218 วชิ าผ้นู �ำ บทท่ี
คณุ ลกั ษณะของการเปน็ ผนู้ ำ�
ขอ้ 1 กลา่ วทัว่ ไป
คณุ ลกั ษณะของการเป็นผู้นำ� คือ คุณสมบตั เิ กย่ี วกับบคุ ลิกลกั ษณะ ซง่ึ มี
ลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะตวั ซงึ่ ถา้ น�ำมาใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั จะชว่ ยใหผ้ ทู้ เี่ ปน็ ผบู้ งั คบั บญั ชา
ไดร้ บั ความนบั ถอื , มคี วามมนั่ ใจ, ไดร้ บั การเชอื่ ฟงั อยา่ งเตม็ อกเตม็ ใจและไดร้ บั ความรว่ มมอื
อย่างจงรักภักดีจากผู้ใต้บังคับบัญชาผู้น�ำแต่ละคนจะมีคุณลักษณะซึ่งประกอบเป็น
บคุ ลกิ ลกั ษณะประจำ� ตวั และแสดงออกในระดบั ตา่ ง ๆ กนั คณุ ลกั ษณะทผ่ี บู้ งั คบั บญั ชา
แสดงออกจะมีผลต่อพฤติกรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง และความเต็มใจ
ท่จี ะปฏบิ ัติภารกจิ ให้ส�ำเรจ็ ฉะน้ันจงึ มคี วามจำ� เป็นอย่างยง่ิ ทผี่ ู้บังคบั บญั ชาจะต้องท�ำ
ความเข้าใจอย่างถูกต้องในการเสริมสร้างคุณลักษณะของการเป็นผู้น�ำให้มีข้ึนกับ
บุคลิกภาพของตนในระดับต่าง ๆ เพ่ือให้สามารถท�ำนายผลอันเกิดจากบุคลิกของตน
ทแ่ี สดงตอ่ คนอนื่ ได้ ผนู้ �ำทด่ี มี คี วามจ�ำเปน็ จะตอ้ งรจู้ กั ตนเองเปน็ อยา่ งดี มคี วามซอื่ ตรง
รู้จักประเมินค่าตนเองอย่างเท่ียงธรรมให้ตรงเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยให้เขามีคุณลักษณะ
ท่ีเข้มแขง็ ท้งั ยังช่วยเสรมิ สร้างจุดอ่อนที่มีอยู่ให้กล้าแขง็ ข้ึนอีกด้วย
ข้อ 2 คณุ ลกั ษณะของการเป็นผนู้ ำ� 14 ประการ
จากการส�ำรวจชีวิตความเป็นอยู่และอาชีพของผู้นำ� ท่ีเคยประสบผลส�ำเร็จ
มาแล้วเมื่อปลายสงครามโลกครั้งท่ี 2 โดยการซักถามทหารช้ันยศต่าง ๆ เร่ิมต้นจาก
พลทหารไปถึงช้ันนายพลเพ่ือเสาะหาคุณลักษณะต่าง ๆ ซ่ึงแต่ละคนเห็นว่าเป็น
คณุ ลกั ษณะทนี่ ำ� ไปสคู่ วามสำ� เรจ็ ไดข้ ้อยตุ วิ ่าไม่มคี ณุ ลกั ษณะในกลมุ่ หนง่ึ กลมุ่ ใดทจ่ี ะ
นำ� มาพจิ ารณาว่าท�ำให้ผู้น�ำคนน้ันพบความส�ำเร็จอย่างถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะมีหลายคนที่มี วิชาผู้นำ� 219
คุณลักษณะและคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน จากผลการส�ำรวจพบว่า มีการแบ่งแยก
คณุ ลกั ษณะต่าง ๆ ไว้ 14 ประการ ซึง่ ผู้นำ� เหล่าน้มี กั จะใช้ยดึ ถอื เหมือน ๆ กนั ในระดับท่ี
แตกต่างกนั มผี ู้ต้ังข้อสงสยั เอาไว้มากกว่าการมแี ต่เพียงคณุ ลักษณะดงั กล่าวน้ี จะเป็นการ
เพียงพอทจ่ี ะทำ� ให้ผู้นำ� พบความสำ� เรจ็ ได้หรอื ไม่ ขณะเดียวกนั เคยปรากฏมาแล้วว่า ถ้าขาด
คณุ ลักษณะดงั กล่าวจะท�ำให้เป็นผู้นำ� ท่ดี ไี ม่ได้โดยไม่ต้องสงสยั คณุ ลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้
เป็นส่ิงท่ีพึงประสงค์ของทหารที่ดีทุกคนโดยไม่ค�ำนึงถึงช้ันยศ ท้ังยังเป็นส่วนประกอบที่
จ�ำเป็นทช่ี วี ิตทหารจะขาดเสยี มไิ ด้
1) ลกั ษณะทา่ ทาง หรอื การวางตวั
ลกั ษณะทา่ ทาง คอื การกอ่ ใหเ้ กดิ ความฝงั ใจทน่ี า่ นยิ มในการวางตวั อากปั กริ ยิ า
และการปฏบิ ตั ติ นตลอดเวลาเปน็ คณุ สมบตั ปิ ระจำ� ตวั ทผ่ี นู้ ำ� จะตอ้ งมลี กั ษณะทา่ ทางของผนู้ ำ�
ไมว่ า่ จะดหี รอื เลว มกั จะสรา้ งแบบอยา่ งใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาปฏบิ ตั ติ าม การวางตวั ของทา่ น
ควรจะมลี กั ษณะเทยี่ งตรงอากปั กริ ยิ าทา่ ทที ว่ั ๆ ไป ตลอดจนเครอ่ื งแตง่ กายและเครอ่ื งประกอบ
ตา่ ง ๆ ควรจะเปน็ แบบอยา่ งทด่ี แี กบ่ คุ คลภายในหนว่ ยทา่ นแสดงความตน่ื ตวั ตลอดจนการปฏบิ ตั ิ
และความเคลอื่ นไหวตา่ ง ๆ ดว้ ยความเขม้ แขง็ ใหป้ รากฏแกผ่ อู้ น่ื
การเสรมิ สรา้ งลกั ษณะทา่ ทางใหเ้ กดิ ขน้ึ ในตวั ผนู้ ำ� ตอ้ งปฏบิ ตั ดิ งั นี้
(1) ฝกึ ตนเองใหม้ อี ากปั กริ ยิ าและทว่ งทา่ ทม่ี มี าตรฐานสงู
(2) หลกี เลย่ี งจากความประพฤตหิ ยาบคายและการใชว้ าจากกั ขฬะ
(3) ถา้ ชอบดมื่ ของมนึ เมา กจ็ งดม่ื แตพ่ อประมาณ
(4) ใชห้ ลกั เดนิ สายกลาง (มชั ฌมิ าปฏปิ ทา) ในการปฏบิ ตั ติ นทกุ อยา่ ง
(5) รกั ษาทา่ ทางใหม้ คี วามสงา่ ผา่ เผยและภมู ฐิ านจนเปน็ นสิ ยั
2) ความกลา้ หาญ (ทงั้ ทางกายภาพและทางศลี ธรรม)
ความกล้าหาญ คือ สภาวะทางใจอย่างหน่ึงซ่ึงรู้จักกลัวอันตรายหรือรับรู้
คำ� วจิ ารณต์ า่ ง ๆ แตท่ ำ� ใหบ้ คุ คลนนั้ ยงั คงเผชญิ หนา้ กบั สง่ิ เหลา่ นนั้ อยา่ งไมส่ ะทกสะทา้ นหรอื
ออ่ นไหว พดู งา่ ย ๆ ความกลา้ หาญกค็ อื การควบคมุ ตนเองไมใ่ หเ้ กดิ ความกลวั เปน็ คณุ สมบตั ิ
ของจติ ใจซงึ่ ทำ� ใหบ้ คุ คลสามารถควบคมุ ตนเองได้ ทำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ รบั ผดิ ชอบ และสามารถ
ปฏิบัติตนต่อสถานการณ์ที่มาคุกคามได้อย่างถูกต้องความกล้าจึงเป็นสิ่งจ�ำเป็นย่ิงส�ำหรับ
การเปน็ ผนู้ ำ�
220 วชิ าผ้นู �ำ ผนู้ ำ� จะตอ้ งมคี วามกลา้ หาญทงั้ ทางกายภาพและทางศลี ธรรม ความกลา้ หาญ
ทางศลี ธรรมหมายถงึ การรบั รู้ และยนื หยดั ในสง่ิ ทเ่ี หน็ วา่ ถกู ตอ้ งเมอื่ ตอ้ งเผชญิ กบั สง่ิ ทค่ี นทว่ั ไป
ไม่ชอบผู้น�ำท่ีมีความกล้าทางศีลธรรม จะยอมรับอย่างหน้าช่ืนใจในส่ิงท่ีตนท�ำผิดพลาด
แต่จะสู้หวั ชนฝาเมอื่ เหน็ ว่าตนเป็นฝ่ายถกู
เพอื่ ชว่ ยใหต้ นเองเกดิ ความกลา้ หาญจะตอ้ งปฏบิ ตั ดิ งั น้ี
(1) ศึกษาและท�ำความเข้าใจกับปฏิกิริยาของท่านท่ีมีต่อความรู้สึกในทาง
หวาดกลวั
(2) ควบคมุ ความกลวั ดว้ ยการทำ� จติ ใจใหส้ งบ
(3) จดั ลำ� ดบั ความนกึ คดิ ของทา่ นใหม้ รี ะเบยี บแบบแผน อยา่ ทำ� ใจใหต้ น่ื กลวั
อนั ตรายจนเกนิ ไป
(4) ถา้ ทา่ นเกดิ ความประหมา่ ทจี่ ะทำ� อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ทท่ี า่ นตอ้ งการในชวี ติ
ประจำ� วนั กจ็ งบงั คบั ตนเองใหก้ ระทำ� ในสงิ่ เหลา่ นน้ั ใหไ้ ด้ จนกวา่ จะเหน็ วา่ ทา่ นสามารถควบคมุ
(5) จงยนื หยดั ในสง่ิ ทเี่ หน็ วา่ ถกู ตอ้ ง แมใ้ นทศั นะของคนทวั่ ไปจะเหน็ วา่ ใชไ้ มไ่ ด้
(6) ยอมรบั คำ� ตำ� หนเิ มอื่ ทา่ นเปน็ ฝา่ ยผดิ
3) ความเดด็ ขาด
ความเดด็ ขาด คอื ความสามารถในการตกลงใจโดยฉบั พลนั และประกาศ
ขอ้ ตกลงใจนน้ั ดว้ ยทา่ ทางเอาจรงิ และชดั แจง้
สถานการณต์ า่ ง ๆ มกั มวี ธิ แี กไ้ ขมากกวา่ 1 วธิ ี ผนู้ �ำทฉี่ ลาดตอ้ งรวบรวม
มลู ความจรงิ ทง้ั หลายไวใ้ หห้ มด แลว้ นำ� มาเปรยี บเทยี บกนั ดวู า่ ความจรงิ ขอ้ ไหนจะมนี ำ้� หนกั
มากกว่ากัน เพื่อให้ได้ข้อตกลงใจท่ีถูกต้องและรวดเร็ว ความเด็ดขาดส่วนใหญ่เป็นเรื่อง
ของการปฏบิ ตั แิ ละประสบการณ์
เพอื่ เสรมิ สรา้ งใหเ้ กดิ ความเดด็ ขาดจะตอ้ งปฏบิ ตั ดิ งั น้ี
(1) ฝึกให้ตนเองเกิดความแน่ใจในการปฏิบัติอย่างหน่วงเหน่ียว หรือ
พดู ออ้ มคอ้ ม
(2) เสาะหาความจรงิ ตงั้ อกตง้ั ใจใหด้ แี ลว้ จงึ คอ่ ยออกคำ� สง่ั ดว้ ยความมนั่ ใจ
(3) ตรวจสอบดูการตกลงใจท่ีท�ำไปแล้วซ้�ำอีกคร้ังหน่ึงว่าถูกต้อง และ
ทันเวลาหรอื ไม่
(4) วเิ คราะหก์ ารตกลงใจของผ้อู น่ื ถา้ ตนเองไม่เหน็ ดว้ ยใหพ้ จิ ารณาตอ่ ไป
วา่ เหตผุ ลทต่ี นไมเ่ หน็ ดว้ ยนน้ั ใชไ้ ดห้ รอื ไมเ่ พราะอะไร
(5) ขยายทศั นะของตนเองให้กว้างขวาง ด้วยการศกึ ษาวธิ ปี ฏิบัติของผู้อน่ื วิชาผู้นำ� 221
แล้วน�ำผลส�ำเร็จหรอื ข้อผิดพลาดเหล่าน้ันมาใช้ให้เกดิ ประโยชน์กับตนเอง
4) ความไว้เนื้อเชื่อใจ
ความไวเ้ นอื้ เชอ่ื ใจ คอื การปฏบิ ตั หิ นา้ ทบ่ี างอยา่ งไดโ้ ดยถกู ตอ้ งไมผ่ ดิ พลาด
เป็นคณุ สมบตั อิ นั หน่ึงซึ่งผู้น�ำควรจะเสริมสร้างให้มขี น้ึ ในตัวเอง
ผู้น�ำท่ีไว้วางใจได้ คอื ผู้ท่ที ำ� งานได้ว่องไว, มปี ฏภิ าณด,ี มคี วามตงั้ ใจจริง
ทจ่ี ะทำ� งานเพอื่ ผบู้ งั คบั บญั ชาของตน มคี วามจรงิ ใจ และมคี วามสมคั รใจทจี่ ะปฏบิ ตั ติ ามแผน
และความตงั้ ใจของผบู้ งั คบั บญั ชา มไิ ดห้ มายถงึ วา่ เชอ่ื อยา่ งงมงาย ผบู้ งั คบั บญั ชาสว่ นมาก
มักจะรับฟังความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เม่ือใดท่ีผู้บังคับบัญชาให้ข้อตกลงใจ
ขัน้ สดุ ท้ายแล้วผู้ใต้บงั คบั บัญชาต้องให้การสนบั สนุนอย่างแขง็ ขนั
ผู้น�ำที่มีความส�ำนึกในหน้าท่ีอย่างสูง จะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุด
เพ่ือปฏิบัติงานโดยต่อเน่ืองให้เกิดผลส�ำเร็จได้มาตรฐานสูงท่ีสุด และถือว่าผลประโยชน์
ส่วนตวั เป็นเร่อื งรองจากงานในหน้าท่ี
เพอ่ื เสรมิ สร้างให้ตนเองเกดิ ความไว้เน้อื เชอ่ื ใจ ต้องปฏบิ ตั ดิ ังน้ี
(1) อย่าหาข้อแก้ตวั หรอื ค�ำขอโทษ
(2) ทำ� งานทกุ ชนดิ ทีไ่ ด้รบั มอบหมายจนสุดความสามารถ โดยไม่ค�ำนงึ ถงึ
ความเชอ่ื ถือส่วนตวั
(3) มีความแน่วแน่ในรายละเอียดต่าง ๆ
(4) ฝึกนสิ ัยให้เป็นคนตรงต่อเวลา
(5) ปฏิบัติการให้เป็นไปตามค�ำสั่งทุกกระเบียดนิ้ว เมื่อเห็นว่าจะเกิดการ
ขัดแย้งกันขน้ึ ระหว่างบคุ คล 2 ฝ่าย ให้เรยี กเจ้าหน้าทท่ี ีเ่ กยี่ วข้องมาทำ� ความเข้าใจกันทนั ที
5) ความอดทน
ความอดทน คือ พลังทางร่างกายและจิตใจซ่ึงวัดได้จากความสามารถ
ทจี่ ะยนื ยนั ตอ่ ความเจบ็ ปวด, ความเมอ่ื ยล้า, ความเครง่ เครยี ด และความยากลำ� บากตา่ ง ๆ
มีลักษณะคล้ายคลึงกับความกล้าหาญความอดทนเป็นคุณสมบัติอันส�ำคัญอย่างหน่ึง
ซึ่งผู้น�ำทุกคนจะต้องมี ท้ังน้เี พือ่ ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจากผู้ใต้บังคบั บัญชา การขาด
ความอดทนอาจเก่ียวพันไปถึงการท�ำให้ขาดความกล้าหาญไปด้วย ท�ำให้ผู้น�ำกลายเป็น
คนข้ีขลาดเพราะสภาวะทางกายภาพไม่เข้มแข็ง ความอดทน หมายความรวมถึงความ
สามารถเม่อื รับงานมาท�ำแล้วสามารถดำ� เนนิ ไปได้โดยตลอด
222 วชิ าผ้นู �ำ เพอ่ื เสรมิ สร้างให้เกดิ ความอดทน จะต้องปฏบิ ัติดงั นี้
(1) หลีกเลย่ี งการปฏิบตั ทิ ไี่ ม่จำ� เป็นอนั เป็นเครือ่ งบ่นั ทอนพลงั กายและใจ
(2) ปลูกฝังนิสัยในการชอบออกก�ำลังกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายมีความ
แขง็ แกร่งขน้ึ เพมิ่ ความอดทนให้แก่ร่างกายด้วยการท�ำงานท่ียากล�ำบาก
(3) ทดสอบความอดทนของตนเองบ่อย ๆ ด้วยการบังคับตัวเองให้
ออกกำ� ลังให้หนกั และฝึกจิตให้กล้าแข็ง
(4) บังคับตนเองให้ฝืนทนทำ� งานต่อไปเมอื่ รู้สึกเหนด็ เหนอ่ื ย หรือฝืนใจทำ�
เม่ือจติ ใจเร่ิมย่อท้อ
(5) ท�ำงานทุกชนิดให้เสร็จเรียบร้อย และดีท่ีสุดเท่าท่ีตนมีความสามารถ
จะท�ำได้
6) ความกระตือรอื ร้น
ความกระตือรือร้น คือ การแสดงออกซึ่งความสนใจอย่างจริงใจ และ
มจี ติ ใจจดจอ่ อยกู่ บั การปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ หมายความรวมถงึ การท�ำงานดว้ ยความรา่ เรงิ เบกิ บาน
มีความหวังดี, พิจารณาให้เกิดผลดีต่องาน ท่าทีการปฏิบัติของท่านจะเป็นการสร้าง
ตัวอย่างให้ผู้ใต้บงั คับบัญชาปฏบิ ัตติ าม
ความกระตอื รอื รน้ มคี วามสำ� คญั โดยตรงตอ่ การฝกึ สอนในการแสดงตวั อยา่ ง
ประกอบการสอน การปฏบิ ัตขิ องท่านจะได้รับความสนใจ หรือเกิดความกระตือรอื ร้นหรือ
ไม่ดูได้จากการแสดงออกของผู้ใต้บงั คบั บญั ชาของท่าน
เพื่อเสรมิ สร้างให้เกดิ ความกระตอื รือร้น จะต้องปฏบิ ัตดิ ังนี้
(1) ท�ำความเข้าใจและเช่ือมน่ั ในภารกิจของท่านทตี่ ้องปฏิบตั ิ
(2) จงเป็นคนร่าเรงิ และเลง็ ผลเลศิ
(3) อธบิ ายใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาทราบวา่ “ท�ำไม” งานบางอยา่ งจงึ ไมน่ า่ สนใจ
และไม่น่าท�ำแต่กต็ ้องทำ�
(4) ประกาศยกยอ่ งชมเชยเมอ่ื ทำ� งานไดส้ ำ� เรจ็ ความกระตอื รอื รน้ ยอ่ มแพร่
ถงึ กนั ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ไมม่ อี ะไรจะเสรมิ สรา้ งความกระตอื รอื รน้ ไดร้ วดเรว็ ยง่ิ กวา่ ความสำ� เรจ็
ของหน่วยหรอื บคุ คลภายในหน่วย
(5) อยา่ ทำ� ใหต้ นเองเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ยตอ่ งาน จดั ใหม้ เี วลาวา่ งไวช้ ว่ งหนงึ่
ทุกวนั เพอ่ื ใหจ้ ติ ใจคลายกงั วลตอ่ งานในหนา้ ที่ และมเี วลาพกั ผอ่ น
7) ความริเร่มิ วิชาผู้นำ� 223
ความริเรม่ิ คอื การเสาะแสวงหางานมาทำ� และเรม่ิ หาหนทางปฏบิ ัติถงึ แม้
จะไม่มีค�ำสั่งให้ปฏิบัติ เหล่าน้ีเป็นสิ่งจ�ำเป็นท่ีทหารทุกช้ันยศจะต้องมี เม่ือผู้บังคับบัญชา
ตอ้ งเผชญิ กบั สถานการณ์ใหม่ ๆ หรอื สถานการณ์ทไี่ มค่ าดคดิ มากอ่ น ทหารจะรวมพลงั กนั
อยา่ งรวดเรว็ และปฏบิ ตั ติ อ่ สถานการณน์ นั้ อยา่ งฉบั พลนั ทนั ทกี ถ็ อื เปน็ ความรเิ รม่ิ อยา่ งหนงึ่
ควรหาทางกระตนุ้ ใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาเกดิ ความคดิ รเิ รมิ่ ดว้ ยการมอบหมาย
งานใหท้ ำ� โดยเลอื กใหเ้ หมาะกบั ตำ� แหนง่ และชนั้ ยศของแตล่ ะคน ปลอ่ ยใหเ้ ขาหารายละเอยี ด
และหนทางปฏบิ ตั เิ อาเอง จนกระทงั่ ทำ� งานให้สำ� เรจ็ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้บงั คบั บญั ชา
ได้แต่มอบงานให้โดยตนเองทำ� อะไรไม่เป็นเลย ผู้บังคับบัญชาจะต้องรู้จักงานนั้น ๆ เป็น
อย่างดี เพ่อื จะได้ก�ำกบั ดูแลอย่างถกู ต้อง
สง่ิ ทจ่ี ะต้องมคี วบคู่กันไปกบั ความรเิ รม่ิ คอื คณุ สมบตั ิในการคดิ หาหนทาง
ปฏบิ ตั อิ นั เปน็ ความสามารถทเี่ กยี่ วเนอื่ งกบั สถานการณ์ โดยไมต่ อ้ งใชว้ ธิ กี ารปฏบิ ตั อิ ยา่ งสามญั
ยทุ โธปกรณ์ทางทหาร, การจดั หน่วยและการฝึกต่าง ๆ ได้จดั ให้มขี น้ึ เพอื่ เตรยี มไว้เผชญิ กบั
สถานการณอ์ ยา่ งปกตแิ ตบ่ างครงั้ กเ็ กดิ ความลม้ เหลวไมเ่ ปน็ ไปตามทห่ี วงั ไว้ โดยเฉพาะอยา่ ง
ยิ่งในภาวะสงครามซ่ึงจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันมักจะเกิดข้ึนอยู่เสมอจนกลายเป็น
ของธรรมดาการเมนิ เฉยโดยไมค่ ดิ ทำ� อะไรตอ่ สถานการณท์ ไ่ี มน่ า่ ไวใ้ จ โดยอา้ งวา่ หาวธิ ปี ฏบิ ตั ิ
ไม่ได้น้นั ไม่ควรกระท�ำอย่างยง่ิ
เพื่อเป็นการเสรมิ สร้างให้เกดิ ความริเร่ิม จะต้องปฏบิ ตั ิดงั น้ี
(1) ต้องมีความตน่ื ตัวตลอดเวลาท้งั กายและใจ
(2) ฝึกตนเองให้เกิดความส�ำนึกในงานที่จะต้องท�ำ และท�ำโดยไม่ต้องสั่ง
และปราศจากความลงั เลใจ
(3) ฝึกให้เกดิ ความหวงั โดยการคดิ วางแผนไว้ล่วงหน้า
(4) แสวงหาความรับผิดชอบ และยอมรับผิดหรอื ชอบโดยทนั ที
(5) ใชห้ นทางปฏบิ ตั ทิ ม่ี อี ยใู่ นทางทเ่ี กดิ ผลดที ส่ี ดุ และมปี ระสทิ ธภิ าพมากทสี่ ดุ
8) ความซื่อสัตยส์ จุ ริต
ความซ่ือสัตย์สุจริต คือ ความเท่ียงตรงแห่งอุปนิสัยและความยึดม่ัน
อยู่ในหลักแห่งศีลธรรมอันดีงามเป็นคุณสมบัติของการรักความจริงและความซ่ือสัตย์
224 วชิ าผ้นู �ำ อย่างแท้จริง อันเป็นคุณลักษณะซ่ึงผู้นำ� แต่ละคนซ่ึงจะขาดเสียไม่ได้ในการปฏิบัติการเป็น
ชุดแบบทหาร เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะฝากชีวิตทหารเป็นจ�ำนวนมากไว้ในบังคับบัญชา
ของบุคคลต่าง ๆ ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเขาจะมีความซ่ือสัตย์สุจริตดีหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น
ข่าวสารเกี่ยวกับการรบมีความส�ำคัญย่ิงต่อผู้มีหน้าท่ีรับผิดชอบในการตัดสินใจแก้ปัญหา
การรบรายงานต่าง ๆ ท่ีส่งจากหน่วยรองข้ึนมายังหน่วยเหนือหากมีผู้ที่ไม่มีความซ่ือสัตย์
สุจริตด้วยการละเมิดต่อมาตรการในการรักษาความลับเพียงคนเดียว อาจท�ำให้ผลการ
ปฏิบัติของส่วนรวมต้องพังพินาศโดยสิ้นเชิง ถึงแม้บุคคลใดจะมีแต่ความซื่อสัตย์เพียง
อยา่ งเดยี ว หากไมม่ คี วามสจุ รติ แลว้ กไ็ มอ่ าจใหค้ วามเชอ่ื ถอื ไดเ้ ลยอาชพี ทหารจะไมย่ อมให้
มบี คุ คล ซงึ่ บกพร่องในเร่อื งความซอ่ื สตั ย์สุจริตแม้แต่น้อยให้ร่วมอยู่ในวงการด้วยเลย
เพอื่ เสริมสร้างให้เกิดความซอ่ื สตั ย์สจุ ริต จะต้องปฏบิ ตั ดิ งั นี้
(1) ฝึกให้เป็นผู้มคี วามซื่อสัตย์และรกั ษาวาจาสตั ย์ตลอดเวลา
(2) คำ� พดู ทกุ คำ� จะตอ้ งถกู ตอ้ ง แนน่ อน และเปน็ ความจรงิ ทง้ั ในเรอื่ งราชการ
และเร่ืองส่วนตวั
(3) จงยนื หยดั ในเร่ืองทที่ ่านเชอ่ื ว่าถกู ต้อง
(4) จงยดึ ถอื เอาความซอื่ สตั ย,์ ความส�ำนกึ ในหนา้ ทกี่ ารงาน และหลกั ของ
ศลี ธรรมอนั ดงี ามให้อยู่เหนอื สิ่งอื่นใดท้ังหมด
9) ความพินจิ พเิ คราะห์
ความพนิ จิ พเิ คราะห์ คอื คณุ สมบตั ใิ นการใครค่ รวญโดยใชเ้ หตผุ ลตามหลกั
ตรรกวทิ ยาเพอ่ื ใหไ้ ด้มลู ความจรงิ และหนทางแกไ้ ขทน่ี ่าจะเป็นไปได้ เพอื่ น�ำมาใชใ้ นการตกลงใจ
ไดถ้ กู ตอ้ งเพอื่ เพม่ิ พนู ความพนิ จิ พเิ คราะหข์ องตนเองใหส้ งู ขนึ้ จะตอ้ งเปน็ ผเู้ พยี บพรอ้ มดว้ ย
วิชาทางเทคนคิ ให้มากทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะท�ำได้
เพ่ือเสรมิ สร้างให้เกิดความพินิจพิเคราะห์ จะต้องปฏิบัตดิ ังน้ี
(1) ฝึกการประมาณสถานการณ์อยู่เสมอ
(2) คาดหมายเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องตกลงใจอย่างไร
เมอ่ื ถงึ เวลาจะตอ้ งใชจ้ ะไดเ้ ตรยี มการไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
(3) หลกี เลย่ี งอยา่ ใหม้ กี ารตกลงใจชนดิ หนุ หนั พลนั แลน่
(4) ตปี ญั หาใหแ้ ตกโดยใชส้ ามญั สำ� นกึ
10) ความยตุ ิธรรม วิชาผู้นำ� 225
ความยุติธรรม คือ คุณสมบัติของการเป็นผู้ไม่ล�ำเอียงเข้าข้างใคร และ
มคี วามเสมอตน้ เสมอปลายในการใชอ้ ำ� นาจบงั คบั บญั ชา ความยตุ ธิ รรมหมายความรวมถงึ
การให้รางวัล ตลอดจนการลงโทษทัณฑ์แก่ผู้ท่ีกระท�ำความผิดในลักษณะต่าง ๆ ตาม
ควรแก่กรณี
ความโกรธและอารมณ์อน่ื ๆ ต้องไมเ่ ขา้ มาพวั พนั กบั เหตกุ ารณ์ในขณะนนั้
ต้องหลีกเล่ียงอย่าให้มีอคติใด ๆ ต่อเชื้อชาติหรือศาสนา ส่ิงท่ีจะท�ำลายขวัญของทหาร
ภายในหน่วยน้ัน ๆ ก็คือความไม่ยุติธรรมของผู้บังคับบัญชาและการเลือกท่ีรักมักท่ีชัง
ของผนู้ ำ� ทมี่ ตี อ่ บคุ คลบางคนหรอื บางพวกในการใหค้ วามยตุ ธิ รรม ทา่ นจะตอ้ งมคี วามเขา้ ใจ
ในพฤติกรรมของมนุษย์ จะต้องศึกษาการเรียนรู้บุคคลต่าง ๆ ว่าทำ� ไมบุคคลจำ� พวกหน่ึง
จงึ ตอ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยา่ งน้ี ในสภาวการณอ์ ยา่ งนใี้ นขณะทบี่ คุ คลอกี จำ� พวกหนง่ึ ตอ้ งประพฤติ
ปฏิบัติในทางท่ีแตกต่างกันออกไป ในสภาวะอย่างเดียวกันต้องท�ำการวิเคราะห์กรณีท่ี
เคยตกลงใจไปแลว้ และพจิ ารณาวา่ ทา่ นจะตอ้ งทำ� อะไรตอ่ ไป ทา่ นจะตอ้ งเปน็ ผตู้ ดั สนิ หรอื ไม่
นีค่ ือกรรมวธิ ที างใจส่วนบคุ คล ซ่งึ ไม่ควรนำ� ไปใช้ในการวจิ ารณ์การตกลงใจของผู้น�ำคนอ่นื
เพอื่ เสริมสร้างให้เกดิ ความยตุ ธิ รรมจะต้องปฏิบัตดิ งั นี้
(1) เม่ือใช้อ�ำนาจลงทัณฑ์ต้องมีความเท่ียงธรรม, คงเส้นคงวา, ปฏิบัติ
โดยทันทแี ละไม่เหน็ แก่หน้าบคุ คลใด
(2) พจิ ารณาโทษตามโทษานโุ ทษของแต่ละคน
(3) ลงทณั ฑ์เป็นรายบคุ คล, ให้สมเกยี รติ และด้วยความเข้าใจอันดี
(4) ส�ำรวจท่าทีทางใจของท่านเองเพื่อดูว่าจะยังมีอคติใด ๆ แอบแฝงอยู่
หรือไม่ ถ้ามจี งใช้ความอตุ สาหะขจดั อคตใิ ห้หมดไป
(5) วเิ คราะหร์ ายทถี่ กู ตดั สนิ ไปแล้ว โดยอาศยั ผ้นู �ำทมี่ ชี อ่ื เสยี งเปน็ ผ้ตู ดั สนิ
(6) อย่าลงโทษบคุ คลทั้งคณะเพราะความผิดของบคุ คลเพยี งคนเดียว
(7) ต้องซ่อื ตรงต่อตนเอง
(8) ต้องรู้จักคุณค่าของผู้น้อยด้วยการชมเชย หรือให้รางวัล อย่ารู้แต่
เพยี งว่าเพอ่ื จะลงทัณฑ์อย่างเดยี ว
(9) พยายามให้แต่ละคนเกิดความรู้สึกว่า การลงทัณฑ์เป็นเพียงโทษ
ชว่ั คราวเท่านน้ั แต่การปรบั ปรงุ ตัวให้ดีขนึ้ เป็นสง่ิ พงึ ประสงค์อนั ยาวนาน
(10) ไม่เลือกทร่ี ักมักทช่ี งั
226 วชิ าผ้นู �ำ 11) ความรอบรู้
ความรอบรู้ คอื ข่าวสารท่บี คุ คลหามาได้ รวมทงั้ ความรู้ในวชิ าชพี ของตน
ตลอดจนความเข้าอกเข้าใจในตวั ผู้ใต้บงั คบั บญั ชา ไม่มอี ะไรทจี่ ะดึงดดู ความเช่อื มนั่ และ
ความเช่ือถือในตัวผู้บังคับบัญชาได้เร็วเท่ากับความรอบรู้ท่ีผู้บังคับบัญชาแสดงออกมา
ผู้ที่รู้งานของตนย่อมสร้างความเชอ่ื มั่นให้กบั ตนเองได้ดเี ท่ากับท่ีคนอน่ื เชื่อมั่นตน การขาด
ความรู้นั้นเป็นสิง่ ซ่อนเร้นไม่มดิ ท่านจะตบตาผู้ใต้บงั คบั บญั ชาของท่านไม่ได้ คำ� ถามต่าง ๆ
ทที่ ่านไม่สามารถตอบได้กจ็ งยอมรับอย่างหน้าช่ืนว่าไม่ทราบ แล้วรบั เอาคำ� ถามน้นั ไปถาม
ผู้ที่ทราบ หรอื ผู้เก่ียวข้องโดยตรงแล้วมาตอบให้ได้
ความรอบรู้ของท่านไม่ควรจำ� กัดอยู่เพียงวิชาทหารเท่านั้น ข่าวสารท่ัวไป
ที่ควรทราบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ภายในประเทศและต่างประเทศ จะช่วยให้ท่าน
มีความรู้รอบตวั มากย่ิงขน้ึ
เพือ่ เสรมิ สร้างให้เกดิ ความรอบรู้ จะต้องปฏบิ ัตดิ ังน้ี
(1) จัดให้มีห้องสมุดส่วนตัวและจัดเร่ืองที่เกี่ยวข้องทางทหารไว้เป็น
ส่วนหนง่ึ ต่างหากโดยเฉพาะ
(2) ศึกษาหาความรู้จากคู่มือราชการสนามและข้อเขียน หรือบทความ
ท่ีเกี่ยวข้องทางทหารอื่น ๆ เช่น ระเบียบข้อบังคับ, ค�ำแนะน�ำการฝึก และการสงคราม
ทางทหารในอดตี
(3) อา่ นนติ ยสารของเหลา่ หรอื หนงั สอื อนื่ ๆ ทอ่ี อกในนามของกองทพั บก
(4) อ่านหนังสือพิมพ์รายวันและนิตยสารรายสัปดาห์ แล้วพยายามเลือก
เฟ้นเอาเฉพาะส่วนท่เี สนอข่าวอย่างถูกต้อง
(5) ฝึกนสิ ยั ให้ชอบสนทนาในเร่อื งเป็นงานเป็นการทมี่ สี าระ
(6) ประเมนิ คา่ ประสบการณข์ องตนเอง โดยเปรยี บเทยี บกบั ประสบการณ์
ของผู้อนื่
(7) จงเป็นคนตน่ื ตัว, รู้จกั ฟัง, รู้จกั สงั เกต และทำ� การค้นคว้าในเร่ืองทต่ี น
ยงั ไม่เข้าใจให้เข้าใจ
12) ความจงรกั ภักดี
ความจงรักภักดี คือ คุณสมบัติของบุคคลมีจิตใจเชื่อถือและยึดมั่นต่อ
ประเทศชาต,ิ ตอ่ กองทพั , ตอ่ หนว่ ย, ตอ่ ผบู้ งั คบั บญั ชา, ตอ่ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา และผเู้ กย่ี วขอ้ ง
อน่ื ๆ ถา้ มคี ณุ สมบตั ดิ งั กลา่ วนเี้ พยี งอยา่ งเดยี วสามารถทำ� ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาเกดิ ความมน่ั ใจ
ในตวั ท่าน และได้รบั ความนบั ถอื จากท่าน ตลอดจนผู้ใต้บงั คบั บญั ชาและผู้มสี ่วนเกย่ี วข้อง
ด้วย การปฏิบัติทุกอย่างของท่านจะเป็นผลสะท้อนให้เห็นความจงรักภักดีของท่านที่มีต่อ วิชาผู้นำ� 227
ผู้บังคบั บัญชาช้นั เหนอื
เพื่อเสริมสร้างให้เกดิ ความจงรกั ภกั ดี จะต้องปฏิบัติดังน้ี
(1) เมอ่ื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชากระทำ� ความผดิ ตอ้ งรบี หาทางปอ้ งกนั โดยรวดเรว็
(2) เมอื่ ทำ� การอบรมผใู้ ต้บงั คบั บญั ชา อยา่ น�ำเอาข้อบกพร่องเลก็ ๆ น้อย ๆ
อนั เป็นการต�ำหนิผู้บงั คบั บญั ชาช้ันเหนอื มาพูดให้ฟัง
(3) ฝกึ ทำ� งานใหไ้ ดท้ กุ อยา่ งจนสดุ ความสามารถและสนบั สนนุ ขอ้ ตกลงใจ
ของผู้บงั คบั บัญชาด้วยความเตม็ ใจ
(4) อย่านำ� เรือ่ งส่วนตวั ของผู้ใต้บงั คบั บัญชาไปเล่าให้คนอืน่ ฟัง
(5) จงยนื หยดั ต่อสู้เพอื่ ประเทศชาติ, เพอื่ กองทพั , เพอ่ื หน่วย, เพือ่ ผู้บังคับ
บญั ชา, เพอื่ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา และผมู้ สี ว่ นรว่ มอน่ื ๆ เมอ่ื เหน็ วา่ ถกู กลา่ วหาอยา่ งไมเ่ ปน็ ธรรม
(6) อย่าวิพากษ์วจิ ารณ์ผู้บงั คับบัญชาชั้นเหนือต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชา
(7) การถกแถลงปัญหาเก่ียวกับการบังคับบัญชานอกหน่วยของตนต้อง
พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบเสยี ก่อน
13) ความรจู้ ักกาลเทศะ
ความร้จู กั กาลเทศะ คอื ความสามารถทจ่ี ะเข้ากบั บคุ คลอน่ื ได้ โดยไม่กอ่ ให้
เกิดศตั รู หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในทางมนุษยสมั พนั ธ์ กาลเทศะ คอื ความสามารถทจ่ี ะพูด
หรือท�ำในสิ่งหน่ึงส่ิงใดได้ถูกต้องตามเวลาอันควร กาลเทศะ หมายความรวมถึง การท�ำ
ความเข้าใจในธรรมชาตขิ องมนษุ ย์และการพิจารณาถงึ ความรู้สกึ นกึ คดิ ของผู้อ่นื
กาลเทศะ มีความส�ำคัญต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลท้ังมวล
การวิพากษ์วิจารณ์จะต้องแจ่มแจ้งไม่มีเคลือบแคลงและต้องเป็นไปในทางสร้างสรรค์
จะต้องไม่เป็นการบน่ั ทอนกำ� ลงั ใจหรอื บบี บงั คบั ให้ผู้ใต้บงั คบั บญั ชามจี ติ ใจหนั เหออกนอกลู่
นอกทาง ผู้บงั คับบัญชาทกุ คนต้องการผู้รู้จักกาลเทศะเม่อื ต้องให้ค�ำแนะน�ำแก่ผู้มาหาด้วย
เรอ่ื งเดอื ดรอ้ นสว่ นตวั จงอยา่ บอกปดั ทจ่ี ะไมแ่ กป้ ญั หาใหเ้ พราะบทบาทของทา่ นตอนนเ้ี ทา่ กบั
เปน็ ทปี่ รกึ ษาคนหนงึ่ ของเขา บางครงั้ การรจู้ กั กาลเทศะเปน็ อยา่ งดจี ะท�ำใหง้ า่ ยตอ่ การรบั ฟงั
และสนใจที่จะท�ำความเข้าใจต่อปัญหาท�ำให้ทหารรู้จักวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเอง ท่านอาจ
เหน็ ด้วยกบั วธิ แี ก้ปัญหาของเขา หรอื แนะน�ำหนทางปฏิบัติเป็นอย่างอน่ื ในทางที่ควร
มารยาท เป็นส่วนหนึ่งของกาลเทศะ ซึ่งท่านไม่อาจละเลยได้เม่ือต้องมี
ความสมั พนั ธก์ บั ผใู้ หญห่ รอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา การทผี่ อู้ นื่ มมี ารยาทตอ่ เราแตเ่ ราไมม่ มี ารยาท
228 วชิ าผ้นู �ำ ตอบเท่าท่ีควรแสดงว่าเป็นผู้ท่ีเย่อหย่ิงหรือขาดความสนใจ นายทหารท่ีขาดประสบการณ์
หรือนายทหารชั้นประทวนบางคนมีความรู้สึกว่าการแสดงความสุภาพอ่อนโยนในการ
ปกครองทหาร เป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ หรือเกิดผลเสียท�ำให้มีคนประจบสอพลอ
มากขน้ึ นนั้ ไมเ่ ปน็ ความจรงิ เสมอไปมารยาทกอ่ กำ� เนดิ มาจากการแสดงออกทางจติ ใจ ออกมา
ในรูปของค�ำพูดและการกระท�ำผู้น�ำบางคนอาจออกค�ำส่ังอย่างกระโชกโฮกฮาก บางคน
อาจออกค�ำส่ังด้วยน�้ำเสียงที่อ่อนโยนมีมารยาท เพื่อหวังที่จะให้เกิดความเช่ือฟังแต่ละวิธี
อาจได้รับความเชื่อฟังเหมือน ๆ กัน แต่วิธีหลังอาจได้รับความเชื่อฟังอย่างเต็มอกเต็มใจ
และให้ความร่วมมอื ท่ดี กี ว่า
ในเวลาคับขันอาจต้องออกคำ� ส่ังยิงอย่างเร่งด่วน เพ่ือสงวนเวลาและไม่มี
ความจำ� เปน็ ทจ่ี ะต้องใหเ้ กดิ ความเชอ่ื ฟงั ตามทม่ี ่งุ หวงั บางครง้ั อาจมคี วามจำ� เป็นในการใช้
เสยี งตวาดแทนการใชเ้ สยี งทำ� นองปลอบโยน แมจ้ ะเปน็ การแสดงทไ่ี รม้ ารยาทอยา่ งไมม่ เี หตผุ ล
โดยปกตคิ ำ� พดู ทมี่ นี ำ�้ เสยี งหนกั แนน่ , สภุ าพ และมมี ารยาท มกั จะไดร้ บั การตอบสนองในทนั ที
ดังนั้นกาลเทศะและมารยาทจงึ ต้องสัมพันธ์กนั อย่างใกล้ชดิ กบั อากัปกริ ยิ าของจติ ใจเท่า ๆ
กบั ลักษณะท่าทแี ละภาษา
เพือ่ เสรมิ สร้างให้เกดิ ความรู้จกั กาลเทศะ จะต้องปฏิบตั ดิ ังน้ี
(1) จงเป็นผู้มมี ารยาทและมจี ิตใจร่าเรงิ เบิกบาน
(2) จงใส่ใจพจิ ารณาในตวั บุคคลอืน่
(3) ศึกษาแนวทางปฏบิ ตั ิของนายทหารทีป่ ระสบผลส�ำเร็จ และมชี ่ือเสียง
ในทางมนษุ ยสัมพันธ์
(4) ศึกษาบุคลิกภาพของคนแต่ละประเภทที่แตกต่างกันเพื่อให้ได้มา
ซึ่งความรู้เก่ยี วกบั ธรรมชาติ และพฤตกิ รรมของมนษุ ย์
(5) เสรมิ สร้างนสิ ยั ในการให้ความร่วมมือให้มีอยู่ในจิตใจเท่า ๆ กับลงมอื
ปฏบิ ัติจริง
(6) มีจิตใจเข้มแขง็ ทรหดอดทน
(7) ปฏิบตั ิต่อผู้อน่ื เช่นเดยี วกบั ทตี่ นต้องการให้ผู้อ่นื ปฏิบัตติ ่อตน
(8) ต้องรู้ว่าเม่ือใดควรจะปรากฏตัว ท้ังเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
ต้องคาดคดิ ว่าการปรากฏตวั หรือไม่ปรากฏตัวจะท�ำให้ตนเองและผู้อ่ืนเดือดร้อนหรือไม่
14) ความไมเ่ ห็นแก่ตวั
ความไมเ่ หน็ แกต่ วั คอื การทไ่ี มฉ่ วยโอกาสตกั ตวงความสขุ หรอื ความกา้ วหนา้
ใหก้ บั ตนเองโดยทำ� ใหผ้ อู้ น่ื เดอื ดรอ้ นหรอื เสยี ประโยชน์ แตก่ ลบั เปน็ ฝา่ ยหาความสะดวกสบาย
ความพอใจ และความบนั เทงิ เริงรมย์ต่าง ๆ ให้แก่ผู้ใต้บงั คบั บญั ชาเป็นผู้ได้รบั ก่อนตน
ถ้าหน่วยของตนได้รับการยกย่องว่าท�ำงานดีเด่น ก็น�ำมาสรรเสริญกับ วิชาผู้นำ� 229
ผู้ใต้บังคับบัญชาอีกทอดหนึ่งว่าเป็นผู้มีส่วนช่วยท�ำให้สิ่งต่าง ๆ เป็นผลส�ำเร็จขึ้นมา
ไม่มีผู้ใต้บังคับบัญชาคนใดจะรักนับถือผู้บังคับบัญชาท่ีชอบฉกฉวยประโยชน์เป็นของตน
เพียงคนเดียว เม่ือหน่วยมีความดีความชอบ แต่พอมีข้อบกพร่องก็ปัดมาให้เป็นความผิด
ของผู้ใต้บงั คบั บัญชา โดยตนเองไม่ยอมรับผดิ ร่วมด้วย
การเป็นผู้น�ำทแี่ ท้จรงิ จะต้องเป็นผู้ทร่ี ่วมเป็นร่วมตายกบั ผู้ใต้บังคับบัญชา
ทุกอย่างไม่ว่าจะตกอยู่ในอันตรายหรือประสบความยากลำ� บากอย่างไรก็ต้องอยู่เคียงบ่า
เคยี งไหล่กบั ผู้ใต้บงั คับบญั ชาเสมอ
เพื่อเสรมิ สร้างให้เกดิ ความไม่เหน็ แก่ตัว จะต้องปฏิบตั ดิ ังน้ี
(1) หลกี เลยี่ งการใชต้ ำ� แหนง่ หนา้ ท่ี หรอื ชนั้ ยศ เพอ่ื เอาเปรยี บผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา
ในเรื่องความปลอดภยั และความสขุ สบายต่าง ๆ
(2) รบั พจิ ารณาขอ้ เดอื ดรอ้ น หรอื ปญั หาตา่ ง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา
และช่วยขจดั ปัญหาต่าง ๆ เหล่าน้นั เท่าท่จี ะท�ำได้
(3) ให้รางวัล หรือค�ำชมเชยแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาท่ีปฏิบัติงานดีเด่น
อย่างสม่�ำเสมอ
ขอ้ 3 การฝึกปฏิบัตกิ ารท�ำ หน้าท่คี รูทหาร
สามารถแบง่ ออกได้ 8 ขน้ั ดงั นี้
1) บอกเรอื่ งทจี่ ะทำ� การฝกึ
2) บอกความมงุ่ หมาย
3) บอกประโยชน์
4) ลกั ษณะคำ� บอก
5) แสดงตวั อยา่ งทถ่ี กู ตอ้ ง
6) แสดงตวั อยา่ งทถ่ี กู ตอ้ งพรอ้ มคำ� อธบิ าย
7) สรปุ เนน้ ยำ�้
8) แยกฝกึ
ตวั อยา่ งการฝกึ ปฏบิ ตั กิ ารทำ� หนา้ ทค่ี รทู หาร 8 ขนั้
1) บอกเรอื่ งทจี่ ะทำ� การฝกึ
สวสั ดคี รบั นกั ศกึ ษาวชิ าทหารทกุ นาย วนั นเ้ี ราจะทำ� การฝกึ บคุ คลทา่ มอื เปลา่
สำ� หรบั ชวั่ โมงนเี้ ราจะทำ� การฝกึ “ทา่ ตรง”
230 วชิ าผ้นู �ำ 2) บอกความมงุ่ หมาย
เพอื่ ใหป้ ฏบิ ตั ไิ ดถ้ กู ตอ้ งตามแบบฝกึ และเปน็ ระเบยี บแบบแผนเดยี วกนั
3) บอกประโยชน์
ท่าตรงเป็นท่าพ้ืนฐานของทุกท่า ก่อนจะปฏิบัติท่าใดก็ตามจะต้องเร่ิมจาก
ท่าตรงเสมอ และใช้เป็นท่าแสดงความเคารพเมื่ออยู่ในแถว หรือกรณีที่อยู่นอกแถว
แตไ่ มส่ วมหมวก
4) ลกั ษณะคำ� บอก
ลกั ษณะคำ� บอกเปน็ คำ� บอก “แบง่ ” ใชค้ ำ� บอก “แถวตรง”
5) แสดงตวั อยา่ งทถ่ี กู ตอ้ ง
ตอ่ ไปจะใหด้ ตู วั อยา่ งทถี่ กู ตอ้ งจากผชู้ ว่ ยครู (ผชู้ ว่ ยครู “แถวตรง”) นคี่ อื ตวั อยา่ ง
ทถ่ี กู ตอ้ งจากผชู้ ว่ ยครู
6) แสดงตวั อยา่ งทถี่ กู ตอ้ งพรอ้ มคำ� อธบิ าย
ต่อไปจะให้ดูตัวอย่างที่ถูกต้องประกอบค�ำอธิบาย (ผู้ช่วยครู “แถวตรง”)
เมอ่ื ไดย้ นิ คำ� บอก “แถวตรง” ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั ยิ นื ใหส้ น้ เทา้ ทง้ั สองขา้ งชดิ และอยใู่ นแนวเดยี วกนั
ปลายเทา้ ทงั้ สองแยกออกไปทางขา้ งขา้ งละเทา่ ๆ กนั จนปลายเทา้ หา่ งกนั ประมาณหนงึ่ คบื
ปลายเท้าเฉียงท�ำมุมประมาณ 45 องศา เข่าทั้งสองข้างเหยียดตรงและบีบเข่าเข้าหากัน
ลำ� ตวั ตง้ั ตรง อกผาย ไหลผ่ งึ่ แขนทงั้ สองขา้ งอยขู่ า้ งลำ� ตวั ในลกั ษณะงอขอ้ ศอกจนเกดิ เปน็
ช่องว่างห่างจากล�ำตัวประมาณหน่ึงฝ่ามือ และพลิกข้อศอกไปข้างหน้าเล็กน้อยจนไหล่
ทง้ั สองขา้ งตงึ และเสมอกนั นว้ิ มอื ทงั้ หา้ เหยยี ดตรงเรยี งชดิ ตดิ กนั และใหน้ ว้ิ กลางแตะทกี่ ง่ึ กลาง
ขาทอ่ นบน หรอื ประมาณแนวตะเขบ็ กางเกง นำ้� หนกั ตวั อยบู่ นเทา้ ทงั้ สองขา้ ง
7) สรปุ เนน้ ยำ�้
ขอ้ เนน้ ยำ้� ของทา่ ตรง นวิ้ มอื ทงั้ หา้ เหยยี ดตรงเรยี งชดิ ตดิ กนั และใหน้ ว้ิ กลางแตะ
ทกี่ งึ่ กลางขาทอ่ นบนหรอื ประมาณแนวตะเขบ็ กางเกง มนี กั ศกึ ษาวชิ าทหารคนใดจะซกั ถาม
ถา้ ไมม่ ลี ำ� ดบั ตอ่ ไปจะใหแ้ ยกฝกึ
8) แยกฝกึ
ใหน้ กั ศกึ ษาวชิ าทหารแยกเพอื่ ทำ� การฝกึ