The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ubonrat Somyaprasert, 2020-05-07 03:44:04

บทนำวรรณคดี

บทนำวรรณคดี

บทนำวรรณคดี

กำรเรียนวรรณคดีไทยในระดบั มธั ยมศึกษำตอนตน้ มีควำมมุ่ง
หมำยประกำรสำคญั คือ ให้ผูเ้ รียนไดศ้ ึกษำและภูมิใจในวรรณคดีไทยอนั
เป็นมรดกท่ีล้ำค่ำของชำติ พฒั นำทกั ษะกำรอ่ำน และสำมำรถพนิ ิจคุณค่ำ
ของวรรณคดีแลว้ นำควำมรู้และขอ้ คิดจำกกำรอ่ำนไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิต
จริงตลอดจนเป็นกำรศึกษำวฒั นธรรมทำงภำษำไทยไปพร้อมกนั ดว้ ย

ควำมหมำยของวรรณคดี

“วรรณคดี” มำจำกคำว่ำ “วรรณ” (ภำษำบำลีใช้ว่ำ วณฺ ณ,
สนั สกฤตใชว้ ำ่ วรฺณ) ซ่ึงแปลวำ่ หนงั สือ กบั คำวำ่ “คดี” ซ่ึงมำจำกคำวำ่ “คติ”
แปลวำ่ แบบอยำ่ ง วธิ ี หรือแนวทำง รวมควำมวำ่ วรรณคดี แปลตำมรูปศพั ท์
หมำยถึง แบบอยำ่ งหรือแนวทำงแห่งหนงั สือ

พจนำนุกรมฉบบั รำชบณั ฑิตยสถำน พุทธศกั รำช ๒๕๔๒ ได้ให้
ควำมหมำยของคำวำ่ วรรณคดีไวว้ ำ่ หนงั สือท่ีไดร้ ับกำรยกยอ่ งวำ่ แต่งดี

แนวทำงกำรพินิจวรรณคดี

กำรอ่ำนเพ่ือกำรพินิจหรือกำรพิจำรณำวรรณคดีน้นั อำจใชค้ ำ
เรียกหลำกหลำยวำ่ กำรวจิ กั ษณ์ (วิจกั ษ)์ กำรวิจำรณ์ หรือกำรวิเครำะห์ แต่มี
ควำมหมำยไปในแนวทำงเดียวกนั คือ กำรอ่ำนอย่ำงใคร่ครวญ ศึกษำให้
ถ่องแท้ พิจำรณำว่ำหนังสือน้ัน ๆ แต่งดีอย่ำงไร ใช้ถอ้ ยคำไพเรำะลึกซ้ึง
เพียงใดและให้คุณค่ำ ขอ้ คิด หรือคติสอนใจอย่ำงไร เพ่ือให้เขำ้ ใจและ
ตระหนกั ในคุณค่ำของวรรณคดี สำหรับแนวทำงในกำรพิจำรณำวรรณคดี
มีดงั น้ี

พิจำรณำเน้ือหำวรรณคดี

เน้ือหำของวรรณคดีมีหลำยประเภท เมื่อจำแนกตำมจุดประสงค์
ในกำรประพนั ธ์ ดงั น้ัน ผูเ้ รียนจึงควรเขำ้ ใจเน้ือหำของเรื่องท่ีอ่ำนโดยสรุป
เพือ่ นำไปสู่กำรพิจำรณำในข้นั ตอนต่อไป ประเภทของวรรณคดี มีดงั น้ี

๑.วรรณคดีศำสนำ มีเน้ือหำมุ่งแสดงหลกั คำสอนทำงศำสนำ ผลแห่ง
กำรกระทำควำมดีและควำมชว่ั เช่น ไตรภูมิพระร่วง มหำชำติคำหลวง ปฐม
สมโพธิกถำ เป็นตน้

๒. วรรณคดีคำสอน มีเน้ือหำเป็นแนวทำงในกำรประพฤติปฏิบตั ิตน
ในสังคม เช่น สุภำษิตพระร่วง กฤษณำสอนนอ้ งคำฉนั ท์ โคลงโลกนิติ อิศร
ญำณภำษิต เป็นตน้

พจิ ำรณำเน้ือหำวรรณคดี

๓. วรรณคดีประเพณีและพิธีกรรม เป็นวรรคดีท่ีให้รำยละเอียดเกี่ยวกบั
ประเพณีและใช้ในกำรประกอบพิธีกรรมต่ำง ๆ เช่น ลิลิตโองกำรแช่งน้ำ
ลิลิตพยหุ ยำตรำเพชรพวง พระรำชพิธีสิบสองเดือน ฉนั ทด์ ุษฎีสังเวยกล่อม
ชำ้ ง กำพยเ์ ห่เรือสำนวนต่ำง ๆ เป็นตน้

๔. วรรณคดีประวตั ิศำสตร์ เป็ นวรรณคดีท่ีบนั ทึกหรือมีเน้ือหำเกี่ยวกบั
เหตุกำรณ์สำคญั ในประวตั ิศำสตร์ กำรสดุดีวรี ชนผกู้ ลำ้ หำญ เช่น โคลงยวน
พ่ำย รำชำธิรำช ลิลิตตะเลงพ่ำย โคลงชะลอพระพุทธไสยำสน์ พระรำช
พงศำวดำรฉบบั หลวงประเสริฐอกั ษรนิติ เป็นตน้

พิจำรณำเน้ือหำวรรณคดี

๕. วรรณคดีบนั ทึกกำรเดินทำง มีเน้ือหำเป็นบนั ทึกควำมรู้และ
กำรเดินทำงของกวี จดั เป็นวรรณคดีประเภทนิรำศ มีเน้ือควำมพรรณนำถึง
ควำมอำลัยรักต่อสตรี หรือบรรยำยสภำพบ้ำนเมือง ผูค้ น สังคม และ
วฒั นธรรมต่ำง ๆ ตลอดกำรเดินทำง เช่น นิรำศนรินทร์ นิรำศพระบำท
นิรำศหริภุญชยั นิรำศนครวดั ลิลิตพำยพั เป็นตน้

๖. วรรณคดีเพ่ือควำมบนั เทิง วรรณคดีประเภทน้ีแต่งข้ึนเพ่ือแสดง
มหรสพประเภทต่ำง ๆ เร่ืองรำมเกียรต์ิสำหรับใชแ้ สดงโขน เร่ืองพระอภยั
มณีสำหรับใชแ้ สดงหุ่นกระบอก มทั นะพำธำสำหรับใชแ้ สดงละครพดู

พิจำรณำรูปแบบกำรแต่ง

รูปแบบ หมำยถึง ลักษณะของงำนประพันธ์ที่ผูแ้ ต่งหรือกวี
เลือกใชใ้ นกำรนำเสนอผลงำน แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. วรรณคดีร้อยกรอง หมำยถึง วรรณคดีที่แต่งข้ึนตำมรูปแบบฉนั ทลกั ษณ์
มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับท่ีค่อนข้ำงแน่นอน เช่น สัมผสั ระหว่ำงวรรค จำนวนคำ
ระดบั เสียงสูงต่ำ และควำมหนกั เบำของคำ เช่น โคลง ฉนั ท์ กำพย์ กลอน ร่ำย ลิลิต
กำพยห์ ่อโคลง เป็นตน้

๒. วรรณคดีร้อยแกว้ หมำยถึง วรรณคดีท่ีแต่งเป็ นควำมเรียงดว้ ยถอ้ ยคำ
และถ้อยควำมที่สละสลวย ไพเรำะเหมำะสมด้วยเสียงและควำมหมำย ไม่มี
กฎเกณฑข์ อ้ บงั คบั ในกำรแต่งเหมือนวรรณคดีร้อยกรอง

พจิ ำรณำคุณค่ำของวรรณคดี

กำรพิจำรณำคุณค่ำของวรรณคดี แบ่งเป็ น ๒ ประเภท คือ
คุณคำ่ ดำ้ นเน้ือหำและคุณคำ่ ดำ้ นวรรณศิลป์

๑. คุณค่ำดำ้ นเน้ือหำ คือ กำรพิจำรณำเน้ือหำท่ีใหค้ ุณประโยชน์ ซ่ึง
ผอู้ ่ำนควรอ่ำนอยำ่ งมีวิจำรณญำณ หำคุณค่ำของวรรณคดีอยำ่ งมีหลกั เกณฑ์
สำหรับแนวทำงในกำรพิจำรณำคุณค่ำดำ้ นเน้ือหำ มีหลำยประกำร ดงั น้ี

๑.๑) ควรพิจำรณำว่ำผแู้ ต่งมีจุดมุ่งหมำยอย่ำงไร เน้ือเร่ืองมีแนวคิด
ใหค้ ำสอน คติธรรม ขอ้ เตือนใจ หรือใหแ้ นวทำงในกำรดำเนินชีวิตอยำ่ งไร

๑.๒) พิจำรณำภำพสะท้อนของสังคม วิถีชีวิตควำมเป็ นอยู่
วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ควำมเช่ือ และค่ำนิยมต่ำง ๆ ในสมยั
ของผแู้ ต่ง

พิจำรณำคุณค่ำของวรรณคดี

๑.๓) พิจำรณำคุณค่ำในด้ำนควำมรู้ท่ีจะช่วยเสริมสร้ำงปัญญำแก่
ผอู้ ำ่ น

๒.คุณค่ำดำ้ นวรรณศิลป์ เป็ นกำรพิจำรณำกำรใช้ถอ้ ยคำ สำนวน
โวหำรท่ีแสดงควำมสำมำรถของผแู้ ต่งวำ่ ใชศ้ ิลปะทำงภำษำในกำรเรียบเรียง
คดั สรรถอ้ ยคำ สำนวนโวหำร เพื่อสื่อให้ผอู้ ่ำนไดร้ ับควำมเพลิดเพลินและ
เกิดสุนทรียะทำงอำรมณ์อยำ่ งไร

วรรณศิลป์ เป็ นภำษำเฉพำะที่ผูแ้ ต่งคดั สรรคำมำใชใ้ นงำนประพนั ธ์
ไดอ้ ย่ำงไพเรำะงดงำม มีกำรใชโ้ วหำรภำพพจน์เพ่ือให้ผูอ้ ่ำนเกิดจินตภำพ
และควำมรู้สึกคลอ้ ยตำมเหตุกำรณ์ในตอนต่ำง ๆ ของเน้ือเร่ือง

วรรณศิลป์ ในวรรณคดีไทย

วรรณศิลป์ ในวรรณคดีไทยเป็ นเคร่ื องสะท้อนให้เห็นว่ำงำน
ประพนั ธ์แต่ละเร่ืองจะตอ้ งเลือกสรรคำประพนั ธ์ให้เหมำะสมกบั ผลงำน
เพือ่ สื่อควำมหมำยและถอ้ ยคำที่ไพเรำะสละสลวยอนั เป็นลกั ษณะเฉพำะของ
ภำษำกวีและทำให้ผูอ้ ่ำนเกิดควำมสะเทือนอำรมณ์ กลวิธีในกำรพิจำรณำ
วรรณศิลป์ ในวรรณคดีไทย มีดงั น้ี

๓.๑ รสวรรณคดี เป็นส่ิงที่สัมผสั ไดด้ ว้ ยตำและหู เป็นรสที่บ่งบอก
ถึงสภำวะของอำรมณ์ถำ้ วรรณคดีเรื่องใดสำมำรถโน้มน้ำวใจผูอ้ ่ำนให้เกิด
ควำมเพลิดเพลินและเกิดอำรมณ์ฝ่ ำยสูง วรรณคดีเร่ืองน้ันก็มีคุณค่ำทำง
วรรณศิลป์ และรสวรรณคดียอ่ มถ่ำยทอดผ่ำนภำษำจำกผูแ้ ต่งสู่ผูอ้ ่ำน ดงั น้นั
ภำษำกบั วรรณคดีจึงแยกกนั ไม่ได้

รสวรรณคดีไทย แบ่งออกไดด้ งั น้ี

๑) เสำวรจนี เป็ นบทที่ชมควำมงำม ไม่ว่ำจะเป็ นควำมงำมของตวั
ละครหรือควำมงำมของสถำนที่ เช่น ควำมงำมของนำงศกนุ ตลำ
“ดูผวิ สินวลละอองอ่อน มะลิซอ้ นดูดำไปหมดสิ้น
สองเนตรงำมกวำ่ มฤคิน นำงน้ีเป็นป่ิ นโลกำ
งำมโอษฐด์ งั ใบไมอ้ ่อน งำมกรดงั ลำยเลขำ
งำมรูปเลอสรรขวญั ฟ้ำ งำมยงิ่ บุปผำเบ่งบำน”
(ศกนุ ตลำ : พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั )

รสวรรณคดีไทย แบ่งออกไดด้ งั น้ี

๒) นำรีปรำโมทย์ เป็นบทท่ีแสดงควำมรักใคร่หรือพดู จำโอโ้ ลมให้
อีกฝ่ ำยเกิดควำมปฏิพทั ธ์ เช่น บทแสดงควำมรักที่ทำ้ วชยั เสนมีต่อนำงมทั นำ
ผลิ ิ้นพ่จี ะมีหลำย
กท็ ุกลิ้นจะรุมกล่ำว แสดงรัก ณ โฉมฉำย
และทุกลิ้นจะเปรยปรำย ประกำศถอ้ ยปะฎิญญำ
พะจีวำ่ จะรักยดื บจำงจืดสิเนหำ
สบถใหล้ ะต่อหนำ้ พระจนั ทร์แจ่ม ณ เวหน.
(มทั นะพำธำ : พระบำทสมเดจ็ พระมงกฎเกลำ้ เจำ้ อยหู่ วั )

รสวรรณคดีไทย แบ่งออกไดด้ งั น้ี

๓) พิโรธวำธัง เป็ นบทแสดงควำมโกรธ ตดั พอ้ เหน็บแนม เสียดสี
หรือแสดงถึงควำมเคียดแคน้ เช่น
ตวั นำงเป็นไทแต่ใจทำส ไม่รักชำติรสหวำนมำพำนขม
ดงั่ สุกรฟอนฝ่ ำแต่อำจม ห่อนนิยมรักรสสุคนธำร
น้ำใจนำงเหมือนอยำ่ งชลำลยั ไม่เลือกไหลหว้ ยหนองคลองละหำน
เสียดำยทรงแสนวไิ ลแต่ใจพำล ประมำณเหมือนหน่ึงผลอุทุมพร
สุกแดงดงั่ แสงปัทมรำช ขำ้ งในลว้ นกิมิชำติเบียนบ่อน
( กำกีกลอนสุภำพ : เจำ้ พระยำพระคลงั (หน) )

รสวรรณคดีไทย แบ่งออกไดด้ งั น้ี

๔) สลั ลำปังคพิสัย เป็นบทที่แสดงกำรคร่ำครวญ โศกเศร้ำ เช่น
แลว้ วำ่ อนิจจำควำมรัก พ่ึงประจกั ษด์ ง่ั สำยน้ำไหล
ต้งั แต่จะเช่ียวเป็นเกลียวไป ท่ีไหนเลยจะไหลคืนมำ
สตรีใดในพิภพจบแดน ไม่มีใครไดแ้ คน้ เหมือนอกขำ้
ดว้ ยใฝ่ รักใหเ้ กินพกั ตรำ จะมีแต่เวทนำเป็นเนืองนิตย์

(อิเหนำ : พระบำทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลำ้ นภำลยั )

๓.๒ กำรใชภ้ ำพพจน์

พจนำนุกรมฉบบั รำชบณั ฑิตยสถำน พุทธศกั รำช ๒๕๕๔ ไดใ้ ห้
ควำมหมำยของ “ภำพพจน์” ว่ำ ถอ้ ยคำท่ีเป็ นสำนวนโวหำรทำให้นึกเป็ น
ภำพ ถอ้ ยคำท่ีเรียบเรียงอยำ่ งมีช้นั เชิงเป็นโวหำร มีเจตนำให้มีประสิทธิผล
ต่อควำมคิด ควำมเข้ำใจ ให้จินตนำกำรและถ่ำยทอดอำรมณ์ได้อย่ำง
กวำ้ งขวำงลึกซ้ึงมำกกวำ่ กำรบอกอยำ่ งตรงไปตรงมำ

กลวธิ ีในกำรนำเสนอภำพพจน์ท่ีแต่งนิยมใชใ้ นกำรประพนั ธ์ มีดงั น้ี

๓.๒ กำรใชภ้ ำพพจน์

๑) กำรใชค้ วำมเปรียบว่ำส่ิงหน่ึงเหมือนกบั ส่ิงหน่ึง เรียกว่ำ อุปมำ
โดยมีคำเปรียบปรำกฏอยใู่ นขอ้ ควำม คำเปรียบเหล่ำน้ี เช่น เสมือน ดุจ เฉก
ดงั ดง่ั ปูน เพียง เหมือน เป็นตน้ ดงั ตวั อยำ่ ง

...อนั สตรีรูปงำม ไม่ดีเท่ำสตรีที่น้ำใจงำม อนั สตรีรูปงำมอุปมำดงั
ดอกสำยหยดุ ทรงคนั ธรสประทิ่นอยู่แต่เวลำเชำ้ คร้ันสำยแสงสุริยส์ ่องกลำ้
แลว้ ก็สิ้นกลิ่นหอม อนั สตรีน้ำใจงำมน้ำใจดีซ่ือสัตยต์ ่อสำมีน้ันอุปมาดัง
ดอกซ่อนกล่ินดอกพกิ ลุ ยอ่ มหอมชื่นอยชู่ ำ้ นำน....

ตวั อยำ่ ง
กำรใชค้ วำมเปรียบวำ่ สิ่งหน่ึงเหมือนกบั ส่ิงหน่ึง

ออ่ นหวำนมำนมิตรลน้ เหลือหลำย
หยำบบ่มีเกลอกรำย เกล่ือนใกล้
ดุจดวงศศิฉำย ดำวดำษ ประดบั นำ
สุริยส่องดำรำไร้ เพ่ือร้อนแรงแสง
(โคลงโลกนิติ : สมเดจ็ พระเจำ้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยำเดชำดิศร)

๓.๒ กำรใชภ้ ำพพจน์

๑) กำรใชค้ วำมเปรียบว่ำสิ่งหน่ึงเป็ นอีกส่ิงหน่ึง เรียกว่ำ อุปลกั ษณ์
เป็ นภำพพจน์ที่นำส่ิงท่ีแตกต่ำงกนั แต่มีลกั ษณะร่วมกนั มำเปรียบเทียบกนั
โดยใชค้ ำเช่ือวำ่ เป็น คือ หรือไม่ปรำกฎคำเชื่อมกไ็ ด้
ชำยขำ้ วเปลือกหญิงขำ้ วสำรโบรำณวำ่ น้ำพ่ึงเรือเสือพ่งึ ป่ ำอชั ฌำสัย
เรำกจ็ ิตคิดดูเล่ำเขำกใ็ จ รักกนั ไวด้ ีกวำ่ ชงั ระวงั กำร
(อิศรญำณภำษิต : หม่อมเจำ้ อิศรญำณ)

ตวั อยำ่ ง
กำรใชค้ วำมเปรียบวำ่ ส่ิงหน่ึงเป็นอีกส่ิงหน่ึง

สำรสยำมภำคพร้อม กลกำนท์ น้ีฤำ
คือคูม่ ำลำสวรรค์ ช่อชอ้ ย
เบญญำพิศำลแสดง เดิมเกียรติ พระฤำ
คือคู่ไหมแสร้งร้อย ก่ึงกลำง
(ลิลิตยวนพำ่ ย : ไม่ปรำกฏนำมผแู้ ต่ง)

๓.๒ กำรใชภ้ ำพพจน์

๓) กำรสมมติใหส้ ่ิงต่ำง ๆ มีกิริยำอำกำรหรือควำมรู้สึกเหมือนมนุษย์
เรียกวำ่ บุคคลวตั เป็นกำรสมมติใหส้ ิ่งไม่มีชีวติ พืช สตั ว์ มีควำมคิดและกำร
แสดงออกเหมือนมนุษย์ เช่น กำรท่ีกวีกล่ำววำ่ สัตวท์ ้งั หลำยในมหำสมุทรก็
พลอยแสดงควำมโศกเศร้ำเสียใจไปดว้ ย เมื่อถึงวนั ที่กวีตอ้ งจำกนำงอนั เป็น
ที่รัก

สตั ภณั ฑบ์ รรพตท้งั หลำย ออ่ นเอียงเพียงปลำย
ประนอมประนมชยั

(บทพำกยเ์ อรำวณั :พระบำทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลำ้ นภำลยั )

กวีเปรียบเทียบวำ่ ภูเขำท้งั หลำยต่ำงคอ้ มศีรษะลงเพื่อแสดง
ควำมเคำรพ เม่ือเห็นขบวนขององคอ์ มรินทร์

ตวั อยำ่ ง

กำรสมมติใหส้ ิ่งต่ำง ๆ มีกิริยำอำกำร
หรือควำมรู้สึกเหมือนมนุษย์

แสนสตั วน์ ำเนกถว้ น แสนสินธุ์
ทุกขบ์ นั ดำลไฟฟอน ช่วยเศร้ำ
วนั เจียรสุดำพนิ ท์ พกั เตรศ
แสนสุเมรุมว้ นเขำ้ ดง่ั ลำญ
(โคลงทวำทศมำส : พระเยำวรำช)

๓.๒ กำรใชภ้ ำพพจน์

๔) กำรใชค้ ำเลียนเสียงธรรมชำติ เรียกวำ่ สทั พจน์ คือ กำรใชถ้ อ้ ยคำ
เพื่อเลียนเสียงของธรรมชำติ เช่น เสียงสัตวร์ ้อง เสียงคนร้อง เสียงดนตรี
เช่น

ระวงั ตวั กลวั ครูหนูเอ๋ย ไมเ้ รียวเจียวเหวย
กเู คยเขด็ หลำบขวำบเขวียว

(กำพยพ์ ระไชยสุริยำ : สุนทรภู่)

คำว่ำ “ขวำบเขวียว” เป็ นคำเลียนเสียงของไมเ้ รียวยำมที่แหวกอำกำศ
มำกระทบผวิ หนงั

๓.๓ กำรสรรคำ

คือ กำรเลือกใชค้ ำให้ส่ือควำมคิด ควำมเขำ้ ใจ ควำมรู้สึก และอำรมณ์ได้
อยำ่ งงดงำม โดยคำนึงถึงควำมงำมดำ้ นเสียงของถอ้ ยคำเป็ นสำคญั กลวิธีในกำร
เลือกสรรคำ มีดงั น้ี

๑) กำรเล่นเสียง เป็ นกำรสรรคำท่ีทำใหเ้ กิดท่วงทำนองท่ีไพเรำะ ไม่วำ่ จะ
เป็นกำรเล่นเสียงสระ กำรเล่นเสียงพยญั ชนะ และกำรเล่นเสียงวรรณยกุ ต์

๑.๑) กำรเล่นเสียงสระ เป็ นกำรใชค้ ำที่มีเสียงสระตรงกนั ถำ้ มีตวั สะกดก็
ตอ้ งเป็นตวั สะกดในมำตรำเดียวกนั ส่วนวรรณยกุ ตจ์ ะต่ำงรูปหรือต่ำงเสียงกนั กไ็ ด้
เช่น

ตวั อยำ่ งกำรเล่นเสียงสระ

ดูหนูสู่รูงู งูสุดสู้หนูสู้งู
หนูงูสู้ดูอยู่ รูปงูทู่หนูมูทู
พรูพรู
ดูงูขู่ฝูดฝู้ สุดสู้
หนูสู่รูงูงู งูอยู่
งูสู้หนูหนูสู้ รูปถู้มูทู
หนูรู้งูงูรู้

(กำพยห์ ่อโคลงประพำสธำรทองแดง : เจำ้ ฟ้ำธรรมธิเบศร)

๑.๒) กำรเล่นเสียงพยญั ชนะ

เป็ นกำรใชค้ ำท่ีมีพยญั ชนะตน้ เสียงเดียวกนั อำจเป็ นตวั อกั ษรท่ีเป็ น
พยญั ชนะรูปเดียวกนั หรือพยญั ชนะท่ีมีเสียงสูงต่ำเขำ้ คู่กนั หรือพยญั ชนะ
ควบชุดเดียวกนั กไ็ ด้ เช่น

ฝงู ลิงไต่ก่ิงลำงลิงไขว่ ลำงลิงแล่นไล่กนั วนุ่ วง่ิ
ลำงลิงชิงค่ำงข้ึนลำงลิง กำหลงลงกิ่งกำหลงลง

เพกำกำเกำะทุกกำ้ นกิ่ง กรรณิกำกำชิงกนั ชมหลง

มดั กำกำกวนลว้ นกำดง กำฝำกกำลงทำรังกำ

(เสภำเรื่องขนุ ชำ้ งขนุ แผน : พระบำทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลำ้ นภำลยั )

๑.๓) กำรเล่นเสียงวรรณยกุ ต์

เสียงวรรณยกุ ตเ์ ป็นขอ้ กำหนดที่บงั คบั ใชใ้ นกำรแต่งคำประพนั ธ์บำง
ประเภท เช่น ฉนั ทห์ รือกลบท กำรเล่นเสียงวรรณยกุ ตเ์ ป็นกำรไล่ระดบั เสียง
เป็นชุด ซ่ึงทำใหเ้ กิดเสียงที่ไพเรำะชวนฟังเป็นอยำ่ งยงิ่ เช่น
เสนำสูสู่สู้ ศรแผลง
ยงิ คำ่ ยหลำยเมืองแยง แยง่ แยง้
รุกร้นร่นรนแรง ฤทธ์ ิรี บ
ลวงล่วงลว้ นวงั แลว้ รวบเร้ำเอำมำ
(โคลงอกั ษรสำมหมู่ : พระศรีมโหสถ)

๒) กำรเล่นคำ

เป็ นควำมไพเรำะของบทประพนั ธ์ที่เกิดจำกกำรเลือกใชถ้ อ้ ยคำเป็ น
พเิ ศษ กำรเล่นคำแบ่งออกเป็นกำรซ้ำคำและกำรหลำกคำ

๒.๑) กำรซ้ำคำ เป็นกำรกล่ำวซ้ำ ๆ ในคำเดิมเพ่ือเพ่ิมน้ำหนกั ของคำ
และย้ำใหค้ วำมหมำยชดั เจนข้ึน เช่น
เหลือบเห็นสตรีวิไลลกั ษณ์ พศิ พกั ตร์ผอ่ งเพยี งแขไข

งำมโอษฐง์ ำมแกม้ งำมจุไร งำมนยั น์เนตรงำมกร

งำมถนั งำมกรรณงำมขนง งำมองคย์ ง่ิ เทพอปั สร

งำมจริตกิริยำงำมงอน งำมเอวงำมออ่ นท้งั กำยำ
( รำมเกียรต์ิ : พระบำทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช )

๒.๒) กำรหลำกคำ

เป็ นกำรใช้คำที่มีควำมหมำยเหมือนกันหรื อคำไวพจน์ในบท
ประพนั ธ์เดียวกนั เช่น

-ชื่อพระอิศวร ใช้ สยมภู ศลุ ี ศิวะ ตรีโลจนะ จนั ทรเศขร รุทร
-ดวงอำทิตย์ ใช้ ตะวนั พนั แสง สหสั รังสี ภำณุ จำตุรนต์ ทิพำกร
กำรเขำ้ ใจควำมหมำยและแนวทำงของกำรวิจกั ษว์ รรณคดี ตลอดจน
ศิลปะในกำรแต่งและกำรใช้ถ้อยคำสำนวนอันเป็ นหัวใจของวรรณคดี
ดงั กล่ำวไปขำ้ งตน้ ผเู้ รียนสำมำรถนำควำมรู้เหล่ำน้ีมำใชเ้ ป็นพ้ืนฐำนในกำร
วิจำรณ์และประเมินค่ำวรรณคดี เพ่ือให้สำมำรถอ่ำนวรรณคดีท่ีนำมำศึกษำ
ไดอ้ ยำ่ งเขำ้ ใจและไดอ้ รรถรสมำกยงิ่ ข้ึน


Click to View FlipBook Version