.co.th/search?dcr=0&source=hp&ei=Gl9DWuPwAcXP0gS6x6ioCg&q=
เข้าถงึ เมอ่ื วนั ที่ 20 กนั ยายน 2560
ใบงานที่ 1
เรือ่ ง ความรูท้ วั่ ไปในเรอื่ งของไผ่
ให้นกั ศกึ ษาตอบคำถามตอ่ ไปนี้
1. จงอธิบายลักษณะทวั่ ไปของพืชตระกลู ไผ่ออกเปน็ ข้อ ๆ
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
2. ไผ่ตามแนวความเชื่อนั้นเก่ียวข้องกบั คนไทยและชุมชนอย่างไรพร้อมอธิบายและยกตัวอยา่ ง
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
ใบความรทู้ ี่ 2
เรอ่ื ง ชนิดของไผ่
ในปัจจบุ นั หลายประเทศอาศัยวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ ๆ และมกี ารค้นคว้าวิจัยกันอย่างกว้างขวาง
ทำให้คน้ พบส่ิงใหม่ ๆ ในตน้ ไผอ่ ีกมากมายหลายชนดิ ท่ีสามารถทำประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมและการแพทย์ เช่น
การทำไหมเทียม Hard board ชนิดต่าง ๆ วัคซีนบางชนิดผลิตฮอร์โมนบางอย่างอุตสาหกรรมทำแบตเตอร่ีสกัด
เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง และสกัดเป็นสารเคมีอีกนานัปการ ส่วนใหญ่เป็นการค้นคว้าจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกระทำกนั
อย่างกว้างขวางและรีบเร่ง เพราะประเทศญี่ปุ่นถือว่าไม้ไผ่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจเป็นพิเศษชนิดหน่ึงในบรรดา
ทรพั ยากรปา่ ไมแ้ ละเกษตรดงั นนั้ วัตถุประดิษฐจ์ ากไม้ไผ่ไมเ่ พียงแต่ใช้ในประเทศเท่าน้ัน ยังสามารถส่งไปจำหน่ายใน
ต่างประเทศได้เงินเป็นจำนวนมาก สินค้าที่สำคัญของญี่ปุ่น คือ พวกเครื่องกีฬา พัด ม่าน เครื่องใช้เบ็ดเตล็ด
ประเภทของขวญั ซ่ึงประดษิ ฐ์ได้อย่างสวยงาม มีคุณภาพเปน็ ท่ีนิยมกันทัว่ ไป
สำหรบั ในประเทศไทยประชาชนก็ใช้ไม้ไผ่ในชีวิตประจำวนั มาช้านานแล้ว และนบั วันจะใช้เพ่ิมมากข้ึนทุกที
โดยเฉพาะงานหัตถกรรมจกั สานซึ่งเป็นอาชีพรองของคนไทยมาช้านาน แมก้ ระทง่ั ทกุ วันนี้ชาวบ้านตามชนบทยังนิยม
ทำงานจักสานกันอยู่ทั่วไปแต่ก็ยังไม่ทำใหง้ านจักสานไม้ไผข่ องไทยได้ทัดเทียมกับของตา่ งประเทศทัง้ นี้เป็นเพราะ
งานจักสานของไทยประดิษฐข์ ้ึนมาเพ่ือความจำเปน็ ในครอบครวั เท่านั้น ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญจ่ งึ ไม่ค่อยจะเรียบร้อย
และสวยงามและคณุ ภาพยงั ไมค่ งทนถาวรพอ ถา้ หากผู้ประกอบการได้เรยี นรถู้ งึ วธิ ีการใหม่ ๆ เช่น การออกแบบทีส่ วยงาม
การดัดแปลงใหส้ ะดวกในการใชแ้ ละรจู้ กั ประดิษฐเ์ ครื่องมอื ท่จี ะทำตอกให้เรยี บร้อยย่งิ ขนึ้ แลว้ รวมท้งั ศึกษาถึงกรรมวิธี
ต่าง ๆ ทง้ั ทางเคมี ฟิสิกส์ เพื่อนำมาปรบั ปรงุ คุณภาพของผลิตกัณฑ์จากไม้ไผ่ดังกลา่ วให้มีคุณภาพดีขึ้นแล้ว ก็เชื่อได้
แนว่ า่ สนิ คา้ ผลิตกัณฑไ์ ม่ไผข่ องไทยจะสามารถแข่งขนั กับของตา่ งประเทศได้
อนึ่งในปัจจบุ นั นีป้ ่าไผ่ธรรมชาติถูกทำลายลงอย่างมหาศาลแทบทกุ ปี และเพ่ือให้มีปรมิ าณไม่ไผ่อย่างเพียงพอ
เพือ่ สนองความตอ้ งการของโรงงานอตุ สาหกรรม และประชาชนทง้ั ในปัจจุบนั และอนาคต จงึ สมควรอยา่ งยิง่ ทท่ี ้ัง
ส่วนราชการ และเอกชนจะได้มกี ารปรบั ปรุงสง่ เสรมิ และสนบั สนุนใหม้ ีการปลูกสร้างเสรมิ ปา่ ไผข่ ึ้นทดแทนป่าไผท่ ่ี
ถูกโค่นทำลายไป
ความรทู้ ั่วไปของไม้ไผ่
ถ่ินกำเนดิ ไม้ไผถ่ ือเปน็ พืชเมอื งร้อน (tropics) แตก่ ็
สามารถเจริญเติบโตไดท้ กุ ทวีปไมไ้ ผ่หลายสกุลพบมากทสี่ ุดใน
เขตรอ้ นทางใต้ และตะวนั ออกเฉยี งใตข้ องเอเซีย จากอนิ เดยี
ไทย จีน ญีป่ ุ่น เกาหลี มนี อ้ ยสกุลพบในเขตอบอุ่น
(temperates) ของโลกบางสว่ นของทวีปอเมริกากพ็ บมาก ใน
บางประเทศแถบอเมริกาใต้ เช่น เปอโตริโก ชลิ ี อาเยนตนิ า่ และก็มี 2-3 ชนิดทพี่ บในออสเตรเลีย
ชนิดของไม้ไผ่ เท่าทร่ี จู้ กั กันในปัจจุบันท้งั โลกมอี ยเู่ ปน็ จำนวน 47 สกุล (Genera) แยกเปน็ 1,250 ชนิด
(Species) สำหรับประเทศไทยซง่ึ อยู่ในเขตรอ้ นไผเ่ จริญงอกงามไดด้ ีเทา่ ทท่ี ราบ โดยอาศยั หลักฐานตา่ ง ๆ ท่ีค้นได้มี
ไผ่ชนดิ ตา่ ง ๆ อยู่จำนวน 12 สกลุ ประมาณ 44 ชนดิ และมีอีกประมาณ 35 ชนดิ ท่มี ีผูบ้ นั ทึกวา่ ได้พบแต่ยังไม่มี
การสำรวจอย่างแท้จริงหากมีผู้สนใจอย่างจริงจังแล้วและได้มีการสำรวจกันอย่างกว้างขวางแล้วเข้าใจว่าจะมี
จำนวนมากกว่านีแ้ น่นอน เพราะสภาพภูมปิ ระเทศบางแห่งทรุ กันดารเป็นเขตทไี่ ม่ปลอดภยั เนอ่ื งจากมผี กู้ อ่ การร้าย
ปรากฏอยู่เนือง ๆ และบางแหง่ กย็ งั มกี ารสำรวจไม่ละเอียดพอ เชน่ ตามเทือกเขาตะนาวศรี เขากาลาครี ี ฉะน้นั การ
พบพนั ธ์ไุ ผช่ นดิ ใหม่หรอื สกลุ ไผ่ชนดิ ใหมจ่ ึงไมเ่ ป็นของเหลอื วิสัยถา้ หากได้สำรวจในท้องที่ดังกล่าว
ลกั ษณะทว่ั ไปของไม้ไผ่
ประเภทของไม่ไผ่ (Types of bamboo) ไม่ไผน่ ้ี นักพฤกษศาสตรส์ ว่ นใหญไ่ ดจ้ ัดรวมให้อยู่ในวงศ์เดียวกัน
กับหญ้าชนิดตา่ ง ๆ คือวงศ์ GRAMINEAE แต่ไม่ไผ่เป็นพวกหญ้าท่ีมีลำตน้ เป็นไม้ (ลำ) เจริญเติบโตมาจากเหงา้
ไม้ไผ่เป็นพืชกอ ส่วนมากมลี ำต้นกลวง เป็นปล้อง ผิวแข็ง การแตกกอจะหนาแน่นมากน้อยเพียงใดนั้นย่อมข้ึนอยูก่ ับ
ชนิดพันธุ์เป็นหลัก บางพวกอาจจะขึ้นเป็นลำเดี่ยว ๆ ไม่เป็นกอ มีระยะห่างแน่นอนก็มีศาสตราจารย์ ดร.อูเอดะ
(UEDA) ผู้เชยี่ วชาญไมไ้ ผ่ชาวญี่ปุ่นได้จำแนกไว้เป็น 3 ประเภท โดยอาศยั ระบบการเจริญเติบโตของเหง้าเป็นหลัก คอื
1. พวกทข่ี น้ึ เป็นกอ การเจรญิ ของพวกนี้จะสงั เกตได้จากตาของเหงา้ ซง่ึ มอี ยู่หลายขอ้ จะพงุ่ ตวั แทงหนอ่
โผลเ่ หนือพื้นดนิ เจรญิ เติบโตกลายเป็นลำกอ่ น และในปีตอ่ ๆ มาตาตอนสว่ นลา่ งของเหง้าลำดงั กล่าวซึ่งมีขนาดส้ัน
จะพงุ่ ตวั แทงหน่อโผลเ่ หนือพ้นื ดินกลายเป็นลำที่สอง ลำท่ีสาม เป็นเช่นนีเ้ รื่อย ๆ ไปจนกระทงั่ หนาแน่นเปน็ กอใน
ทส่ี ดุ ตัวอย่างไดแ้ ก่ ไผ่ปา่ ไผ่สสี ุก ไผบ่ ง ไผ่ซาง หรอื อาจจะกล่าวไดว้ า่ ไผท่ กุ ชนิดในประเทศไทยจดั อย่ใู นประเภทน้ี
และไผ่ส่วนใหญใ่ นเขตรอ้ นกจ็ ัดอยู่ในพวกที่ขน้ึ เป็นกอแทบท้ังสนิ้
2. พวกทขี่ ึน้ เปน็ ลำเดยี่ ว การเจริญของไผ่พวกนี้ อาศยั เหง้าในการขยายพนั ธเ์ุ ปน็ หลัก โดยท่ตี าตรงข้อของ
เหง้าจะเจรญิ เตบิ โตแทงหน่อโผล่เหนือพน้ื ดนิ กลายเป็นลำใหม่ และขณะเดียวกนั ตาทเ่ี ป็นสว่ นปลายของขอ้ เหง้าก็
จะเจริญกลายเป็นเหงา้ ใหม่และมีระยะเกอื บเท่ากบั ความยาวของเหงา้ เดมิ ส่วนในปีตอ่ ๆ มาตาทข่ี อ้ ของเหงา้
เติบโตกลายเปน็ ลำใหมแ่ ละเหง้าใหม่เชน่ น้ีเร่อื ย ๆ ไป ส่วนระยะหา่ งระหว่างลำกจ็ ะมรี ะยะคอ่ นข้างคงที่แน่นอน
เจรญิ เตบิ โตในรปู ของลำเดี่ยว ๆ ตลอดไปทกุ ปี ตัวอย่างได้แก่ พันธไุ์ ม้ไผท่ ีข่ นึ้ อย่ใู นเขตอบอุ่น เช่น พวกมาดาเกะ
หรอื โมโชชิกุ ในประเทศญ่ีปุ่น เปน็ ตน้ สำหรับในประเทศไทยจะมไี ผป่ ระเภทนีห้ รอื ไมก่ ็ไมอ่ าจจะทราบได้เพราะยัง
ไม่มีการสำรวจอย่างละเอียดมากอ่ นและถา้ จะเป็นไปได้ก็เข้าใจวา่ ไผ่เลย้ี งหรือไผค่ ลานอาจจะอยใู่ นประเภทนี้ก็ได้
3. พวกผสม (เปน็ ทงั้ แบบลำเดี่ยวและกอ) การเจรญิ เติบโตของไผ่พวกนม้ี ีทั้งสองแบบ คือ บางปกี ็เจริญเติบโต
แบบลำเดีย่ ว บางปกี ็เจริญเตบิ โตแบบกอ หรือบางปีก็อาจเจริญเตบิ โตทัง้ แบบ ลำเดีย่ วและแบบกอสลับกนั ไปส่วน
ใหญ่เปน็ พวกไมไ้ ผ่ในเขตอบอุ่น สำหรบั ในประเทศไทยยงั ไม่ปรากฎหลักฐานที่แนช่ ดั แต่อยา่ งใดอย่างไรก็ตามการ
เจริญเตบิ โตของไผ่ทง้ั สามพวกดงั กล่าวแล้วนั้น ยอ่ มจะมกี ารเปลยี่ นแปลงจากอกี พวกหนึง่ ไปเป็นอกี พวกหนึ่งไดท้ ุก
ขณะ ทั้งน้ยี อ่ มขนึ้ อย่กู บั สภาพความผันแปรของส่ิงแวดล้อมเป็นหลักดว้ ย
อนึ่งเก่ยี วกบั ประเภทของไมไ้ ผน่ บ้ี างประเทศเชน่ เปอโตริโกไดจ้ ำแนกไม้ไผ่ไวเ้ พียง 2 ประเภทเท่านั้นคอื
ประเภทเปน็ กอและลำเดย่ี วเท่านั้น
ไผใ่ นโลกมที ัง้ หมด 1,250 ชนดิ ในประเทศไทยมีไผ่ 82 ชนิด ไผ่ที่นิยมนำมาใช้ประโยชน์มี
- ไผต่ ง - ไผร่ วก
- ไผเ่ ลี้ยง - ไผ่ซาง (ไผ่นวล ไผป่ ลอ้ ง หรือไผส่ ีนวล)
- ไผ่บงหวาน - ไผ่ขา้ วหลาม
- ไผร่ วกดำ - ไผ่ป่า (ไผห่ นาม)
- ไผ่สสี กุ - ไผไ่ ร่
ชนดิ ไผท่ พ่ี บมากในภาคเหนอื มี 28 ชนดิ ไดแ้ ก่
- ไผบ่ ง - ไผป่ า่ - ไผล่ ำมะลอก
- ไผเ่ หลอื ง - ไผ่หอบ - ไผ่เล้ียง
- ไผส่ สี กุ - ไผน่ ้ำเต้า - ไผผ่ วิ
- ไผบ่ ง - ไผ่ไลล่ อ - ไผ่ขา้ วหลาม
- ไผ่เฮียะ - ไผ่ซาง - ไผเ่ ซิม
- ไผ่หก - ไผเ่ ป๊าะ - ไผซ่ างดำ
- ไผซ่ างนวล - ไผบ่ งใหญ่ - ไผ่ไร่
- ไผผ่ ากมัน - ไผ่บงคาย - ไผ่หางชา้ ง
- ไผ่เกรยี บ - ไผ่บงเลอื้ ย - ไผ่รวกดำ
- ไผ่ตง
การจำแนกพนั ธุไ์ ผ่อาศยั ลกั ษณะของการเจริญเติบโตของเหงา้ รปู ลักษณะของกาบหุ้มลำและส่วนตา่ ง ๆ
ของดอกเป็นเกณฑ์ท่ีสำคญั คือเหงา้ ซึ่งเป็นส่วนของลำต้นทอ่ี ย่ใู ต้ดิน มหี นา้ ทเี่ ก็บสะสมอาหารและส่งอาหารไปเล้ียง
ลำไผ่ ตาข้ออยู่ขา้ ง ๆ เหง้าจะพฒั นาเป็นหน่อและลำไผใ่ นท่ีสดุ โดยมีการจำแนกไผ่ตามการเจรญิ เติบโตของเหงา้ 3
ลกั ษณะ คอื
1. ระบบเหง้ากอ หน่ออ่อนจะแทงยอดออกมาจากตาเหง้าที่มีอยู่หลายตา แต่จะมีเพียงหน่อเดียวท่ี
เจรญิ เติบโตต่อไป เหงา้ ใตด้ ินจะมขี นาดใหญ่และส้ัน หนอ่ อ่อนท่แี ทงออกมาจะเบียดกันด้านนอกกอ ทีแ่ น่นทึบโดย
มลี ำแกอ่ ยูข่ ้างในกอ
2. ระบบเหง้าลำเดี่ยวลำอ่อนแตกมาจากตาของเหง้าใต้ดิน เพียงบางตาตรงส่วนของปลายเหง้าที่เจริญ
ออกเป็นหน่อใหม่ เหง้ามรี ะยะยาว แตกออกเป็นลำใหม่ในปีต่อไปเรอื่ ยๆ เหง้าและลำจงึ ไม่อยูร่ ว่ มกนั
3. ระบบเหง้าผสม ในระบบนี้จะมีทั้ง 2 แบบ ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพความผันแปรของ
สงิ่ แวดลอ้ มเปน็ หลัก
คณุ สมบัตขิ องไม้ไผ่
1. คณุ สมบัตทิ างกายภาพ
1.1 ความช้นื ของไม้ไผ่ทเ่ี จรญิ เติบโตเต็มทีม่ ีค่าเฉล่ีย 50-99 % และไม้ไผ่ทีย่ งั อ่อนอยู่มคี ่าเฉลีย่ 80-
95 % ขณะที่ไม้ไผซ่ ่ึงแห้งเตม็ ท่แี ล้วมคี วามชน้ื 12-18 % ความชื้นของไม้ไผ่จะค่อย ๆ ลดลงจากสว่ นโคนไป
ยงั ส่วนปลายของลำต้น และจะลดลงเมื่อลำตน้ มีอายุเพิ่มขึน้ และมีความชนื้ สงู ในฤดฝู นมากกว่าฤดูแลง้
1.2 ความหนาแนน่ ของเน้อื ไม้เปล่ียนแปลงไปตามชนิดของไม้ไผ่
1.3 ปริมาณน้ำในผนังเซลลข์ องเซลล์เสน้ ใยหรอื ไฟเบอร์(fiber) ข้นึ กบั ชนิดของเน้อื ไม้
1.4 การหดตัวของเนอ้ื ไม้ เกิดข้นึ ภายหลังจากการเก็บเกี่ยว ไมไ้ ผ่ทม่ี ีสีเขยี วจะมกี าร
สญู เสยี นำ้ และมกี ารหดตัวของเซลลซ์ ่ึงมผี ลตอ่ ขนาดเส้นผ่านศูนยก์ ลางของลำไมไ้ ผ่ให้หดเล็ก
ลงด้วย
2. คณุ สมบัติทางกล
ไม้ไผ่เปน็ พชื ที่มเี น้ือไมซ้ ึ่งแขง็ แรงและยดื หย่นุ ได้เช่นเดยี วกบั เนอื้ ไม้ของพืชอื่น ๆ คอื
2.1 การโคง้ งอ คุณสมบัติข้นึ กับชนิดของไม้ไผ่ และขนาดของลำไผ่ หรอื เนอื้ ไมท้ ่ีถูก
ผ่าแบง่ ใหม้ ีความหนาและบางแตกตา่ งกันไป
2.2 การยืดหยนุ่ ขึ้นกับคณุ สมบตั ิในการโคง้ งอ และการทนต่อแรงกดบนเน้ือไม้
2.3 การทนทานต่อแรงกด แรงบบี และแรงอดั ต่าง ๆ ซงึ่ มผี ลต่อการรบั นำ้ หนกั ของวัตถุ
3. คณุ สมบัติทางเคมี
3.1 องคป์ ระกอบหลกั ของเน้อื ไม้ ไดแ้ ก่ เซลลโู ลส(cellulose) เฮมิเซลลูโลส
(hemicellulose) และลกิ นิน(lignin) องคป์ ระกอบรองได้แกส่ ารจำพวก เรซิน (resins)
แทนนิน(tannins) แว๊กซ(์ waxes) และเกลอื อนินทรยี ์(inorganic salts)
3.2 อตุ สาหกรรมการผลิตกระดาษและเยือ่ กระดาษ มีเซลลโู ลส
และเฮมเิ ซลลูโลส ซึ่งเรยี กรวมกันวา่ โฮโลเซลลูโลส
(holocellulose) เปน็ องค์ประกอบ 61-71 % เพนโทแซน
(pentosans) 16-21 % ลกิ นิน(lignin) 20-30 % เถา้ 1-9 %
ซิลกิ ้า 0.5-4%
3.3 หนอ่ อ่อนของลำตน้ ที่นำมาบริโภคเปน็ หนอ่ ไม้ในส่วนท่ี
รบั ประทานได้หนกั 100 กรัม ประกอบด้วย น้ำ 89-93 กรมั
โปรตนี 1.3-2.3 กรมั ไขมนั 0.3-0.4 กรัม คารโ์ บไฮเดรต 4.2-
6.1 กรมั เสน้ ใย 0.5-0.77 กรัม เถา้ 0.8-1.3 กรมั แคลเซยี ม
81-96 มิลลกิ รมั ฟอสฟอรัส 42-59 มิลลิกรัม เหล็ก 0.5-1.7
มลิ ลิกรมั วติ ามนิ บี 10.07-0.14 มิลลกิ รมั วติ ามินซี 3.2-5.7
มลิ ลิกรมั กลโู คส 1.8-4.1 กรมั พลงั งาน 118-197 จูล ไซยาไนด์ 44-283 มิลลิกรมั ตอ่ กิโลกรัม
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
ไผม่ ถี ิน่ กำเนิดในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ เปน็ ไผท่ ่ีมกี ารแตกกอขนาดใหญ่ และเปน็ ลำต้นสูงตรง ผอมเรียว
สว่ นไผ่ที่มถี ิน่ กำเนดิ ในเขตอบอุ่นนั้น เปน็ ไผ่ท่ีมีการแตกกอน้อย และมลี ำต้นขนาดใหญ่ ไผ่มีลำต้นใตด้ ินเรียกวา่
เหง้า(rhizome) ส่วนโคนของลำต้นเหนือดินจะใหญ่และคอ่ ย ๆ เรยี วไปยงั ส่วนปลายลำต้น หนอ่ ใหม่จะเจรญิ
ออกมาจากตาข้างหรอื ตายอดของเหง้าทอี่ ยูใ่ ตด้ ิน ไผ่แต่ละลำประกอบด้วยสว่ นของปลอ้ งลำตน้ ที่มีลักษณะเปน็ ท่อ
กลวง และสว่ นข้อทม่ี ลี กั ษณะเปน็ แผ่นแบนแข็ง เส้นผา่ นศนู ย์กลางของลำต้นข้ึนอยกู่ ับชนดิ ของไผ่ ซึง่ มเี ส้นผา่ น
ศนู ยก์ ลางตั้งแต่ 0.5-20 เซนติเมตร นอกจากน้ยี ังพบว่าขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของลำตน้ ข้นึ กบั ขนาดของหนอ่
ออ่ นท่เี จริญออกมาจากเหงา้ ใต้ดนิ อีกดว้ ย ปล้องท่ีอย่บู ริเวณส่วนกลางของลำต้นมกั มคี วามยาวมากกวา่ ปล้องท่อี ยู่
ตรงส่วนโคนหรอื ส่วนปลายของลำต้น และมีร้ิวรอยของกาบใบทห่ี ลดุ ร่วงไปจากบริเวณขอ้ ของลำต้นดว้ ย ขอ้ ของ
ลำต้นไผบ่ างชนดิ อาจมีลกั ษณะโป่งพอง และอาจพบรากพเิ ศษเจรญิ ออกมาจากข้อของลำต้นท่ีอยู่ใกลก้ บั ส่วนโคน
ของลำตน้
ใบของไผป่ ระกอบด้วยสว่ นของแผ่นใบ(blade) กาบใบ(sheath proper) ลนิ้ ใบ(ligule) และเข้ยี วใบ
(auricles) ซง่ึ มขี นาดและรูปร่างแตกตา่ งกันตามชนดิ ของไผ่ รวมท้ังสสี ันของกาบใบทห่ี ้มุ หนอ่ อ่อน รวมทง้ั การมี
หนาม ขนหรอื ความเป็นมันเงาของกาบใบก็แตกต่างกันไปตามชนิดของไผด่ ้วย
การแตกกิง่ ก้านสาขาของไผ่จะพบตั้งแตส่ ว่ นโคนของลำตน้ ไปจนกระท่งั ถงึ ส่วนปลายยอดในไผ่บางชนิด แตไ่ ผบ่ าง
ชนดิ มีการแตกกิ่งก้านสาขาเฉพาะสว่ นยอดของลำต้นเท่านน้ั
ไผ่ออกดอกเปน็ ชอ่ ซึ่งมชี อ่ ดอกยอ่ ยแบบ Spikelet ชอ่ ดอกของไผถ่ ูกแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 แบบใหญ่ ๆ คือ
แบบ semelauctant ซึ่งมีการเรยี งของช่อดอกยอ่ ยออกมาจากทง้ั สองด้านแกนกลาง เปน็ ช่อดอกแบบชอ่ กระจะ
(Raceme) หรือ (panicle) สว่ นอีกแบบหนึง่ เปน็ ชอ่ ดอกแบบ iterauctant หรือindeterminateซึ่งมีช่อดอกแตก
ออกเป็นกระจกุ เรียงซอ้ นกันเปน็ ชนั้ ๆ
ผลของไผ่เป็นผลธัญพืช (caryopsis) เชน่ เดยี วกบั พืชชนิดอนื่ ๆ ซึ่งอยู่ในวงศ์หญ้า มีผนงั ผลเชอื่ มติดกบั สว่ น
ของเปลอื กหุม้ เมล็ด เมล็ดประกอบดว้ ย เอ็มบริโอ(embryo) เอนโดสเปิรม์ (endosperm) และใบเลย้ี ง 1 ใบ เรยี กว่า
scutellum เม่อื เมล็ดงอกเป็นต้นกลา้ จะมรี ากปฐมภมู ิซึ่งพฒั นามาจากรากแรกเกดิ (radicle) ของเอม็ บริโอ สว่ น
ยอดอ่อน(plumule) จะเจรญิ เปน็ ลำตน้ โผล่เหนือดิน โดยมีเนอ้ื เยอ่ื หุ้มยอดแรกเกดิ (coleoptile) ห่อหุ้มปลายยอด
ของต้นกลา้ ออกมาด้วย
ลักษณะทางกายวภิ าค
ไมไ้ ผแ่ ตล่ ะลำประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมา(parenchyma) 50 % เสน้ ใย (fiber) 40 % ท่อลำเลยี ง 10 %
เน้อื เยอื่ พาเรงคมิ า และทอ่ ลำเลียงตา่ ง ๆ อยทู่ างด้านในของลำต้นเปน็ จำนวนมากขณะที่เสน้ ใยหรือไฟเบอร์มักพบ
อยทู่ างด้านนอกของลำตน้ เนอ้ื เย่อื มดั ทอ่ ลำเลยี งประกอบดว้ ยโพรโทไซเล็ม(protoxylem) และเมทาไซเลม็
(metaxylem) ซ่งึ ทำหนา้ ท่ีลำเลยี งนำ้ และโฟลเอม็ (phloem) ซึง่ ทำหนา้ ท่ีลำเลียงอาหารอย่รู วมกนั เปน็ มดั ถกู
ลอ้ มรอบดว้ ยเย่ือหมุ้ ทป่ี ระกอบดว้ ยเซลลส์ เกลอเรงคมิ า(sclerenclyma) ชนดิ เสน้ ใย(fiber) ทางรอบนอกของลำต้น
เนอ้ื เยอื่ มดั ท่อลำเลยี งจะมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ขณะทม่ี ดั เนอ้ื เยอื่ ซึ่งอยู่ทางด้านในของลำต้นจะมีขนาดใหญ่
กว่า และมจี ำนวนน้อยกว่า จำนวนมัดท่อลำเลียงจะคอ่ ย ๆ ลดลงจากด้านนอกเขา้ หาด้านใน และจากสว่ นโคนไปยัง
สว่ นปลายของลำต้น
รูปแบบของมดั ท่อลำเลยี งทพ่ี บในพชื จำพวกไผ่จะแตกตา่ งกันไปประมาณ 4-5 แบบ ข้ึนกบั ขนาดและการ
กระจายตัวของมดั ท่อลำเลยี ง เส้นใย(fiber) ทีพ่ บในเนือ้ ไม้ของไผ่ มกั อยบู่ ริเวณรอบ ๆ มัดท่อลำเลียง และพบมาก
บริเวณรอบนอกจนถึงส่วนกลาง ของเนือ้ ไม้ทอ่ี ยูโ่ ดยรอบปล้องของลำตน้ แตจ่ ะมคี วามยาวของเสน้ ใยส้ันกวา่ เสน้ ใย
ท่อี ยดู่ า้ นในของลำตน้ ซง่ึ ในอตุ สาหกรรมการผลิตเยอ่ื กระดาษจะตอ้ งเลือกใช้ชนิดของไผ่ท่ีมีคุณสมบัตติ ่าง ๆ ของ
เส้นใยเหมาะสมตอ่ การผลติ ดว้ ย เส้นใยของไผ่ชนิดต่าง ๆ ทีม่ ีถน่ิ กำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มคี วามยาว
ของเสน้ ใยเฉล่ีย 1.45-3.78 นาโนเมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นใย 11-22 ไมโครเมตร เสน้ ผา่ นศูนย์กลางของช่อง
ภายในเซลล์ 2-7 ไมโครเมตร ความหนาของผนงั เซลล์ 4-9 ไมโครเมตร
ในประเทศไทยนั้น พบไผอ่ ยู่ 30 ชนิด ดังน้ี
1. ไผข่ า้ วหลาม (ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์: Cephalostachyum pergracile )
2. ไผค่ ายดำ (ช่ือวิทยาศาสตร์: Gigantochloa compressa)
3. ไผโ่ จด (ชือ่ วิทยาศาสตร์: Arundinaria cililta)
4. ไผ่ซาง (ชือ่ วทิ ยาศาสตร:์ Dendrocalamus strictus)
5. ไผ่ซางคำ (ชือ่ วิทยาศาสตร:์ Dendrocalamus latiflorus)
6. ไผ่ซางนวล (ช่ือวิทยาศาสตร์: Dendrocalamus membranaceus)
7. ไผ่ซางหมน่ (ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์: Dendrocalamus sericeus )
8. ไผ่ตง (ชอ่ื วทิ ยาศาสตร:์ Dendrocalamus aspe)
9. ไผต่ ากวาง (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gigantochloa kurzii)
10. ไผ่บง (ช่ือวิทยาศาสตร์: Bambusa nutans)
11. ไผ่บงคาย (ชื่อวิทยาศาสตร์: Gigantochloa hosseusii)
12. ไผ่บงดำ (ชือ่ วิทยาศาสตร์: Bambusa tulda)
13. ไผ่บงป่า (ชอ่ื วทิ ยาศาสตร:์ Bambusa longispatha)
14. ไผ่บงหนาม (ชื่อวิทยาศาสตร:์ Bambusa burmanica)
1.5 ไผ่ป่า (ช่ือวทิ ยาศาสตร์: Bambusa bambos)
1.6 ไผเ่ ป๊าะ (ชอื่ วิทยาศาสตร:์ Dendrocalamus giganteus)
1.7 ไผผ่ าก (ชอื่ วิทยาศาสตร:์ Gigantochloa densa)
1.8 ไผเ่ พ็ก (ช่ือวิทยาศาสตร์: Vietnamosasa pusilla)
1.9 ไผ่รวก (ชอ่ื วทิ ยาศาสตร:์ Thyrsostachys siamensis)
20. ไผร่ วกดำ (ชื่อวทิ ยาศาสตร:์ Thyrsostachys oliveri)
21. ไผ่ไร่ (ชือ่ วทิ ยาศาสตร:์ Gigantochloa albociliata)
22. ไผล่ ำมะลอก (ชื่อวทิ ยาศาสตร:์ Bambusa longispiculatar)
23. ไผเ่ ลีย้ ง (ชื่อวทิ ยาศาสตร:์ Bambusa mulfiplex)
24. ไผห่ วาน (ชอ่ื วิทยาศาสตร์: Bambusa sp.)
25. ไผ่สีสุก (ช่ือวทิ ยาศาสตร:์ Bambusa blumeana)
26. ไผ่หก (ชอ่ื วิทยาศาสตร:์ Dendrocalamus hamiltonii)
27. ไผห่ ลอด (ช่ือวทิ ยาศาสตร:์ Neohouzeaua mekongensis)
28. ไผ่หอม (ช่อื วทิ ยาศาสตร์: Bambusa polymorpha)
29. ไผ่เหลอื ง (ชอื่ วิทยาศาสตร์: Bambusa vulgaris)
30. ไผเ่ ฮยี ะ (ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์: Cephalostachyum virgatum)
ชนิดของไผท่ ่ีควรรู้
ไผ่ทป่ี ลกู กนั ในประเทศไทยมีหลายชนิด วนั น้ีเราลองมาจัดประเภทไผ่กนั อย่างคร่าวๆดูจะทำใหเ้ กษตรกรที่
หันมาปลกู ไผไ่ ดม้ ขี ้อมลู ในการตัดสนิ ใจปลูกกันวา่ ควรจะปลกู ไผ่ชนดิ ไหนกัน ปลกู เพอื่ อะไรปลูกแลว้ จะไดป้ ระโยชน์
อะไรกับไผ่
ไผ่ที่นิยมปลูกกันแบ่งได้ดังนี้คือ ไผ่ที่ปลูกเพื่อใช้ลำของไม้ไผ่และไผ่ที่ปลูกเพื่อการบริโภคหน่อโดยมี
รายละเอยี ดดังน้ี
1.ไผ่ทีน่ ิยมปลูกเพ่ือใช้ลำ การปลกู ไผเ่ พอื่ ใช้ลำ เกษตรกรตอ้ งการคือปลกู ไวก้ นั ลม รอบๆ ที่ ไม่ไดห้ วังหน่อไม้
ไผ่ที่เลือกใช้ควรจะลู่ลมไม่ต้านลม สังเกตไผ่ที่ลู่ลมคือจะต้องไม่มีกิ่งแขนงยาวเกินไปและไม่มีกิ่งแขนงมากนักแต่ก็ยัง
สามารถตัดไม้ไผ่มาขายหรอื ใช้สอยในสวนได้ แต่ก็มีเกษตรกรอีกกลุ่มหน่ึงที่ปลูกเปน็ สวนเพอ่ื ต้องการขายไม้ไผ่เกษตรกร
กลุม่ นี้คือมีทดี่ นิ เหลือจากการปลกู พืชชนิดอ่นื ๆ หรือมที ีด่ นิ มากปลกู พชื อนื่ กต็ ้องดูแลมาก
1.1 ไผ่รวกดำ เป็นไผ่ที่ปลูกเพื่อใช้ลำกัน โดยส่วนใหญ่จะปลูกกันอยู่ทางเหนือของไทยมากที่สุด หน่อ
รบั ประทานได้แต่ตอ้ งตม้ ใหห้ ายขมกอ่ นพบมากที่ จ.นา่ น จ.พะเยา จ.เชียงรายมพี ่อคา้ จากทางตะวันออกและภาค
กลางมาซอ้ื อยูท่ ่ีลำละ 10 - 13 บาทนำไปปักหอยเพราะทนต่อสภาพน้ำเคม็ ไดด้ ี เน้ือไมแ้ ข็งแรงมาก แตไ่ ผ่รวกดำก็
สามารถปลูกได้ที่พื้นที่ของประเทศไทย ถ้าเกษตรกรมีปลูกพืชอื่น ๆ อยู่และต้องการปลูกไผ่เป็นไม้บังลมรอบ ๆ
ที่ดิน ก็สามารถใช้ไผ่รวกดำได้ ถ้าปลูกรอบ ๆ ที่ดินใช้ระยะปลูกอยู่ที่ระยะระหวา่ งต้น 2 เมตรปลูกแถวเดียวครับ
ไผรวกดำเป็นไผ่ลู่ลำเพราะกง่ิ แขนงและใบน้อย ไมต่ า้ นลำ เมือ่ ปลกู แลว้ จะไม่โคน่ เม่อื มีลำมาปะทะ การออกหน่อ
ของไผ่รวกดำจะออกมากในฤดูฝนตกชุก แต่เกษตรกรที่ต้องการปลูกไผ่รวกดำทั้งแปลงจะใช้ระยะอยู่ที่ระยะ
ระหว่างตน้ 2.5 เมตร ระยะระหว่างแถว 4 เมตร พน้ื ที่แถว 4 เมตร พ้ืนท่ี 1 ไร่ จะใช้ตน้ พันธ์ุ 180 ตน้ การปลูก
จะตดั ไมใ้ ช้สอยหรือขายได้ในปีท่ี 4 หลงั จากปลูกต่อไปตดั ไดท้ ุก ๆ ปี โดยเลอื กตัดไมแ้ ก่ท่ีเกิดก่อนออกไปไผ่รวก
นิยมขยายพนั ธ์ุโดยการขดุ แยกเหงา้ ครบั
1.2 กลุ่มไผ่เลี้ยง มีไผ่เลี้ยงใหญ่ ไผ่เลี้ยงทางเหนือ ไผ่เลี้ยงสีทอง ไผ่เลี้ยงสีทอง (บางที่เรียกไผ่เลี้ยง
หวาน ไผเ่ ล้ียง 3 ฤดู ไผ่หวาน ไผเ่ ลี้ยงทะวาย) เป็นไผ่เล้ยี งท่มี ีลำต้นสงู เกิน 5 เมตร เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางไม้ 1.5 -
2 นิ้ว ลำต้นไม่มีรูกลางลำ ส่วนไผ่เลี้ยงใหญ่และไผ่เลี้ยงทางเหนือความสูงของกอ 12 เมตร ขึ้นไป
เสน้ ผา่ ศนู ย์กลางลำ 2 - 2.5 นิ้ว การปลกู ไผ่เล้ยี งถา้ เป็นเปน็ ไมก้ นั ลมทำได้ ดมี ากเพราะใบและกง่ิ เปน็ แบบลู่ลมไม่
ต้านลม การปลกู หากปลกู แถวเด่ียวจะใชร้ ะยะระหว่างต้น2 เมตรถงึ 2.5 เมตร แต่ถ้าจะปลูกเปน็ แปลงใหญ่ให้ใช้
ระยะปลูกระหว่างต้น 2.5 เมตร ระยะระหว่าง แถว 4 เมตร ใช้ต้นพันธุ์ไร่ละ 180 ต้น เริ่มเก็บหน่อไว้
ทำอาหารหรือขายได้ในปที ี่ 2 หลังจากปลูกอาหารที่นิยมใช้ไผ่เลี้ยงทำ คือต้มทำซุปหน่อไม้ หรือทำหน่อไมใ้ น
ถุงพลาสติกเก็บไว้ขายนอกฤดู เป็นต้นส่วนลำจะเริม่ ตัดขายไดเ้ ม่ือปลูกได้ 4 ปี ไปแล้วโดยจะตัดลำที่แกก่ อ่ นถ้า
เป็นไผ่เล้ียงใหญ่และไผ่เลี้ยงทางเหนือจะขายลำละ 10-13 บาท แต่ถ้าเป็นไผเ่ ลี้ยงสที อง (ลำสั้นกว่า) จะขายได้
ลำละ 1-3 บาท จะเห็นวา่ เกษตรกรปลูกไผ่เปน็ แนวรั้วแคเ่ ปน็ ไม้ใช้สอยก็สามารถมีรายไดจ้ ากการขายหนอ่ และ
ลำได้ ถา้ เกษตรกรมีพนื้ ทีท่ ำกิน เชน่ 20 ไร่ ถา้ ปลูกไผร่ อบรัว้ ก็ได้หลายร้อยกอแลว้ ตดั ไมก้ อละ 10 ลำต่อกอต่อ
ปี รวม ๆ แล้วก็ได้ไม้มากพอที่จะเป็นรายได้ส่วนหนึ่งครับ ไผ่เลี้ยงทุกชนิด ขยายพันธุ์ได้ดีคือการขุดเหง้าและ
รองลงมาคอื การตอนก่งิ แขนงข้าง
1.3 ไผ่ซาง เป็นไผ่ที่นิยมปลูกกันมาก และพบมากในป่าทางภาคเหนือของประเทศไทย มี
เส้นผ่าศูนย์กลางลำ 3 - 8 นิ้ว ลำสูง 15-25 เมตร หน่อรับประทานได้ดี ถ้าหน่อใต้ดินจะมีรสหวานแต่ถ้าถูก
อากาศหรือเก็บไว้ข้ามวันจะมีรสขมมาก นิยมนำไปต้มแล้วจิ้มน้ำพริก หรือทำยำหน่อไม้ ส่วนลำใช้ประโยชน์ได้
มากมาย ทำไม้ค้างก่อสร้าง ทำตะเกียบ ไม้เสียบอาหาร ทำเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ตั้งแต่ชิ้นเล็กจนชิ้นใหญ่ ส่งออกไป
ต่างประเทศมากมาย ทำบ้านไมไ้ ผ่ เศษซากจากการแปรรปู ข้อไมน้ ำไปเผาถ่านหรือทำชวี มวลใหโ้ รงไฟฟ้า และ
ทำกระดาษเป็นต้น นับว่าอุตสาหกรรมจากไม้ไผ่ที่เกิดขึ้นจะใช้ไผ่ซางมากที่สุด พบมีโรงงานแบบใช้แรงงานใน
ครัวเรือนทำตะเกียบและไม้เสียบอาหารมากที่สุดท่ี จ.แพร่ จ.ลำปาง จ.อุตรดิตถ์ จ.พะเยา และ จ.น่าน ไผ่ซาง
นยิ มขยายพันธโุ์ ดยการตอนกิ่งแขนงขา้ ง
-ไผ่ซางนวล D. membranaceus เปน็ ไผ่ท่พี บอยตู่ ามป่า หรอื เรียกว่าซางปา่ ใบจะมีขนาดเล็กเหมือน
ไผ่เลี้ยงไผ่รวก ในป่าพบว่ามีการตายขุยและได้ต้นที่งอกใหม่จากเมล็ด มีความแปรปรวนหลายลักษณะอยู่ใน
ป่า ชาวบา้ นที่ไปตัดจากป่ามาใช้งานก็จะเลือกตัดเอาแต่ตน้ ที่ใชไ้ ด้ลำตรง ลำสวย กอทใ่ี ห้ลำไม่ดี ลำเล็กลำไม่ตรงก็
จะไมไ่ ดต้ ดั เน้อื ไม้จะไมห่ นามากนกั จะตอ้ งปลูกเป็นกลุม่ ถงึ จะตรง จะปลกู เป็นไมร้ มิ รัว้ ไมไ่ ด้เพราะถ้าปลูกเดี่ยวๆ
จะไม่ตรง ตอ้ งอยู่กับไม้อน่ื ๆถึงจะตรง หากเกษตรกรจะต้องการปลูกไผ่ซางนวลจะต้องคัดเลือกสายพันธ์ุท่ีดีที่สุด
จากป่ามาก่อนแล้วค่อยขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณโดยการตอน ไม่นิยมนำเมล็ดมาปลูกโดยตรงเพราะจะกลายพันธ์ุ
มาก หากเกษตรกรจะต้องการปลูกไผ่ซางนวบควรใช้ระยะที่ 4 เมตรคูณ 4 เมตร พื้นที่ 1 ไร่จะได้ไผ่ 100 กอ
- ไผ่ซางดำหรือไผ่ซางหวาน D.strictus เปน็ ไผท่ ่ีถกู คดั เลอื กโดยธรรมชาติที่ให้ลกั ษณะที่ดีแล้ว ใบใหญ่พอ ๆ
กับไผ่กิมซุ่ง ต่างจากไผ่ซางป่ามาก ลำสีเขียวเข้ม ขนาดลำจะใหญ่กว่าไผ่ซางนวล ลำตรง เนื้อไม้หนากว่าซาง
นวล ปลูกกอเดี่ยว ๆ ยงั สามารถให้ลำที่ตรงไมโ้ คง้ สามารถปลกู เปน็ ไม้กันลมหรือไมร้ ิมรัว้ ได้ดี เพราะไม่ต้านลม ถ้า
ปลูกเป็นไม้ริมรั้วควรปลูกเป็นแถวเดี่ยวใช้ระยะระหว่างต้น 3-4 เมตรไปตามแนวรั้ว และควรห่างจากรั้ว 3 -
4 เมตร เพ่ือจะได้ไม่ไปรบกวนเพ่อื นบา้ น แตถ่ า้ ปลกู เปน็ แปลงใหญ่จะใชร้ ะยะระหวา่ งตน้ 5 เมตร ระยะระหว่าง
แถว 5 เมตร พื้นท่ี 1 ไร่จะปลูกได้ 64 กอ(ต้น) หน่อของไผ่ซางดำจะให้รสชาติที่ดกี ว่าไผ่ซางทุกชนิดนิยมนำมา
แกงสดๆเป็นแกงพื้นเมืองหรือแกงเปอะ ตัดหน่อได้เมื่อปลูกได้ 1 ปี ขึ้นไป ส่วนการตัดลำไม้จะตัดได้เมื่อปลูก
ได้ 4 ปขี ้นึ ไป ไมท้ ่โี คนจะหนา กวา่ กลางลำ ปรกติจะซอ้ื ขายลำท่มี ีเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 4 น้ิวข้ึนไปโดยตัดส่วนโคน
ลำ 2 เมตรขายให้กบั โรงงานเฟอร์นเิ จอร์ ท่อนละ 120 บาท สว่ นกลางลำตดั ขายได้
ตันละ 800 บาทให้โรงงานทำตะเกียบ ส่วนปลายลำ ขายให้โรงงานไมเ้ สียบอาหาร ตน้ ละ 1,000 บาท และเศษซาง
ท่เี หลือขายให้โรงงานทำเย่ือกระดาษ ตันละ 500 บาท ส่วนใบนำไปทำปุ๋ยดินขุ๋ยไผ่ การขยายพันธไ์ุ ผซ่ างดำจะใช้
วิธีการตอนก่ิงแขนงขา้ ง
-ไผ่ซางหมน่ D. sericeus ในปัจจุบนั เกษตรกรยงั สบสนระหว่างไผซ่ างหมน่ กบั ซางนวล
ไผ่ซางหมน่ ใบจะใหญ่พอๆกบั ไผ่ซางดำหรือใบไผก่ มิ ซุ่ง แตใ่ บไผซ่ างนวลจะใบเล็กกว่ามากใบไผ่ซางนวลจะ
เท่าๆกับใบของไผ่รวก และลำก็ต่างไผ่ซางหม่นลำจะมีแป้งมาก ไผ่ซางนวลแป้งจะน้อยกว่า ไผ่ซางหม่น พบที่ป่า
ภาคเหนือของไทยมากที่สดุ ในเขตน่าน -แพร่-อตุ รดิตถ์ จะพบเปน็ ไผซ่ างหมน่ อีกชนดิ หน่งึ ลำมีเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลาง 4 -6 นว้ิ แต่
ลำจะสูงมาก และมีผู้ขายพันธุ์ตั้งชื่อการค้าหลายชื่อทำให้เกษตรกรสับสน ชื่อการค้าที่พบคือ ไผ่ซางนวลราชีนี ไผ่
ซาง 3 สายพันธ์ุ ไผ่ซางหม่นแพร่ สอบถามผู้ที่ทำพันธุ์ไผ่ซางหม่น ใน จ.อุตรดิตถ์เป็นรายแรก ๆ คุณ
ประดับ บอกว่านำสายพันธุ์มาจากบ้านห้วยม้า ต.ห้วยม้า จ.แพร่ ไผ่ซางหม่นลำละตรงเปลาแม้ว่าจะปลูกกอ
เดย่ี ว ๆ เช่นเดียวกบั ไผ่ซางดำ
เนื้อไม้ไผซ่ างหมน่ หนาท่ีโคนมาก และทัง้ ลำยงั หนากวา่ ไผซ่ างทุกสายพันธ์ุ เปน็ ท่ีตอ้ งการของผู้ท่ีจะนำไป
แปรรูปไม้ไผ่มาก เชน่ ทำบ้านไม้ไผแ่ ละเฟอรน์ ิเจอร์ ไผซ่ างหมน่ สายพนั ธ์นุ ้ีสามรถปลูกเปน็ ไม้กนั ลมได้ดี เพราะกงิ่
และใบไมต่ ้านลม ควรปลูกท่ีระยะระหวา่ งตน้ ที่ 3 - 4 เมตร ถ้าปลกู เป็นแปลงใหญ่ควรใช้ระยะ ระหว่าง
ตน้ 5 เมตร ระยะระหว่างแถว 6 เมตร จะไดไ้ ม้ยาวและลำใหญ่ นอกจากน้ียงั มีไผซ่ างหม่นสายพนั ธจ์ุ าก อำเภอ
เชียงดาว พบว่าเปน็ ต่างสายพันธจุ์ ากของแพร่ มผี ู้ตั้งช่ือการค้าวา่ พันธสุ์ ูงเสียดฟ้าหรือเรยี กไผซ่ างหม่นยกั ษ์ ไผ่ซาง
หม่นสายพันธ์จุ ากเชียงดาวพบโดยคุณลุงสมจติ ร เปน็ ไผ่ซางหมน่ ทใ่ี บใหญ่เช่นเดียวกนั แต่ลำมเี สน้ ผา่ ศนู กลาง 4-
8 น้ิวจะใหญ่กวา่ ทางซางหม่นสายพนั ธ์ุแพร่ เน้ือไม้หนามาก มคี วามแข็ง ทนทาน ข้อถ่กี ว่าซางหมน่ ของ
แพร่ เกษตรกรควรใชร้ ะยะระหวา่ งตน้ ที่ 6 เมตร ระยะระหว่างแถวท่ี 6 เมตร จะทำให้ไดล้ ำที่ใหญ่
ชนดิ ของไมไ้ ผใ่ นไทยไมไ้ ผท่ ่ีพบในไทยมีประมาณ 44 ชนดิ แต่ทีท่ วั่ ไปนำมาใช้ในการก่อสร้าง
จะมี 7 ชนิด คอื
1. ไผ่ตง
แหลง่ ที่พบ : ภาคกลาง (ปราจีนบุรปี ลกู กันมากทส่ี ุด)
ลกั ษณะ : ขนาดใหญ่ ลำตน้ มเี ส้นผ่านศนู ย์กลางประมาณ
6-12 เซนตเิ มตรปลอ้ งยาวประมาณ 20 เซนตเิ มตร ไมม่ หี นาม
ประโยชน์ : หน่อใชร้ ับประทานได้ ลำต้นใชส้ รา้ งอาคาร เชน่
เปน็ เสา โครงหลังคา เพราะแข็งแรง
2. ไผ่สีสุก
แหล่งทพ่ี บ : พบท่วั ไป มีมากในภาคกลางและภาคใต้
ลักษณะ : ลำต้นสเี ขยี วสด ลำตน้ ขนาดสูง ปลอ้ งใหญม่ ีเสน้ ผ่านศูนย์กลาง
ของต้นประมาณ 7-10 เซนติเมตร ปล้องยาวประมาณ 4-10 เซนติเมตร ลำ
ตน้ เนอื้ หนา ทนทานดีท่ขี ้อจะมีกิ่งเหมือนหนาม ทำให้บริเวณขอ้ ค่อนขา้ ง
แข็งแรง
ประโยชน์ : ทำโครงสรา้ งช่วั คราวไดด้ ี เช่น นง่ั รา้ นกอ่ สรา้ ง ร้านค้าขายของ
3. ไผ่ลำมะลอก
แหล่งทีพ่ บ : ทวั่ ไป แตภ่ าคใต้จะมีน้อยมาก
ลกั ษณะ : ลำต้นสีเขียวแก่ไมม่ ีหนาม ข้อเรียบ จะแตกใบสูงจาก
พนื้ ดนิ ประมาณ 6-7 เมตร ปลอ้ งขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 7-10
เซนติเมตรลำตน้ สูงประมาณ 10-15 เมตร
ประโยชน์ : ทำโครงสร้างช่ัวคราวได้ดี คล้ายๆกับไผ่สีสกุ
แต่มีความสวยงามนอ้ ยกวา่
4. ไผ่ป่าหรือไผห่ นาม
แหลง่ ทพ่ี บ : มีทว่ั ทุกภาคของประเทศ
ลักษณะ : ตน้ แกม่ ีสีเขยี วเหลือง เปน็ ไผข่ นาดใหญ่ มีหนามและแขนง ปลอ้ งขนาด
เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลาง 10 -15 เซนตเิ มตร
ประโยชน์ : ใชท้ ำโครงบ้าน(ขนาดเลก็ ) ใชท้ ำน่ังร้าน
5. ไผ่ดำหรือไผ่ตาดำ
แหล่งทพี่ บ : กาญจนบุรี จันทบุรี
ลกั ษณะ : ลำตน้ สเี ขยี วแก่ ค่อนขา้ งดำ ไม่มหี นาขนาดเส้นผ่าน
เส้นศูนย์กลางของปล้องประมาณ 7-10 เซนติเมตร ปล้องยาว
30-40 เซนติเมตร เนือ้ หนา ลำตน้ สูง 10-12 เมตร
ประโยชน์ : เหมาะจะใช้ในการกอ่ สร้าง และการทำเครือ่ งจกั สาน
6. ไผเ่ ฮียะ
แหล่งท่พี บ : มีทางภาคเหนือ
ลักษณะ :ลำต้นขนาดเสน้ ผา่ นศนู ย์กลาง 5-10 เซนติเมตร ปล้องยาวขนาด 50-70
เซนตเิ มตร ข้อเรียบ เนอ้ื หนา 1-2 เซนติเมตร ลำตน้ สงู ประมาณ 10-18 เมตร
ประโยชน์ : ลำตน้ ใช้ทำโครงสร้างอาคาร เช่น เสา โครงคลังคา คาน (แตร่ บั น้ำหนัก
ไดไ้ ม่มากเทา่ ไมจ้ ริง*)
7. ไผ่รวก
แหล่งทพี่ บ : กาญจนบุรี
ลักษณะ : ลำต้นเลก็ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.7 เซนติเมตร
สูงประมาณ 5-10 เมตร เมือ่ โตจะเป็นกอๆ
ประโยชน์ : ลำต้นใชท้ ำร้วั ทำเย่อื กระดาษ
ใบงานที่ 2
เรื่อง ชนดิ ของไผ่
ให้นกั ศึกษาตอบคำถามต่อไปนี้
1. ใหน้ กั ศึกษา ยกตวั อย่างไผ่ทพี่ บในชุมชน พรอ้ มบอกลักษณะประจำพันธุม์ า 5 ชนิด
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
2. จงอธบิ ายคณุ สมบตั ิของไมไ้ ผ่ท่ีนำมาใช้ในงานก่อสรา้ งมาพอสังเขป
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
ใบความร้ทู ่ี 3
เร่ือง ประโยชน์ของการปลูกไผ่
ไม้ไผ่ เป็นไม้ทีข่ ึ้นงา่ ยและเติบโตเรว็ ขึ้นได้ดใี นทุกสภาวะอากาศดำรงอย่ไู ด้ในพื้นดินทกุ ชนดิ ทสี่ ำคัญคอื ไผ่
เปน็ พันธุไ์ มท้ อ่ี ำนวยประโยชนห์ ลายประการ ทั้งประโยชนท์ างตรงและทางอ้อม และเป็นพืชทีล่ ำตน้ ก่ิงมีลักษณะ
แปลกสวยงาม ไผ่เปน็ ไมท้ ตี่ ายยาก ถา้ ไผอ่ อกดอกเมอื่ ใดจงึ จะตาย แตก่ ย็ ากมากและนานมากที่ไผ่จะออกดอก ไม้ไผ่
มปี ระโยชน์มากกับคนเราคนเราสามารถนำไมไ้ ผ่มาสร้างบ้านทอ่ี ยู่อาศัย และทำเคร่ืองจักสานอืน่ ๆ อกี มากมาย
สำหรับไม่ไผน่ ้นั ใชไ้ ดท้ กุ ส่วนต้ังแต่ หน่อ ลำต้น ใบ ราก เยอื่ ไผ่ ขุยไผ่ มปี ระโยชนใ์ ช้สอย ในชวี ิตประจำวัน ใน
ปจั จบุ นั เราสามารถนำไมไ้ ผ่มาจกั รสานทำเปน็ อาชีพหารายไดใ้ ห้แกค่ รอบครวั และยังเปน็ งานท่เี ราส่งออกไปขายอยู่
นอกประเทศสำหรบั คนไทยเราแล้วงานท่ใี ช้ฝีมือถือวา่ เปน็ งานทป่ี ระณตี ระเอียดและสวยงามมาก
1. ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ
1.1 ปอ้ งกันการพงั ทลายของดนิ ตามริมฝัง่
1.2 ชว่ ยเปน็ แนวป้องกันลมพายุ
1.3 ชะลอความเร็วของกระแสนำ้ ป่าเม่ือฤดูนำ้ หลากกันภาวะนำ้ ท่วมฉบั พลนั
1.4 ใหค้ วามร่มรื่น
1.5 ใช้ประดับสวน จัดแต่งเป็นมมุ พักผอ่ นหยอ่ นใจในบ้านเรือน
2. ประโยชน์จากลักษณะทางฟสิ กิ ส์
จาก ความแข็งแรง ความเหนยี ว การยืดหด ความโคง้ งอ และการสปรงิ ตัว ซึ่งเปน็ คุณลักษณะ ประจำตัว
ของไมไ้ ผ่ เราสามารถนำมันมาใช้เป็นวัสดุเสริมในงานคอนกรีต และเปน็ สว่ นต่างๆ ของการสร้างที่อยู่
อาศัยแบบประหยดั ได้เปน็ อยา่ งดีอีกดว้ ย
3. ประโยชน์จากลกั ษณะทางเคมขี องไม้ไผ่
3.1 เนื้อไผ่ใช้บดเปน็ เยอื่ กระดาษ
3.2 เสน้ ไยใชท้ ำไหมเทียม
3.3 เนอ้ื ไผบ่ างชนดิ สามารถสกัดทำยารกั ษาโรคได้
3.4 ใชใ้ นงานอุตสาหกรรมนานาชนดิ
4. การใช้ไม้ไผ่ในผลติ ภณั ฑ์หัตถกรรม และอสุ าหกรรม แบ่งออกได้ดังนี้
4.1 ผลิตภัณฑเ์ ครือ่ งจกั สานจากเส้นตอก ได้แก่ กระจาด กระบุง กระดง้ กระเชา้ ผลไม้ ตะกร้า
จา่ ยตลาด ชะลอม ตะกร้าใส่ขยะ กระเป๋าถอื สตรี เข่งใสข่ ยะ เครอ่ื งมอื จับสตั ว์นำ้ เชน่ ขอ้ งใส่ปลา ลอบ
ไซ ฯลฯ
4.2 ผลติ ภัณฑจ์ ากลำต้น และกง่ิ ของไมไ้ ผ่ ได้แก่ เกา้ อี้ โตะ๊ ช้นั วางหนังสอื ทำด้ามไม้กวาด
ไมเ้ ท้า คนั เบ็ด ราวตากผา้ โครงสร้างบ้านส่วนตา่ งๆ ทำแคร่ นัง่ รา้ นกอ่ สรา้ ง ทอ่ ส่งน้ำ รางนำ้
4.3 ผลิตภัณฑจ์ ากเนื้อไม้ไผ่ ไดแ้ ก่ ถาดใสข่ นม ทพั พีไม้ ตะเกียบ ไม้เสยี บอาหาร กรอบรปู
ไมก้ า้ นธูป ไม้พาย ไม้เกาหลัง เครื่องดนตรี พน้ื บ้าน ไม้บรรทดั
4.4 ผลิตภัณฑท์ ี่ได้จากไผ่ซีกไดแ้ ก่ โครงโคมกระดาษ โครงพดั โครงร่ม ลูกระนาด คันธนู
พ้ืนม้าน่ัง แผงตากปลา ส่มุ ปลา สมุ่ ไก่
5. ประโยชน์ทางด้านการบรโิ ภค เชน่ การนำหน่อไม้ไผ่มาทำเป็นอาหาร ไมว่ ่าจะเป็นซบุ แกง ต้ม หรอื
นำมาดองจิ้มนำ้ พรกิ
ประโยชนข์ องไผ่
ไมไ้ ผ่ เปน็ ไม้ทข่ี ้นึ งา่ ยและเติบโตเรว็ ข้นึ ไดด้ ใี นทุกสภาวะอากาศดำรงอยู่ไดใ้ นพน้ื ดินทกุ ชนดิ ทส่ี ำคัญคือ
ไผ่เปน็ พนั ธุ์ไม้ที่อำนวยประโยชนห์ ลายประการ ท้ังประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม และเปน็ พืชที่ลำตน้ กิ่งมี
ลกั ษณะแปลกสวยงาม ไผเ่ ป็นไมท้ ีต่ ายยาก ถ้าไผ่ออกดอกเมอ่ื ใดจึงจะตาย แตก่ ็ยากมากและนานมากท่ีไผ่จะออก
ดอก ไม้ไผ่มปี ระโยชนม์ ากกบั คนเราคนเราสามารถนำไม้ไผ่มาสร้างบา้ นท่อี ยู่อาศัย และทำเครอ่ื งจักสานอื่น ๆ อีก
มากมายสำหรบั ไมไ่ ผน่ ้นั ใช้ได้ทุกสว่ นตง้ั แต่ หนอ่ ลำตน้ ใบ ราก เยอ่ื ไผ่ ขุยไผ่ มปี ระโยชน์ใช้สอยในชีวิตประจำวนั
ในปจั จุบนั เราสามารถนำไม้ไผม่ าจักรสานทำเป็นอาชพี หารายได้ใหแ้ ก่ครอบครวั และยงั เปน็ งานท่เี ราส่งออกไปขาย
อยนู่ อกประเทศสำหรบั คนไทยเราแลว้ งานท่ีใช้ฝีมอื ถือว่าเปน็ งานที่ประณตี ระเอยี ดและสวยงามมาก
ทั่วทุกภูมิภาคของไทย มีไผ่ชนิดต่างๆหลากหลายชนิดขึ้นอยู่ทั่วไป ช่วยให้ภูมิทัศน์ของบ้านชนบทงดงาม
ร่มเย็น ไผม่ ที ้ังชนดิ ลำใหญ่และลำเลก็ แตล่ ะชนดิ มปี ระโยชนใ์ ชส้ อยหลากหลาย เป็นวัตถดุ บิ ท่ีหาง่าย จึงมีต้นทุนต่ำ
ในการนำไปใชป้ ระโยชน์ในการผลิตสง่ิ ของ อาจจำแนกประโยชน์ของไผ่ไดห้ ลายประการ ดงั น้ี
1.ประโยชน์ในการประกอบหรือสรา้ งบ้านเรือนท่ีอยู่อาศัย ในชนบทการสร้างบ้านตามวฒั นธรรมไทยนน้ั
จะใช้วสั ดุจากธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ไม้ไผ่ ไม้ยนื ตน้ ตา่ งๆ เชน่ ไมส้ ัก ไม้แดง ไม้เตง็ แต่ครอบครวั ท่ัวไปท่มี ีรายได้น้อย จะ
ใช้ไม้ไผ่เป็นหลักเน่ืองจากหาได้งา่ ย เรียกว่า เรือนเครื่องผูก เพราะใช้ได้หลายส่วนของบ้าน เช่น โครงบ้าน โครง
หลังคา เสา คาน ประตู หน้าตา่ ง บนั ได รว้ั พน้ื โดยเลอื กไผช่ นิดเน้ือหนาซ่งึ มีความคงทนต่อดินฟ้าอากาศ ทนแดด
ทนฝน บ้านที่ใช้ไม้ไผ่ประกอบจะอยู่เย็นสบาย เพราะอากาศถ่ายเทได้ดี มีประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของครอบครัว
เมือ่ ผุพังส่วนใดกเ็ ปลย่ี นได้
2.ประโยชน์ในการทำเครอ่ื งเรอื น เคร่ืองแตง่ บา้ น เช่น ประกอบเป็นโตะ๊ เก้าอี้ เตียงนอน แคร่นั่งพักผ่อน
หรือรบั แขก สนทนากันในหมูส่ มาชกิ ในบ้านหรือผู้มาเยย่ี มเยือน เปลนอนของเดก็ ม่ลู ี่ กรอบรูปสานเป็นเสื่อรองน่ัง
ฯลฯ
3.ประโยชน์ในการทำเป็นอาวุธ เช่น ใช้ไผ่เล็ก ทำขวาก โดยตัดปลายทแยงข้างหน่ึง หรือเสี้ยมทุกดา้ นให้
ปลายแหลมสำหรับตอ่ สู้แทงสกัดกั้นศัตรูหรือสัตว์ทร่ี กุ ล้ำเขา้ มา นำขวากหรอื ไผ่ปลายแหลมไปปักไว้ในบ่อดักศัตรู
หรอื ดกั สตั ว์ หรอื ใช้ไม้ไผช่ นดิ เน้อื เหนียวมีแรงดีดคืนตัว ทำคันธนู คนั ยิงกระสนุ ทำลกู ธนู ลกู ดอก ทำเป็นไม้ตะบด
ไมพ้ ลอง สำหรับการต่อสู้
4.ประโยชน์ใช้ในการทำเคร่ืองมือเครื่องใชใ้ นชีวิตประจำวัน เช่น ทำตะเกียงให้แสงสว่าง โดยใช้ข้อปล้อง
บรรจุนำ้ มัน วางไส้เทยี นไวต้ รงกลาง จดุ ไฟใหแ้ สงสว่างไดน้ าน สานเป็นกล่องขา้ ว กระตบิ ข้าว กระเชอ หวดน่งึ ข้าว
กระบุง ตะกร้า กระเปา๋ ถือสตรี กระจาด กระชอน หบี หรอื กล่องไมใ้ ส่ของ แจกัน ถว้ ย โครงพัด โครงหมวก รองเท้า
สาน จกั เปน็ ตอกใช้รดั มัดของ เช่น มัดข้าวตม้ ผดั มกั กำดอกไม้ กำผกั ฯลฯ
5.ประโยชนใ์ ชท้ ำเครอ่ื งมอื ประกอบอาชีพ เช่น เครื่องมือจบั ปลา จับสัตว์น้ำ ข้อง กระชงั ไซ ต้มุ อีจู้ ลอบ
สุ่ม เครอื่ งมือกอ่ สรา้ ง กระบุง บุง้ ก้ี เข่งปลาทู คราด ครุ ไมค้ าน เคร่อื งใชใ้ นการเพาะปลูก ค้างตน้ ไม้ ไม้คำ้ ยันต้นไม้
โค้งไมป้ กั ให้เถาไม้เล้อื ยเกาะ ไมส้ อยผลไม้ พะองปนี ตน้ ไม้ ไม้พาดขา้ มท้องร่องหรอื ค้ำฝันเวลาเดินขา้ มท้องร่อง ใช้
เปน็ ไมค้ ้ำถ่อเรอื
6.ประโยชน์ใช้ทำเคร่ืองดนตรี หลายประเทศหลายเชือ้ ชาติ โดยเฉพาะในเอเชยี ใชไ้ มไ้ ผ่ทำเครอ่ื งดนตรีกัน
มาก เช่น ขลุ่ย ทำจากเลาไม้ไผ่ ขลุ่ยญี่ปุ่น ขลุ่ยจีน ขลุ่ยไทย ทำเครื่องดนตรีกำมะลิบ (Kamelin) ของอินโดนีเซยี
และมาเลเซีย อังกะลุง ของอินโดนเี ซีย แคนของภาคอีสานของไทย และเครื่องดนตรี "แบมบูลิน" ซึ่งมีผู้ประดษิ ฐ์
จากไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายไวโอลิน แบมบูลินนี้สง่ เข้าประกวดชนะในการประกวดผลงานประดษิ ฐค์ ิดค้น ที่สภาวิจยั
แหง่ ชาตดิ ว้ ย
7.ประโยชน์ของไผ่ในการทำยารักษาโรค เช่น ใช้รากไผ่ ขุยไผ่ใบไผ่ ผสมกับสมุนไพรอื่นๆตามตำรายา
สมนุ ไพรโบราณ
8.ประโยชน์ใช้เป็นอาหารหรือประกอบในการทำอาหาร ไผ่มีอยู่ทุกภาคใกล้ชิดกับชีวิตของคนไทยมาก
สามารถใช้ทกุ ส่วนเป็นประโยชน์ได้ โดยเฉพาะ หนอ่ ไผ่ เปน็ อาหารท่ีคนไทยทกุ ภาคนยิ มใช้ประกอบอาหารตามสูตร
ที่นิยมกันในภูมิภาคของตน เช่น ใช้หน่อไม้ทำซุบหน่อไม้ของอีสาน ผัดหน่อไม้ใส่ไข่ แกงเผ็ดใส่หน่อไม้ แกงกะทิ
หนอ่ ไมด้ อง ต้มแกงจดื หนอ่ ไมไ้ ผ่ตงกบั กระดูกหมแู ละเหด็ หอม มีสตู รอาหารท่ีใชห้ นอ่ ไม้นบั หลายสบิ สูตร ใบไผเ่ ป็น
อาหารสัตว์ เช่น หมีแพนด้า หรือใชเ้ ป็นเคร่ืองประกอบการทำอาหาร เชน่ กระบอกไผบ่ รรจุข้าวเหนียวกะทเิ ผาเป็น
ขา้ วหลาม ใบไผ่ใชห้ ่อขนมจ้าง ขนมบะจ่าง ใชไ้ มไ้ ผ่ทำตะเกยี บคีบอาหาร ทำเป็นมีดตัดอาหาร ทำไม้เสียบลูกชิ้นไก่
หมู เน้อื ยา่ ง ฯลฯ
9.ประโยชน์ของไผ่ในการสกั การะหรือตามความเชื่อ เช่น ใชไ้ มไ้ ผเ่ กลาให้คม เปน็ มีดตดั สายสะดือเด็กเกิด
ใหม่ ทำก้านธปู ทำดอกไม้ไฟ กระบอกพลุ ตะไล ไฟพะเนียง เป็นกระบองบรรจุน้ำมันเปน็ ตะเกยี งตามไฟ บูชาส่ิง
ศักด์สิ ิทธิ์ เช่น เจดยี ์ หรือสงิ่ ศักดส์ิ ิทธิอ์ น่ื ๆ เรียกวา่ ตามประทปี ใชส้ านเป็นโครงสรา้ งของโคมไฟห้อยบูชา
10.ประโยชน์ใชท้ ำเครื่องประดับ เช่น กำไลขอ้ มอื ปนิ่ ปกั ผม
11.ประโยชน์ในการสื่อสาร สมัยโบราณใช้กระบอกไม้ไผ่บรรจุพระราชสาสน์ สาสน์ และบรรจุม้วนแผน่
หนงั หรือมว้ นกระดาษสง่ ข่าวถึงกัน จีนใช้ไม้ไผจ่ ารึกตัวอักษรคมั ภีรก์ ารยทุ ธห์ รอื ตำราตา่ งๆ การนำไผม่ าใช้ ควรตัด
ไผ่ที่มีอายุ ๓ ปีขึ้นไป และตักในฤดูกาลเหมาะสมขณะที่ไผ่หยดุ เจริญเติบโต คือในฤดูร้อน หรือฤดูหนาว และเม่อื
ตัดมาแล้ว ควรเก็บรักษาไว้ในที่แห้ง อากาศถ่ายเทได้เพื่อป้องกันเชื้อรา ในการนำไปใช้ยังมีวิธีการที่จะทำให้
แข็งแรงสวยงาม ซึ่งต้องศึกษากรรมวิธีต่อไปนับได้ว่าไผ่เป็นไม้มีคุณค่าและมีประโยชน์สูงมาก จัดได้ว่าเป็นพืช
เศรษฐกิจอย่างหนึ่ง ในปัจจุบันมีการผลิตงานศิลปะพื้นบ้านกันหลากหลาย (โอท็อป) ไผ่ก็มีบทบาทในการผลิต
ดงั กล่าวดว้ ย จึงมีการตดั ไผ่ไปใชง้ านจำนวนมาก แตเ่ นอื่ งจากไผ่เปน็ ไม้โตเรว็ ขนึ้ ได้ดีทุกสภาพดนิ และอากาศ จงึ ยัง
ไม่พบปัญหาขาดแคลนไม้ไผ่ อย่างไรก็ดี ควรมีการส่งเสริมสนับสนุนให้ปลูกไผ่ทดแทน และศึกษาพัฒนาพันธุ์ไผ่
เพอ่ื ใหส้ ามารถใช้ประโยชน์จากไผไ่ ดม้ ากและยืนนาน และการนำไผไ่ ปใช้ประโยชน์ ควรใช้อยา่ งประหยดั ตามความ
จำเป็น
การนำมาใช้ประโยชน์
ไผ่เปน็ พืชทีม่ ีการแพรก่ ระจายพันธ์ุอยู่ทวั่ ไป ลำตน้ แข็งแรงมีเนือ้ ไม้แขง็ เกลาใหเ้ รียบได้ ยืดหยนุ่ มี
นำ้ หนกั เบา แข็งแต่ดัดใหโ้ ค้งงอได้ ถา้ จกั เนอื้ ไมใ้ หบ้ างลงสามารถตัดทอนเปน็ ขนาดต่าง ๆ ได้ ทั้งความยาวและความ
หนาใหเ้ หมาะสมตอ่ ลกั ษณะการใช้งานวา่ เปน็ งานทต่ี ้องรบั นำ้ หนักมากหรอื งานประดิษฐต์ กแตง่
ในปัจจุบนั ไผเ่ ป็นพืชเศรษฐกจิ ท่มี บี ทบาทสำคัญในตลาดโลกมาก โดยถกู นำมาใชเ้ ปน็ เยือ่ กระดาษ ไมป้ ารเ์ ก้ ปพู น้ื
กระดานอดั และหนอ่ ไมก้ ระป๋องการนำไม้ไผม่ าใชป้ ระโยชน์สามารถจำแนกไดด้ ังน้ี
1.ใชใ้ นงานก่อสรา้ ง
ไผท่ ่ีมีลำต้นขนาดใหญเ่ นือ้ ไม้หนา ปล้องสั้นมักถูกนำมาใชใ้ นการกอ่ สร้างที่ตอ้ งการความแขง็ แรง คงทน
และรับน้ำหนกั มาก เช่น เสา ฝาผนัง หลังคา และพื้น มีการนำในมาใชก้ อ่ สร้างสะพาน และทำนง่ั ร้าน ใช้เปน็
สว่ นประกอบของบ้านแบบต่าง ๆ ของชนพ้ืนเมอื งท่ีมีรปู แบบและรูปทรงแตกต่างกนั ไป ตามสภาพภูมิอากาศและ
วฒั นธรรม เช่น บ้านในจนี ไทย อนิ เดีย และแอฟริกา มีการปลกู สรา้ งบ้านจากไมไ้ ผ่ทมี่ รี ูปทรงแตกตา่ งกัน มกี ารใช้
ไมไ้ ผ่ท้ังลำในการกอ่ สรา้ งหรอื อาจผ่าครง่ึ หรือผ่าซกี ให้เป็นขนาดตา่ ง ๆ กนั แลว้ นำมาจักสานเปน็ แผน่
2.ใช้ทำตะกร้า
มกี ารนำไม้ไผ่มาผา่ ครง่ึ และผ่าซกี เปน็ ช้ินขนาดต่าง ๆ เพ่ือนำมาใชเ้ ป็นโครงของหบี หรอื ตะกร้าหรือกล่อง
หรอื กระจาด แลว้ นำช้นิ ท่ีแบนบางมาสานเป็นลวดลายต่าง ๆ สำหรบั ทำภาชนะบรรจุสงิ่ ของ รวมทัง้ กระด้งที่ใช้
สำหรบั ตากอาหารหรอื ฝัดแยกเมลด็ พืชทีม่ ีขนาดและคุณภาพดีตามตอ้ งการออกจากส่วนทไ่ี มต่ ้องการด้วย
นอกจากนยี้ ังถูกนำมาใช้ในการสานเข่งใส่ผัก ผลไม้ เข่งขนาดเลก็ ใส่ปลาและลวั้ ใสห่ มู เปด็ ไก่ รวมท้งั สุม่ สำหรับเล้ยี ง
เปด็ ไก่ด้วย
3.ใช้เปน็ อาหารจำพวกผัก
หนอ่ อ่อนที่เจรญิ จากตาขา้ งของเหง้าทอ่ี ยใู่ ตด้ ิน ถูกนำมาใชบ้ ริโภคเป็นอาหารจำพวกผกั ท่ีเรยี กว่า หน่อไม้
โดยการขุดหนอ่ ออ่ นแลว้ แยกออกมาจากต้นแม่เดิม ลอกกาบหุ้มทีแ่ ข็งและเตม็ ไปด้วยขนหรือหนามออก หน่ั ใหเ้ ป็น
ชน้ิ เลก็ ๆ หรือเปน็ เสน้ ฝอย แลว้ นำไปตม้ ในน้ำเดือดจนกระทง่ั สุก สามารถนำไปปรุงเป็นอาหารต่าง ๆ ได้หลาย
ประเภท เช่น หนอ่ ไมด้ อง ผัดกับเนอื้ สตั ว์ แกงจดื หรือแกงกะทิ แตห่ น่อไมม้ ักจะเจรญิ เติบโตออมาจากเหง้าใตด้ นิ
ในช่วงฤดฝู นจงึ มีการถนอมอาหารไว้ในรูปของหนอ่ ไม้ดอง เพอ่ื สามารถรับประทานได้ตลอดปี ในปจั จบุ นั ประเทศ
ไทยเป็นผสู้ ง่ ออกหนอ่ ไม้ไผ่บง หรอื ไผต่ ง (Dendrocalamus asper (Schultes f.)
(Backer ex Heyne) รายใหญท่ ่ีสุดของโลก เน่ืองจากเปน็ ไผท่ รี สหวาน กรอบอร่อย ไมข่ ม จนกระท่งั มชี อื่ เรยี ก
ทอ้ งถ่ินว่า ไผห่ วาน นอกจากนีใ้ นประเทศไทยยังมหี น่อไมไ้ ผร่ วก (Thyrsostachys siaminsis Gamble) ทีน่ ิยม
นำมาบรโิ ภคและเกบ็ รกั ษาไว้ในรปู ของหน่อไมอ้ ดั ป๊บี หรอื อัดกระปอ๋ งดว้ ย
4.ใชผ้ ลิตกระดาษ
เปน็ เวลาหลายศตวรรษมาแลว้ ทช่ี าวจีนมีการประดิษฐ์กระดาษจากไมไ้ ผ่ และชาวเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้
ก็ได้รบั ความร้นู ีม้ าจากประเทศจีน ไผ่ท่ีใชท้ ำกระดาษได้แก่ ไผป่ า่ หรือไผ่หนาม (Bambusa bambos (L) Voss)
ไผ่สีสกุ (Bambusa blumeana J.A & J.H. Schultes) และไผซ่ าง (Dendrocalamus strictus (Roxb)
5.ใช้ทำเคร่ืองดนตรี
การนำไมไ้ ผ่มาทำเคร่ืองดนตรนี ้ัน ถือเปน็ ศิลปวัฒนธรรมด้ังเดิมของชนชาติในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ โดย
เครอื่ งดนตรีที่ใช้ไมไ้ ผ่เป็นโครงสรา้ งหลักหรอื เป็นสว่ นประกอบไดแ้ ก่ เครอ่ื งตีหรือเครื่องเขย่า(idiophones) เชน่ ลกู
ระนาดเอก ลูกระนาดทุ้ม จากไผต่ งหรือไผบ่ ง (Dendrocalamus asper) อังกะลงุ ขนาดต่าง ๆ จากไผด่ ำ
(Gigantochloa artroviolaceae) และไผ่ชนิดอ่นื ๆ ทอี่ ยใู่ นสกลุ เดียวกัน คอื G. atter , G. levis , G.
pseudoarundinacea และ G. robusta นอกจากนไ้ี ผด่ ำท่ีมขี นาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางลำตน้ ขนาดใหญย่ งั ถูก
นำมาใชป้ ระดิษฐเ์ ป็นกลองด้วย เคร่ืองเป่าลม(aerophones) ได้แก่ แตรทีใ่ ห้เสียงต่ำซึง่ ประดิษฐ์จากไม้ไผม่ า
เชอื่ มตอ่ กัน แคนท่ที ำขึน้ จากไผเ่ ฮยี ะหรอื ไผ่โป(Schizostachyum) ขลุย่ แบบตา่ ง ๆ ของเอเชยี ท่ีประดิษฐ์จากไม้
ไผ่ นอกจากน้ียังมีเครอื่ งสาย(chordophones)ชนิดต่างๆ ท่ปี ระดิษฐข์ น้ึ จากไม้ และมีไมไ้ ผ่เป็นสว่ นประกอบ เช่น
จะเข้ พิณ ซึง และซอ
6.งานศิลปหัตถกรรม
ในปัจจุบนั น้ีงานศลิ ปหตั ถกรรมถือเป็นงานอตุ สาหกรรมในครวั เรอื นทเี่ ป็นที่นิยมชมชอบ และสามารถ
จำหนา่ ยไดม้ ากขนึ้ งานท่ีประดษิ ฐ์จาก ไม้ไผ่ ไดแ้ ก่ เสอ่ื ปโู ต๊ะกนั ความรอ้ นจากชามบรรจุอาหาร กระเป๋าถอื หมวก
และเคร่ืองใช้ไม้สอยที่ใชส้ ำหรับทอผ้า งานส่วนใหญ่ถูกสร้างข้นึ จากไม้ไผท่ ถี่ ูกผา่ เปน็ ซีก หรอื ผา่ แลว้ เหลาเกลาให้
เป็นช้นิ บาง ๆ กอ่ นนำมาประกอบเปน็ โครงหรอื จกั สานเปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ แต่งานบางอยา่ งอาจใช้ลำต้นและลำต้น
ใตด้ นิ ทง้ั หมดมาประดษิ ฐ์ตกแต่งแทน เชน่ แจกัน ทเี่ ขยี่ บุหรี่ กล่องบรรจขุ องขนาดต่าง ๆ ไม้ไผ่ที่ถูกนำมาใช้ในงาน
จักสานไดแ้ ก่ Bambusaatra, Gigantochloa apus,G. scortechinii , Schizostachum latifolium ซ่งึ มีเสน้ ใย
ยาวและยดื หยนุ่ ได้ดี ส่วนการนำมาแกะสลกั ได้แก่ ไผง่ าช้าง Bambusa vulgaris ไผต่ ง Dendrocalamusasper
และไผ่เกรียบSchizostachumbrachycladum
7.เครื่องเรือน
มีการนำไม้ไผม่ าทำเคร่ืองเรอื นต่าง ๆ ภายในบา้ นเรอื น ไดแ้ ก่ ตู้ เตียง โต๊ะ เก้าอ้ี ชัน้ วางของ ต่าง ๆ ซ่งึ นิยม
ใชไ้ มไ้ ผท่ ่ีมีลำใหญต่ รง แขง็ แรง ได้แก่ ไม้ไผใ่ นสกุล Bambusa สกลุ Dendrocalamus และสกุล Gigantochloa
8.การปลกู เพือ่ ใชเ้ ป็นแนวรวั้ บอกเขตแนวปอ้ งกันลมและปลกู ประดบั
ไผห่ ลายชนิดมีลักษณะกอและทรงพุ่มเหมาะสมต่อการนำมาปลูกเปน็ รว้ิ และแนวป้องกนั ลม ไดแ้ ก่ ไผร่ วก
Thyrsostachys siamensis และ ไผเ่ ลีย้ ง Bambusa multiplex ไผ่หลายชนดิ มีทรงพุ่มสวยงามนยิ มนำมาปลกู เปน็
ไม้ประดบั ได้แก่ ไผ่เลยี้ ง ไผเ่ หลือง ไผเ่ กรียบ ไผ่ท่ีมหี นามแหลมคม เชน่ ไผ่หนาม Bambusa bambos เป็นไผ่ที่
นิยมปลูกเปน็ แนวรวั้ กนั ขโมยให้แก่บรเิ วณบา้ น หมู่บา้ น และสวนผลไม้ รวมทง้ั ปอ้ งกนั สัตวป์ า่ เขา้ มาทำร้ายหรือ
ทำลายทรัพย์สนิ ดว้ ย
9. ประโยชนอ์ ่นื ๆ
9.1 ทำกระบอกรองรบั น้ำตาลจากงวงมะพร้าวและงวงตาล ได้แก่ ไผต่ ง
9.2 นำไมไ้ ผ่ท้ังลำมาทะลุขอ้ ใหเ้ ป็นทอ่ กลวงตลอดลำสำหรับทำเป็นท่อน้ำ ไดแ้ ก่ ไผ่ตง
9.3 นำไผ่ตงมาตดั เป็นกระบอกสำหรับปรุงอาหาร จำพวก ผัก เน้อื สตั ว์ ข้าวเจา้ และ
ขา้ วเหนยี วโดยอุดสว่ นปลายของกระบอกด้วยใบตองกลว้ ย แล้วนำไปผิงไฟใหอ้ าหารภายใน
กระบอกสุก เชน่ การทำข้าวหลามจากข้าวเหนียวผสมกะทแิ ละนำ้ ตาล
9.4 นำมาทำตะเกียบ ไม้จม้ิ ฟัน ไม้เสยี บอาหารสำหรบั ปิ้งหรอื ย่าง
9.5 อปุ กรณด์ ักจบั ปลาชนดิ ตา่ ง ๆ เชน่ ข้อง ไซ ลอบ
9.6 นำมาทำแพโดยเลือกใชไ้ มไ้ ผท่ ม่ี ีขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางปานกลางเน้ือไมบ้ างนำ้ หนักเบา
9.10 ใบไผ่น้ำมาใชเ้ ป็นอาหารจำพวกหญา้ สดสำหรับเล้ียงสัตว์ใบของไผ่ทีม่ ขี นาดใหญถ่ ูกนำมาใช้
หอ่ ขนมจำพวก ขนมจา้ งและบะ๊ จ่าง
9.11ไมไ้ ผ่ทัง้ ลำถูกนำมาใช้ประโยชน์ เปน็ คานสำหรบั หามส่งิ ของ คา้ งสำหรับตน้ พชื จำพวก ผกั
และไม้ผลที่เปน็ ไม้เลือ้ ย คันเบด็ ถอ่ ค้ำเรือหรือแพ โป๊ะสำหรบั เทยี บเรอื และรั้ว
คณุ สมบัติของไมไ้ ผ่
1. คณุ สมบัติทางกายภาพ
(1) ความชนื้ ของไม้ไผท่ เี่ จรญิ เติบโตเตม็ ทม่ี ีคา่ เฉลี่ย 50-99 % และไม้ไผท่ ่ยี งั อ่อนอยู่มคี า่ เฉล่ีย 80-
95 % ขณะท่ีไมไ้ ผ่ซงึ่ แห้งเต็มทแี่ ลว้ มีความชนื้ 12-18 % ความชื้นของไมไ้ ผจ่ ะคอ่ ย ๆ ลดลงจากส่วนโคนไป
ยังสว่ นปลายของลำตน้ และจะลดลงเมื่อลำต้นมีอายเุ พม่ิ ขึ้น และมีความชน้ื สงู ในฤดูฝนมากกวา่ ฤดูแล้ง
(2) ความหนาแน่นของเนอ้ื ไม้เปล่ียนแปลงไปตามชนิดของไม้ไผ่
(3) ปรมิ าณนำ้ ในผนงั เซลล์ของเซลล์เสน้ ใยหรอื ไฟเบอร(์ fiber) ขึน้ กบั ชนดิ ของเนื้อไม้
(4) การหดตวั ของเน้ือไม้ เกดิ ข้ึนภายหลงั จากการเกบ็ เกย่ี ว ไมไ้ ผ่ทม่ี ีสีเขียวจะมีการสญู เสียนำ้ และ
มีการหดตวั ของเซลล์ซง่ึ มีผลต่อขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางของลำไม้ไผใ่ ห้หดเลก็ ลงด้วย
2.คณุ สมบัติทางกล
ไม้ไผ่เป็นพชื ทีม่ ีเนื้อไมซ้ ่ึงแข็งแรงและยดื หยุ่นไดเ้ ช่นเดยี วกบั เน้อื ไมข้ องพชื อน่ื ๆ คอื
(1) การโคง้ งอ คุณสมบัตขิ น้ึ กบั ชนดิ ของไม้ไผ่ และขนาดของลำไผ่ หรือเนอื้ ไม้ท่ถี กู ผ่าแบง่ ใหม้ ี
ความหนาและบางแตกต่างกนั ไป
(2) การยดื หยุ่น ขึน้ กับคุณสมบัตใิ นการโค้งงอ และการทนต่อแรงกดบนเน้ือไม้
(3) การทนทานต่อแรงกด แรงบีบ และแรงอัดต่าง ๆ ซง่ึ มีผลต่อการรบั นำ้ หนกั ของวัตถุ
3. คณุ สมบัติทางเคมี
(1) องค์ประกอบหลักของเนอ้ื ไม้ ได้แก่ เซลลูโลส(cellulose) เฮมิเซลลโู ลส(hemicellulose) และ
ลิกนิน(lignin) องคป์ ระกอบรองได้แกส่ ารจำพวก เรซิน(resins) แทนนิน(tannins) แว๊กซ์(waxes) และเกลอื อ
นินทรีย์(inorganic salts)
(2) อตุ สาหกรรมการผลิตกระดาษและเยอ่ื กระดาษ มเี ซลลโู ลสและเฮมเิ ซลลโู ลส ซ่ึงเรียกรวมกันว่า
โฮโลเซลลูโลส(holocellulose) เปน็ องค์ประกอบ 61-71 % เพนโทแซน(pentosans) 16-21 % ลิกนิน(lignin)
20-30 % เถ้า 1-9 % ซลิ กิ ้า 0.5-4%
(3) หน่ออ่อนของลำต้นที่นำมาบรโิ ภคเปน็ หนอ่ ไม้ ในสว่ นท่รี ับประทานได้หนกั 100 กรมั ประกอบด้วย น้ำ
89-93 กรัม โปรตนี 1.3-2.3 กรัม ไขมนั 0.3-0.4 กรัม คารโ์ บไฮเดรต 4.2-6.1 กรมั เสน้ ใย 0.5-0.77 กรมั
เถา้ 0.8-1.3 กรัม แคลเซียม 81-96 มิลลกิ รัม ฟอสฟอรสั 42-59 มลิ ลิกรมั เหลก็ 0.5-1.7 มิลลกิ รมั วติ ามนิ
บี 10.07-0.14 มิลลิกรัม วิตามนิ ซี 3.2-5.7 มิลลกิ รัม กลโู คส 1.8-4.1 กรัม พลงั งาน 118-197 จูล ไซยาไนด์
44-283 มลิ ลกิ รัมตอ่ กิโลกรัม
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไผม่ ถี ่นิ กำเนดิ ในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ เปน็ ไผท่ ่ีมกี ารแตกกอขนาดใหญ่ และเป็นลำตน้ สูงตรง ผอมเรียว
สว่ นไผ่ทีม่ ถี ิน่ กำเนดิ ในเขตอบอุ่นนน้ั เป็นไผ่ทม่ี ีการแตกกอนอ้ ยและมีลำต้นขนาดใหญ่ ไผ่มีลำตน้ ใต้ดนิ เรยี กวา่ เหง้า
(rhizome) ส่วนโคนของลำต้นเหนือดนิ จะใหญแ่ ละค่อย ๆ เรียวไปยังส่วนปลายลำต้น หน่อใหมจ่ ะเจริญออกมาจาก
ตาขา้ งหรอื ตายอดของเหงา้ ที่อยใู่ ต้ดินไผ่แต่ละลำประกอบดว้ ยสว่ นของปลอ้ งลำต้นท่มี ลี กั ษณะเป็นทอ่ กลวง และ
สว่ นข้อท่ีมีลกั ษณะเป็นแผ่นแบนแขง็ เส้นผ่านศนู ย์กลางของลำต้นขน้ึ อย่กู ับชนดิ ของไผ่ซ่งึ มเี สน้ ผา่ นศูนยก์ ลางต้งั แต่
0.5-20 เซนตเิ มตร นอกจากน้ียังพบว่าขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางของลำต้น ข้ึนกับขนาดของหนอ่ อ่อนที่เจริญออกมา
จากเหงา้ ใต้ดนิ อกี ด้วยปลอ้ งท่อี ยู่บรเิ วณสว่ นกลางของลำตน้ มักมคี วามยาวมากกว่า ปลอ้ งที่อยูต่ รงส่วนโคนหรอื
สว่ นปลายของลำตน้ และมีร้ิวรอยของกาบใบทหี่ ลดุ ร่วงไปจากบริเวณข้อของลำต้นดว้ ย ข้อของลำตน้ ไผบ่ างชนดิ
อาจมลี กั ษณะโป่งพองและอาจพบรากพเิ ศษเจริญออกมาจากข้อของลำตน้ ที่อยู่ใกลก้ ับสว่ นโคนของลำต้น
ใบของไผป่ ระกอบดว้ ยสว่ นของแผน่ ใบ(blade) กาบใบ(sheath proper) ล้นิ ใบ(ligule) และเขีย้ วใบ
(auricles) ซึง่ มีขนาดและรูปร่างแตกตา่ งกันตามชนิดของไผ่ รวมทั้งสีสนั ของกาบใบที่ห้มุ หน่ออ่อน รวมทั้งการมี
หนาม ขนหรอื ความเป็นมันเงาของกาบใบก็แตกต่างกันไปตามชนดิ ของไผ่ดว้ ย การแตกกิง่ กา้ นสาขาของไผ่จะพบ
ต้งั แต่สว่ นโคนของลำต้นไปจนกระท่ังถึงสว่ นปลายยอดในไผบ่ างชนดิ แตไ่ ผบ่ างชนิดมีการแตกกิง่ กา้ นสาขาเฉพาะ
ส่วนยอดของลำต้นเท่าน้นั
ไผอ่ อกดอกเปน็ ชอ่ ซึ่งมีช่อดอกย่อยแบบ Spikelet ช่อดอกของไผถ่ ูกแบง่ ออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ
แบบ semelauctant ซึง่ มกี ารเรยี งของชอ่ ดอกยอ่ ยออกมาจากท้งั สองด้านแกนกลาง เป็นชอ่ ดอกแบบชอ่ กระจะ
(Raceme) หรอื (panicle) สว่ นอกี แบบหนึ่งเป็นชอ่ ดอกแบบ iterauctant หรือ indeterminate ซึง่ มชี ่อดอกแตก
ออกเป็นกระจุกเรยี งซอ้ นกนั เปน็ ชั้นๆ
ผลของไผ่เป็นผลธัญพชื (caryopsis) เชน่ เดียวกบั พชื ชนดิ อ่ืน ๆ ซง่ึ อย่ใู นวงศห์ ญา้ มีผนังผลเชอ่ื มติดกับสว่ น
ของเปลือกห้มุ เมล็ด เมล็ดประกอบด้วย เอม็ บริโอ(embryo) เอนโดสเปริ ม์ (endosperm) และใบเล้ยี ง 1 ใบ เรยี กว่า
scutellum เม่อื เมลด็ งอกเป็นตน้ กลา้ จะมีรากปฐมภมู ิซึง่ พัฒนามาจากรากแรกเกดิ (radicle) ของเอ็มบรโิ อ สว่ น
ยอดออ่ น (plumule) จะเจรญิ เปน็ ลำตน้ โผล่เหนือดิน โดยมีเนือ้ เยื่อหมุ้ ยอดแรกเกิด(coleoptile) หอ่ หมุ้ ปลายยอด
ของต้นกลา้ ออกมาด้วย
ลกั ษณะทางกายวภิ าค
ไมไ้ ผ่แต่ละลำประกอบดว้ ยเซลลพ์ าเรงคมิ า(parenchyma) 50 % เสน้ ใย (fiber) 40 % ท่อลำเลยี ง 10 %
เนื้อเยื่อพาเรงคมิ าและท่อลำเลียงต่าง ๆ อยู่ทางด้านในของลำตน้ เป็นจำนวนมากขณะท่เี สน้ ใยหรือไฟเบอร์มกั พบ
อยูท่ างด้านนอกของลำต้น เนื้อเยื่อมดั ท่อลำเลียงประกอบด้วยโพรโทไซเลม็ (protoxylem) และเมทาไซเล็ม
(metaxylem) ซ่งึ ทำหน้าที่ลำเลยี งนำ้ และโฟลเอม็ (phloem) ซง่ึ ทำหนา้ ท่ีลำเลยี งอาหารอย่รู วมกันเปน็ มดั ถูก
ลอ้ มรอบดว้ ยเยือ่ หมุ้ ทป่ี ระกอบด้วยเซลล์สเกลอเรงคมิ า(sclerenclyma) ชนดิ เสน้ ใย(fiber) ทางรอบนอกของลำตน้
เนอ้ื เยอื่ มดั ทอ่ ลำเลียงจะมีขนาดเล็กและมีจำนวนมาก ขณะทม่ี ดั เนอ้ื เยือ่ ซึ่งอย่ทู างดา้ นในของลำต้นจะมีขนาดใหญ่
กว่า และมีจำนวนน้อยกว่า จำนวนมัดท่อลำเลียงจะคอ่ ย ๆ ลดลงจากดา้ นนอกเขา้ หาด้านใน และจากส่วนโคนไปยงั
สว่ นปลายของลำต้น
รปู แบบของมดั ทอ่ ลำเลยี งทพี่ บในพชื จำพวกไผ่จะแตกต่างกนั ไปประมาณ 4-5 แบบ ข้ึนกับขนาดและการ
กระจายตวั ของมัดท่อลำเลยี ง เส้นใย(fiber) ท่ีพบในเน้อื ไม้ของไผ่ มักอย่บู ริเวณรอบ ๆ มดั ท่อลำเลียง และพบมาก
บรเิ วณรอบนอกจนถงึ สว่ นกลางของเนอื้ ไมท้ ่อี ยู่โดยรอบปลอ้ งของลำตน้ แตจ่ ะมคี วามยาวของเส้นใยสน้ั กวา่ เส้นใย
ทอี่ ย่ดู ้านในของลำตน้ ซ่งึ ในอตุ สาหกรรมการผลิตเยื่อกระดาษจะตอ้ งเลือกใช้ชนดิ ของไผ่ที่มีคุณสมบัตติ า่ ง ๆ ของ
เส้นใยเหมาะสมต่อการผลิตด้วย เสน้ ใยของไผช่ นิดต่าง ๆ ท่มี ีถนิ่ กำเนิดในเอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้น้ัน มีความยาว
ของเส้นใยเฉลย่ี 1.45-3.78 นาโนเมตร เสน้ ผ่านศูนย์กลางของเส้นใย 11-22 ไมโครเมตร เสน้ ผา่ นศูนย์กลางของช่อง
ภายในเซลล์ 2-7 ไมโครเมตร ความหนาของผนงั เซลล์ 4-9 ไมโครเมตร
ไผ่กบั วิถชี ีวิตคนไทย
ในอดตี ไมม่ ีใครปฏิเสธได้เลยว่าไผเ่ คยี งค่กู ับคนไทยทัง้ ในเมืองและชนบท ร้อยละ 80 ของบา้ นเรอื นทอ่ี ยู่
อาศยั ประกอบดว้ ยไผ่ตั้งแตเ่ สาเรือน (กระท่อมไม้ไผ่) พื้นบ้าน ฝาบ้าน สว่ นประกอบของบ้านเรือนเกอื บทั้งหมด
เปน็ ไมไ้ ผท่ ถี่ ูกบรรจงสรา้ งอยา่ งเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย และของใช้ในชีวติ ประจำวนั ทงั้ อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ เช่น กระจาด
กระด้ง ตระกร้า กระบุง ท่ีนงึ่ ข้าว ฯลฯ อีกมากมายท่แี ปรรูปจากไม้ไผท่ ง้ั ส้ิน ตัง้ แตเ่ กิดจนตายเราจะเห็นต้นไผป่ ลกู
ไวข้ ้างร้ัวรอบบา้ นเปน็ ทั้งแนวป้องกันขโมย พร้อมท้งั ป้องกันลม ในส่วนของหน่อไม้กส็ ามารถมาทำอาหารได้
หลากหลาย ลำไผท่ ุกส่วนลว้ นเป็นประโยชนท์ ัง้ สิ้น ไผ่ลดตน้ ทุนการครองเรือนมหาศาล เชน่ ใชส้ รา้ งบา้ น โรงเรือน
เลี้ยงสตั ว์ ปลูกพชื เครอื่ งมอื จับสัตว์ ทัง้ สัตวน์ ้ำและสตั ว์บก เราจะเหน็ วา่ การลงทุนในทกุ รปู แบบท่ีใชไ้ ผ่เข้ามาเป็น
ส่วนประกอบเพราะไผร่ าคาถูกและอาจไมไ่ ด้ซ้ือเลยถา้ เราปลูกไผ่ไว้
ในปัจจบุ นั ถูกบรรจงสร้างมาเป็นส่วนประกอบในบา้ นเรือนราคาสูง เช่น ใชไ้ มไ้ ผ่อัดตีฝา้ ตกแต่งประดบั
บ้านท่ีอยู่อาศยั สร้างบรรยากาศไดอ้ ย่างลงตวั และสร้างความรสู้ ึกในความเปน็ ไทยได้อยา่ งฝงั ลึกใครก็ตอ้ งมองและ
ชื่นชม เข้ามามบี ทบาทในครัวเรอื นพชื ปลอดภัยจากสารพิษ ที่หางา่ ยราคาถูก เพยี งมีไผอ่ ยู่รมิ ร้ัวบ้านไมก่ ่ีตน้ ก็
สามารถลดภาระการเงินไดเ้ ปน็ อย่างดี มอื้ นี้และมอื้ หนา้ ตม้ หนอ่ ไม้ และแกงหน่อไม้ ก็ยงั เปน็ อาหารจานโปรดท่ไี ด้
รสชาติบวกความประหยดั อีกทางเลอื กหนง่ึ
ทกุ วนั นที้ ่ีผา่ นมาเราพยายามจะลืมไผ่หนั มาใชว้ สั ดุอนื่ ทดแทน เชน่ เหลก็ ปูน กระเบอื้ ง มาถึงวันน้ีทกุ คน
เร่มิ รู้แล้ววา่ โรคภยั ต่าง ๆ ทร่ี มุ เร้าเข้ามาจากสิ่งแวดลอ้ มทไี่ มเ่ ออ้ื ตอ่ สุขภาพ แตกตา่ งกับวถิ ีชวี ิตที่เป็นธรรมชาตโิ ดย
สิ้นเชงิ หลายชีวติ เร่ิมไขว่ควา้ หวนคนื สู่กลับธรรมชาติ ชอบอยู่ ชอบนอน ชอบพกั ผ่อนกบั ร่มไม้ และกระทอ่ มริม
สวน รมิ คลอง และกระท่อมปลายนา ทมี่ ีบรรยากาศของความสดชนื่ บรสิ ุทธ์ริ อบทศิ ทางของท่ีอยู่อาศยั มีสานลมพัด
ผ่านไมใ่ ช่กล่นิ ไอเยน็ จากเคมขี องเครอ่ื งปรบั อากาศ แตเ่ ป็นกลิ่นไอของลมเย็นธรรมชาตทิ ่ถี ูกปรุงแตง่ กลนิ่ ของ
สมนุ ไพร ไม้หอมนานาพนั ธ์ุ ถา้ ได้นอนหลับซกั ตนื่ ดเู หมือนชวี ิตทีต่ น่ื มาในวันรุ่งเป็นโลกใบใหม่ร่างกายและจิตใจดู
เข้มแขง็ ขึ้นมาทันที นี่เพียงช่วั คนื เทา่ นน้ั
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ท่ีมาของข้อมลู
http://www.culture.go.th/knowledge/story/bamboo/bamboo.html
ใบงานท่ี 3
เร่ือง ประโยชนข์ องการปลกู ไผ่
ให้นักศกึ ษาตอบคำถามต่อไปน้ี
1. ใหน้ กั ศกึ ษา ยกตัวอยา่ งพร้อมอธิบายประโยชนข์ องการปลูกไผ่
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................
2. จงยกตัวอย่างและอธบิ ายประโยชน์ของไมไ้ ผ่ใช้เป็นอาหารหรอื ประกอบในการทำอาหาร
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................