The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

106 เนื้อหา ตำรา วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ปี1 2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Patiparn Potardee, 2020-09-16 07:28:28

5. วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ปี1 2563

106 เนื้อหา ตำรา วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ปี1 2563

บทท่ี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 289

ถนิ่ กำ� เนดิ ของชนชาตไิ ทย

กล่าวท่ัวไป

ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย เคยได้รับการจัดพิมพ์เผยแพร่
ให้เป็นคู่มือในการสอนอบรมทหารเม่ือ พ.ศ. 2512 โดยในคร้ังน้ันกองทัพบก
ได้น�ำงานเขียนของ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ เรื่อง “งานค้นคว้าเร่ืองชนชาติไทย”
ซ่ึงกรมประมวลข่าวกลางได้พิมพ์ไว้ใช้ในราชการเม่ือ พ.ศ. 2504 มาจัดพิมพ์เผยแพร่
เพื่อให้เป็นคู่มืออบรมทหาร และเป็นการเพ่ิมพูนความรู้ในด้านประวัติศาสตร์แก่ทหาร
ทั่วไป งานเขียนของ พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ (ขณะด�ำรงยศพันเอก) ดังกล่าวนี้
นับเป็นความพยายามค้นคว้าเร่ืองถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทย โดยท่านได้ศึกษางาน
ค้นคว้าของนักประวัติศาสตร์รุ่นเก่าทั้งชาวต่างประเทศและชาวไทย และได้ให้ข้อสรุป
ถงึ ถ่ินกำ� เนิดของคนไทยว่าอยู่ในดนิ แดน ซงึ่ เป็นมณฑลเสฉวน ฮุเปอันฮยุ และเกยี งซี
ตอนกลางประเทศจีนปัจจุบัน ก่อนจีนอพยพเข้ามา แล้วค่อย ๆ อพยพมาสู่มณฑล
ยูนนาน และแหลมอินโดจีน งานเขียนดังกล่าวนี้ได้รับการสืบทอดโดยนักวิชาการ
รุ่นปัจจบุ นั บางท่าน ซึ่งเชื่อว่าถ่นิ ก�ำเนดิ ของคนไทยอยู่ในบริเวณมณฑลเสฉวน อย่างไร
ก็ตาม ปัจจุบันก็ได้ปรากฏถึงความรู้แนวใหม่อื่น ๆ ที่มีผู้เสนอขึ้นมาในระยะหลัง
เราจึงสมควรที่จะได้ศึกษาประกอบกันทั้งแนวความคิดเดิมและแนวความคิดใหม่
เก่ียวกับถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทย เพ่ือให้เห็นพัฒนาการของแนวความคิดต้ังแต่อดีต
จนถงึ ยคุ ปจั จบุ นั ซงึ่ จะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ตอ่ ผศู้ กึ ษาเรอื่ งราวเกย่ี วกบั อดตี ยคุ ปจั จบุ นั
ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อผู้ศึกษาเร่ืองราวเก่ียวกับอดีตของคนไทย อีกท้ัง
จะสามารถใช้เป็นคู่มือในการอบรมเยาวชนไทยท้ังหลายเพ่ือเพิ่มพูนความรู้ในด้าน
ประวตั ิศาสตร์ให้กว้างขวางย่งิ ข้ึน

290 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย ความหมายของค�ำ ว่า “ชนชาต”ิ

ค�ำว่า “ชนชาติ” หมายถึง กลุ่มชนท่ีสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน
มีรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ และวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่คล้ายคลึงกัน การรวมตัว
เป็น “ชนชาต”ิ ได้ จะต้องมกี ารอยู่ร่วมกนั ของกลุ่มชน เป็นเวลานานพอสมควร

ความหมายของค�ำ ว่า “ชนชาติไทย”

คำ� วา่ “ชนชาตไิ ทย (ชนชาตไิ ท)” อาจสรปุ ความหมายอยา่ งสนั้ ๆ ไดว้ า่ หมายถงึ
กลุ่มชนท่ีมีวัฒนธรรมร่วม พูดภาษาตระกูลไท-ไต ซ่ึงนอกจากมีท่ีตั้งถ่ินฐานอยู่ในอาณา
บริเวณทเ่ี ป็นประเทศไทยแล้ว ยังรวมถงึ กลุ่มชนทีพ่ ดู ภาษาตระกูลไท-ไต นอกประเทศด้วย
ดังเช่น กลุ่มชนชาตไิ ทยทางตอนใต้ของจนี ทางเหนอื ของอนิ เดยี ทางตะวันออกเฉยี งเหนอื
ของพม่าบางส่วน ทางตะวนั ตกของเวยี ดนาม และประเทศลาว

ค�ำว่า “ไท” หรือ “ได” (Tai) มีผู้ให้ค�ำนิยามว่า หมายถึง กลุ่มชาติพันธ์ุ วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 291
(Ethnic Group) ท่ีพูดภาษาตระกูลไท หรือ ไต และอาจมีลักษณะของวัฒนธรรมอื่น ๆ
บางอย่างรวมกนั

คำ� วา่ “ชาตไิ ทย” หรอื “คนชาตไิ ทย” เรม่ิ มกี ารน�ำมาเรยี กครงั้ แรกใน พ.ศ. 2451
เมื่อคร้ังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับจากประพาสยุโรป แล้ว
เสด็จตรงไปยังเมืองจันทบุรี เพราะเมืองนี้ถูกฝร่ังเศสยึดไปเป็นประกันในคราวเกิด
วิกฤตกิ ารณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) และไทยเพ่ิงจะได้รบั คืนมา ในโอกาสนี้ทรงกล่าวแสดง
ความยนิ ดตี ้อนรับประชาชนลาว “จนั ทบรู ” ที่ได้กลับมาเป็น “คนชาติไทย”

แนวความคิดเกยี่ วกับถิน่ ก�ำ เนิดของชนชาติไทย

การศึกษาเร่ืองความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น เท่ากับเป็นการศึกษาถึงอดีต
ของคนไทยนั่นเอง นักวิชาการไทยได้เร่ิมต้นศึกษาอย่างจริงจังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยได้รับแรงจูงใจส�ำคัญในการศึกษาอดีต
ของคนไทยจากการเข้ามาของบรรดาชาวตะวันตก ซ่ึงในเวลาน้ันเป็นช่วงเวลาที่ประเทศ
มหาอ�ำนาจตะวันตกเข้ามาแสวงหาดินแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับ
นำ� อทิ ธพิ ลอารยธรรมจากโลกตะวนั ตกเขา้ มาดว้ ย ทำ� ใหใ้ นหมบู่ า้ นปญั ญาชนชนั้ สงู ของไทย
ได้เรม่ิ เหน็ ความส�ำคญั ของการเรยี นรู้อดตี นอกจากน้ี การปฏิรูปประเทศและการสถาปนา
รฐั ชาตขิ นึ้ ไดส้ รา้ งความจำ� เปน็ ในการศกึ ษาคน้ ควา้ เพอื่ อธบิ ายความเปน็ มาของคนชาตไิ ทย
เพอ่ื สรา้ งเอกภาพความเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ของคนในสงั คม และสรา้ งพลงั ความเปน็ ชาติ
เพื่อเผชิญหน้ากับลัทธิล่าอาณานิคมของมหาอ�ำนาจตะวันตก นอกจากน้ี ลักษณะของ
การศกึ ษาเรอ่ื งราวในอดตี ของไทยกไ็ ดเ้ ปลย่ี นแปลงไปดว้ ย มกี ารใชห้ ลกั ฐานหลายประเภท
ประกอบการศกึ ษาเรอ่ื งราวในอดตี เชน่ มกี ารใชห้ ลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ทางโบราณคดี
ทางภมู ศิ าสตร์ และสงั คมวทิ ยา ความตน่ื ตวั ในการศกึ ษาเรอื่ งราวในอดตี ของไทยในเวลานน้ั
ท�ำให้เกิดความสนใจเร่ืองถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทย โดยมีการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเร่ือง
ของชนชาติไทยจากงานเขียน หรือรายงานการเดินทางของชาวตะวันตกท่ีได้ไปส�ำรวจ
และมีการค้นคว้าเอกสารของจีน บุคคลท่ีสนใจเรื่องท่ีมาของชนชาติไทย และมีอิทธิพล
ต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมากท่ีสุด คือ พลเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ

292 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย แนวความคิดเกี่ยวกับถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทย มีนักประวัติศาสตร์และ
นักวิชาการหลายสาขาท้ังไทยและต่างประเทศได้เสนอแนวความคิดหลายทาง โดยศึกษา
หลักฐานต่าง ๆ ซ่งึ ทำ� ให้เราได้มองเหน็ พัฒนาการของแนวความคดิ เก่ยี วกบั ถิน่ ก�ำเนดิ ของ
ชนชาตไิ ทยได้อย่างกว้าง ๆ 5 แนวความคดิ ด้วยกัน ทงั้ น้ี อาจจำ� แนกเป็นแนวความคดิ เดิม
2 แนวความคดิ และแนวความคดิ ใหม่ 3 แนวความคดิ ดังนี้

แนวความคดิ เดมิ :

แนวความคิดท่ีว่า ถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต
ตอนกลางของทวีปเอเชยี

ผู้เป็นต้นคดิ ในเรือ่ งนี้ คอื หมอสอนศาสนาชาวอเมรกิ นั ชอื่ วิลเลยี ม คลิฟตัน
ด็อดด์ (William Clifton Dodd) ซง่ึ มาทำ� งานเผยแผ่ครสิ ต์ศาสนาให้แก่คนไทยในประเทศไทย
และมาประจ�ำอยู่ที่จังหวัดเชียงรายเป็นเวลา 32 ปี (พ.ศ. 2429 - 2461) หมอด็อดด์
เป็นผู้ท่ีสนใจเร่ืองราวเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทยมาก ในระหว่างที่มาประจำ� อยู่
ที่เชียงรายได้เดินทางไปส�ำรวจสภาพความเป็นอยู่ตลอดจนภาษาและวัฒนธรรมของคน
ในเมอื งเชยี งลอ้ เชยี งตงุ เวยี ดนามเหนอื กวางส่ี และไกวเจา เคยเดนิ ทางผา่ นมณฑลยนู นาน
ไปเมอื งกวางต้งุ โดยใช้เวลาเดนิ ทางถงึ 6 เดอื นใน พ.ศ. 2461 ไดไ้ ปประจำ� อย่ทู เ่ี มอื งเชยี งร้งุ
และได้ส�ำรวจแคว้นยูนนานภาคเหนือเป็นเวลา 3 เดือน หมอด็อดด์ได้พยายามศึกษา
เรื่องชนชาติไทยด้วยความอุตสาหะและบันทึกประสบการณ์ที่ได้พบเห็นจากการเดินทาง
ไปยงั ถนิ่ ตา่ ง ๆ ไวใ้ นหนงั สอื ชอื่ The Tai Race : The Elder Brother of the Chinese ซง่ึ ภายหลงั
หลวงนิแพทย์นิติสรรค์น�ำมาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยให้ชื่อว่า “ชนชาติไทย”
หมอด็อดด์แสดงความเห็นไว้ในงานเขียนดังกล่าวว่าไทยเป็นเช้ือสายมองโกลและเป็นชาติ
ทเ่ี กา่ แกก่ วา่ ฮบิ รู และจนี ซงึ่ เรยี กกนั วา่ อา้ ยลาว หรอื ตา้ มงุ รวมทง้ั ไทยยงั เปน็ เจา้ ของถน่ิ เดมิ
ของจนี มากอ่ นจนี ตง้ั แต่ 2,200 ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ฉะนน้ั จงึ ถอื เปน็ พอ่ี า้ ยของจนี ครน้ั ตอ่ มา
คนไทยได้เคลอ่ื นย้ายเร่ือย ๆ จากทางเหนอื เข้าแดนจนี จากตอนกลางของจนี มาสู่ตอนใต้
เขา้ สอู่ นิ โดจนี ซงึ่ ในบรเิ วณตอนใตแ้ มน่ ำ�้ แยงซเี กยี งนนั้ หมอดอ็ ดด์ ไดเ้ ดนิ ทางไปสำ� รวจมาแลว้
ทั้งส้ิน แต่ในส่วนที่นอกเหนือส�ำรวจนั้นก็ได้อาศัยความคล้ายคลึงทางภาษา เป็นเหตุผล
สนับสนุน ส่วนนักวิชาการไทยคนส�ำคัญที่เป็นผู้สืบทอดต่อความคิดของหมอด็อดด์ คือ
ขุนวิจิตรมาตรา (รองอ�ำมาตย์โท สง่า กาญจนาคพันธุ์) ผู้แต่งหนังสือเรื่อง “หลักไทย”

อธิบายว่าถ่ินเดิมของชนชาติไทยอยู่ทางเทือกเขาอัลไต ซึ่งเป็นบ่อเกิดของพวกมองโกล วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 293
ด้วยกัน ภายหลังอพยพมาตั้งถ่ินฐานบริเวณลุ่มแม่น�้ำฮวงโห (แม่น้�ำเหลือง) และแม่น�้ำ
แยงซีเกียง ตั้งอาณาจักรของตนช่ืออาณาจักรอ้ายลาว มีนครลุง นครปา และนครเง้ียว
เป็นราชธานี เมื่อจีนอพยพมาจากทะเลสาบคัสเปียน ก็ได้พบไทยเป็นชาติท่ียิ่งใหญ่แล้ว
แต่ในราว 300 ปีก่อนพทุ ธศกั ราช ไทยเรมิ่ ถกู จนี รกุ รานจนต้องถอยร่นลงมาทางใต้

แนวความคิดดังกล่าวน้ีได้มีอิทธิพลต่อแนวความคิดของนักประวัติศาสตร์
รุ่นถัดมา โดยมีความเชื่อว่าคนไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต (มองโกเลียปัจจุบัน) แต่ใน
ปัจจุบันได้มีข้อพิสูจน์ที่หักล้างแนวคิดนี้ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และ
ชาตพิ นั ธว์ุ ทิ ยา กลา่ วคอื บรเิ วณเทอื กเขาอลั ไต เปน็ พน้ื ทท่ี หี่ า่ งไกลซง่ึ มภี มู ปิ ระเทศทรุ กนั ดาร
ภมู อิ ากาศแหง้ แลง้ ไมเ่ หมาะแกก่ ารตง้ั ถนิ่ ฐาน และผลการสำ� รวจทรุ กนั ดาร ภมู อิ ากาศแหง้ แลง้
ไมเ่ หมาะแกก่ ารตงั้ ถนิ่ ฐาน และผลการสำ� รวจขดุ คน้ หลมุ ฝงั ศพโบราณบรเิ วณเทอื กเขาอลั ไต
โดยนกั โบราณคดชี าวรสั เซยี แสดงถงึ หลกั ฐานทช่ี ใี้ หเ้ หน็ วา่ ดนิ แดนแถบนใ้ี นอดตี เปน็ ถน่ิ ทอ่ี ยู่
ของพวกซเี ธียน (Seythians) ซ่ึงเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในแถบยเู รเซีย (Eurasia) เมื่อราว 2,000 ปี
มาแล้ว และเป็นกลุ่มชนท่มี คี วามสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มกรกี เปอร์เซีย และจีน นอกจากนี้
ที่ว่าไทยเป็นเชื้อสายมองโกลน้ัน ก็มีข้อโต้แย้งท่ีว่ารากศัพท์ภาษาไทยกับภาษามองโกล
มคี วามแตกตา่ งกนั หากชนชาติไทยมีถ่ินก�ำเนิดอยู่ทางแถบภูเขาอัลไต น่าจะมีรากศัพท์
ภาษาท่มี ีส่วนคล้ายกนั บ้าง

แนวความคิดท่ีว่า ถิ่นก�ำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณมณฑลเสฉวนแล้ว
เคล่ือนย้ายลงสู่มณฑลยูนนานก่อต้ังอาณาจักรน่านเจ้า ซ่ึงปัจจุบันคือบริเวณท่ีเป็น
เมืองต้าหล่ี หรือตาลฟี ใู นมณฑลยูนนาน

นกั ภาษาศาสตรแ์ หง่ มหาวทิ ยาลยั ลอนดอน ประเทศองั กฤษ ชอื่ แตร์ รอี อง เดอ
ลา คเู ปอร์ (Terrien de la Couperie) ได้ค้นคว้าหลกั ฐานจนี และพิจารณาความคล้ายคลึง
ทางภาษาของผู้คนในจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สรุปว่า ชนชาติไทยเคยตั้งถิ่นฐาน
เป็นอาณาจักรโบราณอยู่ในดินแดนจีนมาก่อนจีน คือ ราว 2,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช
โดยชนชาติไทยได้รับการกล่าวถึงในรายงานการส�ำรวจภูมิประเทศจีนในสมัยพระเจ้ายู้
ซง่ึ จนี เรยี กชนชาตไิ ทยวา่ มงุ หรอื ตา้ มงุ ในจดหมายเหตจุ นี ไดก้ ลา่ วถงึ ถน่ิ ทอี่ ยขู่ องชนชาตไิ ทย
ว่าอยู่ในท่ีเป็นมณฑลเสฉวนปัจจุบัน ข้อสันนิษฐานของลา คูเปอร์ เป็นท่ีสนใจของ
นกั วชิ าการไทยมาก เช่น งานของสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ

294 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย เรอ่ื ง “แสดงบรรยายพงศาวดารสยาม” และ “ลกั ษณะการปกครองประเทศสยามแหง่ โบราณ”
ทรงสรปุ ไวว้ า่ ดนิ แดนแถบประเทศไทยปจั จบุ นั แตเ่ ดมิ เปน็ ถนิ่ ทอี่ ยขู่ องพวกละวา้ มอญ เขมร
ส่วนคนไทยอยู่แถบทเิ บตต่อกบั เขตแดนจนี และแยกย้ายกันอยู่ตามทศิ ต่าง ๆ ของยนู นาน
ทางทศิ ตะวนั ตกของยนู นาน คอื เงยี้ ว และฉาน พวกทอี่ ยทู่ างทศิ ใตข้ องยนู นาน คอื สบิ สองจไุ ท
ทางตอนล่างของยูนนาน คือ ล้านนาและล้านช้าง นอกจากน้ี นักประวัติศาสตร์บางท่าน
กล่าวถึงถิ่นก�ำเนิดเดิมของชนชาติไทยว่าจดหมายเหตุของจีนเม่ือ 300 ปีก่อนพุทธศักราช
กล่าวถึงชนชาติไทยว่า เม่ือถูกจีนรุกราน จึงอพยพไปทางลุ่มน�้ำแยงซีเข้าไปตั้งหลักแหล่ง
ในยูนนาน และได้ต้ังอาณาจักรน่านเจ้า โดยมีตาลีฟูเป็นเมืองหลวง ยังมีงานประเภท
การตคี วามจากหลกั ฐานจนี เช่น งานของปาร์เกอร์ (E.H. Parker) ซึง่ เคยเป็นกงสุลอังกฤษ
ประจำ� เกาะไหหลำ� (ไหหลาน) ในประเทศจนี ไดเ้ ขยี นบทความเรอื่ งนา่ นเจา้ พมิ พเ์ ผยแพรเ่ มอ่ื ปี
พ.ศ. 2437 โดยอาศยั ตำ� นานของจนี ฉบบั ของยางเชน (Yang Shen) ซง่ึ เขยี นขนึ้ เมอ่ื พ.ศ. 2093
อนั เปน็ ปที นี่ า่ นเจา้ สญู สนิ้ ไปแลว้ เกอื บสามรอ้ ยปี บทความชน้ิ นรี้ ะบถุ งึ อาณาจกั รนา่ นเจา้ วา่
เป็นอาณาจักรของคนไทย โดยเฉพาะสมัยราชวงศ์สีนุโลถือว่าเป็นราชวงศ์ไทยแท้ และ
คนไทยท่ีน่านเจ้าก็ถือพวกที่ถูกจีนกดดันให้ถอยร่นลงไปทางใต้ นอกจากนี้ ยอร์ช เซเดส์
(George Coedes) ชาวฝร่ังเศสท่ีมาอยู่เมืองไทยมีความเห็นว่าถ่ินก�ำเนิดของชนชาติไทย
น่าจะอยู่ทม่ี ณฑลยนู นานและได้ตง้ั อาณาจกั รน่านเจ้าขน้ึ เมอ่ื ประมาณปีพทุ ธศตวรรษท่ี 13
อาณาจักรน่านเจ้าด�ำรงเอกราชและแผ่อิทธิพลอยู่บริเวณตอนใต้ของจีน จนกระท่ังถึง
พทุ ธศตวรรษท่ี 18 จงึ ถกู จนี สมยั ราชวงศม์ องโกลรกุ ราน ชาวไทยจงึ อพยพลงทางใตเ้ รอ่ื ยมา

แนวความคดิ ทเ่ี ชอ่ื วา่ ถนิ่ เดมิ ของไทยอยบู่ รเิ วณมณฑลเสฉวนในปจั จบุ นั ไมไ่ ดร้ บั
การยอมรับ เนอื่ งจากมขี ้อพิสูจน์หลายประการที่หกั ล้างแนวความคิดน้ี ได้แก่ การสำ� รวจ
ลกั ษณะทางดา้ นเชอื้ ชาติ ลกั ษณะเผา่ พนั ธค์ุ วามคลา้ ยคลงึ กนั ทางโครงรา่ ง รปู พรรณสณั ฐาน
และการส�ำรวจทางวัฒนธรรม อันได้แก่ การสำ� รวจและศึกษาถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่
อาชพี ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ตลอดจนลักษณะของภาษาทใี่ ช้ของผู้คนในแถบดังกล่าว
เปรียบเทียบกับคนไทยปัจจุบัน รวมไปถึงการตรวจสอบจากหลักฐานจดหมายเหตุจีน
เป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้แนวความคิดดังกล่าวไม่น่าเป็นไปได้ และจากเอกสารจ�ำนวนมาก
ของจีนที่กล่าวถึงเรื่องราวกลุ่มชนในมณฑลยูนนาน เช่น บันทึกประวัติศาสตร์ “สื่อจ้ี”
ของ ซือหม่าเฉียนประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่น “ฮ่ันซู” ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถัง “ถังซู”
ประวัติศาสตร์ชนชาติส่วนน้อยภาคใต้ “หนานหมานจ้วน” ต่างให้ข้อมูลที่สอดคล้อง

ในแนวทางเดียวกันว่า น่านเจ้าไม่ใช่อาณาจักรของคนไทยหรือเป็นดินแดนท่ีมีคนไทย วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 295
ปกครอง นอกจากนี้ ยังไม่ปรากฏเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีนฉบับใดที่กล่าวถึง
การอพยพของคนไทยลงมาสู่ทางตอนใต้ หลังจากที่กษัตริย์หยวนส่ีจู่ หรือกุบไลข่าน
ตเี มอื งตา้ หล่ี ราชธานขี องอาณาจกั รนา่ นเจา้ ได้ ซงึ่ ในชว่ งเวลาดงั กลา่ วไดเ้ กดิ มเี มอื งสโุ ขทยั
เชียงแสน พะเยา และเมืองอน่ื ๆ ในแคว้นล้านนาขึ้นแล้ว และปรากฏแน่ชัดเป็นบ้านเมอื ง
ของคนไทย

แนวความคดิ ใหม่

แนวความคิดที่ว่า ถ่ินก�ำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนใต้ของ
ประเทศจีน และทางตอนเหนือของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจน
บรเิ วณรฐั อสั สัมของอินเดยี

ผ้เู รม่ิ แนวคดิ น้ี คอื อาร์ชบิ าล คอลคนู (Archibai R. Coiquhoun) ซง่ึ เปน็ นกั สำ� รวจ
ชาวอังกฤษ ได้เดินทางเข้าไปส�ำรวจดินแดนทางบริเวณตอนใต้ของจีน จากกวางตุ้งไปยัง
เมอื งมณั ฑะเลยใ์ นพมา่ และไดเ้ ขยี นรายงานไวว้ า่ ไดพ้ บคนเชอื้ ชาตไิ ทยอาศยั อยใู่ นบรเิ วณ
แถบน้โี ดยตลอด นอกจากน้ันนกั วชิ าการท่านอนื่ กก็ ล่าวว่า เผ่าไทยในอดีตกระจัดกระจาย
ในบริเวณทางตอนเหนอื ของไทย ลาว และพม่า

แนวความคดิ นไ้ี ดใ้ ชแ้ นวทางการศกึ ษาดา้ นภาษาถน่ิ และมรดกวฒั นธรรมประเพณี
ทม่ี คี วามคลา้ ยคลงึ กนั นกั ประวตั ศิ าสตรป์ จั จบุ นั ไดใ้ หก้ ารยอมรบั วา่ มคี วามเปน็ ไปไดม้ ากกวา่
ข้อสันนษิ ฐานอน่ื ๆ เนอื่ งจากมหี ลกั ฐานและข้อมูลมากกว่าข้อสันนิษฐานอ่นื ๆ กล่าวคอื
บรเิ วณตอนใตข้ องจนี คอื บรเิ วณมณฑลกวางตงุ้ กวางสี ยนู นาน กยุ้ โจย เสฉวน บรเิ วณเหลา่ นี้
มีชนชาติต่าง ๆ ซึ่งมีรูปร่างลักษณะผิวพรรณ ภาษา และวัฒนธรรมคล้ายคนไทยอาศัย
อยู่หลายเผ่าพันธุ์ ในจ�ำนวนนี้มีเผ่าไทยรวมอยู่ด้วย ในปัจจุบันนี้ยังมีชาวไทยจ�ำนวนมาก
อาศัยอยู่ในสิบสองปันนาในเขตมณฑลกวางสี และท่ีคุนหมิง ชาวไทยเรียกตนเองว่าไท
ชาวไทยเหลา่ นยี้ งั ใชภ้ าษาไทยร่นุ เก่า การแต่งกายและวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี
ยงั มีลักษณะแบบไทย

กล่าวได้ว่า กลุ่มชนเชื้อสายไท ซ่ึงมีวัฒนธรรมร่วม และพูดภาษาตระกูลไท
หรือไต มีการกระจายการตั้งถ่ินฐานในบริเวณท่ีราบในหุบเขาของล�ำน�้ำต่าง ๆ ในแนว
ตะวนั ออก-ตะวนั ตก คอื แถบมณฑลกวางสไี ปทางตะวนั ตก ผา่ นลมุ่ แมน่ ้�ำดำ� ลมุ่ แมน่ ำ�้ แดง

296 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย ทางตอนเหนอื ของสาธารณรฐั เวยี ดนาม ไปยงั ลมุ่ แมน่ ำ้� โขงในมณฑลยนู นานของสาธารณรฐั
ประชาชนจีนและผ่านไปยังลุ่มแม่น�้ำโขงในมณฑลยูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน
และผ่านไปยังลุ่มแม่น้�ำสาละวิน แม่น้�ำอิรวดีในสหภาพพม่า และลุ่มแม่น้�ำพรหมบุตร
ในแคว้นอัสสัมของประเทศอินเดีย หลังจากน้ันจึงเคล่ือนย้ายและกระจายการตั้งถ่ินฐาน
ในอาณาบริเวณใหม่ตามแนวเหนือ-ใต้ในช่วงเวลาท่ีเส้นทางคมนาคมทั้งทางบกและ
ทางทะเลพัฒนาข้ึนทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซ่ึงเห็นได้จากการแพร่กระจาย
ของกลองมโหระทกึ และโบราณวตั ถยุ คุ โลหะในดนิ แดนประเทศไทย และประเทศใกล้เคยี ง

แนวความคิดทวี่ า่ ถ่ินก�ำเนดิ ของชนชาติไทยอยู่ในบรเิ วณที่ประเทศไทย
ในปัจจุบนั

แนวความคิดน้ีได้เกิดข้ึนภายหลังที่ได้มีการส�ำรวจขุดค้นทางโบราณคดี
ในประเทศไทยอย่างจริงจัง ได้แก่ การส�ำรวจและขุดค้นที่บริเวณสองฝั่งแควน้อยและ
แควใหญ่ จังหวัดกาญจนบรุ ี ของคณะสำ� รวจไทย-เดนมาร์ก ระหว่างปี พ.ศ. 2503 - 2505
และปี พ.ศ. 2509 รวมทั้งการส�ำรวจและขุดค้นที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี และในพ้ืนท่ี
เขตจังหวัดขอนแก่น สกลนครและนครพนม ด้วยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยฮาวาย
สหรัฐอเมริกา และบริติชมิวเซียม ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างปี
พ.ศ. 2509 - 2510

นักวิชาการตะวันตกท่ีมีความเช่ือในแนวความคิดน้ีเป็นนักภาษาศาสตร์และ
นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ช่ือ พอล เบเนดิคท์ (Paul Benedict) ได้ค้นคว้าเร่ืองราว
เกย่ี วกบั เผา่ ไทยโดยอาศยั หลกั ฐานทางภาษาศาสตรส์ นั นษิ ฐานวา่ คนทอี่ ยแู่ ถบแหลมอนิ โดจนี
ย่อมมาจากบรรพบุรุษเดียวกันและยอมรับว่าภาษาไทย (Tai) เป็นภาษาท่ีใหญ่ภาษาหนึ่ง
ในบรรดาภาษาของชนชาติทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อยู่ในตระกูลออสตริคหรือ
ออสโตรนเี ชยี น และสามารถแยกสาขาไดเ้ ปน็ พวก ไทย ชวา-มลายู ทเิ บต-พมา่ สมมตฐิ านใหม่
ของเบเนดิคท์นจ้ี ะลบล้างความเช่อื ท่ีว่าคนเผ่าไทยเป็นชนชาติตระกูลมองโกล ส่วนในเรอ่ื ง
ถน่ิ เดมิ ของคนไทย เขาใหท้ รรศนะวา่ นา่ จะอยใู่ นดนิ แดนประเทศไทยปจั จบุ นั ในราวประมาณ
3,500 - 4,000 ปีมาแล้ว มีพวกตระกูลมอญ เขมร อพยพมาจากอนิ เดยี เข้าสู่แหลมอินโดจนี
ได้ผลักดันให้คนไทยกระจัดกระจายไปหลายทาง โดยข้ึนไปทางใต้ของจีนปัจจุบัน ต่อมา
ถูกจีนผลักดันจึงถอยร่นลงใต้ไปอยู่เขตอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และตังเกี๋ย จึงมีกลุ่มชน
พดู ภาษาไทยกระจดั กระจายไปทวั่ นอกจากนนี้ กั วชิ าการของไทยทา่ นหนง่ึ คอื ศาสตราจารย์

นายแพทย์ประจ�ำแผนกกายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ศึกษา
เปรยี บเทยี บโครงกระดกู มนษุ ยส์ มยั หนิ ซง่ึ ขดุ ไดใ้ นจงั หวดั กาญจนบรุ ี และตามทอ้ งทจ่ี งั หวดั
ราชบรุ ี ทา่ นไดส้ รปุ วา่ โครงกระดกู คนสมยั หนิ ใหม่ มคี วามเหมอื นกนั กบั โครงกระดกู คนไทย
ในปจั จบุ นั เกอื บทกุ อยา่ ง และยงั มงี านของผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นโบราณคดสี มยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์
ของกรมศลิ ปากร คอื ศาสตราจารยช์ นิ อยดู่ ี ทา่ นไดเ้ ขยี นหนงั สอื “สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์
ในประเทศไทย” ตีพิมพ์เผยแพร่ใน พ.ศ. 2510 สรุปได้ว่าจากหลักฐานทางโบราณคดี
พบว่า ในบริเวณท่ีเป็นประเทศไทยปัจจุบัน มีร่องรอยผู้คนอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยหินเก่า
เร่อื ยมาจนกระทง่ั สมยั หนิ กลาง หนิ ใหม่ ยุคโลหะ และเข้าสู่สมัยประวตั ิศาสตร์

วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 297

298 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย บทท่ี

ยคุ สโุ ขทยั

ประวัตขิ องอาณาจักรสุโขทยั ได้ความจากศิลาจารกึ ว่า

สโุ ขทยั อยใู่ นอำ� นาจของขอม ขอมตง้ั คนไทยเปน็ เจา้ เมอื ง และมขี า้ หลวงขอม
ตั้งกองทัพควบคุมอยู่ในสุโขทัย ส�ำหรับเมืองสุโขทัยเองขอมตั้งคนไทยคนหนึ่งช่ือ
“พ่อขุนศรีนาวน�ำถม” เป็นเจ้าเมือง ลูกของพ่อขุนศรีนาวน�ำถม ได้รับการแต่งตั้ง
ใหเ้ ปน็ เจา้ เมอื งราด คอื พอ่ ขนุ ผาเมอื ง พอ่ ขนุ ผาเมอื งผนู้ ข้ี อมยกยอ่ งมาก จงึ อยากจะให้
เป็นเจ้าเมืองต่อจากพ่อ ให้เป็นเจ้าเมืองที่จงรักภักดีต่อขอม จึงได้ถึงกับแต่งตั้งให้มี
บรรดาศกั ดเ์ิ ปน็ “ภมรเตง็ อญั ” ซง่ึ เปน็ บรรดาศกั ดเิ์ ขมร เทยี บไดก้ บั เจา้ พระยา มนี ามวา่

“ภมรเต็งอัญศรีอินทราบดินทราทิตย์” และให้ลูกสาวพระยากรุงขอม
ชื่อ พระนางสีขรมหาเทวี มาเป็นชายา ส่วนตัวข้าหลวงขอมท่ีส่งมาควบคุมสุโขทัย
เวลานน้ั ชอ่ื โขลญลำ� พง

พ่อขุนผาเมือง มีเพ่ือนร่วมใจคนหน่ึง ช่ือ พ่อขุนบางกลางท่าว ขอม
ต้งั ให้เป็นเจ้าเมอื งบางยาง

ทง้ั สองสหายคบคดิ กนั เขา้ ตสี โุ ขทยั พอ่ ขนุ บางกลางทา่ วตไี ดเ้ มอื งศรสี ชั นาลยั
(สวรรคโลก) พ่อขุนผาเมืองตีได้เมืองบางขลง แล้วทั้งสองทัพก็เข้าตีสุโขทัยพร้อมกัน
ฝ่ายขอมโขลญล�ำพง สู้ไม่ได้ กองทัพของพ่อขุนผาเมืองเข้าสุโขทัยได้ กองทัพขอม
ก็หนีออกไปอกี ด้านหนงึ่

ความจริงพ่อขุนผาเมืองท�ำงานมากอยู่ในฐานะดีกว่า พ่อขุนบางกลางท่าว วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 299
ในการที่จะได้เป็นเจ้าเมืองสุโขทัยเมื่อพ่อขุนผาเมืองตีได้สุโขทัยแล้ว ก็ออกมาตามพ่อขุน
บางกลางท่าว เข้าไปครองเมอื งสโุ ขทยั พ่อขนุ บางกลางท่าวไม่ยอมเข้าไป พ่อขนุ ผาเมือง
จงึ สงั่ กองทพั ของตนออกจากสโุ ขทยั ใหห้ มด พอ่ ขนุ บางกลางทา่ วจงึ ยอมเขา้ และพอ่ ขนุ ผาเมอื ง
กจ็ ดั การอภเิ ษกพ่อขุนบางกลางท่าวเป็นปฐมกษัตริย์สโุ ขทัย ถวายพระนามว่า “พ่อขุนศรี
อินทราทิตย์” ราษฎรทั่วไปเรยี กว่า พระรว่ ง ซ่ึง หมายถงึ ความร่งุ คือดวงอาทติ ย์ นน่ั เอง

สว่ นเมอื งสโุ ขทยั ซง่ึ เดมิ ชอ่ื เมอื ง สยาม กถ็ กู เปลย่ี นชอื่ คลอ้ ยตามพระปรมาภไิ ธย
ของพระปฐมกษตั ริย์ว่า “สโุ ขทยั ”

พ่อขนุ ศรอี นิ ทราทิตย์ มีพระชายา ชอื่ นางเสอื ง ซึง่ เป็นธดิ าของพ่อขุนผาเมอื ง
มโี อรส 3 องค์และธดิ า 2 องค์ องค์ใหญ่ส้ินพระชนม์เม่ือยงั เยาว์ องค์กลางชื่อ ขุนบานเมอื ง
องค์เลก็ ช่อื ขนุ รามราช ส่วนธดิ า 2 องค์ ไม่ปรากฏชอ่ื

พอ่ ขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์

ช่วงแรกเป็นช่วงของการก่อร่างสร้างตัวของอาณาจักรสุโขทัย จึงต้องท�ำการ
ผูกมิตรไมตรีกับเมืองต่าง ๆ ที่เป็นอิสระ พร้อมกันน้ันก็ต้องเร่งพัฒนาบ้านเมือง ทั้งด้าน
การเมอื งการปกครอง เศรษฐกจิ สงั คม จติ วทิ ยา เพอื่ ใหเ้ กดิ ความมนั่ คงของความเปน็ ชาตไิ ทย

ครั้นในเวลาต่อมา ขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด (แม่สอด) ยกทัพมาตีเมืองตาก
โดยเข้ากบั พวกขอม สบาดโขลญล�ำพง ทเี่ คยครองสโุ ขทยั

สงครามในครั้งนี้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ได้พระราชโอรสองค์เล็กช่วยรบต่อสู้
ชนช้างกับพ่อขุนสามชนจนได้รับชัยชนะ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงพระราชทานนามใหม่
ให้ว่า “รามค�ำแหง” ซ่งึ ต่อมากค็ ือ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราชนั่นเอง

พระรว่ ง คำ� วา่ พระรว่ ง ซง่ึ แปลวา่ รงุ่ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ สนั นษิ ฐานวา่
เม่ือแรกคงจะหมายถึง พ่อขุนรามค�ำแหงองค์เดียว แต่ต่อมาได้ใช้เรียกกษัตริย์องค์อื่น ๆ
แห่งกรงุ สโุ ขทัยว่า พระร่วง ท้งั หมด

พอ่ ขนุ คำ� วา่ พอ่ ขนุ ในสมยั สโุ ขทยั ตอนตน้ เปน็ คำ� ขน้ึ ตน้ พระนามพระเจา้ แผน่ ดนิ
แห่งราชอาณาจกั รใหญ่

คำ� วา่ ขุน เป็นค�ำขึน้ ต้น พระนามพระเจ้าแผ่นดินแคว้นเล็ก ๆ
ค�ำว่า พระ เป็นพระนามเจ้านายท่มี บี รรดาศกั ดส์ิ งู

300 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย พ่อขนุ รามค�ำ แหงมหาราช

เมอื่ พ่อขุนบานเมอื งสวรรคตแล้ว ผู้ทีส่ ืบทอดราชสมบัติ คอื พ่อขุนรามคำ� แหง
พระองค์ได้ทรงท�ำนุบำ� รงุ บ้านเมอื งให้มีความเจริญรุ่งเรอื งทสี่ ุด

พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช เป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง และพระนางเสือง พระนามเดิมของพระขุนรามค�ำแหง
คอื “พระราม” เม่ือพระชนมายไุ ด้ 19 พรรษา ได้เสดจ็ ตามพระราชบดิ าออกไปท�ำสงคราม
กับขนุ สามชน เจ้าเมอื งฉอด ซงึ่ ยกทัพมาตเี มอื งตาก การรบในครง้ั น้นั พระรามได้ไสช้าง
เขา้ ตอ่ สกู้ บั ขนุ สามชน และสามารถฟนั ขนุ สามชนขาดคอชา้ ง พระราชบดิ าเหน็ ความเกง่ กลา้
จึงเฉลมิ พระนามแก่พระองค์ใหม่ ว่า “รามค�ำแหง”

การปกครอง

ทรงวางรากฐานการปกครองและการเมืองไว้อย่างม่ันคง โดยวิเคราะห์
สถานการณ์และวางยุทธศาสตร์จากช่องว่างแห่งอ�ำนาจ การเส่ือมอ�ำนาจของขอม
การรุกรานของจีน ท�ำให้สุโขทัยขยายออกไปได้อย่างกว้างขวาง โดยใช้นโยบายการรวม
เมอื งต่าง ๆ โดยทำ� สงครามและให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าเมอื งนนั้ ๆ ด้วยความจรงิ ใจและ
เป็นธรรม

อาณาเขต แพร่ น่าน ปัว
แหลมมลายู
ทิศเหนอื ฝั่งล�ำน�้ำโขง เวยี งจนั ทน์
ทิศใต้ หงสาวดี ทวาย ตะนาวศรี
ทศิ ตะวนั ออก
ทศิ ตะวันตก

ระบบการปกครองจากขอมสู่ไทย วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 301

จากระบบชนช้ันเดิมของขอม ผู้บริหาร สามัญชน และทาส เป็นแบบ
พอ่ ปกครองลกู กระจายอำ� นาจประชาธิปไตย

พ่อปกครองลูก
- ใหม้ กี ารอบรมใหค้ วามรขู้ า้ ราชการและประชาชน ใหด้ ำ� รงตนอยใู่ นศลี ธรรมอนั ดี
- วันพระจะนิมนต์พระสงฆ์มาแสดงธรรมกลางดงตาล ให้ข้าราชการและ
พสกนกิ รได้เข้าใจธรรมะและถอื ปฏิบตั ิ
- โปรดเกลา้ ฯ ใหแ้ ขวนกระดง่ิ ไวท้ ปี่ ระตวู งั เพอ่ื ใหร้ าษฎรทเ่ี ดอื ดรอ้ นมาตรี ะฆงั
ร้องทุกข์ได้ เป็นการสร้างความรกั เสมอื นครอบครัวเดียวกนั
การปกครองแบบกระจายอ�ำนาจ
แบ่งเป็น 3 ระดับ
 ระดับศนู ย์กลาง
 ระดบั ปฏบิ ัติตามนโยบาย
 ระดับส่งเคร่ืองราชบรรณาการ

302 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย กรุงสุโขทัยเปน็ ศนู ย์กลางการบริหารการปกครอง
มีเมืองลูกหลวงเป็นเมืองรองจากเมืองหลวง เป็นเมืองชั้นใน ต้ังอยู่ 4 ทิศ
เมอื งหลวงกำ� หนดนโยบายในการบริหารและกำ� กับ
เมอื งลกู หลวง เมอื งชนั้ ในทรี่ บั นโยบายไปปฏบิ ตั ิ บทบาทของเมอื งลกู หลวง คอื
การป้องกนั การรุกรานจากภายนอก จงึ ก�ำหนดไว้ 4 ทศิ
ทศิ เหนอื คอื ศรสี ชั นาลยั
ทศิ ตะวนั ออก คือ สองแคว (พิษณโุ ลก)
ทศิ ใต้ คอื พระบาง (นครสวรรค์)
ทิศตะวันตก คือ ชากังราว (ก�ำแพงเพชร)
เมืองพระยามหานคร เป็นเมืองเล็กเมืองน้อย ซ่ึงมีเช้ือสายราชวงศ์เดิม
ของเมืองน้นั ๆ เป็นเจ้าเมอื ง มบี รรดาศกั ด์เิ ป็น ขุน
เมืองประเทศราช หรือเมืองออก หรือเมืองขึ้น คือ เมืองหรือแคว้นต่าง ๆ
ที่เข้ามาสวามิภักดิ์ หรือยกทัพไปสู้รบแล้วยึดครอบครองไว้ได้ เมืองเหล่าน้ีจะอยู่ห่างไกล
จากสุโขทัย ยากแก่การปกครอง จึงมอบให้เจ้าเมืองหรือเจ้าแคว้นน้ัน ๆ เป็นผู้ปกครอง
เพียงแต่ส่งเคร่อื งราชบรรณาการมาถวายประจ�ำปี

ภาคกลาง อทู่ อง (สวุ รรณภูมิ) ราชบรุ ี เพชรบรุ ี
ภาคใต้ นครศรฯี ชุมพร ไชยา และมลายู
ภาคเหนอื แพร่ นา่ น ปวั

การประดษิ ฐ์อักษรไทย

ทรงมสี ายพระเนตรอนั ยาวไกลในการรวมชาตไิ ทย
ใหม้ คี วามมน่ั คง โดยการสรา้ งสงิ่ ยดึ เหนยี่ วรว่ มกนั ซง่ึ ตอ้ งเปน็
เอกลกั ษณ์ หรอื สัญลักษณ์ที่มคี วามหมายประจ�ำชาติ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว พระองค์จึงทรงประดิษฐ์
อักษรไทยขน้ึ ในปี พ.ศ. 1826

โดยดดั แปลงจากอกั ษรขอมและมอญ ซงึ่ ลอกแบบ
มาจากอกั ษรคฤนท์ ของอนิ เดยี อกี ครึ่งหนง่ึ และโปรดให้จารึก
ข้อความด้วยอกั ษรทค่ี ดิ ข้ึนใหม่ไว้ในหลกั ศลิ า

ทรงดแู ลทกุ ข์สุขของราษฎร วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 303
1. ทรงอนุญาตให้ราษฎร ถางป่า ถางพง เพอ่ื ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
ดงั ศลิ าจารกึ ว่า
“.....เปน็ ปา่ เปน็ ดง ใหแ้ ผว้ ใหถ้ าง สรา้ งปา่ หมาก ปา่ พลู ทวั่ เมอื งทกุ แหง่ .....”
2. ทรงส่งเสรมิ การค้าขาย ทง้ั ทางบก และทางน้�ำ
ศิลาจารกึ
“......ไพร่ฟ้าข้าไท ขเ่ี รือไปค้า ขม่ี ้าไปขาย ......”
3. โปรดแขวนกระดงิ่ ไวห้ นา้ ประตเู มอื ง เพอ่ื ใหร้ าษฎรทกุ คนทม่ี คี วามเดอื ดรอ้ น
หรอื ถกู รังแก โดยมชิ อบธรรม มาส่นั กระด่งิ เพ่ือร้องทุกข์ได้
4. โปรดให้มีการส่ังสอน อบรมประชาชน รวมท้ังข้าราชการและเชื้อพระวงศ์
ทั้งหลาย โดยนิมนต์พระมาเทศนาอบรมสั่งสอนให้ด�ำรงตนอยู่ในศีลธรรมในวันพระ และ
วัน 8 คำ�่ ณ พระแท่นมนงั คศิลาฯ ซ่งึ สร้างไว้ในป่าดงตาล
ศาสนาและความเช่ือของชาวสุโขทยั
ทรงโปรดใหน้ ำ� ลทั ธลิ งั กาวงศม์ าจากนครศรฯี สรา้ งวดั มหาธาตุ และพระพทุ ธรปู
มากมาย
ดังศิลาจารกึ
“...คนในสมยั สโุ ขทยั น้ี มกั ทาน มกั ศลี มักโอยทาน พ่อขนุ รามค�ำแหง เจ้าเมือง
สุโขทัยน้ี ทงั้ ชาวแม่ ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลกู เจ้าลูกขุน ทง้ั สิ้นทง้ั หลาย ทง้ั ผู้ชาย ผู้หญิง
ฝงู ท่วย มศี รัทธา ในพระพทุ ธศาสนา ทรงศลี เมอื่ พรรษาทกุ คน เมื่อออกพรรษา กรานกฐิน
เดอื นหน่งึ จึงแล้ว...”

บทที่

ยุคกรงุ ศรอี ยุธยา

ราชวงศอ์ ทู่ อง

304 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย (วทง้าศว์เชศยี รงวี ริชาัยย) ท้าวตรยั ตรงึ ค์
พระเ(จท้า้าศวริ แิชสัยนเชปียมง) แสน ธดิ า

พระเจา้ อู่ทอง

การกอ่ ตงั้ กรุงศรอี ยธุ ยาเป็นราชธานีของไทย วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 305

ชุมชนบริเวณที่ราบลุ่มแม่น�้ำเจ้าพระยา มีการพัฒนาต่อเนื่องมาต้ังแต่
พทุ ธศตวรรษท่ี 12 และปรบั สภาพเปน็ บา้ นเมอื งในพทุ ธศตวรรษที่ 16 จนถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี 19
โดยมรี ฐั สพุ รรณภมู เิ ปน็ ศนู ยก์ ลางดา้ นตะวนั ตกของแมน่ ำ้� เจา้ พระยาและมรี ฐั ละโวเ้ ปน็ ศนู ยก์ ลาง
ดา้ นตะวนั ออกของแมน่ ำ�้ เจา้ พระยา พวกสพุ รรณภมู แิ ละละโวร้ ว่ มกนั สรา้ งกรงุ ศรอี ยธุ ยาขน้ึ
ในพทุ ธศตวรรษที่ 19 ใกลบ้ รเิ วณทเ่ี คยเปน็ เมอื งอโยธยาเดมิ สว่ นเมอื งทเี่ คยเปน็ เมอื งส�ำคญั
ของรฐั อสิ ระตา่ ง ๆ ถกู ลดฐานะมาเปน็ หวั เมอื งของราชอาณาจกั รอยธุ ยา กรงุ ศรอี ยธุ ยาเปน็
เมืองหลวงและเมืองท่าท่ีได้มีการติดต่อกับต่างประเทศทางทะเลอย่างกว้างขวาง มีพ่อค้า
จากนานาชาตทิ วั่ โลกใชเ้ รอื เดนิ ทะเลเขา้ มาตดิ ตอ่ คา้ ขาย โดยจอดเรอื ทบ่ี รเิ วณหนา้ ปอ้ มเพชร
ใกลต้ ลาดนำ�้ วนบางกะจะ เมอื งสำ� คญั ของราชอาณาจกั รอยธุ ยา ไดแ้ ก่ สโุ ขทยั ละโว้ (ลพบรุ )ี
สพุ รรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี ทวาย นครศรธี รรมราช สงขลา มะละกา จันทบูร
(จนั ทบรุ ี) กรงุ ศรีอยธุ ยาด�ำรงความเป็นเมืองหลวงของสยามประเทศเป็นเวลา 417 ปี จาก
พ.ศ. 1893 ถึง พ.ศ. 2310

ชาวจนี เรยี กกรงุ ศรอี ยธุ ยาวา่ เสยี นโหล หรอื เซยี นโหว หรอื เซยี นหลวั เพราะอยธุ ยา
ประกอบด้วยชาวสพุ รรณบรุ ี (เสียน Sian) และชาวละโว้ลพบรุ ี (โลว Lo) ส่วนชาวอาหรบั
และชาวเปอรเ์ ซยี (อหิ รา่ น) เรยี กอยธุ ยาวา่ ซาหร์ นิ าว (Sarinau หรอื Shar-i-naw) แปลวา่ เมอื งเรอื
เพราะมคี นอาศยั อยใู่ นเรอื มาก ชาวญป่ี นุ่ เรยี กอยธุ ยาวา่ ชามโร (Shamro) ดา้ นชาวโปรตเุ กส
เรียกอยุธยาว่า ยธุ ยา (Jutha) หรอื โอธียา Odia และชาวพม่าเรียกอยธุ ยาว่า โยเดีย

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงมีเช้ือสายราชวงศ์ไชยปราการ
เชยี งแสน จากทางสพุ รรณบรุ ี ทรงสถาปนา “กรงุ เทพทวารวดศี รอี ยธุ ยา มหาดลิ กภพนพรตั น
ราชธานี บรุ รี มย”์ เมอ่ื วนั ศกุ ร์ เดอื น 5 ขน้ึ 6 คำ่� ปขี าล จลุ ศกั ราช 712 เทยี บไดต้ รงกบั วนั ศกุ รท์ ี่
4 มีนาคม พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) เวลา 3 นาฬิกา 9 บาท (09.54 น.) ขณะที่มพี ระชนมายุ
37 พรรษา ณ บรเิ วณใกลเ้ มอื งอโยธยาเดมิ ทป่ี ทาคจู าม (ประทาคจู าม) ตวั เมอื งกรงุ ศรอี ยธุ ยา
มแี มน่ ำ�้ ผา่ น 3 สาย คอื แมน่ ำ�้ เจา้ พระยา แมน่ ำ้� ปา่ สกั และแมน่ ำ�้ ลพบรุ ี ตอ่ มามกี ารขดุ คเู มอื ง
ดา้ นเหนอื เพอื่ ใหม้ คี นู ำ้� ลอ้ มรอบปอ้ งกนั ราชศตั รู เรยี กวา่ คขู อ่ื หนา้ พระเจา้ อทู่ องทรงปฏสิ งั ขรณ์
(ซอ่ มแซม) วดั โบราณทส่ี รา้ งมาตง้ั แตส่ มยั เมอื งอโยธยา กอ่ นตงั้ กรงุ เชน่ วดั อโยธยา (วดั เดมิ )
วดั พนญั เชงิ วดั กฎุ ดี าว วดั ใหญช่ ยั มงคล (วดั พระยาไทย) ทรงสรา้ งพระปรางคว์ ดั พทุ ไธสวรรย์
โดยดัดแปลงมาจากศิลปะขอม พระเจ้าอู่ทองทรงให้ขุนหลวงพล่ัว (หรือพะง่ัว) ซ่ึงเป็น

306 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย พพ่ี ระมเหสไี ปครองเมอื งสพุ รรณบรุ ี ทรงตรากฎหมายลกั ษณะพยาน ลกั ษณะโจร และกฎหมาย
ลกั ษณะลกั พา มขี อ้ ความซง่ึ เขา้ ใจไดว้ า่ ขณะนนั้ มชี าวตา่ งประเทศจากจนี แขกอนิ เดยี ลงั กา
ชวา มลายู อาหรับ และแขกมวั ร์เข้ามาค้าขายในกรุงศรอี ยุธยาอยู่แล้ว มีการแต่งวรรณคดี
เรอ่ื งลลิ ิตโองการแช่งน้�ำในรชั กาลน้ี กรงุ ศรีอยุธยามปี ระเทศราช 16 หวั เมือง คือ มะละกา
ชวา ตะนาวศรี นครศรธี รรมราช ทวาย เมาะตะมะ เมาะลำ� เลิง สงขลา จนั ทบูร พิษณุโลก
สโุ ขทยั พชิ ยั สวรรคโลก พจิ ิตร ก�ำแพงเพชร และนครสวรรค์

พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยาระบวุ า่ เกดิ โรคระบาดครงั้ ใหญ่
(อาจจะเปน็ อหวิ าตกโรค หรอื กาฬโรค) เพราะระหวา่ งปี พ.ศ. 1878 - 1893 (ค.ศ. 1335 - 1350)
เกดิ กาฬโรคโคจรจากเมอื งจนี ระบาดไปทว่ั โลก มกี ารยา้ ยเมอื งจากดา้ นตะวนั ออก มาสรา้ งใหม่
ทหี่ นองโสนซงึ่ เมอื่ สรา้ งแลว้ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ 1 โปรดใหข้ ดุ พระศพของเจา้ แกว้ เจา้ ไทย
ซงึ่ สน้ิ พระชนมด์ ว้ ยอหวิ าตกโรค มพี ธิ พี ระราชทานเพลงิ ทป่ี ลงศพนนั้ ใหส้ ถาปนาเจดยี ว์ หิ าร
เป็นอารามแล้วให้นามวดั ป่าแก้ว เมอื่ พ.ศ. 1900 ต่อมาทรงสร้างวัดพุทไธสวรรย์ ทตี่ ำ� หนัก
เวียงเหล็ก (หรือเวียงเล็ก) ทรงใช้เมืองพระประแดงเป็นเมืองหน้าด่านทางทะเล ส�ำหรับ
ป้องกนั ข้าศกึ จากด้านอ่าวไทยไม่ให้เข้าถงึ กรงุ ศรีอยุธยาโดยง่าย

พ.ศ. 1912 พระเจ้าอู่ทอง ทรงให้พระเจ้าลกู เธอ สมเดจ็ พระราเมศวร ซงึ่ ครอง
เมอื งละโว้ (ลพบรุ )ี และขนุ หลวงพะงวั่ ซงึ่ ครองเมอื งสพุ รรณบรุ ี ยกทพั ไปปราบเขมรทก่ี รงุ ศรี
ยโสธรปรุ ะ หรอื นครธมของกมั พชู า กวาดตอ้ นชาวกมั พชู าเขา้ มาในกรงุ ศรอี ยธุ ยาจำ� นวนมาก

สงครามกบั พม่าคร้ังแรกท่เี ชียงกรานสมัยพระชยั ราชาธริ าช

พ.ศ. 2077 พระชัยราชา ซึ่งเป็นพระอนุชาของสมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 4
และทรงครองเมอื งพิษณโุ ลกอยู่ ได้ยกก�ำลงั ไปยึดอ�ำนาจจากพระรัฎฐาธริ าชทอี่ ยธุ ยา แล้ว
ข้ึนครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระนามว่า สมเด็จพระชัยราชาธิราช ต่อมาใน
พ.ศ. 2081 (ค.ศ. 1538) กรุงศรีอยธุ ยาเร่มิ บาดหมางกบั พม่า เนอ่ื งจากมอญเมืองเชยี งกราน
(เดงิ กราย) ไมย่ อมอยใู่ ตอ้ �ำนาจพมา่ พากนั หนมี าเขา้ กบั สยาม พระเจา้ ตะเบง็ ชะเวต้ี (มงั ตรา)
ของพม่า ทรงยกกองทัพมายึดเมืองเชียงกรานไว้ สมเด็จพระชัยราชาธิราชทรงยกกองทัพ
ไปตเี มอื งเชยี งกรานกลับคืนมา โดยมที หารโปรตเุ กสราว 1,000 คนไปช่วยรบ นบั เป็นการ
เปิดศกึ สงครามระหว่างไทยกบั พม่า เมอื่ เสรจ็ สงครามเชยี งกราน สมเด็จพระชยั ราชาธิราช
พระราชทานท่ีดินให้ชาวโปรตุเกสที่ไปช่วยรบ สร้างบ้านเรือน และโบสถ์คริสต์ท่ีริมแม่น้�ำ
ด้านใต้ของเกาะเมอื ง

สมเดจ็ พระชยั ราชาธริ าช ทรงใหข้ ดุ คลองลดั ทบ่ี างกอก ตรงปากคลองบางกอกนอ้ ย วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 307
ถึงปากคลองบางกอกใหญ่ (ต่อมาได้กลายเป็นแม่น้�ำเจ้าพระยาตอนหน้าพระบรม
มหาราชวงั หน้าโรงพยาบาลศริ ริ าช และหน้ามหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ในปัจจุบนั )

พ.ศ. 2089 สมเด็จพระชัยราชาธิราชสวรรคตกะทันหัน โดยอาจถูกวางยาพิษ
ราชสมบัติได้กับพระยอดฟ้า ราชโอรสที่ทรงพระชนม์ 12 พรรษา แต่อ�ำนาจในบ้านเมือง
ตกอยู่กับท้าวศรสี ุดาจันทร์ พระราชมารดา (พระสนมเอกของพระชัยราชาธริ าช) ซึ่งสมคบ
กับชู้รัก คือ พันบุตรศรีเทพ หรือขุนวรวงศาธิราช หรือออกขุนชินราช ถอดพระยอดฟ้า
ออกจากราชสมบตั ิ แลว้ วางยาพษิ จนสวรรคตอกี สรา้ งความไมพ่ อใจโกรธแคน้ แกเ่ หลา่ ขนุ นาง
ทั้งหลาย กรุงศรีอยุธยาว่างกษัตริย์อยู่ชั่วระยะเวลาหน่ึง ต่อมาพระเฑียรราชา (ซ่ึงเป็น
เชอื้ พระวงศ)์ ทผี่ นวชเปน็ พระกบั ขนุ พเิ รนทรเทพ และพวกทหารรว่ มกนั กำ� จดั ขนุ วรวงศาธริ าช
และท้าวศรสี ุดาจันทร์ได้

พระเฑียรราชาลาผนวชมาครองราชย์เป็นสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ

พ.ศ. 2091 พระเฑียรราชาลาผนวชข้นึ ครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระ
มหาจกั รพรรดิ ขนุ พเิ รนทรเทพไดเ้ ปน็ พระมหาธรรมราชาครองเมอื งพษิ ณโุ ลก ขนุ อนิ ทรเทพ
ได้เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราชครองเมืองนครศรีธรรมราช สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ทรงยก พระวิสุทธิกษัตรีย์พระราชธิดาให้เป็นพระอัครมเหสีของพระมหาธรรมราชา
พระมหาธรรมราชา และพระวสิ ทุ ธกิ ษตั รยี ท์ รงมพี ระราชโอรสคอื พระนเรศวร (หรอื พระนเรศ
หรือพระองค์ดำ� ) กับ พระเอกาทศรถ และพระราชธิดาคือ พระสุวรรณ (พระสุวรรณเทวี
หรือพระสุพรรณกลั ยา)

วรี กรรมของสมเดจ็ พระสุริโยทยั

พระเจา้ ตะเบงชะเวต้ี (มงั ตรา) หรอื พระเจา้ กรงุ หงสาวดลี นิ้ ด�ำ นบั ตงั้ แตพ่ ระเจา้
ชยั ราชาธริ าชตเี มอื งกราน หรอื เมอื งเชยี งกรานกลบั คนื ไปไดแ้ ลว้ กท็ รงเคยี ดแคน้ พระทยั ใคร่
จะได้ทรงกระท�ำการยุทธ์ล้างอายอยู่ไม่วายเว้น จึงเร่งทรงจัดการความยุ่งยากภายในสงบ
เรยี บรอ้ ยลงแลว้ กเ็ สดจ็ กรธี าทพั บกุ ตะลยุ เขา้ มาในอาณาจกั รกรงุ ศรอี ยธุ ยา และตงั้ ทพั มนั่ คง
ท่ีต�ำบลลุมพลีใกล้ชานพระนครศรีอยุธยา หวังจะพิชิตศึกล้างอาย เผยแพร่พระเกียรติยศ
ให้ปรากฏไปท่วั ด้าวแดนไทย

308 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย ครั้นทรงทราบว่ากองทัพกรุงศรีอยุธยาเคลื่อนกระบวนออกจากก�ำแพงเมือง
มาแล้วกท็ รงโปรดให้แบ่งก�ำลงั ออกเป็นสามทัพ โปรดให้บเุ รงนองผู้เป็นพี่เขยเป็นผู้ควบคุม
ทัพม้าเป็นกองล่อ พระเจ้าแปรเป็นผู้คุมทัพหน้าเผชิญศึกยามติดตามทัพล่อของบุเรงนอง
การเผชิญศึกตามแผนการยุทธ์ท่ีได้ทรงวางไว้ตามค�ำทูลแนะน�ำของขุนศึกบุเรงนอง
ส่วนพระองค์ทรงควบคมุ ทพั หลวงเป็นกองหนนุ

พระเจ้าแปรกองหน้าเผชิญศึกก็น�ำทัพออกปะทะทัพกรุงศรีอยุธยาไว้ไม่ยอม
ให้ทัพไทยหนุนกองทัพม้าไปได้ การต่อสู้จึงเกิดขึ้นอย่างยอมพลีชีวิต ให้แก่ปิตุชาติ
มาตภุ มู ิของตน

สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดทิ รงไสชา้ งพระทน่ี ง่ั เขา้ กระทำ� ยทุ ธหตั ถกี บั พระเจา้ แปร
เยย่ี งวรี กษตั รยิ ์ชาตินกั รบ

ช้างพระท่ีน่ังสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียทีช้างพระเจ้าแปร ถึงแก่เบนช้าง
ให้สมเด็จพระสุริโยทัยทรงเห็นพระราชสวามีใกล้อันตรายต่อคมพระแสงของ้าว
ของพระเจ้าแปรก็ทรงไสช้างพระที่น่ังเข้าขวางช้างพระเจ้าแปรไว้ ประจวบกับพระเจ้าแปร
ทรงฟาดพระแสงของ้าวมา ยามได้เชิง สมเด็จพระสุริโยทัยจึงทรงด้วยพระแสงของ้าวน้ัน
ตรงพระอุระเบ้ืองยุคลถันถึงขาดสะพายแล่งส้ินพระชนม์ท่ามกลางศึก พระราเมศวรทรง
คมุ พลเข้าป้องกนั น�ำพระศพบรมราชชนนีเข้าสู่พระนครได้

พระเจ้าแปรทรงทราบว่าผู้แต่งเครื่องพิชัยยุทธส�ำหรับต�ำแหน่งมหาอุปราช วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 309
ทท่ี รงฟันด้วยพระแสงของ้าวด่าวดนิ้ สนิ้ ชวี ติ ลงไปนน้ั ทรงเป็นวรี กษตั รยี ์ศรมี หานครของไทย
กเ็ สยี พระทยั ตรสั ประกาศขอขมาเย่ยี งชายชาตรี

การศึกคงด�ำเนินต่อไปโดยกลยุทธ์ กล่าวคือ เม่ือกองทัพไทยเข้าตีโต้ด้วย
ความพยาบาทอาฆาตแค้น กองทัพพม่าก็ล่าถอย ล่อให้กองทัพไทยตามตีไปจนถึง
ก�ำแพงเพชร โดยมีกองทัพพิษณุโลกของพระมหาธรรมราชากับกองทัพเมืองกรุงของ
พระราเมศวรสมทบก�ำลังกัน ติดตามพม่าไปอย่างไม่ละลด ท่ีสุดก็ต้องกลตกอยู่ในท่ีล้อม
ของพม่า พระมหาธรรมราชา พระราเมศวรถูกพม่าจับได้ หลวงศรียศ คนดีศรีอยุธยา
คนหนง่ึ ต้องตายในทร่ี บ

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเล็งเห็นว่ายากที่จะเอาชัยชนะแก่พม่าได้แล้ว
กท็ รงขอเจรจาหยา่ ศกึ ยอมสง่ เครอื่ งราชบรรณาการไปถวายแกก่ ษตั รยิ พ์ มา่ เยยี่ งหวั เมอื งขนึ้
ขอให้พระเจ้าตะเบงชะเวตท้ี รงปล่อยพระราชโอรสและพระราชบตุ รเขยให้ได้เป็นไทแก่ตวั

พระเจ้าตะเบงชะเวต้ลี ิ้นด�ำกท็ รงตกลงยนิ ยอม แต่ให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ไปถวายสัตย์เฉพาะพระพกั ตร์พระเจ้ากรุงหงสาวดตี ามธรรมเนยี มศึกก่อน สมเด็จพระมหา
จักรพรรดิทรงอดสูพระทัย ไม่อาจจะเสด็จไปถวายสัตย์แก่พระเจ้ากรุงหงสาวดีได้ เพียง
แต่ทรงโปรดให้พระยาสวรรคโลกไปถวายสัตย์แทนพระองค์ ซ่ึงพระเจ้ากรุงหงสาวดีล้ินดำ�
ก็ทรงผ่อนปรนให้แล้วเลกิ ทพั กลบั คนื ไปหงสาวดี

สงครามช้างเผือก

ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มีช้างเผือกมาสู่พระบารมีเป็น
จำ� นวนถึง 7 เชือก อย่างท่ีไม่เคยมีมาก่อนในรัชสมัยอ่ืน และเป็นที่ระบือลือชาไปสู่นานา
ประเทศใกล้เคียง ทั้งนี้ ก็เพราะประเพณีโบราณถือกันว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใด
มชี า้ งเผอื กมาส่พู ระบารมมี าก พระมหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ นั้ กอปรไปดว้ ยบญุ ญาธกิ ารสงู ส่ง
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะสม จึงได้ทรงส่งทูตสันถวไมตรีจ�ำทูล
พระราชสาสน์ พรอ้ มดว้ ยเครอื่ งราชบรรณาการ ไปถวายพระเจา้ ซจี งฮอ่ งเต้ รชั กาลท่ี 11 แหง่
ราชวงศ์เหมง็ ในปีพุทธศกั ราช 2096

ในปพี ทุ ธศกั ราช 2096 พมา่ กเ็ กดิ เหตวุ นุ่ วายขนึ้ โดยพระเจา้ ตะเบงชะเวตถ้ี กู ลอบ
ปลงพระชนม์ หวั เมอื งมอญตา่ งประพฤตกิ ารกระดา้ งกระเดอ่ื งตง้ั แขง็ เมอื งขนึ้ แตเ่ มอื่ บเุ รงนอง
ต้ังตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงหงสาวดี และปราบปรามหัวเมืองมอญสยบราบคาบลง

310 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย แล้วได้ทรงแต่งตั้งให้มังชัยสิงห์หรือมังสุรราชบุตรเป็นทัพมหาอุปราชา แต่งต้ังพระอนุชา
อีกสององค์ให้ไปครองเมืองแปร และตองอู แล้วทรงตั้งข้อหาเอาว่าไทยตระบัดสัตย์
ไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวาย ในยามที่พม่าเกิดการจลาจลวุ่นวาย คราวผลัด
เปลย่ี นแผ่นดนิ ใหม่

ปีพุทธศักราช 2100 พระเจ้าบุเรงนองทรงพระราชดำ� ริว่า การท่ีจะจู่โจมเข้าสู่
อาณาจกั รกรงุ ศรอี ยธุ ยาโดยตรง เพยี งขอ้ อา้ งวา่ ตระบดั สตั ย์ นอกจากจะไมม่ เี หตผุ ลเพยี งพอ
เพราะในการถวายสตั ยข์ องตวั แทนสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ (พระยาสวรรคโลก) ไม่ไดร้ ะบุ
ความให้เป็นทแ่ี จ้งชดั ว่า จะต้องถวายเครอื่ งราชบรรณาการกันทกุ ปี ตามพระราชประเพณี
ของประเทศราช นอกจากนน้ั ยังอาจจะยุ่งยากอกี นานาประการ ท้ังการลำ� เลยี งพลจากทาง
ฝ่ายเหนอื ของอาณาจกั รสุโขทัย ท้งั การตง้ั กองรวบรวมเสบยี งอาหาร ตลอดจนการลำ� เลียง
จงึ ไดต้ ดั สนิ พระทยั กรธี าทพั เขา้ ตอี าณาเขตไทยใหญ่ ระเรอื่ ยลงมาจนอาณาจกั รลา้ นนาไทย
ฝ่ายใต้ จนยึดไว้ในอ�ำนาจได้สิ้นแล้ว จึงได้เข้าตีนครเชียงใหม่ ล�ำพูน ล�ำปาง และยึดไว้
ในอำ� นาจไดท้ ง้ั สนิ้ จงึ ทรงดำ� เนนิ การขนั้ ทส่ี อง เพอื่ หาเหตทุ ำ� สงครามยดึ ครองอาณาจกั รไทย
แห่งศรีอยุธยาต่อไปตามพระราชดำ� ริ ดังน้ันจึงทรงให้ทูตจำ� ทูลพระราชสาส์นมาทูลขอช้าง
เผอื กเป็นทางสมั พันธไมตรี

กรุงศรีอยุธยาน้ันเม่ือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเร่งขอความเห็นต่อท่ีประชุม
ต่างเกดิ ความเหน็ แตกแยกกนั เปน็ สองฝา่ ย ไดแ้ ก่ พระมหาธรรมราชาฝ่ายหนง่ึ พระมหนิ ทร
กับพระราเมศวรราชโอรสอีกฝ่ายหน่ึง พระมหาธรรมราชานั้นอ้างว่า ไทยยังอยู่ในฐานะ
ไมพ่ รอ้ มทจี่ ะรบ เพราะบา้ นเมอื งยงั ไมส่ นิ้ ความระสำ่� ระสาย สรรพกำ� ลงั ทงั้ ปวงกย็ งั ไมส่ มบรู ณ์
พอควร จะยอมเสยี สละชา้ งเผอื กคพู่ ระบารมเี สยี สองเชอื ก เพอ่ื ความอยรู่ อดของประเทศชาติ
ข้างฝ่ายสองพระราชโอรส ตลอดจนข้าหลวงเดิม อ�ำมาตย์ผู้ใหญ่เห็นว่า ช้างเผือกน้ัน
มาสพู่ ระบารมกี ษตั รยิ พ์ ระองคใ์ ด เกดิ จากอำ� นาจบญุ ญาธกิ ารอนั สงู สง่ หาควรแบง่ สนั ปนั สว่ น
ให้แก่ผู้ใดไม่ เพราะเป็นการเส่ือมเสียพระเกียรติยศน่าอัปยศนัก ถึงพระเจ้าบุเรงนอง
กษัตริย์ยอดขุนศึกของพม่าจะถือเอาเป็นสาเหตุกรีธาทัพมารุกรานก็หาควรเกรงขามไม่
เพราะไทยใจสยู้ งั มมี ากกวา่ ไทยใจขลาด ทงั้ สองพระองคพ์ รอ้ มทจี่ ะยอมพลพี ระชนมอ์ าสาศกึ
เพ่ือรกั ษาพระเกยี รติ และพระราชประเพณไี ว้โดยไม่ต้องอาศยั ใครอื่น

สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดทิ รงมนั่ พระทยั อยปู่ ระการหนง่ึ ว่า ถ้าไทยเกดิ สงคราม
ขน้ึ กบั พม่า เพราะการรุกรานของพม่าแล้ว จีนคงจะต้องส่งกองทพั มาช่วยไทยเป็นแม่นมั่น
เพราะสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับจีนมีแต่เจริญงอกงามและกระชับแน่นยิ่งข้ึนเป็นลำ� ดับ
ซึ่งเป็นความคาดหวงั ทผี่ ดิ พลาด

เพราะความมั่นพระทัยในข้อน้ีเอง เป็นมูลเหตุส�ำคัญท่ีท�ำให้สมเด็จพระมหา วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 311
จักรพรรดิทรงเห็นพ้องต้องด้วยความคิดของสองพระราชโอรส ทรงส่งทูตจ�ำทูลสาส์น
ไปถวายพระเจ้าบเุ รงนอง ตามเหตผุ ลทพี่ ระราชโอรสทรงยกขน้ึ กล่าวอ้าง

พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบจากพระราชสาส์นของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ตรงตามความคาดหมาย ก็ทรงสมพระอัธยาศัย รับส่ังให้จัดทัพที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว
เป็นห้าทพั ท่ีเรยี กกันว่า เบญจตรุ งคนกิ ร

ทางข้างฝ่ายไทยได้เคลื่อนรับศึกพม่าไว้อย่างแข็งขัน โดยตกแต่งป้อมปราการ
พระมหานคร และขุดคูเมืองชั้นนอก มีความกว้างลึกเป็นพิเศษ เรียกว่า คลองมหานาค
และระดมพลข้ึนหวั เมอื งชนั้ นอกแห่งราชธานีทัง้ หมดเข้ามาช่วยรกั ษาพระนคร

พระมหาธรรมราชาประมาณการศกึ ดโู ดยละเอยี ดถถี่ ว้ นแลว้ เหน็ วา่ ไทยคงจะรบั
ทัพพม่าไว้ได้เป็นแน่แท้ ในขณะท่ีต้องตามเสด็จ (เยี่ยงเชลย) พระเจ้าบุเรงนองมาทางบก
ด้วยน้ันได้ทูลวอนพระเจ้าบุเรงนองอย่าให้ท�ำลายกรุงศรีอยุธยาและประชาชนชาวไทยเลย
จะทรงรับอาสาส่งศุภสาส์นไปทูลขอให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงอ่อนน้อมยอมถวาย
ช้างเผือกเป็นจำ� นวนทวคี ูณแก่พระเจ้าบุเรงนองแต่โดยดี

พระเจ้าบุเรงนองทรงทราบอยู่ก่อนแล้วว่า พระมหาธรรมราชามีความต้ังใจดี
ต่อชาติไทย และพระองค์มาแต่ต้น จงึ ทรงเมตตารกั ใคร่อนุโลมตามค�ำทูลวอนขอ แต่ทาง
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระราชโอรสท้ังสองไม่ทรงยินยอม ทัพพม่าจึงโหมก�ำลัง
เขา้ ทำ� การโจมตกี องทพั รอบนอกพระนครทงั้ สดี่ า้ นดงั กลา่ วแลว้ แตกพา่ ยไปสน้ิ กรงุ ศรอี ยธุ ยา
จึงถูกกองทัพพม่าล้อมไว้ ร้อนถึงพระมหาธรรมราชาต้องทูลขอความเมตตากรุณาเป็น
หนท่ีสอง ซ่ึงพระเจ้าบุเรงนองก็ทรงโปรดส่งพระราชสาส์นไปบังคับให้สมเด็จพระเจ้า
จกั รพรรดิยอมอ่อนน้อมพร้อมกบั ส่งช้างเผอื กส่ีเชอื กไปถวาย

คราวน้ีกรุงศรีอยุธยาเข้าที่อับตาจนเป็นท่ีสุดแล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ทรงยอมอ่อนน้อมและส่งช้างเผอื กสเี่ ชือกไปถวาย ได้แก่

พระบรมไกรสร พระคเชนทรโรดม พระรตั นทาศ พระแก้วทรงมาศ (พงั )
ในการยอมออ่ นนอ้ มตอ่ พมา่ ครง้ั นี้ พระเจา้ บเุ รงนองทรงดำ� เนนิ การนแี้ กพ่ วกไทย
ไมใ่ หม้ กี ารตระบดั สตั ยไ์ ดอ้ ยา่ งแนน่ แฟน้ แขง็ ขนั โดยทรงบงั คบั ใหส้ มเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ
สละราชสมบัติให้แก่พระมหินทรราชาธิราชโอรสองค์ใหญ่ ให้พระมหาธรรมราชาครอง
เมืองพษิ ณโุ ลกอยู่ตามเดมิ และทรงบงั คบั ให้พระราเมศวร พระยาจักรี พระสนุ ทรสงคราม
ผู้สู้รบด้วยความเข้มแขง็ ตามเสดจ็ ไปอยู่กรงุ หงสาวดี

บทที่

ยคุ กรุงธนบุรี

312 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย  พระราชปณธิ านพระเจา้ ตากสินมหาราช 



อนั ตัวพอ่ ชอ่ื วา่ พระยาตาก ทนทกุ ข์ยากกชู้ าติพระศาสนา

ถวายแผน่ ดนิ ใหเ้ ปน็ พทุ ธบชู า แด่พระศาสนา สมณะพระพุทธโคดม

ให้ยนื ยงคงถ้วนห้าพันปี สมณะพราหมณ์ชปี ฏบิ ตั ิใหพ้ อสม

เจรญิ สมถะวิปัสสนาพ่อช่ืนชม ถวายบงั คมรอยบาทพระศาสดา

คิดถงึ พอ่ พ่ออย่คู ูก่ บั เจา้ ชาติของเราคงอยคู่ ู่พระศาสนา

พทุ ธศาสนาอยูย่ งคูอ่ งคก์ ษัตรา พระศาสดาฝากไวใ้ ห้ค่กู ัน

สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราชกู้ชาติไทย วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 313

ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาใกล้จะเสียกรุง
แก่พม่าเป็นคร้ังที่ 2 เม่ือ พ.ศ. 2310 ภายหลัง
ท่ีค่ายบางระจันแตกพ่ายแล้ว มหาบุรุษผู้หนึ่ง
แห่งกรงุ ศรีอยุธยาในชว่ งนนั้ ก็ปรากฏขน้ึ สมกบั
คำ� ท่กี ล่าวว่า “กรงุ ศรีอยธุ ยาไมส่ น้ิ คนดี”

ท่านผู้นก้ี ็คือ “พระยาตาก (สิน) หรอื
สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ”ี ในกาลตอ่ มา ซง่ึ คนไทย
เราเคารพสกั การบชู าสบื มาจนทกุ วนั น้ี ออกพระนาม
ว่า “สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช”

พระราชประวตั ิของพระองค์ เกิดเม่ือพทุ ธศกั ราช 2277 ปีขาล เป็นบตุ รของจีน
ไหฮอง นายอากรบอ่ นเบย้ี ตามทมี่ เี รอื่ งเลา่ วา่ เมอ่ื คลอดใหม่ ๆ นอนอยใู่ นกระดง้ มงี ตู วั หนงึ่
เขา้ ไปขดอยใู่ นกระดง้ นนั้ ดว้ ย ผเู้ ปน็ บดิ าสงั หรณใ์ จวา่ จะเปน็ ลางรา้ ยตอ่ ทารกจงึ คดิ จะพาไป
ทง้ิ แตบ่ งั เอญิ เจา้ พระยาจกั รี สมหุ นายก ครงั้ แผน่ ดนิ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกษ ซงึ่ เปน็ คน
ชอบพอกบั จนี ไหฮองดเี หน็ ทารกหนา้ ตามบี ญุ ราศี จงึ ขอเอาไปเลย้ี ง ตง้ั ชอ่ื เปน็ ไทยวา่ “สนิ ”

พออายไุ ด้ 9 ขวบ เจา้ พระยาจกั รกี ส็ ง่ เขา้ ไปเลา่ เรยี นในสำ� นกั พระอาจารยท์ องดี
วัดโกษาวาศ พออายุได้ 13 ขวบ เจ้าพระยาจักรีก็น�ำตัวไปถวายต่อสมเด็จพระบรมโกษ
ให้เป็นมหาดเลก็

พออายคุ รบ 21 ปี กไ็ ดอ้ ปุ สมบท ไดอ้ ยใู่ นสกิ ขาบท 3 พรรษา เลา่ เรยี นวชิ าภาษา
ต่างประเทศจนแตกฉาน สามารถพูดภาษาจนี แขกและญวนได้คล่อง เมอ่ื สึกออกมาแล้ว
ก็กลับเข้ามารับราชการตำ� แหน่งมหาดเล็กดังกล่าว จนถึงแผ่นดินของสมเด็จพระสุริยาศน์
อมรินทร์จึงได้รับยศและต�ำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตรประจ�ำอยู่เมืองตาก จนกระทั่ง
ไดเ้ ปน็ เจา้ เมอื งตาก ไดเ้ ลอ่ื นยศเปน็ พระยาวชริ ปราการ ผสู้ ำ� เรจ็ ราชการเมอื งกำ� แพงเพชร
แต่คนทั้งหลายก็ยังคงเรียก “พระยาตาก” อยู่เสมอ แม้เมื่อมาตั้งเป็นก๊กขึ้นภายหลังน้ี
กย็ งั มผี ู้เรยี กกนั ว่า “เจา้ ตาก” อยู่

พระยาตากน�ำทัพออกรบกับพม่าหลายครั้งแต่ก็แตกพ่ายกลับมา มีครั้งหน่ึง
ยิงปืนใหญ่สู้กับพม่าในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาพระนครด้านฝั่งตะวันออกโดยไม่ได้รับ
อนุญาตจากศาลาลูกขุน จึงถูกคาดโทษ เพราะผู้คนในวังตกใจเสียงปืนใหญ่ ต่อมาก่อน

314 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย เสียกรุงฯ ไม่นาน ทางกรุงฯ จัดกองทัพให้พระยาเพชรบุรี เป็นแม่ทัพร่วมกับพระยาตาก
คอยสกดั ตที พั พมา่ ทยี่ กมาจากคา่ ยบางไทร ทหารพมา่ มกี ำ� ลงั มากกวา่ พระยาเพชรบรุ อี อกรบ
อย่างห้าวหาญจนตายในสนามรบ ส่วนพระยาตากถอยร่นมาต้ังทพั ท่วี ดั พชิ ัย ไม่ได้ยกทพั
กลบั เข้าก�ำแพงเมอื งอีกเลย พระยาตากประเมนิ ว่ากรงุ ศรีอยธุ ยาคงจะเสยี แก่พม่าในไม่ช้า
จึงได้ตดั สนิ ใจหกั ด่านพม่าออกไปทางค่ายวัดพิชัย

ตามพระราชพงศาวดารกลา่ ววา่ เมอ่ื ครงั้ ตฝี า่ พมา่ หนอี อกมาจากกรงุ ศรอี ยธุ ยา
ครั้งน้ัน มีข้าราชการที่ติดตามไปด้วยหลายคน คนสำ� คัญที่มีชื่อเสียงก็คือ พระเชียงเงิน
หลวงพชิ ยั อาสา หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสนา ขุนอภยั ภกั ดี ฯลฯ

ภายหลังฝ่าวงล้อมของทหารพม่าออกจากวัดพิชัยได้ส�ำเร็จ พระยาตาก
ได้น�ำกองทหารผ่านมาทางบ้านธนู บ้านข้าวเม่า กองทหารปะทะกับพม่าท่ีคลองแห่งหนึ่ง
พระยาตากตีทหารพม่าแตก ภายหลังจึงต้ังชื่อคลองน้ันว่า คลองชนะ จากน้ันจึงเดินทาง
มาพักที่บ้านโพธ์ิสังหารแต่ยังไม่ทันหายเหน่ือย กองสอดแนมก็รายงานว่ามีทหารพม่า
ยกทัพติดตามมาถึงพระยาตาก จึงให้ทหารไทยจีนเตรียมพร้อม นอกจากน้ียังมีชาวบ้าน
โพธส์ิ งั หารมารว่ มรบดว้ ย เมอ่ื กองทพั พมา่ ยกมาถงึ ทหารไทยจนี กบ็ กุ เขา้ โจมตอี ยา่ งฉบั พลนั
บริเวณทุ่งท่ีอยู่ระหว่างวัดกับหมู่บ้าน จนทัพพม่าแตกกระจัดกระจายพ่ายแพ้ไป เก็บได้
เครอ่ื งศัสตราวธุ เป็นอันมาก

พระยาตากเดินทัพต่อไป หมายจะไปพักแรมที่บ้านพรานนก ระหว่างทางพบ
กองก�ำลังพม่าสวนทางมาจากบางคาง (บริเวณป้อมเมืองปราจีน) เป็นทหารม้า 30 ม้า
และพลเดินเท้า 200 คน จะเดินทางไปยังกรงุ ศรอี ยุธยา เม่ือมาพบทหารไทยทก่ี ำ� ลังออกไป
หาเสบียง ก็ไล่ฟันทหารเหล่าน้ันมายังบ้านพรานนก พระยาตากเห็นเหตุการณ์ฉุกละหุก
และเหล่าทหารหาญกอ็ ่อนล้าเตม็ ทเ่ี พราะตงั้ แต่ออกจากวดั พชิ ยั มาเมอ่ื คนื วานกร็ บกบั พมา่
มาตลอดทางไม่ทันได้พักเหน่ือย ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น พระยาตากจึงส่ังให้
ทหารเดินเท้าจัดขบวนแถวกระจายออกเป็นปีกกา เข้าโอบล้อมทหารพม่าท่ีบุกเข้ามา
ส่วนพระยาตากควบม้าพร้อมทหารม้าคู่ใจอีกสี่ม้าบุกเข้าสู้กับทหารม้าพม่า 30 ม้า ด้วย
แบบฉบับการรบที่รวดเร็วและดุดัน สร้างขวัญและก�ำลังใจให้แก่เหล่าทหารไทยท่ีอ่อนล้า
เต็มที ให้บุกเข้าตีทัพพม่าจนแตกพ่ายไปไม่เป็นขบวน เหตุการณ์คร้ังน้ันเกิดข้ึนเมื่อวันท่ี
4 มกราคม 2309 เหล่าทหารม้า จงึ ได้ก�ำหนดให้วนั ที่ 4 มกราคม เป็นวันทหารม้า

พรานนก วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 315

เป็นชาวบ้านคนส�ำคัญท่ีรวบรวมคนไทยมาช่วยพระเจ้าตากรบกับพม่า
เดิมแกชื่อเฒ่าค�ำ ชอบล่านกด้วยหน้าไม้เป็นประจ�ำ เม่ือล่านกได้แล้วก็น�ำมาเป็นเสบียง
ให้ทหารพระเจ้าตากย่างกิน จึงเรียกเฒ่าค�ำว่าพรานนก ต่อมาหมู่บ้านแถวนี้จึงมีช่ือว่า
บ้านพรานนก และได้มกี ารสร้างรปู ปั้นเป็นอนุสรณ์ถึงแกด้วย

หลงั ศกึ บา้ นพรานนก ชาวบา้ นเหน็ ความสามารถของพระยาตากจงึ เขา้ เปน็ พวก
รวมท้ังได้ช้าง ม้า อาวุธ และเสบียงอาหารเพิ่มเติมเข้ามา ระหว่างทางมีผู้มีอิทธิพล
ท้องถ่ินรายหน่ึงชื่อ ขุนหม่ืนพันทนายแห่งบ้านดง ได้ซ่องสุมผู้คนไว้คอยท�ำร้ายกองทหาร
พระยาตากสง่ ทหารไปเกลยี้ กลอ่ มถงึ สามครง้ั ใหร้ ว่ มมอื กนั แตไ่ มส่ �ำเรจ็ ในยามสงครามทตี่ อ้ ง
สร้างความมั่นใจให้แก่ทหารไม่ให้ห่วงหน้าพะวงหลัง และเพื่อให้เห็นถึงการบังคับบัญชา
อนั เดด็ เดย่ี ว พระยาตากจงึ ตดั สนิ ใจบกุ เขา้ ตกี องกำ� ลงั ของขนุ หมน่ื พนั ทนายจนแตกพ่ายไป
จากนั้นกองทัพกู้ชาติก็มุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครนายก ต่อไปยังบ้านกบแจะ (อ�ำเภอ
ประจนั ตคาม จงั หวัดปราจนี บรุ ี ในปัจจุบนั )

ข้างฝ่ายพม่าท่ีพ่ายแพ้จากการรบท่ีบ้านพรานนก ได้กลับไปบอกนายทัพพม่า
ท่ีต้ังกองทัพอยู่ที่ปากน�้ำเจ้าโล้ ใต้เมืองปราจีน ทหารพม่าจึงยกกองกำ� ลังทั้งทางบกและ
ทางเรือตดิ ตามทหารพระยาตากไปถึงเมืองปราจนี บรุ ี

เม่ือทัพไทยยกทัพข้ามแม่น้�ำปราจีนบุรีมาถึงบ้านคู้ล�ำพันอันเป็นชายทุ่ง
ศรมี หาโพธิ์ กแ็ ลเหน็ ธงทวิ และเสยี งฆอ้ งกลอง กร็ ดู้ วี า่ พมา่ ตามมากระชน้ั ชดิ มาก จะวางกำ� ลงั
เป็นขบวนทัพก็ไม่ทันเพราะทหารพม่าใกล้เข้ามาเต็มที จึงมีบัญชาให้กองเสบียงล่วงหน้า
ไปก่อน แล้วเลอื กชัยภมู ิทมี่ แี นวป่าก�ำบงั แทนแนวค่าย ตั้งปืนใหญ่เรียงรายไว้คอยดกั พม่า

เมื่อทหารพม่าเข้ามาในระยะ พระยาตากน�ำทหารประมาณ 100 นาย
เขา้ สรู้ บเปน็ สามารถ รบอยพู่ กั หนงึ่ กแ็ กลง้ ท�ำเปน็ ถอยหนเี ขา้ ไปในแนวปา่ ทหารพมา่ ไมร่ วู้ า่
เป็นอุบายจึงแห่กันเข้าไปจนถึงแนวปืนใหญ่ที่ดักอยู่ ปืนใหญ่จากฝ่ายไทยก็ค�ำราม
ใส่ทหารพม่าพร้อมกัน ทหารพม่าล้มตายจ�ำนวนมาก พระยาตากได้ทีก็น�ำก�ำลังทหาร
เข้าโจมตีพม่าอีกคร้ังหนึ่งจนพม่าพ่ายแพ้ยับเยิน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พม่าก็ไม่กล้า
ส่งก�ำลังมารบกวนอกี เลย

316 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช

ทรงประกาศพระองคเ์ ปน็ พระเจ้าแผน่ ดินไทย เมอ่ื ปพี ุทธศักราช 2310
ขณะทรงมพี ระชนมายไุ ด้ 34 พรรษา ต้องทรงรบั ภาระอนั หนกั และเหนด็ เหนอ่ื ย
ยงิ่ กวา่ อดตี พระมหากษตั รยิ เ์ กอื บทกุ พระองค์ เพราะตอ้ งทรงสรา้ งบา้ นเมอื งหรอื ประเทศไทย
ขนึ้ ใหมท่ ง้ั เมอื ง ตอ้ งทรงแสวงหาอาหารมาแจกจา่ ยแกพ่ ลเมอื ง และเรง่ รบี ในการผลติ อาหาร
หลักคือข้าวและพืชผักให้มีเพียงพอแก่ปากท้องของราษฎร เพราะตลอดเวลาท�ำสงคราม
ราษฎรไม่เป็นอนั ได้ท�ำไร่ไถนาอย่างสะดวกสบายนกั ต้องละท้งิ ไปท�ำสงคราม หรือหนีหลบ
ซุกซ่อนจากพวกพม่าที่มาคอยปล้นคร่าชีวิตจนขวัญหนีดีฝ่อ เสบียงอาหารที่เหลือจากการ
ทำ� ศกึ มากร็ อ่ ยหรอเตม็ ที่ รวมความวา่ การสรา้ งกรงุ ธนบรุ ใี หเ้ ปน็ ราชธานขี องเมอื งไทยครง้ั นน้ั
ย่อมวุ่นวายและสับสนไปท้ังเมือง แต่น่ันก็ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับท่ีว่าในปีที่ต้ังกรุงธนบุรีน้ัน
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ยงั จะตอ้ งเสดจ็ ออกทำ� ศกึ กบั พวกพมา่ และบรรดากก๊ ทง้ั หลาย
ท่หี ลงเหลอื อยู่ โดยไม่ยอมมาร่วมหรือยอมข้นึ กับสมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชอกี 4 ก๊ก
ก๊กใหญ่ ๆ สำ� คญั ทย่ี ังเหลืออยู่ ภายหลังทีก่ ๊กของสกุ ้พี ่ายแพ้ไปแล้ว ก็คอื ก๊ก
พิษณโุ ลก ของเจ้าพระยาพษิ ณุโลกมีกำ� ลงั เข้มแขง็ มาก แม้สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช
ตัดสินพระทัยท่ีจะปราบก๊กน้ีก่อนแต่ก็ทรงท�ำไม่ส�ำเร็จ จนถูกยิงต้องพระชงฆ์ (หน้าแข้ง)
เบ้ืองซ้าย จ�ำเป็นต้องถอยทัพกลับ และทรงได้ข้อคิดว่าการท่ีคิดจะปราบก๊กใหญ่ก่อนนั้น
เป็นการคิดผิด เพราะเท่ากับเป็นการทอนก�ำลังของตนเองลงไปเสียก่อนท่ีจะมีก�ำลังเหลือ
ไว้ปราบก๊กอ่นื ๆ ทย่ี ังเหลอื อยู่ ทางทดี่ แี ล้วจะต้องปราบก๊กเลก็ ๆ เสยี ก่อน เพือ่ เป็นการได้
รวบรวมก�ำลงั เข้ามาเพ่มิ ข้ึนอกี และเมอื่ ได้ก�ำลงั ของก๊กเลก็ ๆ เข้ามารวมไว้ทงั้ หมด ก็จะมี
กำ� ลงั เพยี งพอในการปราบก๊กใหญ่ลงได้ส�ำเรจ็
เมื่อทรงได้คติเช่นนี้แล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงได้ทรงตกลง
พระทัยปราบก๊กที่อ่อนท่ีสุดคือ ก๊กเจ้าพิมาย หรือก๊กของกรมหม่ืนเทพพิพิธ ซึ่งต้ังตนเป็น
เจ้าพิมายแห่งมณฑลนครราชสีมาน่ันเอง เพราะเจ้าพิมายองค์น้ีก็หาได้มีใครเคารพรักใคร่
เท่าใดนัก เพราะไม่ใช่วีรกษัตริย์มาก่อน ถึงแม้จะเป็นเจ้าเชื้อพระวงศ์บ้านพลูหลวงก็ตาม
แต่เฉพาะกรมหมน่ื เทพพิพธิ องค์น้ยี ิ่งขาดคนทจ่ี งรักภกั ดีอย่างแท้จรงิ เอาเลยทีเดยี ว
การเคล่ือนทัพออกไปปราบก๊กเจ้าพิมายครั้งน้ีเองเป็นครั้งแรกท่ีพระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (เม่ือยังด�ำรงยศเป็นพระราชวรินทร์อยู่) ได้เสด็จออกเป็น
กองทัพหน้าของกองทัพพร้อมกับพระอนุชา (พระมหามนตรี) และทรงออกรบได้ชัยชนะ
กองทพั ของกก๊ พมิ ายทเ่ี รยี งรายอยตู่ ลอดไป แมท่ พั พมิ ายคนสดุ ทา้ ยคอื พระยาวรวงศาธริ าช

ถอยทพั หนไี ปทางเมอื งเสยี มราฐ กองทพั ของสมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชจงึ ยกตดิ ตามไป วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 317
ตีเมืองเสียมราฐได้อีกเมือง แล้วก็ย้อนกลับเข้ามาตีเมืองนครราชสีมา แต่ตัวเจ้าพิมายน้ัน
หนีเอาตัวรอดออกจากเมืองพิมายเสียก่อน โดยมุ่งจะเดินทางไปศรีสัตนาคนหุต แต่ก็
ถูกชาวเมืองนครราชสีมามาช่วยกันจับตัวได้ น�ำมาถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
และถกู สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราชสงั่ ประหารชวี ิต

ชัยชนะในการตีเมืองพิมายได้คร้ังน้ี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ได้
พระราชทานยศและบ�ำเหน็จให้แก่พระราชวรินทร์ (สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) เป็น
พระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระมหามนตรผี ู้น้อง เป็น พระยาอนุชิตราชา

สว่ นทางกก๊ ของเจา้ พระยาพษิ ณโุ ลกนนั้ เมอื่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชปราบ
ไม่ส�ำเร็จแล้ว ก็ประกาศต้ังตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินเช่นเดียวกัน แต่พอเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ได้เพยี ง 7 วันกส็ วรรคต เมืองพษิ ณุโลกจงึ ตกเป็นหน้าท่ขี องพระอินทร์อากร ผู้น้องปกครอง
ต่อไป แต่มิได้ประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คงท�ำหน้าที่ครองเมืองอยู่เฉย ๆ ชะรอย
จะละอายใจต่อการประกาศตน หรือเพราะถือฤกษ์ยามว่ายังไม่เหมาะสมควรอย่างไรก็ได้
เพราะทจี่ รงิ แลว้ ความแขง็ แรงของเมอื งพษิ ณโุ ลกนนั้ อยทู่ เี่ จา้ พระยาพษิ ณโุ ลกเพยี งคนเดยี ว
พระอนิ ทร์อากรอาจมไิ ด้แสดงฝีมอื อะไรให้เป็นทปี่ ระจักษ์มาก่อนกไ็ ด้

เพราะเหน็ ไดช้ ดั วา่ เมอื่ เจา้ พระยาพษิ ณโุ ลกตายแลว้ กก๊ เจา้ พระฝาง (พระสงั ฆราชา)
กย็ กกองทพั มาตพี ษิ ณโุ ลกอกี ภายหลงั ทไี่ ดเ้ คยมาตพี ษิ ณโุ ลกครง้ั หนงึ่ กอ่ นหนา้ ทเี่ จา้ พระยา
พิษณุโลกจะตายแต่ตีไม่ได้ต้องถอยกลับไป แต่มาคราวน้ีสามารถเอาชนะเมืองพิษณุโลก
ได้โดยอาศัยพลเมืองภายในเป็นไส้ศึก กองทัพเจ้าฝางเข้าเมืองได้ จับตัวพระอินทร์อากร
ประหารชวี ิตเสยี พษิ ณุโลกกต็ กเป็นของเจ้าพระฝางอย่างง่ายดาย

คราวนกี้ ค็ งเหลอื 3 กก๊ ทคี่ รองอ�ำนาจกนั อยู่ คอื สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช
ก๊กเจ้าพระฝาง และก๊กเจ้านครศรีธรรมราช (พระปลัด) ก๊กเจ้าพระฝางอยู่ทางเหนือ ก๊ก
เจ้านครศรีธรรมราชอยู่ทางใต้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชอยู่ระหว่างกลาง ถ้าก๊ก
เจ้าพระฝางจะคดิ มาตนี ครศรธี รรมราช กจ็ ะต้องผ่านกรงุ ธนบรุ กี ่อนจงึ ไม่เป็นปัญหาอะไรที่
ว่า ก๊กเจ้าพระฝางคงไม่คิดมาตีทางตอนใต้อีกแน่นอน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึง
ทรงคดิ ว่าจะรวบเอาเมอื งนครศรธี รรมราชเข้ามาไว้เสยี ก่อน

แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ ก็เกิดศึกข้ึนที่เมืองบันทายเพชร์โดยพระอุทัยราชา
หรือ นักพระองค์ตนเมืองเขมร ไปขอกองทัพญวนยกมาตีเมืองบันทายเพชร์ ของ
นกั พระรามาธบิ ดชี าวเขมรดว้ ยกนั เมอื งบนั ทายเพชรม์ กี ำ� ลงั นอ้ ยกวา่ สไู้ มไ่ ด้ กย็ กครอบครวั
เข้ามาพ่งึ พระบรมโพธสิ มภารของสมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช

318 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเห็นเป็นโอกาสท่ีจะแผ่อำ� นาจไปทางด้านน้ี
ดว้ ย จงึ มรี บั สงั่ ใหพ้ ระยาอภยั รณฤทธ์ิ และพระยาอนชุ ติ ราชาสองพระองคพ์ น่ี อ้ ง ยกกองทพั
ไปช่วยนักพระรามาธิบดี ขณะเดียวกันก็ได้รับส่ังให้เจ้าพระยาจักรี (มิใช่พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าฯ) เป็นแม่ทัพกับพระยายมราช พระยาศรีพิพัฒน์ และพระยาเพชรบุรี
คุมพล 5,000 คน ยกไปตเี มืองนครศรธี รรมราชด้วย

กองทพั ของเจา้ พระยาจกั รยี กทพั ผา่ นไปทางเมอื งใตท้ ส่ี ำ� คญั ๆ ซง่ึ อยใู่ นอาณาเขต
ของเมืองนครศรีธรรมราช คือเมืองชุมพร เมืองไชยาก็เข้ามาอ่อนน้อม ท�ำให้กองทัพ
เจ้าพระยาจักรีมีก�ำลังพลมากข้ึน แต่เม่ือยกกองทัพไปถึงเมืองนคร ได้ต่อสู้กันอย่างมาก
จนพระยาศรพี ิพัฒน์กบั พระยาเพชรบรุ ตี ายในทร่ี บ กย็ งั ตีไม่ได้ ประกอบกับเจ้าพระยาจักรี
กับพระยายมราชเกิดไม่ปรองดองกันเพราะความคิดเห็น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ทรงเกรงวา่ หากการศกึ ลา่ ชา้ ไปจะทำ� ใหก้ องทพั ไทยเสยี กำ� ลงั ลงไปมาก จงึ เสดจ็ ยกกองทพั หลวง
ไปด้วยพระองค์เอง โดยเสด็จทางกองทัพเรือออกทางปากนำ้� ไปทางทะเล แต่ระหว่างทาง
กป็ ระสบมรสมุ หนกั เสยี เรอื ไปหลายลำ� จงึ จำ� ตอ้ งเสดจ็ ขนึ้ จากเรอื ทเ่ี มอื งไชยา ประทบั แรมแลว้
กเ็ คลอ่ื นทพั ตอ่ ไปจนถงึ เมอื งนครศรธี รรมราช จงึ เสดจ็ ขน้ึ บกยกเขา้ ตเี มอื งนครทนั ที พวกพลรบ
เมอื่ ไดส้ มเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช มาทรงอำ� นวยการรบกม็ กี ำ� ลงั ใจฮกึ เหมิ แขง็ แรงขนึ้ อกี
ช่วยกนั รบจนกองหน้าของเมอื งนครแตกพ่าย เจ้านครรีบเลด็ ลอดหนีออกจากเมือง

กองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงสามารถตีหักเข้าเมืองได้ โดย
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงออกหนา้ พาทหารเขา้ เมอื งดว้ ยพระองคเ์ อง และภายหลงั
เมื่อจับเจ้านครได้ พวกเสนาบดีปรึกษาโทษให้ประหารชีวิต แต่สมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช ไม่ทรงเห็นด้วย รับสั่งว่าเจ้านครไม่ได้เป็นข้าราชบริพารของพระองค์ เป็นอิสระ
อีกเมืองหนง่ึ เมอ่ื พระองค์ตงั้ องค์เป็นใหญ่ได้ เจ้านครกม็ สี ทิ ธิเ์ ยย่ี งพระองค์ จึงรับสั่งให้คุม
ตัวเจ้านครเข้ามาไว้ในกรุงธนบุรี แล้วทรงตั้งเจ้าหลานเธอ เจ้านราสุริยวงศ์ครองเมือง
นครศรธี รรมราชต่อไป

ส่วนกองทัพของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า หรือพระยาอภัยรณฤทธ์ิ
กบั พระอนชุ า คอื พระยาอนชุ ติ ฯ สองพระองคท์ ยี่ กไปรบทางเขมรเพอ่ื ชว่ ยนกั พระรามาธบิ ดี
ดังกล่าวนั้น ก็เป็นฝ่ายมีชัยชนะรุกไล่ไปจนถึงเมืองพระตะบอง แต่ในระหว่างท่ีการศึก
ยังติดพันกันอยู่น้ัน ก็มีข่าวเล่าลือออกไปว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จสวรรคต
ในระหว่างทรงตเี มืองทน่ี ครศรธี รรมราช

พระยาอนชุ ติ ราชา ไดร้ บั ทราบเชน่ นนั้ กเ็ กรงวา่ จะเกดิ การจลาจลขน้ึ ไดใ้ นกรงุ ธนบรุ ี วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 319
หากข่าวลือน้ันเป็นจริง จึงขอยกทัพกลับไปก่อน ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระเชษฐา
รอทพั อยทู่ น่ี ครราชสมี าแลว้ รบี ลงมาจนถงึ เมอื งลพบรุ ี จงึ ไดท้ ราบความจรงิ วา่ สมเดจ็ พระเจา้
ตากสนิ มหาราช มไิ ดเ้ สดจ็ สวรรคตดงั ขา่ วเลา่ ลอื และไดเ้ ขา้ เฝา้ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช
กราบทูลข้อเทจ็ จริงในการท่ตี ้องยกกองทัพกลบั โดยยังมิได้รบั ค�ำสั่งให้กลบั สมเดจ็ พระเจ้า
ตากสินมหาราช ทรงทราบความจริงดังนี้แล้ว ก็ย่ิงทรงโปรดปรานพระยาอนุชิตราชามาก
และทรงชมเชยว่าพระยาอนชุ ิตราชาเป็นผู้ซอ่ื สัตย์เคารพรกั พระองค์อย่างจริงใจ

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อทรงปราบเมืองนครศรีธรรมราชได้แล้ว
ก็มิได้ทรงลืมเรื่องพุทธศาสนาท่ีพระองค์ได้ทรงท�ำนุบ�ำรุงตลอดมา เวลาจะเสด็จออกจาก
เมอื งนครกม็ รี บั สงั่ ให้น�ำเอาพระไตรปิฎกมาลอกคดั ไว้ แล้วส่งต้นฉบับกลบั คนื ไปเกบ็ รักษา
ไว้ยงั ทเ่ี ดมิ

คราวนก้ี ค็ งยงั เหลอื อยอู่ กี 1 กก๊ ทส่ี มเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช จะตอ้ งทำ� ลายให้
หมดสิ้นไป ก๊กท่ีว่านี้คือ ก๊กเจ้าพระฝาง ซึ่งบังเอิญยึดเอาเมืองพิษณุโลกซึ่งเป็นก๊กของ
เจ้าพระยาพิษณุโลกมาไว้เป็นเมืองข้ึน แล้วตั้งตนเป็นเจ้าพระฝางแบบพระสังฆราชครอง
เมืองจริง ๆ คือท้ังตัวเจ้าพระฝางกับบริวารใกล้ชิดยังคงครองผ้าเหลืองพระอยู่ตลอดเวลา
แต่ท้ัง ๆ ท่ีอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์เช่นน้ี ท้ังเจ้าและนายสามารถจะเสพสุรา ฆ่าคน และ
ประพฤตอิ นาจารกนั อย่างเอกิ เกรกิ นบั ว่าเป็นเมืองท่คี ่อนข้างจะประหลาดอยู่สกั หน่อย

เหตนุ ้ี เมอื่ ไดฤ้ กษย์ ามดี สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชกไ็ ดท้ รงตงั้ พระยาอนชุ ติ
ราชา เปน็ พระยายมราชผบู้ ญั ชาการทพั หนา้ ยกไปพรอ้ มดว้ ยพระยาอภยั รณฤทธพิ์ ระเชษฐา
องค์สมเดจ็ พระเจ้ากรงุ ธนบรุ ีเองเสด็จไปในทัพหลวง

พระยายมราชใช้เวลาตีเมืองพิษณุโลกเพียงคืนเดียวก็สามารถเข้าเมืองได้
แล้วยกกองทัพเคลื่อนรุกต่อไปยังเมืองฝางหรือเมืองสวางคบุรีในเวลาน้ัน อันเป็นราชธานี
ของเจา้ พระฝาง พระยายมราชพรอ้ มด้วยพระยาอภยั รณฤทธไิ์ ดใ้ ชก้ ำ� ลงั และความสามารถ
บุกตีเมืองสวางคบุรีจนแตกพ่าย ตัวเจ้าพระฝางเห็นสู้ไม่ได้แน่ก็ขี่ลูกช้างเผือกหนีออกจาก
เมอื งตฝี า่ กองทพั ออกไปทางดา้ นพระยาอภยั รณฤทธ์ิ พระยาอภยั รณฤทธจิ์ งึ สง่ คนออกไลต่ าม
แต่ไม่สามารถจบั ตัวเจ้าพระฝางได้ คงได้แต่ลกู ช้างเผือกตวั นั้นกลบั มา ตัวเจ้าพระฝางไม่มี
ผู้ใดได้พบเหน็ อีกเลยว่าหนอี อกไปทางไหน

320 วชิ าประวตั ิศาสตรช์ าติไทย เมื่อเสร็จศึกจากการปราบก๊กสุดท้ายของเจ้าพระฝางได้ชัยชนะแล้ว สมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งพระยายมราชเป็น เจ้าพระยาสุรสีห-
พษิ ณุวาธริ าช ส�ำเรจ็ ราชการมณฑลภาคเหนอื อยู่ ณ เมืองพิษณโุ ลก

ตามพงศาวดารกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ หรือพระยา
อภัยรณฤทธ์ิ ทรงเคราะห์ร้ายหรือไม่มีโชคเท่าพระอนุชาเพราะเหตุท่ีไม่สามารถจับกุมตัว
เจ้าพระฝางได้ แต่ก็ยังทรงสามารถติดตามเอาลูกช้างเผือก ซ่ึงถือว่าเป็นช้างคู่บ้านคู่เมือง
ของไทยเรามาได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงอภัยโทษให้ และทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนขึ้นเป็นพระยายมราชแทนน้องชายซ่ึงเล่ือนข้ึนไปเป็นเจ้าพระยา
สรุ สหี พษิ ณุวาธริ าช

เมื่อได้ปราบก๊กต่าง ๆ แตกท�ำลายจนหมดสิ้นแล้ว คราวนี้สมเด็จพระเจ้า
ตากสนิ มหาราช จงึ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดยี วของไทย เมอื งต่าง ๆ ทเี่ ป็น
ของไทยท้งั หมด จงึ ต้องอยู่ใต้พระบารมีสมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบรุ เี พยี งพระองค์เดยี ว

และน่ันหมายถึงว่า ประเทศไทยซ่ึงย่อยยับแตกพ่ายเป็นเมืองขึ้นของพม่า
ทั้งมาแตกแยกออกเป็นก๊กเกิดข้ึนตลอดระยะเวลามา 3 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2310
มาจนถึงปีพุทธศักราช 2313 ก็กลับตั้งเป็นประเทศเอกราชของไทยขึ้นได้อีกครั้งหนึ่ง โดย
สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช ทไี่ ทยเราออกพระนามของพระองค์ทรงเป็นผู้กอบกู้ข้นึ

การศึกในสมัยกรุงธนบรุ ี

คร้งั แรก ในปี พ.ศ. 2310 ตคี ่ายพม่าทโ่ี พธส์ิ ามต้น สามารถยึดกรุงศรอี ยุธยา
กลับคืนมาได้

ครง้ั ทส่ี อง พ.ศ. 2310 หลงั จากตคี า่ ยโพธส์ิ ามตน้ แตก ทพั พมา่ ยกมาทงั้ ทางบก
ทางเรอื ไดเ้ ขา้ มาลอ้ มคา่ ยจนี ทบี่ างกงุ้ แขวงเมอื งสมทุ รสงคราม ขณะทค่ี า่ ยจวนเจยี นจะแตก
สมเด็จพระเจ้าตากสินยกทัพเรือข้ึนไปตีพม่าแตกพ่ายเป็นการสร้างขวัญและก�ำลังใจให้กับ
ชาวไทย ให้เลกิ หวน่ั เกรงพมา่ หลงั จากเสยี กรงุ ศกึ หนนที้ �ำใหช้ มุ นมุ ต่าง ๆ ทต่ี ง้ั ตวั เปน็ ใหญ่
ยอมรับในพระราชอำ� นาจและเข้าสวามภิ ักด์ิสมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช

ครั้งทส่ี าม พ.ศ. 2313 กองทัพพม่าจากเมืองเชยี งใหม่ลงมาตเี มืองสวรรคโลก
เจ้าพระยาสรุ สีห์ เจ้าเมืองพิษณุโลก พระยาสหี ราชเดโช เจ้าเมอื งพิชัย และพระยาท้ายนำ�้
เจ้าเมืองสโุ ขทยั ช่วยกนั ไล่พม่าได้ส�ำเรจ็

ครั้งท่ีส่ี พ.ศ. 2313 สมเด็จพระเจ้าตากสินยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่เนื่อง วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย 321
ด้วยเชียงใหม่ตกเป็นของพม่าต้ังแต่ก่อนเสียกรุง และถือเป็นฐานใหญ่ทางหัวเมืองเหนือ
ของไทย จงึ ทรงตอ้ งการชว่ งชงิ คนื ศกึ ครง้ั นไี้ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ เพราะไพรพ่ ลนอ้ ย พมา่ ยงั คง
มอี ทิ ธิพลท่เี ชยี งใหม่

คร้ังที่ห้า พ.ศ. 2315 พม่ายกทัพมาตเี มืองพิชยั ครง้ั แรก เจ้าพระยาสรุ สีห์ และ
พระยาสหี ราชเดโช (เจ้าเมอื งพิชัย) ขบั ไล่พม่าได้ส�ำเรจ็

ครง้ั ทีห่ ก พ.ศ. 2316 พม่ายกทัพมาตเี มืองพชิ ัยอกี ทพั ไทยช่วยกันขบั ไล่พม่า
จนแตกพ่าย สงครามคร้งั นเ้ี กิดวีรกรรมของ “พระยาพชิ ยั ดาบหกั ”

ครั้งท่ีเจ็ด พ.ศ. 2317 สมเด็จพระเจ้าตากสินยกทัพไปตีเชียงใหม่คร้ังที่ 2
ได้หัวเมืองล้านนาไทยกลับมาอยู่ในราชอาณาจักร เพราะผู้น�ำท้องถ่ินคือพระยาจ่าบ้าน
และพระยากาวลิ ะเป็นก�ำลังสำ� คัญในการทำ� ศึกภายในร่วมกับทัพของพระองค์

คร้ังท่ีแปด พ.ศ. 2317 พม่ายกทัพใหญ่เข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี ต้ังค่าย
ที่บางแก้ว ราชบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินยกทัพจากหัวเมืองเหนือมารับศึก เข้าล้อมค่าย
จับพม่าเป็นเชลยจ�ำนวนมากกว่า 1,000 คน ท�ำให้คนไทยเลิกครั่นคร้ามพม่าและม่ันใจ
ในการรบมากข้นึ

ศกึ ครง้ั นพี้ ระเทพโยธาถกู ประหารชวี ติ โทษฐานขดั พระราชโองการ หา้ มมใิ หผ้ ใู้ ด
และระหว่างทางเดนิ ทพั จากหวั เมอื งเหนือลงมา

ครัง้ ท่ีเกา้ พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกแ้ี ม่ทัพพม่ายกทพั ใหญ่มุ่งโจมตหี วั เมืองเหนือ
เข้าล้อมพิษณุโลกถึง 30,000 คน และล้อมสุโขทัยอีก 5,000 คน เจ้าพระยาจักรีและ
เจ้าพระยาสรุ สหี ์เป็นแม่ทพั รบั ศกึ พม่าที่พษิ ณุโลก สมเด็จพระเจ้าตากสนิ ยกทพั หลวงข้ึนไป
ชว่ ยปะทะกนั เปน็ ศกึ ใหญ่ ทพั ไทยรบั ศกึ ไมไ่ หวจงึ สละเมอื ง ประจวบกบั พมา่ เกดิ ผลดั แผน่ ดนิ
อะแซหวุ่นก้ีจึงยกทัพกลับ ศึกคร้ังนี้อะแซหวุ่นก้ีขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีและท�ำนายว่า
จะได้เป็นกษตั รยิ ์ต่อไป

ครั้งท่ีสิบ พ.ศ. 2319 กองทัพพม่าจากเชียงแสนยกมาตีเชียงใหม่ สมเด็จ
พระเจ้าตากสนิ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสรุ สหี ์ยกทัพขึน้ ไปช่วยทัพเชยี งใหม่ สู้ศึกจนได้รับ
ชยั ชนะแตจ่ ำ� ตอ้ งทง้ิ เมอื งเชยี งใหมใ่ หเ้ ปน็ เมอื งรา้ ง เนอ่ื งจากไมม่ กี �ำลงั พลพอทจี่ ะปอ้ งกนั เมอื ง


Click to View FlipBook Version