The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเขียนรายงาน-การเขียนโครงงาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ubonrat Somyaprasert, 2020-05-12 10:13:20

การเขียนรายงาน-การเขียนโครงงาน

การเขียนรายงาน-การเขียนโครงงาน

๗ การเขียนรายงาน

การศึกษาในระดบั ที่สูงข้ึน มุ่งเน้นให้ผูเ้ รียนรู้จกั แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง มีทกั ษะใน
การคิดอยา่ งเป็นระบบ มีเหตุผล วจิ ารณญาณ ซ่ึงหนทางที่ช่วยใหค้ ุณลกั ษณะดงั กล่าวเกิดข้ึนก็คือ
การมอบหมายใหผ้ เู้ รียนทารายงานประกอบรายวชิ าที่เรียน

ธรรมชาตขิ องการเขยี นรายงาน

• พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถานให้ความหมายไวว้ ่า “น. เร่ืองราวที่ไปศึกษา
คน้ ควา้ และนามาเสนอที่ประชุม ครู อาจารย์ หรือผบู้ งั คบั บญั ชา”

• อาจระบุไดว้ า่ รายงานมี ๒ ประเภท คือ
- รายงานทว่ั ไป คือ รายงานท่ีเสนอขอ้ เทจ็ จริง หรือขอ้ คิดเห็นของบุคคล เพือ่ ให้
ผอู้ ่ืนทราบผลการปฏิบตั ิงาน เหตุการณ์ ความเคล่ือนไหวต่างๆ ท้งั ที่เกิดข้ึนแลว้
หรือกาลงั ดาเนินอยู่
- รายงานเชิงวชิ าการ คือ เอกสารที่เป็นผลจากการศึกษาคน้ ควา้ สารวจ รวบรวม
หรือวเิ คราะห์เรื่องทางวชิ าการเรื่องใดเรื่องหน่ึง แลว้ นามาเรียบเรียงอยา่ งมี
ระเบียบแบบแผน

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ)

โครงสร้างของรายงานเชิงวิชาการ

ส่วนนำ คือ ส่วนที่อยกู่ ่อนถึงส่วนเน้ือเร่ือง ไดแ้ ก่ ปกนอก ใบรองปกใน ปกใน คานา

สารบญั สารบญั

ภาวะโลกร้อน ภาวะโลกรกก้อกกนกกกกกกกกกกกกกกคกกานกกกกา.กก..คกก..า.กก.น.กก..า.กก..กก..กก...กก..กก...กก..กก...กก..กก...กก..กก..กก...กก..............ห...น...า้

กกกกกกกกก1ก.บกทกนกาก.ก...ก..ก...ก..ก..ก...ก..ก...ก..ก...ก..ก...ก..ก..ก.....................

เด็กหญิงนารีรัตนกก์ บกกุญกกปกกกกระกกดกกบักกกก2กก.คกกวกกากกมกกรูกก้เบกก้ือกกงกกตกกน้ กกเกกกกกี่ยวกกกกกบักกกกภกกาวกกะกกโลกรอ้ น..... สารบญั เขียนเรียงจากหวั ขอ้ ใหญ่ไปหวั ขอ้ รอง หวั ขอ้ ย่อย
12กกกกก.กกกกกกกกกกกกกก3กก.กกกากกรกกปกก้อกกงกกกกกนั กกภกกาวกกะกกโกกลกกกกกรกก้อกกนกก.กก...กก..................... ไวท้ างซ้ายมือ ส่วนดา้ นขวาให้ระบุหมายเลขหนา้ ของแต่
เดก็ หญิงนารีรัตน์ บุญประเดลบั ขท่ี กกกกกกกกก4ก.บทสรุป..................................................... ละหวั ขอ้
เลขที่ 12 ก.

รายงานประกอบการศึกษารายวชิ บารรณานุกรม. คานา เป็นส่วนที่กล่าวถึงวตั ถุประสงค์ ขอบเขตของรายงาน

วทิ ยราศายางสาตนรป์ ภราะคกวกอทิ าบรยกศาศาึกราษศสาึกตทษร่ี 1์าภรปาาีคกยกาวร2ชิาศร5าศึ5ก7ึกษษาาท่ี 1 ปี การศึกษา ปกใน บอกรายละเอียดของรายงาน ขอ้ มูลเช่นเดียวกบั ปกนอก

2557 ใบรองปกใน เป็นกระดาษขาว 1 แผน่ มีท้งั ปกหนา้ และปกหลงั

ปกนอก มีท้งั ปกหน้าและปกหลงั ควรใช้กระดาษค่อนขา้ งแข็งและสี
สุภาพ ระบุขอ้ มูลตามรูปแบบ

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ)

โครงสร้างของรายงานเชิงวชิ าการ (ต่อ)

ส่วนเนื้อเร่ือง เป็นส่วนท่ีนาเสนอสาระสาคญั ของรายงาน ประกอบดว้ ย

• บทนา ตอ้ งเขียนช้ีแจงเหตุผล วตั ถุประสงค์การศึกษา ขอบเขตของรายงาน วิธี
การศึกษาค้นควา้ เน้ือหาของรายงานโดยสังเขป เพ่ือให้ผูอ้ ่านเข้าใจเน้ือหาใน
เบ้ืองตน้

• เน้ือหา เป็ นส่วนสาคัญที่นาเสนอผลการศึกษาค้นควา้ วิเคราะห์ วิจารณ์ตาม
วตั ถุประสงค์ ขอบเขตของรายงาน โดยผเู้ ขียนจะตอ้ งเรียบเรียงเน้ือหาดว้ ยสานวน
ภาษาของตนเอง อาจใชต้ าราง แผนภูมิ หรือภาพประกอบคาอธิบาย

• สรุป เป็นส่วนท่ีเขียนย้า หรือใหข้ อ้ เสนอแนะในการศึกษาคน้ ควา้ เรื่องน้นั ต่อไป

๗ การเขียนรายงาน (ต่อ)

โครงสร้างของรายงานเชิงวชิ าการ (ต่อ)

ส่วนอ้ำงอิง เป็ นส่วนที่แสดงหลักฐาน หรือแหล่งที่มาของข้อมูลท่ีผเู้ ขียนนามาใช้
ประกอบการศึกษาคน้ ควา้

การเขียนรายงานเชิงวิชาการจาเป็ นตอ้ งมีการวางแผน ออกแบบโดยคานึงถึงปัจจยั ดา้ นต่างๆ
และดาเนินตามแผนการ หรือข้นั ตอนน้นั อยา่ งรัดกมุ เคร่งครัด

เมื่อต้องทารายงานเชิงวชิ าการ

เลือกหัวข้อเรื่อง เป็ นข้นั ตอนแรกท่ีส่งผลต่อความสาเร็จของรายงาน ซ่ึงหัวขอ้ ของ
รายงานอาจเป็ นเร่ืองท่ีอาจารยป์ ระจารายวิชาน้นั ๆ เป็ นผูก้ าหนดข้ึน หรือนกั เรียนเป็นผเู้ ลือกเอง
ซ่ึงมีเกณฑส์ าหรับการพจิ ารณาเลือกหวั ขอ้ รายงาน ดงั น้ี

• สอดคลอ้ งกบั เน้ือหารายวชิ า • ตรงกบั ความถนดั และความสนใจของผศู้ ึกษา

• เหมาะสมกบั เวลาท่ีกาหนด • มีแหล่งขอ้ มูลเพียงพอ

๗ การเขียนรายงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทารายงานเชิงวชิ าการ (ต่อ)

จำกัดขอบเขตของหัวข้อรำยงำน เม่ือได้หัวข้อแล้ว ผูเ้ รียนควรสร้าง หรือกาหนด
ขอบเขตของรายงานให้กวา้ งหรือแคบลง ตามเง่ือนไข เช่น เวลา งบประมาณ บุคลากร เป็ นตน้
โดยมีแนวทางสาหรับการกาหนดขอบเขต ดงั น้ี

• จากดั ดว้ ยระยะเวลา เช่น ถา้ ผเู้ รียนเลือกศึกษาหวั ขอ้ เกี่ยวกบั การแสดงพ้ืนบา้ น แลว้
ใชว้ ธิ ีการน้ีจากดั ขอบเขตของหวั ขอ้ กจ็ ะไดว้ า่ ผเู้ รียนเลือกศึกษาเกี่ยวกบั การแสดง
พ้ืนบา้ นในยคุ จอมพล ป. พบิ ูลสงคราม

• จากดั ดว้ ยสถานท่ี เช่น ถา้ ผเู้ รียนเลือกศึกษาหวั ขอ้ เก่ียวกบั การแสดงพ้ืนบา้ น แลว้ ใช้
วิธีการน้ีจากดั ขอบเขตของหัวขอ้ ก็จะไดว้ ่า ผูเ้ รียนเลือกศึกษาเกี่ยวกบั การแสดง
พ้ืนบา้ นในพ้ืนท่ีราบลุ่มภาคกลาง

• จากดั ดว้ ยบุคคล เช่น ถา้ ผเู้ รียนเลือกศึกษาหวั ขอ้ เก่ียวกบั การแสดงพ้ืนบา้ น แลว้ ใช้
วิธีการน้ีจากดั ขอบเขตของหวั ขอ้ กจ็ ะไดว้ า่ ผเู้ รียนเลือกศึกษาเก่ียวกบั บทบาทของ
เยาวชนต่อการอนุรักษเ์ พลงพ้นื บา้ น

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ)

เมื่อต้องทารายงานเชิงวชิ าการ (ต่อ)

กำหนดวตั ถุประสงค์ของรำยงำน ผเู้ ขียนจะตอ้ งต้งั คาถาม และตอบตนเองใหไ้ ดว้ า่

• จะศึกษาคน้ ควา้ ประเดน็ ท่ีเลือกในดา้ นใดบา้ ง

• จะศึกษาคน้ ควา้ ประเดน็ ที่เลือกน้นั อยา่ งไร หรือดว้ ยวธิ ีการใด

• คาดหวงั วา่ จะไดร้ ับอะไรหลงั จากทารายงานแลว้ เสร็จ

หวั ขอ้ ของรายงานหวั ขอ้ หน่ึงๆ ผเู้ ขียนอาจกาหนดวตั ถุประสงคไ์ ดห้ ลายขอ้ เพื่อใหส้ ามารถตอบ
คาถามที่ผูเ้ ขียนรายงานตอ้ งการทราบไดค้ รบถว้ น ซ่ึงวตั ถุประสงคข์ องรายงาน จะช่วยให้การวาง
โครงเรื่องรายงานทาไดง้ ่ายข้ึน

เขยี นโครงเร่ืองของรำยงำน งานเขียนทุกประเภทจาเป็นตอ้ งมีการวางโครงเร่ือง เพ่ือใช้
เป็นแนวทางในการเรียบเรียงเน้ือหา รายงานเชิงวชิ าการกเ็ ช่นเดียวกนั

• โครงเรื่องท่ีดีตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคต์ ้งั ตน้

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทารายงานเชิงวชิ าการเขียน/เขียนโครงเรื่องของรายงาน (ต่อ)

• โครงเรื่องเป็ นกรอบท่ีผูเ้ ขียนวางไวเ้ พื่อกาหนดเน้ือหาของรายงานว่าจะมีส่วน
ใดบา้ ง แต่ละส่วนควรมีรายละเอียดมากนอ้ ยเพียงใด

• โครงเร่ืองเป็ นกรอบที่ผูเ้ ขียนวางไวเ้ พ่ือกาหนดเน้ือหาของรายงานว่าจะมีส่วน
ใดบา้ ง แต่ละส่วนควรมีรายละเอียดมากนอ้ ยเพยี งใด

• ใชร้ ะบบหวั ขอ้ ใหญ่ หวั ขอ้ รอง และหวั ขอ้ ยอ่ ยเขา้ มาช่วยในการวางโครงเร่ือง แลว้
ใชค้ าหรือขอ้ ความส้นั ที่ครอบคลุมเน้ือหาเป็นเติมหลงั หวั ขอ้ เพราะลาดบั ของหวั ขอ้
จะช่วยลาดบั ความสาคญั และสร้างความสมั พนั ธใ์ หแ้ ก่เน้ือหาแต่ส่วน

สำรวจ รวบรวม และบนั ทกึ ข้อมลู การเขียนรายงานเชิงวิชาการ จาเป็นตอ้ งใชข้ ้อมูลจาก
แหล่งขอ้ มูลท่ีหลากหลาย และน่าเช่ือถือ ซ่ึงขอ้ มูลแต่ละประเภท มีวธิ ีการไดม้ าแตกต่างกนั ดงั น้ี

• ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการคน้ ควา้ และรวบรวม ส่วนใหญ่เป็นขอ้ มูลทุติยภูมิ หรือขอ้ มูลท่ีมี
ผูค้ น้ ควา้ รวบรวมไว้ แลว้ ผูเ้ ขียนรายงานไปอ่านคน้ ควา้ วิเคราะห์ สังเคราะห์อีก
ทอดหน่ึง

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ) เมื่อต้องทารายงานเชิงวชิ าการเขียน/

• ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการสารวจ ส่วนใหญ่เป็นขอ้ มูล สารวจ รวบรวม และบนั ทึกขอ้ มูล (ต่อ)
ปฐมภูมิ หรือขอ้ มูลภาคสนาม ที่ผเู้ ขียนจะตอ้ ง
ลงมือสารวจ เกบ็ ขอ้ มูล ดว้ ยตนเองจากพ้นื ท่ี • ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการคน้ ควา้ และรวบรวม
หรือแหล่งขอ้ มูลน้นั เช่น ขอ้ มูลจากการสงั เกต ส่วนใหญ่เป็นขอ้ มูลทุติยภูมิ หรือขอ้ มูล
การสมั ภาษณ์ การซกั ถาม เป็นตน้ ที่มีผคู้ น้ ควา้ รวบรวมไว้ แลว้ ผเู้ ขียน
รายงานไปอ่านคน้ ควา้ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์
อีกทอดหน่ึง

๗ การเขียนรายงาน (ต่อ)

เมื่อต้องทารายงานเชิงวชิ าการเขียน/สารวจ รวบรวม และบนั ทึกขอ้ มูล (ต่อ)

สิ่งที่ส่งผลต่อขอ้ มูลท่ีจะเลือกใช้ และวธิ ีการเกบ็ คือ หวั ขอ้ และขอบเขตของรายงาน เม่ือสารวจ
ขอ้ มูลแลว้ ควรบนั ทึกขอ้ มูลอย่างเป็ นระบบ และระเบียบ โดยอาจบนั ทึกลงในบตั รบนั ทึก หรือ
บนั ทึกเป็นไฟลล์ งในคอมพิวเตอร์

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ)

เมื่อต้องทารายงานเชิงวชิ าการเขยี น/สารวจ รวบรวม และบนั ทึกขอ้ มูล (ต่อ)

การบนั ทึกขอ้ มูลลงในบตั รบนั ทึก จะใชท้ กั ษะการอ่านท่ีเรียกวา่ “การสรุปความ”

• การสรุปความ คือ การจบั ใจความ หรือความคิดสาคญั ของเร่ืองที่ไดอ้ ่าน ฟัง และดู นามา
เรียบเรียงเป็นขอ้ ความส้นั ๆ ท่ีครอบคลุมเรื่องท้งั หมด

• ผเู้ ขียนจะตอ้ งหาคาสาคญั (Key word) ใหไ้ ดว้ า่ คาสาคญั ใดเป็นส่วนแสดงหรือช้ีใหเ้ ห็น
ประเดน็ ของเรื่อง นอกเหนือจากคาสาคญั คือ main idea

• ผูเ้ ขียนตอ้ งอ่าน ฟัง หรือดูขอ้ มูลด้วยสมาธิ และคน้ หาคาสาคญั ใจความสาคญั หรือ
ความคิดสาคญั โดยนาหลกั 5W1H มาใชเ้ ป็นเครื่องมือ

• เรียบเรียงขอ้ ความ แลว้ เขียนสรุปความใหส้ ้ัน กระชบั ไดใ้ จความ ดว้ ยสานวนภาษาของ
ตนเอง

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทารายงานเชิงวชิ าการเขียน (ต่อ)

วิเครำะห์ข้อมูล เมื่อเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลได้ ผเู้ ขียนตอ้ งนาขอ้ มูลมาจดั ระเบียบ โดยจาแนก
ออกเป็ นกลุ่มๆ ตามหัวขอ้ ที่ปรากฏในโครงเร่ือง จากน้ันจึงอ่าน วิเคราะห์ ตีความขอ้ มูล เพื่อ
สงั เคราะห์เป็นขอ้ สรุปคาตอบ หรือผลการศึกษาคน้ ควา้

เรียบเรียงเนื้อหำสำระ เป็ นข้นั ตอนท่ีผูเ้ ขียนตอ้ งให้ความสาคญั เพราะผูอ้ ่ืนจะทราบ
เน้ือหาของรายงาน จากการถ่ายทอดของผเู้ ขียน

• เรียบเรียงเน้ือหาจากความรู้ ความเขา้ ใจ ตามลาดบั ข้นั ตอน ดว้ ยสานวนภาษาของ
ตนเอง

• มุ่งเสนอขอ้ เทจ็ จริง อยา่ สอดแทรกความคิดเห็นในเน้ือหาโดยไม่จาเป็น

• เรียบเรียงตามโครงเร่ืองที่วางไว้ โดยช้ีแจงเหตุผล วตั ถุประสงค์ ขอบเขตของรายงาน
และวธิ ีการศึกษาคน้ ควา้ เพอ่ื นาผอู้ ่านเขา้ สู่เน้ือหาสาระของรายงาน

• ใช้ถอ้ ยคาสานวนโวหารในระดบั ทางการ หรือก่ึงทางการ ส่ือความตรงไปตรงมา
เขา้ ใจง่าย ถูกตอ้ งตามหลกั ภาษาและการใชภ้ าษา

๗ การเขยี นรายงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทารายงานเชิงวชิ าการเขยี น/เรียบเรียงเน้อื หำสำระ (ต่อ)

หากผูศ้ ึกษาคน้ ควา้ ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียบเรียงรายงานแทนการเขียน มีสิ่งที่ตอ้ ง
คานึงถึง ดงั น้ี

• ใช้ตัวพิมพ์ขนาดมาตรฐาน ขนาด ๑๔-๑๖ อ่านง่ายสีดา และใช้ตัวพิมพ์ขนาด
เดียวกนั ตลอดท้งั เล่ม

• ใชก้ ระดาษมีขาว ไม่มีเส้นบรรทดั ขนาด A4 และใชเ้ พยี งดา้ นเดียว

• ขอบกระดาษทุกดา้ นใหเ้ วน้ เขา้ มา ๑ นิ้ว ยกเวน้ ดา้ นซา้ ยมือ ๑.๕ เพ่อื เยบ็ เล่ม

• ตรวจความถูกตอ้ งของคา วรรคตอนใหถ้ ูกตอ้ งตามหลกั และการใชภ้ าษา

• การลาดบั หนา้ ปกนอก ปกใน คานา สารบญั ไม่ตอ้ งนบั หนา้ หนา้ แรกของรายงาน
ไม่ตอ้ งใส่หมายเลขหนา้ แต่ให้นบั รวมเป็นหน้าที่ ๑ หน้าอื่นๆ ให้ใส่เลขหน้าเรียง
ตามลาดบั ไวด้ า้ นบนขวามือ หรือก่ึงกลางหนา้ กระดาษ

๗ การเขียนรายงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทารายงานเชิงวชิ าการ (ต่อ)

อ้ำงอิงข้อมูล การเขียนรายงานเชิงวิชาการ เม่ือผูเ้ ขียนอาศยั ขอ้ มูลจากแหล่งใดเพ่ือ
การศึกษาวิเคราะห์ โดยมารยาทและกฎหมายแลว้ จะตอ้ งระบุแหล่งขอ้ มูลทุกคร้ัง เน้ือหาท่ีตอ้ งมี
การอา้ งอิงทุกคร้ังเมื่อนามาใช้ในการเขียนรายงาน ไดแ้ ก่ ตวั เลข ขอ้ ความ สถิติ แนวคิด ทฤษฎี
คาพดู ตาราง แผนภูมิ รูปภาพ

• การอา้ งอิงแบบแทรกปนในเน้ือหาของรายงาน ใชเ้ มื่อมีการคดั ลอกขอ้ ความ คาพูด
ความคิด รูปภาพ ของบุคคลอ่ืนมาประกอบรายงาน เช่น
ดวงใจ ไทยอุบญุ (๒๕๔๓, น.๒๔๑-๒๔๓) ได้สรุปหลักกำรใช้สำนวน สุภำษติ คำ

พงั เพยไว้ว่ำ “.....................................”

• การอา้ งอิงแบบบรรณานุกรม หรืออา้ งอิงทา้ ยเล่ม คือ การนารายช่ือของแหล่งขอ้ มูล
ทุกประเภทที่ใชป้ ระกอบการศึกษาคน้ ควา้ มารวบรวมไวท้ า้ ยเล่มรายงาน ซ่ึงขอ้ มูลท่ี
ตอ้ งปรากฏมีดงั น้ี

๗ การเขียนรายงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทารายงานเชิงวชิ าการ/อ้ำงอิงข้อมูล (ต่อ)

ช่ือผ้แู ต่ง.(ปี ทพ่ี มิ พ์).ช่ือเรื่อง (ครั้งทพี่ มิ พ์*).สถำนทพ่ี มิ พ์: สำนักพมิ พ์หรือโรงพมิ พ์**.
*หนังสือทพ่ี มิ พ์คร้ังท่ี ๒ ขนึ้ ไป ให้ระบคุ ร้ังทพ่ี มิ พ์ด้วย
**หำกเป็ นสำนักพมิ พ์ให้ระบเุ ฉพำะช่ือ แต่ถ้ำเป็ นโรงพมิ พ์ให้ระบคุ ำว่ำโรงพมิ พ์ด้วย

การเขียนบรรณานุกรมมีหลกั การ ดงั น้ี

• การเรียงลาดับเอกสารให้ใช้ช่ือผู้แต่งเป็ นเกณฑ์ โดยเอกสารภาษาไทยเรียง
ตามลาดบั ก-ฮ เอกสารภาษาองั กฤษ A-Z

• เรียงลาดบั เอกสารท่ีเป็นภาษาไทยก่อนภาษาต่างประเทศ

• จะแยกประเภทของเอกสารที่ใชป้ ระกอบการศึกษาคน้ ควา้ หรือไม่กไ็ ด้

• เขียนหรือพิมพช์ ิดขอบกระดาษดา้ นซา้ ย หากมีความยาวเกิน ๑ บรรทดั ให้ยอ่ หนา้
ใหม่ โดยเวน้ ระยะ ๘ ช่วงตวั อกั ษร เริ่มตน้ ท่ีอกั ษรตวั ที่ ๙

๘ การเขยี นโครงงาน

การเขียนโครงงาน คือ การศึกษาสิ่งที่ผูเ้ รียนสนใจ สงสัย ตอ้ งการรู้ หรือหาคาตอบ โดย
ใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การต้งั สมมติฐาน การวางแผนปฏิบตั ิงาน การลงมือปฏิบตั ิ

ประเภทของโครงงาน

• โครงงานประเภทสารวจ เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เพ่ือหาสาเหตุของปัญหา โดย
ใชว้ ธิ ีสารวจ รวบรวม แลว้ นาขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ เพอ่ื หาทางออกของปัญหา

• โครงงานประเภททดลอง เป็นการศึกษา หาคาตอบของปัญหาใดปัญหาหน่ึง โดยใช้
วธิ ีการทดลองวา่ เป็นไปตามสมมติฐานที่ต้งั ไวห้ รือไม่

• โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็ นการพัฒนา หรือประดิษฐ์ สร้างเครื่องมือ
เครื่องใช้ อุปกรณ์ โดยประยุกต์ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ ซ่ึงอาจเป็ น การ
ประดิษฐส์ ิ่งใหม่ หรือปรับปรุงของเดิม

• โครงงานประเภททฤษฎี เป็ นโครงงานที่เสนอทฤษฎี หลักการ ปรากฏการณ์
แนวคิดใหม่ๆ โดยมีหลกั การทางวทิ ยาศาสตร์ ทฤษฎี ขอ้ มูลต่างๆ สนบั สนุน

๘ การเขยี นโครงงาน (ต่อ)

เมื่อต้องทาโครงงาน

คดิ และเลือกหัวข้อ ประเดน็ ที่ตอ้ งการศึกษา คน้ ควา้ หาคาตอบ โดยคานึงถึงปัจจยั ต่างๆ

• หวั ขอ้ ของโครงงานเร่ิมตน้ ที่ความสนใจ หรือกระหายใคร่รู้ของผูศ้ ึกษา หรือกลุ่มผู้
ศึกษา การแลกเปล่ียนประสบการณ์ระหวา่ งกนั

• หวั ขอ้ โครงงานตอ้ งชดั เจน เม่ือผอู้ ่าน อ่านแลว้ สามารถเขา้ ใจ และรู้เร่ืองวา่ ทาอะไร

• หวั ขอ้ โครงงานตอ้ งไม่เป็นหวั ขอ้ ที่มีคาตอบอยแู่ ลว้ หรือสามารถหาคาตอบไดอ้ ยา่ ง
ง่ายดาย

• การเลือกหวั ขอ้ โครงงานควรคานึงถึงปัจจยั ดา้ นอื่นๆ ประกอบ เช่น เหมาะสมกบั กบั
ระดับความรู้ ความสามารถของตนเอง งบประมาณ เวลา ความปลอดภัย
แหล่งขอ้ มูล

๘ การเขยี นโครงงาน (ต่อ)

เมื่อต้องทาโครงงาน

ต้ังสมมติฐำน (ถ้ำมี) คือ การคาด
คะเนคาตอบของเร่ืองที่เป็นปัญหา หรือเลือก
ศึกษาล่วงหนา้ เพ่ือเป็นแนวทางในการศึกษา
ช่วยให้ขอบเขตของโครงงานรัดกุม ซ่ึงการ
ต้งั สมมติฐานควรมีเหตุผล เป็ นไปได้ และมี
ทฤษฎี หรือหลกั การมารองรับ

ศึกษำเรื่องที่เกี่ยวข้อง ผูท้ าโครงงานควรศึกษาคน้ ควา้ เรื่องท่ีเก่ียวขอ้ งกบั หัวขอ้ จาก
แหล่งขอ้ มูลต่างๆ เช่น หอ้ งสมุด อินเทอร์เน็ต การสัมภาษณ์ผรู้ ู้ เพื่อใหม้ ีความกระจ่างในเร่ืองที่จะ
ศึกษา แลว้ จะไดก้ าหนดวตั ถุประสงคไ์ ดง้ ่ายข้ึน

กำหนดส่ิงท่ีอยำกรู้ นาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองท่ีจะศึกษามากาหนดจุดประสงค์
การศึกษา เพอ่ื ใหร้ ู้วา่ ตนเองตอ้ งการรู้อะไรบา้ ง

๘ การเขียนโครงงาน (ต่อ)

เมื่อต้องทาโครงงาน

วำงแผนสืบค้น รวบรวมข้อมูล หลงั จากกาหนดประเด็นที่อยากรู้ได้แลว้ ผูศ้ ึกษาจะ
ทราบทนั ทีว่าตนเองตอ้ งใชข้ อ้ มูลอะไรบา้ ง แลว้ ขอ้ มูลน้นั จะหาไดจ้ ากแหล่งใด ดว้ ยวธิ ีการใด ซ่ึง
ผทู้ าโครงงาน อาจใชก้ รอบน้ีช่วยในการวางแผน

• วธิ ีการในการสืบคน้ เช่น สมั ภาษณ์ สารวจ คน้ ควา้ จากตารา
• เครื่องมือในการสืบค้นข้อมูล เช่น แบบ
สมั ภาษณ์ แบบสารวจ เป็นตน้

• แหล่งข้อมูล เช่น บุคคลที่มีความรู้ใน
ประเดน็ น้นั ๆ หอ้ งสมุด อินเทอร์เน็ต

• เวลาในการสืบคน้ คือ การกาหนดช่วงเวลา
ที่จะไปสืบคน้ ขอ้ มูล

๘ การเขยี นโครงงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทาโครงงาน

เสนอโครงร่ำงของโครงงำน เป็ นการวางแผนการทาโครงงานต่ออาจารยท์ ่ีปรึกษา
โครงงานเพื่อให้ช่วยตรวจสอบว่า ประเด็นที่กลุ่มเลือกศึกษาน้นั เป็นไปไดห้ รือไม่ แผนการที่วาง
มารัดกมุ รอบคอบเพยี งพอหรือไม่ ซ่ึงองคป์ ระกอบของโครงร่างรายงาน มีดงั น้ี

• ชื่อโครงงาน
• รายช่ือผจู้ ดั ทาโครงงาน
• ชื่อท่ีปรึกษาโครงงาน
• หลกั การและเหตุของโครงงาน ตอ้ งอธิบายใหเ้ ขา้ ใจวา่ ทาไมตอ้ งทา ทาแลว้ ไดอ้ ะไร

หากไม่ทาจะเกิดผลเสียอยา่ งไร

• จุดมุ่งหมายหรือวตั ถุประสงคข์ องการทาโครงงาน

๘ การเขยี นโครงงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทาโครงงาน/เสนอโครงร่ำงของโครงงำน (ต่อ)

• สมมติฐานการศึกษา (ถา้ มี)
• วิธีและข้นั ตอนการดาเนินงาน ตอ้ งระบุว่าทากิจกรรมใดบา้ งตามลาดบั ก่อนหลงั

แลว้ กิจกรรมน้นั จะทาอยา่ งไร
• แผนปฏิบตั ิงาน ช้ีแจงเก่ียวกบั กาหนดเวลา ต้งั แต่เร่ิมตน้ จนเสร็จสิ้นการดาเนินงาน

• ผลท่ีคาดว่าจะได้รับ คือ การคาดหวงั ถึงผลดาเนินการ ซ่ึงจะต้องสอดคล้องกับ
วตั ถุประสงค์

• เอกสารอา้ งอิง
สืบค้นรวบรวมข้อมูลและวิเครำะห์ข้อมูล เมื่อโครงร่างไดร้ ับความเห็นชอบจากอาจารย์
ท่ีปรึกษา ผูท้ าโครงงานลงมือปฏิบตั ิตามข้นั ตอนท่ีวางแผนไว้ สืบคน้ รวบรวม บนั ทึกผล แลว้
นามาวเิ คราะห์ สงั เคราะห์

๘ การเขียนโครงงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทาโครงงาน (ต่อ)

นำเสนอผลกำรศึกษำค้นคว้ำ เป็ นข้ันตอนสุดท้ายของการทาโครงงาน ซ่ึงจะต้อง
คานึงถึงความถูกตอ้ งของเน้ือหา การดึงดูดความสนใจของผชู้ ม เขา้ ใจง่าย ควรนาเสนอท้งั วธิ ีการ
พดู และเขียนรายงานโครงงาน

เขียนรายงานโครงงาน

ส่วนนำ ประกอบดว้ ย
• ปกหนา้ ประกอบดว้ ย ช่ือโครงงาน ผทู้ าโครงงาน อาจารยท์ ี่ปรึกษา

• บทคดั ยอ่ มีจุดมุ่งหมายใหผ้ อู้ ่านไดอ้ ่านเน้ือเรื่องยอ่ ๆ ก่อนอ่านผลการศึกษาท้งั ฉบบั

• สารบญั

• สารบญั ตารางและสารบญั ภาพ (ถา้ มี)

• กิตติกรรมประกาศ เพ่ือแสดงความขอบคุณบุคคล หรือหน่วยงานที่ให้ความ
ช่วยเหลือ มีส่วนเก่ียวขอ้ ง

๘ การเขยี นโครงงาน (ต่อ)

เมื่อต้องทาโครงงาน/เขยี นรำยงำนโครงงำน (ต่อ)

ส่วนเน้ือหำ โดยทวั่ ไป แบ่งออกเป็น ๕ บท ดงั น้ี

• บทที่ ๑ บทนา ประกอบดว้ ยความเป็นมา ความสาคญั ของปัญหา วตั ถุประสงค์

• บทที่ ๒ ความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ศึกษา ควรเลือกเฉพาะเรื่องที่สาคญั และมี
ความสมั พนั ธ์กบั ปัญหา

• บทท่ี ๓ การดาเนินงาน อาจเขียนเป็นตาราง แผนผงั โครงงาน เพื่อใหก้ ารดาเนินงาน
เป็นไปตามวตั ถุประสงค์

• บทท่ี ๔ วเิ คราะห์ขอ้ มูล โดยนาขอ้ มูลท่ีไดม้ าจดั หมวดหมู่ จาแนก แยกแยะ จดั เป็น
ความถี่ ค่าเฉลี่ยร้อยละ แผนภูมิ กราฟ ข้ึนอยกู่ บั ความเหมาะสมของขอ้ มูล

• บทที่ ๕ สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ เป็นการอธิบายคาตอบที่ไดจ้ ากการศึกษาค้นควา้
โดยตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องการศึกษา ซ่ึงผทู้ าโครงงานอาจอภิปรายผล
บอกประโยชน์หรือคุณค่าของผลการศึกษาคน้ ควา้ ขอ้ เสนอแนะเพ่ือประโยชน์ของ
การศึกษาคน้ ควา้ ต่อไปในอนาคต

๘ การเขยี นโครงงาน (ต่อ)

เม่ือต้องทาโครงงาน/เขยี นรำยงำนโครงงำน (ต่อ)

ส่วนอ้ำงอิง เป็ นการระบุรายละเอียดเกี่ยวกบั เอกสารต่างๆ ท่ีผูท้ าโครงงานใชป้ ระกอบ
การศึกษาคน้ ควา้ หรือเรียกวา่ “บรรณานุกรม” ซ่ึงมีวธิ ีการเขียนเช่นเดียวกบั รายงานเชิงวชิ าการ

บทสรุป

การเขียนเพ่ือสื่อสารในชีวิตประจาวนั ไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม ต้องอาศัยภาษาเป็ น
เคร่ืองมือในการนาพาสารไปสู่ผูร้ ับสาร ตามวตั ถุประสงคท์ ่ีผูส้ ่งสารกาหนดไว้ แต่อยา่ งไรก็ตาม
การมีความรู้ ความเชี่ยวชาญเก่ียวกบั การใชถ้ อ้ ยคา สานวน โวหาร อยา่ งเดียวน้นั ไม่เพียงพอ ผสู้ ่ง
สารจาเป็ นต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั หลกั เกณฑ์ หรือแนวทางการเขียนสื่อสารแต่ละ
รูปแบบ เช่น เรียงความ จดหมาย การเขียนรายงานเชิงวิชาการ เพราะรูปแบบของการงานเขียน
ส่งผลต่อการใชถ้ อ้ ยคา

๓หน่วยการเรียนรู้ท่ี การเขยี นแสดงความคดิ เห็นจากสื่อ

• การเขียนแสดงความคิดเห็น มีความแตกต่าง
จากการเขียนในรูปแบบอื่นๆ โดยเฉพาะอยา่ ง

ยงิ่ การเขียนเชิงวชิ าการ
• การเขียนแสดงความคิดเห็น ประกอบด้วย

ขอ้ มูลท้งั ท่ีเป็นขอ้ เทจ็ จริง และขอ้ คิดเห็น
• ผเู้ ขียนแสดงความคิดเห็นจากส่ือตอ้ งมีทกั ษะ

ในการรับสารไม่ว่าดว้ ยการอ่าน หรือการฟัง

จากส่ือหลากหลายประเภท
• ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นก็จาเป็ นต้องมี

ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับหลักการแสดง
ความคิดเห็น การใช้ถ้อยคาอย่างเหมาะสม

และนอกจากน้ียงั จะตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจ
เป็นอยา่ งดีในเร่ืองที่จะตอ้ งแสดงความคิดเห็น

๑ ส่ือในชีวติ ประจาวนั

สื่อ คือ ส่ิงที่ทาหน้าท่ีนาสารจากผูส้ ่งสารไปยงั ผูร้ ับสาร ซ่ึงอาจเป็ นได้ท้งั วจั นภาษา
หรืออวจั นภาษา มีบทบาทสาคญั โดยเป็นตวั กลางใหผ้ รู้ ับสารและผสู้ ่งสารติดต่อส่ือสารกนั ได้

ประเภทของส่ือในชีวติ ประจาวนั

• สื่อสามัญ หรือสื่อธรรมชาติ เช่น บรรยากาศรอบตัวมนุษย์ซ่ึงเกิดข้ึนเองตาม
ธรรมชาติ

• สื่อบุคคล หรือสื่อมนุษย์ เช่น ผสู้ ื่อข่าว นกั เล่านิทาน คนนาสาร

• สื่อสิ่งพมิ พ์ เช่น หนงั สือ วารสาร นิตยสาร แผน่ ปลิว

• สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ โทรศพั ท์ โทรสาร อินเทอร์เน็ต

• ส่ือระคน หรือส่ือผสม เช่น ป้ายโฆษณา วตั ถุจารึก ส่ือพ้นื บา้ นต่างๆ

๑ ส่ือในชีวติ ประจาวนั

จะเห็นว่า สื่อในชีวิตประจาวนั ที่นาเสนอข่าวสาร ข้อมูลต่างๆ ไปยงั ผูร้ ับสารมีอยู่
หลากหลาย การท่ีจะเลือกรับสารจากสื่อใดๆ ยอ่ มข้ึนอยกู่ บั ความสามารถในการเขา้ ถึงส่ือของแต่ละ
คน จากประเภทของสื่อ จะเห็นวา่ มนุษยม์ ีช่องทางการเขา้ ถึงสื่ออยา่ งหลากหลาย

ช่องทางการรับสารจากส่ือในชีวิตประจาวนั

• โดยส่วนใหญ่ช่องทางท่ีผรู้ ับสารใชใ้ นการรับสาร ไดแ้ ก่ การอ่าน การฟัง และการดู

• การอ่าน เป็นการรับขอ้ มูลผา่ นประสาทสมั ผสั คือ ตา ส่วนการฟังและดู เป็ นการรับ
ขอ้ มูลผา่ นประสาทสมั ผสั ตาและหู

• ผรู้ ับสารจะเป็น ผเู้ ลือกอ่าน ฟัง ดู หรืออ่านตามความตอ้ งการและความจาเป็น

• มนุษยร์ ับสารจากการดู และการฟังมากกว่าการอ่าน โดยเฉพาะการฟังซ่ึงสามารถ
กระทาไปพร้อมๆ กบั กิจกรรมอ่ืนได้ เช่น เดินทาง ขบั รถ เป็นตน้

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

ธรรมชาติของการแสดงความคดิ เห็น

• การแสดงความคิดเห็น คือ การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง
ระหวา่ งกนั ของกลุ่มบุคคล

• การเขียนแสดงความคิดเห็นเป็ นทกั ษะการเขียนท่ีมีความเกี่ยวขอ้ งการวิเคราะห์
วจิ ารณ์

• การเขียนแสดงความคิดเห็น คือ การส่งสารที่ประกอบดว้ ยขอ้ มูลท้งั ที่เป็นขอ้ เทจ็ จริง
และขอ้ คิดเห็น หรือความคิดเห็นของผเู้ ขียนท่ีมีต่อเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง

• การเขียนแสดงความคิดเห็นท่ีดี ตอ้ งกระทาอย่างเป็ นกลาง ไม่เลือกที่รักมกั ท่ีชัง
หรือเขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกส่วนตวั โดยไม่มีหลกั การ ทฤษฎี หรือข้อมูลที่
น่าเช่ือถือรองรับ

• การแสดงความคิดเห็นมีประโยชน์ต่อทุกกลุ่มสังคม ทาให้เกิดการมองต่างมุม มี
วถิ ีทางการแกไ้ ขปัญหาอยา่ งหลากหลาย

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

ธรรมชาตขิ องการแสดงความคดิ เห็น (ต่อ)

• ผูเ้ ขียนสามารถแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องต่างๆ
ไดอ้ ย่างหลากหลาย ผ่านทกั ษะการส่งสารของ
มนุษย์ คือ การพดู และการเขียน

การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และการแสดงความคิดเห็น

ท้งั สามคาน้ีมีความเช่ือมโยงกนั ในลกั ษณะที่
การวิเคราะห์เป็ นกระบวนการแรกของการวิจารณ์
และการแสดงความคิดเห็น ส่วนการวิจารณ์ เป็ น
ส่วนหน่ึงของการแสดงความคิดเห็น ซ่ึงการแสดง
ความคิดเห็นจะสมบูรณ์เมื่อมีการแสดงขอ้ สรุป

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

การวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และการแสดงความคดิ เห็น (ต่อ)

กำรวิเครำะห์ คือ การแยกแยะขอ้ มูลท่ีไดอ้ ่านหรือไดฟ้ ังออกเป็นส่วน ๆ แบ่งเป็นเรื่องท่ี
ได้ฟัง ส่วนนาเร่ือง เน้ือหา และส่วนสรุป ในส่วนที่เป็ นเน้ือหาแยกย่อยลงไปอีกว่าส่วนใดคือ
ใจความสาคญั ส่วนใดคือตวั อยา่ งประกอบหรือการขยายความ ส่วนใดเป็ น ขอ้ เทจ็ จริงที่ปรากฏ
และอะไรคือขอ้ คิดเห็น เจตนา หรือน้าเสียงของผสู้ ่งสาร

กำรวิจำรณ์ คือ การประเมินหรือการบอกขอ้ ดีขอ้ เสีย ส่วนที่เป็นจุดแขง็ หรือจุดอ่อนของ
เรื่อง การพูดวิจารณ์ไม่ใช่การประจานความผิดหรือจุดอ่อนของผอู้ ื่นดว้ ยคาพูดท่ีคุกคามหนา้ หรือ
ท่าทางท่ีไม่ให้เกียรติผูอ้ ื่น แต่การพูดวิจารณ์คือการเปรียบเทียบให้เห็นส่วนดีและส่วนบกพร่อง
ท่ีมาจากการวเิ คราะห์ขอ้ มูลอยา่ งรอบดา้ นแลว้

ปัจจัยทส่ี ่งผลต่อการแสดงความคดิ เห็นของบุคคล

อคติ หรือความลาเอียง ความไม่เท่ียงธรรม เกิดจากสาเหตุ ๔ ประการ ดงั น้ี

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

ปัจจยั ที่ส่งผลต่อการแสดงความคดิ เห็นของบุคคล (ต่อ)

• ฉนั ทาคติ ลาเอียงเพราะรัก ไม่ใหค้ วามยตุ ิธรรมเพราะความรัก

• โมหาคติ ลาเอียงเพราะความเขลา ไม่ใหค้ วามยตุ ิธรรมเพราะความไม่รู้ หลงผิด ไม่
สอบสวนความจริงใหร้ อบคอบ

• โทสาคติ ลาเอียงเพราะชงั ไม่ใหค้ วามยตุ ิธรรมเพราะความไม่ชอบ

• ภยาคติ ลาเอียงเพราะความกลวั

โครงสร้างความคดิ เห็นของมนุษย์

• ที่มา คือ ส่วนที่เป็นเร่ืองราวต่างๆ ที่ทาใหเ้ กิดการแสดงความคิดเห็น

• ขอ้ สนบั สนุน คือ เหตุผลท่ีอาจเป็นหลกั การ ขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ คิดเห็นของผอู้ ่ืน ที่ผเู้ ขียน
หรือพดู แสดงความคิดเห็นนามาใชอ้ า้ งอิงเพือ่ สนบั สนุนความคิดเห็นของตนเอง

• ขอ้ สรุป เป็ นส่วนท่ีสาคญั ที่สุดของการแสดความคิดเห็น เป็ นการสรุปประเด็น
ท้งั หมดการแสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองน้นั ๆ

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

ความคิดเห็นจาเป็ นสาหรับทุกสังคม เพราะความคิดเห็นทาให้เกิดการมองปัญหา หรือ
เร่ืองหน่ึงๆ แตกต่างกนั การระดมความคิด ความเห็น จะทาให้ทุกกลุ่มสังคม ไม่วา่ เลก็ หรือใหญ่ผา่ น
พน้ ปัญหา หรืออุปสรรคไปได้

คุณลกั ษณะของการแสดงความคดิ เห็นทด่ี ี

• อยบู่ นพ้ืนฐานของขอ้ เทจ็ จริง

• มีเหตุผล ทฤษฎีที่น่าเชื่อถือรองรับความคิดเห็น

• ไม่ก่อใหเ้ กิดความแตกแยกแก่คนในสงั คม

• ปราศจากอคติ หรือความลาเอียง

• มีโครงสร้างของความคิดเห็นครบถว้ น

• ใชถ้ อ้ ยคา ภาษาในการแสดงความคิดเห็นอยา่ งมีมารยาท

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

ในชีวิตประจาวนั ของมนุษย์ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ไดท้ ่ีจะแสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองใดเร่ือง
หน่ึง ซ่ึงเรื่องท่ีแสดงความคิดเห็นอาจเป็ นไดต้ ้งั แต่เร่ืองเล็กๆ นอ้ ยๆ เช่น ข่าว เหตุการณ์ประจาวนั
ดารา ภาพยนตร์ การเมือง หรืออาจเป็นการแสดงความคิดเห็นในเร่ืองสาคญั เช่น การแสดงความเห็น
เก่ียวกบั นโยบายต่างๆ ในที่ประชุม ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั โอกาส สถานการณ์ ช่วงวยั สถานภาพและบทบาท
ของผแู้ สดงความคิดเห็น

ทาอย่างไรเม่ือต้องแสดงความคดิ เห็น

• ผเู้ ขียนจะตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั เร่ือง ประเด็น ซ่ึงเป็ นที่มา หรือมูลเหตุ
ของการแสดงความคิดเห็นเป็นอยา่ งดี

• หากไม่มีความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องน้นั ๆ แต่จาเป็นตอ้ งแสดงความคิดเห็น ก็ควรหา
ขอ้ มูลเพ่มิ เติมดว้ ยการอ่าน ฟัง ดู หรือสอบถามจากผรู้ ู้ ผมู้ ีประสบการณ์

• ผแู้ สดงความคิดเห็นจะตอ้ งอ่าน ฟัง หรือดูเรื่องน้นั ๆ อยา่ งละเอียด เพ่ือใหเ้ กิดความรู้
ความเขา้ ใจอยา่ งถ่องแท้

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

ทาอย่างไรเม่ือต้องแสดงความคดิ เห็น (ต่อ)

• จบั สาระสาคญั ของเรื่องว่า กล่าวถึงอะไร แลว้ ตวั ผูแ้ สดงความคิดเห็นรู้สึกอยา่ งไร
ต่อประเดน็ น้นั ๆ เห็นดว้ ย หรือไม่เห็นดว้ ย

• การแสดงความคิดเห็นไม่ไดจ้ บลงเพียงคาวา่ “ชอบ” “ไม่ชอบ” “เห็นดว้ ย” “ไม่เห็น
ดว้ ย” แต่จะตอ้ งหาขอ้ มูลมาสนบั สนุนความรู้สึก หรือความคิดเห็นของตน

• ขอ้ มูลท่ีนามาใชเ้ ป็นขอ้ สนบั สนุนจะตอ้ งสมเหตุสมผล เป็นไปได้ ซ่ึงอาจเป็นขอ้ มูล
เชิงวิชาการ แนวคิด หรือทฤษฎีต่างๆ ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของ
ความคิดเห็นท่ีผเู้ ขียนสื่อสารออกไป

• ผเู้ ขียนจะตอ้ งให้ขอ้ สรุปของความคิดเห็นที่แสดงออกไป จากน้นั จึงเรียบเรียงดว้ ย
สานวนภาษาของตนเอง

๒ ความคดิ เห็นของมนุษย์

บทสรุป

ในการดาเนินชีวิตประจาวนั ของมนุษย์ การแสดงความคิดเห็นในเร่ืองต่างๆ นับเป็ น
กิจกรรมหน่ึงที่มนุษยไ์ ม่สามารถหลีกเล่ียงได้ และการแสดงความคิดเห็นน้ีนบั ไดว้ ่าเป็ นส่วนหน่ึง
ของการแกไ้ ขปัญหา ทาใหส้ งั คมขบั เคล่ือนต่อไปขา้ งหนา้ ได้

การแสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองต่างๆ ที่ไดอ้ ่าน ไดด้ ู ไดฟ้ ังจากส่ืออนั หลากหลาย อาจเป็น
เร่ืองเล็ก เร่ืองใหญ่ ดว้ ยเหตุผลที่แตกต่างกนั ผูแ้ สดงความคิดเห็นท่ีดี จะตอ้ งพึงระลึกเสมอว่า การ
แสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่จาเป็นที่บุคคลอ่ืนจะตอ้ งเห็นดว้ ย หรือคลอ้ ยตามกนั ไป
ท้งั หมด ส่ิงสาคญั ของการแสดงความคิดเห็น คือ อยบู่ นพ้นื ฐานของขอ้ เทจ็ จริง ผแู้ สดงความคิดเห็นมี
ความรู้ ความเขา้ ใจในส่ิงท่ีกาลงั แสดงความคิดเห็นเป็นอยา่ งดี


Click to View FlipBook Version