410 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย บทที่
ความสมั พันธร์ ะหวา่ งการเมิือง
กับการดำ� รงชีวติ ประจำ� วัน
เม่ือเอ่ยถึง “การเมือง” ความรู้สึกแรกของคนทั่วไปก็คือ “เราไม่ควร
ไปยุ่งกับการเมือง” “อย่าไปยุ่งกับการเมืองนะ” “เบื่อการเมือง-การเมืองน่าเบื่อ”
“การเมืองเป็นเรื่องสกปรก” “การเมืองไม่ใช่เร่ืองของเรา-เป็นเรื่องของนักการเมือง”
และอ่นื ๆ ซงึ่ ล้วนแล้วแต่หมายถงึ การเมอื งเป็นเร่อื งยุ่งยากน�ำความวุ่นวายมาสู่ตัวเรา
นอกจากน้ัน หากไปดูความหมายของนักปรัชญาหรือนักทฤษฎีทาง
การเมอื งกลมุ่ ตา่ ง ๆ กจ็ ะเหน็ วา่ การเมอื งเปน็ เรอ่ื งทซ่ี บั ซอ้ นและเขา้ ใจยาก เชน่ เพนนอค
และสมิธ (Pennock and Smith) กล่าวว่า “การเมือง หมายถึงทุกส่ิงทุกอย่างท่ี
เกี่ยวกับอ�ำนาจ สถาบันและองค์กรในสังคมซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีอำ� นาจเด็ดขาด
ครอบคลุมสังคมน้ัน ในการสถาปนาและท�ำนุรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ของสังคม มีอ�ำนาจในการท�ำจุดประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคมได้บังเกิดผล
ขึ้นมา และมีอ�ำนาจในการประนีประนอมความคิดเห็นที่แตกต่างของคนในสังคม”
และณรงค์ สินสวัสด์ิ ที่กล่าวว่า “การเมืองเป็นเรื่องการต่อสู้ช่วงชิง การรักษาไว้
และการใช้อำ� นาจทางการเมอื ง...”
ขณะที่นักทฤษฎีบางกลุ่มมองว่า การเมืองเป็นเรื่องการจัดสรรทรัพยากร
ของรัฐ เช่น อีสตัน (David Easton) ที่อธิบายว่า “การเมืองเป็นการใช้อ�ำนาจหน้าท่ี
ในการจัดสรรแจกแจงส่ิงที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้กับสังคมอย่างเป็นธรรม” ส่วน
ชยั อนนั ต์ สมทุ วณชิ อธบิ ายวา่ “การเมอื งเปน็ เรอ่ื งของการแขง่ ขนั เพอ่ื กำ� หนดกฎเกณฑ์
ในการแบ่งปันคณุ ค่าทใ่ี ห้ประโยชน์แก่ฝ่ายตนมากทีส่ ุดเท่าทจี่ ะเป็นไปได้”
จากค�ำนิยาม “การเมือง” ดังกล่าว จะเห็นว่าการเมืองเป็นเร่ืองของอำ� นาจ ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 411
การต่อสู้แย่งชิงอ�ำนาจ ความขัดแย้ง การจัดสรรทรัพยากร ฟังดูแล้วการเมืองเป็นเรื่อง
นา่ เบอ่ื และไมน่ า่ เกย่ี วกบั ตวั เราสกั เทา่ ไหร่ ดงั นน้ั การจะใหป้ ระชาชนเขา้ ใจวา่ การเมอื ง
คอื อะไร? การเมืองมีความสมั พันธ์กับชวี ิตเราอยา่ งไร? จงึ เป็นเรอื่ งทเ่ี ข้าใจยาก
แตถ่ า้ เราลองเรม่ิ ด้วยการตง้ั คำ� ถามวา่ ตง้ั แตต่ นื่ นอนจนถงึ เขา้ นอน เราทำ� อะไร
บา้ ง? และในแตล่ ะกจิ กรรมทที่ ำ� เกย่ี วขอ้ งกบั การเมอื งหรอื ไม่ เกยี่ วขอ้ งอยา่ งไร คำ� ตอบเกอื บ
จะรอ้ ยทง้ั รอ้ ยกม็ กั จะตอบวา่ ทกุ อยา่ งลว้ นเกยี่ วขอ้ งกบั การเมอื งทง้ั สนิ้ (ไมท่ างตรงกท็ างออ้ ม)
เช่น อาบน�้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เกยี่ วข้องกบั การเมืองเพราะต้องใช้นำ้� การใช้น้�ำก็เป็นการ
ใช้ทรพั ยากรนำ�้ ซง่ึ เป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ซง่ึ โยงไปสู่ปัญหาว่าจะจดั สรรนำ�้ อย่างไร
จึงจะมีความเป็นธรรม ใครเป็นผู้ก�ำหนดราคาน้�ำ ในราคาน�้ำมีอะไรซ่อนอยู่ (ภาษีซ่ึงรัฐ
เป็นผู้ก�ำหนด) หากน้�ำสกปรกและบริโภคเข้าไปก็จะเจ็บป่วย ไปหาหมอเข้าโรงพยาบาล
ก็เก่ียวกับการเมืองอีกเพราะรัฐเป็นผู้สร้างโรงพยาบาล ก�ำหนดภาษีค่ายา หรือนโยบาย
ในการรักษาพยาบาลฟรีส�ำหรับคนยากจน สวัสดิการส�ำหรับข้าราชการและผู้มีบัตรทอง
บตั รประกันสงั คม ห รือจะพูดถึงการหายใจ หากอากาศท่ีหายใจเข้าไปไม่บริสุทธิ์ หรือ
อากาศไม่ดี ก็เป็นการจัดการปัญหาส่ิงแวดล้อม ก็ย่อมหนีไม่พ้นการเมืองแน่นอน ฉะนั้น
ก็คงจะพอสรุปได้ว่า การเมืองเกี่ยวพันกับชีวิตหรือกิจวัตรประจ�ำวันของเราอย่างแนบแน่น
อยา่ งหลกี เลยี่ งไมพ่ น้ ตง้ั แตต่ นื่ นอนจนเขา้ นอน แมก้ ระทง่ั เวลาหลบั และเกยี่ วพนั ตง้ั แตเ่ กดิ
จนตายทีเดียว ดังน้ัน ความหมายของการเมืองท่ีประชาชนสามารถเข้าใจได้ง่าย คือ
412 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย การเมืองคือชีวิต ชีวิตก็คือการเมือง เมื่อเป็นเช่นนี้ การเมืองจึงเป็นเร่ืองของคนทุกคน
มใิ ช่เฉพาะของนกั การเมือง พ่อค้า หรอื ข้าราชการท่จี ะมา “เล่น” กนั หรอื แก่งแย่งช่วงชิง
อำ� นาจอนั จะนำ� มาสคู่ วามขดั แยง้ และนา่ เบอื่ หนา่ ยจนประชาชนไมอ่ ยากเขา้ มายงุ่ เกย่ี วดว้ ย
เมื่อการเมอื งเป็นเรอื่ งของเรา เราทกุ คนย่อมอยากให้การเมอื งดี เพราะถ้าการ
เมอื งดชี วี ติ เรากจ็ ะดไี ปด้วย ไม่มใี ครอยากใหก้ ารเมอื งแยห่ รอื มกี ารทะเลาะ แบ่งสี แบ่งฝา่ ย
หรือทุจริตโกงกินคอร์รัปชัน หากมีการเลือกต้ังก็มีการทุจริตซ้ือสิทธิ์ขายเสียงเพ่ือเอาชนะ
การเลอื กต้งั การเมอื งแบบนไ้ี ม่มีใครต้องการ ทกุ คนอยากให้การเมอื งดีด้วยกนั ทัง้ น้นั แล้ว
ทุกวันน้ีการเมืองเป็นอย่างไร? ดีอย่างท่ีเราต้องการหรือไม่ (บางคนอาจจะบอกยังแย่อยู่
บางคนบอกดีข้ึน แต่ยังไม่ดีตามท่ีเราต้องการ) การเมืองจะดีได้อย่างไรถ้าเราอยู่เฉย ๆ
นง่ิ ดูดาย ปล่อยให้ความไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรมเกดิ ข้นึ ดังนัน้ เราจึงต้องสนใจและเข้าไป
มสี ่วนร่วมท�ำให้การเมอื งดีด้วยตวั เราเอง
มีค�ำถามว่า การท่ีประชาชนสนใจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาน้ัน
มีอำ� นาจอะไร หรอื อาศยั กฎหมายอะไรมารองรบั อำ� นาจของประชาชน เรอื่ งน้อี ธบิ ายได้ว่า
รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยได้บัญญตั ิไว้ในมาตรา 3 ว่า “อำ� นาจอธปิ ไตยเป็นของ
ปวงชนชาวไทย” ซ่ึงหมายความว่า “อ�ำนาจอธิปไตยหรืออ�ำนาจสูงสุดในการปกครอง
ประเทศน้ันเป็นของประชาชน” โดยที่ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
อนั มพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ พระมหากษตั รยิ จ์ งึ ทรงใชอ้ �ำนาจอธปิ ไตย ซงึ่ หมายถงึ
อ�ำนาจนติ บิ ัญญัติ (การออกกฎหมาย) ทางรฐั สภา อำ� นาจบรหิ ารทางคณะรัฐมนตรี และ
อำ� นาจตลุ าการผ่านทางศาล
สำ� หรับประชาชนนน้ั สามารถใช้อ�ำนาจอธิปไตยได้ท้งั ทางตรงและทางอ้อม ดงั นี้
1. ใช้อำ� นาจทางตรง ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 413
1.1 ด้วยตนเอง ประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพด้วยตนเอง ตามที่
กำ� หนดไว้ในรฐั ธรรมนญู เช่น การพดู การเขียน การร้องเรียน การฟ้องร้อง การตรวจสอบ
การทำ� งานของเจ้าหน้าท่รี ัฐและนกั การเมอื ง การขอดขู ้อมูลข่าวสารราชการ
1.2 ร่วมกับผู้อ่ืน โดยการใช้สิทธิเสรีภาพร่วมกับผู้อ่ืนในรูปแบบต่าง ๆ
ในขอบเขตของกฎหมาย เชน่ การรวมกลมุ่ การชมุ นมุ ประทว้ ง (โดยสงบและปราศจากอาวธุ )
การเข้าชอ่ื เพอื่ เสนอข้อบญั ญตั ิ และเพอ่ื ถอดถอนสมาชกิ สภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถ่นิ
2. การใช้อำ� นาจทางออ้ ม
ประชาชนสามารถใช้อ�ำนาจอธิปไตยทางอ้อมผ่านทางตัวแทนหรือผู้อ่ืน
ใช้อ�ำนาจแทนตน โดยการเลือกต้ังตัวแทนทุกระดับ ต้ังแต่ระดับท้องถ่ินจนถึงระดับชาติ
เชน่ การเลอื กตงั้ อบต./เทศบาล/อบจ./เมอื งพทั ยา/กรงุ เทพมหานคร ไปจนถงึ การเลอื กตงั้ ส.ส.
เพื่อท�ำหน้าที่นิติบัญญัติ (ออกกฎหมาย) หรือบางคร้ังไปท�ำหน้าที่ก�ำหนดนโยบาย
ในการบริหาร หรือเพ่ือให้ตรวจสอบการบริหาร และกระทั่งเพื่อไปผลักดันการแก้ปัญหา
ต่าง ๆ แทนเรา รวมทงั้ การเลอื ก ส.ว. เพอ่ื ไปช่วยพฒั นาร่างกฎหมายและให้ความเหน็ ชอบ
การแต่งต้งั ผู้ด�ำรงต�ำแหน่งในองค์กรอิสระ
โดยสรุปแล้ว ชีวิตกับการเมือง เป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก
โดยทป่ี ระชาชนรตู้ วั หรอื ไมร่ ตู้ วั ทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม ทง้ั ในแงป่ จั เจกบคุ คล (แตล่ ะบคุ คล)
ในระดับชุมชน สงั คม ตลอดจนถงึ ระดบั ประเทศชาติ จนอาจกล่าวได้ว่า ชวี ติ คือการเมือง
และการเมอื งกค็ ือชีวิต นัน่ เอง
ประชาชนควรจะเรียนรู้ เข้าใจสิทธิเสรีภาพ และอ�ำนาจของตัวเอง เพ่ือ
สรา้ งสรรคก์ ารเมอื งใหถ้ กู ตอ้ ง เปน็ การเมอื งทเี่ ปน็ ธรรมและยงั่ ยนื ตงั้ มน่ั อยบู่ นผลประโยชน์
ของส่วนรวม และประชาชนอย่างแท้จรงิ
414 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย บทท่ี
จติ ส�ำนึกสาธารณะ
ทุกประเทศต้องการประชาชนที่เป็นก�ำลังส�ำคัญในการพัฒนาและแก้ไข
ปัญหาของบ้านเมือง ซ่ึงเราอาจเรียกผู้เป็นก�ำลังของบ้านเมืองนี้ว่า “พลเมือง”
ประเทศใดมีพลเมืองที่เข้มแข็งจ�ำนวนมาก ประเทศนั้นก็จะมีการพัฒนามาก
มีความเข้มแข็งมั่นคงมาก ประเทศใดมีพลเมืองท่ีเข้มแข็งน้อยก็จะมีการพัฒนาน้อย
และมีความเข้มแข็งมั่นคงน้อย ทุกประเทศจึงให้ความส�ำคัญกับการสร้างพลเมือง
ท่ีเข้มแข็ง ซึ่งจะมีคุณลักษณะส�ำคัญอย่างน้อย 3 ประการ เคารพศักดิ์ศรีความ
เป็นมนุษย์ เคารพสิทธิเสรีภาพและกฎหมาย รวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเอง
ต่อผู้อ่ืน ต่อสังคม และประเทศชาติ พลเมืองจึงเป็นผู้เสียสละทำ� งานเพื่อประโยชน์
ของส่วนรวมโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ เป็นผู้มี “จิตอาสา” หรือบางคร้ังเรียกว่า
“มจี ติ สำ� นกึ สาธารณะ ทง้ั ทค่ี ำ� สองคำ� นม้ี คี วามหมายเชงิ พฤตกิ รรมหรอื การแสดงออก
ทีม่ คี วามเข้มข้นแตกต่างกนั
พระไพศาล วิสาโล ได้กล่าวถึงความหมายของค�ำว่า จิตอาสา ว่า
“เนอื้ แทข้ องความเปน็ อาสาสมคั รนนั้ อยทู่ จี่ ติ ใจ คอื “จติ อาสา” ทต่ี อ้ งการชว่ ยเหลอื ผอู้ นื่
หรือนกึ ถงึ ส่วนรวม จะเป็นชาวบ้าน ครู พ่อค้าแม่ค้า นกั ธุรกิจ ข้าราชการ ก็สามารถ
เป็นอาสาสมัครได้ตลอดเวลาหากมีจิตใจที่คำ� นึงถึงส่วนรวมอยู่เสมอ เราจำ� เป็นต้อง
ตระหนักอยู่เสมอว่า “อาสาสมัคร” น้ันไม่ใช่เป็นอาชีพ หากคือ สำ� นึกที่สมควรมีอยู่
คู่กบั ความเป็นมนษุ ย์ของเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
ราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของจิตส�ำนึกสาธารณะว่า คือ
การตระหนักรู้และค�ำนึงถึงส่วนรวมร่วมกัน หรือการค�ำนึงถึงผู้อ่ืนท่ีร่วมสัมพันธ์
เป็นกลุ่มเดยี วกนั
สำ� หรบั สำ� นกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แหง่ ชาติ ไดใ้ หค้ วามหมายของจติ สำ� นกึ ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 415
สาธารณะไว้ว่า การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเร่ืองของส่วนรวมทเ่ี ป็นประโยชน์
ต่อประเทศชาติ มีความส�ำนึกและยึดม่ันในระบบคุณธรรมและจริยธรรมท่ีดีงาม ละอาย
ต่อสิง่ ผิดเน้นความเรยี บร้อย ประหยดั และมคี วามสมดลุ ระหว่างมนุษย์กบั ธรรมชาติ
กล่าวโดยสรปุ จติ อาสา หมายถงึ การสมคั รใจเสียสละในการช่วยเหลือผู้อืน่
และสงั คมสว่ นรวม เชน่ เดก็ คนหนงึ่ เหน็ คนอนื่ ทง้ิ ขยะไมเ่ ปน็ ที่ กเ็ ดนิ ไปหยบิ เศษขยะนน้ั มาทง้ิ
ในถงั ขยะ ส่วนจติ สำ� นกึ สาธารณะ น้นั หมายถงึ สำ� นึกของประชาชนในการดูแลคุ้มครอง
ประโยชน์และความเป็นธรรมของสังคม จากตัวอย่างข้างต้น เด็กคนนั้น เมื่อเห็นคนอื่น
ทง้ิ ขยะไมเ่ ปน็ ทกี่ จ็ ะกลา้ ทจ่ี ะเดนิ ไปบอกวา่ ทงิ้ ขยะไมเ่ ปน็ ท่ี เปน็ สง่ิ ผดิ กฎหมาย หากเจา้ หนา้ ท่ี
ตำ� รวจ หรอื เทศกจิ มาเหน็ เข้าจะเดอื ดร้อน อาจถูกจบั ปรับได้ จึงควรนำ� ขยะไปทิง้ ในถงั ขยะ
ซึ่งจะเห็นว่า ในกรณีเดียวกันแต่มีพฤติกรรมการแสดงความเป็นพลเมืองที่แตกต่างกัน
ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ปัญหา และการพัฒนาบ้านเมอื งทแี่ ตกต่างกันด้วย
การเป็นผู้มจี ิตอาสาอาจเป็นจดุ เร่มิ ต้นที่จะน�ำไปสู่การมี “จติ ส�ำนึกสาธารณะ”
ผู้ท่มี ี “จิตสาธารณะ” สามารถแสดงออกได้หลายวธิ ี เช่น
1. การแสดงความคดิ เห็น
ได้แก่ การแสดงความคิดเหน็ ในส่งิ ท่เี ป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชมุ ชน
เพอ่ื ให้ประชาชนตระหนกั ในปัญหาของชุมชน ปัญหาส่ิงแวดล้อม ปัญหาสงั คม ฯลฯ และ
กระตุ้นให้ประชาชนในชุมชนตื่นตัวลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตนเอง และด้วยพลังของชุมชน
เองก่อน โดยไม่รอความช่วยเหลอื จากภายนอกหรือจากรฐั แต่เพยี งอย่างเดียว
416 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย 2. การคดั ค้าน สนับสนนุ เสนอแนะ
หากมีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เช่น มีการทุจริตซื้อสิทธ์ิขายเสียงในการ
เลือกตั้ง พลเมืองต้องกล้าท่ีจะแจ้งเจ้าหน้าท่ีต�ำรวจ หรือแจ้ง จนท.กกต. ทราบเพ่ือ
ด�ำเนินการกบั ผู้กระท�ำความผดิ หรือมีการใช้อำ� นาจหน้าท่ีโดยมชิ อบ มคี วามไม่เป็นธรรม
ใด ๆ ต้องกล้าคัดค้านหรือเสนอแนะ หรือเข้ามีส่วนร่วมดำ� เนินการแก้ปัญหาหรือปรับปรุง
แก้ไข ในขณะเดียวกันก็ต้องกล้าสนับสนุนนโยบาย หรือกิจกรรมท่ีเป็นประโยชน์
ต่อสงั คม มใิ ช่นงิ่ ดูดายปล่อยให้ด�ำเนนิ การตามลำ� พงั โดยไม่ให้ความช่วยเหลอื ใด ๆ
3. การตดิ ตาม ตรวจสอบ การทำ� งานของภาครฐั และนกั การเมอื งทกุ ระดบั
ในฐานะท่ีพลเมืองเป็นผู้มีจิตส�ำนึกสาธารณะ เป็นผู้น�ำทางความคิด
และกระตือรอื ร้นสนใจกจิ กรรมของส่วนรวม รวมท้งั หวงแหนในสทิ ธิประโยชน์ของส่วนรวม
จึงท�ำหน้าท่ีติดตามและตรวจสอบการท�ำงานของรัฐและนักการเมืองทุกระดับ รวมทั้ง
เข้าร่วมเรยี กร้องความถูกต้องเป็นธรรมจากรฐั เพอ่ื ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
4. การวเิ คราะห์ วิจัย
การศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัยในเรื่องต่าง ๆ ท่ีเป็นปัญหาสาธารณะ
เม่ือได้ผลการศึกษาวิจัยแล้วเห็นว่ามีผลกระทบและเป็นประโยชน์ต่อสังคม น�ำมาเสนอ
เพอ่ื ให้สงั คมได้รบั รู้และตระหนกั ก็ถือว่าเป็นผู้มจี ิตส�ำนึกสาธารณะด้วยเช่นกัน
จิตส�ำนึกสาธารณะ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ แต่เกิดจากการ
เอาชนะใจตนเอง มีชีวิตเหนือความโลภ ความหลง และต้องฝึกฝน ประพฤติ ปฏิบัติ
เป็นประจ�ำ จากเร่ืองเล็ก ๆ ไปสู่เรื่องใหญ่ จนเป็นนิสัยประจ�ำตัว ความเป็นพลเมือง
ผู้มี “จิตส�ำนึกสาธารณะ” จึงไม่ได้เป็นมาต้ังแต่เกิด ไม่ได้อยู่ที่ฐานะ ชาติตระกูล หรือ
การศึกษา หากแต่อยู่ที่การฝึกฝนบ่มเพาะความประพฤติพฤติกรรมให้เป็นผู้สมัครใจ
เสียสละท�ำงานเพอ่ื ประโยชน์ของส่วนรวมโดยไม่หวงั ผลตอบแทนใด ๆ
บทที่ ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 417
เง่อื นไขส�ำคัญของสงั คม
ประชาธปิ ไตย
สังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมของคนหมู่มาก จึงย่อมมีความแตกต่าง
หลากหลายท้ังปัญหาความต้องการ วิถีชีวิต แนวคิด ความเห็น การแสดงออก
ท่ีแตกต่างกัน บางคนต้องการใช้สิทธิเสรีภาพต่าง ๆ อย่างเสรี ไม่ต้องการให้มีกฎ
กติกาใดมาบังคับตน ซึ่งบางครั้งก็สร้างความร�ำคาญหรือความเสียหายเดือดร้อน
แกผ่ อู้ น่ื จนเกดิ ปญั หาความขดั แยง้ ระหวา่ งกนั
การที่จะพัฒนาประเทศด้วยวิถีประชาธิปไตยจึงต้องท�ำให้ทุกคนทุกฝ่าย
ในสงั คมเขา้ ใจกตกิ า เงอื่ นไข ทจี่ ะอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสงบสขุ ในสงั คม โดยไมใ่ ชส้ ทิ ธเิ สรภี าพ
ตามใจตนแล้วไปละเมิดสิทธิผู้อ่ืน นอกจากน้ันฝ่ายรัฐที่มีอำ� นาจหน้าที่ตามกฎหมาย
ได้แก่ นักการเมืองท่ีเป็นผู้ใช้อ�ำนาจรัฐก็ต้องใช้อ�ำนาจหน้าท่ีด้วยความถูกต้อง
และชอบธรรมไม่ใช้อ�ำนาจไปแสวงประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ต้องตระหนักว่า
ตนไดร้ บั เลอื กตง้ั จากประชาชนในการทำ� หนา้ ท่ี การเสนอนโยบายในการหาเสยี งหรอื การ
แถลงนโยบายตอ้ งสามารถทำ� ไดจ้ รงิ ไมเ่ ปน็ การโกหกหลอกลวงเพยี งเพอื่ ไดค้ ะแนนเสยี ง
สว่ นขา้ ราชการทก่ี นิ เงนิ เดอื นจากภาษขี องประชาชน กต็ อ้ งท�ำงานรบั ใชบ้ รกิ ารประชาชน
ดว้ ยความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ ตามอำ� นาจหนา้ ทขี่ องตนดว้ ยเชน่ กนั ฝา่ ยประชาชนกต็ อ้ งรสู้ ทิ ธิ
รหู้ นา้ ที่ เคารพกฎหมาย และมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม ถา้ คนทกุ หมเู่ หลา่ ทกุ กลมุ่ เขา้ ใจ
และท�ำตามบทบาทหน้าท่ขี องตนเอง สังคมกจ็ ะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสขุ
การจะพจิ ารณาวา่ สงั คมใดเปน็ ประชาธปิ ไตยหรอื ไม่ จงึ ดวู า่ พฤตกิ รรม
ของคนในสงั คมนั้นเปน็ ประชาธิปไตยดว้ ยหรอื ไม่ พิจารณาได้จาก
418 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย 1. เคารพและปฏบิ ตั ิตามกฎหมาย
คนในสังคมประชาธิปไตยจะเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ฝ่าฝืน
กฎ กติกาของสังคม หากท�ำผิดก็ต้องยอมรับผลตามที่บัญญัติไว้ในกฎ กติกานั้นจะอ้าง
ว่าไม่รู้ ไม่ยอมรบั ไม่ได้ หากเหน็ ว่า กฎ กตกิ าทีใ่ ช้บังคบั น้ันไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ก็ต้อง
ผลกั ดนั ใหม้ กี ารแกไ้ ข หรอื เรยี กรอ้ งความเปน็ ธรรมตามวถิ ที างทถี่ กู ตอ้ ง ตราบใดทกี่ ฎหมาย
นนั้ ยงั ใช้บงั คบั อยู่จะต้องปฏบิ ัตติ าม
ในสังคมไทยเรามักจะเห็นการฝ่าฝืนกฎหมายอยู่บ่อยคร้ัง และบางครั้ง
แทนทจี่ ะสำ� นกึ ผดิ แต่คนทำ� ผดิ กฎหมายกลบั ได้รบั การยกย่องและเป็นแบบอย่างให้ทำ� ตาม
การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายจึงมิใช่แค่เพียงค�ำพูดว่าจะเคารพและปฏิบัติ แต่ต้อง
แสดงออกทางการกระทำ� คือต้องทำ� ให้ได้ด้วย
ถา้ ถาม นศท.วา่ “เปน็ นกั ประชาธปิ ไตยหรอื ไม”่ สว่ นใหญจ่ ะตอบวา่ “เปน็ ”
และถ้าถามต่อไปว่า “นศท.เคารพและปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่” นศท.ส่วนใหญ่
ก็คงจะตอบคล้าย ๆ กันว่า “เคารพและปฏิบตั ิตาม” แต่ถ้าเราลองยกตัวอย่างเหตกุ ารณ์ว่า
“เทย่ี งคืนคนื หนึ่งเรามธี ุระขบั รถยนต์หรอื ขีร่ ถมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้าน พอถงึ สแี่ ยกไฟแดง
เหน็ สญั ญาณไฟแดงอยขู่ า้ งหนา้ ถนนโลง่ ไมม่ ผี คู้ น มองทางซา้ ยไมม่ รี ถแลน่ มา มองทางขวา
กไ็ มม่ รี ถอกี เราจะทำ� อยา่ งไร จะขบั รถฝา่ ไฟแดง หรอื จะจอดรอจนกวา่ จะมสี ญั ญาณไฟเขยี ว
คำ� ตอบท่ีได้รับอาจจะมีน้อยคนที่จอดรอสัญญาณไฟเขียว ส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่าจะขับรถ
ฝ่าไฟแดง เนอ่ื งจากคดิ ว่าเวลาเท่ยี งคืน ดึกแล้วคงไม่มีใครเหน็ และน่าจะปลอดภยั ทงั้ ๆ ที่
การกระทำ� ดงั กลา่ วผดิ กฎหมายแตก่ ย็ งั ท�ำ สะทอ้ นใหเ้ หน็ พฤตกิ รรมการไมเ่ คารพและปฏบิ ตั ิ
ตามกฎหมาย
2. มวี นิ ัยและความรับผิดชอบ ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 419
เมอื่ มสี ทิ ธติ อ้ งมหี นา้ ที่ มเี สรภี าพตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบ โดยในการใชเ้ สรภี าพ
ด้านต่าง ๆ น้ันต้องไม่ไปละเมิดสิทธิผู้อ่ืน ไม่ฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ขัดต่อศีลธรรม ทุกคน
จงึ ตอ้ งมวี นิ ยั ควบคมุ ตนเองใหม้ คี วามรบั ผดิ ชอบในหนา้ ทหี่ รอื บทบาททต่ี นไดร้ บั หรอื รบั ผดิ ชอบ
ในการกระทำ� ของตน ไม่ปัดความรบั ผิดชอบให้เกดิ ความเสยี หายแก่ผู้อนื่ หรือสังคมรวมท้ัง
ไม่เพิกเฉยดูดายเม่ือเห็นความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมเกิดข้ึน เพราะความไม่ถูกต้องน้ัน
อาจจะเกดิ ความเสยี หายตอ่ สว่ นรวมไดใ้ นอนาคต เชน่ เปน็ คนไทยมหี นา้ ทเ่ี สยี ภาษี ถา้ ไมเ่ สยี ภาษี
รัฐก็ไม่มีรายได้ที่จะน�ำมาพัฒนาประเทศและจัดสวัสดิการแก่ประชาชน หรือพบเห็นการ
ทจุ ริตหรอื ทำ� ผดิ กฎหมายแล้วเงยี บเฉย สังคม ประเทศชาตกิ ็จะได้รบั ความเสยี หาย
3. เคารพความแตกต่างและใช้เหตุผล
ในสงั คมประชาธิปไตย นอกจากการรับผิดชอบตัวเองแล้ว ยังต้องดำ� รงตน
อยู่อย่างมีเหตุผล แสวงหาข้อมูล ไม่ใช้อคติหรือความชอบไม่ชอบส่วนตัวมาตัดสิน และ
ต้องเข้าใจว่า บุคคลแต่ละคนมีความแตกต่างกันท้ังด้านความคิดและพฤติกรรมต่าง ๆ
ตามกระบวนการขดั เกลาทางสงั คม ตามภมู หิ ลงั ของแตล่ ะคน แตต่ ราบใดทใี่ ครไมล่ ะเมดิ สทิ ธิ
ชวี ติ ความสงบสขุ หรอื ผลประโยชนข์ องผอู้ นื่ กเ็ ปน็ สทิ ธอิ นั ชอบธรรมทที่ กุ คนจะมคี วามคดิ เหน็
มีพฤติกรรม หรือวิถีชีวิตที่แตกต่างจากคนอื่นได้ โดยไม่ไประรานผู้ท่ีแตกต่างไม่ว่าจะด้วย
ทางกาย วาจา ใจ
เม่ือมีความเห็นที่แตกต่างเกิดขึ้น จะใช้เหตุใช้ผลในการตัดสิน โดย
ไม่ใช้อารมณ์ หรืออ�ำนาจมาตัดสิน ในการตัดสินใจใช้หลักเสียงข้างมาก โดยต้องรับฟัง
เสียงข้างน้อยด้วย แต่หากเสียงข้างน้อยมีเหตุผลดีกว่าเสียงข้างมากก็อาจจะคล้อยตาม
ได้ โดยไม่ใช้เสียงข้างมากลากไป หรือเห็นว่าเสียงข้างมากท�ำอะไรก็ถูกต้องหมดทุกกรณี
โดยไม่มีเหตผุ ล
ดงั กรณตี วั อย่างนิทาน เรอื่ ง พระกบั โจร เร่อื งมอี ยู่ว่า มีพระ 1 รปู กบั โจร
10 คน มาประชุมตกลงกนั ว่าจะสวดมนต์ หรือจะไปปล้นดี พระ 1 รปู บอกว่า “สวดมนต์”
ขณะท่ีโจร 10 คน ซึ่งมเี สียงดงั กว่าบอก “ปล้น” เมื่อตกลงกันไม่ได้ จงึ ตดั สนิ ด้วยการยกมือ
ผลปรากฏว่า โจรชนะ สรุปแล้วทกุ คนต้องไปปล้นโดยอาศยั เสยี งข้างมากลากไป เอาชนะ
เสียงข้างน้อยท่มี เี หตผุ ลดกี ว่า
420 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย 4. มกี ารตรวจสอบการใชอ้ ำ� นาจรัฐทุกรปู แบบ
ในสังคมประชาธิปไตย ถือว่านักการเมืองและเจ้าหน้าท่ีของรัฐเป็นผู้ใช้
อ�ำนาจรัฐแทนประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย โดยการใช้อ�ำนาจดังกล่าว
ไม่มีหลักประกันว่าจะเป็นไปตามที่ประชาชน
ต้องการหรือเป็นไปอย่างถูกต้องชอบธรรม
บางครั้งอาจมีความผิดพลาดบกพร่อง รวม
ทั้งสร้างความเสียหายเดือดร้อนกับประชาชน
และสังคมประเทศชาตไิ ด้
ดงั นนั้ จงึ มคี วามจำ� เปน็ ทปี่ ระชาชน
จะต้องติดตาม ตรวจสอบการท�ำงานว่าเป็น
ไปเพ่อื ประโยชน์ของประชาชนหรอื ไม่ เพยี งใด
โดยร่วมกับบุคคลหรือองค์กรอิสระต่าง ๆ เพ่ือให้รัฐใช้อ�ำนาจชอบธรรม ใช้งบประมาณ
อย่างโปร่งใสเพ่ือให้เกิดประโยชน์กับประชาชน โดยใช้กลไกที่มีอยู่ในสังคม เช่น การ
ฟ้องร้อง การร้องเรยี น รวมถึงมาตรการกลไกพเิ ศษ เช่น การเข้าชอ่ื ถอดถอนนักการเมือง
ทท่ี ำ� ผดิ กฎหมาย หรอื ท�ำให้เกดิ ความเสยี หายต่อประชาชน เป็นต้น
5. ประชาชนมีสว่ นรว่ ม
สังคมประชาธิปไตย รัฐต้องเคารพ
สิทธิ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เคารพวิถีชีวิต
ศิลปวัฒนธรรมอันดี ภูมิปัญญาของท้องถ่ิน หากรัฐ
จะทำ� หรอื อนญุ าตใหผ้ ใู้ ดดำ� เนนิ โครงการหรอื กจิ กรรมใด
ท่ีอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ
อนามัย คณุ ภาพชีวติ หรอื ส่วนได้เสยี อืน่ ๆ ที่เกย่ี วข้อง
กับประชาชนหรือชุมชน การวางแผนพัฒนา การก�ำหนดนโยบาย หรือการออกกฎ
ทสี่ ง่ ผลกระทบตอ่ ประชาชน กต็ อ้ งใหป้ ระชาชนมสี ว่ นรว่ มแสดงความคดิ เหน็ รวมทงั้ มสี ว่ นรว่ ม
ในการบรหิ ารราชการด้วย
รัฐต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อ�ำนาจ
รัฐทุกระดับ ทั้งต้องส่งเสริมให้การศึกษาแก่ประชาชนเก่ียวกับการพัฒนาการเมือง
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขขณะเดียวกัน
ประชาชนก็ต้องตระหนักในคุณค่าของตนในฐานะ ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 421
เจ้าของอ�ำนาจอธิปไตย โดยไม่เพิกเฉยปล่อยปละ
ละเลยให้มีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น รวมทง้ั ตอ้ งกลา้
สนบั สนนุ ชว่ ยเหลอื เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความถกู ต้องขนึ้ ด้วย
การเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ทางการพัฒนา
และอน่ื ๆ
สรปุ
การพิจารณาว่า สังคมใดจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ มิใช่พิจารณาเพียงว่า
สังคมน้ัน มีการเลือกตั้ง มีรัฐบาล มีรัฐสภาแล้วหรือไม่ ฯลฯ ต้องพิจารณาท่ีพฤติกรรม
หรือการกระท�ำของนักการเมือง ข้าราชการ รวมทั้งประชาชนด้วยว่าได้ท�ำอะไร หรือ
เรียกร้องส่ิงใดท่ีเป็นไปเพ่ือประโยชน์ของประชาชนคนส่วนใหญ่ท่ีถูกเอารัดเอาเปรียบ
หรือเพ่ือประโยชน์ของคนบางคน บางกลุ่มท่ีได้เปรียบในสังคมอยู่แล้ว หรือมีพฤติกรรม
ละเลยเงื่อนไขส�ำคัญของสังคมประชาธิปไตย แล้วใช้อ�ำนาจหน้าที่หรือสิทธิเสรีภาพ
ทก่ี ฎหมายเปดิ ชอ่ งให้สร้างความเสยี หายให้สงั คม หรอื อาศยั ความนยิ ม หรอื อ้างประชาชน
เป็นเครือ่ งมอื แสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเอง
พฤติกรรมหรือการกระท�ำใด ถ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ หรือ
เพ่ือความเป็นธรรมในสังคมก็นับว่าเป็นประชาธิปไตย การกระท�ำใดแม้จะมีประชาชน
เข้าร่วมจ�ำนวนมาก แต่หากเป็นไปเพอ่ื ประโยชน์ส่วนตัวของคนบางคนบางกลุ่ม หรือทำ� ให้
ส่วนรวมเสยี หาย หรอื เสยี ประโยชน์ หรอื มคี วามไมเ่ ปน็ ธรรมเกดิ ขนึ้ หรอื เกดิ ความแตกแยก
ขัดแย้ง จนนำ� มาสู่ความรนุ แรงกไ็ ม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย ดงั ท่านพุทธทาสภกิ ขุ กล่าวไว้
ว่า “ประชาธปิ ไตยคือ ประโยชน์ประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่”
422 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย บทท่ี
สถานการณ์บา้ นเมือง
ในปจั จบุ ัน
ประเทศของเรามีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมขุ มากว่า 84 ปี จดุ มุ่งหมายสำ� คญั ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
คือ ประโยชน์สุขของประชาชน ดังพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพระราชพิธี
บรมราชาภเิ ษกเมือ่ วนั ท่ี 5 พฤษภาคม 2489 ความว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงมีกระแส
พระราชด�ำรัสตรัสแนะแนวทางในการพัฒนาประเทศ และแนวทางปฏิบัติในการ
ดำ� เนินชวี ติ แก่ปวงอาณาประชาราษฎร์ ตลอดระยะเวลา 70 ปี ในรชั สมยั ของพระองค์
ท�ำให้ประเทศของเรามพี ฒั นาการท่ดี ขี ึน้ โดยล�ำดับ
แต่โดยเหตุท่ีสังคมไทยมีผู้คนจ�ำนวนมาก สภาพปัญหาต่าง ๆ จึงย่อม
มมี ากตามไปด้วย นบั วนั ปัญหาเหล่าน้นั จะทวคี วามรุนแรงและมีความซับซ้อนมากข้นึ
จนบางครั้งเมื่อแก้ปัญหาหน่ึงก็อาจส่งผลกระทบท�ำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ รัฐบาล
แต่ละยุคสมัยพยายามแก้ปัญหาโดยก�ำหนดเป็นนโยบายการพัฒนาด้านต่าง ๆ
ซึ่งแม้จะบังเกิดผลดีในระดับหน่ึง แต่ยังไม่เป็นท่ีน่าพอใจและบางคร้ังไม่ทันต่อการ
แก้ปัญหาของประชาชน หน�ำซ�้ำการด�ำเนินงานแก้ปัญหาดังกล่าวยังมีการทุจริต
โกงกนิ คอรร์ ปั ชนั เสมอื นเปน็ ยาด�ำแทรกซอ่ นอยใู่ นทกุ ปญั หา ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นเศรษฐกจิ
สังคม การศกึ ษา สาธารณสุข และด้านอืน่ ๆ ล้วนมปี ัญหาการทจุ รติ แทบท้งั สน้ิ
ความหมายของ “การทจุ รติ ” ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 423
“การทุจริต” หรือ “การคอร์รัปชัน” หรือ “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” หรือ
ทเี่ ขา้ ใจกนั งา่ ย ๆ ว่า “การโกง” นั้นเป็นพฤติกรรมแสดงถึงการไม่ซื่อสัตย์สุจริตของบุคคล
หรือคณะบุคคลที่ร่วมมือกันทำ� ความชั่วโดยเจตนา มีการไตร่ตรองวางแผนอย่างมีข้ันตอน
หรอื มีกระบวนการทแ่ี ยบยลจนยากท่ีจะจับได้ไล่ทนั
“การโกง” สว่ นใหญเ่ กดิ จาก “ความโลภ” ของมนษุ ย์ โดยเฉพาะผทู้ ม่ี อี ำ� นาจหนา้ ที่
มีต�ำแหน่งเก่ียวข้องกับผลประโยชน์ หรือผู้ใกล้ชิดที่รู้เห็นลู่ทางที่จะกอบโกยผลประโยชน์
เข้าตนและพวกพ้อง การทุจริตเกิดข้ึนในทุกระดับ ทุกกลุ่มคน โดยเฉพาะในโครงการ
ขนาดใหญ่ใช้งบประมาณจ�ำนวนมากมักถูกต้ังข้อสังเกตว่าน่าจะมี “การทุจริตคอร์รัปชัน”
มีการเรียกเปอร์เซน็ ต์หรอื ค่า “คอมมชิ ชัน่ ” อย่างตำ�่ ร้อยละ 10 บางโครงการสงู ถึงร้อยละ
30 - 40 ซง่ึ ถา้ เปน็ ไปตามนนั้ กแ็ สดงวา่ โครงการพฒั นาแตล่ ะโครงการซง่ึ กวา่ จะตกถงึ ประชาชน
กล็ ่าช้าไม่ทนั การณ์อยู่แล้ว แต่พอมกี ารดำ� เนินการกลบั ปรากฏว่าประชาชนได้รบั ประโยชน์
จากโครงการเพียงร้อยละ 60 - 70 ของเงินงบประมาณเท่าน้ัน ยังไม่นับเงินค่าใต้โต๊ะ
เพอื่ ใหไ้ ดง้ าน คา่ สมยอมกนั หรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ “คา่ ฮว้ั ” รวมถงึ อาจมเี มด็ เงนิ สว่ นอน่ื อกี ทท่ี ำ� ให้
ผลประโยชน์ของส่วนรวมและโอกาสในการพฒั นาประเทศเสียไป
424 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย เมื่อเป็นเช่นนี้ การพัฒนาประเทศจึงขาดความต่อเน่ือง แม้จะมีการเลือกต้ัง
ตัวแทนทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นแต่ตัวแทนที่เลือกเข้าไปก็ไม่สามารถแก้ปัญหา
ของประชาชนได้อย่างเตม็ ท่ี ทำ� ให้ประชาชนเกดิ ความเบื่อหน่ายไม่สนใจการเมือง ไม่เหน็
ประโยชน์ของการเลือกตัวแทน เพราะคิดว่าเลือกใครเข้าไปต่างก็โกงกินเหมือนกันหมด
ถอื คติว่า “โกงได้ไม่ว่า ขอให้ข้าได้ประโยชน์” และเมอ่ื มีการเลือกตงั้ กม็ ีแนวโน้มว่าจะเลือก
คนท่ีให้เงินให้ส่ิงของในช่วงหาเสียงเลือกตั้งแก่ตน หรือถือคติว่า “เงินไม่มา กาไม่เป็น”
ส่วนผู้ท่ีลงทุนซื้อเสียงเลือกต้ังก็คิดว่าท�ำแล้วคุ้มกับการลงทุน เพราะถ้าได้รับเลือกต้ังก็รีบ
ถอนทนุ ใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ เพอื่ เกบ็ สะสมทนุ ไว้ สว่ นผลก�ำไรนน้ั นำ� มาใชใ้ นการเลอื กตง้ั ครง้ั ตอ่ ไป
ความคิดและพฤติกรรมสมยอมได้ประโยชน์ร่วมกันของทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ โดยไม่คำ� นึง
ถึงประโยชน์ส่วนรวมของชาติเสียหาย เช่นนี้นับว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการปกครอง
ระบอบประชาธปิ ไตยของเรา
ขอ้ มูลภาพลักษณ์ความโปร่งใสของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การกล่าวหาว่าประเทศไทยมีปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชัน
จ�ำนวนมากโดยไม่มีข้อมูลยืนยันก็อาจไม่เป็นธรรมนัก เราจึงควรดูข้อมูลท่ีน่าเช่ือถือจาก
องคก์ ารเพอื่ ความโปรง่ ใสนานาชาติ (Transparency International-TI) ซงึ่ เปน็ องคก์ ารนานาชาติ
กอ่ ตงั้ ในประเทศเยอรมนี ไดเ้ รม่ิ ทำ� ดชั นภี าพลกั ษณค์ อรร์ ปั ชนั (Corruption Perceptions Index:
CPI) สำ� รวจข้อมลู การทุจริตจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมาต้งั แต่ปี 2538 โดยค่าสูง หมายถงึ
มีการคอร์รัปชันต่�ำ และหากค่าต�่ำ หมายถึงมีการคอร์รัปชันสูง จากการส�ำรวจพบว่า
ประเทศไทยมภี าพลกั ษณค์ วามโปรง่ ใสในระดบั ตำ�่ มาโดยตลอด โดยในปี 2538 ซง่ึ เปน็ ปแี รก
ทมี่ ีการสำ� รวจ ประเทศไทยได้คะแนนเพียง 2.79 จากคะแนนเตม็ 10 คะแนน สำ� หรบั ข้อมูล
ย้อนหลังตง้ั แต่ปี 2555 - 2558 จากคะแนนเตม็ 100 คะแนน ประเทศไทยได้คะแนน ดังน้ี
ผลการสำ� รวจดังกล่าว ช้ใี ห้เหน็ ว่า ประเทศไทยยังมีปัญหาการทจุ รติ คอร์รัปชนั ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 425
ในระดบั สงู ดงั นนั้ การรณรงคแ์ กไ้ ขปญั หาการทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั ทผ่ี า่ นมาจงึ นบั วา่ ยงั ไมป่ ระสบ
ความส�ำเร็จเท่าท่ีควร เพราะไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ เร่ืองจิตส�ำนึกของประชาชน
ท่ีจะมบี ทบาทส่วนร่วมในการแก้ปัญหาการทจุ รติ ส อดคล้องกับการวิเคราะห์ของส�ำนักงาน
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในการจัดท�ำแผน
ยุทธศาสตร์เพ่ือป้องกันและปราบปรามการทุจริต พบปัญหาที่ท�ำให้การทุจริตวิเคราะห์
จุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหาอุปสรรค และภัยคุกคามรุนแรงข้ึน และการแก้ปัญหาที่ผ่านมา
ไม่ได้ผลเท่าท่คี วร เนอ่ื งจากคนไทยส่วนใหญ่ยงั มีพฤตกิ รรมดงั ต่อไปน้ี
1. ไมน่ ำ� ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ทำ� ใหเ้ กดิ การใชจ้ า่ ยเกนิ ตวั มภี าระหนส้ี นิ
และน�ำมาสู่ความโลภ อยากได้ใคร่มี มีการทุจริตโดยง่าย ท้ังการทุจริตซื้อสิทธิขายเสียง
และการทุจรติ โกงกินคอร์รปั ชนั
2. ไม่ตระหนักถึงผลกระทบของการทุจริตมากพอ กล่าวคือ เห็นการทุจริต
เป็นเรอื่ งธรรมดา หรอื โกงได้ไม่ว่าขอให้ตวั ข้าได้ประโยชน์ หรอื เงินไม่มา กาไม่เป็น
3. ขาดจติ สำ� นกึ เพอ่ื สว่ นรวม และประโยชนส์ าธารณะ เหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นตวั
มากกว่าประโยชน์ส่วนรวม และขาดความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม
ส่ิงทคี่ วรปลกู ฝังแก่เยาวชน
ไดม้ กี ารสำ� รวจวา่ สงิ่ ทคี่ นไทยอยากทำ� เพอ่ื ชาตคิ อื อะไร พบวา่ คนไทยสว่ นใหญ่
เห็นว่าการไปใช้สิทธิเลือกต้ังและการไม่สร้างปัญหาให้สังคมก็เป็นการท�ำเพื่อชาติแล้ว
มเี พียงร้อยละ 5 เท่านน้ั ทบ่ี อกว่าตนจะเป็นหู เป็นตาให้กบั ประเทศ การไปใช้สิทธิเลอื กตัง้
เป็นเรือ่ งท่ดี กี ็จริง แต่การเลอื กตั้งน้นั ต้องเป็นไปโดยสุจริตและเทีย่ งธรรม เพื่อให้ได้ตวั แทน
ท่ีดีมาบริหารบ้านเมือง ถ้าตัวแทนมาจากการซื้อเสียง แน่นอนว่าเมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว
ยอ่ มใชต้ ำ� แหนง่ หนา้ ทหี่ าผลประโยชนใ์ หต้ นเองและพวกพอ้ ง ผลเสยี กจ็ ะตกแกป่ ระชาชนเอง
แตก่ ารเลอื กตง้ั ทผี่ า่ นมามปี ญั หาเรอ่ื งการทจุ รติ ซอ้ื สทิ ธขิ ายเสยี ง เราจะทำ� อยา่ งไร ถา้ พบเหน็
จะวางเฉยหรอื แจ้ง กกต.
ส�ำหรับการไม่สร้างปัญหาให้สังคมก็เป็นเรื่องท่ีดีและควรท�ำ แต่ปัญหามีว่า
หากพบว่าคนอ่ืนสร้างปัญหาเราจะท�ำอย่างไร จะถือว่าเป็นเร่ืองของคนอื่นเราไม่เกี่ยว
ได้หรือไม่ ค�ำตอบคือ เราคงจะวางเฉยน่ิงดูดายต่อไปไม่ได้เพราะทุกเร่ืองล้วนเกี่ยวข้อง
ส่งผลกระทบต่อตัวเรา ดังน้ัน นอกจากเราไม่สร้างปัญหาแล้วยังต้องไม่ยอมให้คนอื่น
สร้างปัญหาด้วย จะถอื ว่าธรุ ะไม่ใช่ หรอื คดิ ว่าไม่ควรเอามอื ไปซุกหบี ไม่ได้
เม่ือถามอีกว่า “เราควรจะปลูกฝังค่านิยมหรือบุตรหลานของตนเร่ืองใดบ้าง
ส่วนใหญ่ตอบว่าเรื่องรักการเรียนและเรื่องการให้ห่างไกลจากยาเสพติด โดยมีร้อยละ 11
ที่ปลูกฝังเรื่องการไม่ทุจริตคอร์รัปชัน และมีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้นที่ปลูกฝังเร่ืองการมี
ส่วนร่วมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตย การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว
และให้มีความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม
การจะแก้ไขปัญหาการทุจริตจึงต้องแก้ท่ีจิตส�ำนึกและพฤติกรรมของคน
ท่เี กย่ี วข้องกบั การทจุ รติ ซง่ึ ได้แก่ นกั การเมอื ง พ่อค้า ข้าราชการ และประชาชน รวมทัง้
ส่ือมวลชนที่ต้องเสนอข้อมูลข่าวสารท่ีถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการปลูกฝังค่านิยมท่ีดี
แก่เด็ก เยาวชน และประชาชน เพ่ือให้เหน็ พิษภยั และต่อต้านการทุจริต กล่าวคอื นอกจาก
จะสร้างจิตส�ำนึกเร่ืองโตไปไม่โกงแล้ว ยังต้องสร้างจิตส�ำนึกการมีส่วนร่วมร่วมกันต่อต้าน
การโกงด้วยการเป็นหเู ป็นตา สอดส่องดูแล ตรวจสอบ ติดตาม เฝ้าระวงั มิให้มกี ารทุจริต
426 วชิ าพลเมอื งดีวถิ ปี ระชาธปิ ไตย
มาสู่ค�ำถามท่ีว่าเรา “จะป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตคดโกงได้อย่างไร”
นอกจากช่วยกันเป็นหูเป็นตากระจายข่าวการโกงให้สังคมรับรู้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ผ่านส่ือ
ทุกประเภท ทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะส่ือ “สังคมออนไลน์” มีส่วนใน
การให้มลู การทจุ ริตได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพสงู ในปัจจบุ ัน เม่อื ประชาชนเกดิ ความตระหนกั
ก็สามารถรวมตัวกันเป็นเครือข่ายพลเมืองช่วยจัดกิจกรรมปลูกฝังเด็กและเยาวชน
ให้เหน็ ผลเสยี ของการทจุ รติ ส่งผลกระทบต่อชีวติ และความเป็นอยู่ของประชาชน
ประชาชนต้องช่วยกนั ปลูกจติ ส�ำนกึ ทด่ี งี ามเรมิ่ ตั้งแต่เดก็ และเยาวชน นักเรยี น
นักศึกษาและประชาชน ให้เป็นพลเมืองดีในวิถีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หว่านปุ๋ยแห่ง
ความซอื่ สตั ยส์ จุ รติ ลงไปในดนิ ทมี่ คี วามชน้ื และอณุ หภมู พิ อเหมาะ กจ็ ะงอกงามเจรญิ เตบิ โต
เป็นต้นไม้พันธุ์ดีของแผ่นดิน ของสังคมประเทศชาติ ปกป้องสังคมให้อยู่รอดปลอดภัย
และมีความสขุ กนั ถ้วนหน้าจากเงนิ ภาษีทีเ่ ป็นน�้ำพกั นำ�้ แรงของเราอย่างภาคภมู ิ
ิวชาพลเ ืมอง ีดวิ ีถประชาธิปไตย 427