พระราชกรณี ยกิ จของ
พระมหากษั ตริ ย์ ไทย
นายปภังกร กลิ่นบัวแย้ม ม.4/4 เลขที่ 3
สมเด็ จพระรามาธิ บดี ที่ 1
(พระเจ้ าอู่ ทอง)
พ ร ะ ร า ช ป ร ะ วั ติ พระนาม
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้า • สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตร
อู่ทอง ทรงเป็นพระปฐมบรมกษัตริย์แห่ง (พระนามในพระราชพิธีขึ้นครองราชย์)
อาณาจักรอยุธยา เสด็จพระราชสมภพ • สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (หลังขึ้นครองราชย์)
เมื่อ พ.ศ. 1893 ทรงสถาปนากรุง • พระยาอู่ทอง (ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์)
ศรีอยุธยาเป็นราชธานีของอาณาจักร • สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสินทร บรมมหาจักรพร
อยุธยา เมื่อ จุลศักราช 712 ปีขาล รดิศรราชาธิราช (ในโองการแช่งน้ำ)
โทศก วันศุกร์ เดือนห้า ขึ้นหกค่ำ เวลา • สมเด็จพระรามาธิบดี ศรีสุนทรบรมจักรพัตราธิ
3 นาฬิกา 9 บาท (ตรงกับ พ.ศ. 1893) ราช (ในกฎหมายลักษณะอาญาราษฎร์)
มีพระนามเต็มว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรี • สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุรินทร บรมจักรพรรดิศร
สุนทรบรมบพิตร พระเจ้าอยู่หัว และ บวรมหาธรรมิกราชาธิราช (ในกฎหมายลักษณะ
เสด็จสวรรคต เมื่อ ปีระกา เอกศก อาญาหลวง)
จุลศักราช 731 (ตรงกับ พ.ศ. 1912)
ครองราชสมบัติ 20 ปี ผู้สืบราชพระราช
บัลลังก์ต่อคือ สมเด็จพระราเมศวร
ที่มาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
แนวความคิดที่ 1
พระเจ้าอู่ทองมาจากอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นแนวความคิดของสมเด็จกรม
พระยาดำรงราชานุภาพ แต่ในปัจจุบันแนวความคิดนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วเนื่องจากการ
สำรวจหลักฐานทางโบราณคดีของ อ.มานิต วัลลิโภดม ที่เมืองอู่ทองแล้วพบว่า เป็น
ศิลปกรรมสมัยทวารวดีตอนปลาย ราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 17 ทั้งสิ้น แล้วประมาณอายุ
เมืองนี้ว่าต้องร้างไปก่อนสมัยสมเด็จพระรามาธิบดี ผู้สร้างพระนครศรีอยุธยาราว 200 ปี
ศาสตราจารย์ชอง บวสเซอลิเย่ แห่งมหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศสมาร่วมขุดค้นทาง
โบราณคดีที่เมืองอู่ทอง อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2511 สรุปว่า
เมืองอู่ทองโบราณนี้ร้างไปแล้วเป็นเวลาถึง 300 ปีก่อนยุคของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
แนวความคิดที่ 2
สืบเชื้อสายมาจากกลุ่มผู้ปกครองทางเหนือ ในตำนานสิงหนวัติกล่าวว่า พระเจ้าอู่ทอง
สืบเชื้อสายมาจากพระเจ้าพรหมกุมาร มีต้นวงศ์อยู่ที่เมืองเชียงแสนหรือแคว้นโยนกนคร
ต่อมาพระเจ้าพรหมได้อพยพมาสร้างเมืองที่เชียงรายหรือเวียงไชยปราการ กษัตริย์ที่เวียง
ไชยปราการที่ปกครองสืบต่อมาถูกเมืองสุธรรมวดีรุกราน จึงอพยพอยู่แถบบริเวณเมือง
ไตรตรึงส์สืบต่ออายุมาหลายชั่วคน จนถึงพระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ที่ได้
สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
แนวความคิดที่ 3
พระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองเพชรบุรี(พริบพรี) ที่กล่าวถึงในจดหมายเหตุลาลูแบร์ในสมัย
สมเด็จพระนารายณ์ รวมถึงยังมีตำนานที่กล่าวอ้างอิงถึงอยู่บ้าง โดยกล่าวว่า สมเด็จพระบรม
ราชาสถาปนาพระพุทธไตรรัตนนายกได้ 1 ปีก็เสด็จออกผนวช แล้วสถาปนาเจ้าชายวรเชษฐ์ ให้
เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ครั้นลาสิกขาแล้ว ก็โปรดให้เจ้าชายวรเชษฐ์ไปครองเมือง
เพชรบุรี ซึ่งตำนานระบุว่าต่อมาคือสมเด็จพระรามาธบดีที่ 1
แนวความคิดที่ 4
แนวความคิดที่ว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นชาวจีน เป็นเพียงการอ้างอิงจากพงศาวดารฉบับวันวลิต
อีกทั้งก็ไม่มีหลักฐานทางโบราณคดีมาสนับสนุน ข้อสันนิษฐานนี้จึงไม่มีน้ำหนักมากพอเช่นกัน
ที่มาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
แนวความคิดที่ 5
พระเจ้าอู่ทองอยู่ที่บริเวณอยุธยานี้เดิมอยู่แล้ว เดิมเป็นเจ้าเมืองอโยธยา เมื่อมีโรคระบาด
ดังกล่าวก็ได้เสด็จมาสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณที่เป็นกรุงศรีอยุธยาในปัจจุบัน
แนวความคิดที่ 6
พระเจ้าอู่ทองสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองลพบุรี โดยอ้างหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรจาก
ชินกาลมาลีปกรณ์ ที่กล่าวถึงกษัตริย์จากเมืองอโยธยปุระเสด็จมาจากเมืองกัมโพชหรือลพบุรีใน
ปัจจุบันมายึดเมืองชัยนาทหรือพิษณุโลกในปัจจุบัน แล้วตั้งขุนนางชื่อวัฏเดชหรือขุนหลวงพะงั่ว
ครองเมืองสุพรรณภูมิ ญาติของวัฏเดชได้อภิเษกกับพระเจ้าอู่ทองแล้วพระองค์ก็ได้เสด็จกลับ
ไปที่เมืองอโยธยปุระ
แนวความคิดที่ 7
อพยพหนีการกบฎของทาสชาวเขมรมาจากนครวัด โดยหัวหน้าทาสที่ก่อการกบฎมีนามว่า
แตงหวาน (ตระซก ประแอม) ซึ่งพงศาวดารเขมรฉบับแรกสุด (ที่ยังไม่มีอิทธิพลของฝรั่งเศส)
ก็อ้างว่าตระซกประเอมนี้คือบรรพบุรุษต้นกำเนิดของชาวเขมร การที่ชินกาลมาลีปกรณ์แห่งล้าน
นาบันทึกว่าพระเจ้าอู่ทองมาจากแคว้นกัมโพช ก็ตรงกันว่า แม้อพยพมาอยู่อยุธยาก็ยังคงเป็น
กษัตริย์ของกัมโพช (นครวัด) ดังเดิม
ตามหลักฐานและโบราณคดี
ทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ในแนวคิดที่ 4 5 และ 6 สามารถผนวก
รวมกันได้ กล่าวคือ เมื่อพิจารณาตำนานทั้งหลายแล้ว เจ้าชายวรเชษฐ์ ทรงเป็นพระโอรสใน
พระเจ้าบรมราชา กษัตริย์แห่งอาณาจักรละโว้ (แนวความคิดที่ 6) ต่อมาพระราชชนกโปรดให้ไป
ครองเมืองพริบพรี (แนวความคิดที่ 3) และหลังจากพระราชชนกเสด็จสวรรคตแล้ว ทรงกลับ
มาครองเมืองอโยธยา (แนวความคิดที่ 5) จากนั้นจึงเกิดโรคระบาด จึงทรงย้ายที่ตั้งเมือง
มายังตำแหน่งปัจจุบัน
พระราชกรณียกิจ
การสถาปนากรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเมื่อวันศุกร์
ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 5 ปีขาล จุลศักราช 712 ตรงกับวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 ชีพ่อพราหมณ์
ถวายพระนามว่า สมเด็จพระรามาธิบดี แล้วโปรดให้ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งเป็นพระเชษฐาของพระ
มเหสีเป็น สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า ไปครองเมืองสุพรรณบุรี ส่วนพระราเมศวร รัชทายาท
ให้ไปครองเมืองลพบุรี
การทำสงครามกับเขมร
ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 พระองค์ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับแว่นแคว้นต่างๆ
มากมาย แม้กระทั่ง ขอม ซึ่งก็เป็นมาด้วยดีจนกระทั่งกษัตริย์ขอมทรงสวรรคต พระราชโอรส
นาม พระบรมลำพงศ์ ทรงขึ้นครองราชย์ ซึ่งพระบรมลำพงศ์ก็แปรพักตร์ไม่เป็นไมตรีดังแต่
ก่อน สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 จึงมีบัญชาให้ สมเด็จพระราเมศวร ยกทัพไปตีกัมพูชา และให้
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือ ขุนหลวงพะงั่ว ทรงยกทัพไปช่วย จึงสามารถตีเมืองนคร
ธมแตกได้ พระบรมลำพงศ์ทรงสวรรคตในศึกครั้งนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 จึงแต่งตั้ง
ปาสัต พระราชโอรสของพระบรมลำพงศ์เป็นกษัตริย์ขอม
พระราชกรณียกิจ
ตรากฏหมาย
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ทรงประกาศใช้กฎหมายถึง 10 ฉบับ ในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่
พระราชบัญญัติลักษณะพยาน
พระราชบัญญัติลักษณะอาญาหลวง
พระราชบัญญัติลักษณะรับฟ้อง
พระราชบัญญัติลักษณะลักพา
พระราชบัญญัติลักษณะอาญาราษฎร์
พระราชบัญญัติลักษณ์โจร
พระราชบัญญัติเบ็ดเสร็จว่าด้วยที่ดิน
พระราชบัญญัติลักษณะผัวเมีย
พระราชบัญญัติลักษณะโจรว่าด้วยโจร
ในประวัติศาสตร์บางแหล่งบอกว่ามีมากกว่านี้ แต่เท่าที่หาหลักฐานได้ มีเพียงเท่านี้เท่านั้น
ศาสนา
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างวัดต่าง ๆ เช่น วัด
พุทไธศวรรย์ (สร้างปี พ.ศ. 1876) วัดป่าแก้ว (สร้างปี
พ.ศ. 1900) และวัดพระราม (สร้างปี พ.ศ. 1912)
การค้าขาย และสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ
ในด้านไมตรีกับต่างประเทศในสมัยเมื่อสร้าง
กรุงศรีอยุธยานั้น ฝรั่งกับญี่ปุ่นยังไม่มีมาค้าขาย
แต่การไปมาค้าขายกับเมืองจีน, แขก, จาม, ชวา, มลายู ตลอดจนอินเดีย, เปอร์เซีย และ ลังกา
นั้นไปถึงกันมานานแล้ว สำหรับการค้าขายกับจีนนั้น ราชวงศ์อู่ทองของไทย ตรงกับราชวงศ์หมิง
ของจีน พระเจ้าหงอู่ แห่งราชวงศ์หมิงเมื่อทราบว่ากรุงศรีอยุธยาตั้งเป็นอิสรภาพก็แต่งให้ หลุย
จงจุ่น เป็นราชทูตเข้ามาเจริญพระราชไมตรีถึงกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงแต่งให้ราชทูตออกไป
เมืองจีนพร้อมกับราชทูตจีน เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับจีนในคราวนั้นด้วย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 7)
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (8 พฤศจิกายน พ.ศ.
2436 – 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484) เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี
เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ปีมะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือตรงกับวันที่
8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 96 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว เป็นพระองค์ที่ 14 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี
หลวง ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และทรง
สละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 รวมดำรงสิริราชสมบัติ 9 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อ
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 สิริพระชนมพรรษา 47 พรรษา สำหรับชีวิตส่วนพระองค์นั้น
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ (ต่อมา
เฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี) ไม่มีพระราชโอรสและพระราช
ธิดา แต่มีพระราชโอรสบุญธรรมคือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต หลังสวรรคต
พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง
สหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536
พระราชกรณียกิจ
การทำนุบำรุงบ้านเมือง
สืบเนื่องจากผลของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ประเทศทั่วโลกประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจ
ตกต่ำ ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองค์ได้ทรงพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การควบคุมงบประมาณ ตัดทอนรายจ่าย ลดอัตราเงินเดือนข้าราชการ รวม
ถึงการลดจำนวนข้าราชการ ปรับปรุงระบบภาษี การเก็บภาษีเพิ่มเติม ยุบรวมจังหวัด เลิก
มาตรฐานทองคำเปลี่ยนไปผูกกับค่าเงินของอังกฤษ เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้
ประชาชนได้มีโอกาสร่วมกันประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
ตราพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ขึ้น
การสุขาภิบาลและสาธารณูปโภค โปรดให้ปรับปรุงงานสุขาภิบาลทั่วราชอาณาจักรให้ทัดเทียม
อารยประเทศ ด้านการสื่อสารและการคมนาคมนั้น ได้มีการอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของ
พระองค์จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบรมมหาราชวัง ถ่ายทอดเสียงทางวิทยุเป็นครั้งแรก
ของประเทศไทยในพิธีเปิดสถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พระราชวังพญาไท ในส่วนกิจการรถไฟ ขยาย
เส้นทางรถทางทิศตะวันออกจากทางจังหวัดปราจีนบุรี จนกระทั่งถึงต่อเขตแดนประเทศกัมพูชา
ในปี พ.ศ. 2475 เป็นวาระที่กรุงเทพมหานครมีอายุครบ 150 ปี ทรงจัดงานเฉลิมฉลองโดย
ทำนุบำรุงบูรณปฏิสังขรณ์สิ่งสำคัญอันเป็นหลักของกรุงเทพมหานครหลายประการ คือ บูรณะ
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง, สร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธ
ยอดฟ้าเชื่อมฝั่ งกรุงเทพมหานครและฝั่ งธนบุรีเพื่อเป็นการขยายเขตเมืองให้กว้างขวาง เป็นต้น
สำหรับในเขตหัวเมือง ทรงได้จัดตั้งสภาจัดบำรุงสถานที่ชายทะเลทิศตะวันตกขึ้น เพื่อทำนุบำรุง
หัวหินและใกล้เคียงให้เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเล
พระราชกรณียกิจ
การปกครอง
1. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชปรารภจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่ถูก
ทักท้วงจากพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่จึงได้ระงับไปก่อนซึ่ง หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล มีดำรัสถึง
เรื่องนี้ว่า ส่วนพระเจ้าอยู่หัวเองนั้น [พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว] ทรงรู้สึกยิ่งขึ้นทุกที
ว่าการปกครองบ้านเมืองในสมัยเช่นนี้ เป็นการเหลือกำลังของพระองค์ที่จะทรงรับผิดชอบได้
โดยลำพังแต่ผู้เดียว พระองค์ทรงรู้ดีว่า ทรงอ่อนทั้งในทาง physical และ mental จึงมีพระ
ราชปรารถนาจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ช่วยกันรับผิดชอบให้เต็มที่อยู่เสมอ”
2. เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติโดยคณะราษฎร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยพระองค์ทรง
ยินยอมสละพระราชอำนาจและเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงให้ตรวจตราตัวบท
กฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะเป็นหลักในการปกครองอย่างถี่ถ้วน
3. มีพระราชดำริให้จัดระเบียบการปกครองรูปแบบเทศบาลขึ้น เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นรู้จัก
เลือกตัวแทนเข้าไปบริหารและจัดการงานต่าง ๆ ของชุมชน โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราช
บัญญัติเทศบาล ขึ้นแต่มิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์เนื่องจากเกิดการปฏิวัติสยาม พ.ศ.
2475
พระราชกรณียกิจ
การศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรม
1. ทรงส่งเสริมการศึกษาของชาติทั้งส่วนรวมและส่วนพระองค์ โปรดให้สร้างหอพระสมุดสำหรับ
พระนคร เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าศึกษาได้อย่างเสรี ทรงตั้งราชบัณฑิตยสภา เพื่อมีหน้าที่
บริหารและเผยแพร่วิชาการด้านวรรณคดี โบราณคดี และศิลปกรรม ในด้านวรรณกรรม โปรด
ตราพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมใน พ.ศ. 2475
2. พระราชทานเงินส่วนพระองค์ เป็นรางวัลแก่ผู้แต่งหนังสือยอดเยี่ยม และให้ทุนนักเรียนไป
ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศ การศาสนา ทรงปลูกฝังเยาวชนให้มีคุณธรรมดีงาม
โดยยึดหลักคำสอนของพระพุ ทธศาสนา
3. พระองค์ทรงสถาปนาราชบัณฑิตย์สภาขึ้น (เดิมคือ กรรมการหอพระสมุดสำหรับพระนคร)
เพื่อจัดการหอพระสมุดสำหรับพระนครและสอบสวนพิจารณาวิชาอักษรศาสตร์ เพื่อจัดการ
พิพิธภัณฑสถานตรวจรักษาโบราณสถานและโบราณวัตถุ และเพื่อจัดการบำรุงรักษาวิชา
ช่าง[43] ผลงานของราชบัณฑิตสภาเป็นผลดีต่อการอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของ
ชาติเป็นอย่างมาก
4. ทรงอนุรักษ์ดนตรีไทยไว้ด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้เพราะได้ทรงสนพระราชหฤทัยในวิชาดนตรี
ไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เข้าถวายการ
ฝึกสอนจนสามารถ พระราชนิพนธ์ทำนองเพลงไทยได้ ถึง 3 เพลง คือ เพลงราตรีประดับดาว
เถา เพลงเขมรลออองค์เถา และเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่ ง