หน่วยการเรียนรู้ที่
เศรษฐกจิ พอเพยี ง
ตวั ชีว้ ัด ตระหนักถงึ ความสาคญั ของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งทมี่ ี
ต่อเศรษฐกจิ สังคมของประเทศ (ส 3.1 ม.4-6/2)
ผังสาระการเรียนรู้
การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพยี ง การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพยี ง
ในการดาเนินชีวิตของตนเอง ในภาคเกษตร อตุ สาหกรรม การคา้
และครอบครวั
และบรกิ าร
เศรษฐกจิ พอเพยี ง
การพฒั นาประเทศท่ีนาปรชั ญาของ ปัญหาการพฒั นาประเทศท่ีผา่ นมา
เศรษฐกิจพอเพียงมาใชใ้ นการวางแผน โดยการศกึ ษาวเิ คราะหแ์ ผนพฒั นา
พฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมฉบบั ปัจจบุ นั
เศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ
1. การประยุกตใ์ ช้เศรษฐกิจพอเพยี ง
ในการดาเนินชีวิตของตนเองและครอบครัว
1.1 ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
คาวา่ “เศรษฐกิจพอเพยี ง” เป็นปรชั ญาท่ีพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช
มีพระราชดารสั ชีแ้ นะแนวทางการดาเนินชีวิตของพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดเป็นระยะ
เวลานานกวา่ 30 ปี ตงั้ แตก่ ่อนเกิดวกิ ฤตการณท์ างเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2540 ภายหลงั เม่ือไดท้ รง
เนน้ ยา้ แนวทางการแกไ้ ขเพ่ือใหป้ ระชาชนรอดพน้ และสามารถอยไู่ ดอ้ ย่างม่นั คงและย่งั ยืนภายใต้
กระแสโลกาภิวตั น์ จากพระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรภมู ิพลอดลุ ยเดช
ในวนั ท่ี 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 วา่
“…การพฒั นาประเทศจาเป็นตอ้ งทาตามลาดบั ขนั้ ตอ้ งสรา้ งพนื้ ฐาน คอื ความ
พอมี พอกนิ พอใช้ ของประชาชนสว่ นใหญ่เบอื้ งตน้ ก่อน โดยใชว้ ธิ ีการและอปุ กรณท์ ปี่ ระหยดั
แตถ่ ูกตอ้ งตามหลกั วชิ าการ เมอื่ ไดพ้ นื้ ฐานจากความมน่ั คงพรอ้ มสมควร และปฏบิ ตั ไิ ดแ้ ลว้
จึงคอ่ ยสรา้ งคอ่ ยเสรมิ ความเจรญิ และฐานะทางเศรษฐกจิ ขนั้ ทสี่ ูงขนึ้ โดยลาดบั ตอ่ ไป…”
ใน พ.ศ. 2540 เกิดปัญหาวกิ ฤตการณเ์ ศรษฐกิจ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา-
ภมู ิพลอดลุ ยเดชพระราชทานพระราชดารสั เน่ืองในโอกาสวนั เฉลิมพระชนมพรรษา วนั ท่ี 4
ธนั วาคม พ.ศ. 2540 ณ ศาลาดสุ ิดาลยั สวนจิตรลดา เรอ่ื งเศรษฐกิจพอเพียงอกี ครงั้ เพ่ือ
เป็นแนวทางแกป้ ัญหาใหก้ บั ประเทศ
“…การเป็นเสอื นนั้ ไม่สาคญั สาคญั อยูท่ เี่ รามเี ศรษฐกจิ แบบพอมพี อกนิ แบบพอมี
พอกนิ นนั้ หมายความวา่ อมุ้ ชูตนเองไดใ้ หม้ พี อเพยี งกบั ตนเอง อนั นกี้ เ็ คยบอกวา่
ความพอเพยี งไม่ไดห้ มายความว่า ทกุ ครอบครวั จะตอ้ งผลติ อาหารของตวั จะตอ้ งทอผา้
ใสเ่ อง อยา่ งนนั้ มนั เกนิ ไป แตว่ า่ ในหมู่บา้ นหรอื ในอาเภอจะตอ้ งมคี วามพอเพยี งพอสมควร
บางส่งิ บางอยา่ งทผี่ ลติ ไดม้ ากกวา่ ความตอ้ งการ กข็ ายได้ แตข่ ายในทไี่ มห่ า่ งไกลเทา่ ไร
ไมต่ อ้ งเสยี คา่ ขนสง่ มากนกั …”
คาวา่ “พอเพียง” พระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช
เน่ืองในโอกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา วนั ท่ี 4 ธนั วาคม พ.ศ. 2541 ณ ศาลาดสุ ดิ าลยั
สวนจิตรลดา พระราชทานความหมายของคาวา่ “พอเพยี ง” ไวว้ า่
“...คาวา่ พอเพยี งมีความหมายอีกอยา่ งหนง่ึ มีความหมายกวา้ งออกไปอีก ไม่ได้
หมายถงึ การมีพอสาหรบั ใชเ้ องเทา่ นนั้ แตม่ ีความหมายวา่ พอมีพอกิน พอมีพอกินนีก้ ็
แปลวา่ เศรษฐกิจพอเพียงน่นั เอง...”
“…ใหพ้ อเพียงนีห้ มายความวา่ มีกินมีอยู่ ไมฟ่ ่ มุ เฟือยไม่หรูหราก็ไดแ้ ตว่ า่ พอ
แมบ้ างอยา่ งอาจจะดฟู ่มุ เฟือยแตก่ ็ทาใหม้ ีความสขุ ถา้ ทาไดก้ ็สมควรจะทา สมควรท่ีจะ
ปฏบิ ตั .ิ ..”
“...Self-sufficiency นนั้ หมายความวา่ ผลติ อะไรมีพอท่จี ะใช้ ไม่ตอ้ งไปขอยืม
คนอ่นื อยไู่ ดด้ ว้ ยตนเอง...”
1.2 หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
หลกั การตอ่ ไปนีเ้ ป็นหลกั การท่ีพฒั นาขนึ้ โดยสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจ
และสงั คมแหง่ ชาติ (สศช.) ในฐานะหน่วยงานหลกั ในการวางแผนประเทศไดเ้ ชิญผทู้ รงคณุ วฒุ ิ
จากสาขาตา่ ง ๆ มารว่ มกนั พจิ ารณากล่นั กรอง พระราชดารสั ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทร
มหาภมู ิพลอดลุ ยเดชในโอกาสตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เศรษฐกิจพอเพียง จากนนั้ ไดน้ าขนึ้ ทลู เกลา้ ฯ
ขอพระราชทานพระบรมราชานญุ าตนาไปเผยแพรส่ ง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนทกุ ระดบั ไดม้ ีความเขา้ ใจ
และสามารถใชเ้ ป็นพนื้ ฐานในการดาเนินชีวติ ง่ายขนึ้ ซง่ึ ทรงพระกรุณาปรบั ปรุงแกไ้ ขและ
โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานพระบรมราชานญุ าตตามท่ีขอพระกรุณา เม่อื วนั ท่ี 29 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2542
หลักการ เงอื่ นไข
ความพอเพยี งจะตอ้ งประกอบดว้ ย 3 คณุ ลกั ษณะ ดงั นี้ การตดั สนิ ใจและการดาเนินกิจกรรมตา่ ง ๆ ใหอ้ ยใู่ น
• ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดีท่ีไมน่ อ้ ย ระดบั พอเพียงนนั้ ตอ้ งอาศยั ความรูแ้ ละคณุ ธรรมเป็น
เกินไป และไมม่ ากเกินไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเองและ พืน้ ฐาน กลา่ วคือ
ผอู้ ่ืน เช่น การผลติ และการบรโิ ภคท่ีอยใู่ นระดบั • เงอ่ื นไขความรู้
พอประมาณ - ความรอบรูเ้ ก่ียวกบั วิชาการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง
• ความมเี หตุผล หมายถงึ การตดั สนิ ใจเก่ียวกบั ระดบั อยา่ งรอบดา้ น
ของความพอเพียงนนั้ จะตอ้ งเป็นไปอยา่ งมีเหตผุ ล - ความรอบคอบท่ีจะนาความรูเ้ หลา่ นนั้ มา
โดยพิจารณาจากเหตปุ ัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งตลอดจนคานงึ ถงึ พจิ ารณาใหเ้ ช่ือมโยงกนั เพ่ือประกอบการวางแผน
ผลท่ีคาดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการกระทานนั้ ๆ - ความระมดั ระวงั ในขนั้ ปฏบิ ตั ิ
อยา่ งรอบคอบ • เงอ่ื นไขคุณธรรม ท่ีจะตอ้ งเสรมิ สรา้ งคนท่ีมีความรู้
• มภี มู คิ ุ้มกันในตวั ทดี่ ี หมายถงึ การเตรยี มตวั ให้ ประกอบคณุ ธรรมดา้ นตา่ ง ๆ ดงั นี้
พรอ้ มรบั ผลกระทบและการเปล่ยี นแปลงดา้ นตา่ ง ๆ - มีความตระหนกั ในคณุ ธรรม
ท่ีจะเกิดขนึ้ โดยคานงึ ถงึ ความเป็นไปไดข้ องสถานการณ์ - มีความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ
ตา่ ง ๆ ท่ีคาดวา่ จะเกิดขนึ้ ในอนาคตทงั้ ใกลแ้ ละไกล - มีความอดทน ความเพียร
- ใชส้ ตปิ ัญญาในการดาเนินชีวติ
ตารางแสดงการอธิบายคานยิ ามและเงอื่ นไขของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
เศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นปรชั ญาท่ีชีแ้ นะแนวทางการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ิตนในทาง
ท่คี วรจะเป็น โดยมีพืน้ ฐานมาจากวิถีชีวติ ดงั้ เดิมของสงั คมไทย สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้
ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบท่ีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มงุ่ เนน้ การรอดพน้
จากภยั และวกิ ฤต เพ่ือความม่นั คงและความย่งั ยืนของการพฒั นา เศรษฐกิจพอเพยี งสามารถ
นามาประยกุ ตใ์ ชก้ บั การปฏิบตั ิตนไดท้ กุ ระดบั โดยเนน้ การปฏบิ ตั ิตนบนทางสายกลาง และการ
พฒั นาอย่างเป็นขนั้ ตอน
เง่ือนไขดงั กลา่ วถือวา่ สาคญั มาก เพราะหากนกั เรยี นขาดเง่ือนไข จะทาใหน้ กั เรยี นเกิด
ความคลาดเคลอ่ื นในการกระทา เช่น พอประมาณอยา่ งไมม่ ีเง่ือนไขความรู้ จะทาใหน้ กั เรยี นขาด
การคดิ อยา่ งรอบคอบ ระมดั ระวงั ทาใหผ้ ลท่ีออกมาไมเ่ ป็นดงั ท่ีหวงั อาจทาใหน้ กั เรยี นไมม่ ี
ความสขุ หรอื หากพอประมาณอยา่ งไมม่ ีเง่ือนไขคณุ ธรรม จะทาใหน้ กั เรยี นเป็นคนตระหน่ี
เห็นแก่ตวั ซง่ึ นกั เรยี นจะเห็นไดว้ า่ เป็นสิง่ ไมด่ ี ไมค่ วรคา่ แก่การกระทา ดงั นนั้ เง่ือนไขดงั กลา่ วจงึ
จาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะตอ้ งประกอบกนั เป็นหลกั การ
1.3 เป้าหมายของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
เศรษฐกิจพอเพียงคานงึ ถงึ “ความสขุ ” ของผปู้ ฏิบตั เิ ป็นสาคญั เป็นความสขุ ทงั้ ทางกาย
และทางใจ เพราะเม่ือเรามีความพอดี พอเพยี งในการปฏิบตั ิ ก็จะทาใหม้ ีความรูส้ กึ วา่ ไม่มีคาวา่
“เกินไป” มาใหข้ นุ่ ขอ้ งหมองใจ ความสขุ ก็จะบงั เกิด ดงั นนั้ เปา้ หมายท่ีเป็นภาพรวมของ
เศรษฐกิจพอเพยี งจงึ เป็นสงั คมท่ี “อยดู่ มี ีสขุ ” หมายถึง การท่ีคนในสงั คมมีสขุ ภาพกายท่ีดี
สขุ ภาพจิตท่ีดี มีเศรษฐกิจท่ีพออยพู่ อกิน มีการใชท้ รพั ยากรทอ้ งถ่ินเทา่ ท่ีจาเป็นและตงั้ อยบู่ น
รากฐานทางวฒั นธรรมในสงั คมของตนเอง ซง่ึ ทงั้ หมดนีเ้ กิดจากการปฏิบตั ติ ามหลกั การและ
เง่ือนไขเศรษฐกิจพอเพียง
ความรู้ คุณธรรม
รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง ซอื่ สัตยส์ ุจริต ขยนั อดทน สตปิ ัญญา แบง่ ปัน
นาไปสู่
เศรษฐกจิ /สังคม/ส่งิ แวดล้อม/วัฒนธรรม
สมดุล/พร้อมรับต่อการเปลย่ี นแปลง
แผนภาพสรุปปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1.4 วเิ คราะห์คุณค่า ความสาคญั และประโยชน์ของปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
คุณคา่ ความสาคัญ และประโยชนข์ องปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ตอ่ ตนเอง ตอ่ ประเทศชาติ
• ทำใหเ้ รำคิดเป็น จงึ คดิ ท่ีจะรูจ้ กั พอและกระทำจรงิ • ด้านการเมอื ง เกิดกำรเมืองท่ีโปรง่ ใสมีธรรมำภิบำลปรำศจำกกำรฉอ้ รำษฎร-์
• ทำใหเ้ รำมีสติตอ่ กำรกระทำต่ำง ๆ ว่ำมีควำมพอเพียงหรอื ทำใหต้ นเอง บงั หลวง มกี ำรบรหิ ำรงำนเพ่ือผลประโยชนข์ องประเทศอยำ่ งแทจ้ รงิ
เกิดกำรยอมรบั ในหลกั เสยี งขำ้ งมำก เคำรพในสทิ ธิเสรภี ำพระหว่ำงกนั
และผอู้ ่ืนเดือดรอ้ นหรอื ไม่
• ทำใหเ้ รำเป็นคนท่ีรูจ้ กั แบง่ ปัน เอำใจเขำมำใสใ่ จเรำ • ด้านเศรษฐกิจ เกิดภำวะ “อยรู่ อด” ทำงเศรษฐกิจดว้ ยพืน้ ฐำนท่ีม่นั คง แมส้ ภำวะ
• ทำใหเ้ รำเป็นคนมเี หตมุ ีผลในกำรกระทำ รูค้ ณุ ค่ำและผลท่ีเกิดจำกกำร เศรษฐกิจโลกจะผนั ผวนเพียงใดก็ตำม เรำก็ยงั อย่ไู ด้
กระทำต่ำง ๆ ของเรำ • ด้านสังคม เกิดกำรพฒั นำโดยเรม่ิ จำกคนในสงั คมท่ีมคี วำมแขง็ แกรง่ ทงั้ รำ่ งกำย
• ทำใหเ้ รำรูจ้ กั จดั กำรบรหิ ำรทรพั ยำกรต่ำง ๆ ท่ีมีอย่ำงจำกดั มำตอบสนอง
จติ ใจ ปัญญำ อำรมณ์ นำไปสกู่ ำรพฒั นำชมุ ชนท่ีเขม้ แขง็ เป็น “สงั คมสขี ำว” ถึง
ควำมตอ้ งกำรของตนเองไดอ้ ย่ำงมีเหตผุ ลและมคี ณุ ธรรม สงั คมแหง่ สมำนฉนั ท์ เอือ้ อำทร และมคี ณุ ธรรม
• ทำใหเ้ รำรกั ษำควำมเป็นตวั ของตวั เอง สง่ิ เรำ้ ภำยนอกกระทบต่อเรำ • ด้านสง่ิ แวดล้อม เกิดการใชท้ รพั ยากรท่ีมีอย่อู ยา่ งจากดั ใหค้ มุ้ คา่ และ
เกิดประโยชนส์ งู สดุ และรกั ษาสง่ิ แวดลอ้ ม ซ่งึ เป็น “ทรพั ยากรสาธารณะ”
นอ้ ยลง ของทกุ คนบนโลกไวใ้ หด้ ี และย่งั ยืน
• ทำใหเ้ รำสำมำรถยืนอย่ไู ดด้ ว้ ยตวั ของเรำเอง รูจ้ กั พง่ึ ตนเองมำกกว่ำ
พ่งึ พำผอู้ ่ืนเพรำะมีแต่ตวั เรำเทำ่ นนั้ ท่ีจะอยกู่ บั เรำไปตลอด
• ทำใหเ้ รำอย่ใู นสงั คมแหง่ ควำมพอเพียงนีไ้ ดอ้ ยำ่ งมคี วำมสขุ
แผนภาพแสดงคณุ คา่ ความสาคญั และประโยชนข์ องปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
1.5 ประเทศไทยกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง
เศรษฐกิจพอเพียงมงุ่ เนน้ ใหผ้ ผู้ ลติ หรอื ผบู้ รโิ ภค พยายามเรม่ิ ตน้ ผลติ หรอื บรโิ ภคภายใต้
ขอบเขต ขอ้ จากดั ของรายได้ หรอื ทรพั ยากรท่ีมีอยไู่ ปก่อน ซง่ึ กค็ ือหลกั ในการลดการพง่ึ พา เพ่ิม
ขดี ความสามารถในการควบคมุ การผลติ ไดด้ ว้ ยตนเอง และลดภาวะเส่ยี งจากการไมค่ วบคมุ
ระบบตลาดไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
เศรษฐกิจพอเพยี งมิใชห่ มายความถงึ การประหยดั ตระหน่ีจนเกินสมควร หากแตอ่ าจ
ฟ่ มุ เฟือยไดเ้ ป็นครงั้ คราวตามอตั ภาพ แตค่ นสว่ นใหญ่ของประเทศมกั ใชจ้ ่ายเกินตวั เกินฐานะท่ี
หามาได้
เศรษฐกิจพอเพยี งสามารถนาไปสเู่ ปา้ หมายของการสรา้ งความม่นั คงในทางเศรษฐกิจได้
เชน่ โดยพืน้ ฐานแลว้ ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม เศรษฐกิจของประเทศจงึ ควรเนน้ ท่ี
เศรษฐกิจการเกษตร เนน้ ความม่นั คงทางอาหาร เป็นการสรา้ งความม่นั คงใหร้ ะบบเศรษฐกิจใน
ระดบั หนง่ึ จงึ เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีช่วยลดความเส่ยี งหรอื ความไม่ม่นั คงทางเศรษฐกิจใน
ระยะยาวได้
เศรษฐกิจพอเพียงสามารถประยกุ ตใ์ ชไ้ ดท้ กุ ระดบั ทกุ สาขา ทกุ ภาคของเศรษฐกิจ
ไม่จาเป็นจะตอ้ งจากดั เฉพาะแตภ่ าคเกษตร หรอื ภาคชนบท แมแ้ ตภ่ าคการเงิน
ภาคอสงั หารมิ ทรพั ย์ และการคา้ การลงทนุ ระหวา่ งประเทศ
โดยมีหลกั การท่ีคลา้ ยคลงึ กนั คือ เนน้ การเลอื กปฏิบตั ิอยา่ งพอประมาณ มีเหตมุ ีผล และ
สรา้ งภมู ิคมุ้ กนั ใหแ้ ก่ตนเองและสงั คม
1.6 การประยุกต์ใช้เศรษฐกจิ พอเพยี งในการดาเนินชีวติ
การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพยี งในระดบั บคุ คล คือ ความสามารถในการดารงชีวิต
ไดอ้ ย่างไมเ่ ดอื ดรอ้ น มีความเป็นอยอู่ ยา่ งประมาณตนตามฐานะ ตามอตั ภาพ ท่สี าคญั ไม่
หลงใหลไปตามกระแสของวตั ถนุ ิยม มีอสิ รภาพ เสรภี าพ ไม่พนั ธนาการอยกู่ บั ส่งิ ใด
หลกั การพง่ึ ตนเอง อาจจะแยกแยะโดยยดึ หลกั สาคญั อยู่ 5 ประการ คอื
1) ด้านจิตใจ ทาตนใหเ้ ป็นท่ีพง่ึ ตนเอง มีจิตสานกึ ท่ดี ี สรา้ งสรรคใ์ หต้ นเองและชาติ
โดยรวมมีจิตใจเออื้ อาทร ประนีประนอม เห็นประโยชนส์ ว่ นรวมเป็นท่ีตงั้
2) ด้านสังคม แตล่ ะชมุ ชนตอ้ งชว่ ยเหลอื เกือ้ กลู กนั เช่ือมโยงกนั เป็นเครอื ขา่ ยชมุ ชนท่ี
แขง็ แรงเป็นอิสระ
3) ดา้ นทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม ใหใ้ ชแ้ ละจดั การอยา่ งฉลาด พรอ้ มทงั้
หาทางเพ่ิมมลู คา่ โดยยดึ อยบู่ นหลกั การของความย่งั ยืน
4) ดา้ นเทคโนโลยี จากสภาพแวดลอ้ มท่ีเปลยี่ นแปลงรวดเรว็ เทคโนโลยีท่เี ขา้ มาใหม่
มีทงั้ ดแี ละไม่ดี จงึ ตอ้ งแยกแยะบนพนื้ ฐานของภมู ิปัญญาชาวบา้ นและเลอื กใชเ้ ฉพาะท่ี
สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการตามสภาพแวดลอ้ มและควรพฒั นาเทคโนโลยีจากภมู ิปัญญาของ
เราเอง
5) ดา้ นเศรษฐกจิ แตเ่ ดมิ นกั พฒั นามกั มงุ่ ท่ีการเพ่ิมรายได้ และไมม่ ีการมงุ่ ท่ีการลด
รายจา่ ยในภาวะท่ีเศรษฐกิจวกิ ฤต จงึ ตอ้ งปรบั ทศิ ทางการพฒั นาใหม่ คอื ตอ้ งมงุ่ ลดรายจา่ ย
ก่อนเป็นสาคญั โดยยดึ หลกั พออยู่ พอกิน พอใช้
การประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอพียงในการดาเนินชีวิตในระดบั บคุ คล สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น
4 ระดบั คือ
1. การประยุกตใ์ ช้เศรษฐกิจพอเพยี งในการดาเนินชวี ิตของตนเอง
เรม่ิ ตน้ จากการเสรมิ สรา้ งตนเองใหม้ ีการเรยี นรู้ วิชาการ และทกั ษะตา่ ง ๆ ท่ีจาเป็น
เพ่ือใหส้ ามารถรูเ้ ทา่ ทนั การเปล่ยี นแปลงในดา้ นตา่ ง ๆ พรอ้ มทงั้ เสรมิ สรา้ งคณุ ธรรม จนมีความ
เขา้ ใจและตระหนกั ถึงคณุ คา่ ของการอยรู่ ว่ มกนั ของคนในสงั คม และอยรู่ ว่ มกบั ระบบนิเวศวิทยา
อย่างสมดลุ เพ่ือจะไดล้ ะเวน้ ตอ่ การประพฤติมิชอบ ไมต่ ระหน่ี เป็นผใู้ หเ้ กือ้ กลู แบง่ ปัน มีสติคิด
พิจารณาอยา่ งรอบคอบกอ่ นท่จี ะตดั สนิ ใจหรอื การกระทาใด ๆ จนกระท่งั เกิดเป็นภมู ิคมุ้ กนั ท่ีดี
ในการดารงชีวิต โดยสามารถคิดและกระทาบนพนื้ ฐานของความมีเหตมุ ีผล พอเหมาะ
พอประมาณกบั สถานภาพ บทบาทและหนา้ ท่ีของแตล่ ะบคุ คลในแตล่ ะสถานการณ์ แลว้ เพียร
ปฏิบตั ิเช่นนีจ้ นสามารถทาตนเองใหเ้ ป็นท่ีพง่ึ ของตนเองได้ และเป็นท่ีพง่ึ ของผอู้ ่นื ไดใ้ นท่ีสดุ
2. การประยุกตใ์ ช้เศรษฐกิจพอเพยี งในการดาเนินชีวติ ระดบั ครอบครัว
สมาชิกในครอบครวั มีความเป็นอยใู่ นลกั ษณะท่ีพง่ึ พาตนเองไดอ้ ยา่ งมีความสขุ
ทงั้ ทางกายและทางใจ สามารถดาเนินชีวิตไดโ้ ดยไม่เบียดเบยี นตนเองและผอู้ ่นื รวมทงั้ ไมเ่ ป็นหนี้
หรอื มีภาระดา้ นหนีส้ ินของตนเองและครอบครวั แตส่ ามารถหาปัจจยั 4 มาเลยี้ งตนเองไดโ้ ดยท่ี
ยงั มีเหลือเป็นสว่ นออมของครอบครวั
3. การประยุกตใ์ ช้เศรษฐกิจพอเพยี งในการดาเนินชีวติ ระดบั ชุมชน
ชมุ ชนพอเพียงประกอบดว้ ยบคุ คล/ครอบครวั ตา่ ง ๆ ท่ีใฝ่หาความกา้ วหนา้ บนพนื้ ฐานของ
ปรชั ญาแหง่ ความพอเพียง คือ มีความรูแ้ ละคณุ ธรรมเป็นกรอบในการดาเนินชีวติ จนสามารถ
พง่ึ ตนเองได้ บคุ คลเหลา่ นีม้ ารวมกลมุ่ กนั ทากิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ีสอดคลอ้ งเหมาะสมกบั สถานภาพ
ภมู ิสงั คมของแตล่ ะชมุ ชน โดยพยายามใชท้ รพั ยากรตา่ ง ๆ ท่มี ีอยใู่ นชมุ ชนใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ
ผ่านการรว่ มแรง รว่ มใจ รว่ มคดิ รว่ มทาและแลกเปล่ยี นความรูก้ บั บคุ คลหลายสถานภาพ ในสงิ่ ท่ี
จะสรา้ งประโยชนส์ ขุ ของคนสว่ นรวมและความกา้ วหนา้ ของชมุ ชนอยา่ งมีเหตผุ ล โดยอาศยั
สตปิ ัญญา ความสามารถของทกุ ฝ่ายท่ีเก่ียวขอ้ งและบนพนื้ ฐานของความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ อดกลนั้
ตอ่ การกระทบกระท่งั ขยนั หม่นั เพยี ร และมีความเออื้ เฟื้อเผ่ือแผ่ ช่วยเหลอื แบง่ ปันกนั ระหวา่ ง
สมาชิกชมุ ชนจนนาไปสคู่ วามสามคั คขี องคนในชมุ ชน ซง่ึ เป็นภมู ิคมุ้ กนั ท่ีดีของชมุ ชน จนนาไปสู่
การพฒั นาของชมุ ชนท่ีสมดลุ และพรอ้ มรบั ตอ่ การเปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ จนกระท่งั สามารถพฒั นา
ไปสเู่ ครอื ขา่ ยระหวา่ งชมุ ชนตา่ ง ๆ
4. การประยุกตใ์ ช้เศรษฐกจิ พอเพยี งในการดาเนินชวี ิตระดบั ประเทศ
มีแผนการบรหิ ารจดั การประเทศท่ีสง่ เสรมิ ใหบ้ คุ คล/ชมุ ชนตา่ ง ๆ มีวถิ ีปฏบิ ตั ิ มีความ
รว่ มมือและการพฒั นาในสาขาตา่ ง ๆ ตามแนวทางปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการ
ดาเนินการตามแผนดงั กลา่ วอย่างรอบคอบ เป็นขนั้ ตอน เรม่ิ จากการวางรากฐานของประเทศใหม้ ี
ความพอเพียง โดยสง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนสว่ นใหญ่สามารถอยอู่ ยา่ งพอมีพอกิน และพง่ึ ตนเองได้
มีความรูแ้ ละทกั ษะท่ีจาเป็นในการดารงชีวติ อย่างเทา่ ทนั ตอ่ การเปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ และมีคณุ ธรรม
ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ขยนั หม่นั เพียร เออื้ เฟื้อแบง่ ปัน และใชส้ ติปัญญาในการตดั สนิ ใจและดาเนินชีวิต
พรอ้ มกบั สง่ เสรมิ การแลกเปล่ยี นเรยี นรูร้ ะหวา่ งกลมุ่ คนตา่ ง ๆ จากหลากหลายภมู ิสงั คม
หลากหลายอาชีพ หลากหลายความคดิ ประสบการณ์ เพ่ือสรา้ งความเขา้ ใจและรูค้ วามเป็นจรงิ
ระหวา่ งกนั ของคนในประเทศจนนาไปสคู่ วามสามคั คี และจิตสานกึ ท่ีรว่ มแรงรว่ มใจกนั พฒั นา
ประเทศใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ไปอย่างสอดคลอ้ งสมดลุ กบั สถานภาพของความเป็นจรงิ ของคนใน
ประเทศอยา่ งเป็นขนั้ เป็นตอน เป็นลาดบั ๆ ตอ่ ไป
2. การประยุกตใ์ ช้เศรษฐกิจพอเพยี งในภาคเกษตร
อุตสาหกรรม การคา้ และบริการ
2.1 การประยุกต์ใช้เศรษฐกจิ พอเพยี งในภาคเกษตร
1) แนวพระราชดาริของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช
“ทฤษฎีใหม่”
แนวพระราชดาริ “ทฤษฎีใหม”่ เป็นการประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพียงกบั
ภาคเกษตรโดยเฉพาะ อย่างเป็นขนั้ เป็นตอน เพ่ือใหเ้ กษตรกรสามารถพง่ึ ตนเองได้ ลดการพง่ึ พงิ
จากภายนอก ซง่ึ นอกจากจะทาใหเ้ กษตรกรสามารถดารงชีวติ อยรู่ อดไดด้ ว้ ยอาหารท่ีเพียงพอ
ตอ่ การยงั ชีพแลว้ ยงั มีผลผลิตเหลอื ออกไปขายจนสรา้ งรายไดง้ อกเงยใหแ้ ก่เกษตรกรตลอดปี
ไดอ้ กี ดว้ ย
ทฤษฎีใหม่ขั้นท่ี 1
เป็นการจดั การบรหิ ารท่ีดินและนา้ เพ่ือการเกษตรในพนื้ ท่ีขนาดเลก็ ใหเ้ กิด
ประโยชนส์ งู สดุ ทงั้ นีเ้ น่ืองมาจากเกษตรกรมกั ประสบปัญหาในการเพาะปลกู โดยเฉพาะ
เรอ่ื งการขาดแคลนนา้ “นา้ ” จงึ ถือวา่ เป็น “หวั ใจ” ของทฤษฎีใหม่
การบรหิ ารจดั การท่ีดินและนา้ นนั้ ใหจ้ ดั สรรพืน้ ท่ีอยอู่ าศยั และท่ที ากินออกเป็น
4 สว่ น ตามอตั ราสว่ น 30 : 30 : 30 : 10 โดยมีโครงการพฒั นาพืน้ ท่ีวดั มงคลชยั พฒั นา
อนั เน่ืองมาจากพระราชดาริ อาเภอเฉลมิ พระเกียรติ จงั หวดั สระบรุ ี เป็น “ตน้ แบบทฤษฎีใหม่”
เม่ือวนั ท่ี 25 มกราคม พ.ศ. 2536
แผนภาพแสดงอตั ราสว่ นการจดั สรรทที่ ากินตามทฤษฎใี หมข่ นั้ ที่ 1
อตั ราสว่ นดงั กลา่ วไมค่ งท่ี เม่ือจะนาไปใชจ้ ะตอ้ งคานงึ และปรบั เปลย่ี นใหเ้ หมาะสม
ในแตล่ ะทอ้ งถ่ิน
ในการบรหิ ารจดั การท่ีดินดงั กลา่ วนนั้ การพิจารณาเลือกพนื้ ท่ีขดุ สระนา้ สาคญั และจาเป็น
ท่ีสดุ ท่จี ะไดพ้ ืน้ ท่ีท่ีดที ่ีสดุ ในการกกั เก็บนา้ โดยในการขดุ สระนา้ ควรพยายามรกั ษาผิวหนา้ ดิน
ซง่ึ ยงั คงความอดุ มสมบรู ณไ์ ว้ สระนา้ นีจ้ ะช่วยลดความเส่ยี งเรอ่ื งความแปรปรวนของสภาพ
อากาศ หากฝนไมต่ กตามฤดกู าล และควรมีการเลยี้ งปลาประมาณ 5,000 – 10,000 ตวั
เพ่ือเป็นแหลง่ อาหารประเภทโปรตนี และแบง่ ขายจานวนหนง่ึ
ทฤษฎีใหมจ่ ะเป็นระบบท่ีสมบรู ณจ์ ะตอ้ งมีแหลง่ นา้ ขนาดใหญ่มาเพ่ิมเตมิ สระนา้ ของ
เกษตรกร เพ่ือเป็นการลดความเสี่ยงจากฝนแลว้ และเป็นวธิ ีการกระจายนา้ และความอดุ ม
สมบรู ณช์ ่มุ ชืน้ ไปยงั พืน้ ท่ีเกษตรไดม้ ากขนึ้ เช่น กรณีการทดลองท่ีวดั มงคลชยั พฒั นา ซง่ึ
พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ทรงเสนอวิธีการท่ีเรยี กวา่ “อา่ งใหญ่เตมิ
อา่ งเลก็ อา่ งเลก็ เตมิ สระนา้ ”
เตมิ เตมิ นา้ เพยี งพอ
ตลอดปี
การทดลองท่ี อ่างใหญ่ อ่างเล็ก สระนา้
วัดมงคลชัยพฒั นา
เขือ่ นป่ าสักชลสิทธิ์ อา่ งหว้ ยหนิ ขาว สระเก็บนา้ ของราษฎร
ทอ้ งถน่ิ ตา่ ง ๆ
ทฤษฎใี หม่ขั้นกา้ วหน้า
แบง่ ออกเป็น 2 ขนั้ คือ ขนั้ ท่ี 2 และขนั้ ท่ี 3
ทฤษฎใี หม่ขัน้ ท่ี 2 ทฤษฎใี หม่ขั้นท่ี 3
ใหเ้ กษตรกรรวมพลงั กนั ในรูปของกลมุ่ หรอื สหกรณ์ ใหก้ ลมุ่ เกษตรกรติดตอ่ ประสานงาน เพ่ือจดั หาทนุ หรอื แหลง่
• การผลติ ตงั้ แตข่ นั้ เตรียมดิน หาพนั ธุพ์ ืช ป๋ ยุ เงิน เช่น ธนาคาร หรอื บรษิ ัทหา้ งรา้ นเอกชนรว่ มกนั มาช่วยลงทนุ
จดั หานา้ เพ่ือเพาะปลกู และพฒั นา ซง่ึ จะไดป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั
• การตลาด ลานตากขา้ ว ยงุ้ ฉาง เครื่องสีขา้ ว • เกษตรกรสามารถขายขา้ ว/พืชผลไดใ้ นราคาท่ีเหมาะสม
จาหน่ายผลผลิต • ธนาคาร/บรษิ ัทเอกชนสามารถซือ้ ขา้ ว/พืชผลในราคาท่ี
• ความเป็ นอยู่ สวสั ดิการ การศกึ ษา สงั คม และ ถกู กวา่ ตลาดท่วั ไป
ศาสนา ของสมาชิกในกลมุ่ หรอื สหกรณน์ นั้ • เกษตรกรซือ้ เครือ่ งอปุ โภคบรโิ ภคไดใ้ นราคาต่า เพราะรวมกนั
ซือ้ เป็นจานวนมาก
2) ตวั อย่างแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี งสาหรับภาคเกษตร
•ความพอประมาณ : ปลกู ขา้ วเพ่ือกินเหลอื จงึ ขาย กลมุ่ แมบ่ า้ นผลติ สนิ คา้
เพ่ือสรา้ งรายไดเ้ สรมิ กลมุ่ ผผู้ ลิตป๋ ยุ อนิ ทรยี ท์ าใชเ้ องภายในชมุ ชน เลยี้ งไหม
•ความมีเหตผุ ล : การจดั งานตา่ ง ๆ เช่น งานเลยี้ งแตง่ งาน งานบญุ ตา่ ง ๆ
ควรมีการทาบญั ชีรายรบั -รายจา่ ย
•ความมภี มู ิคมุ้ กนั : ปลกู พชื เสรมิ หลงั เก็บเก่ียวขา้ ว เลยี้ งสตั วห์ ลายชนิด
มีกลมุ่ ออมทรพั ยจ์ ดั รา้ นคา้ ชมุ ชน มียงุ้ ฉางขา้ วสว่ นรวม กองทนุ สวสั ดกิ ารชมุ ชน
•เง่ือนไขความรู้ : มีแกนนาชมุ ชนผลดั เปลยี่ นไปดงู านและกระจายความรู้
ใหค้ นในชมุ ชน
•เง่ือนไขคณุ ธรรม : จดั กิจกรรมสาหรบั คณุ ธรรมของคนในพืน้ ท่ี ยดึ ม่นั
ในประเพณีท่ีดีงาม
2.2 การประยุกต์ใช้เศรษฐกจิ พอเพยี งในภาคธุรกจิ เอกชน
อุตสาหกรรม การค้าและบริการ
1) ตัวอยา่ งแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี งสาหรับภาคธุรกิจเอกชน
ความพอประมาณ
• พอประมาณในดา้ นการผลติ ไมผ่ ลติ สินคา้ มากเกินไป ไมผ่ ลิตสินคา้ ท่ีใช้
ทรพั ยากรอยา่ งสนิ้ เปลอื ง หาวิธีการใชท้ รพั ยากรใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ
• พอประมาณในการรบั ทรพั ยากรบคุ คล การบรหิ ารคา่ จา้ งและสวสั ดกิ าร
• จดั โครงการ “โรงงานสเี ขยี ว” (Green Factory) เพ่ือไม่ใหเ้ กิดปัญหา
สงิ่ แวดลอ้ มตอ่ ชมุ ชนขา้ งเคยี ง
ความมเี หตุผล
ทงั้ ในเรอ่ื งของการสรรหาคดั เลือกบคุ ลากรท่ีมีทงั้ “คณุ ภาพและคณุ ธรรม” (Quality and
Fairness) ความมีเหตผุ ลในการบรหิ ารจดั การงาน จดั สวสั ดกิ ารใหเ้ หมาะสมกบั ประโยชนแ์ ละความจาเป็น
ของพนกั งานสว่ นใหญ่ มีเหตผุ ลในการผลติ เพ่ือใหเ้ กิดประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ตอ่ สงั คม
การมภี ูมคิ ุ้มกนั
มีเงนิ ออมเพ่ือใชเ้ ป็นทนุ หมนุ เวยี นหรอื เป็นการสะสมทนุ เพ่ือไปลงทนุ เพ่มิ เตมิ หากเหน็ วา่
เหมาะสมและไม่ไดเ้ ป็นภาระมากเกินไป สรรหาหรอื คดั เลือกคนเก่งและคนดีใหเ้ ป็นบคุ ลากรท่ีมีคณุ ภาพ
ในงาน สง่ เสรมิ กาลงั ใจและสวสั ดิการใหแ้ ก่พนกั งาน
เง่ือนไขความรู้คู่คุณธรรม
มีกำรจดั อบรมทงั้ แนวคดิ เทคนคิ วิธีในกำรบรหิ ำร กำรบรกิ ำร งำนกำรตลำด ใหแ้ ก่พนกั งำน
บคุ ลำกรตำ่ ง ๆ นอกจำกนีอ้ ำจยงั มีโครงกำรอบรมคณุ ธรรมโครงกำรวปิ ัสสนำกรรมฐำน เพ่อื ใหพ้ นกั งำน
และบคุ ลำกรมีกำรพฒั นำดำ้ นจติ ใจและคณุ ธรรม
ความคดิ รวบยอด
สถานการณภ์ ายนอก ผลปลายทาง กินดอี ยดู่ ี มคี วามสุขบนความพอเพยี ง
แทบไมม่ ผี ลกระทบใดๆ หรือ สังคมคุณธรรม สมานฉันท์ เออื้ อาทร
เขา้ มาทาลายสังคมพอเพยี ง “สังคมอยูด่ มี สี ุข”
ทเี่ ขม้ แขง็ ของเราได้ + ปราศจากอบายมุข สารเสพตดิ
การทาลายทรัพยากร การทาลายวัฒนธรรม
“สังคมสขี าว”
พลังสังคม พลังชุมชนทเ่ี ขม้ แขง็ และเป็ นหน่ึงเดยี ว
วัฒนธรรมตา่ งชาติ เศรษฐกจิ พอเพยี ง
เศรษฐกิจตา่ งชาติ
ทางสายกลาง
พอประมาณ มเี หตุมผี ล มภี มู คิ ุ้มกัน
ทกุ การกระทาในการดาเนินชีวติ
ตัง้ อยู่บน
สติ + ปัญญา + คุณธรรม + วฒั นธรรม
สติ = ระลึก/ตระหนักในการกระทาของตนวา่ ยนื อยู่บนความพอเพยี งหรือไม่
ปัญญา = พอเพยี งบนความรอบรู้และเหตุผล ฉลาดคิด ฉลาดใช้ ฉลาดทา
คุณธรรม = ความพอเพยี งทไี่ มเ่ บยี ดเบยี นตนเองและผู้อืน่ หรอื ทรัพยากรธรรมชาติ
วฒั นธรรม = การคงไวซ้ งึ่ ตัวตนทางวัฒนธรรมของตน ทอ้ งถน่ิ คุณธรรม หรอื ประเทศ
3. ปัญหาการพฒั นาประเทศทผี่ ่านมา โดยการศึกษาวเิ คราะห์
แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ
3.1 ความเป็ นมาของแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ
หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 ประเทศตา่ ง ๆ ในทวีปเอเชีย แอฟรกิ า และอเมรกิ าใต้
ซง่ึ มีประชากรรวมกนั ประมาณ 2 ใน 3 ของประชากรโลก ประสบปัญหาความยากจนและความ
ลา้ หลงั ทางเศรษฐกิจประกอบกบั เกิดปัญหาความขดั แยง้ ทางการเมืองระหวา่ งคา่ ยเสรนี ิยมกบั
คา่ ยสงั คมนิยม ประเทศตา่ ง ๆ เกิดความต่นื ตวั ท่ีจะพฒั นาเศรษฐกิจ เพ่ือใหช้ ีวิตความเป็นอยู่
ของประชาชนดขี นึ้ ประเทศไทยจงึ ไดจ้ ดั สรรงบประมาณเพ่อื ปรบั ปรุงการคมนาคมขนสง่
การชลประทาน การศกึ ษา มากย่ิงขนึ้
ใน พ.ศ. 2493 มีการจดั ตงั้ สภาเศรษฐกิจแหง่ ชาติขนึ้ เพ่ือทาหนา้ ท่วี เิ คราะหว์ ิจยั
เก่ียวกบั เรอ่ื งเศรษฐกิจ และเป็นท่ีปรกึ ษาของรฐั บาลในการแกไ้ ขปัญหาทางการเงนิ การคลงั และ
ทางเศรษฐกิจโดยท่วั ไป พรอ้ มทงั้ ไดจ้ ดั ตงั้ คณะกรรมการดาเนินการทาผงั เศรษฐกิจของประเทศ
ซง่ึ เป็นกา้ วแรกท่ีจะนาไปสกู่ ารวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจของไทย
ใน พ.ศ. 2500 ธนาคารโลกไดจ้ ดั สง่ คณะสารวจเศรษฐกิจเขา้ มาชว่ ยศกึ ษาขอ้ มลู
และศกึ ษาวจิ ยั เศรษฐกิจของประเทศไทย ตามคาเชิญของรฐั บาลไทย คณะผเู้ ช่ียวชาญรว่ มกบั
ทางคณะเจา้ หนา้ ท่ีฝ่ายไทยไดจ้ ดั ทารายงานโครงการพฒั นาของรฐั บาลสาหรบั ประเทศไทย
(A Public Development Program for Thailand) โดยมีการเสนอขอ้ มลู วิเคราะหถ์ งึ สภาพ
ปัญหาและแนวทางในการวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศไทยซง่ึ มีความเหน็ วา่ ควรเนน้
การแขง่ ขนั เสรี
ใน พ.ศ. 2502 รฐั บาลไดด้ าเนินการออกพระราชบญั ญตั พิ ฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ
และเปล่ยี นช่ือสภาเศรษฐกิจแหง่ ชาติเป็นสานกั งานสภาพฒั นาการเศรษฐกิจแหง่ ชาติขนึ้
เพ่ือทาหนา้ ท่ีวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจแหง่ ชาติ และไดม้ ีการประกาศใชแ้ ผนพฒั นาเศรษฐกิจ
และสงั คมแหง่ ชาตขิ นึ้ ในวนั ท่ี 21 มกราคม พ.ศ. 2504 สมยั จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต์
เป็นนายกรฐั มนตรี
3.2 ปัญหาการพฒั นาประเทศในช่วงแผนพฒั นาเศรษฐกจิ
และสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1-10
ในปัจจบุ นั ประเทศไทยใชแ้ ผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 11
(พ.ศ. 2555-2559) ซง่ึ จดั ทาโดยสานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ
(สศช.)
1) แผนพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 1
(พ.ศ. 2504-2509)
แผนพฒั นำกำรเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ ฉบบั ท่ี 1 รฐั บำลมงุ่ ปรบั ปรุงและพฒั นำ
ปัจจยั ขนั้ พืน้ ฐำนของประเทศ เช่น กำรสรำ้ งถนน เข่ือน ไฟฟำ้ กำรชลประทำน กำรคมนำคม
นอกจำกนี้ ยงั ใหค้ วำมสำคญั แกโ่ ครงกำรประเภทบรกิ ำร เชน่ กำรวจิ ยั ทดลองและสง่ เสรมิ
กำรเกษตร กำรพฒั นำกำรศกึ ษำในระดบั ตำ่ ง ๆ ตลอดจนกำรใหบ้ รกิ ำรสำธำรณสขุ
แมภ้ าวะเศรษฐกิจของประเทศไดก้ า้ วรุดหนา้ ไปดว้ ยดี ความเจรญิ ทาง
เศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะ 6 ปี สง่ ผลตอ่ การเปล่ยี นแปลงโครงสรา้ งของระบบ
เศรษฐกิจใหม้ ีลกั ษณะสมดลุ และมกี ารขยายกาลงั การผลติ ใหก้ วา้ งขวางมากขนึ้ แตใ่ นการ
ปฏบิ ตั งิ านตามโครงการพฒั นาเศรษฐกิจขนั้ พืน้ ฐานตา่ ง ๆ ท่รี ฐั ดาเนินการ ปรากฏวา่ มีบาง
โครงการมีอปุ สรรคและการดาเนินงานลา่ ชา้ กวา่ เปา้ หมายท่ีกาหนดไว้ ทงั้ นี้ มีสาเหตมุ าจาก
ปัญหาความขาดแคลนเจา้ หนา้ ท่ผี ชู้ านาญการทงั้ ดา้ นวชิ าการและการบรหิ าร ความลา่ ชา้
ในการเจรจาและเบกิ จ่ายเงนิ กตู้ า่ งประเทศ การทาสญั ญาและการส่งั อปุ กรณ์ อยา่ งไรก็ตาม
เม่ือพิจารณาโดยรวมจะเห็นไดว้ า่ โครงการพฒั นาท่สี าคญั ไดส้ าเรจ็ ลลุ ว่ งมาดว้ ยดี
ขณะเดียวกนั มีหลายโครงการท่ีสามารถเรง่ รดั การปฏิบตั ิงานไดเ้ รว็ กวา่ กาหนด
2) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 2
(พ.ศ. 2510-2514)
แผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ ฉบบั ท่ี 2 ไดว้ ำงแผนพฒั นำประเทศ
ใหม้ ีกำรขยำยขอบเขตใหส้ มบรู ณย์ ่งิ ขนึ้ โดยมีกำรเพ่ิมสำระท่ีสำคญั จำกแผนพฒั นำกำร
เศรษฐกิจแหง่ ชำติ ฉบบั ท่ี 1 ซง่ึ เนน้ กำรพฒั นำสงั คมใหเ้ จรญิ กำ้ วหนำ้ ควบคไู่ ปกบั กำรพฒั นำ
เศรษฐกิจ ควำมสำคญั ของกำรพฒั นำกำลงั คน ควำมสำคญั ของภำคเอกชนในกำรพฒั นำ
ดำ้ นอตุ สำหกรรม และกำรพฒั นำทอ้ งถ่ินและชนบท
ในกำรใชแ้ ผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ ฉบบั ท่ี 2 นี้ ระบบเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยขยำยตวั อยำ่ งรวดเรว็ เน่ืองจำกกำรผลิตที่สำคญั คือ กำรเกษตรและ
อตุ สำหกรรมเพ่ิมขนึ้ ในอตั รำสงู นอกจำกนนั้ กำรลงทนุ จำกตำ่ งประเทศในประเทศไทยไดเ้ พ่ิม
มำกขนึ้ แตใ่ นช่วงปลำยของแผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ ฉบบั ท่ี 2 เศรษฐกิจ
ของประเทศไทยไมค่ อ่ ยอำนวยเป็นครงั้ แรกในระยะ 10 ปี อีกทงั้ ฐำนะดำ้ นสงั คม และกำรเมือง
ของประเทศก็อยใู่ นภำวะท่ีตอ้ งเผชิญกบั ปัญหำอปุ สรรคหลำยประกำร ซง่ึ เกิดขนึ้
จำกกำรเปลี่ยนแปลงทงั้ ภำยในและภำยนอกประเทศในดำ้ นโครงสรำ้ งเศรษฐกิจ
แนวควำมคดิ เห็นดำ้ นสงั คมและภำวกำรณท์ ำงกำรเมอื งของโลกที่สำคญั ซง่ึ สง่
ผลกระทบแก่ประเทศไทยโดยตรง ไดแ้ ก่ ควำมตอ้ งกำรผลติ ผลซง่ึ เป็นสินคำ้ สง่ ออก
ประเภทหลกั ของประเทศไทย เช่น ขำ้ วและยำงมีแนวโนม้ จะลดลง อกี ทงั้ รำคำของ
ผลติ ผลเหลำ่ นีใ้ นตลำดโลกตกต่ำลงไป นอกจำกนนั้ มีปัญหำสืบเน่ืองมำจำกนโยบำย
กำรเงินของประเทศใหญ่ ๆ ทงั้ คำ่ เงินดอลลำรส์ หรฐั เงินเยนของญ่ีป่นุ และเงนิ มำรก์
ของเยอรมนั เกิดควำมผนั ผวน ซง่ึ จะสง่ ผลกระทบถงึ ภำวะเศรษฐกิจของประเทศไทย
สว่ นในดำ้ นสงั คมนนั้ ควำมคดิ เห็นและทศั นคติของเยำวชน
และปัญญำชนก็เปล่ยี นแปลงไปจำกท่ีเคยเป็นมำแตเ่ ดิมมำก ทำใหเ้ กิดปัญหำควำม
แตกตำ่ งระหวำ่ งชนตำ่ งวยั ขนึ้ สว่ นในดำ้ นกำรเมืองระหวำ่ งประเทศนนั้ ก็มีวกิ ฤตเป็น
ระยะ ๆ โดยเฉพำะในประเทศใกลเ้ คียง ทำใหป้ ระเทศไทยตอ้ งระดมสรรพกำลงั
ทรพั ยำกรเพ่ือดำเนินกำรตำมแผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ ฉบบั ท่ี 3 ดว้ ย
เหตผุ ลดงั กลำ่ ว แนวทำงพฒั นำสว่ นรวมของแผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ
ฉบบั นีจ้ งึ ไดเ้ นน้ หนกั ในดำ้ นนโยบำยและมำตรกำรตำ่ ง ๆ เพ่ือแกไ้ ขปัญหำอปุ สรรค
เหลำ่ นีค้ วบคไู่ ปกบั กำรเรง่ รดั พฒั นำสำขำท่มี ีลำดบั ควำมสำคญั สงู และกำรปพู ืน้ ฐำน
เพ่ือกำรพฒั นำในระยะตอ่ ไป
3) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 3
(พ.ศ. 2515-2519)
แผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ ฉบบั ท่ี 3 เนน้ กำรกำหนดแนวทำงของ
แผนพฒั นำสว่ นรวมของประเทศ มีกำรประสำนโครงกำรพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมให้
สอดคลอ้ งและประสำนงำนมำกขนึ้ ควำมรว่ มมือของรำชกำรสว่ นกลำง สว่ นภมู ิภำค และสว่ น
ทอ้ งถ่ิน พจิ ำรณำจดั ทำแผนพฒั นำเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชำติ ใหส้ อดคลอ้ งกบั แผน
เตรยี มพรอ้ มแหง่ ชำติ โดยกำรประสำนแผนกบั สภำควำมม่นั คงแหง่ ชำติ และทำงกำรทหำร
ท่ีเก่ียวขอ้ ง มีกำรวำงแผนนโยบำยกำรวำงแผนครอบครวั และกำรมีงำนทำขนึ้ เป็นครงั้ แรก
เพ่ือแกป้ ัญหำกำรวำ่ งงำน และขยำยกำรวำงแผนพฒั นำเศรษฐกิจดำ้ นเอกชนใหก้ วำ้ งขวำง
ย่งิ ขนึ้ โดยเนน้ ภำครฐั บำลและภำคเอกชนใหค้ วำมรว่ มมือกนั ในกำรพฒั นำประเทศ
การขยายตวั ของการผลติ และรายไดข้ องประเทศในชว่ งของแผนพฒั นาเศรษฐกิจ
และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 3 นนั้ ในสาขาเกษตรไดต้ ่ากวา่ เปา้ หมาย แตก่ ารผลติ ในสาขา
อตุ สาหกรรมและการสง่ ออกไดส้ งู ขนึ้ กวา่ เปา้ หมายเลก็ นอ้ ย ซง่ึ ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ในแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 3 ไดเ้ ปลี่ยนโครงสรา้ งไปในลกั ษณะท่ีมี
ความสมั พนั ธก์ บั ระบบเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศมากขนึ้ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากภาวะเศรษฐกิจ
ของโลกไดเ้ ปล่ยี นแปลงไปอย่างมาก นบั ตงั้ แตค่ วามผนั ผวนของระบบการเงนิ ของโลกตงั้ แต่
พ.ศ. 2514 เป็นตน้ มา โดยเฉพาะการท่ีคา่ เงินดอลลารส์ หรฐั ลดต่าลง อกี ทงั้ การเปล่ยี นแปลง
ของราคานา้ มนั ท่ีไดเ้ พ่ิมขนึ้ ถงึ 4 เทา่ ตวั ในภาวการณเ์ หลา่ นีไ้ ดส้ ง่ ผลใหเ้ กิดภาวะเงนิ เฟอ้ และ
เศรษฐกิจชะงกั ขนึ้ ท่วั โลก เกิดผลกระทบตอ่ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย
4) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 4
(พ.ศ. 2520-2524)
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 4 จะเนน้ ในเรอ่ื งของความ
ม่นั คงปลอดภยั ของประเทศเป็นหลกั มีการปฏิรูป และเปล่ยี นแปลงนโยบายหลายดา้ นเทา่ ท่ี
จาเป็นตอ่ การเปล่ยี นแปลงขนั้ พนื้ ฐานของโครงสรา้ งระบบเศรษฐกิจและสงั คม เพ่ือเรง่ ฟื้นฟู
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศใหม้ ีความม่นั คง ตลอดจนมีการยกระดบั ความเป็นอยขู่ อง
ประชาชนใหด้ ีขนึ้ โดยมงุ่ ขจดั ความยากจนกบั การแกไ้ ขความเหล่อื มลา้ ของการกระจายรายได้
และการสรา้ งความเป็นธรรมในสงั คม
ในระยะแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 4 ประเทศไทยมีการหา
แหลง่ พลงั งานอ่นื ๆ นอกจากนา้ มนั เช่น แก๊สธรรมชาติ ลิกไนต์ พลงั นา้ ควบคไู่ ปกบั การปรบั
โครงสรา้ งในการผลติ ซง่ึ ในระยะเวลา 4 ปีนีไ้ ดเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงของราคานา้ มนั และความ
แปรผนั ของตลาดการเงนิ ระหวา่ งประเทศ ทาใหเ้ กิดภาวะเงินเฟอ้ และเศรษฐกิจตกต่า มีการ
วา่ งงานมากขนึ้ ในประเทศตา่ ง ๆ ไดส้ ง่ ผลกระทบรุนแรงและโดยตรงตอ่ เศรษฐกิจของไทย ซง่ึ
ไมไ่ ดม้ ีการปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพการณท์ ่ีเปล่ยี นแปลงไดท้ นั เวลา จงึ ทาใหเ้ กิดการใชจ้ ่าย
เกินตวั ทงั้ ระดบั ระหวา่ งประเทศ รฐั บาล และประชาชน เกิดปัญหาการขาดดลุ การคา้ เพ่ิมขนึ้
5) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 5
(พ.ศ. 2525-2529)
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 5 จะเนน้ การรกั ษาเสถียรภาพ
ทางเศรษฐกิจการเงนิ ของประเทศเป็นกรณีพิเศษ โดยมีการปรบั โครงสรา้ งเศรษฐกิจในดา้ นตา่ ง ๆ
ความสมดลุ ในการพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศ ตลอดจนแกป้ ัญหาความยากจนใน
ชนบท การนาแผนพฒั นาไปปฏิบตั ิเพ่ือไดผ้ ลตอ่ ประชาชนอยา่ งแทจ้ รงิ และการสง่ เสรมิ สนบั สนนุ
ใหเ้ อกชนเขา้ มามีบทบาท และใหค้ วามรว่ มมือแกร่ ฐั บาลมากขนึ้
ในการใชแ้ ผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 5 ดา้ นบรกิ ารพืน้ ฐาน
รฐั ไดท้ าการปรบั ปรุงขยายบรกิ ารพืน้ ฐานของประเทศในอตั ราสว่ นท่ีสงู ทงั้ ดา้ นพลงั งาน
ดา้ นการจดั การสาธารณปู โภคและการพฒั นาพืน้ ท่ีบรเิ วณชายฝ่ังทะเลตะวนั ออก นอกจากนี้
มีการพฒั นาทางดา้ นสงั คมของประชากร การศกึ ษา การสาธารณปู โภค และความปลอดภยั
ในชีวติ และทรพั ยส์ นิ และสวสั ดกิ ารสงั คม การเพ่ิมขนึ้ ของแรงงานในประเทศ มีระดบั การศกึ ษา
ขนั้ สงู เพ่ิมมากขนึ้ แตภ่ าวะเศรษฐกิจโลกซบเซา ทาใหก้ ารขยายตวั ของเศรษฐกิจโลก การคา้
ระหวา่ งประเทศ การกีดกนั ทางการคา้ อตั ราดอกเบยี้ สงู ราคาสนิ คา้ เกษตรตกต่า ทาใหก้ าร
ขยายตวั ของการสง่ ออกและผลติ ภณั ฑม์ วลรวมต่ากวา่ เปา้ หมาย และความเสื่อมโทรมของ
ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม
6) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 6
(พ.ศ. 2530-2534)
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 6 จดุ มงุ่ หมายจะยกระดบั
การพฒั นาประเทศใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ควบคกู่ บั การแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจและสงั คมท่ีสะสมมา
ตงั้ แตอ่ ดีต ทงั้ นีเ้ พ่ือใหป้ ระชาชนมรี ายได้ มีคณุ ภาพชีวติ ความเป็นอยแู่ ละสภาพจิตใจท่ดี ขี นึ้
โดยคานงึ ถงึ ทงั้ อตั ราและลกั ษณะการขยายตวั ของเศรษฐกิจท่ีไมก่ อ่ ใหเ้ กิดการบ่นั ทอนความ
ม่นั คงและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจการเงิน การคลงั ตลอดทงั้ ใหม้ ีการเพ่ิมการจา้ งงาน และ
การกระจายรายไดท้ ่เี หมาะสม นอกจากนนั้ จะตอ้ งคานงึ ถงึ การแกป้ ัญหาความเสอ่ื มโทรม
ของทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ตลอดจนการเสรมิ สรา้ งความเป็นธรรมและพฒั นา
คณุ ภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยใหท้ ่วั ถงึ อีกดว้ ย
เศรษฐกิจไทยมีการขยายตวั ในระดบั สงู และเปิดกวา้ งเขา้ สรู่ ะบบเศรษฐกิจ
นานาชาตมิ ากขนึ้ ในชว่ งแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 6 โดยเศรษฐกิจ
ของประเทศไทยไดฟ้ ื้นตวั และขยายตวั อยา่ งตอ่ เน่ือง เกิดจากปัจจยั ท่สี าคญั ผลกั ดนั ให้
เศรษฐกิจไทยขยายตวั ในอตั ราสงู ไดแ้ ก่ การขยายตวั ของการสง่ ออก การลงทนุ และการ
ทอ่ งเท่ียว ประกอบกบั ภาวะเศรษฐกิจโลกไดเ้ ออื้ อานวยตอ่ การขยายตวั ของเศรษฐกิจไทย
โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงราคานา้ มนั และอตั ราการแลกเปล่ยี นในประเทศอตุ สาหกรรมไดป้ รบั ตวั
สงู ขนึ้ ตลอด อกี ทงั้ ความไดเ้ ปรยี บของไทยในดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรมนษุ ย์ และ
อตั ราคา่ จา้ งแรงงานท่ีไม่สงู นกั ทาใหฐ้ านะการแขง่ ขนั ของไทยในตลาดโลกอยใู่ นฐานะท่ี
ไดเ้ ปรยี บ จงึ ทาใหก้ ารลงทนุ และการสง่ ออกเพ่ิมมากขนึ้
แมว้ า่ การขยายตวั ของเศรษฐกิจจะมีผลตอ่ เศรษฐกิจสว่ นรวมหลายประการ แต่
การขยายตวั ไดเ้ กิดความไมส่ มดลุ ในการพฒั นาท่ีสาคญั ๆ อกี หลายดา้ น ซง่ึ เป็นขอ้ จากดั ของ
การพฒั นาประเทศในระยะยาว คือ
1. ความเหลอื่ มลา้ ของรายไดร้ ะหวา่ งกลมุ่ ครวั เรอื นระดบั ตา่ ง ๆ ตลอดทงั้ ชนบทกบั
เมืองมีมากขนึ้
2. การบรกิ ารพืน้ ฐานทางเศรษฐกิจเกือบทกุ ประเภท ทงั้ ไฟฟา้ นา้ ประปา ระบบการ
ส่ือสาร คมนาคม โครงข่ายถนนและทา่ เรอื มีไมเ่ พยี งพอตอ่ ความตอ้ งการของระบบเศรษฐกิจ
ท่ีขยายตวั อยา่ งรวดเรว็
3. ช่องวา่ งระหวา่ งการออมในประเทศกบั การลงทนุ มแี นวโนม้ สงู ขนึ้
4. การเปลี่ยนแปลงโครงสรา้ งทางเศรษฐกิจของประเทศ จากเศรษฐกิจการเกษตร
มาสเู่ ศรษฐกิจอตุ สาหกรรม เป็นเหตใุ หส้ งั คมไทยเรม่ิ เปลี่ยนแปลงจากสงั คมชนบทมาสคู่ วาม
เป็นสงั คมเมืองมากย่ิงขนึ้ ก่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สภาพจิตใจ วฒั นธรรม และวิถีชีวิตความ
เป็นอยโู่ ดยสว่ นรวม เกิดปัญหาสงั คมเมืองในดา้ นตา่ ง ๆ โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรม
5. ความเส่อื มโทรมของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม เศรษฐกิจไทย
เจรญิ เติบโตในอตั ราสงู ทาใหม้ ีการระดมทรพั ยากรธรรมชาติโดยเฉพาะท่ีดนิ ป่าไม้ แหลง่ นา้
ประมง และแร่ อนั เป็นการทาลายทรพั ยากรธรรมชาติ ประกอบกบั การขาดประสทิ ธิภาพใน
การบรหิ ารจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ เป็นสาเหตสุ าคญั ทาใหท้ รพั ยากรธรรมชาตเิ สื่อมโทรม
ลงอยา่ งรวดเรว็
6. ระบบราชการปรบั ตวั ไมท่ นั และไมส่ นองตอบตอ่ การเปล่ยี นแปลงทางเศรษฐกิจ
และสงั คมของประเทศ
7) แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 7
(พ.ศ. 2535-2539)
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 7 มงุ่ เนน้ การมีสว่ นรว่ มของ
ธรุ กิจเอกชนและองคก์ รเอกชนตา่ ง ๆ รวมถงึ การเนน้ การพฒั นาท่ีอยบู่ นพนื้ ฐานการพง่ึ พา
ตนเองใหม้ ากท่ีสดุ โดยรกั ษาอตั ราการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจ เพ่ิมประสิทธิภาพและ
ยกระดบั คณุ ภาพการผลิต การพฒั นาและยกระดบั คณุ ภาพทรพั ยากรมนษุ ยใ์ หม้ ี
ความสามารถและมีคณุ ภาพชีวิตท่ีดีขนึ้ การบรู ณะและบรกิ ารทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ
สิ่งแวดลอ้ ม มีการขยายและกระจายการพฒั นาระบบบรกิ ารพืน้ ฐานทงั้ ดา้ นปรมิ าณและ
คณุ ภาพไปสสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของประเทศอย่างท่วั ถงึ วางแนวและมาตรการกระจายรายไดอ้ ยา่ ง
เป็นธรรม ปรบั ปรุงประสิทธิภาพการบรหิ ารราชการ และกฎระเบยี บท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การพฒั นา
ประเทศ และพิจารณาแกไ้ ขกฎหมายและกฎระเบียบตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นประโยชนต์ อ่ การพฒั นา
ประเทศ รวมทงั้ สรา้ งความเป็นธรรมและสงบสขุ ของสงั คม ในระยะแผนพฒั นาเศรษฐกิจ
และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบบั ท่ี 7 นี้ ฐานะการเงนิ การคลงั ของประเทศมีความม่นั คงและไดร้ บั
การยอมรบั โดยท่วั ไปจากนานาประเทศ สว่ นการลงทนุ ของภาครฐั ในดา้ นโครงสรา้ งพืน้ ฐาน
และบรกิ ารพืน้ ฐานทางสงั คมดาเนินการอยา่ งตอ่ เน่ือง ทาใหค้ นไทยมีรายได้ ฐานะความ
เป็นอยู่ และคณุ ภาพชีวิตท่ดี ขี นึ้ มาโดยตลอด แมว้ า่ การพฒั นาประเทศจะบรรลเุ ปา้ หมาย
แตก่ ารเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจกย็ งั กระจกุ ตวั อยใู่ นกรุงเทพมหานครและปรมิ ณฑล โดย
มงุ่ เนน้ การแขง่ ขนั เพ่ือสรา้ งความม่งั ค่งั ในดา้ นรายได้ ทาใหค้ นไทยและสงั คมไทยมีความเป็น
วตั ถนุ ิยมมากขนึ้ ทาใหเ้ กิดปัญหาดา้ นพฤตกิ รรมของคนในสงั คม คอื การยอ่ หยอ่ นใน
ศีลธรรม จรยิ ธรรม ขาดระเบียบวนิ ยั การเอารดั เอาเปรยี บ สง่ ผลใหว้ ิถีชีวิตและคา่ นิยมดงั้ เดมิ
ท่ีดงี ามของไทยเรม่ิ จางหายไปพรอ้ ม ๆ กบั การลม่ สลายของสถาบนั ครอบครวั ชมุ ชน
และวฒั นธรรมของทอ้ งถ่ิน นอกจากนี้ สภาพบีบคนั้ ทางจิตใจของคนในสงั คม เกิดจาก
ความแออดั ของชมุ ชนเมือง และการเรง่ รดั พฒั นาเศรษฐกิจตลอดระยะเวลาท่ีผา่ นมา
ทาใหท้ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มเสอ่ื มโทรมลง