บทที่ 1 ประวตั โิ ทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่ี
วิวฒั นำกำรโทรศพั ท์เคลอื่ นที่ในไทย
ประเทศไทยได้นำเอำโทรศพั ท์มำใชเ้ ป็นคร้ังแรกเม่ือ
พ.ศ. 2424 ตรงกบั รัชกำลท่ี 5 โดยกรมกลำโหม
(กระทรวงกลำโหมในปจั จบุ ัน) ได้สงั่ เขำ้ มำใชง้ ำนใน
กิจกำรเพ่ือควำมม่นั คงแห่งชำติ
โทรศพั ท์เคลอื่ นที่ (Mobile Telephone) เครื่อง
แรกประดษิ ฐข์ ึ้นในปี ค.ศ. 1956 ซึง่ มีรำคำแพงมำก
และมนี ้ำหนักมำก กำรใชง้ ำนในขณะนนั้ มีตดิ ตง้ั ไวใ้ น
รถยนตเ์ ทำ่ นน้ั ปพี .ศ. 2526 หรอื ค.ศ. 1982
ประเทศไทยได้มีโทรศัพท์เคล่อื นทบี่ ริกำร โดยมีผู้
ใหบ้ ริกำรรำยแรกคือ องคก์ ำรโทรศัพทแ์ ห่งประทศ
ไทย
ในปี ค.ศ. 1992 หรือปพี .ศ. 2535 เป็นตน้ มำ
โทรศพั ท์เคลอื่ นที่ (มอื ถอื ) มรี ำคำถูกลง ขนำดเลก็ ลง
ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนท่ี (มือถือ) ไดร้ บั ควำมนยิ มข้ึนอีก
คร้งั อยำ่ งรวดเรว็ จนเป็นเหตใุ ห้หมดยุคของ
โทรศพั ท์เคลือ่ นท่ี (มือถือ) ทีม่ ขี นำดใหญ่และเพจเจอร์
โดยโทรศัพท์เคลือ่ นท่เี รม่ิ มีขนำดเล็กลง
ยคุ ของโทรศพั ท์เคล่อื นท่ี
โทรศพั ทเ์ คลื่อนทย่ี ุค 1G
( FIRST - GENERATION MOBILE )
อะนำลอ็ กเซลลูลำร์ (Analog cellular)
สหรฐั อเมริกำ ระบบโทรศัพทเ์ คล่อื นทย่ี คุ 1G ถือวำ่
เปน็ ยคุ เร่มิ ตน้ หรอื Initial Stage โดยกำรพัฒนำ
มุง่ เน้นเพ่ือกำรสือ่ สำรทำงเสียงเป็นหลักใชร้ ะบบกำรสง่
สญั ญำณแบบ แอนำลอ็ ก ( Analog )
โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทยี่ คุ 2G
(Seconds - Generation Mobileดิจิตอลเซลลลู ำร์
(Digital cellular)
อตั รำกำรส่งขอ้ มูลของโทรศพั ทเ์ คลื่อนที่ ต่ำกวำ่ 6.9 ซ่งึ ได้
ออกแบบมำสำหรบั กำรส่งสญั ญำณเสยี งเท่ำนั้นอัตรำกำรส่ง
ข้อมูลของโทรศัพท์เคลือ่ นที่ ในยุคนคี้ ือ 6.9-14.4 KBPS กำร
ส่งสญั ญำณสำมำรถส่งไดท้ ง้ั สัญญำณเสียง, แฟกซ์ และ
สญั ญำณข้อมูลทเี่ ปน็ ขอ้ ควำมส้ันๆ โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นที่ ในยคุ นีม้ ี
นำ้ หนักเบำ มีกำรออกแบบท่ที นั สมัย และได้มี
กำรปรบั ปรุงควำมเร็วในกำรส่งข้อมลู ใหม้ ำกขึ้น
โทรศพั ท์เคลอ่ื นทีย่ ุค 2.5G
(2.5 - Generation Mobile )
เปน็ ต้นยคุ โมบำยอนิ เทอร์เน็ต (FIRST ERA OF MOBILE
INTERNET) ยคุ น้สี ำมำรถเรียกได้วำ่ FIRST STEP INTO 3G
กไ็ ด้
มีอตั รำกำรจดั ส่งข้อมลู ของโทรศพั ทเ์ คลื่อนทีค่ ือ 64 – 144
KBPS เป็นชว่ งเวลำรอยต่อระหว่ำงยุค 2G และ 3G ขอ้ กำหนด
มำตรฐำนทำงเทคนิคของเครอื ข่ำยโทรศัพทเ์ คล่อื นท่ใี นยุค 2.5G
ส่วนใหญ่เปน็ กำรเตรยี มควำมพร้อมให้กบั เครือขำ่ ยก่อนท่ีจะ
มีกำรกำ้ วเขำ้ สู่ (TRANSITION) ยุคที่ 3
โทรศพั ทเ์ คล่ือนท่ียุค 3G
(Third-Generation):(Multimedia Cellular)
เน้นกำรส่งข้อมลู ระบบเสยี งและภำพอยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ
โดยจะสำมำรถเพ่ิมอตั รำควำมเรว็ ในกำรส่งขอ้ มลู ไดถ้ ึง 384
KBPS – 2 MBPS และสำมำรถเรยี กโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคน้ี
ว่ำ อินเทอรเ์ นต็ มือถอื (INTERNET MOBILE) และคณุ สมบตั ิ
โดดเด่นของยุคนคี้ อื ANYSERVICE ANYWHERE ANYTHING
คอื สำมำรถใชง้ ำนได้ทุกรปู แบบทต่ี ้องกำร
โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นทย่ี ุค 4G
(Toward the Fourth Generation)
ยคุ บรอดแบนดไ์ รส้ ำย
เปน็ กำรพัฒนำม่งุ เน้นทจี่ ะรองรบั กำรสือ่ สำรส่อื ประสม
(MULTIMEDIA) ทมี่ คี วำมเร็วกำรสง่ ขอ้ มลู ทสี่ งู กว่ำ 2 MBPS
เช่น
กำรให้บริกำรข่ำวสำรขอ้ มลู เพื่อกำรศกึ ษำ กำรซื้อขำยสนิ ค้ำ
ผำ่ นโทรศพั ทเ์ คลื่อนท่ี วิดีโอแบบภำพเคล่อื นไหวท่ีเตม็ รปู แบบ
(FULL – MOTION VIDEO) หรอื กำรประชุมทำง
โทรศัพทเ์ คลอื่ นที่ (MOBILE TELECONFERENCING)
บทท่ี 2 หลักกำรรับ - สง่ คลน่ื สัญญำณ
โทรศพั ทเ์ คลอื่ นที่ (MOBILE STATION) หมำยถึง อุปกรณ์
โทรศัพทท์ ี่ใช้กับระบบโทรศพั ท์เคล่ือนทโี่ ดยทผี่ ใู้ ชส้ ำมำรถนำ
อปุ กรณ์นี้เคลือ่ นที่ไดอ้ ยำ่ งอิสระ
โครงสรำ้ งของโทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่ี
มสี ว่ นประกอบหลกั 3 สว่ น คือ
1. สว่ นหูฟงั (HEADPHONES PART)
2. ส่วนควบคมุ (CONTROL PART)
3. สว่ นคล่นื วทิ ยุ (RADIO PART)
กำรรบั - สง่ คล่นื สญั ญำณของระบบ
โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นที่
ภำพแสดงระยะทำงทีส่ ำมำรถใช้งำนได้เมอื่ ห่ำงจำกสถำนฐี ำน
โทรศพั ท์เคลือ่ นที่ในยุคแรกจะใช้หลักกำรใช้เคร่อื งส่งวิทยทุ ่ีมี
กำลังสงู ๆเพอ่ื ใหค้ รอบคลุมพ้นื ที่กว้ำงไกลที่สุด ดังนนั้ เม่ืออยู่
หำ่ งจำกสถำนฐี ำน โทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่จี ะตอ้ งสง่ สัญญำณไปดว้ ย
กำลังส่งสงู
ระบบโทรศพั ทเ์ คลอ่ื นท่ีแบบเซลลูลำร์
จะใชว้ ธิ ีกำรแบง่ สถำนฐี ำนทม่ี กี ำลงั สูง แบ่งออกเป็นสถำนฐี ำน
ย่อย ๆ ท่มี ีกำลังสง่ ต่ำ แลว้ แบง่ พนื้ ทีก่ นั ดูแลเปน็ ส่วนยอ่ ย ๆ
ซง่ึ มลี ักษณะคล้ำยรวงผ้งึ (Cellular)
ภำพระบบเครอื ข่ำยโทรศัพทเ์ คล่อื นท่ี ทีม่ ีกำรรับส่งคลื่น
โทรศัพทร์ ะหวำ่ งเครื่อง 2 เคร่อื งโดยมสี ถำนีฐำนและมีผู้
ใหบ้ รกิ ำรแม่ข่ำยเป็นตัวควบคมุ สัญญำณรับและส่ง
กำรรบั – สง่ คลืน่ สัญญำณวิทยุในระบบ GSM
ในชว่ งเริ่มแรกนน้ั ไดม้ กี ำรกำหนดช่วงควำมถ่ีใหร้ ะบบ
โทรศพั ท์เคลือ่ นท่ี GSM 900 สำหรบั ใชง้ ำนไว้ทั้งหมด 50
MHZ ในย่ำนควำมถี่ 890 – 915 MHZ และ 935 – 960
MHZภำยในแบนด์วิดธ์ขนำด 25 MHZ ของกำรสง่ ข้อมูลแต่ละ
ทิศทำงนี้ GSM ไดแ้ บ่งจำนวนชอ่ งของคลื่นพำหไ์ วท้ งั้ หมด 124
ชอ่ ง โดยแต่ละชอ่ งมคี วำมถ่หี ่ำงกนั เทำ่ กบั 200 KHZ ลักษณะ
กำรแบ่งชอ่ งลักษณะกำรแบง่ ช่องสญั ญำณแบบนม้ี ชี ่ือเรยี กว่ำ
FREQUENCY DIVISION MULTIPLE ACCESS (FDMA) และ
ในแต่ละคล่นื พำหใ์ ช้ส่งสัญญำณไดท้ ้ังหมด 8 ไทม์สลอ๊ ต โดย
วิธนี ้เี รียกวำ่ TIME DIVISION MULTIPLE ACCESS (TDMA)
ดงั น้นั จะเห็นว่ำ GSM อำศยั ทั้งวธิ ี FDMA และ TDMA
ขอบเขตในกำรตดิ ตอ่ กบั สถำนีฐำนของ
โทรศัพท์เคล่อื นที่(Range of Mobile Station)
1. กำลังส่งของโทรศัพทเ์ คลอื่ นที่
2. ตำแหน่งของโทรศพั ทเ์ คล่อื นท่ี
สถำนฐี ำน (Base Station)
สถานีฐานประกอบด้วย
อปุ กรณ์ อุปกรณ์ อปุ กรณ์ อปุ กรณ์
เกี่ยวกับ เกีย่ วกบั กำร เกยี่ วกับ เกย่ี วกบั
ระบบ เตือนสญั ญำณ คลนื่ วทิ ยุ สำยอำกำศ
ไฟฟ้ำ (Alarm (Radio (Antenna)
Equipment) Equipment)
ส่วนของสถำนีฐำน (Base Station Subsystem
BASE STATION SUBSYSTEM (BSS) ประกอบดว้ ย 2 สว่ น
หลัก คือ BASE TRANSCEIVER STATION (BTS) และ BASE
STATION CONTROLLER (BSC) สว่ นของ BTS ทำหนำ้ ที่
ตดิ ตอ่ กับเครอ่ื งโทรศัพท์เคล่ือนท่ี (MS) กล่มุ ของ BTS ที่
ครอบคลุมพน้ื ทหี่ ลำยๆ เซลลจ์ ำนวนหนง่ึ จะอยู่ภำยใต้กำรดแู ล
ของ BSC หนึ่งตัว โดยปกติ BSC หน่งึ ตวั จะสำมำรถดูและ
ควบคุม BTS ไดจ้ ำนวนมำกถึงหลำยสิบหรือหลำยรอ้ ยชดุ
ระบบเน็ตเวริ ์คและสวติ ชง่ิ
(Network and Switching Subsystem)
NETWORK AND SWITCHING SUBSYSTEM (NSS)
ประกอบดว้ ย 2 สว่ นหลัก คือ MOBILE SERVICES
SWITCHING CENTER (MSC) และฐำนขอ้ มลู สำหรบั
กำรจัดกำรกบั กำรใช้งำนของผู้ใชบ้ รกิ ำร
สำหรบั ขอ้ มูลภำยใน NSS ประกอบดว้ ย
สว่ นสำคญั 3 ส่วนหลกั คือ
1. Home Location Register (HLR) เป็นฐำนข้อมูลท่ที ำหน้ำที่
เก็บขอ้ มลู ต่ำง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับผใู้ ช้บรกิ ำร
2. Authentication Centre (AUC) เป็นฐำนข้อมลู ทเ่ี กบ็ ขอ้ มูล
ทเ่ี ปน็ ควำมลับ
3. Visitor Location Register (VLR) เป็นฐำนขอ้ มูลท่อี ยคู่ ู่
กบั MSC หน่งึ ชดุ หรือกล่มุ ของ MSC จำนวนหน่ึง
ระบบปฏิบตั กิ ำร (Operation Subsystem
OPERATIONS AND MAINTENANCE CENTRE (OMC)
ซ่ึงมหี นำ้ ที่หลกั ในกำรจัดกำรเร่อื งกำรปฏิบัตกิ ำรของระบบ
โดยรวม กำรจัดกำรกับปญั หำของอุปกรณ์บำงสว่ นทอ่ี ำจเกดิ
ควำมเสียหำย กำรปรบั ตัง้ ค่ำตำ่ ง ๆ ภำยในระบบใหเ้ หมำะสม
กำรจดั กำรเรอื่ งสมำชกิ ผู้ใชบ้ ริกำรของระบบซ่งึ รวมไปถงึ กำรคดิ
ค่ำบริกำรและออกบิลเกบ็ คำ่ บรกิ ำร กำรทำงำนของ OMC
ส่วนใหญแ่ ล้วจำต้องมีกำรตดิ ตอ่ ส่อื สำรกับฐำนข้อมูล HLR
เสมอ
เซลล์ไซท์ (Cell Site) เสำเครอื ขำ่ ยของ
โทรศพั ท์เคลอ่ื นที่
โครงสรำ้ งเครอื ข่ำย (NETWORK STRUCTURE)พืน้ ที่
(AREAS)
PLMN (PUBLIC LAND MOBILE NETWORK)
หมำยถงึ โครงข่ำยทัง้ หมดของโทรศพั ทเ์ คล่ือนที่ CELLULAR ไม่
รวม PSTN ซงึ่ ทุก ๆโครงขำ่ ยจะสำมำรถแบง่ ออกเปน็ AREA
ขนำดต่ำง ๆ กัน
CELL หมำยถึง บรเิ วณที่ครอบคลุมโดยสถำนีฐำน
แบ่งออกได้ 2 แบบ คือ
1. OMNIDIRECTIONAL CELL
2. SECTOR CELL
หลักกำร Frequency Reuse
คอื กำรนำควำมถีท่ ่ใี ชก้ ับ Cell หนงึ่ แล้วเอำกลับมำใชก้ บั
Cell อนื่ โดยมรี ะยะห่ำงกันพอสมควร เพ่ือไมใ่ ห้เกดิ กำร
Interference ระยะหำ่ งระหวำ่ ง Cell ท่ใี ชค้ วำมถ่เี ดียวกันน้ี
เรียกว่ำ Reuse Distance
หลักกำร FREQUENCY REUSE
เซลล์ไซท์ (Cell Site)
เป็นช่อื เรียกสถำนฐี ำนท่ดี แู ลพ้นื ที่กำร
ใหบ้ รกิ ำรของโทรศัพทเ์ คลือ่ นท่ี เซลล์
ไซทแ์ บ่งออกเปน็ 3 ชนดิ ดังนี้
1. มำโครเซลล์ (Macrocells)
2. ไมโครเซลล์ (Microcells)
3. พกิ โคเซลล์ (Pixcocells)
บทท่ี 3 ระบบโทรศพั ท์เคลอ่ื นท่ีใหม่
ระบบเซลลูลำร์
คือ ระบบของโทรศัพทเ์ คลอ่ื นท่ี ซึง่ ใชเ้ ทคโนโลยีกำร
ส่อื สำรไรส้ ำยเปน็ สำคัญ มกี ำรจัดสรรช่วงควำมถี่เฉพำะสำหรบั
ระบบและมีกำรประยกุ ต์ใชค้ วำมถซ่ี ำ้ หลำย ๆ ชุด โดยจัดสรรลง
บนพ้นื ท่ใี ห้บรกิ ำรตำ่ ง ๆ กนั ซ่ึงพน้ื ทใ่ี ห้บรกิ ำรดงั กล่ำวจะถูก
เรียกวำ่ เซลล์ (Cell)
ภาพแสดงช่องสัญญาณระหว่าง
สถานีฐานกับตวั เครอ่ื งโมบายล์
ภาพแสดงการใช้ความถี่ของระบบเซลลลู ่าร์ใน
แตล่ ะเซลล์
โครงสร้ำงพนื้ ฐำนของระบบเซลลูลำร์ (CELLULAR
MOBILE STRUCTURE)
สำยอำกำศ (Antenna)
ผผู้ ลติ ตวั เคร่อื งพัฒนำรปู แบบของ
สำยอำกำศสำหรับตวั เครอื่ งออกมำ
เป็นจำนวนหลำยรูปแบบ แต่
สำยอำกำศท่สี ำคัญกค็ ือสำยอำกำศ
ทีต่ ้งั อยู่เหนือสถำนีฐำน
ตัวเครือ่ งโมบำยล์
(Mobile Station)
คือ อปุ กรณ์ตำ่ ง ๆ ทใี่ ช้ในกำร
ตดิ ต่อสือ่ สำรในระบบเซลลลู ำร์
สถำนีฐำน (Base Station or Base Transceiver
Station)
ทำหน้ำทเ่ี ชือ่ มต่อสัญญำณระหว่ำงสว่ นควบคมุ สถำนีฐำนกับตวั
โมบำยล์ โดยจะมีหน่วยควบคมุ เช่นกัน มวี งจรอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับประมวลผลสัญญำณคล่ืนวิทยุ มีระบบสำยอำกำศซ่งึ ต่อ
ออกมำจำกส่วนควบคุมคลนื่ วทิ ยุมีช่องตอ่ กับเทอรม์ นิ ลั เพือ่ ใช้ใน
กำรควบคมุ และแกไ้ ขกำรติดต้งั อุปกรณ์แหล่งจำ่ ยไฟของสถำนี
ฐำนมีอยู่ 2 ระบบเป็นระบบจำ่ ยไฟฟำ้ จำกไฟฟ้ำตำมบำ้ นธรรมดำ
และระบบแบตเตอรใ่ี นยำมฉุกเฉนิ
ระบบโทรศพั ท์เซลลูลำรแ์ บบต่ำง ๆ
1. โทรศัพทเ์ ซลลูลำร์ระบบ NMT (Nordic Mobile
Telephone)
2. โทรศพั ทเ์ ซลลลู ำร์ระบบ AMPS (Advance Mobile Phone
System)
3. โทรศพั ท์เซลลลู ำรร์ ะบบ TACS (Total Access
Communication System)
4. โทรศพั ท์เซลลูลำร์ระบบ C-450
5. โทรศัพทเ์ ซลลูลำร์ระบบ GSM (Global System for
Mobile Communication)
6. โทรศพั ทเ์ ซลลลู ำรร์ ะบบ DCS (Digital Cellular System)
กำรมอดูเลตสญั ญำณอนำล็อก
วธิ กี ำร มอดูเลตสัญญำณอนำลอ็ กเพื่อส่งผ่ำนไปใน
ช่องทำงสื่อสำรอนำล็อกนั้นมี 3 วิธี ด้วยกนั คือ
1.กำรมอดเู ลตทำงแอมปลิจูด(Amplitude Modulation, AM)
2.กำรมอดเู ลตทำงควำม ถ่ี(Frequency Modulation, FM)
3.กำรมอดเู ลตทำงเฟส(Phase Modulation, PM)
กำรมอดูเลตทำงแอมปลิจดู (AM)
กำรแปลงสญั ญำณดิจิตอลเปน็ สญั ญำณอนำล็อก
(D/A)
กำรมอดูเลตเชิงเลขทำงแอมปลิจูด ( ASK )
กำรมอดูเลตเชิงเลขทำงควำมถี่ ( FSK )
กำรมอดเู ลตเชงิ เลขทำงเฟส ( PSK )
กำรแปลงสัญญำณอนำล็อกเป็น สญั ญำณดจิ ติ อล
(A/D)
เทคนคิ ใน กำรเปลี่ยนแปลงสัญญำณอนำล็อกเปน็ สัญญำณ
ดจิ ติ อลแบ่งออกเปน็ 2 วิธี คือ
1. กำรมอดเู ลตทำงแอมปลิจดู ของพัสส์หรอื PAM
(Pulse Amplitude Modulation)
2. กำรมอดูเลตแบบรหสั พัลส์หรอื PCM
(Pulse Amplitude Modulation)
บทที่ 4 ผ้ใู ห้บรกิ ำรเครอื ขำ่ ยโทรศพั ท์
(OPERATOR)
เครือขำ่ ยของระบบโทรศัพท์เคลื่อนท่ี
1. โทรศพั ทเ์ คลือ่ นทีท่ ี่รบั ไดช้ ่องสญั ญำณเดียว เรียกว่ำ Single
Band
2. โทรศพั ท์เคลอื่ นท่ที ี่รบั ได้ 2 ชอ่ งสญั ญำณ เรียกวำ่ Dual
Band
3. โทรศพั ท์เคลอื่ นท่ที ่ีรบั ได้ 3 ชอ่ งสัญญำณ เรยี กว่ำ Tri
B4.anโdทรศัพท์เคล่ือนทท่ี ่รี บั ได้ 4 ชอ่ งสญั ญำณ เรยี กวำ่
Quad Band
กำรให้บรกิ ำรโทรศัพทเ์ คลือ่ นที่
กำรใหบ้ ริกำรรบั สง่ สัญญำณโทรศพั ท์เคลื่อนทีใ่ นประเทศ
ไทย ประกอบดว้ ยระบบต่ำง ๆ หลังจำก ที่
กรมไปรษณียโ์ ทรเลขไดอ้ นมุ ัตคิ ลน่ื ควำมถี่วทิ ยใุ ห้
องคก์ ำรโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) ซึง่ กค็ ือบรษิ ทั
ทศท. คอร์ปอเรชนั่ จำกัด (มหำชน) ในปัจจบุ ัน เพ่อื ดำเนิน
ธุรกิจกำรใหบ้ รกิ ำรโทรศัพทเ์ คลื่อนท่ีระบบ NMT (Nordic
Mobile Telephone) ควำมถ่ี 470 เมกกะเฮติ รซ์ เมือ่ เดือน
กันยำยน พ.ศ.2529 ตัง้ แตน่ ้นั เปน็ ต้นมำธรุ กิจ
โทรศัพทเ์ คล่อื นทีใ่ นประเทศไทยกไ็ ด้เจรญิ เตบิ โตขึน้ มำ
ตำมลำดับ
ผ้ใู หบ้ รกิ ำรโทรศพั ท์เคลื่อนท่ีในประเทศไทย
1. บรษิ ัท ทีโอที จำกัด (มหำชน)
2.. บริษัท กสท โทรคมนำคม จำกัด (มหำชน)
3. ระบบดเี ทค (DTAC : Total Access Communication)
4. ระบบ เอไอเอส (AIS : Advance Info Service)
5. ระบบ ทรูมูฟ (True move)
6. ระบบไทยโมบำย (Thai Mobile)
7. บริษัท ฮทั ชสิ ัน ซเี อที ไวร์เลส มลั ตมิ ีเดีย จำกดั
บทที่ 5 ภำคกำรทำงำนของโทรศพั ทม์ ือถอื
ภำคนเ้ี ป็นภำคทเี่ กย่ี วกบั กำรทำงำนในส่วนของระบบ
Main ของเครื่องโทรศัพท์ท้ังหมด พวกกำรเปิดปิดเคร่ือง
กำรประมวลผลของเคร่ืองในส่วนต่ำงๆ กำรทำงำนใน
ส่วนน้ีสำคญั มำก เพรำะเปน็ ภำคพ้นื ฐำนทงั้ หมด ถำ้ ภำค
น้ีทำงำนไม่สมบูรณ์ จะสง่ ผลให้ภำคอ่ืนๆไม่สำมำรถ
ทำงำนได้
ภำคโครงสร้ำงหลัก BASEBAND ประกอบดว้ ย
ไอซีทีช่ ื่อวำ่ UI หรอื USER
INTERFACE เป็นตัวควบคมุ ส่งั งำน
1. UI หรอื USER INTERFACE
2. แฟลชคอนเนคเตอร์ FLASH CONNECTOR
3 HEAD SET และ CHARGER CONNECTOR
ชุดหูฟัง หรือชุดเช่อื มตอ่ ระหวำ่ งโทรศัพทเ์ คลอ่ื นทีก่ บั สมอลล์
ทอล์ค
ชุดชำร์จ หรือชุดเช่อื มตอ่ ระหว่ำงโทรศพั ท์เคล่ือนที่กบั อแดปเตอร์
หรือชำรจ์ เจอร์
4. แบตเตอร่ี BATTERY แหลง่ จ่ำยพลังงำนหลกั สำหรับ
วงจรในโทรศพั ท์เคลอื่ นทท่ี ั้งหมด
5. CHAPS ไอซี ชำร์จทีค่ วบคมุ กำรจำ่ ยกระแสและประจไุ ฟฟ้ำให้
กับ แบตเตอรีถ่ ูกควบคุมโดยไอซีท่ีชื่อว่ำ CCON และ CPU
6. SIM CARD เปน็ สว่ นหน่ึงของอปุ กรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่
ภำยในเป็น CHIP IC MEMORY ขนำดเลก็
7. COBBA เป็น ASIC ไอซี หรอื APPLICATION
SPECIFIC INTEGRATED CIRCUIT ทำหนำ้ ที่ เชอื่ มโยงหรือ
INTERFACE ระหวำ่ ง ภำคเบสแบนด์กบั ภำควิทยุ แปลง
สญั ญำณเสียง
32.76 KHz(SLEEP CLOCK)เป็นคริสตอล กาหนด
สญั ญาณนาฬกิ า
9. CCONT หน้ำที่หลักๆ คือกำรจ่ำยแรงดนั ไฟหรอื กระจำย
แรงดันไฟไปยงั ภำคตำ่ งๆ ทง้ั หมด
10. ไมโครโฟน MICROPHONE ทำหนำ้ ที่แปลงควำมถี่เสยี ง
ใหเ้ ปน็ สัญญำณไฟฟ้ำหรือ AF (AUDIO FREQUENCY)
11. หฟู งั หรือลำโพง EARPIECE , SPEAKER ทำหนำ้ ท่ี
แปลงสัญญำณไฟฟำ้ ให้เปน็ ควำมถเี่ สียง หรอื AF โดยผำ่ น
วงจรขยำยเสียงหรอื AMPLIFIER
12. ปมุ่ กด KEY PAD ทำหนำ้ ท่มี อดเู ลท
13. จอ LCD ทำหน้ำทแ่ี สดงผล
บทท6่ี ภำควทิ ยภุ ำค RF หรอื ภำค Radio Frequency
กำรผสมสญั ญำณเสียงกับสัญญำณวิทยุ
เพรำะสญั ญำณวิทยเุ ปน็ สัญญำณท่เี รำ สำมำรถสง่ ไปไกลเทำ่ ไรก็
ไดต้ ำมท่เี รำตอ้ งกำรเม่อื เรำทำกำรนำสญั ญำณเสยี งที่เป็นสัญญำณ
อนำลอกมำทำกำรผสมกบั สัญญำณวิทยแุ ล้ว ก็จะทำใหเ้ สียงท่เี รำ
พดู นั้นออกไปได้ไกล สำมำรถไดย้ ินเสียงอยำ่ งชดั เจน เงื่อนไข
นเี้ รยี กวำ่ “ กำรผสมสัญญำณ “ หรือ กำร MOD (
Modulator )
ปกติควำมถวี่ ิทยุน้นั เรำสำมำรถกำหนดควำมถ่ีวทิ ยขุ ึน้ มำเองได้
โดยควำมถี่ทีไ่ ด้จะต้องมตี ัวกำเนิดควำมถกี่ อ่ น ซง่ึ ตัวกำเนิด
ควำมถน่ี ้ันเรยี กวำ่ OSC หรอื Oscillator ตวั OSC เปน็
วงจรผลิตควำมถ่ีประเภทหนง่ึ ถำ้ อยูใ่ นวงจรของ
โทรศพั ทเ์ คล่อื นที่ ก็คอื ตัว VCO เมื่อเรำมีสร้ำงควำมถว่ี ทิ ยขุ ึ้น
มำแลว้ ก็จะนำควำมถี่นัน้ ไปผสมกับสัญญำณเสียงทเ่ี รำพูด
หรือ สัญญำณอนำลอ็ ก สรปุ วำ่ เง่ือนไขน้กี ค็ อื “ ต้องมตี ัวผลติ
ควำมถ่ี “
วงจรผลติ ควำมถี่วิทยุ ( เพ่ือจะนำสญั ญำณวิทยุไปผสมกบั
สญั ญำณอนำล็อก )
1. HAGAR เป็นไอซี โปรเซสเซอร์ ซึ่งรวมเอำภำครบั ภำคส่ง
และภำคสังเครำะหค์ วำมถี่ หรอื ภำคผลิตควำมถ่ีท้องถ่ินเข้ำ
ดว้ ยกัน
2. VCO (VOLTAGE CONTROL OSCILLATOR) วงจร
แรงดนั ไฟควบคุมกำรผลิตควำมถ่ี หรือควำมหมำยอีกนยั หนงึ่
คอื ควำมถท่ี เ่ี กดิ จำกกำรจ่ำยแรงดันไฟซง่ึ แรงดันไฟ
เปลี่ยนแปลงไปควำมถกี่ ็จะเปล่ียนแปลงด้วย
3. 26MHzหรือ VCTCXO ทำหน้ำที่ 2 หนำ้ ท่ี ผลิตสัญญำณ
นำฬิกำ 26 MHz สง่ เขำ้ ไปหำร 2 ใน HAGAR ได้ 13 MHz
แลว้ จำ่ ยใหก้ บั CPU หรือเรยี กว่ำ SYSTEM CLOCK (RFC)
ผลติ สญั ญำณนำฬิกำเพ่ือเปน็ ควำมถ่อี ้ำงองิ หรอื FREQUENCY
REFERENCE ใหว้ งจร เฟส ล็อก ลปู PLL ใน HAGAR
4. สวิทซ์แอนเทนน่ำ SWITCH ANTENNA หรือ DIPLEXER
ทำหน้ำทแี่ ยกสัญญำณระหว่ำงระบบ GSM และระบบ PCN,DCS
หรอื ระบบ 1800 และแยกสัญญำณจำกภำครับ RX และ
ภำคสง่ TX ออกจำกกัน
5. ฟลิ เตอร์ หรือ แบนด์พำสฟิลเตอร์ หรือ SAW ฟลิ เตอร์
SAW หรือ SURFACE ACOUSTIC WAVE เปน็ ฟิลเตอรท์ ม่ี ี
2 ระบบ อย่ใู นตวั เดยี วกนั หรอื เรยี กอีกชื่อว่ำ DUAL SAW
FILTER ทำหน้ำทีก่ รองสัญญำณและกำหนดควำมถใ่ี หต้ รงตำม
กำหนด
6. LNA หรือ LOW NOISE AMPLIFIER เปน็ วงจรขยำย
สญั ญำณรบกวนตำ่ ซง่ึ เปน็ ทรำนซิสเตอร์
7. บำลัน BALUN TRANSFROMER คือ หม้อแปลงเกี่ยวกบั
ควำมถี่ ทท่ี ำหนำ้ ทกี่ ำหนดควำมสมดุลของสัญญำณให้เปน็ บวก
และลบ เพอื่ ใหม้ คี วำมเหมำะสมทั้งสัญญำณทำงดำ้ นเข้ำและออก