The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by koksung.lib, 2023-01-13 02:21:43

คนไทยเชื้อสายเวียดนาม ในนครพนม

THA_VIET final หนังสืออ่านนอกเวลา

จะไม่ต้องน�ำมาไหว้ เมื่อมาถึงศาลเจ้าก็ต้อง ใช้มีดไม้ไผ่ปักที่ไก่เป็นสัญลักษณ์ส�ำหรับการ ไหว้เจ้าจะมีเจ้าหน้าที่ศาลเจ้าน�ำถาดเข้าไป วางภายในคนนอกเข้าไป ไหว้วันแรกคือแรม 15 ค�่ำ เดือน 12 มีเจ้าหน้าที่ใส่ชุดด�ำทั้งหมด 6 คน มีหัวหน้าชุดจะเรียกต�ำแหน่งนี้ว่า “จิ่งเต๋” และจะมีผู้ช่วย 2 คน อยู่ข้างหลัง เรียกว่า “โบ่ยเต๋” จากนั้นจะมีคนตีกลอง ตีฆ้องตามจังหวะระหว่างท�ำพิธี อีก 2 คน จะมีต�ำแหน่งรินเหล้า รินน�้ำในแต่ละถาด ตามจ�ำนวนที่ชาวบ้านเอามาไหว้ เรียกว่า “เยื้อกเหยี่ยว” เมื่อเสร็จจะมีอีก 1 คน อ่านค�ำ บูชาค�ำถวายเป็นภาษาเวียดนาม เปรียบแล้ว ก็เหมือนการอ่านค�ำบูชาการถวายสังฆทาน แบบไทย เรียกต�ำแหน่งนี้ว่า “ดอกวัน” เมื่อเริ่มพิธีจะมีการอ่านบทไหว้เจ้าหน้าที่ก็ ท�ำตามบทสวดต้องฟังภาษาเวียดนามออก บทสวดเป็นค�ำโบราณเรียกว่า จื่อหาน เป็น ภาษาพูดและเขียนแบบโบราณอักษรต่างๆ จะคล้ายกับภาษาจีน ไม่เหมือนภาษา ภาษา เขียนในปัจจุบัน (จีนเคยปกครองเวียดนาม เป็นระยะเวลา 1,000 ปี จึงท�ำให้บทสวดได้ รับอิทธิพลจากประเทศจีน *ผู้เขียน) คนบ้านนาจอกจะให้ความส�ำคัญมาก กับการมาศาลเจ้าในวันตรุษจีน ลูกหลานที่ อยู่ต่างจังหวัดจะกลับมาบ้านและพาครอบครัว มาที่ศาลเจ้า ศาลเจ้าบ้านนาจอกจะอนุญาต เจ้าหน้าที่จัดเครื่องไหว้ พิธีไหว้ในวันเต๊ด Spirit of Us 51


ให้พาเด็กๆ มาได้ ชุมชนอื่นไม่อนุญาตให้ เด็กมาศาลเจ้าให้มาเฉพาะผู้ใหญ่ ชุมชน มีความเห็นว่าถ้าไม่ให้เด็กมาเค้าจะไม่รู้เรื่อง ของบรรพบุรุษมันอาจท�ำให้สูญหายขาดการ สนใจ บรรยากาศจะสนุกสนานมากเพราะ บางคนไปตั้งรกรากปีนึงลูกหลานไม่ว่าจะอยู่ ที่ไหนต้องต้องกลับมาตรุษจีน ที่อนุญาตให้ เด็กมาได้เราต้องการให้เด็กรับรู้ว่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษมีเชื้อเวียดนาม มีประเพณีแบบนี้ และผู้ใหญ่เค้ามาไหว้อะไร เพราะหลังจากท�ำพิธีก็จะแบ่งไก่ครึ่งตัว มาสับกินรวมกันอีกครึ่งตัวให้เอากลับบ้าน ชาวบ้านจะเรียกว่า กินไก่เฮง เพราะเป็น ไก่ไหว้เจ้า หลังจากนั้นทุกคนก็จะมาจุดธูป ไหว้เจ้าขอพรต่างๆ ให้ครอบครัวอยู่เย็น เป็นสุขท�ำมาค้าขึ้น บางคนก็มาบนบานด้วย หมูหัน ทุกปีศาลเจ้าจะมีหมูหันจากการ บนบานที่ส�ำเร็จมาถวาย ส่วนใครอยากบริจาค ก็ตามก�ำลังศรัทธา ช่วงตรุษจีนมียอดเงิน บริจาคหลังหักค่าใช้จ่ายประมาณ 2 แสนบาท ช่วงออกพรรษาจะได้ประมาณ 3-4 หมื่นบาท เงินตัวนี้ก็จะเอามาปรับปรุงพัฒนาศาลเจ้า” ชาวบ้านน�ำไก่มาไหว้ มีดปักไก่ 52


งานบุญ “หรํ่า ถาง เยียง” หรืองานสะเดาะเคราะห์หมู่บ้าน เป็นอีกหนึ่งงาน พิธีกรรมตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม ที่การประกอบพิธีต้องไปรวม ตัวกันที่ศาลเจ้า ปัจจุบันที่จังหวัดนครพนม ชุมชนที่ยังสืบทอดพิธีกกรรมดังกล่าวก็ คือชุมชนโพนบก “หร�่ำ ถาง เยียง” แปลได้ว่า หร�่ำ = 15 ค�่ำ ถาง = เดือน /เยียง = เดือนหนึ่ง เป็นประเพณีที่มีมากว่า100 ปี สืบสานกันรุ่นสู่รุ่นเพื่อสะเดาะเคราะห์ปัดเป่าสิ่งไม่ดี ออกจากหมู่บ้าน วันแรกเวลาประมาณสามทุ่มเป็นเวลาการเชิญเจ้ามาประทับที่ร่างทรง และช่วงเช้าของวันที่สองคือวันสะเดาะเคราะห์จะมีการน�ำเรือไปลอยเคราะห์ในแหล่งน�้ำ เพื่อให้คนในหมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสุขไร้ทุกข์โศกโรคภัยตามความเชื่อโบราณ นอกจาก การให้ความส�ำคัญในพิธีกรรมสักการะต่อเทพเจ้าแล้ว คนไทยเชื้อสายเวียดนาม ยังให้ความส�ำคัญต่อบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ดังจะเห็นได้จากการมีพิธีไหว้ระลึกถึง บรรพบุรุษที่บ้านของตัวเองเมื่อครบรอบวันจากไปของบรรพบุรุษ ซึ่งอันนี้ก็สะท้อน ว่าคนไทยเชื้อสายเวียดนามให้ความเคารพต่อบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก” อาจารย์อุทัย เจริญธนกุล อายุ 85 ปี เถ่ยกุ๋ง ชุมชนโพนบก ลอยเรือสะเดาะเคราะห์ Spirit of Us 53


อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานของการด�ำรงชีวิต อาหารในแต่ละ พื้นที่ แต่ละท้องถิ่น ก็จะมีความโดดเด่นเฉพาะด้าน เฉพาะตัว ที่แตกต่างกันออกไป และอาหารคาว-หวานของคนไทย เชื้อสายเวียดนาม ในจังหวัดนครพนม ก็มีอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น ซึ่งหลายเมนูก็หารับประทานไม่ได้ง่ายนัก แม้แต่ในประเทศ เวียดนามเอง Food and Culture เอกลักษณ์ ในอาหาร 4


นับเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ที่ โกเจื่อง หรือ เฟื่องรัตน์ จิตรจ�ำนงค์ดี คนไทยเชื้อสาย เวียดนามวัย 67 ปี จะลุกขึ้นมาปรุงอาหาร ที่ชื่อว่า “โซย” ซึ่งเป็นชื่อเรียกในภาษา เวียดนาม ที่แปลตรงตัวว่าข้าวเหนียว แต่เพื่อ ให้ง่ายต่อการจดจ�ำ โกเจื่อง จึงตั้งชื่อแบบ ไทยๆ ว่า “ข้าวโซย” “โกขายข้าวโซย 5 อย่าง สมัยก่อน ขายห่อละ 3 บาท ขายส่งห่อละ 2 บาท เวลา ผ่านมาก็ปรับราคาขึ้นขายห่อละ 5 บาท ขายส่งห่อละ 4 บาท ขาย ถ้าช่วงเทศกาล ขายดีท�ำเป็นกระสอบ กระสอบหนึ่งหนัก 50 โล ข้าวโซยท�ำตั้งแต่สมัยพ่อแม่แล้ว ถ้ารวมระยะเวลาก็ขายมา 70 ปีกว่าๆ เริ่มแรก เดินหาบขายตามตลาดจนมาเป็นที่นิยม และมีร้านขายเป็นหลักแหล่ง ข้าวโซยเป็น ข้าวธัญพืชจะมีส่วนผสมของถั่วและงามีทั้ง แบบหวานเค็ม โซยหว่าง เมื่อก่อนวิธีการท�ำ ยากมาต้องใช้ขมิ้นตากแห้งและเอาไปต�ำ กว่าจะได้ตัวข้าวแบบที่ยังไม่ปรุงก็กินเวลา จนหมดวันแล้วแต่ปัจจุบันมีผงขมิ้นส�ำเร็จรูป ท�ำให้ไม่ยุ่งยากเสียเวลา ข้าวก�่ำกับข้าวใบเตย เป็นเมนูประยุกต์ให้เข้ากับคนพื้นถิ่น “ข้าวโซยเป็นอาหารเช้าที่คนนิยมกิน เพราะราคาถูกกินง่ายเป็นหมือนฟาสต์ฟู้ด ลูกค้าอิ่มได้ในราคา 5-10 บาท ก็อิ่มได้ เมื่อก่อนมีคนขายหลายเจ้า ขายไม่นานก็เลิก เพราะได้ก�ำไรไม่เยอะอาศัยว่าขายได้มาก และมีลูกค้าเยอะ ป้าตื่นตั้งแต่ ตี 2 มาท�ำเสร็จ ราวๆ ตี 5 ก็ออกมาขายตลาด ขายจนหมด ถึงกลับ มันเป็นอาชีพที่เหนื่อย ต้องรักจริง ถึงท�ำมาได้ถึงป่านนี้” เฟื่องรัตน์ จิตรจ�ำนงค์ดี 56


3. โชยหว่าง (ข้าวเหลืองหวาน) เมนูภาคใต้หรือเรียกว่าข้าวไซง่อน โรยหน้าด้วยงาน�้ำตาลมะพร้าวขูด รสหวาน 4. ข้าวก�่ำ คือข้าวเหนียวด�ำมูนกะทิ โรยมะพร้าว รสชาติหวานมัน 5. ข้าวใบเตย คือข้าวเหนียวมูนใส่น�้ำใบเตย โรยมะพร้าว รสชาติหวานมัน 2. โซยหว่อ (ข้าวคลุกถั่ว) เมนูภาคเหนือของเวียดนาม ข้าวเหนียวนึ่ง คลุกกับถั่วซีก โรยหน้าด้วยกากหมูและหอมเจียว รสชาติออกเค็ม ข้าวโซย 1. โซยโง (ข้าวเหนียวข้าวโพด) เป็นเมนูต้นต�ำรับ มีเมล็ดข้าวโพด ผสมลูกเดือย โรยหน้าด้วยถั่วซีก และงาคั่ว Food and Culture 57


“โหย่ย” หรือเมนูไส้อั่วเลือดหมู เลียน ผ่ามถิ คนไทยเชื้อสายเวียดนามจาก ชุมชนหล่างป่า คือคนที่ท�ำ “โหย่ย” ขายมา อย่างต่อเนื่องถึง 48 ปี “ป้าท�ำไส้อั่วเวียดนามขายในตลาดสด ภาษาเวียดนามเรียกว่า “โหย่ย” พ่อเป็นคน สอนให้ท�ำ “โหย่ย” ช่วยพ่อท�ำมาตั้งแต่ยัง เล็กๆ พ่อท�ำอาชีพนี้จนเลี้ยงลูกได้ 6 คน ก็เลยคิดว่าเราก็น่าจะท�ำได้และก็รับช่วงต่อ มาจากพ่อ สมัยก่อน 2 บาท 5 บาทก็ขาย เดี๋ยวนี้ของแพงขึ้นราคาก็ปรับไปตามเวลา ส่วนตัวป้าเองก็คงท�ำได้เท่าที่ไหว ลูกๆ ไม่ให้ ท�ำแล้วและเค้าก็ไม่รับช่วงต่อ คงหมดที่ป้า ร้านป้าเป็นร้านเก่าแก่ที่สุดในตลาดสด นครพนม ขายตั้งแต่สมัยทองค�ำบาทละ 400 บาท” แม้ว่าสีสันของอาหารจะดูมืดๆ ด�ำๆ แต่หากใครได้ลองชิมก็จะพบว่ารสชาตินั้น ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์ในตัวอาหารอย่าง สิ้นเชิง นอกจากจะเอาไว้กินเป็นกับข้าว ทั่วไปแล้ว “โหย่ย” ยังถือเป็นเมนูขึ้นโต๊ะที่ นิยมใช้ส�ำหรับการไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ อีกด้วย “ขั้นตอนท�ำโหย่ยก็เริ่มจากเตรียมผัก 3 ชนิด ผักชีฝรั่ง ผักแพรว ต้นหอม น�ำมา ซอยผสมรวมกันกับพริกสด น�ำเศษหมูบด เลียน ผ่ามถิ โหย่ย 58


กับเลือดหมูสดที่ปรุงรสและน�้ำเปล่า ผสมให้ เข้ากันทิ้งไว้ซักพักเลือดจะแข็งตัวขึ้น และสุดท้ายก็ล้างไส้หมูสดด้วยเกลือให้ สะอาดและปลิ้นไส้ให้กลับด้าน เสร็จแล้ว กรอกเลือดหมูลงไปให้เต็ม มัดหัวท้าย และน�ำไปต้มไฟอ่อนๆ พลิกไปมาและใช้ ไม้จิ้มไปที่ไส้ไม่งั้นมันจะแตก ดูจนไส้แน่น น�้ำต้มใสก็แปลว่าสุกแล้ว ไส้กรอกเลือดถึงจะ มีเลือดเป็นส่วนผสมหลัก แต่รสชาติดีและ ไม่คาวอย่างที่ใครๆ คิด เพราะผักที่ใส่ลงไป ทั้ง 3 ชนิดนั้นให้กลิ่นหอม นิยมกินเป็น กับข้าว กินเล่นหรือเป็นกับแกล้ม นอกจากนั้น ยังเป็นอาหารขึ้นโต๊ะไหว้เจ้าและไหว้บรรพบุรุษ ถือเป็นของที่ต้องมีในส�ำรับไหว้ห้ามขาด ปัจจุบันโหย่ยไม่ได้กินกันเฉพาะคนไทย เชื้อสายเวียดนามเท่านั้น คนที่ซื้อส่วนมาก คือคนไทยพื้นถิ่น และกินเยอะกว่าด้วยซ�้ำ” เลือดหมูผสมเครื่องยัดไส้ ไส้โหย่ยหลังต้มเสร็จ Food and Culture 59


“บุ๋นหม็อก” หรือ ขนมจีนน�้ำยาหมูยอเวียดนาม “โกเติม” มณทิชา ศิริวรเดช วัย 62 ปี เริ่มท�ำ “บุ๋นหม็อก” ด้วยการ ช่วยแม่ของเธอตั้งแต่ยังเล็กๆ นับจากวันนั้น ถึงวันนี้ก็เป็นเวลาถึง 50 ปีแล้ว “สมัยก่อนรัฐบาลไทยจ�ำกัดสิทธิเรื่อง การท�ำอาชีพเค้าว่ามาแย่งอาชีพคนไทย พ่อแม่ก็เลยคิดหาอาชีพ เลยท�ำกับข้าวไป ขายตามร้านตามบ้าน ใครมีเงินหน่อยเค้าก็ ช่วยซื้อแล้วก็เอาไปขายในตลาด มีคนขาย อาหารเวียดนามเยอะมาก งัดวิชามาทุกอย่าง ที่จะท�ำให้อาหารอร่อย ที่นาเราก็ไม่มี เราเปรียบตลาดเหมือนที่นาไว้ท�ำมาหากิน แม่ของโกชื่อนางเฮือง พ่อชื่อนายหยุ๋ง แต่คนเวียดนามจะเรียกชื่อภรรยาตาม ชื่อสามี พ่อชื่อหยุ๋งเค้าก็เลยเรียกชื่อแม่ว่า บ่าหยุง (ยายหยุ๋ง) โกต้องช่วยแม่ค้าขาย ตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่มีลูกเยอะแม่ท�ำอะไร ลูกก็ต้องช่วยแม่ทุกอย่าง โกออกมาช่วยแม่ ตอนอายุ 11 ปี ช่วงแรกก็ซื้อมาขายไปขาย ผักขายปลาได้ก�ำไรนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็คิด ท�ำอาหารและหลอกล่อให้คนไทยกินอาหาร เวียดนามเพื่อเราจะได้เงินมาเลี้ยงชีพให้ลูก มีกิน แม่โกขายหลายอย่างแต่ขายไม่ดี วันนึงขายได้ 10-20 บาท เริ่มต้นคือขายผัก ต่อมาท�ำบุ๋นหม็อก ขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็ ท�ำหมูยอเพิ่ม ของหวาน หมี่กะทิ แม่ลูกช่วย กันท�ำหมดเพราะมีลูก 8 คน วันไหนว่าง หน่อยก็หารายได้เพิ่มให้ลูกพอกิน สมัยก่อน อาหารเวียดนามไม่ค่อยมีคนนิยมเท่าไหร่ ก็มีแต่คนเวียดนามกินกันเอง คนไทยกิน นิดๆ หน่อยๆ พอคนเริ่มกินก็ติดใจในรสชาติ ซื้อกินเรื่อยเพราะเราขายถูกกว่าในร้าน อาหารอีก ปัจจุบันคนที่มานครพนมส่วนมาก นักท่องเที่ยวจะนิยมกินอาหารเวียดนาม เป็นอันดับหนึ่งเป็นอาหารสุขภาพ ตอนนี้ ที่ร้านก็ขายปอเปี๊ยะทอด บุ๋นหม็อก สมัยก่อนเวลาขายต้องเอาไปเสริฟ ถึงที่ลูกค้านั่งในตลาดแผงไหนก็เสริฟ กินเสร็จก็ไปเก็บจานทีหลัง เดี๋ยวนี้เค้าต้อง มณทิชา ศิริวรเดชกุล 60


มาซื้อที่ร้านเอาใส่ถุงกลับไปกินบ้าน เดี๋ยวนี้ คนที่มาซื้อคนไทย 70% คนไทยเชื้อสาย เวียดนามซื้อแค่ 30% มีช่วงนึงมีการผลักดัน ให้กลับเวียดนามคนเวียดนามโดนแกล้งเยอะ ขายของในตลาดโดนคว�่ำแผงก็มี และก็มี ข่าวลือว่ากินอาหารเวียดนามแล้วอวัยวะเพศ ผู้ชายจะหดสั้นท�ำให้คนไทยไม่กล้ากิน ส่วนผู้หญิงกินแล้วจะเป็นลมชัก มีแกล้งมา ชักหน้าร้านที่ขายก็มี ตาชั่งขาดนิดหน่อยก็ โดนจับ ตอนนั้นคนเวียดนามก็ร่วมกันก็แก้ สถานการณ์คือปฎิบัติกับคนไทยให้ดี เพราะเมืองไทยให้ที่อยู่ให้ที่กินท�ำมาค้าขาย เราช่วยงานสังคมและค่อยๆบอกว่าเราไม่ได้ เป็นแบบที่กล่าวหา เขาก็เข้าใจเราเรื่อยๆ หลังจากนั้นรัฐบาลประกาศให้สัญชาติไทย หลังจากนั้นชีวิตความเป็นอยู่ก็ดีขึ้น ในส่วนการท�ำบุ๋นหม็อก ก็ต้มไฟอ่อนๆ ให้น�้ำกระดูกใส ใส่รากผักชีลงไปต้มจนเดือด ตักฟองให้หมดจนใสสะอาด จากนั้นเตรียม ผักสด มีผัดกาดหอม หัวปลี ผักชี ที่ขึ้นชื่อ ก็คือผักอีโต มีชื่อเวียดนามว่าเตี๋ยโต แต่คนไทย เรียก อีโต แล้วก็ใส่หม็อก ลูกชิ้นหมูลงไป เติมพริกกระเทียมเจียวลงไปก็เป็นอันเสร็จ เคล็ดลับที่ท�ำให้บุ๋นหม็อกของเรา พิเศษคือเรามีน�้ำมันพริกแกง เห็นคนไทย มีพริกแกงก็เลยลองท�ำ มันช่วยให้มีกลิ่น หอมขึ้น เพิ่มรสชาติดีขึ้นกว่าเดิมสีสวย เรียกว่า “เอิ๊ดเหม่า” ท�ำมาจากพริกแดงใหญ่ บดละเอียดผัดกับกระเทียมเจียว” ในทุกวันนี้...ไม่ว่าจะเมนูอาหารที่ ถอดแบบต้นฉบับอย่างไม่ผิดเพี้ยน หรือจะ เป็นเมนูที่ประยุกต์ สร้างสรรค์ขึ้นใหม่ เพื่อให้ สอดคล้องไปกับวัฒนธรรมการกินของคนไทย ก็ล้วนเป็นส่วนส�ำคัญในการสะท้อนให้เห็น ถึงการมีอยู่ของรากวัฒนธรรมของคนไทย เชื้อสายเวียดนามในนครพนม บุ๋นหม็อก Food and Culture 61


62


การเรียนการสอนภาษาเวียดนามในจังหวัดนครพนมทุกวันนี้ เป็นไปอย่างเสรีมีผู้ให้ความสนใจตั้งแต่ในระดับชั้นเด็กเล็ก ไปจนถึงระดับอุดมศึกษา ต่างจากเมื่อครั้งอดีต ที่การเรียน การสอนกลับเป็นเรื่องต้องห้าม ต้องท�ำกันอย่างลึกลับและ เต็มไปด้วยความยากล�ำบาก The Story of Language "ภาษารากเหง้า วัฒนธรรม" 5 63


ภายในตึกแถวอาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในชุมชนวัดป่า หรือ “หล่างป่า” ซึ่งเรียกกันตาม ความคุ้นเคยของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม ปัจจุบันได้ถูกใช้เป็นห้องเรียนภาษาเวียดนาม เพื่อเปิดสอนให้แก่เด็กเล็กที่สนใจ แรงบันดาลใจในการเปิดสอนภาษาเวียดนามของที่นี่ ก็มาจากความต้องการให้เด็กๆ ได้ซึมซับทั้งภาษารวมถึงมีความเข้าใจต่อรากเหง้าทาง วัฒนธรรมของบรรพบุรุษและภายใต้การสนับสนุนของสมาคมคนไทยเชื้อสายเวียดนามจังหวัด นครพนม ที่นี่จึงสามารถเปิดเป็นห้องเรียนที่ให้ความรู้แก่เด็กๆ ได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น “สมาคมคนไทยเชื้อสายเวียดนาม จะมีอยู่แทบทุกจังหวัดแถบภาคอีสาน ทาง สมาคมได้มีความเห็นร่วมกันว่า ควรจะ อนุรักษ์ประเพณีและภาษาเอาไว้จึงมีแนวคิด ให้แต่ละสมาคมช่วยกันส่งเสริมและผลักดัน จึงเป็นที่มาของศูนย์เรียนภาษาเวียดนาม หล่างป่า เราสอนให้ฟรีตอนนี้มีเด็กไทยที่ ไม่มีเชื้อสายเวียดนามสนใจมาเรียนเราก็ ยินดีมาก ศูนย์การเรียนนี้เราเปิดมา 2 ปีแล้ว ตัวผมเองก็เป็นเหมือนครูใหญ่และจะมีครูอีก 2-3 ช่วยกันสอนจะได้ดูทั่วถึงเราเรียนในวัน เสาร์-อาทิตย์เวลา 18.00-19.30 เราใช้เวลาเรียน 1.30 ชั่วโมง มีเด็กเรียนประมาณ 40 คน แบบเรียนที่เราใช้สอนเป็นแบบเรียนตาม หลักสูตรประเทศเวียดนาม สถานที่เรียน ก็เป็นการสนับสุนของคนในชุมชนให้เป็น สถานที่เรียน เรียนเสร็จก็มีขนมให้เด็ก เพื่อเป็นก�ำลังใจ ครูทุกคนก็อยากให้เด็กๆ มาเรียนเยอะๆ เห็นเด็กสนใจเรียนยิ่งเยอะ ก็ยิ่งสอนสนุก เด็กๆ สมัยนี้ฉลาด เคยได้ยิน เด็กบอกว่าถ้าเรียนแล้วถ้าได้ไปเที่ยว เวียดนามก็ฟังรู้เรื่องจะได้สื่อสารได้ บางคน ก็คิดไกลว่าต่อไปจะท�ำธุรกิจข้ามชาติระหว่าง ไทยและเวียดนามเลย เราเน้นการสอนให้ ใช้ได้ในชีวิตประจ�ำวัน อยากให้ลูกหลานได้ เรียนเพราะมีความเกี่ยวข้องกันกับประเพณี วัฒนธรรม จะได้มีความเข้าใจในการสื่อสาร กับปู่ ย่า ตายาย” องค์เสา หรือศิวรัตน์ ตันติพิพัฒกุลชัย อายุ 66 ปี ประธานชุมชนหล่างป่า (ชุมชนศรีเทพ) 64


The Story of Language เมื่อย้อนเวลากลับไปประมาณ 60 ปีก่อน “องค์เสา” หรือ ศิวรัตน์ ตันติพิพัฒกุลชัย เขาก็คือหนึ่งในอดีตนักเรียน และครูสอนภาษาเวียดนามที่ผ่านยุคสมัยแห่งความยากล�ำบาก จนกระทั่งได้รับสิทธิให้เป็นคนไทยอย่างเช่นในปัจจุบัน “การเรียนภาษาเวียดนามในอดีตเมื่อปี พ.ศ.1960 ถือเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่ให้เรียน ทางการไทยมีความเชื่อว่าคนเวียดนามมีใจ ฝักใฝ่ในระบบคอมมิวนิสต์ตามแบบโลกเสรี คนเวียดนามในทุกจังหวัดที่อยู่ในประเทศไทย ต้องเรียนแบบหลบๆ ซ่อนๆ การเรียนเริ่มแรก เป็นการสอนจากพ่อแม่ รุ่นพี่ๆ สอนต่อๆ กัน ไปจะเรียนกันตามบ้าน อาจจะเรียนกัน 10 คน ต่อหลัง แต่เมื่อพอทางการเพ่งเล็งก็ลดลง เหลือบ้านละไม่เกิน 5-3 คน แอบเรียนตาม ใต้ถุนบ้านหรือในห้องครัว เวลาไปเรียนก็ต้อง เหน็บสมุดเอาไว้ใต้เสื้อไม่ให้ใครเห็น ไม่งั้น โดนต�ำรวจจับได้ แบบเรียนที่ใช้เรียนนั้นหา ยากมากจะมีคนแอบเอามาจากเวียดนาม แล้วครูก็จะคัดลอกแจกจ่ายกันไปตามชุมชน ต่างๆ วิชาที่เรียนเหมือนการเรียนในระบบ ของไทยคือมีการสอนวิชาคณิตศาสตร์ , วิชา วิทยาศาตร์, วิชาสังคมประวัติศาสตร์เวียดนาม, ศิวรัตน์ ตันติพิพัฒกุลชัย (องค์เสา) 65


ศิลปะ,พละศึกษา คล้ายกับเด็กไทย ส่วนเวลา เรียนนั้นจะเป็นช่วงเช้าและช่วงค�่ำเพราะเป็น ช่วงนอกเวลาราชการจะมีการเรียน 2 ช่วง ช่วงแรก เรียนตอน 6.00- 8.00 น. และช่วงสอง เรียนตอน 16.00 -18.00 น. หลังจากนั้นบางคน ก็ไปเรียนภาษาไทยต่อ การเรียนภาษาเวียดนาม นั้นจะเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล เริ่มเรียนตั้งแต่ 7 ขวบ เวลาสอนก็ไม่สามารถเรียนได้ที่เดียว เช่น บ้านนาย ก. สอนอนุบาลตอน 8 โมงเช้า หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อบ้านนาย ข. และ นาย ก. ก็สอนนักเรียน ป.2 ต่อ เป็นการสอน แบบพี่สอนน้อง ครูบางคนเรียน ม. 3 ก็สอน เด็ก ป.1 แบบนี้ข้อได้แต่ละชุมชนจะมีการ จัดการกันเอง ส่วนสถานที่เรียนนั้นก็ไม่ จ�ำเป็นต้องเรียนบ้านครู บ้านนักเรียนก็ได้ แล้วก็ผลัดเปลี่ยนกันเพื่อไม่ให้จับได้ จะมี ต้นทางคอยดูให้ถ้าหากมีต�ำรวจมาก็จะมีการ บอกต่อกันเช่น ชุมชนหล่างป่า (ชุมชนวัด ศรีเทพ) จะมีร้อยกระป๋องนมเพื่อส่งสัญญาณ คล้ายระฆังถ้ามีต�ำรวจมาก็จะมีการสั่นระฆัง แล้วครูนักเรียนก็ต้องหลบสลายตัวไปซ่อน หรือแยกย้ายกันกลับคนละทาง ส่วนตัวผมเองก็เคยโดนต�ำรวจจับถึง 2 ครั้ง ตอนนั้นก็โตแล้วเทียบเท่าประมาณ ระดับชั้น ม.3 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของการเรียน ภาษาเวียดนามในประเทศไทย ต�ำรวจจับไป ก็บอกว่าที่เราเรียนเป็นสิ่งไม่ดีเป็นการสอน เรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งๆ ที่ในสมุดที่เรา เรียนมีแต่เนื้อหาวิชาคณิตศาตร์, วิชาสังคม ไม่มีอะไรเลยที่เกี่ยวกับการต่อต้าน เราก็ 66


อธิบายบอกต�ำรวจไปแบบนี้ แล้วต�ำรวจก็ ปล่อย พอผมเรียนจบก็ยังเป็นครูสอน นักเรียนด้วย เหตุผลที่ต้องเรียนภาษาเวียดนาม เพราะทุกคนเชื่อหมดใจว่ายังไงเราก็ต้องได้ กลับเวียดนาม คนญวนอพยพทุกคนเชื่อ อย่างหมดใจว่าจะต้องได้กลับเวียดนามแน่ๆ เราอพยพมาไทยชั่วคราวเท่านั้น พ่อแม่บอก ว่าเราต้องรู้ภาษาเวียดนามเพราะเมื่อกลับไป จะได้ใช้ชีวิตที่นั่นได้แล้วถ้าอยากเรียนต่อ ก็จะได้ไม่มีปัญหา การเลิกสอนภาษาเวียดนามคือ เลิกตอนที่เวียดนามได้รวมประเทศแล้ว ผู้น�ำ ของประเทศไทยก็ได้ให้ยกเลิกองค์กรที่คน เวียดนามจัดตั้งขึ้น เพื่อท�ำหน้าที่ดูแลคน เวียดนาม การสอนภาษาเป็นหนึ่งในนั้นที่ ต้องยกเลิกไปด้วยเพราะสถาณะการณ์ เปลี่ยนไป ผู้น�ำของไทยคงรู้แล้วว่ากลุ่มที่ เหลือตกค้างในไทยคงไม่ได้กลับเวียดนาม ต้องอยู่ในประเทศไทยต่อไป จึงยกเลิกการเรียน ภาษาเวียดนาม คนเวียดนามที่เกิดในช่วงนั้น มีการส่งเสริมให้เรียนภาษาไทยแทน แต่ก็ไม่ สามารถเรียนได้สูงๆ มากสุดคือเรียนได้ถึง แค่ ม.3 เท่านั้น เรียนต่อมหาวิทยาลัยไม่ได้ จนเมื่อได้เป็นไทยใหม่มีชื่อนามสกุลไทยลูก หลานคนไทยเชื้อสายเวียดนามก็สามารถ เรียนสูงได้ทุกคน” การเขียนภาษาเวียดนาม The Story of Language 67


สอาด วงศ์ประเสริฐ อายุ 83 ปี อดีต ครูใหญ่สอนภาษาเวียดนามกล่าวว่า “เหตุผลที่ทางราชการไทยให้หยุด เรียนภาษาเวียดนามก็เพราะประเทศไทย ตอนนั้นได้ประกาศกฎอัยการศึกเพื่อน�ำมา ควบคุมสถานการณ์พิเศษเช่น จลาจลหรือ สงคราม ประกาศตั้งแต่สมัยท่านจอมพล ป พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี จนถึง สมัยท่านจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ไม่ ประกาศเลิก มีการห้ามการชุมนุมกันเกิน กว่า 5 คน ดังนั้นนักเรียนจะเรียน 30-40 คน ต่อห้องไม่ได้ เวลาเรียนถ้ามีต�ำรวจเข้าไปก็ จะมียาม ต้องมีคนเฝ้าดู ถ้าเรียนบ้านนี้จะมี โต๊ะเก้าอี้กระดานให้ครูสอนให้นักเรียน คนใน หมู่บ้านจะคอยดูถ้ามีรถต�ำรวจมา ก็จะตะโกน บอกว่าต�ำรวจมาต้องหนีไปให้หมดเหลือ 5 คน เค้าไม่ให้เกิน 5 คนไงก็ต้องให้มันถูก กฎหมาย 5 คน ก็จับไม่ได้ ถ้า 6-7 คน เค้าจับเลย” สอาด วงศ์ประเสริฐ 68


ปัจจุบันที่มหาวิทยาลัยนครพนม ได้จัดให้มีหลักสูตรด้านภาษาเวียดนาม เพื่อเปิดโอกาส ให้นิสิตนักศึกษาที่สนใจสามารถเลือกเรียนภาษาเวียดนามได้อย่างเสรี โดยนักศึกษาผู้เรียนมอง ว่านอกจากภาษาไทย และภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษแล้ว การมีความรู้ในภาษาที่ 3 อย่าง เช่นภาษาเวียดนามนับเป็นต้นทุนที่ดีส�ำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต “ภาษาเวียดนามเป็นหนึ่งในภาษาที่ ส�ำคัญมาก จังหวัดนครพนมมีคนไทยเชื้อสาย เวียดนามอยู่เยอะมาก มีหมู่บ้านโฮจิมินห์ที่ ตั้งอยู่ที่บ้านนาจอก การสื่อสารที่จังหวัด นครพนมมีการใช้ภาษาเวียดนามอยู่เยอะ เช่นในตลาดสดเทศบาลนครพนม 80 % จะมีแม่ค้าเป็นคนไทยเชื้อสายเวียดนาม ประโยชน์ที่จะได้จากการเรียนคือได้ใช้ใน ชีวิตประจ�ำวัน เรารู้ค�ำศัพท์จะได้สื่อสารกัน ได้ไม่ผิดพลาด เรื่องประโยชน์ทางธุรกิจนั้น คิดว่ามีโอกาสเพราะจังหวัดนครพนมมี สะพานข้ามไปประเทศลาว-ประเทศเวียดนาม อีกทั้งนครพนมเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ น่าจะมีประโยชน์ต่อไปในอนาคต นครพนม เป็นจังหวัดที่ให้ความส�ำคัญด้านการเรียน ภาษาเวียดนามเป็นอย่างมาก อรณา กิตตินันทพร นักศึกษามหาวิทยาลัยนครพนมสาขา วิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ปี 3 The Story of Language 69


“การสอนภาษาเวียดนามในจังหวัด นครพนมเกิดขึ้นหลังจากการอพยพครั้งใหญ่ เข้ามาในไทยช่วงภัยหิวโหยปี ค.ศ. 1945 ครั้งนั้นคนเวียดนามเข้ามาอยู่ในไทย ช่วงแรก เข้ามาเพื่อลี้ภัยไม่ได้ตั้งใจจะตั้งถิ่นฐานอยู่ ถาวร ผู้น�ำคนเวียดนามในยุกต์นั้นเห็นว่า ลูกหลานที่อยู่ในเมืองไทยควรได้เรียนภาษา เวียดนาม บวกกับนโยบายของท่านโฮจิมินห์ คือการสู้กับภัยการไม่รู้หนังสือ นโยบายนี้ กระจายไปทั่วในเวียดนาม การสอนหนังสือ ในประเทศไทยจะมีสอนทุกหมู่บ้านที่มีคน ไทยเชื้อสายเวียดนามเกาะกลุ่มกันอยู่ ครูผู้สอน จะอุทิศตนสอนให้คนที่มีความสามารถเพื่อ จะได้น�ำไปสอนต่อๆ กันจะมีระบบนี้ในทุก ชุมชน ช่วงนั้นรัฐบาลไทยเพ่งเล็งกลุ่มคน เวียดนามมากเพราะเข้าใจว่าจะเรียนเพื่อ เป็นปฏิปักษ์กับไทย แต่ความจริงคือ คนเวียดนามเรียนเพื่อที่ว่าเวลากลับบ้านที่ เวียดนามไปจะได้เรียนต่อสูงๆ ได้เลยไม่ต้อง เริ่มเรียนใหม่และสามารถสมัครงานท�ำได้เลย ส่วนเรื่องการสอบข้ามชั้นเรียนนั้นจะมีการ สอบไขว้สลับกันเช่น ชุมชนบ้านนาจอก จะสอบก็ให้ครูบ้านดอนโมงมาคุมสอบ ส่วนวิชาเรียนในห้องเรียนนั้นต้องเรียนวิชา พื้นฐานเหมือนประเทศไทยเช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เรียนช่างไม้การงานพื้นฐาน อาชีพเย็บปักถักร้อยมีหมด ในช่วงยุคแช่แข็ง ของภาษาเวียดนามเกิดขึ้นในช่วงที่คน เวียดนามได้สัญชาติไทย พ่อแม่เริ่มหันมาให้ ลูกเรียนภาษาไทยแทนจึงเป็นช่วงยุติการเรียน เหลืองเพียงแต่การพูดการสื่อสาร ช่วงปี ค.ศ. 2004 มีกระแสการเรียนภาษาเวียดนาม เกิดขึ้น ถูกส่งเสริมให้เป็นภาษาที่ 3 กระแส อาเซี่ยนมาแรง แถบจังหวัดชายแดนที่มี สิ่งที่ท�ำให้การเรียนภาษาเวียดนามในนครพนมกลับมาคึกคักอีกครั้ง ก็เนื่องมากจากการ ที่รัฐบาลเวียดนามมีนโยบายเจริญความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะ การเยือนหมู่บ้านคนไทยเชื้อสายเวียดนามของผู้น�ำของประเทศในช่วงปี พ.ศ. 2543 70


คนไทยเชื้อสายเวียดนามอยู่ มีการส่งเสริม ตามโรงเรียน สถาบันการศึกษาต่างๆ จึงมี การปรับเพิ่มให้เรียนภาษาเวียดนามมากขึ้น อีกเหตุผลที่ส�ำคัญทางด้านเศรฐกิจประเทศ เวียดนามเปิดประเทศมากขึ้น ยิ่งท�ำให้คน หันมาสนใจศึกษาภาษาเวียดนามมากเพราะ เป็นประโยชน์ในด้านธุรกิจการลงทุน” อาจารย์พัชรพงษ์ ภูเบศรพีรวัส อาจารย์สาขาวิชาภาษาเวียดนาม สถาบันภาษามหาวิทยาลัยนครพนม คนไทยเชื้อสายเวียดนาม ชุมชนโพนบก จะเห็นได้ว่าการเรียนการสอนภาษา เวียดนามที่จังหวัดนครพนมนั้น มีพัฒนาการ จากยุคสมัยแห่งการต้องห้าม จนก้าวเข้าสู่ ยุคแห่งความเสรี ที่มีความสอดคล้องร่วมกัน ไปกับการที่จังหวัดนครพนมก�ำลังพัฒนา ไปสู่การเป็นประตูอีกบานหนึ่งทั้งทางด้าน เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสู่ประเทศ เวียดนามและยังรวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ในย่านอาเซียนอีกด้วย อาจารย์พัชรพงษ์ ภูเบศรพีรวัส The Story of Language 71


Click to View FlipBook Version