The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นวัตกรรมสายอุดมศึกษา-มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (2)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

นวัตกรรมสายอุดมศึกษา-มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (2)

นวัตกรรมสายอุดมศึกษา-มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช (2)

2 ผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา ประจ าปี 2566 1. ชื่อผลงานนวัตกรรม ภาษาไทย สัมมุญชนีนาฏยลีลา : การแสดงสร้างสรรค์เพื่อหนุนเสริมและยกระดับศิลปาชีพท้องถิ่น กรณีการน าเสนอหัตถกรรมไม้กวาดดอกหญ้า ชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาษาอังกฤษ Sammunchanee Natyalila : Creative performances to promote and enhance local arts and crafts Grass broom handicraft presentation case Ban Koh Community Phrom Khiri District Nakhon Si Thammarat Province 2. สถาบันการศึกษาที่สังกัด สาขาวิชา/ภาควิชา นาฏศิลป์ คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช สถานที่ติดต่อ (กรุณาระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนและชัดเจน เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสื่อสาร) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรวัฒน์ ช่างสาน อาจารย์ประจ าสาขาวิชานาฏศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ต าบลท่างิ้ว อ าเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช 80200 E-Mail teerawat_cha.nstru.ac.th โทรศัพท์มือถือ. 089-788-9749 3. ระดับการศึกษา (ระหว่างส่งข้อเสนอและเข้าร่วมประกวดผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา จะต้อง เป็นผู้ที่ก าลังศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศไทย) ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก 4. กลุ่มเรื่องนวัตกรรม (เลือกเพียง 1 กลุ่มเรื่องเท่านั้น) 1. ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร 2. ด้านการสาธารณสุข สุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ 3. ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ อุปกรณ์อัจฉริยะ 4. ด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และ BCG Economy Model 5. ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 5. รายชื่อผู้น าเสนอผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา (สามารถพิมพ์เพิ่มได้) 1) ชื่อ – นามสกุล นางสาวธัญชนก แผ่นทอง มือถือ 093-771-6443 E-mail: [email protected] 2) ชื่อ – นามสกุล นางสาวนิลรัตน์ ผลบุญ มือถือ 099-304-0271 E-mail: [email protected] 6. อาจารย์ที่ปรึกษา (สามารถพิมพ์เพิ่มได้)


3 1) ชื่อ – นามสกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีรวัฒน์ ช่างสาน ต าแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์, อาจารย์ประจ าสาขาวิชานาฏศิลป์ มือถือ 089-788-9749 E-mail: teerawat_cha.nstru.ac.th 7. รูปภาพผลงานนวัตกรรม พร้อมค าอธิบายผลงานนวัตกรรม ผลงานสร้างสรรค์ทางด้านนาฏศิลป์ เพื่อหนุนเสริมศิลปาชีพหัตถกรรมการท าไม้กวาดดอกหญ้า จาก ความบันดาลใจในการอนุรักษ์ภูมิปัญญา เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ ผลผลิตไม้กวาดดอกหญ้า ของชุมชนบ้าน เกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยหยิบยกกรรมวิธีในการผลิตไม้กวาดดอกหญ้า ผลผลิตไม้ กวาดดอกหญ้า คุณประโยชน์ของไม้กวาดดอกหญ้า มาพัฒนาและยกระดับในรูปแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่าน การแสดง ที่มีการออกแบบสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ในทุกองค์ประกอบ ทั้งในด้านดนตรีบรรเลงประกอบการแสดงที่ ผสมผสานความร่วมสมัยของเครื่องดนตรีสากลเข้ากับเครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ท่าร าและอากัปกริยา ประกอบการแสดง และการสร้างสรรค์เครื่องประดับเครื่องแต่งกายประกอบการแสดงจากทุนวัฒนธรรม และ มรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้ในจังหวัดนครศรีธรรมราช รับชมผลงานนวัตกรรมสร้างสรรค์ชุด สัมมุญชนีนาฏยลีลา ผ่านทาง QR-code


4 ผลงานนวัตกรรม ชุด สัมมุญชนีนาฏยลีลา : การแสดงสร้างสรรค์เพื่อหนุนเสริมและยกระดับศิลปาชีพ ท้องถิ่น กรณีการน าเสนอหัตถกรรมไม้กวาดดอกหญ้า ชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้สร้างสรรค์ได้ท าการพัฒนาและยกระดับองค์ประกอบการแสดงดังนี้ 1. เครื่องแต่งกาย และเครื่องประดับประกอบการแสดง สร้างสรรค์ชุดการแต่งกายและอาภรณ์ส าหรับ สวมใส่ตามแบบสตรีท้องถิ่นในจังหวัดนครศรีธรรมราชการด้วยผ้าพื้นเมือง เครื่องประดับส าหรับผู้แสดงใช้ เครื่องสามกษัตริย์อันเป็นอัตลักษณ์โดดเด่นด้านหัตถศิลป์และผลิตภัณฑ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช 2. ดนตรีบรรเลงประกอบการแสดง สร้างสรรค์ท านองเพลงเพื่อสุนทรียรสของผู้ชมในลักษณะของดนตรี พื้นเมืองใต้ร่วมสมัย โดยผสมผสานการบรรเลงระหว่างเครื่องดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ และเครื่องดนตรีสากล ทั้งนี้ ประดิษฐ์เนื้อเพลงบรรยายประกอบการแสดงเพื่อเป็นสื่อในการสื่อสารระหว่างผู้แสดงกับผู้ชมให้เข้าใจร่วมกัน ถึงความมุ่งหมายของการน าเสนอ ซึ่งอาศัยลักษณะการขับร้องและบรรเลงตามแนวทางการแสดงลิเกป่าใน จังหวัดนครศรีธรรมราช 3. อุปกรณ์ประกอบการแสดงพัฒนาจากไม้กวาดดอกหญ้า ตกแต่งและพัฒนาด้วยองค์ความรู้ทางด้าน ศิลปกรรมด้วยการพ่นสีทองเพื่อเกิดความสวยงามและโดดเด่น รวมถึงการประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ประดิษฐ์ ให้มีความเหมาะสมกับการน าเสนอในรูปแบบการแสดง 4. การน าเอาอัตลักษณ์และองค์ความรู้จากเครื่องประดับและศิราภรณ์ จากคณะละครผู้หญิงของ เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (น้อย) ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์มาผนวกเข้ากับการประดิษฐ์จรหูดอกไม้ ประดับศ๊รษะผู้แสดง 8. ที่มาและแนวคิดของการสร้างนวัตกรรม (ค ำอธิบำย : แสดงให้เห็นถึงควำมส ำคัญที่จ ำเป็นต้องท ำนวัตกรรม เรื่องนี้ โดยก ำหนดปัญหำให้ชัดเจนทั้งข้อเท็จจริงและผลกระทบของปัญหำที่เกิดขึ้น) “สัมมุญชนี” เป็นค าในภาษาบาลีมี ความหมายว่า “ไม้กวาด” คือสิ่งที่ใช้ปัดกวาด ท าด้วยวัสดุต่าง ๆ อย่างก้านใบมะพร้าว ช่อดอกของต้นหญ้าบางชนิดมัดเป็นก า ๆ (ราชบัณฑิตยสภา, 2554 : 932) เป็นอุปกรณ์ที่ อยู่คู่กับคนไทยเรามาช้านานทุกบ้านต้องมีไว้เพื่อท าความสะอาดบ้านที่เกิดจากความฉลาดของคนไทยในโบราณ จนสร้างเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน สืบต่อกันมาจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ไม้กวาดที่ปรากฏในประเทศ ไทยมีหลายชนิด เช่น ไม้กวาดดอกหญ้า ไม้กวาดทางมะพร้าว ไม้กวาดเสี้ยนตาล ไม้กวาดไม้ไผ่ ไม้กวาดไนลอน ไม้กวาดยางพารา ไม้กวาดข้าวโพด ไม้กวาดขนไก่ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชพบแหล่งการผลิตไม้กวาดทางภูมิ ปัญญาที่ท าจากดอกหญ้า คือที่อ าเภอพรหมคีรีจังหวัดนครศรีธรรมราช อ าเภอพรหมคีรีมีลักษณะภูมิประเทศ เป็นพื้นที่ภูเขา อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาหลวง ลักษณะภูมิ ประเทศเป็นพื้นที่ราบลุ่มและที่ราบเชิงเขา ด้านทิศตะวันตก ติดกับเทือกเขาหลวง มีน้ าตกสวยงามเหมาะสมใน การส่งเสริมการท่องเที่ยว และประกอบอาชีพท าสวนผลไม้ และการเกษตรจากลักษณะภูมิประเทศดังกล่าวจึง เป็นแหล่งเหมาะสมที่ “ดอกหญ้าก๋ง” ซึ่งเป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้าที่มีล าต้นตั้งตรง ล าต้นแตกกอคล้ายกอไผ่ ล าต้นมีลักษณะทรงกลมดอกหญ้าไม้กวาดเป็นพืชที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อยู่ตามเชิงเขาหรือพื้นที่สูง ล าต้น คล้ายต้นข้าว สีของต้นหญ้ามีสีม่วง สีเขียว (พรรณี, 2566) ชาวบ้านในอ าเภอพรหมคีรีจะเก็บดอกซึ่งจะออก มากเริ่มออกดอกตั้งแต่เดือน มีนาคม-เมษายน โดยการน าดอกหญ้ามาตากแดด 3 แดด แล้วฉีกก้านดอกหญ้า


5 ออกคัดแยกให้ได้ขนาดเท่า ๆ กัน หลังจากนั้นมัดรวมเป็นมัด ๆ แล้วจึงน าดอกหญ้าจับช่อเล็ก ๆ ให้ได้ 6 ช่อ ใช้ ลวดเบอร์ 18 มัดไว้ ต่อมาเรียงช่อที่มีก้านยาวไว้ตรงกลาง ช่อสั้นไว้ข้างๆ แล้วขึงลวดให้ตึงใช้ลวดเบอร์ 20 มัด ดอกหญ้า ทีละช่อเข้าช่อใหญ่จนครบ 6 ช่อ แล้วจึงน าไม้ไผ่ที่เหลาเป็นง่ามและตากแดดไว้จนแห้ง สอดเข้ากับ ดอกหญ้า ใช้ลวดเบอร์ 20 พันลวดถึงปลายก้านดอกหญ้าต่อไปใช้ตะปูตอกและพันลวดให้แน่น แล้วจึงตัดเล็ม ปล ายดอกหญ้าให้ดูเรียบร้อยเรียงก้านสวยงามเสร็จแล้วใช้ค้อนทุบช่อให้แน่นจนเป็นไม้กวาด ประโยชน์ของไม้กวาดในทางอาชีพนั้น สามารถสร้างอาชีพหลักและอาชีพเสริมให้กับคนในชุมชน สร้าง รายได้เพื่อเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ นอกจากนี้ในด้านการออกก าลังกายการกวาดขยะยังสามารถ ช่วย พัฒนาด้านสุขภาพเพื่อเสริมสร้างก าลังและส่งผลให้การท างานมีความคิดที่ดีพบว่าการท าไม้กวาดมีประโยชน์ทั้ง เรื่องเศรษฐกิจในการประกอบอาชีพ และการท างาน นอกจากนี้ไม้กวาดยังส่งเสริมสุภาวะที่ดีให้แก่บุคคลในการ ประกอบกิจกรรม ส าหรับที่อยู่อาศัย ช่วยปัดเป่าเศษยักไย่ เศษฝุ่นละอองซึ่งอาจมีเชื้อโรคปนเปื้อนให้ห่างไกล จากร่างกายของคนเรา ในทางจิตใจนั้นหากมีการอุปมาเรื่องการท าความสะอาดโดยใช้หลักพระธรรมค าสอน เปรียบเทียบไม้กวาดกับค าสอนทางพุทธศาสนา ว่าความเป็นอยู่ในชีวิตประจ าวัน มีสติรักษาจิตไว้อย่างเดียว มี ตาก็ดู มีหูก็ฟัง มีจมูกก็ดมกลิ่น มีลิ้นก็รู้รส มีกายกระทบสัมผัส มีใจก็กระทบความคิด แต่เมื่อกระทบแล้ว ไม่ ว่าจะกระทบทางทวารใด ถ้าจิตเรายินดีพอใจ รู้ทัน จิตเราไม่พอใจรู้ทันนี่เรียกว่าเราปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจ าวัน แล้ว ซึ่งไม้กวาดก็น่าจะเป็นตัวรักษาจิตก าจัดทุกข์ในทางโลกก็ได้นั่นเอง อานิสงค์ของการกวาดถูพื้นเพื่อให้เกิด อุปนิสัยรักความสะอาด จนส่งผลให้เป็นคนรักการรักษากาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ตามไปด้วย ผิวพรรณ และจิตใจผ่องใสเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา เป็นคนละเอียดรอบคอบ ประณีต ช่างสังเกต รู้จักวางแผนงานอย่างเป็น ขั้นเป็นตอน เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย (กัณลยาณมิตร ,2566) นอกจากนี้ประโยชน์ของไม้กวาด ยังท าให้บ้านสะอาดน่าอยู่เกิดขึ้นได้จากการท าความสะอาดบ้านอย่างสม่ าเสมอ จึงเป็นเรื่องปกติที่ทุกบ้าน จะต้องมีอุปกรณ์ท าความสะอาดติดบ้านไว้ การมีอุปกรณ์ท าความสะอาดบ้านที่ครบครันและพร้อมใช้อยู่ในบ้าน จะช่วยท าให้การท าความสะอาดบ้านนั้นง่ายขึ้น ท างานได้สะดวกสบายขึ้น อีกทั้งช่วยประหยัดเวลา แรงงาน น ามาซึ่งความสุขและสุขอนามัยที่ดี อุปกรณ์ท าความสะอาดบ้านที่จ าเป็นและช่วยให้การท าความสะอาด จากการตรวจสอบอาชีพการท าไม้กวาดซึ่งเป็นอาชีพทางภูมิปัญญาของชาวบ้านในอ าเภอพรหมคีรีนั้น พบแหล่งที่ชุมชนบ้านพรุชนเหนือ ต าบลบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ชาวบ้านในชุมชน ท าไม้กวาดและมีแนวทางในการพัฒนา OTOP นวัตวิถีพรุชนเหนือหัตกรรมไม้กวาดดอกหญ้าโดยมีการส่งขาย กระจายสินค้าสู่อ าเภอใกล้เคียง เช่น อ าเภอพรหมคีรี อ าเภอนบพิต าและจังหวัดพื้นที่ในภาคใต้จากการยืนยัน เรื่องรายได้พบว่าชาวบ้านมีรายได้จากการท าไม้กวาดส่งขายเล่มละ 50 บาท โดยเฉลี่ยเดือนละ 5,000 นอกจากนี้ผู้วิจัยได้ตรวจสอบเรื่องปัญหาของ OTOP นวัตวิถีพรุชนเหนือหัตกรรมไม้กวาดดอกหญ้า พบว่าคนใน ชุมชนยังขาดความรู้ในการพัฒนาอาชีพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจแปลกใหม่และทักษะในการใช้เทคโนโลยี มาเพิ่มมูลค่าสินค้า (ธีรวัฒน์ ช่างสาน, 2566, สัมภาษณ์ มกราคม : 13) และเมื่อถามยืนยันเรื่องปัญหาและ แนวทางการพัฒนามีการยืนยันว่าเป็นอาชีพที่ดีต้องการพัฒนาฝีมือพัฒนาความรู้ในอาชีพเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ในชุมชน เทศบาลต าบลพรหมโลก มุ่งเน้นสนับสนุนการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมเพื่อยกระดับ ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้สามารถสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์พัฒนาฝีมือให้ประชาชนและส่งเสริมความแข็งแรงของ กลุ่มอาชีพต่อไป


6 ผู้สร้างสรรค์ปละประดิษฐ์นวัตกรรม เล็งเห็นถึงความส าคัญทางภูมิปัญญาการท า ไม้กวาด มีความมุ่งหวัง จะส่งเสริมอาชีพและการส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้กวาด ของคนในชุมชนบ้านเกาะ ต าบลบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงเอาภูมิปัญญาการท าไม้กวาดมาสร้างสรรค์ชุดการแสดง ชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลา เพื่อ สร้างสรรค์ชุดการแสดงและเป็นสื่อกลางในถ่ายทอดความรู้กรรมวิธีภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนไทยทางภาคใต้ให้ คงอยู่ คาดการณ์เป็นเบื้องต้นว่านาฏยประดิษฐ์สร้างสรรค์ในครั้งนี้ จะสร้างคุณค่าในเชิงอนุรักษ์ภูมิปัญญาการ ท าอาชีพไม้กวาดของคนในชุมชน อีกทั้งได้เป็นการพัฒนาการเรียนการสอนในเชิงวิชาการบนพื้นฐานของการ น าเอาระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นจากกลุ่มศิลปาชีพมาพัฒนาในรูปแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ น ามาสู่ผลสัมฤทธิ์ของ ผลงานในรูปแบบนาฏยประดิษฐ์ขึ้นในครั้งนี้ 9. วัตถุประสงค์การสร้างนวัตกรรม (ค ำอธิบำย : ระบุวัตถุประสงค์หลักของกำรสร้ำงนวัตกรรมอย่ำงชัดเจน เป็นข้อๆ เรียงล ำดับควำมส ำคัญ โดยมีควำมเชื่อมโยงสอดคล้องกับที่มำและแนวคิดของกำรสร้ำงนวัตกรรม ตลอดจนชื่อของนวัตกรรม) 1. เพื่อศึกษาองค์ความรู้กรรมวิธีภูมิปัญญาท้องถิ่นการท าไม้กวาดดอกหญ้าของชาวบ้านอ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช 2. เพื่อสร้างสรรค์การแสดงชุด สัมมุญชนีนาฏยลีลา ที่มีองค์ประกอบทางการแสดงที่มีคุณภาพ ส าหรับ น ามาเป็นแนวทางการประชาสัมพันธ์เผยแพร่องค์ความรู้ สร้างเศรษฐกิจอย่างสร้างสรรค์ในชุมชนจากการท าไม้ กวาดดอกหญ้าของต าบลบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราชในโอกาสต่อไป 10. การทบทวนวรรณกรรมและสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้อง (ค ำอธิบำย : เป็นกำรวิเครำะห์และสังเครำะห์งำน ทำงวิชำกำรที่ผ่ำนมำ ทั้งในรูปแบบของผลงำนวิจัยและสิทธิบัตร เพื่อใช้ในกำรพัฒนำงำนใหม่ โดยเนื้อหำ ของวรรณกรรมที่ทบทวนต้องมีควำมสอดคล้องกับชื่อเรื่องและวัตถุประสงค์ ด้วยกำรทบทวนเอกสำร ที่เกี่ยวข้อง (Literature Review) หรือสอบถำมควำมคิดเห็นจำกบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ได้มำซึ่งแนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวกับผลงำนนวัตกรรม) ความรู้เรื่องภูมิปัญญาไม้กวาดดอกหญ้า ความรู้เรื่องภูมิปัญญาไม้กวาดดอกหญ้า ผู้รายงานจะให้รายละเอียดของประเด็น ความหมายของภูมิ ปัญญา ประเภทของภูมิปัญญา ความหมายของไม้กวาด ประวัติที่มาของไม้กวาดดอกหญ้า บ้านเกาะ ขั้นตอน การท าไม้กวดดอกหญ้า ดังนี้ 1. ความหมายของภูมิปัญญา ความหมายภูมิปัญญา ค าว่า "ภูมิปัญญา" เคยเป็นค าที่รู้จักกันในหมู่นักการศึกษาทั่วไป ส่วนภูมิ ปัญญาชาวบ้านภูมิปัญญาท้องถิ่น เริ่มเป็นที่รู้จักนิยมกันแพร่หลาย นับวันเป็นที่รู้จักกันในช่วงเวลาวิกฤตทาง เศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงมีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลาย ขอน าเสนอความหมาย และ ลักษณะส าคัญของภูมิ ปัญญา ดังนี้ สามารถ จันทร์สูรย์, (2533 : 55) ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวบ้านคิดได้เองที่ น ามาใช้ในการแก้ปัญหา เป็นสติปัญญา เป็นองค์ความรู้ ทั้งหมดของชาวบ้านทั้งกว้างและลึกที่ชาวบ้านสามารถ คิดเอง ท าเอง โดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่แก้ปัญหาการด าเนินวิถีชีวิตไว้ในท้องถิ่นได้อย่างสมสมัย


7 เสรี พงศ์พิศ, (2549 : 12) ได้ให้ความหมายภูมิปัญญาชาวบ้านหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง พื้นเพ รากฐานของความรู้ซาวบ้านซึ่งมีลักษณะที่เป็นนามธรรม เป็นโลกทัศน์ ชีวทัศน์ เป็นปรัชญา ในการด าเนิน ชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คุณค่าและความหมายของทุกสิ่งในชีวิตประจ าวัน และลักษณะ รูปธรรม เช่นการท ามาหากิน การเกษตร หัตถกรรม ศิลปะดนตรี และอื่น ๆ ภูมิปัญญาสะท้อนลักษณะ ความสัมพันธ์ 3 ลักษณะ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับโลก คนกับสิ่งแวดล้อม พืช สัตว์ ธรรมชาติ ความสัมพันธ์กับงานอื่น ๆ ที่อยู่ร่วมกันในสังคม หรือชุมชน และความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรม ธรรมชาติไม่สามารถสัมผัสได้ ความสัมพันธ์ทั้ง 3 ลักษณะ คือวิถีชีวิตของชาวบ้านสะท้อนออกมาถึงภูมิปัญญา ในการด าเนินชีวิตอย่างมีเอกภาพ วิทยากร เชียงกูล, (2545 : 144-146) ภูมิปัญญา หมายถึง ความรู้ ความคิดความเชื่อ ความสามารถ ความชัดเจนของแต่ละกลุ่มวัฒน์ธรรมที่ได้มาจากการเรียนรู้ การปรับตัวและการมีประสบการณ์ในการด ารงชีพ พัฒนาตนเองและสังคม จะเรียกว่าความรู้แบบองค์ความก็ได้เพราะภูมิปัญญาในการท ามาหากินสอดคล้องกับ ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมทางสังคม มุ่งเน้นการแบ่งปันมากกว่าการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ใช้เทคโนโลยีที่ เรียบง่ายมีความกลมกลืนสมดุลของธรรมชาติ อุบลรัตน์ กิจไมตรี, (2542 : 10) ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ความรู้ประสบการณ์ของชาวบ้านใน ท้องถิ่น ซึ่งได้รับการศึกษา อบรมสั่งสอน และถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ หรือจากประสบการณ์ของตนเอง โดย ผ่านกระบวนการทางจารีตประเพณี วิถีชีวิต การท ามาหากิน และพิธีกรรมต่าง ๆ เอกวิทย์ ณ ถลาง, (2539 : 11-12) ได้ให้ความหมาย ภูมิปัญญาหมายถึง ความรู้ความคิด ความเชื่อ ความสามารถ ความชัดเจน ที่กลุ่มชนได้จากประสบการณ์ซึ่งสะสมไว้ในการปรับตัวและด ารงชีพในระบบ นิเวศน์หรือสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรมที่ได้พัฒนาการสืบสานกันมา ภูมิปัญญาเป็นความรู้ ความคิด ความเชื่อ ความสามารถ ที่เป็นผลของการใช้สติปัญญาปรับตัวกับสภาวะต่าง ๆ ในพื้นที่กลุ่มชนนั้น ๆ และมีการแลกเปลี่ยนสนทนาทางวัฒนธรรมกับกลุ่มชนอื่นที่มีการติดต่อสัมพันธ์กันแล้ว รับเอาหรือปรับเปลี่ยนน ามาสร้างประโยชน์หรือแก้ปัญหาของชุมชนได้ ภูมิปัญญาจึงเป็นทั้งภูมิปัญญาดั้งเดิมอัน เกิดจากประสบการณ์ในพื้นที่ ภูมิปัญญาที่มาจากภายนอก และภูมิปัญญาใหม่ ดังนั้น “ภูมิปัญญา” จึงหมายถึง องค์ความรู้ ความเชื่อ ความสามารถของคนในท้องถิ่นที่ได้จากการสั่ง สมประสบการณ์และการเรียนรู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน มีลักษณะเป็นองค์รวม และมีคุณค่าทางวัฒนธรรม ความส าคัญภูมิปัญญา เป็นที่กล่าวถึงกันมากขึ้นเมื่อสังคมเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ นโยบายการ พัฒนาประเทศในต้านต่าง ๆ มีการเชื่อมโยงถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นสิ่งที่คุ้นเคยกับการใช้ ชีวิตที่ละเลยมานาน เพราะผลกระทบของการพัฒนาที่ผ่านมาท าให้ได้รับบทเรียน เมื่อสังคมมีปัญหาแล้วเราไม่ สามารถปรับตัวเองได้ แก้ไขปัญหาเองไม่ได้เนื่องจากเราเน้นความรู้สากลเพียงอย่างเดียว จึงมีหลายหน่วยงานที่ ให้ความส าคัญภูมิปัญญาในฐานะรากเหง้าของความรู้ดั้งเดิมของท้องถิ่นและสังคมไทย ดังนี้ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้จุดประกายในการน าภูมิปัญญาสู้การศึกษาของชาติ จึงก าหนด วิสัยทัศน์ในการส่งเสริมภูมิปัญญาไทยในการจัดการศึกษาไว้ ภายในปี พ.ศ. 2550 นี้ ภูมิปัญญาไทยได้รับการ ส่งเสริมเพื่อการแก้ไขปัญหา และพัฒนาสังคมไทย ให้ประสานสอดคล้องกับภูมิปัญญาสากล โดยถ่ายทอดสู่


8 ระบบการศึกษา ทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย อย่างสมดุลยั้งยืนในลักษณะคุณค่าของภูมิปัญญา ไทย และกว้างไกลไปสู่ภูมิปัญญาสากล การเชื่อมโยงภูมิปัญญาเข้าสู่ระบบการศึกษา พัฒนาสู่นวัตกรรมใหม่ สู่จุดหมายส าคัญ ด้านเศรษฐกิจ และสังคม เป็นการเชิดชูภูมิปัญญาเอกลักษณ์ส าคัญของความเป็นไทยสู่สากลอย่างมีคุณค่า ปรากฏในรูปแบบ ของผลิตภัณฑ์แปรคุณค่าเสริมราคา สร้างเสริมเศรษฐกิจรากฐาน สู่เศรษฐกิจของชาติ นอกจากนั้นยังมีกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของชาติก าหนดให้อนุรักษ์และฟื้นฟูภูมิปัญญาเพื่อให้คงอยู่คู่ชาติต่อไป 2. ประเภทของภูมิปัญญา ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือภูมิปัญญาชาวบ้านหมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวบ้านคิดขึ้นได้เองและน ามาใช้ ในการแก้ปัญหา เป็นเทคนิควิธี เป็นองค์ความรู้ของชาวบ้าน ทั้งทางกว้างและทางลึกที่ชาวบ้านคิดเอง ท าเอง โดยอาศัยศักยภาพที่มีอยู่แก้ปัญหาการด าเนินชีวิตในท้องถิ่นได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัย ความเหมือนกันของ ภูมิปัญญาไทยและภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ เป็นองค์ความรู้ และเทคนิคที่น ามาใช้ในการแก้ปัญหาและการ ตัดสินใจ ซึ่งได้สืบทอดและเชื่อมโยงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม แบ่งประเภทของภูมิปัญญาท้องถิ่นไว้ 7 ประเภท ดังนี้ ภูมิปัญญาด้านการเกษตร ภูมิปัญญาด้านเศรษฐกิจ ภูมิปัญญาด้านศาสนาคุณธรรมจริยธรรมค า นิยมความเชื่อ ภูมิปัญญาด้านการจัดการทรัพยากรและการพัฒนาหมู่บ้าน ภูมิปัญญา ด้านศิลปะ ภูมิปัญญา ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และภูมิปัญญาด้านภาษาและวรรณกรรมจากการตรวจสอบพบว่าการท าไม้กวาด ดอกหญ้าถือเป็นการส่งเสริมอาชีพของคนในหมู่บ้านมีการรวมกลุ่มกันท าไม้กวาดดอกหญ้า สามารถท าเป็น อาชีพหลักและอาชีพเสริมที่สามารถท าได้ตลอดทั้งปีดังนั้น ไม้กวาดจึงจัดอยู่ในกลุ่มภูมิปัญญาเกษตรซึ่งเกิด จากการผสานความรู้ ทักษะเเละเทคนิควิธีการของคนในอดีตจนถึงปัจจุบัน 3. ความหมายของไม้กวาด ไม้กวาด เป็นค าเรียกในภาษาไทย ส่วนภาษาบาลีใช้ค าว่า สัมมุญชนีโดยความหมายนั้น ไม้กวาด หมายถึง สิ่งที่ใช้ปัดกวาด ท าด้วยวัสดุต่าง ๆ อย่างก้านใบมะพร้าว ช่อดอกของต้นหญ้าบางชนิด มัดเป็นก า ๆ (ราชบัณฑิตยสภา, 2554 : 932) เป็นอุปกรณ์ที่อยู่คู่กับคนไทยเรามาช้านาน ทุกบ้านต้องมีไว้เพื่อท าความ สะอาดบ้านที่เกิดจากความฉลาดของคนไทยในโบราณจนสร้างเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน สืบต่อกันมาจนกลายมา เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต จังหวัดนครศรีธรรมราชพบแหล่งการผลิตไม้กวาดทางภูมิปัญญาที่ท าจากดอกหญ้า คือที่อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช 4. ประวัติที่มาของไม้กวาดดอกหญ้าบ้านเกาะ การท าไม้กวาดใน ต าบลบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช เกิดจากการถ่ายทอดองค์ ความรู้จากบรรพบุรุษสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในอดีตมีการท าไม้กวาดแค่วันละด้าม สองด้ามเพื่อใช้ปัดกวาด ท าความสะอาดภายในบ้าน ต่อมาได้มีการท าไม้กวาดจ านวนมากขึ้นเพื่อน าไปแลกเปลี่ยนอาหารสิ่งของ เครื่องใช้ที่ตลาดท่าแพ จังหวัดนครศรีธรรมราช ในอดีตดอกหญ้าสามารถหาได้ง่าย ขึ้นเองตามธรรมชาติและมี อยู่เป็นจ านวนมากภายในบริเวณบ้านสามารถเก็บได้ตามต้องการแต่ในปัจจุบันการเก็บดอกหญ้าจึงจ าเป็นต้อง ขึ้นไปเก็บบริเวณเชิงเขาที่ขึ้นเองตามธรรมชาติแต่ดอกหญ้าเริ่มมีจ านวนลดน้อยลงไม่เพียงพอส าหรับการท าไม้ กวาดเพื่อส่งขายจึงมีการสั่งซื้อดอกหญ้าจากต่างจังหวัด ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดแม่ฮ่องสอน


9 ปัจจุบันการท าไม้กวาดดอกหญ้าถือเป็นอาชีพหลักของนางอุไร แสงจันทร์ เนื่องจากสามารถท าได้ที่ บ้านในยามว่างและยังสามารถดูแลสามีที่ป่วยได้สะดวก ซึ่งนางอุไรได้รับการถ่ายทอดความรู้การท าไม้กวาด ดอกหญ้ามาจากนางพุด โกสะ ซึ่งเป็นทวดของตน ต่อมานางอุไร ได้ถ่ายทอดความรู้การท าไม้กวาดดอกหญ้า ให้แก่ลูกหลาน การท าไม้กวาดของป้าอุไรมีการขายส่งออกไปยังร้านค้า ต่าง ๆ และมีการขายในรูปแบบ ออนไลน์ส่งไปยังต่างจังหวัด ผ่านระบบขนส่งในประเทศไทย (นางอุไร แสงจันทร์, (2566) สัมภาษณ์, มีนาคม : 31) 5. ขั้นตอนการท าไม้กวาดดอกหญ้า ขั้นตอนการท าไม้กวาดดอกหญ้า จากการสัมภาษณ์นางอุไร แสงจันทร์ วันที่ 31 มีนาคม 2566 สามารถสรุป เป็นขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ วิธีการท า ภาพประกอบ 1 1. หักต้นดอกหญ้า และฉีกฝอยออก จากดอกหญ้า 2. น าดอกหญ้าไปตากแดดให้ครบ 3 แดด 2 น าดอกหญ้ามาคัดเพื่อจะน าเข้าช่อ 3 น าลวดเบอร์ 18 มามัดดอกหญ้าเป็น ช่อเล็ก ๆ จ านวน 6 ช่อ 4 เมื่อได้ช่อจับเรียงจากที่ก้านยาวไว้ตรง กลางและก้านสั่นไว้ข้าง ๆทั้ง 2 ฝั่ง 5 เมื่อมัดเข้าช่อได้พอประมาณแล้วน า ไม้ไผ่ที่ตากแห้งมาเสียบเข้ากับช่อไม้ กวาด


10 6 เมื่อมัดเข้าช่อได้พอประมาณแล้วน า ไม้ไผ่ที่ตากแห้งมาเสียบเข้ากับช่อไม้ กวาด 7 น ามีดมาตัดตกแต่งตรงโคนดอกหญ้า เพื่อให้เรียงสวยและดูเรียบร้อย 8 น าค้อนมาตีตรงลวดบริเวณตรงกลาง ให้มีลักษณะแบนใช้กวาดง่าย 9 ได้ไม้กวาดดอกหญ้าตามที่ต้องการ 6. ประเภทของไม้กวาด ไม้กวาด จัดเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ส าหรับท าความสะอาด ซึ่งจ าเป็นส าหรับทุกครัวเรือนแม้ปัจจุบัน บาง ครัวเรือนอาจใช้เครื่องดูดฝุ่นเข้ามาช่วย แต่ไม้กวาดก็ยังจ าเป็นต้องใช้เหมือนเดิม เพราะสามารถใช้ได้สะดวก กว่า และราคาถูกกว่า ทั้งนี้ ไม้กวาดมีหลายชนิด และแต่ละชนิดจะใช้งานแตกต่างกัน ธวัชชัย ศรีภักดี, (2557) ดังนี้ 6.1 ไม้กวาดดอกหญ้า เป็นไม้กวาดที่ท าจากดอกหญ้า ส่วนด้ามนิยมท า ด้วยไม้ โดยนิยมท าจาก หญ้าตองกง หรือดอกแขม ซึ่งจะตัดส่วนก้านยอดหรือก้านช่อดอก แล้วน ามาตากแห้งเพื่อให้ดอกร่วงออก ก่อน น ามามัดรวมกันเป็นผืนติดกับด้ามไม้ไผ่ ซึ่งปัจจุบัน ถือเป็นชนิดไม้กวาดที่จ าเป็น และนิยมใช้มากที่สุด 6.2 ไม้กวาดทางมะพร้าว เป็นท าจากก้านของใบมะพร้าวที่ใช้มีดเหลาเอาแผ่นใบออก ก่อนน ามา ตากให้แห้ง ก่อนน ามามัดรวมกันส าหรับใช้ได้เลยหรือมัดรวมกันเป็นแผ่นติดกับด้ามไม้กวาด ทั้งนี้ ก้านมะพร้าว ที่เลือกนิยมใช้ที่ความยาวประมาณ 70 เชนติเมตร 6.3 ไม้กวาดก้านกะพ้อ คือ ไม้กวาดที่ท า จากก้านของใบกระพ้อ ซึ่งเป็นพืชตระกูลปาล์ม โดยน า ก้านใบของต้นกะพ้อมารีดให้แตกเป็นเส้น แล้วน าเส้นใยของก้านใบไปย้อมกับขมิ้นเพื่อป้องกันมอดหรือแมลง


11 6.4 ไม้กวาดใยก้านสาน เป็นไม้กวาดที่ได้จากการน าใยก้านลานมามัดรวมกันเป็นกระจุก แล้ว น าไปมัดยึดติดกันเป็นแผง โดยการนเตรียมใยก้านลาน ท าได้ด้วยการน าก้านลานไปแช่น้ าประมาณ 15 วัน หลังจากนั้น น ามาทุบให้แตกเป็นเส้น แล้วใช้หวีชนิดห่างสางเส้นใยออก ก่อนน าไปผึ่งแดด 1-2 วัน แล้วน าเส้น ใยมามัดรวมกันเป็นแผ่นก่อนจะประกอบเป็นไม้กวาด 6.5 ไม้กวาดใยมะพร้าว เป็นไม้กวาดที่ท าได้จากการน า เส้นใยของเปลือกมะพร้าวในไปแช่น้ า ประมาณ 15-20 วันแล้วน ามาทุบให้แตกเป็นเส้น หลังจากนั้นใช้หวีชนิดห่างสางเส้นใยแยกออกจากชุ่ยมะพร้าว ออกจนหมด แล้วน าไปผึ่งแดดให้แห้ง หลังจากนั้นเส้นใยน ามามัดรวมกันเป็นกระจุกเล็ก ๆ แล้วมัดเข้าด้วยกัน ให้เป็นไม้กวาดด้วยหวายหรือเชือก และน า ไปยึดติดกับด้ามไม้ 6.6 ไม้กวาดใยตาล คือ ไม้กวาดที่ท าจากกาบตาล ซึ่งอยู่ตรงส่วนโคนของทางตาลติดกับล าต้น โดย ตัดกาบตาล แล้วมาตีให้แตกเป็นเส้น น าไปผึ่งแดดให้แห้ง หลังจากนั้น น าใยตาลมามัดรวมกัน เป็นกระจุกเล็ก ๆ แล้วยืดเข้าด้วยกัน โดยการพันด้วยหวาย และน าไปยึดติดกับด้ามไม้กวาด 6.7 ไม้กวาดใยป่านศรนารายณ์เป็นไม้กวาดที่ได้จากเส้นใยของต้นป่านศรนารายณ์ โดยการน าใบ ของต้น ป่านศรนารายณ์มาขูดเปลือกด้านนอกออก ให้เหลือแต่เส้นภายในสีขาวที่แตกเป็นเส้นละเอียด แล้ว น าไปผึ่งแดดให้แห้ง แล้วน าไปมัดเป็นกระจุกเพื่อประกอยเป็นไม้กวาดต่อไป 6.8 ไม้กวาดพลาสติก ได้จากการน าเส้นพลาสติกมามัดรวมกันเป็นกระจุกเล็ก ๆ น าไปยึดติดกัน เป็นแผงรวมกันโดยการเย็บด้วยเชือก แล้วมัดติดกับด้าม ส่วนประกอบของไม้กวาด ประกอบด้วย ด้ามไม้กวาด และผืนไม้กวาดด้ามไม้กวาดอาจท าได้จากไม้ไผ่ พลาสติก หรือแท่งอลูมิเนียม ส่วนผืนไม้กวาดอาจท าจากดอก หญ้า พลาสติกทางมะพร้าว และวัสดุท้องถิ่นอื่น ๆ เช่น ใยตาล ใยมะพร้าว เป็นต้น 7. ประโยชน์ของการท าไม้กวาด ประโยชน์ของไม้กวาดมี ดังนี้ 7.1 ไม้กวาดใช้เป็นอุปกรณ์ ปัดกวาดเศษขยะชิ้นเล็ก ๆ เศษผง ตลอดจนฝุ่นละอองบนพื้นที่แห้ง และเรียบ ซึ่งใช้ได้ทั้งพื้นไม้ พื้นปาร์เก็ต พื้นซีเมนต์ พื้นหินอ่อน พื้นหินขัด พื้นกระเบื้อง 7.2 ไม้กวาดดอกหญ้าเป็นผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ สะท้อน ให้เห็นถึงความเป็นชุมชน วิถีชีวิต การรวมกลุ่มกันของคนในชุมชน ภูมิปัญญาชาวบ้านได้ก่อเกิดและสืบทอดกัน มา 7.3 ผู้ที่ได้เรียนรู้การท าไม้กวาดดอกหญ้า สามารถต่อยอดพัฒนาผลผลิตยึดเป็นอาชีพเสริม เพิ่มพูนรายได้ให้ครอบครัวได้ 8. คุณภาพของไม้กวาดที่ดี คุณภาพของไม้กวาดที่ดีควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ 8.1 ด้ามไม้กวาด จะต้องใช้วัสดุจากไม้ไผ่ เพราะมีน้ าหนักเบา ผิวเรียบไม่ขรุขระ มีขนาดความยาว 80 เซนติเมตร 8.2 ส่วนผืนไม้กวาดหรือส่วนที่เป็นดอกไม้กวาด 8.3 การมัดยึดติดกัน ใช้ด้ามยาว 80 เซนติเมตร มามัดเข้ากับผืนของไม้กวาดโดยจะต้องใช้ลวด ขนาดเบอร์ 18 จากนั้นใช้ค้อนตีตรงกลางผืนไม้กวาดเพื่อให้ผืนไม้กวาดกับด้ามไม้กวาดยึดติดกันแน่น


12 8.4 ลักษณะขนไม้กวาดหรือดอกไม้กวาด ต้องผ่านการตากแดดมา 3 แดด จนดอกหญ้าแห้งมีสี เขียวผสมสีเหลือง และต้องตัดโคนแข็ง ๆ ของดอกหญ้าออก เพราะก้านดอกหญ้าที่แข็งจะท าให้ดอกหญ้าหัก ง่ายไม่ทนทาน 8.5 เมื่อใช้งานเสร็จควรจัดวางไม้กวาดให้ตั้งขึ้นโดย ให้ผืนดอกหญ้าตั้งขึ้นด้านบน เพราะหากวาง ผืนดอกหญ้าพับบนพื้นจะท าให้ผืนดอกหญ้าหักหรือพับงอได้ 8.6 ควรเก็บไม้กวาดดอกหญ้าไว้ในที่แห้ง ไม่ควรเก็บไว้ในบริเวณที่เปียกหรืออาจจะโดนฝน (นาง อุไร แสงจันทร์, (2566) สัมภาษณ์,เมษายน : 6) 9. บรรยากาศของการแลกเปลี่ยนซื้อขายไม้กวาดดอกหญ้าในชุมชน ผลิตภัณฑ์ไม้กวาดของชาวบ้านในชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีการวาง จ าหน่ายภายในชุมชนและบริเวณใกล้เคียง มีการจ าหน่ายทั้งค้าปลีกและค้าส่ง มีสถานที่จ าหน่ายสินค้าเป็นของ ตนเอง ทั้งตลาดภายนอกและตลาดภายในชุมชนมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ข้อมูลสินค้าให้กับผู้บริโภคโดย ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น ทางเฟสบุ๊ก ทางไลน์ และการถ่ายทอดสดทางเฟสบุ๊คที่บอกคุณภาพของสินค้า จากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าไม้กวาดเป็นสิ่งที่ใช้ปัดกวาด ท าความสะอาดบ้านเรือนเป็นอุปกรณ์ที่ อยู่คู่กับคนไทยเรามาช้านาน ทุกบ้านต้องมีไว้เพื่อท าความสะอาดบ้าน ที่เกิดจากความฉลาดของคนไทยใน โบราณจนสร้างเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน สืบต่อกันมาจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต เกิดจากการถ่ายทอด องค์ความรู้จากบรรพบุรุษสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในอดีตมีการท าไม้กวาดแค่วันละด้าม สองด้ามเพื่อใช้ปัด กวาดท าความสะอาดภายในบ้าน ต่อมาได้มีการท าไม้กวาดจ านวนมากขึ้นเพื่อน าไปแลกเปลี่ยนอาหารสิ่งของ เครื่องใช้ ไม้กวาดที่ปรากฏในประเทศไทยมี 8 ชนิด ได้แก่ ไม้กวาดดอกหญ้า ไม้กวาดทางมะพร้าว ไม้กวาด เสี้ยนตาล ไม้กวาดไม้ไผ่ ไม้กวาดไนลอน ไม้กวาดยางพารา ไม้กวาดข้าวโพด ไม้กวาดขนไก่ การท าไม้กวาดดอก หญ้ามีขั้นตอนการท าเริ่มจากการหักต้นดอกหญ้าและฉีกฝอยออกจากดอกหญ้าน าดอกหญ้าไปตากแดดให้ครบ 3 แดด แล้วน าดอกหญ้ามาคัดเพื่อจะน าเข้าช่อ น าลวดเบอร์18 มามัดดอกหญ้าเป็นช่อเล็ก ๆ จ านวน 6ช่อ เมื่อ ได้ช่อจับเรียงจากที่ก้านยาวไว้ตรงกลางและก้านสั่นไว้ข้าง ๆทั้ง 2 ฝั่ง เมื่อมัดเข้าช่อได้พอประมารแล้วน าไม้ไผ่ที่ ตากแห้งมาเสียบเข้ากับช่อไม้กวาด เมื่อมัดเข้าช่อได้พอประมาณแล้วน าไม้ไผ่ที่ตากแห้งมาเสียบเข้ากับช่อไม้ กวาด น ามีดมาตัดตกแต่งตรงโคนดอกหญ้าเพื่อให้เรียงสวยและดูเรียบร้อยน าค้อนมาตีตรงลวดบริเวณตรง กลางให้มีลักษณะแบนใช้กวาดง่าย จึงจะได้ไม้กวาดดอกหญ้าตามที่ต้องการ ไม้กวาดดอกหญ้ามีประโยชน์ อัน ได้แก่เป็นอุปกรณ์ ปัดกวาดเศษขยะชิ้นเล็ก ๆ เศษผง ตลอดจนฝุ่นละอองบนพื้นที่แห้งและเรียบ ถือเป็น ผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นชุมชน วิถีชีวิต การ รวมกลุ่มกันของคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นอาชีพเสริมที่เพิ่มพูนรายได้ของคนในชุมชน คุณภาพของไม้กวาดที่ดี นั้นควรต้องมีความแข็งแรงทนทาน ควรท าจากดอกหญ้าที่อ่อนนุ่ม ผูกติดกันแน่น ด้ามเรียบไม่ขรุขระ จับถนัด มือ น้ าหนักเบา และมีความยาวพอเหมาะกับผู้ใช้ สามารถยืนกวาดได้สบายไม่ต้องก้มหลัง สามารถใช้งานได้ดี ปัจจุบันมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายไม้กวาดดอกหญ้ากันภายในชุมชนและยังมีการส่งออกขายส่งออกไปยังร้านค้า ต่างๆรวมถึงมีการขายในรูปแบบออนไลน์ส่งไปยังต่างจังหวัด ผ่านระบบขนส่งในประเทศไทย


13 แนวคิดและทฤษฎี แนวคิดและทฤษฎีส าหรับนวัตกรรมชุดนี้ผู้สร้างสรรค์จะให้รายละเอียดเพื่อความเข้าใจอย่างง่าย โดย แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นคือ แนวคิดและทฤษฎี ดังนี้ แนวคิด ( Concept ) แนวคิด คือ ความคิดที่เป็นแนวที่จะด าเนินต่อไป (ราชบัณฑิตยสภา, 2554). การสร้างสรรค์ผลงานการ แสดงนาฏศิลป์ไทย ได้มีการใช้เทคนิคแนวทางต่าง ๆ ที่บรมครูนักวิชาการตรวจสอบไว้ใช้เป็นแนวทาง เพื่อให้ เกิดสุนทรียภาพแก่ผู้ชม เกิดเป็นองค์ประกอบทางการแสดง อย่างไรก็ตามความงามที่เกิดเป็นสุนทรียภาพใน การชมการแสดงมักเกิดจากองค์ประกอบของการแสดงเป็นสิ่งส่งเสริม สุมิตร เทพวงษ์, (2548 : 10) สรุป องค์ประกอบทางด้านนาฏศิลป์ คือ 1. ลีลาท่าทาง คือ ท่าทางการร่ายร าที่ประดิษฐ์ขึ้นส าหรับการแสดง 2. ดนตรี เป็นเสียง ประกอบกันเป็นท านองเพลง และเป็นส่วนส าคัญส่วนหนึ่งท าให้ผู้ชมรู้สึก เพลิดเพลินหรือเกิดอารมณ์ ร่วมไปกับการแสดงนั้น ๆ ซึ่งดนตรีประกอบด้วย 2.1 จังหวะ หมายถึงระยะที่ก าหนดไว้เป็นตอน ๆ เช่น เพลงจังหวะช้า และเร็ว ถ้าเป็นเพลงไทย โดยทั่วไปจะแปรจังหวะสามัญออกเป็น 3 แบบ คือ จังหวะช้า ปานกลาง เร็ว หรือที่เรียกว่า จังหวะสามชั้น สองขั้นและชั้นเดียว 2.2 ท านอง หมายถึง ระเบียบเสียงสูงต่ า ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว มีอิทธิพลต่อความรู้สึก ตลอดทั้งเป็น ส่วนที่ถ่ายทอดอารมณ์เพลงไปสู่ผู้ฟังและผู้ชมได้เป็นอย่างดี 3. บทเพลง หมายถึง ค าประพันธ์ส าหรับขับร้องประกอบการแสดง 4. การขับร้อง หมายถึง การเปล่งเสียงออกมาอย่างไพเราะตามจังหวะและท านองแตกต่างกัน ออกไปตามอารทมณ์ของเพลง 5. เครื่องแต่งกาย หมายถึง ตัวก าหนดรูปแบบลักษณะของการแสดง ซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อผ้าและ เครื่องประดับที่เหมาะสม 6. อุปกรณ์ประกอบการแสดง หมายถึง สิ่งที่น ามาเพิ่มหรือเสริมแต่งเพื่อให้การแสดงสมบูรณ์ขึ้น 7. เวทีและฉาก หมายถึง ส่วนส าคัญอีกประการหนึ่งของการแสดงที่จะท าให้การแสดงดูสมจริง กรอบแนวทาง 7 ประการที่เป็นเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปในการเสพศิลปะด้านนาฏศิลป์ เพื่อให้การชม การแสดงมีสุนทรียะตามที่ นิคม มูสิกะคามะ, (2547 : 114) ก าหนดว่า 1. ลีลาของการร่ายร า ซึ่งต้องอาศัยรูปแบบของตริภังค์คือส่วนขาและการย่างเท้าลีลาการเคลื่อนไหว ประเภทหนึ่ง การโยกล าตัว ตลอดจนมือและแขนซ้ายขวาไปตามรูปแบบที่ก าหนด ประการหนึ่ง กับการใช้ ศีรษะร่ายร ายักย้ายไปตามจังหวะดนตรีและบทเพลง 2. ความไพเราะของดนตรีและการบรรเลง เป็นการประสานเสียงของเครื่องดนตรีไปตามห้องดนตรี และจังหวะที่เหมาะสมหรือที่คีตดนตรีก าหนดไว้ แสดงให้เห็นความไพเราะงดงามทางเสียงประโคม หรือร่วม ส่งเสริมการร่ายร าในท านองต่าง ๆ เช่น สงคราม ความเสณา และความสนุกสนานรื่นเริง 3. ค าร้องและเนื้อร้อง ที่มีการเรียงถ้อยค าตามจุดหมายที่ก าหนดในกฎเกณฑ์รูปแบบต่าง ๆ เนื้อเพลง ประกอบดนตรีนั้นเป็นความงดงามด้านภาษาในฉันทลักษณ์


14 4. การแสดงตามบทบาทของบทละคร ในการแสดงประเภทโขนและละคร หรือการฟ้อนร าแบบต่าง ๆ นิยมมีบทบาทและลีลาเป็นไปตามบทที่ก าหนดไว้ 5. บทพากย์และการบรรยาย ส าหรับการแสดงที่ผุ้แสดงไม่สามารถร้องออกมาได้ ต้องมีคนพากย์และ บรรยายแทน โดยตัวละครจะต้องแสดงกิริยาอาการให้ตรงกับเนื้อความนั้น ๆ 6. การแต่งกาย ต้องมีการออกแบบและปรับปรุงสีสันให้สวยงาม มีความสัมพันธ์กับเรื่องราวและตรง ตามจุดประสงค์ของการแสดงในชุดนั้น 7. การจัดองค์ประกอบของเวที ต้องมีความเหมาะสมกับการแสดงและผู้แสดง แนวคิดในการสร้างสรรค์องค์ประกอบการแสดง ผลงานการสร้างสรรค์ในครั้งนี้ เป็นประโยชน์ในการ พัฒนาศิลปนิพนธ์สร้างสรรค์ชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลาในครั้งนี้มาก ดังที่ผู้รายงานได้หยิบยกแนวคิดด้าน องค์ประกอบการสร้างสรรค์ ในด้านการสร้างสรรค์ท่าร า เครื่องแต่งกาย ดนตรีเพลง ท าให้เกิดเป็นชุดการแสดง ที่มีประสิทธิภาพ ทฤษฎี (Theory) ทฤษฎี หมายถึง (ธีรัชภัทร ลีโอบัวค าศรี, 2555) ให้ความหมายไว้ว่า ทฤษฎี หมายถึง ข้อความที่ระบุ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อความคิด หรือตัวแปรหลาย ๆ ตัวแปร ซึ่งข้อความเหล่านี้สามารถทดสอบได้ ทฤษฎีมี ความส าคัญมากต่อการสร้างกรอบแนวความคิด เพราะการศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง จะช่วยในการจัดระเบียบ ความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้เป็นระบบ ท าให้ผู้วิจัยทราบว่ามีตัวแปรใดบ้างที่ส าคัญ และมีความหมายต่อการศึกษา หาความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และ ยังช่วยในการตั้งสมมติฐานและคาดคะเนปรากฏการณ์ ที่จะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นทฤษฎีจึงเป็นตัวก าหนดแนวทาง หรือทิศทางการท างานได้เป็นอย่างดี ทฤษฎีนาฏศิลป์ที่ จะน ามาใช้เป็นกรอบแนวทางการท างานในครั้งนี้ ประกอบด้วย ทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ ทฤษฎีฐานศาสตร์ นาฏศิลป์ที่ก่อให้เกิดนาฏยประดิษฐ์ ทฤษฎีการเคลื่อนไหว และทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ 1. ทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ ทฤษฎีการสร้างงานนาฏยประดิษฐ์เป็นแนวทางการสร้างงานของสุรพล วิรุฬห์รักษ์, (2547 : 225 เข้าถึงจากธีรวัฒน์ ช่างสาน, (2553) ให้รายละเอียดว่าการท างานนาฎยประดิษฐ์ต้องมีกรอบการท างาน คือ การคิดให้มีนาฏยประดิษฐ์ การก าหนดความคิดหลัก การประมวลข้อมูล การก าหนดขอบเขต การก าหนด องค์ประกอบอื่น ๆ และการออกแบบนาฏศิลป์ ดังนี้ 1. การคิดให้มีนาฏยประดิษฐ์ หมายถึง การคิด การออกแบบ และการสร้างสรรค์แนวคิด รูปแบบ กลวิธีของนาฏยศิลป์ชุดหนึ่ง ที่แสดงโดยผู้แสดงคนเดียวหรือหลายคน ทั้งนี้ รวมถึงการปรับปรุงผลงานในอดีต นาฏยประดิษฐ์จึงเป็นการท างานที่ครอบคลุมปรัชญา เนื้อหา ความหมาย ท่าร า ท่าเต้น การแปรแถว การตั้งซุ้ม การแสดงเดี่ยว การแสดงหมู่ การก าหนดดนตรี เพลง เครื่องแต่งกาย ฉาก และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ส าคัญ ใน การท าให้นาฏยศิลป์ชุดหนึ่งสมบูรณ์ตามที่ตั้งใจไว้ ผลงานสร้างสรรค์ครั้งนี้ ผู้วิจัย มีหลักคิดในการท างาน 2 ลักษณะ ดังนี้ 1.1 มุ่งส่งเสริมให้มีชุดการแสดงอย่างสร้างสรรค์ที่น าเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นมาน าเสนอ ส าหรับ ใช้เป็นแนวทางการพัฒนาชุดการแสดง ของนักศึกษาในสถานศึกษาที่สนใจใฝ่เรียนรู้และสร้างสรรค์การแสดง อย่างมีคุณภาพ


15 1.2 เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาทางการแสดงของท้องถิ่น ให้คงอยู่ส าหรับเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และสามารถจุดประกายความคิดสร้างสรรค์แก่เยาวชนให้ร่วมกันฟื้นฟู อนุรักษ์ภูมิปัญญาไทยในโอกาสต่อไป 2. การก าหนดความคิดหลัก หมายถึง สิ่งจ าเป็นส าหรับการสร้างสรรค์งานด้านนาฏศิลป์เพื่อให้ ผลงานเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้สร้างสรรค์ การก าหนดความคิดหลักมี 2 ระดับ คือ ระดับเป้าหมายและ ระดับวัตถุประสงค์ 2.1 ระดับเป้าหมาย หมายถึงการก าหนดให้ชัดเจนว่านาฏศิลป์ชุดที่คิดนี้เพื่ออะไรหรือเพื่อใคร 2.2 ระดับวัตถุประสงค์ หมายถึง การน าเอาเป็นหมายมาก าหนดเป็นสิ่งที่ประสงค์จะให้เกิดขึ้น ในรูปแบบของกิจกรรมต่าง ๆ ที่ชัดเจนเพื่อจะได้น าไปปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ได้ง่าย 3. การประมวลข้อมูล เมื่อได้ก าหนดวัตถุประสงค์แล้วนักนาฏยประดิษฐ์ ต้องท าการรวบรวมข้อมูล มาเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ เพราะการสร้างสรรค์ด้านศิลปะใด ๆ ก็ตามมิได้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่าแต่ เป็นกระบวนการที่น าเอาสิ่งที่มีอยู่ก่อนแล้วมาประยุกต์หรือปรับเปลี่ยนทั้งในระดับนามธรรมหรือรูปธรรมให้ ได้ผลลัพธ์ใหม่ตามวัตถุประสงค์ ข้อมูล มี 2 ลักษณะ คือ ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงกับข้อมูลที่เป็นแรงบันดาลใจ 3.1 ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง หมายถึง ความรู้ต่าง ๆ ที่สืบค้นได้และน ามาพิจารณาเพื่อใช้ ประกอบความคิดให้เป็นรูปร่าง 3.2 ข้อมูลที่เป็นแรงบันดาลใจ หมายถึง ข้อมูลที่กระตุ้น หรือส่งเสริมให้นักนาฏยประดิษฐ์ชุด นั้นไปในแนวใดแนวหนึ่ง 4. การก าหนดขอบเขต หมายถึง การก าหนดว่านาฏศิลป์ชุดนั้นจะครอบคลุมเนื้อหาสาระ อะไรบ้าง และอย่างไรบ้าง 5. การก าหนดองค์ประกอบอื่น ๆ นอกจากรูปแบบของนาฏศิลป์ชุดใหม่แล้ว นักนาฏยประดิษฐ์ต้อง ก าหนดแนวคิดหรือรูปแบบขององค์ประกอบอื่น ๆ ที่จะใช้ในการแสดง เช่น ผู้แสดงรูปแบบเครื่องแต่งกาย รูปแบบฉาก รูปแบบเพลง แสง เสียง ฯลฯ 6. การออกแบบนาฏยศิลป์ คล้ายคลึงกับการออกแบบทัศนศิลป์เพราะนาฏยศิลป์เปรียบเสมือน ประติมากรรมการเคลื่อนที่บนเวทีอันมีผู้แสดงเป็นปัจจัยหลัก ผู้รายงานได้น าเอาทฤษฎีการสร้างงานนาฏยประดิษฐ์ มาเป็นแนวทางในการท างาน สร้างสรรค์ชุดสัม มุญชนีนาฏยลีลา โดยการใช้ความคิดให้มีนาฏยประดิษฐ์ที่ครอบคลุมปรัชญา เนื้อหา ความหมาย ท่าร า การ แปรแถว การตั้งซุ้ม การก าหนดดนตรีเพลง เครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง 2. ทฤษฎีฐานศาสตร์ทางการแสดง ฐานศาสตร์ หมายถึง องค์ความรู้ที่จะท าให้เกิดเป็นชุดการแสดงต่าง ๆ ซึ่งเป็นการหลอมรวมมาจาก ความรู้พื้นฐานทางการแสดง เช่น นาฏยศัพท์ ภาษาท่าทางการแสดง การตีบทการเคลื่อนไหวและการแปร แถว ดังนี้ 2.1 นาฏยศัพท์ หมายถึง ค ายากเกี่ยวกับการฟ้อนร าที่ต้องแปล (หมวดวิชานาภูศิลป์ละคร.2552 : 1) โดยทั่วไปนั้นผู้ใกล้ชิดการเรียนการสอนทางนาฏศิลป์ มีความเข้าใจว่าเป็นค าศัพท์ที่ใช้เรียกท่าร าทางศิลป์ หรือการละคร การฟ้อนร า ดังนั้นการประดิษฐ์สร้างสรรค์ท่าร าที่เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ไทย ผู้แสดงจ าเป็นต้อง เข้าใจกระบวนการร่ายร าอันจะส่งผลถึงความประณีตของท่วงท่าที่ประดิษฐ์สร้างสรรค์ของศิลปินที่งดงามลงตัว


16 นาฎยศัพท์ที่บรมครูผู้เชี่ยวชาญได้สร้างสรรค์ไว้ส าหรับเป็นพื้นฐานประกอบการฝึกเบื้องต้น นาฏยศัพท์ที่ น ามาใช้ในนวัตกรรมชุด สัมมุญชนีนาฏยลีลา ดังนี้ 2.1.1 เอียงศีรษะ หมายถึง การเอียงศีรษะข้างใดข้างหนึ่งซึ่งจะต้องท าพร้อมกับการกดไหล่ และเอวไปด้วย เช่น เอียงศีรษะด้านซ้าย ต้องกดไหล่และกดเอวด้านซ้าย ไปพร้อม ๆ กัน 2.1.2 เอียงไหล่ (กดไหล่) หมายถึง การกดไหล่ข้างใดข้างหนึ่งลงให้ต่ ากว่าปกติซึ่งจะต้องท า พร้อมกับการกดเอวและเอียงศีรษะข้างเดียวกัน เช่น กดไหล่ขวา ต้องกดเอวและเอียงศีรษะตามไปด้วย 2.1.3 ลักคอ หมายถึง การปฏิบัติของศีรษะกับไหล่จะไปในทิศทางที่ต่างกันเช่นลักคอซ้ายให้ เอียงศีรษะข้างซ้ายแต่กดไหล่ขวาลง ถ้าลักคอขวาให้เอียงศีรษะข้างขวา แต่กดไหล่ซ้ายลง 2.1.4 ตั้งวง หมายถึง ระดับการงอแขนให้ได้ส่วนโค้งตั้งข้อมือแบนิ้วทั้งสี่เหยียดตึงส่วน นิ้วหัวแม่มืองอเข้าหาฝ่ามือ ลักษณะการตั้งวงแบ่งเป็น 1) วงบน หมายถึง ระดับการยกล าแขนและมือที่ตั้งวงให้สูง ทอดล าแขนให้โก้งได้รูป ออกข้างล าตัว ระดับแง่ศีรษะ 2) วงกลาง หมายถึง ระดับวงที่อยู่ระหว่างวงบนและวงล่างกะให้ปลายนิ้วอยู่ตรงระดับ ไหล่ ค่อนมาข้างหน้าเล็กน้อย 3) วงล่าง หมายถึง วงที่อยู่ระดับเอวโดยการทอดล าแขนลงเบื้องล่าง ตั้งข้อมือขึ้นให้ ปลายมืออยู่ระดับเอว 2.1.5 จีบ หมายถึง การจรดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้าหากันให้ปลายนิ้วหัวแม่มืองอจรดอยู่ที่ข้อ แรกของปลายนิ้วชี้ นิ้วที่เหลือตึงและกรีดออกหักข้อมือที่จีบเข้าหาล าแขน ลักษณะการจีบดังนี้ 1) จีบหงาย หมายถึง การจีบที่หงายข้อมือขึ้นให้ปลายนิ้วชี้ขึ้นข้างบน หักข้อมือเข้า 2) จีบคว่ า หมายถึง การจับที่คว่ าข้อมือให้ปลายนิ้วตกลงล่าง 3) จีบล่อแก้ว หมายถึง การงอนิ้วกลางเข้ามาให้นิ้วหัวแม่มือกดทับลงบนปลายของ นิ้วกลางให้มีลักษณะเป็นวงกลม ส่วนนิ้วที่เหลือเหยียดตึงแยกห่างจากกัน 2.1.6 คลายจีบ หมายถึง กิริยาของมือที่มาจากจีบหงายหรือจีบคว่ าก็ได้ แล้วคลายมือจีบออก พลิกข้อมือหงายขึ้นให้ปลายนิ้วตกลงล่าง 2.1.7 ตะแคงมือ หมายถึง กิริยาของมือที่อยู่ในลักษณะะแคงข้อมือให้สันมือขนานกับพื้นปลาย นิ้วทั้งห้า เหยียดตรงและชี้ไปข้างหน้า 2.1.8 หยิบจีบ หมายถึง กิริยาของมือที่เริ่มจากการตั้งข้อมือขึ้นแล้วหักข้อมือคว่ าลงเป็นมือจีบ ชักมือจีบให้กลับหงายขึ้น 2.1.9 ก้าวเท้า หมายถึง การยกเท้าแล้ววางเท้าลงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง สามารถแบ่ง ออกเป็น 1) ก้าวหน้า หมายถึง การก้าวเท้าไปข้างหน้าให้ปลายเท้าเฉียงไปด้านข้างพอโดยการ วางสันเท้าลงก่อนแล้วเหยียบเต็มเท้าในลักษณะยอตัวงอเข่า น้ าหนักตัวอยู่ที่เข้าเท้าหน้าเปิด สันเท้าหลัง สัน เท้าหน้าให้ตรงกับหัวแม่เท้าหลัง ห่างกันประมาณ 1 คืบ กันเข่าทั้งสองออก (นางปฏิบัติเช่นเดียวกันแต่ไม่กัน เข่า)


17 2) ก้าวข้าง หมายถึง ก้าวเท้าให้ปลายเท้าหน้าขี้ไปด้านข้างตัว โดยการวางสันเท้าลงก่อน แล้วเหยียบ เต็มเท้าในลักษณะย่อตัวงอเข่า ปลายเท้าหลังซื้ออกค้านหน้า สันเท้าหน้าตรงกับหัวแม่เท้าหลังห่าง กันประมาณ 2 คืบ เปิดปลายเข่าทั้งสองออก(นางปฏิบัติเช่นเดียวกันแต่เปิดเส้นหลังและหลบเข่า เรียกได้สอง อย่างคือก้าวข้างหรือก้าวเสี้ยว 3) ก้าวไขว้ หมายถึง การปฏิบัติเช่นเดียวกับก้าวหน้า เพียงแต่ก้าวเท้าไขว้ให้ลักษณะขา หลังทอดไปด้านข้างและเปิดส้นเท้าหลัง 2.1.10 กระทุ้งเท้า หมายถึง การใช้จมูกเท้าหลังแตะพื้นหรือกระแทกพื้นเบา ๆ แล้วยกขึ้น เช่นกระทุ้งเท้าขวาต้องก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า น้ าหนักตัวอยู่ที่เท้าซ้ายใช้จมูกเท้าหลักแตะพื้นหรือกระทบพื้น เบา ๆ แล้วยกขึ้น 2.1.11 กระดกเท้า หมายถึง การยกเท้าข้างหนึ่งไปข้างหลังหรือค้านข้าง มักปฏิบัติต่อเนื่อง จากการกระทุ้งเท้า โดยการยืนด้วยเท้าข้างใดข้างหนึ่ง ปลายเท้าเฉียงออกด้านข้างเล็กน้อย ย่อเข่าลงขาอีกข้าง หนึ่งยกขึ้นหนีบน่อง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ กระดกหลัง และกระดกเสี้ยว 1) กระดกหลัง หมายถึง เมื่อกระทุ้งเท้าแล้วให้กระดกเท้าหรือยกเท้า หลังน่อง ส่งเข่าที่ กระดกไปข้างหลังให้มากหักข้อเท้าปลายเท้าตกลงล่าง น้ าหนักตัวอยู่บนเท้าที่ยืนบังคับตัวให้ตรง 2) กระดกเสี้ยว หมายถึง กระดกเสี้ยวต่างกับการกระดกเท้าตรงที่ถ้าจะกระดกเสี้ยว ด้วยเท้าขวา ให้ก้าวเท้าซ้ายไปข้าง ๆ ตัว แล้วกระดกเท้าขวาขึ้นไว้ข้าง ๆ ตัว และพยายามเอียงศีรษะถ้าจะ กระดกเสี้ยวด้วย กดไหล่ขวาลงไปทางเท้าขวาที่กระดกขึ้นให้มากที่สุดหักข้อฝ่าเท้าที่กระดกลงปลายนิ้วเท้าต้อง จึงทั้ง 5 นิ้ว การกระดกเสี้ยวส าคัญอยู่ที่การก้าวเท้าจะต้องก้าวออกไปด้านข้าง ๆ ให้กว้างกว่าก้าวธรรมดาจึงจะ ท าให้การกระดกเสี้ยวง่ายขึ้น การกระดกเสี้ยวทุกครั้ง เมื่อผู้ท าท่ามองลงมาจะต้องเห็นเท้าที่กระดกเสี้ยวนั้น เสมอ ถ้ากระดกเท้าธรรมดา จะมองไม่เห็นเท้าที่กระดกอยู่ข้างหลัง การกระดกเสี้ยว มักจะเป็นท าร าของตัวนาง ส่วนตัวพระนั้นใช้เพียงส่วนน้อย การกระดกเสี้ยวมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กระดกเดี่ยว 2.1.12 ถอนเท้า หมายถึง กิริยาของการถ่ายน้ าหนักจากเท้าหนึ่งไปยังอีกเท้าหนึ่งวิธีปฏิบัติเริ่ม จากการถ่ายน้ าหนักมาเท้าหน้า ยกเท้าหลังขึ้น แล้ววางเท้าหลังพร้อมกับถ่ายน้ าหนักมาที่เท้าหลังในจังหวะ ต่อเนื่องกับยกเท้าหน้าขึ้น 2.2 ภาษาท่าทางการแสดง ภาษาท่าทางนาฏศิลป์ หมายถึงภาษาถ้าหมายถึงภาษาทางนาฏศิลป์เสมือนเป็นภาษาพูดโดยไม่ ต้องแปลงเสียงออกมาแต่อาศัยส่วนประกอบอวัยวะของร่างกายแสดงออกมาเป็นท่าทางเป็นสื่อให้ผู้ชมสามารถ เข้าใจได้แต่ถ้าได้มีการแนะน าการใช้ท่าทางต่าง ๆ ก่อนบ้างพอสมควรแล้วแต่ท าให้รู้เรื่องราวความเข้าใจเพิ่ม ความสนุกสนานมากขึ้นพื้นฐานของการใช้ภาษาท่านี้ส่วนมากจะน ามาจากธรรมชาติแต่ประดิษฐ์ดัดแปลงให้มี ความอ่อนช้อยและสวยงาม กิริยาท่าทางนาฏศิลป์ที่ใช้แทนค าพูด เป็นอาการที่ผู้กระท านั้นใช้สื่อให้ผู้ดูทราบว่า คนก าลังท าอะไรอยู่โดยไม่ต้องเปล่งเสียง และเป็นท่าทางเลียนแบบธรรมชาติ 2.3 การตีบท การตีบท หมายถึง การใส่ท่าทางตามบทร้องหรือบทเพลงเพื่อสื่อความหมายให้ผู้ชมเข้าใจตาม ความหมายและอารมณ์ของเพลงโดยทั่วไปเพลงที่จะน ามาประดิษฐ์ท่าร าจะต้องมีสองลักษณะคือเพลงบรรเลง


18 หมายถึง เพลงที่มีแต่ท านองและจังหวะไม่มีเนื้อร้องประกอบและเพลงมีบทร้องหมายถึง เพลงที่มีทั้งท านอง จังหวะและเนื้อเพลงบรรยายอิริยาบถของตัวละคร ประกอบด้วย กรณีที่เพลงเป็นเพลงบรรเลงนั้นนักนาฏย ประดิษฐ์ก็จะลดภาระของการใส่ท่าร าลง แต่ถ้าหากว่าเป็นเพลงที่ต้องใช้ บทร้องประกอบ เช่น เพลงแม่บท เพลงกฤษฎาภินิหารหรือจะเป็นเพลงที่ประพันธ์ขึ้นโอกาสอันสมควร กล่าวคืออวยพรในโอกาสที่ส าคัญต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืองานในโอกาสพิเศษอื่น ๆ ถ้าหากบทเพลงมีเนื้อร้องก็เป็นความจ าเป็นที่จะต้องใช้การ ตีบทมาเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน จากประสบการณ์ของผู้เขียนเห็นว่าการใส่ท่าร าตามบทมีหลักส าคัญต้องท า ความเข้าใจเป็นพื้นฐาน คือ ท่าร าที่เป็นแบบฉบับแต่โบราณกับท่าร าที่เป็นท่าระบ า การตีบทเป็นการตีท่าตาม บทเพลงเพื่อสื่อสารท่าร า 3. ทฤษฎีการเคลื่อนไหวและการจัดแถว การเคลื่อนไหวและการจัดแถว เป็นเทคนิคอีกประการหนึ่งที่มีความส าคัญต่อหลักการทางนาฏย ประดิษฐ์ บรมครูและผู้เชี่ยวชาญทางนาฏศิลป์ ในยุคเก่าใช้สอดแทรกในการสร้างชุดระบ ามาโดยตลอค ทั้งนี้ อมรา กล่ าเจริญ, (2550 : 100-106) เข้าถึงจากรายงานการวิจัยนาฏศิลป์สร้างสรรค์ ชุดนาฏยลีลาพัสตราภรณ์ ละครโนรา, (2557) ) 3.1 การเคลื่อนไหว 3.1.1 การเคลื่อนไหวบนเวทีต้องมีเหตุผล และการเคลื่อนไหวจะต้องแสดงก าลังสิ่งผลักดันหรือ สิ่งที่บังคับให้นักแสดงต้องเคลื่อนไหว 3.1.2 การเคลื่อนไหวที่เป็นเส้นตรง ( Straight Movements) จะต้องมีอารมณ์หรือความ ตั้งใจรุนแรง 3.1.3 การเคลื่อนไหวที่เป็นเส้นโค้ง ( Curved Movements) เมื่อไม่มีอารมณ์และแสดง ความสงสาร ตัวละคร มีท่วงทีสง่า เรียบตา 3.1.4 การเคลื่อนไปทางข้าง เป็นการปลีกตัว หลีกเลี่ยง หนี 3.1.5 การเคลื่อนไหวบนเวที่ต้องมีระยะ และตามขนาดของเวที นอกจากนี้การเคลื่อนไหว ส าหรับการสร้างนาฏยประดิษฐ์นั้นมีเทคนิดน่าสนใจอีกมากมาย กล่าวคือ การเคลื่อนไหวส าหรับสร้างชุดระบ า จะต้องเคลื่อนไหวหรือ แปรแถวอย่างเป็นกระบวนการคือเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและพร้อมเพรียงกันของ นักแสดงที่ปฏิบัติท่าร าอยู่ การเคลื่อนไหวหรือการแปรแถวที่ดีจะต้องเคลื่อนไหวที่แฝงไว้ด้วยท่าร าและเคลื่อน ไปตามธรรมชาติเพราะจะท าให้ดูแล้วเป็นสีลาการร่ายร า นอกจากนี้การเปลี่ยนแถวอาจจะเปลี่ยนขณะที่เปลี่ยน ท่าการปฏิบัติท่าร าอย่างต่อเนื่อง ไม่แสดงอาการจงใจที่จะเปลี่ยนแถวให้ผู้ชมทราบ เป็นต้น 3.2 การจัดแถว หมายถึง การจัดรูปทรงของขบวนนักแสดงให้เป็นรูปแบบต่าง ๆ ตามที่ต้องการทั้งนี้ การจัดแถวมีหลักส าคัญ ดังนี้ 3.2.1 เคลื่อนที่เพื่อไม่ให้ปักหลักอยู่นาน 3.2.2 การท าแต่พอควร ไม่วิ่งวน หรือวิ่งบ่อย ๆ จนแลดูขวักไขว่ 3.2.3 ค านึงถึงระยะใกล้ไกลให้พอดี ค าร้องและท านองเพลงในวรรคเพื่อไม่ให้ลุก 3.2.4 ค านึกถึงความสูงต่ าของตัวนักแสดง 3.2.5 ค านึงถึงสีเครื่องแต่งกายที่ต้องสลับสีกับหรือต้องการรวมกลุ่มสีเดียวกัน


19 3.2.6 การแปรรูปแถวไม่ควรช้ ารูปเดียวกันถึงสามครั้ง ถ้าไม่ซ้ าได้ยิ่งดี 3.2.7 แปรแถวให้กลมลืม ยิ่งผู้ดูไม่ทันสังเกต ได้ยิ่งดี 3.2.8 ดูการก้าวเท้าให้เป็นเท้าเดียวกันคือ เท้าซ้าย-ขวา 3.2.9 ระยะช่องไฟจากคนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่งต้องเท่ากัน ผู้รายงานได้น าเอาหลักการศาสตร์ทางการแสดง ทั้งนาฏยศัพท์ ภาษาท่าทางนาฏศิลป์การตีบท และ การเคลื่อนไหวการแปรแถวมาเป็นแนวทางส าหรับสร้างสรรค์ท่าร าและการเคลื่อนไหวของนาฏยประดิษฐ์ชุดสัม มุญชนีนาฏยลีลา ในครั้งนี้ 4. ทฤษฎีการสร้างสรรค์ กรมวิชาการ, (2544 เข้าถึงจากธีรวัฒน์ ช่างสาน, 2563 : 23) รวบรวมแนวคิดการสร้างสรรค์ของ นักจิตวิทยา กล่าวถึงทฤษฎีของความคิดสร้างสรรค์ โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 4 กลุ่ม 4.1 ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงจิตวิเคราะห์ นักจิตวิทยาทางจิตวิเคราะห์หลายคน เช่น ฟรอยด์ และคริส ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเกิดความคิดสร้างสรรค์ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นผลมาจากความขัดแย้ง ภายในจิตใต้ส านึกระหว่างแรงขับทางเพศ (Libido) กับความรู้สึกรับผิดชอบทางสังคม (Social conscience) ส่วนคูไบ และรัค ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาแนวใหม่ กล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์นั้นเกิดขึ้นระหว่างการรู้สติกับจิตใต้ ส านึก ซึ่งอยู่ในขอบเขตของจิตส่วนที่เรียกว่า จิตก่อนส านึก 4.2 ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงพฤติกรรมนิยม นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่อง ความคิดสร้างสรรค์ว่า เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ โดยเน้นที่ความส าคัญของการเสริมแรง การ ตอบสนองที่ถูกต้องกับสิ่งเร้าเฉพาะหรือสถานการณ์ นอกจากนี้ยังเน้นความสัมพันธ์ทางปัญญา คือการโยง ความสัมพันธ์จากสิ่งเร้าหนึ่งไปยังสิ่งเร้าต่าง ๆ ท าให้เกิดความคิดใหม่หรือสิ่งใหม่เกิดขึ้น 4.3 ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์เชิงมานุษยนิยม นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้มีแนวคิดว่าความคิด สร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มนุษย์มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผู้ที่สามารถน าความคิดสร้างสรรค์ออกมาใช้ได้คือผู้ที่มีสัจการ แห่งตน คือรู้จักตนเอง พอใจตนเอง และใช้ตนเองเต็มตามศักยภาพของตนมนุษย์จะสามารถแสดงความคิด สร้างสรรค์ของตนเองมาได้อย่างเต็มที่นั้นขึ้นอยู่กับการสร้างสภาวะหรือบรรยากาศที่เอื้ออ านวย ได้กล่าวถึง บรรยากาศที่ส าคัญในการสร้างสรรค์ว่า ประกอบด้วยความปลอดภัยในเชิงจิตวิทยา ความมั่นคงของจิตใจ ความปรารถนาที่จะเล่นความคิดและการเปิดกว้างที่จะรับประสบการณ์ใหม่ 4.4 ทฤษฎีอูต้า (AUTA) ทฤษฎีนี้เป็นรูปแบบของการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นในตัว บุคคล โดยมีแนวคิดว่าความคิดสร้างสรรค์นั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนและสามารถพัฒนาให้สูงขึ้นได้ การพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ตามรูปแบบอูต้าประกอบด้วย 4.4.1 การตระหนัก (Awareness) คือ ตระหนักถึงความส าคัญของความคิดสร้างสรรค์ที่มี ต่อตนเอง สังคม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต และตระหนักถึงความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ในตนเองด้วย 4.4.2 ความเข้าใจ (Understanding) คือ มีความรู้ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ 4.4.3 เทคนิควิธี (Techniques) คือ การรู้เทคนิคในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทั้งที่เป็น เทคนิคส่วนบุคคล และเทคนิคที่เป็นมาตรฐาน


20 4.4.4 การตระหนักในความจริงของสิ่งต่าง ๆ (Actualization) คือ การรู้จักหรือตระหนักใน ตนเอง พอใจในตนเอง และพยายามใช้ตนเองและพยายามใช้ตนเองเต็มศักยภาพ รวมทั้งการเปิดกว้างรับ ประสบการณ์ต่าง ๆ โดยมีการปรับตัวได้อย่างเหมาะสม การตระหนักถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การผลิตผลงาน ด้วยตนเอง และมีความคิดที่ยืดหยุ่นเข้ากับทุกรูปแบบของชีวิต ทฤษฎีการสร้างสรรค์จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานครั้งนี้มาก เพราะจะได้มีแนวทางการ สร้างสรรค์ทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ดนตรีและเพลง ท่าร า ซึ่งผู้รายงานให้ความส าคัญเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ทั้งแนวคิด ทฤษฎีส าหรับน ามาเป็นกรอบการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ในครั้งนี้ มีคุณค่ามากต่อการท างานศิลป นิพนธ์สร้างสรรค์ชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลา ตามที่รวบรวมไว้เบื้องต้น การวัดความพึงพอใจ การวัดความพึงพอใจที่ใช้เพื่อประกอบการรายงานผลนาฏยประดิษฐ์ชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลา มี รายละเอียด ดังนี้ 1. ความหมายของความพึงพอใจ ความพึงพอใจ ( Satisfaction) หมายถึงภาวะของอารมณ์ ความรู้สึกร่วม ของบุคคลที่มีต่อการเรียนรู้ ประสบการณ์ที่เกิดจากแรงจูงใจซึ่งเป็นพลังภายในของแต่ละบุคคล อันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายที่ คาดหวังและความต้องการด้านจิตใจ น าไปสู่การค้นหาสิ่งที่ต้องการมาตอบสนอง เมื่อได้รับการตอบสนองความ ต้องการแล้วจะเกิดความรู้สึกมีความสุข กระตือรือร้น มุ่งมั่นเกิดขวัญก าลังใจ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของการกระท ากิจกรรมที่น าไปสู่เป้าหมายนั้นส าเร็จตามที่ก าหนดไว้ อีกนัยหนึ่งความพึงพอใจ เป็น ความรู้สึกในเชิงการประเมินค่าอันเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญในการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ของการเรียน ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2551; มัลลิกา ต้นสอนประสาท (อิศรปรีดา, 2541; สุขา จันทร์เอม,2541) สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สิ่งที่เกิดจากแรงจูงใจซึ่งเป็นพฤติกรรมภายในที่ผลักดันให้เกิด ความรู้สึกชอบ ไม่ชอบ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ยินดีไม่ยินดี เมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการและความ คาดหวัง ที่เกิดจากการประมาณค่า อันเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์จากการกระท ากิจกรรมเพื่อให้เกิดการ ตอบสนองความต้องการตามเป้าหมายความของแต่ละบุคคล 2. ความส าคัญของความพึงพอใจ ความพึงพอใจมีความส าคัญต่อการด าเนินการกิจกรรมหรือการปฏิบัติงานต่าง ๆ ดังนี้ (อเนก สุวรรณ บัณฑิต และภาสกร อดุลพัฒนกิจ,2548 ปภาวดี ดุลยจินตา, 2540) 2.1 ช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ในการปฏิบัติงานหรือท ากิจกรรมต่าง ๆ หากมีความพึงพอใจ จะส่งผลต่อความตั้งใจในการปฏิบัติงานหรือท ากิจกรรมส่งผลให้เกิดผลงานที่ดี น ามาซึ่งผลตอบแทนที่สูงขึ้น มี การด ารงชีวิตและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 2.2 เกิดความรู้สึกกระตือรือร้น มีความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นในการท างาน ความพึงพอใจท าให้ เกิดความสุขจากการปฏิบัติงาน ต้องการให้งานมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดช่วยให้ประสบ ความส าเร็จในการปฏิบัติงาน


21 2.3 เป็นสิ่งก าหนดลักษณะการด าเนินงานหรือการปฏิบัติงานที่ดี มีคุณภาพ ตอบสนองต่อความ ต้องการและความคาดหวังของผู้รับบริการที่เหมาะสม เกิดความประทับใจ 2.4 ช่วยพัฒนาคุณภาพของงาน หากมีความพึงพอใจจะเกิดความเต็มใจ ทุ่มเท สร้างสรรค์และ ส่งเสริมมาตรฐานของงานที่สูงขึ้น สรุปได้ว่า ความพึงพอใจมีความส าคัญต่อบุคคล ต่องานและหน่วยงาน ท าให้เป็นสุขเกิดแรงจูงใจและ ก าลังใจที่ดี มีความเชื่อมั่นในการปฏิบัติงาน ผู้ปฏิบัติงานได้แสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ เกิด ความส าเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติงาน ท าให้ระบบงานด าเนินไปด้วย ความ ราบรื่นเรียบร้อย และหน่วยงานมีบรรยากาศ และภาพลักษณ์ที่ดี อีกทั้งช่วยให้เกิดความรักความสามัคคี มีพลัง ผลักดันให้หน่วยงานเจริญก้าวหน้า ที่ส าคัญที่สุด ผู้รับบริการเกิดความพึงพอใจในระดับสูงสุด 3. องค์ประกอบของการเกิดความพึงพอใจ ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่บุคคลมีต่อสิ่งที่ได้รับ ประสบการณ์ และแสดงออกทางพฤติกรรมที่ ตอบสนองในลักษณะแตกต่างกันไปความพึงพอใจในสิ่งต่าง ๆ จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับแรงจูงใจหรือการ กระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ และการตอบสนองความต้องการที่มีอยู่ความพึงพอใจจึงเป็นสิ่งจ าเป็นเพื่อให้งานหรือ กิจกรรมต่าง ๆที่กระตุ้นให้สิ่งที่ท านั้นประสบความส าเร็จโดยมีองค์ประกอบของการเกิดความพึงพอใจดังนี้ (เติมศักดิ์ คทวณิช, 2546; มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2556; Maslow, 1970) 3.1 ความพึงพอใจที่เกิดจากการได้รับ การตอบสนองความต้องการของร่างกาย เป็นการ ตอบสนองความต้องการในปัจจัยที่จ าเป็นเพื่อ 3.1.1 การด ารงชีวิต (Existence Needs) ได้แก่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยา รักษาโรค 3.1.2 ความปลอดภัย เกิดความอบอุ่นและมั่นคงในชีวิต เป็นความต้องการระดับ แรกของมนุษย์เมื่อได้รับการตอบสนองแล้วจะเกิดความต้องการ 3.2 ความพึงพอใจที่เกิดจากการได้รับ การตอบสนองความต้องการของจิตใจเป็นแรงจูงใจใน การตอบสนองความต้องการทางด้าน 3.2.1 ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น (Relatedness Needs) เช่น สมาชิกในครอบครัว หรือ เพื่อนร่วมงาน เป็นความปรารถนาที่จะสร้างมิตรภาพหรือมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น หรือต้องการควบคุมผู้อื่น ความต้องการอ านาจ (Needs for Power) 3.2.2 ความต้องการทางสังคม (Social or Belonging Needs) ได้แก่ ความต้องการเข้า ร่วมกิจกรรมของสังคม ได้รับการยอมรับในสังคมได้รับการยกย่องหรือมีชื่อเสียงรวมถึงความส าเร็จความรู้ ความสามารถ ความเป็นอิสระและเสรีภาพและการเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทั้งหลาย 3.2.3 ความต้องการที่จะได้รับความส าเร็จในชีวิต (Self-actualization) เป็นความ ต้องการระดับสูงสุดของมนุษย์ ส่วนมากเป็นเรื่องการอยากจะเป็น อยากจะได้ตามความคิดของตนเอง แต่ไม่ สามารถเสาะแสวงหาได้ 4. การสร้างความพึงพอใจ การสร้างความพึงพอใจให้เกิดขึ้นในบุคคลอาจกล่าวโดยรวมได้ดังนี้ (สุนันทา เลาหนันท์, 2551)


22 4.1 จัดหาหรือให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายด้วยสิ่งที่มีคุณภาพตาม ความต้องการของบุคคล 4.2 อ านวยความสะดวกในการเข้าถึงสิ่งที่บุคคลต้องการอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกันตาม ความสามารถ และมีการอ านวยความสะดวกตามความเหมาะสม 4.3 ในการส่งเสริมให้เกิดความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ควรจัดแนวปฏิบัติที่เหมาะสมและท้า ทายตามความสามารถของแต่ละบุคคล 4.4 เปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในสังคมหรือในการวางแผนการด าเนินงาน ซึ่งเป็น แรงจูงใจในการท างานประการหนึ่งที่น าไปสู่การเกิดความพึงพอใจ 4.5 ให้การยกย่องชมเซยด้วยความจริงใจ 4.6 มอบความไว้วางใจให้รับผิดชอบมากขึ้น ให้อ านาจเพิ่มขึ้น เลื่อนขั้นหรือเลื่อนต าแหน่งให้ สูงขึ้น 4.7 ให้ความมั่นคงและความปลอดภัย 4.8 ให้ความเป็นอิสระในการท างาน 4.9 เปิดโอกาสให้เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกอบรม ศึกษา ดูงานการ หมุนเวียนงานและการสร้างประสบการณ์จากการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ 4.10 ให้เงินรางวัลหรือรางวัลตามลักษณะงาน 4.11 ให้โอกาสในการแข่งขันเพื่อความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานอันเป็นแรงกระตุ้นในการ แสวงหาแนวคิดใหม่ ๆ ส าหรับน ามาใช้ในการปฏิบัติงาน 5. ลักษณะและวิธีการประเมินความพึงพอใจ ความพึงพอใจ เป็นสิ่งที่เกิดจากแรงจูงใจซึ่งเป็นพลังภายในผลักดันให้เกิดความรู้สึกชอบไม่ชอบ เห็น ด้วย ไม่เห็นด้วย ยินดี ไม่ยินดี เมื่อได้รับการตอบสนองความต้องการและความคาดหวัง ที่เกิดจากการประมาณ ค่า อันเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์จากการกระท ากิจกรรมเพื่อให้เกิดการตอบสนองความต้องการ ตาม เป้าหมายของแต่ละบุคคล เป็นกระบวนการทางจิตวิทยาการประเมินความพึงพอใจเป็นการประเมินค่า ความรู้สึกไปในทางที่พอใจและไม่พอใจ ในเชิงปริมาณ (magnitude) มีรายละเอียด ดังนี้ รายละเอียดของลักษณะของการประเมินความพึงพอใจ (บังอร ผลผ่าน, 2538) มีดังนี้ 1. การประเมินความพึงพอใจ ด้านความรู้สึก เป็นลักษณะการประเมินทางความรู้สึกหรืออารมณ์ของ บุคคลตามองค์ประกอบทางความรู้สึก ได้แก่ ความรู้สึกทางบวก เป็นความชอบพอใจ และความรู้สึกทางลบ เป็นความไม่ชอบ ไม่พอใจ กลัว รังเกียจ 2. การประเมินความพึงพอใจ ด้านความคิด เป็นการประเมินการรับรู้ของบุคคลและวินิจฉัยข้อมูล ต่าง ๆ ที่ได้รับที่เกิดเป็นความรู้ความคิด เกี่ยวข้องกับการพิจารณาที่มาของทัศนคติออกมาว่าถูกหรือผิด ดี หรือไม่ดี ที่เกิดจากการประมวลผลของสมอง 3. การวัดความพึงพอใจในด้านพฤติกรรม เป็นการวัดความพร้อมที่จะกระท าหรือพร้อมที่จะ ตอบสนองที่มาของพฤติกรรม 6. วิธีประเมินความพึงพอใจ


23 การประเมินความพึงพอใจมีการประเมินหลายวิธี ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ และการใช้ แบบสอบถาม ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ (พรชัย ค าสิงห์นอก, 2550) 6.1 การสังเกต เป็นวิธีการส าหรับใช้ตรวจสอบบุคคลอื่นโดยการสังเกตพฤติกรรมและจดบันทึก ความพึงพอใจที่แสดงออกมาในประเด็นที่ต้องการประเมินอย่างมีแบบแผน โดยผู้สังเกตจะไม่มีการปฏิบัติการ หรือมีส่วนร่วมกับผู้ถูกสังเกตต่อจากนั้นจึงน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ สรุปและตีความตามวัตถุประสงค์ของการ ประเมิน วิธีนี้เป็นวิธีการศึกษาที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายที่ใช้ส าหรับการศึกษาในกรณีศึกษา 6.2 การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ผู้ประเมินจะต้องออกไปพูดคุยกับบุคคลนั้น ๆโดยตรง มีการเตรียม แผนล่วงหน้า เป็นการถามให้ตอบปากเปล่า แต่อาจไม่ได้ข้อมูลที่แท้จริงจากผู้ตอบเนื่องจากผู้ตอบอาจรู้สึกไม่ อิสระในการตอบหรือไม่คุ้นเคยกับผู้ถาม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุดควรเตรียมตัวให้พร้อมก่อน ด าเนินการสัมภาษณ์ ควรลงพื้นที่เพื่อท าความคุ้นเคยก่อนให้เกิดความ สนิทสนม และความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งจะ ช่วยให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริงมากที่สุด 6.3 การใช้แบบสอบถามประมาณค่าเป็นการประเมินโดยใช้เครื่องมือที่เป็นการสร้างประโยค ข้อความต่าง ๆ ทั้งที่เป็นข้อความทางบวกและข้อความทางลบที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรต้องการประเมิน โดยให้ ผู้ตอบแสดงความคิดเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับข้อความแต่ละข้อนั้นโดยใช้มาตรประเมินแบบมาตร ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ตามวิธีของลิเศิร์ท (Likert Scale) เนื่องจากเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก สามารถเก็บข้อมูลได้รวดเร็วจากข้อดีและข้อจ ากัดของวิธีการประเมินแบบต่าง ๆ จะพบว่าเครื่องมือและวิธีที่ เหมาะสมส าหรับการด าเนินงานในการประเมินระดับความพึงพอใจ คือวิธีการประเมินด้วยเก็บข้อมูลด้วยการ สอบถาม จากแบบสอบถามแบบประมาณค่า อันสามารถประเมินความพึงพอใจได้ตรงตามวัตถุประสงค์และ ประโยชน์ของการน าไปใช้ 7. การสร้างแบบสอบถามประเมินความพึงพอใจแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ แบบสอบถามความพึงพอใจให้ความส าคัญต่อข้อความค าถามที่ต้องมีความครอบคลุมในช่วงของ ความพึงพอใจทั้งหมด แต่ละข้อความจะระบุความพึงพอใจที่มีอยู่ วิธีการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,2556) มีดังนี้ 7.1 ก าหนดเป้าหมายของความพึงพอใจว่าคืออะไร มีโครงสร้างลักษณะใด ซึ่งควรก าหนด เป้าหมายให้ชัดเจนเป็นเรื่อง ๆ ลงไปว่าจะประเมินความพึงพอใจด้านใดบ้าง จากนั้นให้ความหมายของความพึง พอใจว่าหมายถึงอะไรบ้าง ต่อไปจึงก าหนดโครงสร้างของความพึงพอใจว่าประกอบด้วยด้านใดบ้าง แต่ละด้าน จะประกอบด้วยตัวแปรอะไรบ้าง ซึ่งอาจก าหนดประเด็นกว้าง ๆ เป็นข้อ ๆ 7.2 รวบรวมข้อค าถามเกี่ยวกับความพึงพอใจที่มีต่อเป้าหมาย หลีกเลี่ยงข้อความก ากวมไม่น้อย กว่า 20 ข้อ โดยก าหนดข้อค าถามจากโครงสร้างความพึงพอใจที่ได้ก าหนดไว้แล้วแบ่งเป็นด้าน ๆ แล้วสร้างและ รวบรวมข้อค าถามแต่ละด้านตามประเด็นที่ก าหนดไว้ 7.3 น าข้อค าถามที่สร้างแล้วไปทดลองใช้เพื่อตรวจสอบความชัดเจนของข้อค าถามว่า ตรงตาม โครงสร้างของการประเมินความพึงพอใจตามที่ได้ก าหนดไว้แล้วในแต่ละด้าน และในแต่ละประเด็นย่อยหรือไม่ หากมีความคลุมเครือหรือไม่ชัดเจนจะได้แก้ไขก่อนสร้างเป็นแบบสอบถาม จากนั้นทดลองใช้กับผู้ตอบ แบบสอบถาม จ านวน 10 เท่าของจ านวนข้อในพื้นที่ที่คล้ายคลึงกัน หรือใกล้เคียงกับพื้นที่ในการเก็บข้อมูลจริง


24 6.4 ก าหนดน้ าหนักในการตอบแต่ละตัวเลือกจะก าหนดน้ าหนักคะแนนเป็น 5,4,3, 2,1 8. การตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถามความพึงพอใจ การตรวจสอบคุณภาพแบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นการตรวจสอบแบบสอบถามทั้งฉบับโดย ตรวจสอบความตรง (Validity) และความเที่ยง (Reliability) มีวิธีการดังนี้ (พรนภา เตียสุทธิกุล และคณะ, 2561; มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2556) 8.1 การตรวจสอบความตรง มีการตรวจสอบ 2 ลักษณะ ดังนี้ 8.1.1 การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาด้วยค่าดัชนีความสอดคล้อง ( Index of Congruence=IOC) โดยน าแบบสอบถามไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จ านวน 5-7 คน พิจารณาตรวจสอบให้คะแนน ความตรงเชิงเนื้อหา เป็นรายข้อ แต่ละข้อต้องมีค่า IOC ระหว่าง 0.50-1.0 จากนั้นน าผลการตรวจสอบรายข้อ มาหาค่าความตรงเชิงเนื้อหาของแบบสอบถามทั้งฉบับ ซึ่งต้องมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไปวิธีนี้เป็นวิธีที่มีผู้นิยม น าไปใช้มากที่สุด เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ยากแม้ว่าค าตอบที่ได้จะน่าเชื่อถือน้อยที่สุดก็ตาม ซึ่งมักจะขึ้นอยู่กับ ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นส าคัญ 8.1.2 การตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างโดยน าแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลอง ใช้ประเมินในกลุ่มมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มที่จะเก็บข้อมูลจริง 2 กลุ่ม ด้วยวิธีเทคนิคกลุ่มรู้ชัด (Known Group Technique) กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่ทราบว่ามีความพึงพอใจในงานที่ต้องการประเมินกับอีกกลุ่มหนึ่งไม่ ทราบความพึงพอใจในงานน าค่าเฉลี่ยของคะแนนของสองกลุ่มมาเปรียบเทียบกันด้วยค่าสถิติที่ (t-test) หากผล การทดลองใช้แบบสอบถามมีนัยส าคัญทางสถิติแสดงว่ามีความตรงเชิงโครงสร้าง 8.2 การตรวจสอบความเที่ยง มีการตรวจสอบ 2 วิธี ดังนี้ 8.2.1 การตรวจสอบความเที่ยงด้วยการทดสอบช้ า โดยน าแบบสอบถามไปทดลองใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย 2 ครั้ง ห่างกัน 1 - 2 สัปดาห์น าผลคะแนนมาหาค่าสหสัมพันธ์ตามสูตรของเพียร์สัน ซึ่งต้องมีค่า ตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป จึงจะเป็นแบบสอบถามที่สามารถน าไปใช้ได้ 8.2.2 การตรวจสอบความเที่ยงด้วยวิธีของครูอนุบาล โดยน าแบบสอบถามไปทดลองใช้ กับกลุ่มเป้าหมาย 1 ครั้ง น าผลคะแนนมาวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา ซึ่งจะต้องมีค่าตั้งแต่ 0.70 ขึ้นไป จึง จะเป็นแบบสอบถามที่สามารถน าไปใช้ได้ 9. การแปลความหมายคะแนนและการก าหนดระดับความพึงพอใจ การก าหนดระดับของความพึงพอใจด้วยแบบสอบถาม มีวัตถุประสงค์เพื่อบ่งชี้ระดับความพึง พอใจของกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มตัวอย่างซึ่งมีเกณฑ์ในการก าหนดน้ าหนักคะแนน ความพึงพอใจ ดังนี้ (พรนภา เตียสุทธิกุลและคณะ, 2561; บุญชม ศรีสะอาด, 2545) พึงพอใจมากที่สุดก าหนดให้ 5 คะแนน พึงพอใจมาก ก าหนดให้ 4 คะแนน พึงพอใจปานกลาง ก าหนดให้ 3 คะแนน พึงพอใจน้อย ก าหนดให้ 2 คะแนน พึงพอใจน้อยที่สุด ก าหนดให้ 1 คะแนน


25 เกณฑ์ในการแปลความหมายค่าน้ าหนักคะแนนเฉลี่ยโดยรวมของความพึงพอใจมีดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ค่าเฉลี่ย การแปลความหมาย 4.51-5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 3.51-4.50 หมายถึง พึงพอใจมาก 2.51-3.50 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 1.51-2.50 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1.00-1.50 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด ผู้รายงานจะใช้ประโยชน์ของการวัดความพึงพอใจ น ามาใช้ในกระบวนของการประเมินผลจากผู้ชม นาฏยประดิษฐ์สร้างสรรค์ชุด สัมมุญชนีนาฏยลีลา โดยใช้เกณฑ์ในการแปลความหมายค่าน้ าหนักคะแนนเฉลี่ย โดยรวมของความพึงเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าผลงานชิ้นนี้มีคุณค่าต่อสาธารณชนและถือว่าผลงานชิ้นนี้ประสบ ความส าเร็จและหากเป็นทางลบก็จะได้น าข้อเสนอแนะมีปรับปรุงแก้ไขผลงานให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลงานศิลปนิพนธ์สร้างสรรค์ชุด สัมมุญชนีนาฏยลีลา ผู้รายงานรวบรวมการท างาน วิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและหาองค์ความรู้เพิ่มเติมตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา สามารถรวบรวมได้ ดังนี้ ธีรวัฒน์ ช่างสาน, (2563 : บทคัดย่อ) ผลงานสร้างสรรค์ เรื่องนาฏยลีลาภูมิปัญญาใบยาง การวิจัย และพัฒนามีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาองค์ความรู้ภูมิปัญญาการท าดอกไม้จากเส้นใยใบยางของกลุ่มวิสาหกิจ ชุมชนบ้านวังฆ้อง 2. สร้างสรรค์ชุดนาฎยลีลาภูมิปัญญาใบยาง กลุ่มตัวอย่างให้ข้อมูลด้านองค์ความรู้ได้แก่ นักวิชาการ 5 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านการแสดง 2 คน ปราชญ์ชาวบ้าน 4 คน กลุ่มตัวอย่างการสร้างสรรค์ผลงาน ได้แก่ นักศึกษาสาขานาฏศิลป์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช 11 คน และผู้ชมที่ประเมินความพึงพอใจ 50 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง การสังเกตแบบมีส่วนร่วม และแบบสอบถาม จากนั้นท าการวิเคราะห์เนื้อหาและสถิติพรรณนา ผลการวิจัยพบว่าภูมิปัญญาการท าหัตถกรรมใบยางน ามาออกแบบสร้างสรรค์นาฏยลีลาได้ 4 ขั้นตอน เริ่มจากเก็บใบยาง หมักใบยาง ฟอกใบยาง และเข้าช่อใบยาง ทิศทางการเคลื่อนที่แปรแถว ใช้จ านวน 12 แบบ มีท่าร าจ านวน 20 ท่าร า และแบ่งท่าร าตามท านองเพลงเป็น 3 ช่วง เครื่องแต่งกายออกแบบตามแบบปกติที่ ชาวบ้านสวมใส่ได้ในชีวิตประจ าวันโดยเพิ่มเครื่องประดับร่างกาย และเครื่องประดับศีรษะ อุปกรณ์ ประกอบการแสดงประดิษฐ์ขึ้น 3 ชนิด ได้แก่ โคมไฟใบยาง พานพุ่มใบยาง และพวงหรีดใบยางที่สะท้อนถึง ความเป็นปักษ์ใต้ ดนตรีประกอบเป็นการผสมผสานของเพลงการแสดงหนังตะลุงและการเล่นลิเกป่าที่สะท้อน เอกลักษณ์ดนตรีปักษ์ใต้ ผลการประเมินความพึงพอใจพบว่าผู้ชมมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุดจ านวน 7 ข้อ ได้แก่ พึงพอใจต่ออุปกรณ์ประกอบการแสดง (ค่าเฉลี่ย 4.69) เป็นชุดการแสดงทางวัฒนธรรมวิถีชีวิตของ ชุมชน (ค่าเฉลี่ย 4.64) การแสดงสะท้อนการท าอาชีพดอกไม้ใบยาง (ค่าเฉลี่ย 4.63) อุปกรณ์ประกอบสามารถ น าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ (ค่าเฉลี่ย 4.61) เพลงประกอบฟังรู้เป็นของภาคใต้ (ค่าเฉลี่ย 4.60) น าไปแสดงได้ใน ทุกโอกาส (ค่าเฉลี่ย 4.60) และส่งเสริมคุณค่าทางเศรษฐกิจในชุมชน (ค่าเฉลี่ย 4.56)


26 ธีรวัฒน์ ช่างสาน, (2560 : บทคัดย่อ) วิจัยเรื่อง การพัฒนาเครื่องแต่งกายโนรา ภูมิปัญญาชาวบ้านใน จังหวัดนครศรีธรรมราช การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาประวัติที่มาและเครื่องแต่งกายโนรา 2. พัฒนา เครื่องแต่งกายโนราตามความต้องการของชาวบ้านและองค์ประกอบที่สมบูรณ์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ศิลปิน จากอ าเภอทุ่งสง หัวไทร สิชล และเมืองนครศรีธรรมราช และนักศึกษาสาขานาฏศิลป์และ การแสดง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ผู้วิจัยเก็บ ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง การ สังเกตแบบมีส่วนร่วม การวิพากษ์จาก ผู้เชี่ยวชาญและการเก็บแบบสอบถาม การแต่งกายโนราในจังหวัด นครศรีธรรมราชในช่วงต้น กรุงรัตนโกสินทร์มีลักษณะคล้ายกับการแต่งกายตัวพระของร าซัดชาตรีทางภาค กลาง ศีรษะ สวมเทริดแบบภาคใต้ บางคณะมีอินทรธนูประดับบนไหล่ทั้งสองข้าง ในสมัยรัชกาลที่ 5 คณะโนรา ได้พัฒนาเครื่องแต่งกายมาจนปัจจุบัน 3 แบบ คือ เครื่องต้น ทรงบัว และเครื่องเต็ม โดยมีองค์ประกอบของ เครื่องแต่งกายประกอบด้วย เทริด พานโครง คลุมไหล่ 2 ข้าง ปิดคอหน้า หลัง ทับทรวง ปีกหรือ หางหงส์ สังวาล ปีกนกแอ่น ปั้นเหน่ง ห้อยหน้า ห้อยข้าง สนับเพลา ผ้ายาว ก าไลต้นแขน ปลายแขน ก าไลข้อมือ และ เล็บ การวิจัยครั้งนี้ได้พัฒนาเครื่องแต่งกายโนราแบบ ประยุกต์โดยใช้เครื่องแต่งกายแบบเครื่องต้นเป็นพื้นและ พัฒนาอินทรธนูที่ร้อยจากเครื่องลูกปัด ตามแบบอินทรธนูของละครไทยเสริมบนไหล่ทั้งสองข้าง ผลการวัด ความพึงพอใจของเครื่อง แต่งกายโนราทั้ง 4 แบบ พบว่าเครื่องแต่งกายทุกแบบมีระดับคะแนนเฉลี่ย 4.5 ทุก แบบ ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และเผยแพร่ภูมิปัญญาชาวบ้านเรื่อง การพัฒนา เครื่องแต่งกายโนรา และสามารถส่งเสริมศิลปินให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง พัณณิตา กิจคามและคณะ, (2564 : บทคัดย่อ) ผลงานสร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์บุหงาหน้าหีบ การ วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาองค์ความรู้เรื่องการ จัดพิธีกรรมงานศพของคนในภาคใต้ เพื่อสร้างสรรค์ ผลงานการแสดงนาฏยประดิษฐ์ชุดบุหงาหน้าหีบ โดยน าองค์ความรู้ภูมิปัญญาการท าดอกไม้ประดิษฐ์หน้า หีบศพ โดยใช้องค์ประกอบของศิลปะการละเล่นหน้าหีบศพในอดีตมาพัฒนาเป็นชุดการแสดง 2. เพื่อวัดความ พึงพอใจของผู้ชมในชุดการ แสดงสร้างสรรค์ส าหรับใช้เป็นแนวทางเผยแพร่สู่สาธารณะชนในวงกว้างต่อไป จา กกการจัดเผยแพร่การแสดงผลงานสร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์บุหงาหน้าหีบในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมรับชมการแสดง และตอบแบบสอบถามแบบประเมินความพึงพอใจต่อการแสดงทั้งหมด 62 คน โดยคณะผู้ศึกษาใช้แบบ ประเมินความพึงพอใจเรื่องนาฏยประดิษฐ์บุหงาหน้าหีบ เป็นเครื่องมือ เก็บรวบรวมข้อมูล โดยวิเคราะห์ข้อมูล จากค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า ผู้ท าแบบประเมินทั้งหมด 62 คน เป็น เพศหญิง 38 คน คิดเป็นร้อยละ 61.3 เพศชาย 24 คน คิดเป็นร้อยละ 38.7 ส่วนใหญ่จัดอยู่ในช่วงอายุ 18-23 ปี คิดเป็นร้อยละ 75.8 ซึ่งส่วนใหญ่เป็น นักศึกษานาฏศิลป์ จากรายงานผลการประเมินความพึงพอใจ สรุปได้ ว่ามีระดับความพึงพอใจอยู่ใน ระดับมากที่สุด และการแสดงผลงานสร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์บุหงาหน้าหีบ ถ่ายทอดขั้นตอน พิธีกรรมงานศพของคนภาคใต้ออกมาได้อย่างเข้าใจมากที่สุดร้อยละ 4.43 จินตนา อนุวัฒน์, (2561) นาฏยประดิษฐ์ ชุด โนรีดัดตน วัตถุประสงค์ของการสร้างสรรค์ 1. เพื่อศึกษา ลักษณะของท่าฤๅษีดัดตนและหลักการส าคัญของการร าโนรา 2. เพื่อสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ รูปแบบโนราประยุกต์ชุด “โนรีดัดตน” ผลงานสร้างสรรค์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นมาของท่าฤๅษีดัด ตนและท่าร าโนรา แล้วน ามาสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้ในรูปแบบโนราประยุกต์ ชุด “โนรีดัด ตน” โดยศึกษาข้อมูลอันเป็นแรงบันดาลใจ คือท่าฤๅษีดัดตนจากรูปปั้นของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัด


27 โพธิ์)ประกอบกับศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติกระบวนท่าร าโนราและวิธีการสร้างสรรค์ท่าร าโนรา ด้วย วิธีการค้นคว้าเอกสาร การสังเกต และการสัมภาษณ์จากศิลปินพื้นบ้าน รวมทั้งประสบการณ์ของผู้สร้างสรรค์ มาด าเนินการตามทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ จากการทบทวนรายงานการวิจัยท าให้พบว่าแนวทางการสร้างสรรค์งานวิจัยที่ท าจาก ภูมิปัญญายังมี น้อย ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยเชิงพื้นที่ในรูปแบบอื่น ๆ ส่วนการน าองค์ความรู้มาสร้างสรรค์เป็นผลงานนาฏย ประดิษฐ์ยังมีน้อยชิ้น พร้อมกันนี้ในเรื่องของไม้กวาดดอกหญ้าตามลักษณะการน าเสนอดังกล่าวนี้ยังไม่เห็นมี การวิจัยชิ้นใดกล่าวอ้างจึงคิดว่ามีคุณค่ามาก 11. วิธีการหรือขั้นตอนการพัฒนานวัตกรรม รวมถึงการทดสอบนวัตกรรมและวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ [ค ำอธิบำย : วิธีกำร (Methodology) กลไกกำรท ำงำน (Mechanism) กำรทดลอง (Experiment) กำรทดสอบ (Test) และกำรตรวจสอบ (Examination) กำรวิเครำะห์ทำงสถิติหรือตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และระบุกำรเลือกใช้วัสดุ (Material) และอุปกรณ์ (Equipment) พร้อมเหตุผลในกำรเลือกใช้] C Craft c Crrative i Idia T Thaidance I Innovention S Soft Power งานฝี มือท้องถิ่น มรดกวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ นาฏศิลป์ นวัตกรรม การขับเคลื่อน เศรษฐกิจสร้างสรรค์ต่อยอด ตน้ทนุวฒันธรรมภมูิปัญญา Model CITIS : กระบวนการควบคุมทิศทางในการสร้างสรรค์ และทวนสอบนวัตกรรม การเผยแพร่สู่สาธารณะชน กล ุ่มเป้ าหมาย


28 นาฏยประดิษฐ์สร้างสรรค์ชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลา มีวิธีด าเนินการ 2 ขั้นตอน ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ คือ 1. ขั้นตอนการศึกษาองค์ความรู้ 1.1 รวบรวมองค์ความรู้เรื่องไม้กวาดดอกหญ้า ศึกษาองค์ความรู้ประวัติความเป็นมาของไม้กวาดดอกหญ้า และองค์ประกอบของไม้กวาดดอก หญ้าแนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานนาฏศิลป์ การวัดความพึงพอใจ และวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลที่กล่าว ผู้รายงานให้ความส าคัญมากเพราะการมีความรู้จะท าให้วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลได้อย่างลุ่มลึก แหล่งศึกษา ค้นคว้าที่ส าคัญ ประกอบด้วย ส านักวิทยบริการมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ส านักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช วิทยาเขตนครศรีธรรมราช หอสมุดแห่งชาติสาขาจังหวัดนครศรีธรรมราช หอสมุดประชาชนจังหวัดนครศรีธรรมราช หอจดหมายเหตุพลเอกเปรมติณสูลานนท์ และสื่ออินเตอร์เน็ต 1.2 ศึกษาข้อมูลภาคสนาม ศึกษาข้อมูลภาคสนามเป็นข้อมูลที่รวบรวมได้จากการลงพื้นที่ค้นหาข้อมูลเชิงลึก จากแหล่งข้อมูล ดังนี้ 1.2.1 ผู้รายงานลงเก็บข้อมูลชุมชุน ณ บ้านของคุณพรรณี ตรีแก้ววันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 เก็บข้อมูลเรื่องขั้นตอนกรรมวิธีการท าไม้กวาดดอกหญ้า ใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม โดยการร่วมกันท ากับ ชาวบ้าน และลงเก็บข้อมูลชุมชน ณ บ้านของคุณอุไร คงจันทร์วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 เก็บข้อมูลเรื่องประวัติ ความเป็นมาของการท าไม้กวาดดอกหญ้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันในชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัด นครศรีธรรมราช ใช้การสัมภาษณ์โดยผู้รายงานเลือกสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ แบบมีโครงสร้าง โดยการ ก าหนดประเด็นค าถามสัมภาษณ์ 1.3 การสร้างสรรค์ผลงาน ผู้รายงานสร้างสรรค์ผลงานชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลา ในประเด็น ด้านดนตรีและเพลง ด้านท่า ร า ด้านเครื่องแต่งกาย และด้านอุปกรณ์ประกอบการแสดง 1.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.4.1 การสังเกต การสังเกต หมายถึง การเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างใส่ใจและมีระเบียบวิธี เพื่อ วิเคราะห์หรือหาความสัมพันธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกับสิ่งอื่น (สุภางค์ จันทวานิช, 2549: 45) ซึ่งการสังเกตในครั้ง นี้ ผู้รายงานเข้าสังเกตการท าไม้กวาดดอกหญ้าโดยเข้าไปฝึกการท าไม้กวาดเริ่มตั้งแต่การตากแล้วเริ่มท าไม้ กวาดทุกขั้นตอนอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ 1.4.2 การสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ หมายถึง การสื่อสารระหว่างบุคคลซึ่งแตกต่างจากการ สนทนา โดยทั่วไปเพราะการสัมภาษณ์จะต้องมีจุดมุ่งหมาย ต้องเตรียมค าถามและติดต่อกับผู้ให้สัมภาษณ์ (รศ.มานพ คณะโต, 2550: 22) ซึ่งในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ผู้รายงานเลือกสัมภาษณ์การสัมภาษณ์อย่างเป็น ทางการ (Foemal Interview) แบบมีโครงสร้าง โดยการก าหนดประเด็นค าถามส าหรับการสัมภาษณ์ไว้ชัดเจน ล่วงหน้า 4 ส่วนคือ ข้อมูลส่วนตัว ทั้งชื่อ-สกุล อายุ ที่อยู่ ขั้นตอนการท าไม้กวาดดอกหญ้า องค์ประกอบของ ไม้กวาดดอกหญ้า การส่งขายเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจ และข้อเสนอแนะอื่น 1.4.3 แบบวัดความพึงพอใจ


29 ผู้รายงานพัฒนาแบบวัดความพึงพอใจขึ้น เพื่อใช้เก็บข้อมูลจากผู้ชมภายหลังจากมีการแสดง นาฏยประดิษฐ์สร้างสรรค์ชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลาในวันที่ 21 มีนาคม 2566 แบบวัดความพึงพอใจแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 รายละเอียดของข้อค าถาม ประกอบด้วย 1. เมื่อชมการแสดงชุดนี้แล้วเข้าใจในประวัติการท าไม้กวาดมากน้อยเพียงใด 2. เมื่อชมการแสดง ชุดนี้แล้วเข้าใจกรรมวิธีการท าไม้กวาดมากน้อยเพียงใด 3. การแสดงชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของไม้กวาดมากน้อย เพียงใด 4. เพลงและดนตรีมีความเหมาะสมส าหรับการนาฏยประดิษฐ์สร้างสรรค์ชุดสัมมุญชนีนาฏยลีลามาก น้อยเพียงใด 5. การสร้างสรรค์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเหมาะสมกับการแสดงและท่าร ามากน้อยเพียงใด 6. แนว ทางการสร้างสรรค์ระบ าสัมมุญชนาฏยลีลาเหมาะสมกับการเป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นใต้มากน้อยเพียงใด 7. อุปกรณ์ประกอบการแสดงมีความเหมาะสมส่งเสริมการแสดงมากน้อยเพียงใด 8. การสร้างสรรค์ดอกไม้ ประดิษฐ์ประดับศีรษะของนักเสดงมีความเหมาะสมสวยงามมากน้อยเพียงใด 9. ท่าร าให้ความรู้และมีความ สนุกสนานช่วยติดตามมากน้อยเพียงใด 10. เป็นชุดการแสดงที่เหมาะสมกับการเผยแพร่สู้สาธารณะชนในฐานะ ชุดการแสดงทางวัฒนธรรมมากน้อยเพียงใด และตอนที่ 3 ข้อเสนอแนะ 1.5 สรุปผล สรุปผลรายงานศิลปนิพนธ์ชุด สัมมุญชนีนาฏยลีลา จะสรุปเป็นเอกสาร 5 บทประกอบด้วย 1.5.1 บทที่ 1 บทน า 1.5.2 บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม 1.5.3 บทที่ 3 วิธีการด าเนินการสัมมุญชนีนาฏยลีลา 1.5.4 บทที่ 4 ท่าร าสัมมุญชนีนาฏยลีลา และผลการวัดความพึงพอใจ 1.5.5 บทที่ 5 บทสรุปอธิปรายผลและข้อเสนอแนะ 1.6 ประเมินผล จัดท าเป็นเอกสารฉบับสมบูรณ์เรื่องนาฏยลีลาชุดสมมุญชนีนาฏยลีลาอย่างน้อย 1 ฉบับ ในการ รายงานผลในโอกาสต่อไป 12. คุณสมบัติ / คุณลักษณะเฉพาะและขอบเขตการใช้งานของนวัตกรรม (ค ำอธิบำย : ระบุลักษณะพิเศษ ข้อจ ำกัดของนวัตกรรมหรือก ำหนดกลุ่มผู้ใช้นวัตกรรม และอำจรวมถึงจุดเด่น คุณค่ำของนวัตกรรม) C culture C creative s social วัฒนธรรม ภมูิปัญญา สร้างสรรค์ ชุมชน สังคม Process 2c 1s : กระบวนการชับเคลื่อนจุดเด่นและคุณสมบัตินวัตกรรม


30 สัมมุญชนีนาฏยลีลา : การแสดงสร้างสรรค์เพื่อหนุนเสริมและยกระดับศิลปาชีพท้องถิ่น กรณีการน าเสนอ หัตถกรรมไม้กวาดดอกหญ้า ชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นผลงานสร้างสรรค์ทางด้าน นาฏศิลป์ เพื่อหนุนเสริมศิลปาชีพหัตถกรรมการท าไม้กวาดดอกหญ้า จากความบันดาลใจในการอนุรักษ์ภูมิปัญญา เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ ผลผลิตไม้กวาดดอกหญ้า ของชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยหยิบยกกรรมวิธีในการผลิตไม้กวาดดอกหญ้า ผลผลิตไม้กวาดดอกหญ้า คุณประโยชน์ของไม้กวาดดอกหญ้า มา พัฒนาและยกระดับในรูปแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านการแสดง ที่มีการออกแบบสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ในทุก องค์ประกอบ ทั้งในด้านดนตรีบรรเลงประกอบการแสดงที่ผสมผสานความร่วมสมัยของเครื่องดนตรีสากลเข้ากับเครื่อง ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้ ท่าร าและอากัปกริยาประกอบการแสดง และการสร้างสรรค์เครื่องประดับเครื่องแต่งกาย ประกอบการแสดงจากทุนวัฒนธรรม และมรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นภาคใต้ในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสามารถขยาย ผลออกไปตามลักษณะและประเภทของกลุ่มเป้าหมาย โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้หลัก และกลุ่มผู้ใช้งาน ซึ่งกลุ่ม ผู้ใช้หลัก เป็นนักเรียน นักศึกษา และเยาวชนที่มีใจรักในด้านนาฏศิลป์ซึ่งแนวทางของการสร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์ใน ครั้งนี้สามารถเป็นแนวทางให้เกิดการน าเอาหัตถกรรมท้องถิ่นประเภทอื่น ๆ มาน าเสนอในรูปแบบการแสดงเช่น กระเป๋ากระจูดเมืองนคร เครื่องถมเมืองนคร ตลอดจนผลิตภัณฑ์สินค้าของฝากอื่น ๆ เพื่อการน าเสนอเศรษฐกิจฐาน รากจากวิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดนครศรีธรรมราชสู่ระบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ในด้านของกลุ่มผู้ใช้งานและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย ระหว่างกลุ่มผู้ผลิตไม้กวาดดอกหญ้าชุมชนบ้านเกาะ และผู้ซื้อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งนับเป็นการเผยแพร่และ ประชาสัมพันธ์เครื่องใช้ในครัวเรือนอันเป็นปัจจัยที่ใช้กันในสังคมทุกชนชั้น สู่กลุ่มผู้ใช้ ทั้งในระดับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน บริษัทบริการท าความสะอาด พนักงานท าความสะอาด แม่บ้าน อย่างยิ่งก็ด้วยจากการส่งเสริมจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ ส านักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อการรักษามาตรฐานและคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้าของชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อไปในอนาคต ส าหรับการ รองรับการผลิตของกลุ่มศิลปาชีพพื้นถิ่นก่อนส่งออกสู่กลุ่มเป้าหมายต่อไปตามล าดับ 13. ระดับความพร้อมของผลงานนวัตกรรม (โปรดระบุระดับ TRL หรือ SRL พร้อมอธิบายรายละเอียด ความพร้อมขององค์ความรู้/เทคโนโลยี) (ระบุรำยละเอียดควำมพร้อมขององค์ควำมรู้/เทคโนโลยีขณะส่งผลงำนเข้ำประกวด และภำยหลัง จำกกำรด ำเนินงำนแล้วเสร็จ) Technology Readiness Level : TRL Societal Readiness Level : SRL การบ่งชี้ระดับความพร้อมและเสถียรภาพ ของเทคโนโลยีตามบริบทการใช้งาน ตั้งแต่ เป็นวัตถุดิบอ งค์ป ร ะกอบส าคัญ อุปก รณ์ และกระบวนการท างานทั้งระบบก่อนที่จะมี การบูรณาการเทคโนโลยีเป็นระบบ ระดับความพร้อมของความรู้และเทคโนโลยีทางด้าน สังคม ที่ใช้ในการประเมินระดับความพร้อมของ ความรู้และเทคโนโลยีทางด้านสังคม องค์ความรู้ เทคโนโลยี กระบวนการ การแก้ปัญหา สิ่งประดิษฐ์ และนวัตกรรมทั้งด้านสังคมเป็นเครื่องมือที่น ามา ประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ในการ บริหารจัดการโครงการ โปรแกรมทางด้านสังคม


31 Technology Readiness Level : TRL Societal Readiness Level : SRL TRL Level 1 : Basic principles observed and reported เป็นการศึกษาและทบทวนงาน ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีมาก่อน SRL Level 1 : Identifying problem and dentifying societal readiness การวิเคราะห์ปัญหา และก าหนดความพร้อมของความรู้ และเทคโนโลยี ทางด้านสังคมที่มี TRL Level 2 : Concept and/or application formulated เป็นก า ร วิเค ร าะห์ผลก า รศึกษ า จาก TRL 1 เพื่อหาโจทย์วิจัยใหม่และน่าสนใจ เป็นการเริ่มศึกษาวิเคราะห์เบื้องต้นเพื่อยืนยัน หลักการพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร SRL Level 2 : Formulation of problem, proposed solution(s) and potential impact, expected societal readiness; identifying relevant stakeholders for the project การก าหนดปัญหา การเสนอแนวคิดในการพัฒนาหรือการแก้ปัญหาและ คาดการณ์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และระบุผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในโครงการ TRL Level 3 : Concept demonstrated analytically or experimentally เป็นการพิสูจน์ หรือตรวจสอบแนวคิดโจทย์วิจัยที่ตั้งไว้ สิ่งที่ได้ คือ องค์ความรู้และวิธีการน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ หลักฐาน คือ การศึกษาเบื้องต้นจากการจ าลอง ทดลอง หรือวิเคราะห์ เพื่อพิสูจน์หลักการนั้น เป็นไปได้ โดยแสดงเอกสาร proof of concept ซึ่งอาจมีการตีพิมพ์ผลงาน หรือ จดทรัพย์สิน ทางปัญญา โดยควรมีผลการศึกษาข้อก าหนดและ มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง SRL Level 3 : Initial testing of proposed solution(s) together with relevant stakeholders ศึกษา วิจัย ทดสอบแนวทางการพัฒนาหรือแก้ปัญหา ที่ก าหนดขึ้นร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง TRL Level 4: Key elements demonstrated in laboratory environments เป็นการทดสอบใน ห้องปฏิบัติการ แล้วได้ผลตามที่คาดหวัง หลักฐาน คือ วิธีทดสอบที่เชื่อถือได้และผลการทดสอบตาม ห้องปฏิบัติการที่ยอมรับได้ทั้งทางสถิติและท าซ้ าได้ SRL Level4: problem validated through pilot testing inrelevant environment to substantiate proposed impact and societal readinessตรวจสอบ แนวทางการแก้ปัญหาโดยการทดสอบในพื้นที่น าร่อง เพื่อยืนยันผลกระทบตามที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และดู ความพร้อมขององค์ความรู้และเทคโนโลยี TRL Level 5 : Key elements demonstrated in relevant environments เป็นการทดสอบใน สภาวะเลียนแบบใกล้เคียงสภาวะจริง แล้วได้ผล ตามที่คาดหวัง ส่วนใหญ่ที่ระดับนี้ยังไม่ใช่ต้นแบบ ภาคสนาม สิ่งที่ได้ คือ องค์ประกอบส าคัญของ SRL Level 5 : Area ( proposed solution(s) validated, now by relevant stakeholders in the area) แนวทางการแก้ปัญหาได้รับการตรวจสอบ ถูกน าเสนอแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง


32 Technology Readiness Level : TRL Societal Readiness Level : SRL ต้นแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบ หลักฐาน คือ วิธีการทดสอบที่เชื่อถือได้ ท าซ้ าได้ และ สอดคล้องความต้องการที่จะประยุกต์ใช้งานของ กลุ่มเป้าหมาย TRL Level 6 : Representative of the deliverable demonstrated in relevant environments เ ป็ น ก า ร ท ด ส อ บใ น ส ภ า ว ะ เลียนแบบใกล้เคียงสภาวะจริง ภายใต้การควบคุม ปัจจัยส าเร็จและล้มเหลว มีการสร้างต้นแบบแล้ว น าไปทดสอบในสภาวะเลียนแบบใกล้เคียงสภาวะ จริง แล้วได้ผลตามที่คาดหวัง หลักฐาน คือ วิธีการ ทดสอบที่เชื่อถือได้ ท าซ้ าได้ และผลการยอมรับ ของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อต้นแบบ สิ่งที่ได้คือ ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพิสูจน์การใช้งาน ณ สภาวะเลียนแบบใกล้เคียงสภาวะจริง SRL Level 6 : Solution (s) demonstrated in relevant environment and in co‐operation with relevant stakeholders to gain initial feedback on potential impact)ผลการศึกษาน าไป ประยุกต์ใช้ในสิ่งแวดล้อมอื่น และด าเนินการกับ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะ เบื้องต้นเพื่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นไปได้ TRL Level 7 : Final development version of the deliverable demonstrated in operational เป็นการทดสอบในสภาวะจริง โดยไม่ควบคุมปัจจัย ส าเ ร็จและล้มเหล ว ต้องมีลูกค้ าตั วจ ริงที่มี ความต้องการชัดเจน หลักฐาน คือ วิธีการทดสอบ ที่เชื่อถือได้ ท าซ้ าได้ และผลการยอมรับของลูกค้า สิ่งที่ได้ คือ ต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการพิสูจน์ การใช้งาน ณ สภาวะการท างานจริง SRL Level 7 : Refinement of project and/or solution and, if needed, retesting in relevant environment with relevant stakeholders ก า รป รับป รุงโค รงก า รและ/ห รือก า รแน วท าง การพัฒนา การแก้ปัญหา รวมถึงการทดสอบแนว ทางการพัฒนา การแก้ปัญหาใหม่ในสภาพแวดล้อม ที่เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย TRL Level 8 : Actual deliverable qualified through test and demonstration เป็นการผลิตในระดับอุตสาหกรรม ณ ระบบ ของลูกค้า ผล คือ ผลิตภัณฑ์จริง หลักฐาน คือ ผลการทดสอบใช้งานในสภาวะท างานจริงอย่าง ต่อเนื่อง จนลูกค้ามั่นใจและยอมรับในคุณภาพ มีผลการรับรองมาตรฐาน มีคู่มือการผลิตและ ใช้งาน SRL Level 8 : Proposed solution(s) as well as a plan for societal adaptation complete and qualified เสนอแนวทางการพัฒนา การแก้ปัญหา ในรูปแบบแผนการด าเนินงานที่สมบูรณ์ และได้รับ การยอมรับ TRL Level 9 : Operational use of deliverable เป็นการใช้งานผลิตอย่างต่อเนื่อง SRL Level 9 : Actual project solution (s) proven in relevant environment แน วท างก า ร


33 Technology Readiness Level : TRL Societal Readiness Level : SRL มีการน าไปใช้งานจริงและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง ตามระยะเวลาที่เหมาะสม หากมีปัญหาต้องแก้ไข หลักฐาน คือ เอกสารสรุปข้อมูลส าคัญของ สิ่งส่งมอบ เอกสารยืนยันจ าหน่าย น าไปใช้งาน ต่อเนื่อง พัฒน า แ ล ะ ก า ร แ ก้ปัญห า ข องโ ค รง ก า รไ ด้ รับ การยอมรับและสามารถน าไปประยุกต์ใช้ได้กับ สิ่งแวดล้อมอื่น ๆ 14. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) (โปรดระบุว่ำนวัตกรรมมีควำมสอดคล้องกับเป้ำหมำย SDGs ข้อใด พร้อมอธิบำยควำมสอดคล้อง อำจจะมี มำกกว่ำ 1 ข้อได้) สัมมุญชนีนาฏยลีลา : การแสดงสร้างสรรค์เพื่อหนุนเสริมและยกระดับศิลปาชีพท้องถิ่น กรณีการ น าเสนอหัตถกรรมไม้กวาดดอกหญ้า ชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช มีผลสัมฤทธิ์ สอดคล้องกับเป้าหมาย SDGs เป้าหมายที่ 9 ในด้านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่มีความทนทาน ส่งเสริมการ พัฒนาอุตสาหกรรม และผลิตภัณฑ์จากกลุ่มอาชีพ ที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการ เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผ่านรูปแบบชุดการแสดงสร้างสรรค์อันเป็นสื่อวัฒนธรรม ที่สามารถสร้างความรับรู้ เข้าใจถึงความมุ่งหมายของนวัตกรรมชุดนนี้ กับอนึ่ง ความสอดคล้องในเป้าหมายที่ 8 ต่อส่งเสริมการเติบโตทาง เศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม และยั่งยืน การจ้างงานเต็มที่ของกลุ่มผู้ผลิตไม้กวาดดอกหญ้า ที่ก่อให้เกิดเป็น ผลผลิตที่มีคุณภาพ และภาวะการประกอบอาชีพ ผู้คนในชุมมีงานท าที่เหมาะสม 15. การเปรียบเทียบนวัตกรรมที่เคยมีกับนวัตกรรมที่พัฒนาครั้งนี้(ค ำอธิบำย : แสดงถึงควำมโดดเด่น ข้อแตกต่ำง ประโยชน์ของนวัตกรรมที่พัฒนำขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับนวัตกรรมที่เคยปรำกฏมำก่อน และสิ่งใดสิ่งหนึ่งของนวัตกรรมที่มีควำมแตกต่ำงจำกนวัตกรรมอื่นในประเภทเดียวกัน)


34 ผลงานที่เคยปรากฏมาก่อน ผลงานที่ส่งเข้าประกวด - การแสดงนาฏศิลป์สร้างสรรค์ใน ลักษณะอื่น ๆ ที่มุ่งน าเสนอรูปแบบของ ขนบธรรมเนียม พิธีกรรม วัฒนธรรม ทั้ง รูปแบบการอนุรักษ์และร่วมสมัย - การน าผลิตภัณฑ์ไม้กว าดดอกหญ้ า ม า น าเสนอในรูปแบบของการแสดง - การสร้างสรรค์ท านองดนตรีขึ้นใหม่ใน ลักณะร่วมสมัยที่ผสานระหว่างดนตรีพื้นเมือง ภาคใต้กับดนตรีสากล - ก า รน าเอ าผ้ าป าเต๊ ะพื้นเมื องม า อ อ ก แ บ บ ตั ด เ ย็ บ เ ป็ น ชุ ด ก า ร แ ต่ง ก า ย ประกอบการแสดง - การน าเอากลวิธีในการขับร้อง ท านอง จากการแสดงลิเกป่า มาใช้ในการแสดง เพื่อการ สื่อสาร เผยแพร่ผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า ถึง ที่มา กรรมวิธี คุณประโยชน์ ตลอดจนความ เป็นมาของผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า ของ ชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัด นครศรีธรรมราช 16. กลุ่มเป้าหมายในการน าผลงานไปใช้ประโยชน์(ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) ภาครัฐ (โปรดระบุ) สถาบันทางด้านการศึกษา ทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา ระดับวิทยาลัย และ อุดมศึกษา สามารถน าเอานวัตกรรมชุดนี้ไปเผยแพร่และแสดง ทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรม และการฝึกหัด เป็นชุดการแสดงเฉพาะกิจส าหรับวาระ เทศกาล ตลอดจนการศึกษาค้นคว้าต่อเนื่องในเชิงของการ วิเคราะห์ท่าร า ท านอง ขององค์ประกอบในการแสดง เพื่อน าไปสู่การพัฒนาและสร้างสรรค์อื่น ๆ ต่อไป ตามล าดับ ภาคเอกชน/การผลิต (โปรดระบุ) ภาคประชาชน/สังคม/ชุมชน (โปรดระบุ) กลุ่มผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า ชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ส านักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครศรีธรรมราช สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 22 จังหวัดนครศรีธรรมราช 17. เอกสารอ้างอิง (ค ำอธิบำย : ระบุแหล่งหรือที่มำของข้อมูลที่น ำมำใช้อ้ำงอิงในเนื้อหำส่วนที่มำและแนวคิด ของกำรสร้ำงนวัตกรรม) กัลยาณี เจ๊กท่านา. (2563). การสร้างสรรค์นาฏศิลป์พื้นบ้านประยุกต์ชุด ระบ ากล้วยตากผ่าน กระบวนการวิจัยเชิงสร้างสรรค์. สืบค้นเมื่อ 2566, มีนาคม : 10


35 จาก http://www.edu.nu.ac.th/th/news/docs/download จินตนา อนุวัฒน, (2561) วิจัยนาฏยประดิษฐ์ชุดโนรีดัดตน. สืบค้นเมื่อ 2565, มีนาคม : 22 จาก http://cda.bpi.ac.th/km ธีรวัฒน์ ช่างสาน. (2558). นาฏยประดิษฐ์. กรุงเทพมหานคร : โอ. เอส. พริ้งติ้ง เฮ้าส์. _______. (2563). ใบยางสร้างสรรค์ของแม่บ้านวังฆ้อง. นครศรีธรรมราช : คณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช. ธวัชชัย ศรีภักดี, (2560) คลังข้อมูลการเกษตรไทย. สืบค้นเมื่อ 2566, มกราคม : 25 จาก https://tarr.arda.or.th/Researcher/info ธีรัชภัทร ลีโอบัวค าศรี. (2556). ทฤษฎีการสร้างสรรค์. สืบค้นเมื่อ 2566, มกราคม : 25 จาก file:///C:/Users/HP/Downloads/chanika_p สุภางค์ จันทวานิช. (2558) วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ. (พิมพ์ครังที 14) กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เสรี พงศ์พิศ. (2557) คู่มือการท าวิสาหกิจชุมชน. กรุงเทพมหานคร : เจริญวิทย์การพิมพ์ ไพโรจน์ ทองค าสุก สมรัตน์ ทองแท้. (2544). วิเคราะห์รูปแบบความเป็นครูสู่กระบวนการ ถ่ายทอดความรู้ของผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทยครูเฉลย ศุขะวณิช. กรุงเทพมหานคร : สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กรมศิลปากร. _______. (2548). ครูเสรี หวังในธรรม ศิลปินแห่งชาติ รูปแบบความเป็นครูผู้ ถ่ายทอดและสร้างสรรค์นาฏศิลป์ไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ดอกเบี้ย. ราชบัณฑิตยสภา. (2554). ไม้กวาด. สืบค้นเมื่อ 2563, กรกฎาคม : 3. จากhttps://dictionary.apps.royin.go.th/ สุรพล วิรุฬห์รักษ์. (2547). หลักการแสดงนาฏยศิลป์ปริทรรศน์. กรุงเทพมหานคร : ส านักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. สุมิตร เทพวงษ์. (2548). นาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ส าหรับครูประถมศึกษา-อุดมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพมหานคร : โอเดี้ยนสโตร์. 18. สถานภาพของผลงานนวัตกรรม (ขณะส่งข้อเสนอผลงานนวัตกรรม) 18.1สิทธิบัตร ยังไม่ได้ยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตร


36 ได้ยื่นจดทะเบียน สิทธิบัตรการประดิษฐ์ อนุสิทธิบัตร สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ ค าขอรับเลขที่ วัน/เดือน/ปีที่ยื่นค าขอ ได้รับสิทธิบัตรแล้ว สิทธิบัตรการประดิษฐ์ อนุสิทธิบัตร สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์ เลขที่ ออกให้ ณ วัน/เดือน/ปี 18.2ผลงานสิ่งประดิษฐ์/นวัตกรรม (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) เคยส่งเข้าประกวด ไม่เคยส่งเข้าประกวด ไม่เคยได้รับรางวัลมาก่อน เคยได้รับรางวัลมาแล้ว คือ จากหน่วยงาน พ.ศ กรณีเป็นนวัตกรรมที่เคยได้รับรางวัลมาแล้ว ระบุในส่วนที่ได้ปรับปรุงจากเดิม คือ 1. 2. ผลงานนวัตกรรมที่เข้าประกวดครั้งนี้ ไม่ได้ส่งผลงานเข้าประกวดที่อื่น เคยส่งเข้าประกวดที่อื่น ณ หน่วยงาน เมื่อ กรณีได้รับรางวัล โปรดระบุระดับรางวัลที่ได้รับ ลงชื่อ หัวหน้า/เจ้าของผลงานนวัตกรรม (นางสาวธัญชนก แผ่นทอง) วันที่ 14 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ลงชื่อ ผู้ร่วมพัฒนานวัตกรรม (นางสาวนิลรัตน์ ผลบุญ) วันที่ 14 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ลงชื่อ อาจารย์ที่ปรึกษา (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรวัฒน์ ช่างสาน) วันที่ 14 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2566 หนังสือยืนยันความเป็นเจ้าของผลงานนวัตกรรม ชื่อ-นามสกุล อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธีรวัฒน์ ช่างสาน


37 ชื่อ-นามสกุล ผู้น าเสนอผลงานนวัตกรรม 1. นางสาวธัญชนก แผ่นทอง 2. นางสาวนิลรัตน์ ผลบุญ สถาบันการศึกษาที่สังกัด สาขาวิชา นาฏศิลป์ คณะ ครุศาสตร์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช สถานที่ติดต่อ สาขาวิชานาฏศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช เลขที่ 1 หมู่ที่ 4 ต าบลท่างิ้ว อ าเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช 80200 โทรศัพท์075 392 039 *มือถือ 089 788 9749 โทรสาร 075 392 031 E mail teerawat_cha.nstru.ac.th ขอรับรองว่าผลงานนวัตกรรม เรื่อง (ภาษาไทย) สัมมุญชนีนาฏยลีลา : การแสดงสร้างสรรค์เพื่อหนุนเสริมและ ยกระดับศิลปาชีพท้องถิ่น กรณีการน าเสนอหัตถกรรมไม้กวาดดอกหญ้า ชุมชนบ้านเกาะ อ าเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช (ภาษาอังกฤษ) Sammunchanee Natyalila : Creative performances to promote and enhance local arts and crafts Grass broom handicraft presentation case Ban Koh Community Phrom Khiri District Nakhon Si Thammarat Province ที่เสนอเพื่อขอรับรางวัลผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา ประจ าปี 2566 จากส านักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เป็นผลงานที่ข้าพเจ้าและคณะได้ท าการประดิษฐ์คิดค้นขึ้นเอง ไม่ได้น าผลงานของผู้อื่นมาท าซ้ า ดัดแปลง หรือลอกเลียนแบบแต่อย่างใด หากเป็นการต ่อยอดจากนวัตกรรมอื่น ข้าพเจ้าขอระบุสิ่งที่ได้ท าการปรับปรุง พัฒนาหรือด าเนินการ โดยขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้ ทั้งนี้ ข้าพเจ้าผู้ลงลายมือชื่อข้างล่างนี้ และคณะฯ ยินดียอมรับว่า ผลการตัดสินรางวัลของ คณะกรรมการประเมินผลงานในการประกวดผลงานนวัตกรรมสายอุดมศึกษา ประจ าปี 2566 ถือเป็นที่สุด และหากพบในภายหลังว่าข้าพเจ้าและคณะได้มีการท าซ้ า ดัดแปลง หรือลอกเลียนแบบผลงานนวัตกรรมของ ผู้อื่น หรือด าเนินการใดที่ไม่สอดคล้องหรือต่างจากที่ได้รับรองไว้ข้างต้น ข้าพเจ้าและคณะ ยินยอมให้ส านักงาน การวิจัยแห่งชาติ เพิกถอนผลการตัดสินและเรียกคืนรางวัลที่ได้รับทั้งหมด และยินดีรับผิดชอบแต่ฝ่ายเดียว ในความเสียหาย การร้องเรียน และการฟ้องร้องในคดีความต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าและคณะ ขอรับรองว่าข้อความข้างต้นเป็นความจริงทุกประการ (ลงชื่อ) . (ลงชื่อ) . (นางสาวธัญชนก แผ่นทอง) หัวหน้า/เจ้าของผลงานนวัตกรรม วันที่ 14 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2566 (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรวัฒน์ ช่างสาน) อาจารย์ที่ปรึกษา วันที่ 14 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2566


38


Click to View FlipBook Version