1.ความหมายของสื่อบันทึกข้อมูล สื่อบันทึกข้อมูลหรือสื่อจัดเก็บข้อมูล เป็นอุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูล ชุดคําสั่ง และสารสนเทศต่าง ๆ ไว้ โดย ข้อมูล ไม่สูญหายเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.1 หน่วยความจําชั่วคราว (แบบโวลาไทล์ Volatile Memory) คือ หน่วยความจําที่ต้องมีกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับหน่วยความจําตลอดเวลา เพื่อจําข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ RAM (Random Access Memory) ข้อมูลจะสูญหายหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือปราศจากกระแสไฟเลี้ยง 1.2 หน่วยความจําถาวร (แบบนอนโวลาไทล์ Nonvolatile Memory) คือ หน่วยความจําที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้ โดยไม่จําเป็นต้องจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับหน่วยความจํา ข้อมูล สําคัญต่าง ๆ จําเป็นต้องมีการจัดเก็บไว้บนหน่วยความจําถาวรก่อนที่จะปิดเครื่อง เพื่อเก็บไว้ใช้งานวันข้างหน้า ต่อไป ได้แก่ ROM (Read Only Memory) สื่อต่าง ๆ ที่ใช้สําหรับจัดเก็บข้อมูลนั้นต้องใช้ควบคู่กับอุปกรณ์อ่านข้อมูล หรือเขียนข้อมูลที่เรียกว่า “อุปกรณ์ บันทึกข้อมูล (Storage Media)” เช่น ฟลอปปีดิสก์ ใช้คู่กับฟลอปปีดิสก์ไดรฟ์ หรือแผ่นซีดีใช้คู่กับเครื่องอ่าน ซีดี สื่อบันทึกข้อมูลมีชื่อเรียกกันหลายชื่อ คือ Secondary Storage, Auxiliary Storage, Permanent Storage หรือ Mass Storage ปัจจุบันมีสื่อบันทึกข้อมูลหลายประเภทด้วยกันให้เลือกใช้งาน การพิจารณาว่า จะใช้สื่อใด เป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล สามารถพิจารณาได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น ต้นทุน ขนาด ความจุ และความเร็ว ในการเข้าถึงข้อมูล สื่อจัดเก็บข้อมูลได้มีการพัฒนามากขึ้น เช่น แผ่นซีดี แผ่นดีวีดี หรือธัมป์ ไดรฟ์ (Thumb Drive) ที่ทําให้สามารถจุข้อมูลได้สูงมากขึ้น
https://bit.ly/2PHkOMI https://bit.ly/38JgHIK 2.ชนิดของสื่อบันทึกข้อมูล เทคโนโลยีของอุปกรณ์บันทึกข้อมูลหรือจัดเก็บข้อมูล สามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ com 2.1 สื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก (Magnetic Storage) 2.2 สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแบบแสง (Optical Storage) ซึ่งสื่อบันทึกข้อมูลส่วนใหญ่มักจะเป็น ลักษณะใดลักษณะหนึ่งในสองชนิดนี้ สื่อบันทึกข้อมูลบางชนิดที่ใช้เทคโนโลยีทั้งสองรวมกัน คือ สื่อแบบ แม่เหล็ก และแสง เช่น Magneto-Optical Disk 2.3 โซลิดสเตต (Solid State) หรือเอสเอสดี เป็นเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลลงบนชิปวงจรรวมที่ประกอบรวมเป็น หน่วยความจํา เพื่อจัดเก็บข้อมูลแบบถาวร เหมือนฮาร์ดดิสก์ 2.1 สื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก (Magnetic Storage) สื่อบันทึกข้อมูลแบบแม่เหล็ก คือ สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแม่เหล็ก (Magnetic) ซึ่งประกอบด้วย ฟลอป ปีดิสก์ (Floppy Disk/Diskettes) ดิสก์ความจุสูง (High Capacity Floppy Disk) ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) และเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) 2.1.1 ฟลอปปีดิสก์ (Floppy Disk/Diskettes) ฟลอปปีดิสก์หรือดิสก์เก็ต เป็นแผ่นดิสก์แบบอ่อนที่ทําจากแผ่นไมลาร์และเคลือบด้วย สารแม่เหล็กบาง ๆ ทั้ง สองด้าน มีขนาดตั้งแต่ 8 นิ้ว 5.25 นิ้ว และ 3.5 นิ้ว ดิสก์เก็ตนี้บางที่ยังมีผู้ใช้งานเหลืออยู่บ้าง คือ ขนาด 3.5 นิ้ว แต่ปัจจุบันไม่นิยมใช้งานแล้ว เพราะมีดิสก์ชนิดความจุสูงอื่น ๆ ให้เลือกใช้งานแทน (ดูข้อมูล เพิ่มเติม เกี่ยวกับดิสก์ที่เว็บไซต์ http://th.wikipedia.org/wiki/ฟลอปปีดิสก์)
หน่วยวัดความจุของข้อมูลในคอมพิวเตอร์ (Capacity) https://bit.ly _RwiDkMnuyM/s1600/dvd12.png การจัดเก็บข้อมูลบนจานแม่เหล็ก แทร็ก (Track) คือ เส้นรอบวง เริ่มจาก 0-39 รวม 40 แทร็ก เซกเตอร์ (Sector) คือ การแบ่ง แทร็กออกเป็นส่วน ๆ https://bit.ly/3ac4xbY บิต (Bit) ย่อมาจากคําว่า Binary Digits 8 Bit เท่ากับ 1 ไบต์ (Byte = 1 ตัวอักษร) 1 ไบต์ (Byte)เท่ากับ 8 บิต (Bit) 1 กิโลไบต์ (Kilobyte) เท่ากับ 1,024 ไบต์ (Byte) 1 เมกะไบต์ (Megabyte) เท่ากับ 1,024 กิโลไบต์ (Kilobyte) 1 กิกะไบต์ (Gigabyte) เท่ากับ 1,024 เมกะไบต์ (Megabyte) 1 เทระไบต์ (Terabyte) เท่ากับ 1,024 กิกะไบต์ (Gigabyte) 1 เพตะไบต์ (Petabyte) เท่ากับ 1,024 เทระไบต์ (Terabyte) (ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความจุของข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่เว็บไซต์ http://th.wikipedia.org/wiki/เพตะไบต์ หรือ http://th.wikipedia.org/wiki/เทระไบต์) หน่วยจัดเก็บ จํานวนไบต์ Kilobyte= 1 thousand (หนึ่งพันไบต์) Megabyte= 1 billion(หนึ่งล้านไบต์) Gigabyte= 1 billion(หนึ่งพันล้านไบต์) Terabyte= 1 trillion(หนึ่งล้านล้านไบต์) Petabyte= 1 quadrillion (หนึ่งพันล้านล้านไบต์)
2.1.2 ดิสก์ความจุสูง (High capacity Floppy Disk) เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่มีลักษณะเดียวกับดิสก์เก็ตที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้สูงที่นิยมใช้กัน เ Super Disk, Zip Disk และ Jaz Disk โดย Super Disk มีความจุขนาด 120 เมกะไบต์ ส่วน Zip Disk มี ความจุ ขนาด 100 เมกะไบต์ และ 250 เมกะไบต์ ในขณะที่ Jaz Disk สามารถจัดเก็บข้อมูลถึง 1-2 กิกะไบต์สามารถเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB หรือ พอร์ต Parallel 2.1.3 ฮาร์ดดิสก์หรือจานบันทึกแบบแข็ง คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ใช้สําหรับจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดของ เครื่อง เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่มีความเร็วและความจุในการจัดเก็บข้อมูลได้สูงมากกว่า 500 กิกะไบต์-14 เทระไบต์ อีกทั้งยังมีราคาไม่แพง และจัดเป็นอุปกรณ์หลักที่จําเป็นต้องมีในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดเก็บ ข้อมูลสําคัญต่าง ๆ เช่น โปรแกรมระบบปฏิบัติการ แอปพลิเคชัน โปรแกรมประยุกต์ใช้งาน รวมถึงข้อมูล หรือสารสนเทศต่าง ๆ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.idrlab.com/content/12241/มาทํา ความรู้จักกับฮาร์ดดิสก์-hard-disk-กันเถอะ) ที่มา : https://bit.ly/2ry6iyU, https://bit.ly/2Nwbg29 ที่มา : https://bit.ly/34g1o6R, https://bit.ly/2QXUhfN ที่มา : https://bit.ly/2PgJRaa, https://bit.ly/3aeHJs7 ที่มา : https://bit.ly/30qRbE6, https://bit.ly/370Dj62,
1) ลักษณะการทํางานของฮาร์ดดิสก์ การทํางานของฮาร์ดดิสก์จะคล้ายกับ ฟลอปปีดิสก์ แต่ภายในของฮาร์ดดิสก์ได้รวมหัวอ่านบันทึกและจานแม่เหล็กอยู่ภายในตัวเดียวกัน โครงสร้างภายใน ฮาร์ดดิสก์จะประกอบด้วยแพลตเตอร์ (Platters) ซึ่ง คล้ายกับแผ่นดิสก์ แต่จะทําด้วย แผ่นอะลูมิเนียมแข็ง ที่เคลือบด้วยออกไซด์ของเหล็ก และมีอยู่หลายแพลตเตอร์ด้วยกัน แต่ละแพลตเตอร์ จะเรียงอยู่บนแกนเดียวกัน ที่เรียกว่า “Spindle” ทําให้แพลตเตอร์แต่ละแผ่นสามารถ หมุนไปได้พร้อม ๆ กัน ด้วยมอเตอร์ขับเคลื่อนที่มีความเร็ว https://bit.ly/38yvRAn ระหว่าง 3600 RPM และ 7200 RPM (Round Per Minute : RPM) ในขณะที่มอเตอร์ดิสก์ไดรฟ์ที่หมุน ดิสก์เก็ต 67 จะหมุนด้วยความเร็วประมาณ แต่ละหน้าของแพลตเตอร์ที่วางเรียงซ้อนกัน จะมีหัวอ่านหรือ บันทึกที่สามารถเคลื่อนที่เข้าออกไปยังแทร็กต่างๆ 300 RPM เท่านั้น ปัจจุบันฮาร์ดิสก์สามารถหมุนได้ด้วย ความเร็วมากกว่า 10000 RPM จึงอ้างอิงตําแหน่งแทร็กเดียวกันในแต่ละแพลตเตอร์ ที่เรียกว่า “ไซลินเดอร์” (Cylinder) คือ เส้นรอบวงแทร็กรวมกัน - และเนื่องจากฮาร์ดดิสก์มีจํานวนจานดิสก์หรือแพลตเตอร์หลายแผ่น เรียงซ้อนกัน การอ้างอิงตําแหน่ง ทั้งหมดของแผ่นบันทึกข้อมูล โดยแทร็กสุดท้ายในแผ่นบันทึกข้อมูลจะใช้เป็น ที่พักหัวอ่าน (Head) ของฮาร์ดดิสก์ 2) ชนิดของฮาร์ดดิสก์ ฮาร์ดดิสก์มีพัฒนาการมาตรฐานการเชื่อมต่อปัจจุบันแบ่งออกได้หลายแบบ คือ ฮาร์ดดิสก์ แบบ IDE แบบ EIDE แบบ SCSI และแบบ Serial ATA แบบ PCI-e และแบบ M.2 แต่ละชนิดมีลักษณะ แตกต่างกัน ดังนี้ แบบ 1 ฮาร์ดดิสก์แบบ IDE (Integrated Drive Electronics) ฮาร์ดดิสก์แบบ IDE เป็นอินเตอร์เฟซรุ่นเก่าที่มีการเชื่อมต่อโดยใช้สายแพขนาด 40 เส้น โดยสายแพ 1 เส้น สามารถต่อฮาร์ดดิสก์ได้ 2 ตัว บนเมนบอร์ดเดียวกันจะมีขั้วต่อ 2 ขั้วด้วยกัน ทําให้สามารถ ต่อฮาร์ดดิสก์ได้
แบบ 4 ฮาร์ดดิสก์แบบ Serial ATA เป็นมาตรฐาน Serial ATA เป็นอินเตอร์เฟซใหม่ที่เข้ามาแทนที่มาตรฐาน EIDE ซึ่งเดิม เป็นแบบขนาน (Parallel) ส่วนที่แตกต่างไปจากเดิม คือ ใช้ระบบการรับ/ส่งข้อมูลในแบบอนุกรม (Serial) สามารถเพิ่มความเร็วในการรับ/ส่งข้อมูลได้สูงกว่า และสายเชื่อมต่อมีขนาดเล็กลงกว่าแบบ EIDE ซึ่งนิยม ใช้งานกัน สูงสุด 4 ตัว สําหรับขนาดความจุของข้อมูลเพียง 504 MB เท่านั้น (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/ฮาร์ดดิสก์) แบบ 2 ฮาร์ดดิสก์แบบ EIDE (Enhanced Integrated Drive Electronics) มาตรฐาน EIDE พัฒนามาจาก IDE ที่ใช้สายแพขนาด 80 เส้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การทํางานให้มากขึ้น โดยเชื่อมต่อระหว่างฮาร์ดดิสก์กับช่องต่อ IDE บนเมนบอร์ด อีกทั้งยังสนับสนุนการ เชื่อมต่อ กับอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ไดรฟ์ CD-ROM/CD-RW ไดรฟ์ DVD ฯลฯ แบบ 3 ฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI (Small Computer System Interface) ฮาร์ดดิสก์แบบ SCSI หรือเรียกว่า สกัสซี (Scuzzy) เป็นมาตรฐานฮาร์ดดิสก์อีกแบบหนึ่ง ที่มีการ์ด คอนโทรลเลอร์ SCSI สําหรับควบคุมการทํางานของอุปกรณ์รุ่นแรก ๆ อัตราการรับส่งข้อมูลเพียง 10 MB/s ช้ากว่าฮาร์ดดิสก์ EIDE ฮาร์ดดิสก์รุ่นใหม่ ๆ จะมีความเร็วสูงมากกว่า 40 MB/s ขึ้นไป จนถึง 160 MB/s การ เชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ 7 ตัว แต่การ์ดบางรุ่นอาจได้ถึง 14 ตัว ฮาร์ดดิสก์ SCSI นี้ ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งาน บน เครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย คือ เซิร์ฟเวอร์ (Server) ทําหน้าที่บริการกับผู้ใช้งานหลาย ๆ คนบนเครือข่าย ซึ่ง เน้นความทนทานต่อการใช้งานหนัก และรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง ฮารด์ดิสก์แบบ EIDE https://bit.ly/2Tpd/ns สายแพ IDE/EIDE https://bit.ly/2G74MYd ฮารด์ดิสก์แบบ IDE https://bit.ly/2Ylkoox7, https://bit.ly/35oKmEU https://bit.ly/35VsWi https://bit.ly/371200 v,
แบบ 6 ฮาร์ดดิสก์แบบ M.2M.2 0 NGFF (Next Generation Form Factor) เป็น Interface ใหม่ มีหลายแบบมาก เน้นขนาดเล็กและ ความเร็วสูง มีการเชื่อมต่อแบบ SATA ดั้งเดิม และบวกเพิ่ม การเชื่อมต่อตรงแบบ PCIe x2 x4 ทําให้ประสิทธิภาพมากกว่า SATA แบบเดิม ๆ อัป เดตข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.addin.co.th/blog/harddisk-and-ssd และ https://www.synnex.co.th/th/community_details. aspx?category_id=2&detail_id=665&ispdf=True) แบบ 5 ฮาร์ดดิสก์แบบ PCI Express SSDs ฮาร์ดดิสก์ที่ใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบ PCI Express SSDs ซึ่งเป็น SSD ที่เชื่อมต่อผ่านพอร์ต PCI Express บนเมนบอร์ด นิยมใช้กับคอมพิวเตอร์ ระดับองค์กรที่เป็นคอมพิวเตอร์ Server/Workstations ที่ให้ประสิทธิภาพเรื่องความเร็ว ที่สูงมาก และมี ราคาสูง หากชื่นชอบในความเร็วและความแรงของ PCIExpress SSDs (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ ภาพที่ 3.13 ฮาร์ดดิสก์แบบ PCI Express SSDshttps://www.technointrend.com/pci-express-ssd/) 3) การพิจารณาความเร็วของฮาร์ดดิสก์ มีปัจจัยหลายประการด้วยกันในการพิจารณาความเร็วของฮาร์ดดิสก์ สามารถพิจารณาได้ จากปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ (1) เวลาค้นหา (Seek Time) คือ เวลาที่แขนของหัวอ่าน/บันทึก เคลื่อนที่ไปยังแทรกหรือไซลินเดอร์ที่ต้องการ โดยมี https://bit.ly/2RLvY5l, https://bit.ly/2u9jul d, https://bit.ly/360zLi o https://bit.ly/34m5cóm https://bit.ly/2YK1LoW
หน่วยวัดความเร็วเป็นมิลลิวินาที (Millisecond) (2) เวลาแฝง (Rotation Delay or Latency Time) คือ เวลาที่ตําแหน่งข้อมูลที่ต้องการในแต่ละแทร็กหมุนมายังตําแหน่งของหัวอ่าน/บันทึก เพื่อที่จะถ่ายโอน ข้อมูลไปยังหน่วยความจําหลัก โดยมีหน่วยวัดความเร็วเป็นมิลลิวินาที (3) เวลาเข้าถึง (Access Time) คือ เวลารวมของเวลาค้นหาและเวลาแฝง (Seek Time + Latency Time) (4) เวลาถ่ายโอนข้อมูล (Transfer Time)คือ เวลาการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างตําแหน่งข้อมูลบนแทร็กนั้น ๆ ไปยังหน่วยความจําหลัก ความเร็วใน การถ่ายโอนข้อมูลนี้จะขึ้นอยู่กับความเร็วรอบการหมุนของแพลตเตอร์ซึ่งมีหน่วยเป็นบิตต่อวินาที ซึ่งมีหน่วยเป็น RPM รวมถึงความหนาแน่นของข้อมูลในแต่ละแทร็ก (Track Per Inch : TPI) ด้วย 4) ฮาร์ดดิสก์แบบเคลื่อนย้ายได้ ฮาร์ดดิสก์ฮ็อตสว็อป (Hot Swappable Hard Disk) นิยมใช้กับเครื่องระดับไมโคร คอมพิวเตอร์ และเครื่อง คอมพิวเตอร์ระดับสูง โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ทําหน้าที่เป็นเครื่องแม่ข่าย (Server) เพราะความเร็วในการ ทํางานที่เทียบเท่าฮาร์ดดิสก์ที่ใส่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ยังสามารถถอดเข้าออก จากเครื่องได้โดยไม่ต้อง ปิดเครื่องเลย และยังสามารถรองรับกับงานข้อมูลที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 2.1.4 เทปแม่เหล็ก (Magnectic Tape) เทปแม่เหล็กเป็นสื่อจัดเก็บข้อมูลที่นิยมใช้มานาน แต่ในปัจจุบันความนิยมของเทปแม่เหล็ก ได้ลดน้อยลงมาก เนื่องจากการเข้าถึงข้อมูลเป็นไปในลักษณะแบบลําดับ (Sequential) ซึ่งช้ากว่าแบบเข้าถึงโดยตรง (Direct Access) อย่างแมกเนติกดิสก์ แต่อย่างไรก็ตาม เทปแม่เหล็กยังคงนิยมใช้สําหรับจัดเก็บข้อมูลสํารองต่าง ๆ เนื่องจากเทปแม่เหล็กมีความจุสูงและเคลื่อนย้ายได้ง่ายเมื่อเทียบปริมาณความจุกับราคา ถือว่ามีราคาถูกและ คุ้มค่า ปัจจุบันเทปแม่เหล็กมีหลายชนิดด้วยกัน เช่น เทปแม่เหล็กแบบม้วน ซึ่งมักใช้กับเครื่องระดับใหญ่ เช่น มินิคอมพิวเตอร์ และเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ ยังมีเทปแบบตลับคาสเซ็ต คาร์ทริดจ์ ที่มักใช้งาน บน ไมโครคอมพิวเตอร์ รวมทั้งเทปชนิด DAT ฯลฯ https://bit.ly/35VsWiv https://bit.ly/371200J
2.2 สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแบบแสง (Optical Storage) แนวโน้มการจัดเก็บข้อมูลด้วยสื่อจัดเก็บข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีออปติคัล มีความนิยมสูงขึ้นเป็นลําดับ เนื่องจากมี ความจุสูง ทนทาน และมีราคาถูก และโปรแกรมต่าง ๆ ในปัจจุบันส่วนใหญ่ผู้ผลิตมักนําโปรแกรมมาบันทึก ลงในแผ่นซีดีกันส่วนมาก เช่น ซีดีรอม ซีดีอาร์ ซีดีอาร์ดับบลิว ดีวีดีรอม และแมกนีโตออปติคัลดิสก์ 2.2.1 ซีดีรอม (Compact Disc Read-Only Memory : CD-ROM) สื่อบันทึกข้อมูลที่ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว เดิมใช้เป็นสื่อบันทึกข้อมูลเสียงในระบบสเตอริโอ โดย เทคโนโลยี นี้ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ฟิลิปส์ และบริษัท โซนี มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้บันทึกเพลงแทนการบันทึก ด้วย แผ่นเสียง อันเนื่องจากแผ่นเสียงเสียง่ายและมีเสียงรบกวนมาก จึงแก้ปัญหาด้วยการบันทึกเสียงด้วยระบบ ดิจิทัล ลงในแผ่นซีดีรอม ซึ่งแผ่นซีดีรอมการแปลงสัญญาณเสียง ให้เป็นสัญญาณดิจิทัล หัวอ่านเลเซอร์ที่มิได้ สัมผัส กับพื้นผิวโดยตรง จึงทําให้แผ่นซีดีรอมสึกหรอยากและ ไม่เกิดเสียงรบกวน ข้อมูลในปัจจุบันมักเป็นข้อมูลลักษณะมัลติมีเดีย ขนาดไฟล์ข้อมูลมีความจุมาก ดังนั้นประมาณ 600-700 เมกะไบต์ ข้อมูลในแผ่นซีดีรอมสามารถเรียกใช้งานหรืออ่านได้เพียงอย่างเดียว (Read Only) ไม่ สามารถแก้ไขข้อมูลได้ แผ่นซีดีรอมที่ใช้บันทึกข้อมูล ทางคอมพิวเตอร์จะเป็นอุปกรณ์ประเภทเดียวกับแผ่นซีดี เพลงทั่ว ๆ ไป แตกต่างกันตรงขั้นตอนการจัด รูปแบบเนื้อที่บนแผ่น เพื่อให้สามารถจัดเก็บข้อมูลที่มีลักษณะ แตกต่างกันได้ ลักษณะภายนอกของแผ่นซีดีรอมเป็นวัตถุทรงกลม ทําจากพลาสติกโพลีคาร์บอเนต(Polycarbonate) มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4.75 นิ้ว ส่วนด้านบันทึกข้อมูลสีเป็นแสงเงินแวววาว ความเร็วของเครื่อง อ่านซีดีรอมปัจจุบันมีความเร็วมากกว่า 50X โดยความเร็วที่ 1X (Single Speed) จะมีอัตรา 9https://bit.ly/38EgS ttps://bit.ly/36UCTy https://bit.ly/3og2Eeh https://bit.ly/2RWD Hy1 https://bit.ly/32e1Uon https://bit.ly/2R01n3x, https://bit.ly/2YNoJvw
ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลประมาณ 150 KBps (Kilobytes Per Second) ดังนั้น ถ้าเครื่องอ่านซีดีรอมมี ความเร็ว 71 50X จะมีอัตราความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่ 7500 KBps ช้ากว่าฮาร์ดดิสก์ 2.2.2 ดีวีดีรอม (Digital Versatile Disc Read-Only Memory : DVD-ROM) เป็นสื่อบันทึกข้อมูลที่นิยมนํามาบันทึกภาพยนตร์เนื่องจากมีความจุสูงมากถึง 7 เท่า โดยแผ่นดีวีดีรอมสามารถ บันทึกข้อมูลได้ทั้งสองด้าน เมื่อเทียบกับแผ่นซีดีรอม แต่ละด้านสามารถจุข้อมูลได้ถึง 4.7 GB (กิกะไบต์) รวม ความจุทั้งสองด้านสามารถจุข้อมูลได้มากถึง 17 กิกะไบต์ แผ่นดีวีดีรอมได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้สําหรับจัดเก็บข้อมูลภาพยนตร์ ซึ่งโดยทั่วไปมีความยาว ประมาณ 2 ชั่วโมง การบันทึกข้อมูลลงในแผ่นดีวีดี ใช้เทคโนโลยีการปิดอัดข้อมูลที่เรียกว่า MPEG-2 สาเหตุ แทร็กของแผ่นดีวีดีรอมจะมีขนาดเล็กกว่าแผ่นซีดีรอม และร่องเก็บข้อมูลเล็กกว่า ทําให้ความหนาแน่นของ ข้อมูล ที่แผ่นดีวีดีรอมสามารถจัดเก็บข้อมูลได้ในปริมาณมากทั้ง ๆ ที่มีขนาดเท่ากับแผ่นซีดีรอม เนื่องจาก ช่องว่างระหว่าง ในแทร็กต่อความยาวหนึ่งนิ้วของแผ่นดีวีดีรอมมีมากกว่าถึง 2 เท่า ส่วนด้านความเร็วในการ ถ่ายโอนข้อมูลสูงกว่า ทําให้การชมภาพยนตร์ที่เคลื่อนไหวดูเป็นธรรมชาติ ส่วนระบบเสียงที่บันทึกลงในแผ่นดีวี ดีมีระบบการบันทึกเสียง ที่มีคุณภาพดีกว่าแผ่นซีดีรอม จากข้อดีหลาย ๆ ข้อทําให้แผ่นดีวีดีมีราคาสูงกว่าแผ่น ซีดีรอม นอกจากนี้ ยังมี เครื่องบันทึกแผ่นดีวีดี (DVD-Writer) แผ่นดีวีดีอาร์ (DVD-R) ผู้ใช้บันทึกข้อมูลได้ครั้ง เดียว และแผ่นดีวีดี ที่บันทึกข้อมูลได้หลายครั้ง แต่ต้องลบทั้งแผ่น ความจุ 4.7 GB (DVD-Rewriteable : DVD-RW) ซึ่งมีลักษณะ คล้ายกับแผ่น CD-RW (คําว่า RW ย่อมาจาก Rewriteable) หมายถึง เขียนหรือลบ ข้อมูลได้หลายครั้ง และแผ่น DVD-RW เขียนหรือลบได้หลายครั้ง ไม่ต้องเขียนหรือลบทั้งหมด มีความจุ 4.7 GB และ 8.5 GB 2.2.3 ซีดีอาร์ (Compact Disk Recordable : CD-R) และซีดีอาร์ดับบลิว (Compact Disk ReWritable : CD-RW) ซีดีอาร์ (CD-R) คือ แผ่นบันทึกซีดีที่ผู้ใช้สามารถบันทึกข้อมูลลงในแผ่นได้หลายครั้งจนเต็มแผ่น และ สามารถอ่านได้หลายครั้ง แต่ไม่สามารถบันทึกข้อมูลทับหรือลบข้อมูลเดิมที่บันทึกแล้วได้ การบันทึกข้อมูลได้ หลายครั้งเรียกว่า มัลติเซสชัน (Multisession) ซึ่งเป็นการแบ่งการบันทึกข้อมูลทีละส่วนที่เรียกว่า เซสชัน แต่ ละเซสชันประกอบด้วยหลาย ๆ แทร็ก เมื่อเซสชันหนึ่งได้บันทึกข้อมูลเสร็จเรียบร้อย โดยพื้นที่บนซีดี ยังพอมี พื้นที่เหลือพอในการบันทึกข้อมูลต่อได้อีก การบันทึกข้อมูลในคราวต่อไปก็จะทําได้ด้วยการเปิดเซสชันต่อจาก เดิม ซึ่งจะเป็นเซสชันที่ต่อจากแทร็กที่ผ่านการบันทึกมาก่อนหน้านั้นสารพิเศษที่ไวต่อความร้อน โดยตัวหัว บันทึกข้อมูลเลเซอร์ในเครื่องบันทึกซีดีนั้นจะเบิร์นพื้นผิวดังกล่าวซีดีอาร์แตกต่างกับซีดีรอมตรงด้านบันทึก ข้อมูลของแผ่นซีดีอาร์นั้นจะมีสีฟ้าอมเขียว ซึ่งเป็นในการบันทึกข้อมูลเครื่องอ่านหรือบันทึกแผ่นซีดี กําลังจะ กลายเป็นมาตรฐานที่เครื่องคอมพิวเตอร์จําเป็นต้องมีเพราะปัจจุบันเครื่องบันทึกแผ่นซีดีมีราคาถูก สะดวกใน
การบันทึกข้อมูลชนิดมัลติมีเดีย หรือไฟล์ข้อมูลที่มขนาดความจุมาก ๆ ซึ่งแผ่นซีดีจะมีความทนทานกว่าแผ่น ดิสก์เก็ตและเก็บได้ระยะยาวนานกว่า รายละเอียดความเร็วที่ระบุตัวเลขไว้บนเครื่อง เช่น 40X, 48X, 50X หมายถึง 1) ความเร็วในการเขียนแผ่นซีดีอาร์ (CD-Recordable) 40 เท่า 2) ความเร็วในการเขียนแผ่นซีดีอาร์ดับบลิว (CD-Rewritable) 12 เท่า 3) ความเร็วในการอ่านแผ่นซีดีทั่วไป 48 เท่า นอกจากนี้ ยังมีสื่อจัดเก็บข้อมูลชนิดอื่น ๆ เช่น โฟโต้ซีดี (Photo CD) เป็นเทคโนโลยีของบริษัท โกดักที่ ใช้จัดเก็บรูปภาพในรูปแบบของโฟโต้ซีดี สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ผสมผสานเทคโนโลยีแม่เหล็ก (Magnetic) กับ เทคโนโลยีแสง (Optical) ไว้ด้วยกันอย่างแมกเนโตดิสก์ (Magne-To-Disk) หรือออปติคัลดิสก์ (Optical Disk) รวมทั้งสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หน่วยความจําแบบแฟลช (Flash Memory) ที่ใช้กับ คอมพิวเตอร์ กล้องดิจิทัล กล้องวิดีโอ และอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ ๆ 2.2.4 บลูเรย์ดิสก์ (Blu-ray Disc) หรือ บีดี (BD) บลูเรย์ดิสก์ คือ รูปแบบของแผ่นออปติคัล สําหรับบันทึกข้อมูลความละเอียดสูง ชื่อของ Blu-ray มา จากช่วงความยาวคลื่นที่ใช้ในระบบบลูเรย์ที่ 405 nm ของเลเซอร์สีฟ้า ซึ่งทําให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่า ดีวีดีที่มีขนาดแผ่นเท่ากัน โดยดีวีดีใช้เลเซอร์สีแดงความยาวคลื่น 650 nm https://bit.ly/2PMDbjl https://bit.ly/30wvv H2, https://bit.ly/379yMi0, https://bit.ly/2RQ8UCU https://bit.ly/38DRSO8 https://bit.ly/2vkigNR https://bit.ly/30t04NL https://bit.ly/2LTCx2m
ประวัติบลูเรย์พัฒนาโดยกลุ่มของบริษัทที่เรียกว่า Blu-ray Disc Association ซึ่งนําโดยฟิลิปส์ และ โซนี เปรียบเทียบกับเอชดี-ดีวีดี (HD-DVD) ที่มีลักษณะและการพัฒนาใกล้เคียงกัน บลูเรย์มีความจุ 25 GB ใน แบบเลเยอร์เดียว (Single-Layer) และ 50 GB ในแบบสองเลเยอร์ (Double-Layer) ขณะที่เอชดี-ดีวีดี แบบเลเยอร์เดียวมี 15 GB และสองเลเยอร์มี 30 GB ความจุของบลูเรย์ดิสก์ ซึ่งปกติแผ่นบลูเรย์นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับแผ่นซีดี/ดีวีดี โดย แผ่นบลูเรย์จะมี ลักษณะแบบหน้าเดียว และสองหน้า โดยแต่ละหน้าสามารถรองรับได้มากถึง 2 เลเยอร์ อาทิ แผ่น BD-R (SL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Single Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 25 GB แผ่น BD-R (DL) หมายถึง Blu-Ray Disc ROM แบบ Double Layer แบบหน้าเดียว มีความจุ 50 GB แผ่น BD-R (2DL) หมายถึง BluRay Disc ROM แบบ Double Layer แบบสองหน้า มีความจุ 100 GB ส่วนความเร็วในการอ่านหรือบันทึกแผ่น Blu-Ray ที่มีค่า 1x, 2x, 4x ในแต่ละ 1x จะมีความเร็ว 36 เม กะบิตต่อวินาที นั่นหมายความว่า 4x จะสามารถ บันทึกได้เร็วถึง 144 เมกะบิตต่อวินาที โดย มี นักวิทยาศาสตร์จาก NASA เป็นผู้พัฒนาต่อจากระบบ บันทึกข้อมูลที่ใช้ในโครงการอวกาศ บลูเรย์ดิสก์ในปัจจุบันได้มีการนําไปใช้ในแผ่นดิสก์ของเครื่องเกม Playstation 3 ซึ่งสามารถรองรับ 3 ความสามารถที่สูงของเครื่องเกมได้ดีทีเดียว อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า Blu-ray Disc ยังมีต้นทุน ของ หัวอ่านที่สูง และภาพยนตร์ที่มีความละเอียดสูง (High-definition) ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในตลาดมากนัก แต่ในอนาคตเทคโนโลยี Blu-ray เป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้พลิกวงการแผ่นดิสก์และวงการ ภาพยนตร์ ให้โรงภาพยนตร์มาอยู่ที่บ้านหรือไม่ (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://202.129.59.73/nana/beyond/blu-ray/ blu-ray.htm) 2.2.5 หน่วยความจําแบบแฟลช (Flash Memory) หน่วยความจําแรม แบบ Nonvolatile เป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลชนิดหนึ่งที่มีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับ แต่ หน่วยความจําแบบแฟลชจะมีความแตกต่างกับหน่วยความจําแรมตรงที่เป็นหน่วยความจํา ซึ่งข้อมูลจะคงสภาพอยู่ถึงแม้จะไม่มีกระแสไฟฟ้าเลี้ยง และเนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่เข้าถึงข้อมูล ได้อย่างรวดเร็ว จึงมักนํามาใช้จัดเก็บข้อมูลภาพต่าง ๆ เช่น ภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล https://bit.ly/2R1NgdQ, https://bit.ly/2RrUp6d, https://bit.ly/2tgLmx, https://bit.ly/2FWjrFm, https://bit.ly/361liTS, https://bit.ly/374Drld,
https://bit.ly/2PLdoYG, https://bit.ly/2RocjXL, https://bit.ly/30tbh0C ชนิดของหน่วยความจําแบบแฟลช จะมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน เช่น หน่วยความจํา แบบแฟลชที่อยู่ในรูปแบบของการ์ดหน่วยความจํา (Memory Card) u Memory Stick, Compact Flash SmartMedia, SD Card, Multimedia Card (MMC) ส่วนขนาดความจุก็มีหลายขนาด ให้เลือกใช้งาน เช่น ความจุขนาด 16, 32, 64, 128 หรือ 256 เมกะไบต์ จนถึงหน่วยกิกะไบต์ นอกจากนี้ ยังมีหน่วยความจําแบบแฟลชที่มีอินเตอร์เฟซ ในรูปแบบยูเอสบี (USB) ที่ สามารถเสียบเข้าโดยตรง กับพอร์ตยูเอสบีในคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้บันทึกหรือ อ่านข้อมูล ซึ่งมีชื่อเรียกที่แตกต่าง กันตามผู้ผลิต เช่น Thumb Drive, Flash Drive so Handy Drive 2.3 โซลิดสเตตไดรฟ์ (Solid State Drive) หรือเอสเอสดี (SSD) เป็นอุปกรณ์ที่มีอายุยืนยาวกว่าอุปกรณ์ที่มีความร้อน เพราะมีความทนทานต่อการสั่นสะเทือน อย่างฮาร์ดดิสก์ ราคาค่อนข้างสูง อนาคต SSD ราคาจะย่อมเยาลงและเข้ามาแทนทีฮาร์ดดิสก์ ปัจจุบันมีความ ข้อมูลในเครื่อง คอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็ก ทนทาน เบา ทํางานได้รวดเร็ว ไม่มีชิ้นส่วนที่เป็นกลไก หัวเข็ม หรือจานหมุน ที่ หลากหลายตั้งแต่ 32 GB-1 TB (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://th.wikipedia.org/wiki/โซลิดสเตตไดรฟ์) https://bit.ly/36zRvCE, https://bit.ly/2tjc34m
https://bit.ly/2sr8zf0, https://bit.ly/2tqRVND, https://bit.ly/30tzzHS, https://bit.ly/2G2Eypm สรุปท้ายหน่วย สื่อบันทึกข้อมูลหรือสื่อจัดเก็บข้อมูล (Media) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้จัดเก็บข้อมูล ชุดคําสั่ง และ สารสนเทศอื่น ๆ ซึ่งถือเป็นหน่วยความจําสํารอง (Secondary Storage) คือ หน่วยความจําหลัก ของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ งานในเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สารกึ่งตัวนํา (Semiconductor) สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. หน่วยความจําชั่วคราว (แบบโวลาไทล์ Volatile Memory) คือ หน่วยความจําที่ต้องมี กระแสไฟฟ้าจ่าย ให้กับหน่วยความจําตลอดเวลา เพื่อจําข้อมูลต่าง ๆ ได้แก่ RAM (Random Access Memory) ข้อมูลจะ สูญหายหากปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือหากปราศจากกระแสไฟเลี้ยง 2. หน่วยความจําถาวร (แบบนอนโว ลาไทล์ Nonvolatile Memory) คือ หน่วยความจํา ที่สามารถเก็บข้อมูลไว้ได้โดยไม่จําเป็นต้องจ่าย กระแสไฟฟ้าให้กับหน่วยความจํา ข้อมูลสําคัญ ต่าง ๆ จําเป็นต้องมีการจัดเก็บไว้บนหน่วยความจําถาวร ก่อนที่จะปิดเครื่อง เพื่อเก็บไว้ใช้งาน วันข้างหน้าต่อไป ได้แก่ ROM (Read Only Memory) ชนิดของสื่อจัดเก็บข้อมูล สามารถจัดแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ 1. สื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแบบแม่เหล็ก (Magnetic Storage) 2. สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ใช้เทคโนโลยีแบบแสง (Optical Storage) ซึ่งสื่อบันทึกข้อมูล ส่วนใหญ่มักจะเป็น ลักษณะใดลักษณะหนึ่งในสองชนิดนี้ สื่อบันทึกข้อมูลบางชนิดที่ใช้เทคโนโลยี ทั้งสองรวมกัน คือ สื่อแบบ แม่เหล็กและแสง เช่น Magneto-Optical Disk 3. โซลิดสเตต (Solid State) สื่อบันทึกข้อมูลแบบซีดี ปัจจุบันมักเป็นข้อมูลลักษณะมัลติมีเดีย ขนาด ไฟล์ข้อมูลมีความจุมาก ดังนั้น จึงนิยมหันมาใช้แผ่นซีดีรอมและดีวีดีรอมแทน นอกจากนี้ ยังมีสื่อจัดเก็บ ข้อมูลชนิดอื่น ๆ เช่น โฟโต้ซีดี (Photo CD) สื่อจัดเก็บข้อมูลที่ผสมผสาน เทคโนโลยีแม่เหล็ก (Magnetic) กับเทคโนโลยีแสง (Optical) ไว้ด้วยกันอย่างแมกเนโตดิสก์ (Magne-To-Disk) หรือออปติคัลดิสก์ (Optical Disk) รวมทั้งสื่อจัดเก็บข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หน่วยความจําแบบแฟลช (Flash Memory) ที่ใช้กับ คอมพิวเตอร์ กล้องดิจิทัล กล้องวิดีโอ และอุปกรณ์สื่อสารต่าง ๆ