1
วิชาสถาบนั พระมหากษัตริย์ไทย
เรอื่ ง 8 มหาราชของชาตไิ ทย
พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช
สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช
2
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช
3
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว
พระปยิ มหาราช
4
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอย่หู วั
พระมหาธีรราชเจา้
พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวภูมิพลอดุลยเดช
พระภทั รมหาราช
5
การได้รับการถวายพระนามว่า “ มหาราช ”
“ มหาราช ” ความหมาย ตามพจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตสถาน พ.ศ.2525 หมายถงึ คาซึ่งมหาชน
ถวายเพอ่ื เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดนิ การถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” แด่พระมหากษัตริย์
ของไทยในอดตี ท่ผี า่ นมาน้ัน ไมม่ กี ารประกาศอย่างเป็นทางการ แตเ่ ป็นมติของมหาชนในสมัยตอ่ มา ที่รู้สึก
สานกึ ในพระมหากรุณาธคิ ุณ จงึ ไดถ้ วายพระราชสมัญญาวา่ “มหาราช” ต่อท้ายพระนาม หรอื พระราช
สมัญญาอนื่ ทีแ่ สดงถงึ พระเกยี รตคิ ุณเฉพาะพระองค์ และเปน็ ท่ยี อมรับในการขานพระนามสืบมา
การถวายพระราชสมญั ญาวา่ “มหาราช” สันนิษฐานวา่ เริม่ มขี ึ้นในสมัย รัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้
ประมาณรัชกาลที่ ๔ และ ๕ เนอื่ งจากเปน็ สมัยทีม่ ีการคน้ ควา้ เร่ืองบรรพบุรุษ และ ประวัติศาสตรข์ องชาติ
มากข้ึน ทาใหป้ ระจกั ษถ์ ึงวรี กรรม และพระราชอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ในสมยั นนั้ ๆ จึงไดม้ ีการ
ยกยอ่ งพระมหากษตั ริย์ที่มพี ระเกยี รติคณุ เดน่ กว่าพระมหากษตั รยิ พ์ ระองค์อน่ื
--------------------------------------------------
ความมุ่งหมายของการศึกษา
ให้ นศท. ได้ทราบถึงพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของสถาบันพระมหากษัตริย์ ท่ีไดป้ ูองกัน รกั ษา
ประเทศชาติใหอ้ ยู่รอดปลอดภยั ตลอดจนพระมหากรณุ าธคิ ณุ ทไี่ ดป้ กครองดูแล ทุกขส์ ขุ ของ
อาณาประชาราษฎร์ ใหอ้ ยกู่ นั อยา่ งรม่ เยน็ เป็นสขุ มาจนกระท่ังทุกวนั น้ี
--------------------------------------------------
สารบาญ 6
ภาพ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช และ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช หน้า
ภาพ สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช และ พระเจา้ ตากสินมหาราช
ภาพ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ ภาพ 1
2
พระปยิ มหาราช ( รัชกาลที่ 5 ) 3
ภาพ พระมหาธรี ราชเจา้ (รัชกาลที่ 6) และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว
4
ภูมิพลอดุลยเดช ( พระภทั รมหาราช )
ช่ัวโมงที่ 1 9 - 21
9
พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช 9
- พระราชสมภพ/พระราชประวตั ิ
9 - 10
- - การศึกสงคราม 10 - 20
- - การปกครอง
- - การประดษิ ฐอ์ กั ษรไทย 21
- - การศาสนา 21
- - ความสัมพันธก์ ับตา่ งประเทศ 22 - 30
- สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช 22
- - พระราชสมภพ/พระราชประวตั ิ 23 - 24
- - องค์ประกนั หงสา 25 - 27
- - ประกาศอสิ รภาพ 28 - 30
- - สงครามยทุ ธหตั ถี 31 - 37
- สมเด็จพระนารายณม์ หาราช 31
- - พระราชสมภพ/พระราชประวัติ 31
- - การเสด็จข้ึนครองราชย์ 32
- - การเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ต่างประเทศ
- - ตน้ กาเนดิ ธงชาติไทย 7
- - กวีเอก แลละ วรรณกรรมทสี่ าคญั
- 32
33
- สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราช
- - พระราชสมภพ/พระราชประวัติ หนา้
- - เหตุการณก์ ่อนเสยี กรงุ ศรีอยธุ ยา ครัง้ ที่ 2 34 - 38
- - การก้อู ิสรภาพ
- - การศกึ กับพมา่ 34
- พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช 35
- - พระราชสมภพ/พระราชประวตั ิ 36 - 37
- - การสถาปนากรงุ รัตนโกสินทร์ 37 - 38
- - กฎหมายตราสามดวง 39 - 41
- - สงคราม 9 ทพั 39
39
สมเด็จพระปยิ มหาราช ( รชั กาลท่ี 5 ) 40
- พระราชสมภพ/พระราชประวตั ิ 41
- พระราชพิธีบรมราชาภเิ ษก ครง้ั ที่ 1 42 - 44
- พระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษก ครัง้ ท่ี 2 42
- พระราชกรณยี กิจ 42
- การปกครอง 43
- ต้ังสภาทป่ี รกึ ษาราชการแผน่ ดนิ 43 - 44
- การเลกิ ทาส 43
- การเจริญสมั พันธไมตรกี ับตา่ งประเทศ 43
- การแพทย์ และ กิจการโรงพยาบาล 43
- กิจการรถไฟ 44
44
สมเด็จพรมหาธรี ราชเจ้า ( รชั กาลที่ 6 ) 44
45 - 46
- พระราชสมภพ/พระราชประวตั ิ 8
- พระราชกรณยี กิจทีส่ าคญั
- ด้านการศึกษา 45
- ด้านเศรษฐกิจ 45 - 46
- ด้านการคมนาคม
- ด้านสาธารณสขุ 45
- ดา้ นการปกครอง 46
- ด้านการทหาร 46
- พระราชกรณยี กิจอื่นทสี่ าคญั 46
พระภัทรมหาราช (รัชกาลท่ี 9) 46
- พระราชสมภพ / พระราชประวัติ 46
- การศกึ ษา 46
- การเสด็จขนึ้ ครองราชย์ 47 - 48
- การปกครอง 47
- การทหาร 47
- พระราชกรณียกิจอื่นทสี่ าคญั 48
48
48
48
9
พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราช
พระราชสมภพ/พระราชประวัติ
พ่อขุนรามคาแหงมหาราช มพี ระนามเดมิ ว่า “รามราช” พระองค์ทรงเป็นพระสหายรุ่นราว
คราวเดียวกันกับ พอ่ ขุนเม็งราย แหง่ เมอื งเชียงราย และ พญางาเมือง แหง่ เมืองพะเยา ท้งั สามพระองค์
เปน็ ศิษย์ร่วมพระอาจารย์เดยี วกัน ณ สานักพระสกุ ทนั ตฤาษี ท่ีเมืองละโว้ เสด็จข้ึนครองราชย์เม่ือปี
พ.ศ.1822 ต่อจากพระเชษฐา “พ่อขนุ บานเมอื ง” เป็นพระมหากษัตรยิ ์พระองคท์ ่ี 3 ของกรุงสุโขทัย ใน
ราชวงศ์สุโขทยั หรอื “พระร่วง”
การศกึ สงคราม
ในขณะทพี่ ่อขนุ ศรอี ินทราทติ ย์ ปฐมกษัตริยข์ องกรุงสโุ ขทัยครองราชยอ์ ยนู่ ัน้ ไดท้ รงทราบ
จากทหารท่ีเข้ามากราบบงั คมทูล ณ ทอ้ งพระโรงวา่ “ขณะนข้ี นุ สามชน เจ้าเมืองฉอด ไดน้ าทัพเขา้ มา
ประชิดพระนครแล้ว พระพุทธเจ้าข้า” พระราชโอรสรามราช มีพระชนม์ 19 พรรษา ทรงอยู่ ณ ท่ีนัน้ ด้วย
พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เตรยี มจดั ทพั ออกไปรบั การรุกรานจากขุนสามชน พระราชโอรสรามราช ไดข้ อ
พระราชทานโดยเสด็จในการศึกดว้ ย พ่อขนุ ศรอี นิ ทราทิตยไ์ ดท้ รงกระทายทุ ธหัตถีกับขนุ สามชน และกาลงั
จะเพล่ยี งพลา้ พระราชโอรสรามราช ซง่ึ โดยเสด็จด้วยไดข้ ับชา้ งเขา้ ขวางและทายุทธหัตถกี บั ขนุ สามชน
จนกระทง่ั ไดร้ บั ชยั ชนะ หลังจากเสร็จศึกเสดจ็ กลับพะรราชวงั แลว้ พ่อขนุ ศรอี นิ ทราทิตย์ ทรงพระราชทาน
พระนามใหม่ให้กบั พระราชโอรส “รามราช” ว่า “รามคาแหง”
10
การปกครอง
การปกครองในสมยั พ่อขนุ รามคาแหงมหาราชน้ัน เป็นการปกครองแบบ “ปติ รุ าชาธปิ ไตย”
หรอื “พ่อปกครองลูก” ซึ่งถือวา่ ความผูกพันในครอบครัวเปน็ เรื่องสาคัญ ประชาชนทาการคา้ ขายกนั ได้
อยา่ งเสรี การเดนิ ทางไปค้าขายยังตา่ งถิ่นไม่มีการเรียกเก็บค่าภาษผี ่านทางหรือ “จังกอบ” ผใู้ ดล้มตายลง
ทรพั ยส์ ินมรดกต่างๆ ให้ตกแก่บุตร ถา้ ผ้ใู ดมีกรณีพิพาทเกิดขนึ้ กส็ ามารถไปสั่นกระดิ่ง ที่ทรงโปรดเกลา้ ฯ
ใหแ้ ขวนไว้ท่หี น้าประตวู งั เมอื่ ทรงไดย้ ินหรอื ทรงทราบแล้ว จะเสด็จออกมาว่าความดว้ ยพระองค์เอง
นอกจากนยี้ งั ทรงสร้าง “พระแท่นมนงั คศลิ าบาตร” ไว้ทกี่ ลางดงตาล (อยูใ่ นเขตพระราชวัง) ใชส้ าหรบั
ให้พระสงฆข์ ้นึ นงั่ เพ่ือแสดงธรรมเทศนาแกป่ ระชาชน ในวนั ธรรมสวนะ หรือวันพระ ส่วนในวันอื่นพระองค์
จะเสดจ็ ประทับประชมุ เสนาอามาตย์ เพื่อว่าราชการ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั รัชกาลท่ี 4
เมอ่ื ครง้ั ยังทรงผนวชอยู่ ได้คน้ พบพระแท่นมนงั คศิลาบาตรนเ้ี มอื่ ปี พ.ศ.2376 ขณะประทบั อยู่ทีศ่ าลาใหญ่
วดั กลางในเมืองสุโขทัย และเสด็จประพาสบริเวณโคกปราสาทร้าง ทรงพบพระแทน่ นี้ ทรงใหช้ ะลอมาไวท้ ี่
กรงุ เทพฯ ทาเปน็ แท่นท่ีประทบั ใตต้ ้นมะขามใหญ่ วัดราชาธวิ าส เมื่อได้เสดจ็ ขนึ้ ครองราชย์แล้วทรงโปรดฯ
ใหย้ า้ ยมาไว้ที่หนา้ วิหารพระคนั ธารราษฎร์ ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พ.ศ.2453 เมื่อรชั กาลที่ 6 ได้
เสด็จข้นึ ครองราชยแ์ ล้ว ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ทาพนักและฐานรองรบั พระแท่นมนงั คศิลาบาตร และอัญเชิญ
ไปประกอบเปน็ พระราชบัลลงั ก์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญไปประดษิ ฐานไว้ที่
พระทนี่ ง่ั อนันตสมาคม พระราชวังดสุ ติ หลงั จากทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงการปกครองไดอ้ ญั เชิญมาไวท้ ี่
พระวิหารยอดในวดั พระศรรี ัตนศาสดาราม เฉพาะแตพ่ ระแท่น พนักและฐานไมร้ องรับเทา่ นนั้ ครั้นตอ่ มา
เมือ่ มีการฉลองสมโภชพระนครครบ 200 ปี สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา สยามบรมราชกมุ ารี ทรงโปรดให้
อัญเชญิ จากพระวหิ ารยอดไปประดิษฐานทีพ่ พิ ิทธภัณฑว์ ัดพระศรรี ตั นศาสดาราม มาจนทุกวนั น้ี
พระแท่นมนังคศลิ าบาตร
11
การประดิษฐอ์ กั ษรไทย
ในสมยั สโุ ขทัย และ ในดินแดนสุวรรณภูมิน้ีไดม้ ีการนาเอาอักษรสันสกฤต และ อกั ษรขอม
มาใช้ เช่น ในคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนา , ตาราวทิ ยาการตา่ งๆ ในปี พ.ศ.1826 พ่อขุนรามคาแหงมหาราช
ทรงคิดประดษิ ฐอ์ กั ษรไทยขึ้น หรือทเี่ รียกว่า “ลายสือไท” ซึง่ ทรงดัดแปลงจากอกั ษรเดมิ ทใี่ ช้อยู่แล้วและ
คิดข้ึนใหม่ โดยให้พยญั ชนะ และ สระ มาอยู่ในบรรทัดเดยี วกนั
12
หลกั ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช
ศลิ าจารกึ หลักท่ี 1
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว รัชกาลท่ี 4 ขณะยังทรงผนวชอยู่ ทรงคน้ พบ
เมื่อ วันศกุ รท์ ่ี 17 มกราคม พ.ศ.2376 ณ บรเิ วณปราสาทเมอื งเกา่ สโุ ขทัย อาเภอเมือง สุโขทยั
ลักษณะของศลิ าจารึกหลกั ท่ี 1 เป็นหลักสี่เหลีย่ มด้านเทา่ ทรงกระโจม สงู 111 เซนติเมตร และ
หนาดา้ นละ 35 เซนตเิ มตร เป็นหนิ ทรายแหง้ เน้ือละเอยี ดมีจารกึ ท้งั สดี่ ้าน ปัจจบุ ันศลิ าจารึก
อยทู่ ี่ พพิ ิธภัณฑส์ ถานแห่งชาติ พระนคร
ศลิ าจารึก หลกั ท่ี 1 ด้านท่ี 1
เนอ้ื ความแบ่งไดเ้ ป็น 3 ตอน
ตอนที่ 1 บรรทัดท่ี 1 ถึง บรรทัดที่ 18 เป็นการเล่าประวตั ขิ องพอ่ ขุนรามคาแหง ตั้งแตป่ ระสตู ิ
จนกระทงั่ เสดจ็ ขนึ้ ครองราชย์ โดยใชค้ าวา่ “ กู ” เป็นหลกั เช่น
“ พ่อกูชอ่ื ศรอี นิ ทราทติ ย์ แมก่ ูชอื่ นางเสือง พ่กี ชู ือ่ บานเมือง กพู ่ีนอ้ งทอ้ งเดียวกันห้าคนผชู้ ายสาม
ผู้หญิงโสง พี่เผอื ผูอ้ ้ายตายจากเผือเตรยี มแต่ยงั เลก็ ”
ตอนท่ี 2 ด้านท่ี 1 บรรทดั ที่ 18 ถงึ ดา้ นที่ 4 บรรทัดที่ 11 เปน็ การกล่าวถึงสภาพบ้านเมือง
13
เหตกุ ารณ์ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ความเป็นอยู่ พระศาสนา การปกครอง ศิลปะและวฒั นธรรม รวมท้ัง
การคิดเรือ่ ง การประดษิ ฐอ์ ักษรไทยข้นึ ด้วย ตวั อยา่ ง เชน่
“ เม่อื ชั่วพ่อขุนรามคาแหง เมอื งสโุ ขทยั น้ดี ี ในนา้ มปี ลา ในนามีขา้ ว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบฝนไพร่ลู่ทาง
เพอ่ื จูงววั ไปค้า ขีม่ า้ ไปขาย ใครจักใคร่ค้าชา้ งค้า ใครจักใครค่ ้าม้าค้า ใครจกั ใคร่ค้าเงนิ ค้าทองค้า
ไพรฟ่ ูาหน้าใส ”
ตอนที่ 3 ตงั้ แต่ด้านที่ 4 บรรทดั ท่ี 12 ถึงบรรทัดที่ 27 บรรทดั สุดท้าย เป็นการยอพระเกยี รติ
พอ่ ขุนรามคาแหง และกลา่ วถงึ อาณาเขตของกรงุ สุโขทยั ตัวอย่าง เช่น
“ ในปากประตมู กี ระดงิ่ อนั หนึ่งแขวนไว้ห้นั ไพรฟ่ า้ หนา้ ปกกลางบา้ น กลางเมือง มถี ้อยมคี วาม เจ็บ
ทอ้ งข้องใจ มักจักกล่าวถงึ เจ้าถงึ ขุนบ่ไร้ ไปสัน่ กระด่งิ อนั ทา่ นแขวนไว้ พอ่ ขนุ รามคาแหงเจ้าเมอื งไดย้ นิ
เรียกเมื่อถามสวนความแกม่ นั ด้วยซอ่ื ไพรใ่ นเมอื งสุโขทยั จงึ ชม ”
14
15
16
17
18
19
20
21
22
การศาสนา
ในสมยั ของพ่อขนุ รามคาแหงมหาราช ได้มีพระมหาเถระสงั ฆราชจากประเทศลังกา ได้เข้ามา
เผยแพร่ พระพทุ ธศาสนา ลัทธลิ ังกาวงศ์ ในดินแดนสุวรรณภูมิ เรม่ิ ต้นที่เมอื งนครศรีธรรมราช ในขณะนั้น
มี 2 นกิ ายด้วยกันคอื เถรวาท และ มหายาน พอ่ ขุนรามคาแหงมหาราชได้ทรงอาราธนาพระเถระสงั ฆราช
ชาวลังกา มาเผยแพรพ่ ระพุทธศาสนาท่ีสุโขทัย คนสว่ นใหญน่ บั ถือนิกายเถรวาท
ศิลปะทางด้านพระพทุ ธศาสนาในสมยั สุโขทยั ไดร้ ับพระพุทธสิหงิ ค์มาจากลงั กา ซึ่งเป็น
แม่แบบของพระพุทธรูปสโุ ขทัย พระพทุ ธรปู ในกอ่ นสมัยสุโขทยั มาทุกยคุ ไม่เคยมเี ปลวรศั มีข้นึ สูง เพิ่งเรม่ิ
มามคี รงั้ แรกในสมยั สุโขทัย ผ้าสังฆาฏไิ มเ่ คยเป็นแฉกที่เรียกวา่ “เขย้ี วตะขาบ” เพ่ิงเริม่ มีในสมัยสุโขทัย
เช่นเดยี วกนั
พระพุทธสหิ งิ ค์
( ปจั จบุ ันอยู่ท่พี ระที่นง่ั พุทไธสวรรย์ ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร )
ความสมั พนั ธ์กับตา่ งประเทศ
พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ทรงใช้ความสัมพันธ์ทางด้านการทูต และ ด้านวฒั นธรรม โดยเฉพาะ
ด้านพระพทุ ธศาสนา แทนการทาสงครามทาใหส้ ุโขทัยมคี วามสงบรม่ เย็น ไม่เกิดสงครามกบั แคว้นต่างๆ และ
ยงั ทรงเปน็ ไมตรกี ับพญามังราย แหง่ ล้านนา และพญางาเมอื งแห่งพะเยา ท้ังสามพระองคท์ รงเปน็ พระสหาย
ร่วมพระอาจารยเ์ ดียวกัน
พ่อขนุ รามคาแหงมหาราช ทรงขยายอาณาเขตไปอย่างกว้างขวาง ทางตะวนั ออก ไดเ้ มือง
พิษณุโลก และข้ามฝั่งแมน่ า้ โขงไปจนถงึ เวียงจันทน์ และเวียงคา ในประเทศลาว ปจั จุบัน ทางใตข้ ยายไปถงึ
23
กาแพงเพชร , พระบาง (นครสวรรค์) , ชัยนาท , ราชบุรี , เพชรบรุ ี นครศรธี รรมราช และ ลงไปจนสุด
แหลมมลายู โดยมีฝั่งทะเลมหาสมุทรเป็นเขตแดน ทางทศิ ตะวันตก ได้เมอื งฉอด (อาเภอแม่สอดจังหวดั ตาก)
ทางเหนอื ไดเ้ มืองแพร่ เมืองน่าน เมอื งพลัว (อ.ปัว จว.น่าน) , ข้ามฝัง่ แม่น้าโขงไปจนถึงเมืองหลวงพระบางใน
ประเทศลาวปัจจบุ นั
นอกจากน้ียงั ทรงเจรญิ สัมพนั ธไมตรกี บั จีน ราชวงศห์ งวน จักรพรรดิหงวนสโี จ๊วฮอ่ งเต้
(กบุ๊ ไลข่าน) รวม 10 ครง้ั ส่วนจนี สง่ ทตู มาทง้ั หมด 4 ครัง้ พ.ศ.1825 , 1836 , 1837 , 1838
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
พระราชสมภพ/พระราชประวตั ิ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (องคด์ า) เปน็ พระมหากษตั ริยพ์ ระองคท์ ี่ 18 ของกรุงศรีอยธุ ยา
ในราขวงศส์ ุโขทัย (พระร่วง) ทรงพระราชสมภพเม่ือ พ.ศ.2098 ณ พระราชวังจันทน์ พิษณโุ ลก ทรงเปน็
พระราชโอรสของ สมเด็จพระมหาธรรมราชา (ขนุ พิเรนทรเทพ) กับ พระวิสุทธ์ิกษตั รี (พระสวัสดิราช)
พระราชธิดาของ สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ ทรงมีพระเชษฐภคินี 1 พระองค์ คือ พระสุพรรณกัลยา
และ พระอนชุ า 1 พระองค์ คือ สมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว)
24
องคป์ ระกนั หงสา
พระเจา้ บเุ รงนอง ขอองค์ดากบั สมเดจ็ พระมหาธรรมราชา
ในปี พ.ศ.2106 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ยกทพั มาตีกรุงศรอี ยุธยา ขณะนัน้ ทางกรุงศรีอยุธยา
มสี มเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ เปน็ พระมหากษัตรยิ ์ พระเจา้ บเุ รงนอง เขา้ ตหี วั เมืองเหนือ ไดเ้ มอื งกาแพงเพชร
สุโขทัย ศรีสัชชนาลัย และไดเ้ ขา้ ล้อมเมืองพิษณุโลกสองแควไว้ ซง่ึ เมอื งพษิ ณุโลกสองแควนั้นเป็นเมอื ง
หน้าด่านทางเหนือของกรุงศรอี ยุธยา มสี มเดจ็ พระมหาธรรมราชา ครองเมืองอยู่ และเมอ่ื เกดิ ศกึ สงครามทาง
กรุงศรอี ยุธยาควรทีจ่ ะตอ้ งจดั กองทพั มาช่วยรักษาเมืองไว้ แต่ในครั้งน้ันสมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิ ไม่ไดจ้ ัด
กองทัพข้ึนไปช่วยพิษณุโลกรบกบั พม่ากลับปลอ่ ยท้ิงให้โดดเดย่ี ว ทาใหส้ มเดจ็ พระมหาธรรมราชาเกิด
ความน้อยใจ กาลงั ของพระเจ้าบเุ รงนองมีเป็นจานวนมากขืนสรู้ บต่อไปกจ็ ะทาใหต้ ายกันทง้ั เมืองพิษณุโลก
25
จงึ ทรงทาหนงั สอื ขอระงบั ศกึ พระเจ้าบเุ รงนองจงึ สามารถยึดเมืองพษิ ณุโลกได้ ในครั้งน้นั สมเด็จพระมหา
ธรรมราชา จึงต้องทรงยอมไปเข้ากบั หงสาวดี พระเจา้ หงสาวดบี ุเรงนองทรงเห็นว่า เพ่อื เป็นการปอู งกันไม่ให้
ทางพษิ ณโุ ลกคดิ กบฏตอ่ หงสาวดอี กี จงึ ไดข้ อองค์ดาไปเลีย้ งเป็นบุตร
การที่สมเด็จพระนเรศวร หรือ องคด์ า ตอ้ งไปอยู่หงสาวดีระหว่างนน้ั ทรงได้รับการศึกษา
เป็นอยา่ งดี ไดเ้ รียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ จากพระเจา้ บเุ รงนอง ในปี พ.ศ.2114 พระสพุ รรณกลั ยา ทรงได้ขอตวั
องคด์ าเสด็จกลบั ไปยงั เมอื งพิษณุโลก เพอ่ื ช่วยราชการข้างอยธุ ยา ( กรุงศรอี ยุธยา เสียแก่พม่า คร้ังท่ี 1
เมื่อ พ.ศ.2112 ในสมยั สมเดจ็ พระมหนิ ทราธริ าช ) พระเจา้ บุเรงนองทรงให้ สมเด็จพระมหาธรรมราชา
มาครองกรุงศรีอยธุ ยา แต่คงอยู่ในฐานะเมอื งประเทศราช
ครนั้ ต่อมา พระเจา้ บเุ รงนองสน้ิ พระชนม์ พระราชโอรสได้ขึน้ ครองราชยแ์ ทน คือ พระเจ้า
นันทบเุ รง และทางหงสาวดีได้จดั ใหม้ ีพิธบี รมราชาภิเษกพระมหากษัตรยิ ์พระองค์ใหม่ โดยที่เมือง
ประเทศราชตา่ งๆ ตอ้ งสง่ เครอ่ื งราชบรรณาการ และไปรว่ มพธิ ี ทางกรงุ ศรอี ยธุ ยา สมเด็จพระมหาธรรม
ราชา ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ พระนเรศวรเสด็จไปแทนพระองค์ ในพธิ ีน้ีน้นั มีเมืองประเทศราชเมอื งหนึง่
เป็นชาวไทยใหญ่ ชื่อ เมืองคัง มที ตี่ ้งั อยู่บนเนนิ เขาสูง ไมย่ อมส่งเคร่ืองราชบรรณาการ และไม่ไปร่วมพิธี
พระเจ้านนั ทบเุ รง จงึ ทรงให้จดั ทัพ 3 กองทพั ไปตเี มืองคงั มี พระมหาอุปราชาพระราชโอรส เป็นทพั ที่ 1
พระสังขทตั เป็นทัพท่ี 2 พระนเรศวร เป็นทพั ที่ 3 ผลัดกนั เขา้ ตเี มอื งคงั และทรงตรัสวา่ “ใครสามารถ
เข้าตีเมอื งคัง และจบั เจ้าฟูาไทยใหญ่เมอื งคงั มาถวายได้ จะพระราชทานรางวัล
เริ่มต้นดว้ ยกองทพั ของพระมหาอุปราชา พระราชโอรสของพระเจ้านนั ทบุเรง เขา้ ตเี มืองคัง
ตามเสน้ ทางบังคับทางด้านหนา้ ผู้ทีอ่ ยูบ่ นเนินท่สี ูงซ่ึงเป็นทตี่ ้ังของเมอื งคัง จะมองเห็นผทู้ ี่เขา้ มาตามเสน้ ทาง
บังคบั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน พระมหาอปุ ราชาไม่สามารถที่จะนากองทพั เขา้ ตเี มอื งคังได้สาเร็จ แต่ในขณะที่
พระมหาอุปราชา กาลังเข้าตีเมืองคงั นั้น พระนเรศวร ได้นากาลงั สว่ นหน่ึงออกไปลาดตระเวนดูบรเิ วณ
รอบๆ เนนิ เขาสงู อนั เป็นที่ตง้ั เมอื งคงั เม่อื ไปถึงดา้ นหลงั เนนิ เขากพ็ บแหล่งน้าอยหู่ ลังเนิน ซึง่ ผู้ทอี่ ย่บู น
เนนิ เขาสูงส่ิงที่จาเป็นต้องใช้คือ น้า และเปน็ เวลาเดยี วกนั ทช่ี าวเมอื งคงั ลงจากเนินเขามาเอานา้ จากแหลง่
น้านั้นขน้ึ ไปใช้ พระนเรศวร นากาลงั ซ่มุ ดอู ยู่จึงไดท้ ราบวา่ เมืองคงั มีท่เี ขา้ เมอื งอีกทางหนง่ึ ซึง่ อยู่ทาง
ด้านหลงั เนินเขา หลังจากนั้นพระนเรศวรจึงไดน้ ากาลงั กลับ พอถึงเวลากองทัพทส่ี อง ของพระสงั ขทัตเขา้ ตี
พระนเรศวร ได้นาความที่ทรงไปตรวจพบมาบอกแกพ่ ระสงั ขทตั ก่อนทจ่ี ะเข้าตแี ตป่ รากฏวา่ พระสังขทัต
ไมเ่ ช่ือ ขนื เขา้ ตเี มอื งคังตามเส้นทางบงั คบั เหมือนกับพระมหาอุปราชา ผลปรากฏว่าตอ้ งพ่ายแพก้ ลบั มา
ไมส่ ามารถเขา้ ตไี ด้
พอถึงวันท่สี าม เป็นหนา้ ที่ของกองทพั พระนเรศวรเขา้ ตี ทรงแบง่ กองทพั ออกเปน็ 2 สว่ น
(ทาการเข้าตีเวลากลางคืน) ส่วนที่ 1 กาลังส่วนน้อยทาทีเป็นจะเขา้ ตที างด้านหนา้ เหหมอื นเดิม โดยให้
ช่วยกันจุดคบเพลงิ ตีเกราะ เคาะไม้ และ โห่ร้อง สว่ นพระนเรศวร ทรงนากาลังส่วนใหญ่ไปทางด้านหลัง
ตามเสน้ ทางท่พี บใหม่ ในท่สี ดุ พระนเรศวร สามารถเข้าตีเมอื งคงั ได้ และจบั เจ้าฟาู ไทยใหญ่เมอื งคงั มา
26
ถวายพระเจา้ นนั ทบุเรงไดส้ าเร็จ ดงั นั้นพระนเรศวร จึงทรงได้รับพระราชทานรางวลั จากพระเจา้ นนั ทบุเรง
ดว้ ยเหตุน้จี งึ ทาใหพ้ ระเจ้านนั ทบุเรง เกดิ ความแคลงพระทยั ในพระนเรศวร เพราะพระราชบุตรของตนเอง
ไม่สามารถทาได้ แต่พระราชบตุ รของเมอื งประเทศราชทาได้ และยงั ทรงคดิ ตอ่ ไปว่าในภายหน้าพระนเรศวร
พระองคน์ ้ี อาจคดิ แขง็ เมืองไมย่ อมเป็นเมืองประเทศราชกับหงสาวดีก็เป็นได้
ประกาศอิสรภาพ
27
ในปี พ.ศ.2126 กรุงองั วะซง่ึ เป็นเมืองประเทศราชของหงสาวดี โดยพระเจา้ อังวะเป็นกบฏ
ไม่ยอมขึ้นกับหงสาวดี โดยเกล้ียกลอ่ มเจ้าไทยใหญห่ ลายเมือง ให้แขง็ เมืองด้วยในขณะนน้ั ทางหงสาวดี มี
พระเจ้านันทบเุ รงเป็นพระมหากษัตริย์ ทรงนาทัพไปปราบองั วะ โดยให้ เจ้าเมืองแปร เจ้าเมอื งตองอู และ
เจ้าเมืองเชยี งใหม่ รวมทง้ั ทางกรุงศรีอยธุ ยาด้วย สมเด็จพระมหาธรรมราชา ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระ
นเรศวร เสด็จไปแทนพระองค์
สมเด็จพระนเรศวร นาทัพออกจากเมืองพิษณโุ ลก เมือ่ วนั แรม 6 คา่ เดอื น 3 ปมี ะแม
พ.ศ.2126 พระนเรศวร ทรงเดนิ ทพั ไปอย่างชา้ ๆ ไม่รีบรอ้ น เป็นเหตใุ ห้พระเจ้านันทบุเรง เกดิ ความ
แคลงพระทัยวา่ ทางองั วะคงจะชักชวนให้ทางกรุงศรีอยธุ ยาแข็งเมอื งด้วย จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระมหา
อุปราชาคุมทพั รกั ษาพระนครหงสาวดีไว้ รอเมื่อทพั ของกรงุ ศรีอยุธยามาถงึ ก็ใหต้ ้อนรบั และหาทาง
กาจดั เสีย ในครง้ั นีไ้ ดส้ ัง่ ให้ พระยาเกียรติ และ พระยาราม ซ่ึงเปน็ ชาวมอญมพี รรคพวกมากอยู่ทเี่ มืองแครง
ซง่ึ เป็นเมืองชายแดนตดิ กบั พระนครศรีอยธุ ยา ลงมาคอยตอ้ นรบั พระนเรศวร เพราะเปน็ ผู้ที่คนุ้ เคยกบั พระ
นเรศวรมาแต่กอ่ น และพระมหาอปุ ราชา ไดส้ ัง่ เปน็ ความลบั ไว้ว่าถ้าพระนเรศวร ยกทพั ข้ึนไป ถ้า
พระมหาอปุ ราชา เขา้ ตดี ้านหน้าเมอื่ ใดให้ พระยาเกียรติ และ พระยาราม คมุ กาลังเขา้ ตีกระหนาบทาง
ดา้ นหลังแล้วชว่ ยกันกาจดั พรพะนเรศวร
เมื่อพระยาเกยี รติ และ พระยาราม ไปถึงเมืองแครงได้นาความนี้ไปบอกกับพระมหาเถรคนั ฉ่อง
ได้ทราบความ พระยาเกยี รติ , พระยาราม และ พระนเรศวร เปน็ ศษิ ย์รว่ มพระอาจารย์เดียวกนั กค็ ือ
พระมหาเถรคนั ฉ่อง เมอื่ ครงั้ ทีพ่ ระนเรศวรอยู่ท่ีหงสาวดี กองทัพของพระนเรศวร ยกมาถึงเมอื งแครงเมอื่
วนั ขน้ึ 1 คา่ เดือน 6 ปีวอก พ.ศ.2127 โดยใช้เวลาเดนิ ทพั เกือบ 2 เดือน พระนเรศวร ทรงพกั ทพั อยู่ที่
นอกเมือง เจ้าเมอื งแครง พร้อมดว้ ย พระยาเกยี รติ และ พระยาราม ได้ไปต้อนรับจากนน้ั พระนเรศวรได้
เสดจ็ ไปเย่ยี มพระมหาเถรคนั ฉอ่ งซึง่ เป็นพระอาจารย์ ครั้นพระนเรศวรเสดจ็ มาถึง พระมหาเถรคันฉ่อง
28
ไดก้ ราบทลู เร่ืองท่ีทางหงสาวดคี ดิ ท่ีจะประทษุ ร้ายพระองค์ แลว้ ใหพ้ ระยาเกียรติ พระยาราม กราบทลู
ในรายละเอียดตามความเป็นจรงิ
พระนเรศวร ทรงพระดาริวา่ การเปน็ อริราชศัตรูกบั หงสาวดี ถงึ เวลาทจ่ี ะตอ้ งเปดิ เผยแล้ว
จึงรับส่งั ให้เรียกประชุมแม่ทพั นายกอง กรมการเมอื ง เจา้ เมืองแครง รวมท้ังพระยาเกยี รติ พระยาราม
และทหารมอญ มาประชุมพรอ้ มกนั โดยมพี ระมหหาเถรคนั ฉ่องพร้อมคณะสงฆ์มาเปน็ สักขีพยาน
ทรงแจง้ ให้ที่ประชุมทราบเร่อื งทพี่ ระเจ้าหงสาวดคี ดิ จะประทุษรา้ ยพระองค์ แล้วประกาศต่อหนา้
เทพยดาฟูาดินวา่ “ข้าแต่เทพยดาฟา้ ดนิ ท้ังหลายจงเป็นทิพย์พยาน ด้วยพระเจ้าหงสาวดี มิได้
ต้ังอยูโ่ ดยครองสจุ รติ มติ รภาพขตั ตยิ าประเพณี ประพฤติพาลทุจริตคิดจะทาจะทาภยนั ตราย
แกเ่ รา นับแต่น้ีไปเบ้ืองหน้า กรงุ พระมหานครศรอี โยธยากับเมืองหงสาวดี ขาดจากกันแต่วันน้ี
ไปตราบเท่ากลั ปวสาน”
( รวมเวลาทกี่ รงุ ศรีอยธุ ยาตอ้ งตกเป็นเมอื งประเทศราชของหงสาวดี 15 ปี )
เหตุการณ์หลงั จากประกาศอสิ รภาพ
หลงั จากทีพ่ ระนเรศวรประกาศอสิ รภาพแลว้ ก็มไิ ดเ้ สด็จเข้าเมอื งหงสาวดี และเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา โดย
นาเอาผคู้ น และทรพั ยส์ ินตา่ งๆ ของกรงุ ศรอี ยุธยาเมื่อคร้งั เสียกรุงคร้งั ท่ี 1 เม่ือ พ.ศ.2112 กลับมาดว้ ย
เมื่อทางหงสาวดที ราบว่า พระนเรศวร ไมเ่ สด็จเขา้ พระนคร กไ็ ด้ให้ “สรุ กรรมา” เป็นแม่ทัพคุม
กาลังไล่ตดิ ตามพระนเรศวร ตามเส้นทางท่ีพระนเรศวรเสด็จกลับจะต้องขา้ มแม่นา้ แหง่ หนง่ึ ซ่ึงกว้างมาก
แมน่ ้านชี้ ่อื “แม่น้าสะโตง” ในระหวา่ งทางทรงรบั สั่งให้ พระราชมนู คุมกาลังสว่ นหน่งึ ไว้คอยสกดั ทัพของ
พมา่ ท่ีติดตามมา เม่อื พระนเรศวร เสดจ็ มาถึงริมฝั่งแม่น้า กไ็ ดเกณฑ์ผูค้ นพรอ้ มด้วยทหารช่วยกันสร้าง
สะพานขา้ มแมน่ า้ สะโตง (คาดวา่ น่าจะเปน็ ส่วนท่ีแคบท่ีสุดของแมน่ ้า) ตลอดสะพานก็ไดใ้ หท้ หารวาง
ดนิ ระเบิดไว้ตลอดสะพานเมื่อสะพานสร้างเสร็จ กใ็ ห้ผ้คู นพรอ้ มกาลงั ทหารข้ามแมน่ ้า ในขณะเดยี วกนั ก็
รับส่ังใหพ้ ระราชมนู ถอนกาลังกลับ พอกาลังของพระราชมนู ขา้ มสะพานพระนเรศวรกเ็ สดจ็ เป็นองค์
สดุ ท้าย พร้อมกับระเบิดสะพานทง้ิ สุกรรมา คมุ ทัพมาทนั ที่ริมฝงั่ แม่น้าพอดแี ต่ไม่สามารถใชส้ ะพานได้
ทหารเดนิ เท้าของทั้งสองฝุายใช้ปนื ไฟ (เปรียบได้กับปืนเล็กยาวในปัจจุบัน) ยิงใส่กนั แต่ไม่สามารถยิงถงึ
เน่อื งจากแมน่ า้ กวา้ งมาก พระนเรศวร ไดน้ าพระแสงปนื ยาว 9 คืบ มาประทบั ยิง ไปโดนสุรกรรมา ตกจาก
ช้าง เสียชวี ิต ณ ที่ตรงน้นั ตอ่ มาพระแสงปืนทพ่ี ระนเรศวรทรงใชน้ ้ัน ไดช้ ่อื ว่า “พระแสงปืนต้นขา้ ม
แมน่ า้ สะโตง”
29
สงครามยุทธหตั ถี
30
เมื่อวนั ท่ี 29 กรกฎาคม พ.ศ.2133 สมเด็จพระนเรศวร ทรงมีพระชนมไ์ ด้ 35 พรรษา ได้
เสด็จขน้ึ ครองราชย์สบื ตอ่ จากสมเดจ็ พระมหาธรรมราชา พระราชบิดา พระองคท์ รงสถาปนาพระเอกาทศรถ
ขึน้ เป็นมหาอปุ ราช ทรงพระนามสมเดจ็ พระเอกาทศรถ ให้มีเกียรติยศสูงเทา่ พระมหากษตั รยิ ์อีกพระองค์
สมเด็จพระนเรศวร เสด็จขึ้นครองราชยไ์ ดเ้ พียง 3 เดือนกม็ ขี ่าวศึกมาจากหงสาวดี
ในครง้ั นั้น เมืองคัง เกิดแขง็ เมืองข้ึนอีกครง้ั พระเจ้านนั ทบุเรง ทรงโปรดฯ ใหจ้ ดั กองทพั
ออกเป็น 2 กองทัพ ไปตเี มืองคงั ของเจา้ ฟูาไทยใหญ่ และกรุงศรอี ยุธยาพรอ้ มกนั ทางเมอื งคัง ทรงโปรดฯ
ใหพ้ ระเจ้าแปรราชบุตร (ราชบุตรของพระเจ้าบุเรงนอง) คมุ กองทพั 100,000 คน ไปตเี มอื งคังใหไ้ ด้และ
โปรดเกล้าฯ ให้ พระมหาอุปราชา ราชบุตร คุมกองทัพ 200,000 คน มาตีกรงุ ศรอี ยธุ ยา โดยมีพระยาพะสิม
และ พระยาพุกาม เป็นทัพหนา้ เขา้ มาทางด่านเจดียส์ ามองค์
สมเด็จพระนเรศวร ทรงมีพระดารวิ ่า การไปสกัดทพั ของขา้ ศกึ ไว้ก่อนจะทาให้ภายในกรุง
มเี วลาเตรียมการรบั มือขา้ ศึกได้ทนั เวลา ปลายเดอื นธันวาคม พ.ศ.2133 สมเด็จพระนเรศวร ตดั สินพระทยั
นากองทพั ออกจากพระนครทนั ที พอเสดจ็ ถึงเมอื งสุพรรณบุรีก็ทรงทราบว่าขา้ ศึกผ่านเข้ามาทางเมือง
กาญจนบรุ ีแล้ว จงึ ทรงนาทัพไปตง้ั รับขา้ ศึกท่บี รเิ วณลานา้ ท่าคอย เมืองสุพรรณบุรี และเมอ่ื กาลังข้าศึกเข้า
มาถึงบรเิ วณท่ีดักซ่มุ อยู่จึงได้ปะทะกบั ทพั หนา้ ของพม่า พระยาพุกาม ผู้ควบคุมทัพเสียชีวิตในสนามรบ
ส่วนพระยาพะสิมแมท่ ัพหน้า ถอยหนแี ละไปถูกจบั ได้ที่บา้ นจระเข้สามพัน กองทัพของพม่าแตกหนีไปจน
กระทงั่ ถึงทพั ใหญ่ของพระมหาอปุ ราชา ทาให้กองทัพของพระมหาอปุ ราชาไม่สามารถควบคุมกองทัพให้
เปน็ ระเบยี บได้ เสยี ขบวนถอยหนี และก็เกอื บถกู จับได้ แต่ทหารพม่าก็พาเล็ดลอดหลบหนีออกไปจนพ้น
เขตแดนกรุงศรีอยธุ ยาเขา้ เขตพม่า
ในปี พ.ศ.2135 พระเจ้านันทบุเรง ได้โปรดเกล้าฯ ให้พระมหาอปุ ราชาราชบุตร นากองทัพ
ไปตีกรุงศรีอยธุ ยาเป็นการแกต้ ัวอีกคร้งั พระมหาอปุ ราชาเป็นทพั หลวง และ เจ้าเมืองจาปะโรเป็นทพั หน้า
เข้ามาทางดา่ นเจดีย์สามองค์ แลว้ เคล่ือนทัพไปตัง้ มน่ั ที่ ตาบลตระพงั ตรุ แขวงเมืองสุพรรณบรุ ี
เมือ่ ถงึ วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2135 สมเด็จพระนเรศวร และ สมเดจ็ พระเอกาทศรถ ไดเ้ สดจ็
ออกจากกรงุ ศรีอยุธยา ดว้ ยขบวนเรอื พระทน่ี ่งั เพอ่ื ไปทาพิธตี ัดไมข้ ม่ นามทีท่ ุ่งลุมพลี แล้วเสดจ็ ไปประทับแรม
ที่ค่ายหลวงที่ทุ่งปาุ โมก
วันท่ี 13 มกราคม พ.ศ.2135 สมเด็จพระนเรศวร และ สมเดจ็ พระเอกาทศรถ ได้นากองทัพ
100,000 คน ออกจากทงุ่ ปุาโมก ไปต้ังค่ายหลวงอยู่ทหี่ นองสาหร่าย และตั้งทพั ท่รี ิมน้าทา่ คอยเมื่อวันที่
15 มกราคม พ.ศ.2135
พระมหาอุปราชา เม่ือทราบวา่ สมเด็จพระนเรศวร มาตงั้ ค่ายหลวง กน็ าทพั ออกจากตระพังตรุ
เมื่อ 15 มกราคม พ.ศ.2135 มาถงึ บริเวณตาบลพนมทวน เป็นเวลาบ่ายสามโมง ขณะนนั้ ปรากฏว่าเกิดลม
พายุพดั เอาพระเศวตฉัตรบนหลงั ชา้ งหักสะบั้นลงมา พระมหาอุปราชา เหน็ ว่าเป็นลางบอกเหตุจงึ รู้สกึ หว่ัน
พระทัยในการที่จะไปต่อสกู้ บั พระนเรศวร
31
เมือ่ ถงึ วนั ที่ 18 มกราคม พ.ศ.2135 ในเวลาเช้า สมเด็จพระนเรศวร และ สมเด็จพระเอกาทศรถ
ทรงแตง่ เครอื่ งพิชยั ยุทธประทับบนหลังช้าง สมเดจ็ พระนเรศวรทรงช้างชือ่ “พลายทองคา” สว่ นสมเด็จ
พระเอกาทศรถ ทรงช้างช่ือ “พลายบญุ เรือง”
เวลา 7 นาฬิกา ทัพหน้าของพระนเรศวร ได้ปะทะกบั ข้าศึก แต่กาลงั ขา้ ศกึ มมี ากกวา่ ต้านทาน
ไมไ่ หวจึงแตกถอยมา จนกระท่งั ถึงเวลา 11 นาฬิกา กระบวนทพั ท่ีแตกถอยมาลงมาถึงที่ตั้งรบั ของสมเดจ็
พระนเรศวร หลังจากนนั้ จึงทรงรับสงั่ ให้กาลงั ท่ีเตรียมไว้ออกตโี ตต้ อบข้าศึกพร้อมกัน กองทพั พมา่ ไม่ทัน
ระวงั จึงแตกถอยไมเ่ ป็นกระบวน ขณะนน้ั ช้างทรงของสมเดจ็ พระนเรศวร และ สมเด็จพระเอกาทศรถเปน็
ช้างชนะงากาลังตกมนั เม่ือเห็นข้าศกึ ถอยหนีจงึ ว่งิ ไล่กวดชา้ งศึก เกดิ การปะทะกนั จนฝุนตลบไปหมดทั่ว
บรเิ วณจนไม่อาจมองเหน็ ได้ชัดวา่ ทพั นั้นเปน็ ของฝุายใด เม่ือลมสงบฝนุ จางลง สมเดจ็ พระนเรศวร ก็ทรง
รูว้ า่ พระองค์ และสมเด็จพระเอกาทศรถ ไปยนื อยู่ท่ามกลางข้าศกึ ตรงหนา้ คอื พระมหาอปุ ราชา ประทบั บน
หลงั ชา้ งอยูใ่ ตร้ ม่ ไม้ กับทหารยืนเรียงรายอยู่ สมเดจ็ พระนเรศวร ทรงมพี ระสตมิ ัน่ คงไม่หวาดหวัน่ แม้จะอยู่
ท่ามกลางวงลอ้ มข้าศกึ และ พระองคท์ รงเหน็ ทางที่จะเอาชนะขา้ ศกึ ได้เพยี งประการเดยี วกค็ ือ การทา
ยุทธหตั ถี จงึ ทรงขับช้างเขา้ ไปยืนตอ่ หนา้ พระมหาอุปราชา แล้วตรัสว่า
“เจ้าพ่ี จะยืนช้างอยู่ใต้ร่มไม้ทาไม เชญิ ออกมาทายุทธหตั ถีกนั ให้เปน็ เกียรตยิ ศเถดิ กษัตริยภ์ ายหนา้ ท่ีจะ
ชนช้างได้อยา่ งเรา จะไมม่ ีอีกแล้ว”
พระมหาอปุ ราชา ไดย้ ินดังนัน้ ด้วยขตุ ตยิ มานะของวสิ ยั กษตั รยิ ์ จะไม่รับการยทุ ธหัตถี กจ็ ะ
เป็นทล่ี ะอายแกน่ กั รบทัง้ ปวง จงึ ขับช้างพลายพัทธกอ ออกมาทายทุ ธหตั ถี พลายทองคาช้างทรงพระนเรศวร
กาลังตกมนั เหน็ ชา้ งข้าศึกออกมาจึงโถมเข้าใส่จนพลายพัทธกอ ได้ลา่ งแบกรุนจนเอนไป พระมหาอุปราชา
ได้ทจี ึงฟนั ด้วยพระแสงของา้ ว สมเดจ็ พระนเรศวร ทรงเบ่ียงพระองค์หลบ ทาใหพ้ ระแสงของา้ วถูก
พระมาลาขาดไปเล็กน้อย พลายทองคาสะบัดหลดุ จากพลายพัทธกอ แล้วได้ลา่ งแบกรนุ เอาพลายพทั ธ กอ
เอนไป สมเด็จพระนเรศวร ได้จังหวะจงึ ฟันด้วยพระแสงของา้ ว ถูกพระมหาอปุ ราชา ท่ไี หลาขวาเฉยี งลงซา้ ย
( เรียกสะพายแลง่ ) สนิ้ พระชนมอ์ ยูบ่ นคอชา้ ง สว่ นสมเดจ็ พระเอกาทศรถ กไ็ ดท้ ายุทธหตั ถกี ับ มังจาปะโร
จนได้รบั ชยั ชนะเชน่ กัน
32
ศกึ ยุทธหัตถี ทห่ี นองสาหร่าย
พระมหาอุปราชา พระนเรศวร พระแสงของ้าวพระมหาอปุ ราชา
พระนเรศวรดว้ ยพระแสงของา้ ว ทรงเบยี่ งพระองค์หลบ ฟนั ถูกพระมาลา
สมเด็จพระนเรศวร
ทรงฟนั พระมหาอปุ ราชา
ด้วยพระแสงของา้ ว
ฟนั ถกู พระมหาอุปราชา ทีไ่ หล่ดา้ นขวา
(สะพายแล่ง) เฉียงลงข้างซ้าย
สน้ิ พระชนม์อยูบ่ นคอช้าง
พลายทองคา ชา้ งทรงของสมเดจ็ พระนเรศวร
ต่อมาไดร้ บั พระราชทานนามว่า
33
“เจา้ พระยาไชยานภุ าพ”
พลายบญุ เรอื ง ชา้ งทรงของสมเดจ็ พระเอกาทศรถ ได้รับพระราชทานามว่า
“เจ้าพระยาปราบไตรจกั ร”
ส่วนพระมาลาทสี่ มเดจ็ พระนเรศวรทรงสวมในขณะทีท่ ายทุ ธหตั ถนี ั้น ไดช้ อ่ื ว่า
“พระมาลาเบ่ียง”
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พระราชสมภพ / พระราชประวตั ิ
สมเดจ็ พระนารายณม์ หาราช หรือ สมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 3 ราชวงศป์ ราสาททอง เสด็จ
พระราชสมภพเมอื่ วันจันทร์ เดอื นยี่ ปวี อก พ.ศ.2175 เปน็ พระราชโอรสของสมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง
การเสด็จข้นึ ครองราชย์
สมเด็จพระนารายณม์ หาราช ทรงมีความสาคญั ต่อการเสด็จขน้ึ ครองราชย์ของ พระศรสี ุธรรม
ราชา ทรงรว่ มมอื กบั พระศรสี ุธรรมราชา ชิงราชสมบัติจากสมเดจ็ เจา้ ฟูาไชย ซ่งึ เป็นพระเชษฐาของพระองค์
หลังจากทพี่ ระองคไ์ ด้ช่วยใหพ้ ระศรีสธุ รรมราชาได้ครองราชย์แลว้ พระองค์ได้รบั การแตง่ ต้ังใหด้ ารงตาแหนง่
34
มหาอปุ ราช หลงั จากทีพ่ ระศรีสุธรรมราชา เสดจ็ ขน้ึ ครองราชยไ์ ด้เพียง 2 เดอื น พระองคก์ ็ทรงชิงราชสมบัติ
จากพระศรสี ุธรรมราชา และพระองค์เสดจ็ ข้ึนครองราชยเ์ มอ่ื วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2199 ขณะทมี่ พี ระชนม์
เพยี ง 25 พรรษา เปน็ พระมหากษัตรยิ พ์ ระองคท์ ่ี 27 (ราชวงศป์ ราสาททอง) แหง่ กรุงศรอี ยุธยา หลงั จาก
ประทับทก่ี รุงศรอี ยธุ ยาได้ 10 ปี พระองค์ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างเมอื งลพบุรขี ้ึนเปน็ ราชธานีแหง่ ที่ 2 เมื่อปี
พ.ศ.2209 และเสด็จไปประทบั ทีล่ พบุรี ทกุ ๆ ปๆี ละครั้งๆ ละหลายเดอื น
การเจริญสัมพันธไมตรกี บั ตา่ งประเทศ
ในสมัยสมเด็จพระนารายณม์ หาราช การเจริญสัมพันธไมตรีกับตา่ งประเทศมีความเจริญ
รุง่ เรืองมาก มกี ารติดต่อกันทางด้านการค้า การทตู กบั ประเทศต่างๆ เชน่ จนี ญ่ปี นุ องั กฤษ ฮอลนั ดา
มชี าวตา่ งชาติเขา้ มาในพระราชอาณาจกั รเป็นจานวนมาก ทรงโปรดเกล้าฯ แตง่ ต้ังคณะทตู โดยมี
เจา้ พระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นราชทตู ไปเจรญิ สมั พนั ธไมตรีกบั ราชสานักฝรั่งเศส ในสมัยของพระเจ้า
หลุยสท์ ี่ 14 ถงึ 4 คร้งั ดว้ ยกัน ด้วยเหตทุ ี่ในสมัยน้นั ฮอลันดา ไดก้ ดี กันการเดินเรอื ค้าขายของไทยถึงกบั
นาเอาเรอื รบมาปดิ ปากแมน่ ้าเจา้ พระยา และขูจ่ ะระดมยิงจนเราตอ้ งยอมผอ่ นผันและทาสญั ญายกผล
ประโยชน์ทางการค้าใหต้ ามต้องการ
ตน้ กาเนดิ ธงชาตไิ ทย
“ ธง ” ความหมายตามพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตสถาน หมายถึง ผืนผ้า ทีม่ ีสแี ละลวดลาย
ต่างๆ ใช้เป็นเครื่องหมายบอกชาติ ตาแหน่งราชการ ใช้เปน็ อาณตั ิสัญญาณตามแบบสากลนิยม และใช้เป็น
เครอ่ื งหมายเรอื เดินทะเล หมคู่ ณะ สมาคม อาคารร้านคา้ และอาณตั สิ ัญญาณอื่นๆ
ในสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีเรอื สินค้าของฝรงั่ เศสเข้ามาในกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฝาุ ย
กรงุ ศรอี ยธุ ยา ได้ยงิ สลตุ ตอบเพื่อเปน็ การคานับตามธรรมเนียม แต่เน่อื งจากในขณะนน้ั ไทยยงั ไม่มธี งใช้
35
เป็นของตนเอง จึงได้ใช้ธงของฮอลนั ดาชักขึ้นแทน ทางเรือสินค้าของฝร่งั เศสเห็นวา่ เปน็ ธงของฮอลนั ดา
จึงไม่ไดย้ ิงสลตุ ตอบ ทางกรุงศรอี ยธุ ยาได้แก้ปัญหาโดยหาได้ผ้าสีแดงลว้ นรูปทรงส่ีเหล่ียมผืนผ้า ชกั ขนึ้
แทนธงฮอลันดา ทางเรอื สินคา้ ของฝร่ังเศสจงึ ไดย้ งิ สลตุ คานับตอบ จากเหตุการณด์ งั กล่าวถอื ว่า เป็น
จุดเริ่มตน้ ของประวัตศิ าสตรธ์ งชาติไทย
ธงสแี ดงล้วน ในสมยั สมเด็จพระนารายณ์
กวีเอก และ วรรณกรรมทีส่ าคัญ
สมเด็จพระนารายณ์ มิใช่ทรงมพี ระปรีชาสามารถทางด้านการทูตเท่าน้ัน ทรงเป็นกวี และได้อุปถมั ภ์
กวีในสมัยของพระองคอ์ ย่างมากมาย กวเี อกที่มชี อ่ื เสียงมากในสมัยของพระองค์ เช่น พระโหราธบิ ดี หรือ
พระมหาราชครู ผูป้ ระพนั ธห์ นงั สอื “จนิ ดามณี” ซง่ึ ถอื ว่าเปน็ ตาราเรยี นเลม่ แรกของไทย และตอนหนึ่งของ
สมทุ รโฆษคาฉันท์ (อกี ตอนหนง่ึ สมเด็จพระนารายณ์ พระราชนพิ นธ์) กวีเอก อีกคนหนง่ึ คือ “ศรีปราชญ์”
เปน็ บตุ รของพระโหราธบฺ ดี ผลงานสาคัญของศรีปราชญ์ เช่น กาสรวลศรปี ราชญ์ และอนรุ ทุ รคาฉนั ท์
สมเดจ็ พระนารายณ์ ยงั ทรงพระราชนพิ นธ์โคลง โตต้ อบกบั ศรปี ราชญด์ ้วย
36
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช
พระราชสมภพ / พระราชประวตั ิ
37
สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช ทรงพระราชสมภพเม่ือ พ.ศ.2277 ในสมยั ของสมเด็จพระเจา้
อยหู่ วั บรมโกศ เป็นบตุ รของนายอากรบ่อนเบ้ีย นามวา่ “หยง แซ่แต้” ซึ่งอพยพมาจากเมืองจีน และมารดา
ชอ่ื “นกเอ้ียง” ซึ่งเปน็ คนไทย ต่อมาได้รบั การเฉลมิ พระนามเปน็ “กรมพระเทพามาทย์” เม่อื แรกเกิดน้นั
นอนอยใู่ นกระด้ง ปรากฏวา่ มีงูตวั หนึง่ เขา้ ไปขดอยูใ่ นกระดง้ ด้วย บดิ าคดิ วา่ จะเปน็ ลางรา้ ย จึงคิดจะเอา
ไปท้งิ แตเ่ จ้าพระยาจกั รี ในแผน่ ดนิ สมเด็จพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ ผูซ้ ่งึ ค้นุ เคยกับ หยง แซ่แต้ นายอากรฯ
ไดข้ อเอาไปเล้ียง และไดต้ ง้ั ชอ่ื ให้ว่า “สิน” ตอ่ มาไดเ้ ขา้ รับราชการเปน็ มหาดเล็ก
เมื่อ สนิ อายุครบ 21 ปี ได้อปุ สมบท อยไู่ ด้ 3 พรรษา และเลา่ เรยี นวชิ าภาษาตา่ งประเทศ
จนแตกฉาน สามารถพดู ภาษาจีน และ ญวน ไดค้ ล่อง เม่อื ลาสิกขาบทแลว้ กก็ ลับมารบั ราชการตามเดมิ
จนกระทงั่ ถึงแผ่นดิน สมเด็จพระทีน่ ัง่ สุริยาศอมรนิ ทร์ หรอื พระเจ้าเอกทัศน์ ตอ่ มาไดร้ ับตาแหนง่ เป็น
หลวงยกกระบตั รเมอื งตาก จนกระทงั่ ได้เป็นเจ้าเมอื งตาก ตอ่ มาภายหลงั ได้เข้ามารับราชการอยู่ในกรุงศรี
อยุธยา ได้รับความดคี วามชอบได้เลอ่ นบรรดาศกั ดเิ์ ป็น พระยาวชิรปราการ ผู้สาเร็จราชการเมอื ง
กาแพงเพชร แต่มทิ ันไดไ้ ปปฏิบตั ิหน้าทก่ี เ็ กิดศกึ กบั พมา่ จงึ ถูกเรียกตัวให้อยชู่ ่วยปูองกันพระนคร แตใ่ น
ปจั จุบนั คนท้งั หลายยังคงเรยี ก “พระยาตาก” หรือ “สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ ” อยเู่ สมอ
38
เหตุการณ์ก่อนเสียกรงุ ศรีอยธุ ยา
เมื่อคร้ังกรงุ ศรอี ยุธยาใกลจ้ ะแตก พระยาวชรปราการ ซึ่งถูกเรียกตวั ไวช้ ว่ ยรกั ษาพระนคร
เกดิ ความทอ้ ใจในการปฏิบัตริ าชการ และคดิ ว่าถา้ ขนื อยูต่ ่อไปกรงุ ศรีอยธุ ยาจะต้องแตกเปน็ แน่เพราะ
ไดถ้ ูกพม่าล้อมกรงุ ไวจ้ นหมดสนิ้ จงึ ไดร้ ว่ มกบั พระเชียงเงนิ หลวงพชิ ัยอาสา หลวงพรหมเสนา
หม่ืนราชเสนห่ า ร่วมกับผู้สมคั รใจอกี ประมาณ 500 คน ตีฝุาวงลอ้ มพม่าออกไปทางค่ายวดั พิชยั
พระยาวชริ ปราการ รวมกาลังและตีฝา่ วงล้อมพม่าออกไปทางค่ายวัดพชิ ัย
พระยาวชริ ปราการ ไดน้ ากาลังจากคา่ ยวดั พชิ ัยไปทางตะวันออก พมา่ ไดน้ ากาลังติดตามไป และไดป้ ะทะ
กันครงั้ แรกท่ี บ้านโพธส์ิ งั หาร (โพธิ์สาวหาญ) ซึ่งพม่าได้ถูกตแี ตกพา่ ยไป เม่ือออกจากบ้านโพธส์ิ ังหาร ไดไ้ ป
พักกาลังอยู่ที่บ้านพรานนก ในระหว่างนัน้ ไดส้ ง่ กาลังออกไปหาเสบยี งเพิม่ เตมิ และไดไ้ ปปะทะกบั พม่าที่
ตดิ ตามมาอกี และไดถ้ อยร่นมาถึงบ้านพรานนก และได้ปะทะกบั กาลงั ของพระยาตาก ทหารพม่ากองน้มี ี
มากถงึ 2,000 คน แต่กองกาลังของพระยาตากมเี พียง 500 คน ดว้ ยม้าเพียง 5 มา้ กบั ทหารเดินเท้า ไดใ้ ช้
ยทุ ธวิธี และภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ จนพระยาตากไดร้ ับชยั ชนะอย่างเดด็ ขาด วันน้ัน ตรงกบั วันที่
4 มกราคม พ.ศ.2310
จากบ้านพรานนก พระยาตากได้นากาลังเดินทางต่อไปยังหว้ เมืองชายทะเลฝ่ังตะวนั ออก
และได้หมายเอาเมืองจนั ทบรู เป็นที่ม่ันในการรวบรวมกาลังคน และอาวุธยุทโธปกรณ์ ในวนั ทพี่ ระยาตาก
จะเขา้ ตีเมืองจนั ทบรู ในตอนเยน็ วนั น้นั เมอื่ ทหารกินขา้ วเยน็ กนั เสร็จแล้ว ก็สั่งใหท้ บุ หม้อขา้ วทิง้ เสยี ให้หมด
ม้อื เชา้ ใหไ้ ปกินในเมืองจนั ทบูร ถ้าตเี อาเมอื งจนั ทบูรไมไ่ ดก้ ใ็ หต้ ายกันเสยี ใหห้ มด สร้างความฮึกเหิมให้ทหาร
39
พระยาตากรวมกาลังสั่งการ เขา้ ตเี มืองจนั ทบูรในตอนค่า
พระยาตาก สง่ั ทหารเมอ่ื กินข้าวเยน็ เสรจ็ แลว้ ใหเ้ ทอาหารทเี่ หลอื ท้ิง แลว้ ให้ทบุ หม้อขา้ วเสยี ใหห้ มด
อาหารม้ือเชา้ ใหไ้ ปกนิ ในเมืองจนั ทบูร ถ้าตีเมืองจนั ทบรู ไม่ได้กใ็ ห้ตายกนั เสียใหห้ มด
ในท่ีสดุ พระยาตาก กส็ ามารถตเี มืองจันทบรู ได้สาเร็จ และใช้เปน็ ทีมนั่ ในการกู้บา้ นเมอื งตอ่ ไป
ระหวา่ งทอี่ ยู่เมืองจนั ทบรู สามารถรวบรวมกาลังคนได้ 4,00 คน สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ และต่อเรอื รบถึง
100 ลา
การกอู้ สิ รภาพ
ในปลายเดือนกันยายน พ.ศ.2310 หลังจากหมดฤดมู รสมุ ที่เมืองจันทบรู พระยาตากไดน้ า
กาลงั เคลอ่ื นออกจากจนั ทบรู ในเดอื น ตลุ าคม พ.ศ.2310 เข้ามาทางปากแม่น้าเจ้าพระยา กองทหารมอญ
ท่ีคอยสอดแนมหาข่าวอย่ไู ดน้ าข่าวการเคล่ือนทพั ของพระยาตากไปบอกแก่ นายทองอิน ผูซ้ ง่ึ พม่าแตง่ ต้ัง
ใหร้ กั ษาเมอื งธนบุรีทราบ และยังได้ส่งข่าวไปยังคา่ ยโพธิส์ ามตน้ ท่ีมีสกุ ้ีพระนายกอง รกั ษาอยูไ่ ด้ทราบด้วย
เมอื่ กองทัพของพระยาตากมาถงึ กไ็ ด้รถู้ งึ การเตรยี มการตั้งรับของเมอื งธนบรุ ี แต่ในที่สุดพระยาตากสามารถ
40
เข้ายึดเมืองธนบรุ เี อาไวไ้ ด้ และจับเอานายทองอนิ คนไทยผู้ซงึ่ เอาใจไปเขา้ กับฝุายศตั รปู ระหารเสยี เพ่ือมิให้
ใครเอาเป็นเยยี่ งอย่าง
วนั ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2310 ค่ายโพธิส์ ามตน้ หลังจากทราบขา่ วการเดินทัพของพระยาตาก
แลว้ ก็เตรียมการต้งั รบั ไว้ พอร่งุ ข้ึนเชา้ เวลา 7 นาฬิกา พระยาตากได้นากาลังเข้าตีคา่ ยโพธ์สิ ามต้น ในเวลา
ประมาณ 9 นาฬกิ า ก็สามารถยึดค่ายนไี้ ด้ ส่วนสกุ ้พี ระนายกอง ไปตง้ั คา่ ยอยู่ที่วัดกลาง พระยาตากนากาลัง
ไปตคี า่ ยพมา่ ทีว่ ดั กลางอกี ในการเขา้ ตีครั้งนท้ี าให้สุก้ีพระนายกองตายในสนามรบ
การที่กรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 นี้ พม่าเผาทาลายบ้านเมอื งเสียหายเปน็ อนั มาก ยากท่จี ะทานุ
บารงุ ให้กลับมาดีเหมอื นเดมิ ได้ เมอื่ แผ่นดินไมม่ ีผูป้ กครองพวกเจ้าเมืองต่างๆ และผู้มีอานาจท่ียังปลอดภยั
จากสงครามอย่ตู า่ งก็ตั้งตนเปน็ ใหญ่ แตกแยกกนั เป็นกก๊ เปน็ เหล่า เปน็ ชุมนมุ ต่างๆ
พระยาตาก นน้ั ตดั สินใจทจี่ ะสรา้ งราชธานีขึ้นใหม่ จึงตกลงใจเอาเมอื งธนบรุ ีเป็นราชธานี
แห่งใหม่ เพราะเมืองธนบุรีเปน็ เมืองขนาดยอ่ ม มปี ูอมปราการกองกาลงั ทหารทง้ั เดินเทา้ ลักองเรือพอจะ
รกั ษาเมืองไว้ได้ หากรักษาไว้ไมไ่ ด้ก็อาจจะกลบั ไปตั้งหลกั ทเี่ มืองจันทบูรได้ พอถงึ วันที่ 28 ธนั วาคม
พ.ศ.2310 พระยาตากได้ทาพิธปี ราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตรยิ ์พระองคใ์ หม่ เฉลิมพระนามว่า
“สมเดจ็ พระบรมราชาท่ี 9” แต่ประชาชนยังคงเรียก “พระยาตาก” หรอื “พระเจ้ากรุงธนบุรี”
โดยใหช้ อ่ื เมอื งใหมน่ ีว้ ่า “กรุงธนบุรีศรมี หาสมุทร” จากนั้นก็รวบรวมบ้านเมอื งท่กี าลงั แตกแยกให้กลับมา
เปน็ ปึกแผน่ อีกครง้ั พ.ศ.2311 สามารถปราบชมุ นมุ เจ้าพิมายได้ พ.ศ.2312 ตไี ดช้ ุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช
ปี พ.ศ.2313 ตไี ด้ชมุ นุมเจ้าพระยาพิษณโุ ลก และ ชุมนุมเจา้ พระฝาง ในคราวเดียวกนั โดยใชเ้ วลาในการ
ปราบชมุ นมุ ต่างๆ เปน็ เวลา 3 ปี
การศึกกับพมา่
นอกจากจะเปน็ การตอ่ สู้เพอื่ กอบกู้เอกราชของบ้านเมืองแล้ว ตลอดรัชสมยั ของสมเดจ็
พระเจ้าตากสนิ มหาราช ตอ้ งทาศึกกบั พม่าตลอดเวลา ทรงทาศกึ กับพมา่ ถงึ 9 คร้งั
ครง้ั ท่ี 1 : รบพม่าที่บางกุ้ง พ.ศ.2310
ครงั้ ที่ 2 : พม่าตเี มอื งสวรรคโลก พ.ศ.2313
ครั้งที่ 3 : ตเี มืองเชยี งใหม่ครง้ั แรก พ.ศ.2313 – 2314
คร้งั ที่ 4 : พม่าตีเมืองพิชัย ครง้ั ที่ 1 พ.ศ.2315
ครัง้ ที่ 5 : พม่าตเี มืองพิชัย ครงั้ ที่ 2 พ.ศ.2316
ครั้งที่ 6 : ตเี มืองเชียงใหม่ คร้ังท่ี 2 พ.ศ.2317
ครัง้ ท่ี 7 : รบพม่าท่ีบางแก้ว (ราชบุร)ี พ.ศ.2317
ครั้งท่ี 8 : ศึกอะแซหวุ่นกี้ พ.ศ.2318
41
ครง้ั ท่ี 9 : พมา่ ตเี มอื งเชยี งใหม่ พ.ศ.2319
คร้ังท่สี าคัญและเป็นทีเ่ ลอ่ื งลือเปน็ อย่างย่งิ คอื คร้ังท่ี 8 ศึกอะแซหว่นุ กี้ พ.ศ.2318
แมท่ ัพพมา่ “อะแซหวนุ่ ก”ี้ เป็นเชอื้ พระวงศข์ องทางฝุายกรงุ อังวะ ยกทัพมาตีกรงุ ธนบรุ ี เริ่มจาก
เขา้ ตหี ัวเมอื งฝุายเหนือกอ่ น ขณะนน้ั สมเด็จพระเจ้ากรงุ ธนบรุ ีทรงโปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าพระยาจกั รี
เจ้าพระยาสรุ สีห์ และ พระมหามนตรี (แสน) ขึน้ ไปรักษาเมอื งพษิ ณโุ ลก อะแซหว่นุ กี้ได้เขา้ ล้อมเมือง
พิษณุโลก และได้สรู้ บกับ 3 ทหารเสอื ของพระเจ้ากรงุ ธนบุรี พลดั กันรุกพลดั กนั รบั อะแซหวุน่ ก้ีกย็ ัง
ไมส่ ามารถตีเอาพษิ ณโุ ลกได้ แมท่ พั พม่าคนนรี้ ้สู ึกประทบั ใจในฝีมือการรบ ความสามารถ ของเจา้ พระยาจกั รี
จงึ ได้สง่ สารมาขอดูตัวแม่ทพั ฝุายธนบุรคี อื เจ้าพระยาจกั รี
วันท่ีเกิดเหตกุ ารณ์นัน้ มิไดม้ ีการสู้รบกัน เมอื่ กองทัพของท้งั สองฝุายมายืนเผชิญหนา้ กัน
และมกี ารเจรจากัน
อะแซหวุน่ กี้ : “เจ้าพระยาจักร”ี ท่านอายุเท่าใด
เจ้าพระยาจกั รี : อายเุ ราได้ 30 เศษ
อะแซหว่นุ กี้ : เรา 72 ท่านก็รปู งามสง่า ฝีมอื ก็เข้มแขง็ สามารถสู้กับเราซ่งึ เป็นผูเ้ ฒ่าได้
ท่านจงรักษาตัวให้ดี ต่อไปภายหน้าจะได้เปน็ กษัตริยเ์ ป็นแนแ่ ท้
( กาลตอ่ มาความกเ็ ป็นจรงิ ดงั ทีแ่ ม่ทพั พม่าผู้นี้ไดก้ ล่าวไว้ คือ เจ้าพระยาจกั รี
ตอ่ มากค็ อื พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟูาจฬุ าโลกมหาราช)
หลงั จากวันนั้น การสู้รบก็ได้เริม่ ข้ึนอีกครั้ง แตก่ าลงั ของอะแซหวุ่นกีม้ ีเปน็ จานวนมาก และ
ไดท้ าการล้อมเมอื งพิษณุโลกไว้ ทาให้เกิดการขาดแคลนเสบยี งอาหาร จาเปน็ ที่จะตอ้ งละท้งิ เมอื งพษิ ณุโลก
ไปอยูท่ ี่ใหม่ ในที่สุดพม่าก็สามารถยึดเอาเมอื งพิษณุโลกไวไ้ ด้
42
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช
พระราชสมภพ / พระราชประวัติ
43
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟาู จฬุ าโลกมหาราช มีพระนามเดมิ ว่า “ทองด้วง” ทรงมี
พระราชสมภพเม่อื วนั ท่ี 20 มีนาคม พ.ศ.2279 ในแผน่ ดินสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัวบรมโกศ แหง่ กรุงศรีอยุธยา
ทรงสบื เช้อื สายมาจากเจ้าพระยาโกษาธบิ ดี (ปาน) นักการทตู ทีม่ ีความสามารถในสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ในสมัยกรุงธนบุรีทรงเป็นแม่ทพั ของพระยาตากท่ีมีความสามารถ แม้กระท่งั ยอดแมท่ ัพของพม่า
คือ อะแซหวุ่นก้ี ยังยอมรับในความสามารถ
การสถาปนากรงุ รัตนโกสนิ ทร์
ทรงปราบดาภเิ ษกขน้ึ เปน็ ปฐมกษัตรยิ แ์ ห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ในราชวงศ์จกั รี เมอื่ วันที่
6 เมษายน พ.ศ.2325
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจฬุ าโลกมหาราช ทรงเหน็ ว่ากรงุ ธนบุรี เป็นเมอื งอกแตก
เพราะมีแม่น้าเจ้าพระยาคั่นกลาง การไปมาในเวลาฉุกเฉนิ ไมส่ ะดวก รวดเรว็ เพราะตอ้ งอาศัยเรอื ขา้ มน้า
ในขณะท่ฝี ั่งตะวนั ออกของแม่น้าเจา้ พระยา (ในขณะน้นั เรยี กเมือง “บางกอก” ) มชี ยั ภมู ทิ ี่ดีกว่าและ
ปอู งกนั ขา้ ศกึ ไดด้ ีกวา่ จึงทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ย้ายราชธานีไปท่ีเมอื งบางกอก และทรงทาพิธยี กเสาหลักเมือง
เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 แล้วโปรดเกลา้ ฯ ให้ไพร่พลช่วยกันสร้างพระนคร มีพระราชวังหลวง
สร้างกาแพงรอบพระนคร ขดุ คูรอบพระนครและสรา้ งปอู มปราการอีกมากมาย และโปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้าง
วดั พระศรีรตั นศาสดาราม ไวใ้ นพระบรมมหาราชวงั เปน็ ที่ประดิษฐานพระแกว้ มรกต
กฎหมายตราสามดวง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจฬุ าโลก ทรงโปรดเกล้าฯ ใหช้ าระกฎหมายเก่าๆ ทมี่ มี าแต่
โบราณ แล้วรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายข้ึนใน ปี พ.ศ.2347 โปรดฯ ให้เรียกวา่ “กฎหมายตราสามดวง”
ตราที่ 1 เป็นตราพระราชสีห์ ( สาหรับตาแหน่งสมหุ นายก )
ตราท่ี 2 เป็นตราพระคชสหี ์ ( สาหรับสมหุ พระกลาโหม )
ตราท่ี 3 เปน็ ตราบวั แก้ว ( สาหรับตาแหนง่ โกษาธบิ ดี )
44
กฎหมายตราสามดวง เริม่ ใช้มาตงั้ แตส่ มยั รชั กาลที่ 1 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟาู จุฬาโลก
จนถึงสมัยรชั กาลท่ี 5 เป็นระยะเวลานานถงึ 103 ปี
กฎหมายตราสามดวง มีบทบัญญตั ติ า่ งๆ จานวนมาก จัดทาเป็นรูปเลม่ มากถงึ 41 เล่ม เช่น
เรอื่ งบทบัญญตั ิว่าดว้ ยหลักการในการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ขี องผพู้ พิ ากษา , ระเบียบปฏิบตั ิต่างๆ ในพระบรม
มหาราชวัง เช่น พระราชพิธีบาเหนจ็ รางวัล การลงโทษตา่ งๆ บทบญั ญตั เิ กยี่ วกับการกาหนดศักดนิ า
ยศ และ หนา้ ท่ขี องข้าราชการทุกฝุาย , บทบญั ญตั เิ กี่ยวกับสทิ ธิและหนา้ ท่ีของบคุ คลในครอบครัว การ
กระทาผดิ ต่างๆ
สงคราม 9 ทัพ
หลงั จากสร้างกรงุ รตั นโกสินทร์ เสรจ็ ใน 3 ปี ในปี พ.ศ.2328 กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ก็เกิดศึกสงคราม
กบั พม่าขึ้นเป็นคร้ังแรก คือ สงคราม 9 ทัพ พระเจ้าปดุง กษัตริยพ์ ม่าพระองค์ใหมค่ รองราชย์มาได้ 3 ปี
45
เช่นเดยี วกนั ตอ้ งการทจ่ี ะขยายอาณาเขต จึงจัดกองทพั มาตีกรุงรตั นโกสนิ ทร์ จัดเปน็ ทัง้ หมด 9 ทพั
รวมทหารทั้งสน้ิ 144,000 คน แบง่ เปน็ ดงั น้ี
ทัพท่ี 1 : ไปตหี วั เมอื งปักษ์ใต้ ต้งั แตช่ ุมพร ลงไปจนถึง ตะก่ัวทุ่ง ตะก่วั ปาุ และ เมอื งถลาง
( ทหาร 10,000 คน )
ทพั ที่ 2 : ตหี วั เมอื งทางตะวันตก ราชบุรี เพชรบุรี แล้วไปบรรจบกบั ทัพท่ี 1 ท่ชี ุมพร
( ทหาร 10,000 คน )
ทพั ที่ 3 : ตีหัวเมืองเหนือ เมอื งเชียงแสน สวรรคโลก สุโขทยั แลว้ ไปบรรจบกบั ทัพหลวงท่ี กรุงเทพฯ
ทพั ท่ี 4,5,6,7,8 : เข้าทางดา่ นเจดยี ส์ ามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี
( ทหาร 89,000 คน )
ทพั ท่ี 9 : เข้าทางด่านแม่ละเมา ตีเมืองตาก กาแพงเพชร พิษณุโลก
ทางกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ พระพทุ ธยอดฟาู จฬุ าโลก ทรงมีพระดาริวา่ จะไม่ตัง้ รับอยแู่ ตใ่ นพระนคร
จงึ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ เจ้าฟูากรมหลวงจักรเจษฎา แห่งวงั ปอู มพระสเุ มร รวบรวมกาลงั คน ปรากฏว่าเม่อื
รวมแลว้ ทงั้ วังหน้า วังหลวง วังหลัง ไดก้ าลังเพียง 70,000 คน ดังนัน้ พระพุทธยอดฟาู ทรงจัดกาลงั
ออกเปน็ 4 กองทพั
ทพั ท่ี 1 : โปรดเกลา้ ฯ ให้เจ้าฟูากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ คุมกาลงั 15,000 คน ไปตั้งรบั พม่าท่ีนครสวรรค์
ทัพที่ 2 : โปรดเกลา้ ฯ ให้เจา้ พระยาธรรมาธิกรณ์ และ พระยายมราช คุมทหาร 5,000 คน ไปตงั้ รับ
ที่เมืองราชบรุ ี
ทพั ท่ี 3 : โปรดเกล้าฯ ให้ กรมพระราชวังบวรมหาสรุ สงิ หนาท คุมกาลัง 30,000 คน ไปตงั้ รบั ทัพพม่า
ท่จี ะเขา้ มาทางด่านเจดยี ์สามองค์
ทัพที่ 4 : พระพุทธยอดฟูาจฬุ าโลก คมุ กาลัง 20,000 คน ตั้งมน่ั อยู่ในพระนคร ถา้ ศึกทางดา้ นไหน
ตอ้ งการความช่วยเหลอื พระองค์จะเสดจ็ ยกทัพไปชว่ ย
ด้านทส่ี าคัญท่ีสดุ คือ ด้านตะวนั ตกทางดา่ นเจดีย์สามองค์ ทางด้านเดียวขา้ ศึกมกี าลังถึง 89,000 คน
แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของ กรมพระราชวังบวรฯ และเอาชนะทัพพม่าทีท่ ุ่งลาดหญา้ จังหวดั กาญจนบุรี
ได้อยา่ งเด็ดขาด ในศึก 9 ทพั น้ี ยงั ไดเ้ กิดวรี สตรีข้ึน 2 ท่าน คือ คุณหญงิ จัน กับ นางมุก (นอ้ งสาว)
เป็นบตุ รีของพระยาถลาง ท่เี สยี ชีวิตไปแลว้ รักษาเมอื งต่อมา ทัพที่ 1 ของพม่าท่ีลงมาทางใตไ้ ม่สามารถทจี่ ะ
ตีเอาเมอื งถลางไปได้ หลังจากเสรจ็ ศึก 9 ทพั คุณหญงิ จัน ได้รบั การแตง่ ตงั้ เป็น “ท้าวเทพกษตั รี “ และ
นางมุก (น้องสาว) ไดร้ ับการแตง่ ตั้งเปน็ “ท้าวศรีสุนทร”
46
พระปิยมหาราช รัชกาลท่ี 5
(พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั )
พระราชสมภพ / พระราชประวตั ิ
ทรงมพี ระราชสมภพเมือ่ วันองั คารท่ี 20 กนั ยายน พ.ศ.2396 มพี ระนามเดมิ ว่า “สมเดจ็
เจ้าฟูาจุฬาลงกรณ”์ เป็นพระราชโอรสองคท์ ่ี 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ทรงครองราชย์
นาน 40 ปี ตง้ั แตย่ งั ทรงพระเยาว์ทรงศกึ ษาวิชาการต่างๆ มากมาย ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์
ได้ปกปักษ์รกั ษากรงุ สยาม ใหอ้ ย่รู อดปลอดภัยมาจนกระท่ังทกุ วนั นี้
พระราชพิธบี รมราชาภิเษก ครัง้ ท่ี 1
เมื่อเสด็จข้ึนครองราชย์ ในวันพฤหสั บดที ี่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2411 ทรงประกอบพระราชพธิ ี
บรมราชาภเิ ษกขนึ้ เป็นครั้งแรก เมอื่ วนั ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ขณะน้นั ทรงมพี ระชนม์เพียง
15 พรรษา โดยมสี มเด็จพระยาบรมมหาศรสี ุริยวงศ์ (ช่วง บนุ นาค) เปน็ ผู้สาเรจ็ ราชการแทนพระองค์
47
ตอ่ มาพระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ประพาสต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศทางตะวนั ตก ทรงทอดพระเนตรวิทยาการ
สมัยใหม่ แล้วนามาเผยแพรเ่ ปน็ แนวทางในการพฒั นาประเทศตอ่ ไป
พระราชพิธีบรมราชาภเิ ษก ครั้งท่ี 2
เมื่อทรงมีพระชนม์ครบ 20 พรรษา ทรงผนวชเม่อื วันท่ี 15 กนั ยายน พ.ศ.2416 หลงั จาก
ทรงลาผนวชแล้ว ทรงประกอบพระราชพิธบี รมราชาภิเษกขน้ึ เป็นครงั้ ที่ 2 เมื่อวนั ท่ี 16 พฤศจิกายน
พ.ศ.2416 นับแต่น้นั มาจงึ ทรงมพี ระราชอานาจเดด็ ขาดในการบริหารราชการแผน่ ดิน
พระราชกรณียกิจ
1. การปกครอง
ทรงเป็นนกั ปกครองทม่ี ีพระปรชี าสามารถมาก ทรงใช้ประเพณีการปกครองของไทยแบบเก่า
ผสมผสานกับการปกครองแบบยโุ รป แลว้ ทรงปรับเปล่ียนไปตามลาดบั ตามสถานการณ์ ความเหมาะสม
ทรงมพี ระราชหฤทัยมุ่งมนั่ ที่จะทานุบารงุ บ้านเมอื ง ใหท้ ัดเทยี มกับนานาอารยประเทศ
2. ตั้งสภาท่ปี รกึ ษาราชการแผ่นดิน
ทรงเป็นพระมหากษตั ริยใ์ นระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์ แต่การปฏิบตั ิพระองคม์ ิได้เปน็ ผู้
ผกู ขาดแตพ่ ระองคเ์ ดียว ทรงใหอ้ ิสระทางความคิด ทรงแต่งตงั้ บุคคลเพอื่ ถวายความคดิ เห็นแกพ่ ระองค์
ทรงโปรดเกล้าฯ ใหต้ ้ังสภาท่ปี รกึ ษาราชการแผ่นดินขนึ้ เป็นคร้งั แรก เมือ่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2417 และ
ในปีเดียวกันทรงโปรดเกล้าฯ ต้งั สภาองคในตรี ขึ้นเปน็ ท่ปี รึกษาราชการสว่ นพระองค์
3. การเลกิ ทาส
48
ในประเทศไทยมีการใชร้ ะบบทาสมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในบ้านเจ้านายผู้ใหญ่ผู้สงู ศักดิ์
พระองคท์ รงเหน็ ว่า “ทาส” นมี้ ีมาแตส่ มัยโบราณ เป็นขา้ รับใช้ท่ไี มอ่ าจสร้างความเป็นไทให้แกต่ นเอง
ดังนนั้ พระองค์จงึ ทรงทาส่ิงเหล่าน้ใี ห้หมดไป ทรงคดิ หาวิธที ่ีจะปลดปล่อยทาสให้มีความเป็นไทดว้ ยวิธี
ละมนุ ละม่อม ตามขน้ั ตอน ในปี พ.ศ.2417 ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชบัญญัติพกิ ัดเกษยี ณอายุ
ของลกู ทาส อายุ 8 ปี ให้ตีคา่ ใหเ้ ต็มตัว พออายุครบ 20 ปี ใหเ้ ป็นไทเม่อื พน้ เป็นอิสระแลว้ ห้ามกลบั มา
เป็นทาสอีก ทรงใช้เวลาถงึ 30 ปี จึงสามารถเลิกทาสได้สาเรจ็ เมื่อ พ.ศ.2488 โดยไมม่ ีการเสียเลอื ดเนอ้ื
แตอ่ ย่างใด
4. การเจริญสัมพนั ธไมตรกี บั ตา่ งประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว ทรงดาเนินนโยบายสัมพนั ธไมตรแี บบผ่อนหนกั
ผ่อนเบา ถอื เอาประโยชนเ์ ปน็ สาคัญ ทรงเจริญสัมพนั ธไมตรีกบั นานาประเทศ เช่น ออสเตรยี ฮงั การี
รัสเซีย ญ่ีปุน ฯลฯ มกี ารส่งคณะทตู ไปประจา ณ ประเทศต่างๆ ใน พ.ศ.2424 ในรัชกาลของพระองค์
มีพระมหากษตั รยิ จ์ ากตา่ งประเทศเสดจ็ มาเยือนไทยหลายพระองค์ เชน่ พระเจ้าซารน์ ิโคลสั ท่ี 2
พระเจ้ากรงุ รัสเซยี
5. การแพทย์ และ กจิ การโรงพยาบาล
ในปี พ.ศ.2427 ทรงมีพระราชดาริสร้างโรงพยาบาล เพอ่ื ใช้เป็นที่รักษาประชาชน แบบแพทย์
แผนใหมท่ ท่ี ันสมยั อย่างตา่ งประเทศ ทรงตั้งกรรมการขน้ึ มาชดุ หนึ่งดาเนินการจดั สรา้ งโรงพยาบาลท่ีบริเวณ
พระราชวังหลัง เปิดดาเนินการได้เมือ่ วันท่ี 26 เมษายน พ.ศ.2431 เดิมชอ่ื “โรงพยาบาลวังหลัง” ต่อมาได้
พระราชทานนามใหม่ว่า “ศริ ิราชพยาบาล”
6. กจิ การรถไฟ
49
พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ทรงโปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์
ระหวา่ ง กรุงเทพฯ – นครราชสมี า พ.ศ.2433สว่ นทางรถไฟสายแรกน้ัน เกิดข้นึ เมอื่ พ.ศ.2429 ไทยได้ให้
สมั ปทานแกช่ าวเดนมารก์ สร้างทางรถไฟสายแรกในประเทศไทย จากกรุงเทพฯ ถึง สมทุ รปราการ
ระยะทาง 21 กิโลเมตร เดือนตลุ าคม พ.ศ.2433 ทรงโปรดเกลา้ ฯ ให้ตั้งกรมรถไฟหลวงขึน้ สงั กดั
กระทรวงโยธาธิการ เม่ือ 26 มีนาคม พ.ศ.2439 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ จาก
กรงุ เทพฯ ถงึ นครราชสีมา ทรงเสด็จเปดิ การเดนิ รถช่วงแรก กรงุ เทพฯ ถึง อยุธยา ระยะทาง 71 กิโลเมตร
และสร้างเสรจ็ ตลอดสายใน พ.ศ.2444
สมเด็จพระมหาธรี ราชเจา้ รัชกาลท่ี 6
(พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยู่หวั )
50
พระราชสมภพ / พระราชประวัติ
ทรงเปน็ พระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว ทรงมี
พระราชสมภพ เมือ่ วนั ที่ 1 มกราคม พ.ศ.2423 ได้รบั พระราชทานนามว่า “สมเดจ็ พระเจ้าลกู ยาเธอ
เจ้าฟาู มหาวชริ าวธุ ” ทรงไดร้ บั การศึกษาเปน็ อย่างดี ดา้ นอกั ษรศาสตร์ โบราณประเพณี วชิ าการสงคราม
วิชาการสงคราม การปกครอง และ ทรงเสดจ็ ศกึ ษาต่อในยโุ รป
พระราชกรณียกิจ
1. ด้านการศึกษา
พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยูห่ ัว ทรงมพี ระราชประสงค์ใหป้ ระชาชนทง้ั ชาย และ
หญิง มคี วามรู้ตามควรแต่อัตภาพ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิการประถมศึกษา พ.ศ.2464
บงั คับให้เด็กทกุ คนท่ีมอี ายุ 7 ปี บรบิ ูรณ์ขึน้ ไปต้องเข้าเรยี นหนังสือจนอายคุ รบ 14 ปี บรบิ ูรณ์ หรือจน
จบประถมศึกษาโดยไม่ต้องเสียคา่ เล่าเรยี น ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดตงั้ โรงเรียนสาหรับฝึกหัดวชิ าขา้ ราชการ
ฝาุ ยพลเรือน ขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เม่อื วันที่ 30 มนี าคม พ.ศ.2442 พรอ้ มทง้ั พระราชทาน
พระบรมราชานญุ าตให้อัญเชญิ “พระเกี้ยว” มาเป็นเครอ่ื งหมายประจาโรงเรียน การดาเนินกจิ การของ
โรงเรยี นได้พฒั นามาอย่างต่อเนอื่ ง จนกระทัง่ เมือ่ วันที่ 26 มนี าคม พ.ศ.2459 ไดย้ กระดับระดบั การศึกษาข้ึน
และทรงพระราชทานนามวา่ “จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย” เพ่อื เป็นพระบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกยี รติ
แหง่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว พระบรมชนกของพระองค์
2. ดา้ นเศรษฐกิจ
ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้ังคลงั ออมสินขึ้นเมื่อวนั ท่ี 1 เมษายน พ.ศ.2456 เพือ่ สนับสนนุ ให้
ประชาชนรู้จกั การออมทรัพย์
ทรงริเร่มิ กอ่ ต้ังบริษัทปนู ซิเมนตไ์ ทยขน้ึ เป็นกิจการอุตสาหกรรมขนาดใหญแ่ หง่ แรกของประเทศ
ทรงสง่ เสริมการผลิต และ จาหน่ายสนิ ค้าหตั ถกรรมไทย
3. ด้านการคมนาคม
ทรงโปรดเกล้าฯ ใหร้ วมกจิ การรถไฟเปน็ กรมเดียว เรียก “กรมรถไฟหลวง”