The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใบงานแบบฝึกหัดภาษาไทย-ม.2-การอ่านออกเสียง (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ใบงานแบบฝึกหัดภาษาไทย-ม.2-การอ่านออกเสียง (1)

ใบงานแบบฝึกหัดภาษาไทย-ม.2-การอ่านออกเสียง (1)

ใบความรู้ท่ี 1 เร่อื ง การอา่ นออกเสียงร้อยแก้ว
หน่วยที่ ๑ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี ๒ เรอื่ ง การอา่ นออกเสยี งรอ้ ยแก้ว รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑

ภาคเรียนที่ ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๒

การอา่ นออกเสียงร้อยแก้ว

การอา่ นออกเสียงร้อยแกว้ หมายถงึ การอา่ นถ้อยคาทม่ี ผี ู้เรียบเรียงหรือประพันธ์ไว้ โดยการเปล่ง
เสยี งและวางจงั หวะเสยี งให้เป็นไปตามความนิยม และเหมาะสมกับเรื่องที่อา่ น เพ่อื ถ่ายทอดอารมณ์ไปสผู่ ู้ฟัง
ซึ่งจะทาใหผ้ ฟู้ งั เกดิ อารมณ์รว่ มคลอ้ ยตามไปกับเร่ืองราว หรอื รสประพนั ธ์ท่ีอา่ น

หลกั เกณฑใ์ นการอา่ นออกเสียงร้อยแกว้
1. ก่อนอ่านควรศกึ ษาเร่ืองท่อี ่านให้เข้าใจ เพื่อแบ่งวรรคตอน
2. อ่านใหค้ ล่อง และเสยี งดงั พอเหมาะกบั สถานทแี่ ละจานวนผ้ฟู งั
3. อา่ นใหค้ ล่องและถูกต้องตามอักขรวิธี โดยเฉพาะ ร ล คาควบกลาต้องออกเสยี งให้ชดั เจน
4. เน้นเสียงและถ้อยคา ตามนาหนักความสาคัญของใจความ ใช้เสียงและจังหวะให้เป็นไปตาม

เนอื เร่ือง เช่น ดุ อ้อนวอน จริงจัง ฯลฯ
5. อ่านออกเสยี งให้เหมาะสมกับประเภทของเร่ือง เชน่ ถา้ อา่ นเร่อื งท่ใี ห้ข้อเทจ็ จริงท่ัวไป จะอ่าน

ออกเสยี งธรรมดาใหช้ ดั เจน

มารยาทในการอ่านออกเสียง
1. ในระหว่างท่ีอ่าน ควรกวาดสายตามองตัวอักษร สลับกับการเงยหน้าขึนมาสบตาผู้ฟัง

ในลักษณะที่เหมาะสม และดูเปน็ ธรรมชาติ
2. ถ้าอ่านในท่ีประชุม ต้องยืนทรงตัวในท่าทางที่สง่า มือที่จับอยู่ในท่าทางที่เหมาะสม ไม่เกร็ง

ไม่ยกกระดาษ หรือเอกสารบงั หนา้ หรอื ไม่ถอื ไว้ต่าเกินไปจนตอ้ งกม้ ลงอา่ นจนตวั งอ
3.แต่งกายเรียบรอ้ ยเหมาะสม

บทอา่ นรอ้ ยแก้วบทที่ ๑ เรอื่ ง การอ่านออกเสียงร้อยแก้ว
หน่วยท่ี ๑ แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๒ เรอื่ ง การอา่ นออกเสียงร้อยแก้ว รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑

ภาคเรยี นที่ ๑ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๒

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
ฝกึ อ่านบทร้อยแกว้ ไดถ้ ูกต้องตามอักขรวิธี

บทข่าว ภยั แล้ง (ภาคใต้)

อ่างเก็บน้าคลองหลา จังหวัดสงขลา เริ่มมีระดับน้าลดลง เป็นสัญญาณเตือนให้เกษตรกรช่วยกัน
ประหยดั น้า

อ่างเก็บน้าคลองหลา เป็นอ่างเก็บน้าท่ีมีขนาดใหญ่ท่ีสุดถึง ๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ในขณะที่
ปริมาณน้าในอ่างเก็บน้าเหลือเพียง ๑๗ ล้านลูกบาศก์เมตร จึงเกรงกันว่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนน้าในช่วงฤดู
แลง้ นี จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในพืนที่รับนา้ ตอนล่าง ซ่ึงมีทงั งกลมุ่ เพอ่ื เลยี งปลา ตะพาบน้า ปลกู ผัก และ
สวนไม้ผล ขณะที่น้าบางส่วนต้องปล่อย เพื่อไล่น้าเค็มในคลองอู่ตะเภา และการผลิตน้าประปา ซ่ึงทางจังหวัด
ให้รณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันประหยัดน้าเพ่ือให้สามารถมีน้าไว้ใช้ตลอดฤดูแล้ง นายวัฒนา แก้วชูช่ืน
เกษตรกรผู้เลียงปลารายหนึ่งกล่าวว่า ในช่วงฤดูแล้งนี อาจจะปรับเปลี่ยนการเลียงสัตว์ จากเดิมที่เตรียม
จะเลียงกุง้ น้าจดื หรอื กงุ้ ก้ามกราม แต่เพ่อื เป็นการประหยัดน้าอาจจะหันไปเลียงปลาดุกแทน

บทรายการข่าวโทรทศั นข์ อง สถานโี ทรทศั นช์ ่อง ๙ อ.ส.ม.ท.
ขา่ วภาค ๑๒.๐๐ น. วนั จันทรท์ ี่ ๑๘ มกราคม ๒๕๔๒

บทอา่ นร้อยแก้วบทท่ี ๒ เรอ่ื ง การอา่ นออกเสียงร้อยแก้ว
หน่วยที่ ๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๒ เรื่อง การอ่านออกเสียงรอ้ ยแกว้ รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑

ภาคเรียนที่ ๑ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๒

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ฝกึ อ่านบทร้อยแกว้ ไดถ้ ูกต้องตามอักขรวิธี

บทอ่าน คนละหน้าที่

“หน้าที่” ความหมายตามพจนานุกรมหมายถึง “กิจท่ีต้องทาด้วยความรับผิดชอบ” ทุกคนไม่ว่าชาย
หรือหญิง เดก็ หรือผูใ้ หญ่ เจ้านายหรือคนใช้ ล้วนมีหน้าทเี่ ฉพาะตน กิจทีต่ ้องทาแตล่ ะคนมีทั้งความเหมอื นและ
ความไม่เหมือนกันอยู่ ที่เหมือนกันคือการทาหน้าท่ีดูแลตนเอง หน้าท่ีต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณ และหน้าท่ีต่อหลัก
ศาสนาที่ตนเช่ือ หน้าท่ีต่อการงานของตน แต่ท่ีไม่เหมือนกันคือลักษณะรายละเอียดของงานท่ีทา วันนี้ผมขอ
พูดถึงเฉพาะหน้าท่ีท่ีต้องทาด้วยความรับผิดชอบต่อตนเองและงานท่ีทาแต่ละคนมีหน้าที่และความรับผิดชอบ
ต่อชีวิตตนเอง จริงอยู่ชีวิตในช่วงวัยทารกและวัยเด็ก เราจะต้องพ่ึงอาศัยผู้อ่ืน ช่วยป้อนอาหาร ช่วยอุ้ม
ช่วยแต่งตัว ช่วยส่งไปโรงเรียน ช่วยค่าเล่าเรียน ฯลฯ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราค่อยๆ เติบโตท้ังร่างกายและ
จติ ใจภายใน ทาให้เรามศี กั ยภาพใน

การช่วยตนเอง เราจะค่อยๆ เติบใหญ่จากวัยเด็กสู่วัยผู้มีวุฒิภาวะ หรือเป็นผู้ใหญ่ ในวันนี้เราจะมี
ความรู้ความสานึกได้และเข้าใจว่าชีวิตของเราๆ จะต้องรับผิดชอบ เราต้องรับผิดชอบในหน้าท่ีดูแลชีวติ ตนเอง
ถึงวัยต้องคิดแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตนเอง เลือกคู่ เลือกทางเดินชีวิตด้วยตนเอง และรับผิดชอบต่อสิ่งท่ีตนเลือก
และตัดสินใจน่าเสียดายท่ีหลายคนโตแต่ตัว แต่ความคิดยังไม่โตเพราะเขายังขาดจิตสานึกในหน้าที่และ
ความรับผิดชอบต่อชีวิตตนเอง เขาไม่มีความม่ันใจในตัวตนและยอมมอบการตัดสินใจเรื่องสาคัญของชีวิต
ใหผ้ ู้อืน่ เป็นผู้ตดั สนิ ใจให้ ชวี ิตขับเคล่ือนโดยกระแสค่านิยมรอบตวั เม่อื ชวี ติ ไม่สมหวงั เขาโทษสังคม โทษบุคคล
รอบข้าง โทษรฐั บาล โทษพ่อแม่ ครูอาจารย์ สอบไม่ได้โทษอาจารย์สอนไม่ดี ชวี ิตตกต่าโทษพ่อแม่ให้ฉันเกดิ มา
ทาไม ฯลฯ เราต้องระลึกเสมอว่าชีวิตของเราๆ ต้องรับผิดชอบ ด้วยการเสริมสร้างและพัฒนาตนเองในทุกทาง
แก้ไขนิสัยตนเองให้เข้ากับผู้อื่นได้ไม่ใช่พยายามแก้ไขผู้อื่นให้ตรงใจเรา ปรับตัวเองให้เข้ากับงาน ไม่โทษงาน
ทาไมไม่เปลี่ยนตามใจเรา พ่อแม่มีหน้าที่รับผิดชอบในช่วงที่เราพ่ึงพาตนเองไม่ได้ด้วยการเลี้ยงดูอบรม
เป็นต้นแบบชีวิต ครูถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์และเป็นแม่พิมพ์ แต่ละคน แต่ละภาคส่วนมีบทบาทและ
หน้าที่ ถ้าทุกคนมุ่งทาหน้าที่ความรับผิดชอบของตนและมีน้าใจช่วยเหลือผู้อื่นจะทาให้ท้ังตัวเราและผู้อยู่
รอบข้างเราเติบโตและเจริญไปด้วยกันอะไรที่เป็นความรับผิดชอบของตนอย่าโยนความรับผิ ดชอบน้ีให้ผู้อื่น
เป็นภาระ อย่ายุ่งกับธุระและหน้าท่ีของผู้อื่นจนกว่าได้รับการร้องขอ อย่านิ่งดูดายเมื่อเห็นคนอ่ืนพลาดพลั้ง
ชว่ ยพยงุ เขาให้ลุกขึน้ เดนิ ตอ่ ไปได้

บทความพิเศษ จาก ศจ.ดร.วัรชยั โกแวร์

ใบงำนที่ ๑ เรอื่ ง การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง หน่วยที่ ๑ แผนกำรจัดกำรเรียนรทู้ ่ี ๓
เรื่อง การอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง (๑) รำยวิชำ ภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๒ ภำคเรียนที่ ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษำท่ี ๒

คำชีแ้ จง นกั เรียนขดี เสน้ แบง่ จงั หวะการอา่ นและอา่ นกลอนสุภาพทกี่ าหนดให้ตอ่ ไปนีใ้ หถ้ กู ต้อง

อันชาตใิ ดไรศ้ านติสุขสงบ ต้องมัวรบราญรอนหาผ่อนไม่
ณ ชาตนิ ้นั นรชนไม่สนใจ ในศิลปะวไิ ลละวาดงาม
แต่ชาตใิ ดรุ่งเรอื งเมอื งสงบ วา่ งการรบอริพลอนั ล้นหลาม
ย่อมจานงศลิ ปะสงา่ งาม เพ่ืออร่ามเรืองระยับประดบั ประดา
เหมือนนารินไรโ้ ฉมบรรโลมสงา่
อันชาติใดไร้ช่างชานาญศิลป์ เขาจะพากนั เย้ยให้อบั อาย
ใครใครเหน็ ไม่เป็นทีจ่ าเริญตา ช่วยบรรเทาทุกขใ์ นโลกใหเ้ หือดหาย
ศิลปกรรมนาใจใหส้ รา่ งโศก อีกร่างกายก็จะพลอยสุขสราญ
จาเรญิ ตาพาใจใหส้ บาย เมอ่ื ถึงยามเศรา้ อรุ านา่ สงสาร
โอสถใดจะสมานซง่ึ ดวงใจ
แม้ผู้ใดไม่นิยมชมสง่ิ งาม ทุกประเทศนานาท้ังนอ้ ยใหญ่
เพราะขาดเครือ่ งระงบั ดับราคาญ ศรีวไิ ลวิลาศดเี ปน็ ศรีเมอื ง
เพราะการช่างน้สี าคัญอนั วิเศษ
จงึ ยกยอ่ งศลิ ปกรรม์น้ันทว่ั ไป

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว

ที่มา: บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วศิ วกรรมา หนังสอื วรรณคดีวจิ กั ษร์ ะดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒

ใบความรู้ท่ี ๑ เรือ่ ง การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง (๑) หน่วยที่ ๑ แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ ๓
เร่ือง การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง (๑) รายวชิ า ภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาท่ี ๒

การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง

การอ่านบทร้อยกรอง อา่ นได้ ๒ แบบ
๑. อา่ นแบบธรรมดา เป็นการอ่านออกเสียงพูดธรรมดา ไมม่ ีทานองเหมือนอา่ นร้อยแกว้ แต่มกี าร
แบง่ จังหวะวรรคตอนให้ถูกต้องตามชนิดของคาประพันธ์
๒. อ่านแบบทานองเสนาะ เปน็ การอา่ นออกเสยี งท่มี ที านองอยา่ งไพเราะ มเี ออื้ นเสียง เน้นสัมผสั
แบง่ จงั หวะจานวนคา การอ่านตามฉันทลกั ษณบ์ ังคับของคาประพันธ์

จดุ ม่งุ หมายของการอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรองทานองเสนาะ
การอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยกรองหรอื การอ่านทานองเสนาะ เป็นการอ่านให้คนอื่นฟัง ฉะน้ัน

ทานองเสนาะตอ้ งอ่านออกเสียง เสียงทาให้เกิดความร้สู กึ ทาให้เห็นความงาม เห็นความไพเราะ เห็นภาพพจน์
ผู้ฟังสมั ผัสด้วยเสยี ง จงึ จะเขา้ ถงึ รสและความงามของบทรอ้ ยกรองทีเ่ รยี กวา่ อ่านแล้วฟังพร้ิงเพราะเสนาะโสต
การอา่ นทานองเสนาะจงึ มุ่งม่นั ให้ผ้ฟู งั เขา้ ถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรอง

ศิลปะการอ่านทานองเสนาะ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้อ่าน และความไพเราะ
ของบทประพนั ธ์แตล่ ะประเภท โดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้อ่านทานองเสนาะจึงต้องอาศัยวิธีการอ่านให้ไพเราะ
และตอ้ งหมนั่ ฝกึ ฝนการอา่ นใหเ้ กิดความชานาญ

(มนตรี ตราโมท ๒๕๒๗ : ๕๐)

หลักการอ่านบทรอ้ ยกรอง

๑. ก่อนอ่านให้แบ่งคา แบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคาประพันธ์เสียก่อน โดยต้องระวังในเรื่อง
ความหมายของคาดว้ ยเพราะคาบางคาอา่ นแยกคากนั ไม่ได้

เชน่ “สรอ้ ยคอขนมยรุ ะ ยงู งาม” (ขน-มยรุ ะ , ขนม-ยรุ ะ)
๒. อา่ นออกเสยี งทานองธรรมดาให้คล่องก่อน
๓. อ่านใหช้ ดั เจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคาควบกลา้ ใหถ้ ูกตอ้ ง
๔. อา่ นให้เออื้ นสัมผสั เรยี กวา่ แปรเสียง เพอื่ ให้เกิดเสียงสัมผสั ท่ไี พเราะ
๕. ระวัง ๓ ต คือ อยา่ ใหต้ กหลน่ อย่าต่อเตมิ อย่าตู่ตัว
๖. อา่ นให้ถกู จงั หวะ คาประพนั ธแ์ ต่ละประเภท จะมีจังหวะแตกต่างกัน ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอน
ตามแบบแผนลกั ษณะของคาประพนั ธ์
๗. อา่ นใหถ้ ูกทานองของคาประพนั ธ์
๘. ผูอ้ ่านต้องใส่อารมณต์ ามรสความของบทประพนั ธ์ รสรกั รสโศก ตื่นเตน้ ขบขนั โกรธ
9. อา่ นให้เสยี งดงั ไม่ใชต่ ะโกน
10. เวลาอา่ นอย่าใหเ้ สยี งขาดเปน็ ชว่ ง ต้องใหเ้ สียงติดต่อกนั ตลอด
11. เวลาจบใหท้ อดเสียงชา้

หลักการอา่ นบทร้อยกรองประเภทกลอนสภุ าพ
กลอนสุภาพ มลี กั ษณะบงั คับดังนี้

คณะ กลอนบทหนึ่งจะมี ๒ บาท ๑ บาทจะมี ๒ วรรค ซึ่งนิยมเรยี กวา่ ๑ คากลอน ฉะน้ัน

กลอน ๑ บท จะมี ๒ คากลอน ตามปกตกิ ลอนแปดจะมีวรรคละ ๘ คา แต่อนโุ ลมใหม้ ีตั้งแต่ ๖ -๙

คา โดยเรียกวรรคต่างๆ ตามลาดับ ดงั นี้

วรรคแรก เรยี กว่า วรรคสดบั

วรรคทสี่ อง เรยี กวา่ วรรครบั

วรรคทส่ี าม เรียกว่า วรรครอง

วรรคท่สี ี่ เรยี กว่า วรรคสง่

สมั ผสั กลอนสภุ าพมีสัมผัสนอกเป็นสัมผสั บังคับ คอื คาสุดท้ายของวรรคสดับ สัมผสั กบั คาที่

๓ ในวรรครบั คาสดุ ท้ายของวรรครับสง่ สมั ผัสไปยังคาสดุ ท้ายของวรรครอง คาสุดทา้ ยของวรรคส่งสัมผสั ไป

ยงั คาท่ี ๓ ของวรรคสง่ และคาสุดท้ายของวรรคส่ง ส่งสมั ผัสไปยงั คาสดุ ท้ายของวรรครับในบทตอ่ ไป

แผนบังคับของกลอนสุภาพ

วิธีการอา่ นทานองเสนาะประเภทกลอนสุภาพ

๑. การแบ่งวรรคจังหวะในการอ่านของกลอนสภุ าพแตล่ ะวรรค กลอนสุภาพจะแบ่งจังหวะการ

อา่ นคาในแตล่ ะวรรคเปน็ ๓ ช่วง ดงั นี้ คือ

ถ้าวรรคละ ๖ คา จะแบ่งอา่ นเป็น ๒ -๒ -๒

ถา้ วรรคละ ๗ คา จะแบ่งอา่ นเป็น ๒ -๒ -๓

ถ้าวรรคละ ๘ คา จะแบง่ อ่านเปน็ ๓ -๒ -๓

ถา้ วรรคละ ๙ คา จะแบง่ อ่านเป็น ๓ -๓ –๓

ตวั อย่าง เหมอื นช่ือจติ / ทพี่ ่ตี รง / จานงสมร
ถงึ บางซอ่ื / ช่ือบาง / นสี่ จุ ริต
ใจสมร / ขอใหซ้ ่ือ / เหมือนชอ่ื บาง
มิตรจิต / กข็ อให้ / มิตรใจจร (นิราศระบาท ของ สุนทรภู่)

๒. คาที่สัมผัสกันนิยมอ่านเน้นคาเพอ่ื ให้เกดิ ความไปเราะนา่ ฟัง เชน่

ในเพลงปีว่ ่าสาม พ่ีพราหมณเ์ อ๋ย ยงั ไมเ่ คย เชยชดิ พิสมัย

ถงึ รอ้ ยรสบุปผา สมุ าลัย จะชน่ื ใจ เหมอื นสตรไี ม่มีเลย

(พระอภยั มณี ของ สนุ ทรภ่)ู

๓. ต้องอ่านให้ถูกตอ้ งตามอักขรวธิ ี โดยเฉพาะคาควบกลา้ ร , ล, ว

๔. การใสอ่ ารมณ์ ในการอ่านกลอนควรใสอ่ ารมณส์ อดแทรกลงไปในบททอ่ี า่ นเหมาะสมกับเน้ือเรื่อง

และบรรยากาศโดยอาศยั การตคี วามตวั บททจ่ี ะอา่ นให้ถ่องแท้เสยี ก่อน แลว้ อ่านถา่ ยทอดอารมณอ์ อกมาเป็น

ทว่ งทานองใหน้ า่ ฟงั

๕. การอ่านใหร้ ับสมั ผสั เพือ่ ให้เกดิ ความไพเราะจากเสียงสัมผัสในวรรค เช่น

ถึงหนา้ วงั ดังหน่งึ ใจจะขาด คิดถงึ บาทบพติ รอดศิ ร

คา อดศิ ร ออกเสียงเป็น อะ - ดิ - สอน เพอื่ ให้รบั กบั สัมผัสของคาวา่ บพติ ร

แล้วปลูกมหาโพธิบนโขดใหญ่ เผอิญใหเ้ ตี้ยต่าเพราะกรรมหนา

คา โพธิ ออกเสียงเปน็ โพด เพือ่ ใหร้ ับกับสมั ผัสของคาวา่ โขด

ตัวอย่างกลอนสุภาพ

“จะว่าโศกโศกอะไรทใ่ี นโลก ไม่เทา่ โศกใจหนักเหมือนรกั สมร
จะวา่ หนักหนกั อะไรในดนิ ดอน ถึงสงิ ขรก็ไม่หนกั เหมือนรักกัน
จะวา่ เจ็บเจบ็ แผลกแ็ ก้หาย ถ้าเจบ็ กายชีวาจะอาสญั
แต่เจ็บแคน้ นแ่ี สนจะเจบ็ ครนั สุดจะกลนั้ สุดจะกลืนฝืนอารมณ์”

(นิราศเดือน ของ นายม)ี

ใบงานที่ ๑ เรอ่ื ง การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง หนว่ ยที่ ๑ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๔
เรอื่ ง การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง (๒) รายวชิ า ภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๒ ภาคเรียนท่ี ๑ ชั้นมัธยมศึกษาท่ี ๒

คาชแี้ จง นกั เรียนอ่านออกเสยี งบทร้อยกรองกลอนสภุ าพ

อันชาติใดไร้ศานติสุขสงบ ตอ้ งมัวรบราญรอนหาผอ่ นไม่

ณ ชาติน้ันนรชนไม่สนใจ ในศลิ ปะวิไลละวาดงาม

แตช่ าตใิ ดร่งุ เรืองเมอื งสงบ ว่างการรบอริพลอนั ล้นหลาม

ย่อมจานงศลิ ปาสงา่ งาม เพื่ออรา่ มเรืองระยบั ประดับประดา

อนั ชาติใดไรช้ า่ งชานาญศิลป์ เหมอื นนารินไรโ้ ฉมบรรโลมสง่า

ใครใครเหน็ ไมเ่ ป็นที่จาเรญิ ตา เขาจะพากันเย้ยให้อบั อาย

ศลิ ปกรรมนาใจใหส้ ร่างโศก ช่วยบรรเทาทุกข์ในโลกให้เหอื ดหาย

จาเรญิ ตาพาใจให้สบาย อกี รา่ งกายกจ็ ะพลอยสขุ สราญ

แม้ผ้ใู ดไมน่ ยิ มชมสิ่งงาม เม่ือถงึ ยามเศร้าอุรานา่ สงสาร

เพราะขาดเครอื่ งระงับดับราคาญ โอสถใดจะสมานซ่ึงดวงใจ

เพราะการช่างนส้ี าคญั อนั วเิ ศษ ทกุ ประเทศนานาท้ังน้อยใหญ่

จงึ ยกย่องศิลปกรรม์นั้นทั่วไป ศรวี ิไลวลิ าศดเี ป็นศรีเมือง

พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
ท่ีมา: บทเสภาสามคั คเี สวก ตอน วศิ วกรรมา หนังสือวรรณคดีวิจักษ์ระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๒

ใบความรู้ที่ ๑ เรอ่ื ง การท่องจาบทอาขยาน หนว่ ยท่ี ๑ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๕

เรื่อง การท่องจาบทอาขยาน รายวิชา ภาษาไทย ๔ รหัส ท๒๒๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาท่ี ๒

การท่องจาบทอาขยาน

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕4 ให้นิยามคาว่า "อาขยาน" ไว้ว่า บทท่องจา
การบอกเล่า การบอก การสวด เรื่อง นิทาน "อาขยาน" อ่านออกเสียงได้ ๒ อย่าง คือ อา - ขะ - หยาน
หรอื อา - ขะ -ยาน

กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายกาหนดให้มีการท่องอาขยานอย่างจริงจังในสถาน ศึกษาต้ังแต่
ปีการศึกษา ๒๕๔๒ เป็นต้นไป โดยมีวัตถปุ ระสงคข์ องการท่องอาขยาน ดงั น้ี

๑. เพอ่ื ให้นักเรียนตระหนกั ในคณุ ค่าของภาษาไทย และใหซ้ าบซ้ึงในความไพเราะของบทร้อยกรอง
๒. เพ่ือเปน็ พ้นื ฐานในการแต่งคาประพนั ธ์
๓. เพือ่ เป็นการส่ือในการถ่ายทอดคุณธรรม คตธิ รรม และขอ้ คิดท่เี ปน็ ประโยชนแ์ ก่เยาวชน
๔. เพอื่ ส่งเสริมใหม้ จี ติ สานึกทางวฒั นธรรมของคนในชาตใิ นฐานะ "รากร่วมทางวัฒนธรรม"

ประโยชน์ของการทอ่ งจาอาขยาน
การท่องจาบทอาขานเปรียบเสมือนเป็นบันไดขั้นแรกที่นาไปสู่การคิด เม่ือมีข้อมูลตัวอย่างท่ีดีซึ่งเป็น

คลังความรู้ที่เราเก็บไว้กับตัว ต้องการใช้เมื่อใดเราก็สามารถนาออกมาใช้ได้ทันที นอกจากนั้นการท่องจา
บทอาขยานยังเป็นพ้ืนฐานท่ีนาไปสู่การเลือกจาบทประพันธ์ท่ีมีคุณค่าท้ังในเชิงภาษาและเนื้อหาท่ีเราได้พบ
ในชีวติ ประจาวนั อกี ดว้ ย

การท่องจาบทอาขยานมปี ระโยชน์ สรปุ ไดด้ ังนี้
1. ชว่ ยใหเ้ กิดความซาบซ้ึงในเร่ืองท่อี ่าน
2. ฝกึ การคดิ วิเคราะหแ์ ละประเมินคา่ เร่อื งท่ีอ่าน
3. เป็นตัวอย่างการใชภ้ าษาทไ่ี พเราะ
4. ช่วยให้มคี ติประจาตัว สอนใจใหไ้ ดร้ ะลึกถึงคุณธรรมทไ่ี ดจ้ ดจา
5. ชว่ ยกลอ่ มเกลาและจรรโลงใจใหม้ ีความประณีตมากขน้ึ
6. เป็นตวั อยา่ งการแต่งคาประพันธ์ตามรปู แบบท่ีได้ท่องจา
7. ไดร้ บั ความเพลดิ เพลิน สนุกสนาน
8. สามารถนาไปใชอ้ ้างอิงในงานตา่ ง ๆ ได้

ปรบั ปรงุ มาจาก www.thaigoodview.com

บทอาขยานหลัก ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๒ เรอื่ งบทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วศิ วกรรมา
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑ แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๕ เรื่อง ทอ่ งจาบทอาขยาน
รายวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน ท๒๒๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี ๒

บทเสภาสามคั คเี สวก ตอนวศิ วกรรมาและสามัคคเี สวก

อันชาติใดไรศ้ านติสขุ สงบ ต้องมวั รบราญรอนหาผอ่ นไม่
ณ ชาตนิ ัน้ นรชนไมส่ นใจ ในกิจศลิ ปะวไิ ลละวาดงาม
แต่ชาติใดรุ่งเรืองเมอื งสงบ วา่ งการรบอรพิ ลอนั ล้นหลาม
ย่อมจานงศลิ ปาสง่างาม เพื่ออร่ามเรืองระยับประดบั ประดา
เหมือนนารินไร้โฉมบรรโลมสงา่
อนั ชาติใดไรช้ า่ งชานาญศิลป์ เขาจะพากันเยย้ ให้อับอาย
ใครใครเหน็ ไมเ่ ปน็ ทีจ่ าเริญตา ชว่ ยบรรเทาทุกขใ์ นโลกให้เหอื ดหาย
ศิลปกรรมนาใจใหส้ ร่างโศก อกี ร่างกายกจ็ ะพลอยสขุ สราญ
จาเริญตาพาใจให้สบาย เมือ่ ถึงยามเศรา้ อรุ าน่าสงสาร
โอสถใดจะสมานซึ่งดวงใจ
แมผ้ ใู้ ดไมน่ ิยมชมสิ่งงาม ทกุ ประเทศนานาทง้ั น้อยใหญ่
เพราะขาดเครือ่ งระงบั ดับราคาญ ศรวี ิไลวลิ าศดีเป็นศรเี มอื ง
เพราะการช่างนีส้ าคัญอนั วิเศษ
จงึ ยกยอ่ งศิลปกรรมน์ ้นั ท่ัวไป

พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอย่หู วั

ใบความรู้ เร่ือง การอ่านจบั ใจความสาคัญ
หนว่ ยที่ ๑ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 6 เรอื่ ง การอ่านจับใจความสาคัญ รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑

ภาคเรียนท่ี ๑ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๒

ใจความสาคญั
หมายถงึ ใจความทสี่ าคัญ และเดน่ ทส่ี ุดในย่อหนา้ เป็นแก่นของย่อหนา้ ที่สามารถครอบคลมุ เน้อื ความ

ในประโยคอนื่ ๆ
ใจความรอง หรือ พลความ (พน-ละ-ความ)

หมายถึง ใจความ หรือประโยคที่ขยายความประโยคใจความสาคัญ เป็นใจความสนับสนุนใจความ
สาคัญให้ชัดเจนข้ึน อาจเป็นการอธิบายให้รายละเอียด ให้คาจากัดความ ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบ หรือแสดง
เหตุผลอย่างถีถ่ ้วน เพื่อสนบั สนนุ ความคดิ
การอา่ นจบั ใจความสาคญั

การอ่านเพ่ือค้นหาสาระสาคัญของเรื่องที่อ่าน ท่ีผู้เขียนต้องการส่ือ ซ่ึงในแต่ละย่อหน้าจะมีประโยค
ใจความสาคญั เพียงประโยคเดยี ว หรอื อย่างมากไม่เกนิ ๒ ประโยค
หลกั การจับใจความสาคญั

๑. ตั้งจุดมุง่ หมายในการอ่านใหช้ ดั เจน
๒. อ่านเรื่องราวอย่างคร่าวๆ พอเข้าใจ และเก็บใจความสาคัญของแตล่ ะย่อหน้า
๓. เม่ืออ่านจบให้ตัง้ คาถามตนเองว่า เร่ืองที่อา่ น มใี คร ทาอะไร ท่ีไหน เมื่อไหร่ อย่างไร
๔. นาสง่ิ ทสี่ รุปได้มาเรียบเรียงใจความสาคญั ใหมด่ ว้ ยสานวนของตนเองเพ่ือใหเ้ กดิ ความสละสลวย

การพจิ ารณาตาแหนง่ ใจความสาคัญ ใจความสาคญั ของข้อความในแต่ละย่อหนา้ จะปรากฏดังน้ี
๑. ประโยคใจความสาคัญอย่ตู อนตน้ ของยอ่ หนา้
๒. ประโยคใจความสาคัญอยูต่ อนกลางของย่อหนา้
๓. ประโยคใจความสาคัญอยตู่ อนทา้ ยของย่อหน้า
๔. ประโยคใจความสาคัญอยตู่ อนต้นและตอนทา้ ยของย่อหน้า
๕. ผอู้ า่ นสรปุ ขึน้ เอง จากการอา่ นทง้ั ย่อหน้า

การต้งั คาถามเพ่อื หาสาระสาคัญของเรอื่ ง
การตั้งคาถามท้ังก่อนอ่านและขณะอ่าน ช่วยให้นักเรียนตั้งจุดประสงค์การอ่าน เกิดความเข้าใจเร่ือง

และสรุปสาระสาคัญของเร่ืองได้ คาถามได้แก่ “ใคร อะไร ท่ีไหน เม่ือไร อย่างไร ทาไม” การต้ังคาถาม
นักเรียนต้ังได้มากมาย เร่ืองยิ่งยาวคาถามก็ต้ังได้มากขึ้น ดังตัวอย่างข้างล่าง แต่ควรคานึงถึงคาถามท่ีมุ่งถาม
สาระสาคญั ของเรือ่ ง ซ่ึงจะเกยี่ วข้องกับหัวขอ้ เรื่องโดยตรงมากกว่าคาถามรายละเอียด ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งอ่ืน ๆ
ไมเ่ กีย่ วข้องกับหัวขอ้ เรือ่ งโดยตรง

ตัวอยา่ ง คาถาม

“ใคร” ๐ เรอ่ื งนกี้ ล่าวถึง ใคร/อะไร
๐ ใครเป็นบคุ คลสาคัญเรอ่ื งน้ี
“อะไร” ๐ เรอ่ื งนีเ้ กีย่ วกบั อะไร (ความคดิ กระทา เหตุการณ)์
๐ เรอ่ื งนี้ ตวั ละคร/บคุ คล/ส่งิ มีชวี ิต ทาอะไร
“ที่ไหน” ๐ เหตเุ กิดทไี่ หน
“เมอื่ ไร” ๐ เรื่องเกิดเม่ือไร
๐ เรอื่ งเกิดเวลาใด
“อย่างไร” ๐ (ตัวละคร) เปน็ คนอยา่ งไร
๐ (ตวั ละคร)/(สง่ิ ท่ีกลา่ วถงึ ) ทาอย่างไร
“ทาไม” ๐ ทาไม..........จึงเป็นเช่นน้ี
๐ เพราะเหตใุ ด
๐ เพราะอะไร

การเขยี นสรุปสาระสาคัญของเร่ือง

ใบงาน เรื่อง การอา่ นจับใจความสาคัญ

หนว่ ยท่ี ๑ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 6 เร่ือง การอา่ นจับใจความสาคญั รายวิชาภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑
ภาคเรยี นท่ี ๑ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี ๒

คาช้แี จง : อ่านข้อความ/เร่ือง แล้วตอบคาถามและเขียนสรุปสาระสาคัญ

ตอนที่ 1

ป้อมเดก็ ดี
เย็นวันอังคารหลังโรงเรียนเลิก ป้อมรีบว่ิงกลับบ้านไปช่วยแม่ทาสวน ขณะว่ิงกลับบ้าน เขาสะดุด
รากไม้ล้มลง เขานึกโมโหรากไม้นั้น แต่ทันใดนั้น ป้อมก็มองเห็นกระเป๋าสตางค์ใบหน่ึงอยู่ใกล้ๆรากไม้
เขาเปิดดูเห็นเงินหลายร้อยบาท ขณะเดียวกันป้อมก็เห็นชายคนหนึ่งกาลังมองหาอะไรอยู่ เขาบอกว่ากระเป๋า
เงินหาย ป้อมเดินไปหาอย่างไม่รีรอ พร้อมส่งกระเป๋าให้ชายคนนั้นแล้วถามว่า “กระเป๋าใบนี้ใช่ไหมครับ”
ชายคนนั้นย้ิมแล้วพูดว่า “ใช่แล้วขอบใจหนูมากนะ หนูเป็นคนดี ฉันจะให้รางวัล” แล้วเขาก็หยิบเงิน
จากกระเป๋าสง่ ให้ปอ้ มหนงึ่ รอ้ ยบาท ป้อมดใี จกล่าวขอบคณุ แลว้ รบี กลบั ไปเลา่ ให้แม่ฟัง

(เร่อื ง : วภิ า ตณั ฑุลพงษ์)

เร่อื งนกี้ ลา่ วถงึ ใคร…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………
เขาทาอะไร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………….....
เขาทาที่ไหน………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
เขาทาเม่ือไร………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………...
เขาทาอยา่ งไร……………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………….
ผลเปน็ อย่างไร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

สรปุ สาระสาคัญ

.............................................................................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................................................................

ตอนที่ 2

เตา่ ทะเล
เต่าทะเลเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนโลกมานานกว่า 150 ล้านปี เต่าทะเลที่พบในไทย ส่วนใหญ่
จะเป็นเต่ามะเฟือง เต่าหญ้า เต่ากระและเต่าตนุ ตามปกติเต่าทะเลจะวางไข่ราวๆ เดือนตุลาคมถึง
มีนาคม และจะขึ้นมาวางไข่บนชายหาดในเวลากลางคืน ในบริเวณที่ปราศจากการรบกวน แม่เต่าจะ
ขุดหลุมวางไขค่ ราวละ 75-150 ฟอง และจะเกล่ยี ดินกลบไว้อย่างมิดชิดก่อนจะคลานลงทะเล ไข่เต่า
จะใช้เวลาฟักนาน 50-55 วัน เมื่อฟักเป็นตัวลูก เต่าแรกเกิดจะคลานลงทะเล แต่ตัวมันเล็ก ลาตัว
อ่อนน่ิม ระหว่างทางไปสู่ทะเลมันจะถูกสัตว์อ่ืนๆ เช่น สุนัข แย้ ตะกวด และปู จับกินเป็นอาหาร ที่
เหลอื รอดลงทะเลเพียง 1 % เท่านัน้ นน่ั เปน็ กระบวนการของธรรมชาติ

(นิตยสารหญงิ ไทย ปที ี่ 27 พฤษภาคม 2545 : 65.)

เรื่องน้ีกลา่ วถึงใคร…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………
เขาทาอะไร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………….....
เขาทาที่ไหน………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...
เขาทาเมื่อไร………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………...
เขาทาอยา่ งไร……………………………………………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………………….
ผลเป็นอยา่ งไร……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

สรปุ สาระสาคญั

.............................................................................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................................................................

ชอื่ ....................................................................................................................................................ชนั้ ม.๒/................เลขท่ี........................

ใบความรู้ เรือ่ ง ตาแหน่งประโยคใจความสาคญั ของยอ่ หนา้
หนว่ ยที่ ๑ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 8 เรื่อง การอา่ นจบั ใจความสาคญั (3)
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๒๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒

ย่อหน้าเป็นข้อความตอนหน่ึงอันประกอยด้วยใจความสาคัญอย่างหน่ึง กับเน้ือความ ขยายให้ชัดเจน
ข้อความหนึง่ ย่อหน้าจะกล่าวถึงเร่ืองเรื่องเดียวเท่าน้ัน การฝึกจับใจความสาคัญในแต่ละย่อหน้า จึงเป็นพื้นฐานสาคัญ
ของการจบั ใจความข้อความยาวๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ขอ้ ความหนึ่งย่อหน้าประกอบดว้ ย

๑. ประโยคใจความสาคญั หรือประโยคหลกั ที่สรุปความคิดของข้อเขียนตอนนั้นไวท้ ั้งหมดประโยคทานอง
นีจ้ ะอยู่ส่วนใดของย่อหน้าก็ได้ แต่ที่นิยมมากคือ อยู่ต้นหรือท้ายย่อหน้า อย่างไรก็ตามข้อเขียนบางย่อหน้าอาจไม่มี
ประโยคใจความสาคัญเลยกไ็ ด้ ในกรณีน้ผี อู้ า่ นจะต้องสรปุ ใจความสาคัญเอง

๒. ประโยคขยายความ เป็นข้อความขยายสนบั สนุนประโยคใจความสาคญั ใหช้ ดั เจนข้ึน
ตัวอยา่ ง

๑) ใจความสาคัญอยู่ตน้ ยอ่ หนา้
ความแตกต่างของมนุษย์และสัตว์อีกประการหนึ่งที่เห็นเด่นชัด คือเร่ืองของการใช้ภาษา มนุษย์สามารถ
ถ่ายทอดความรู้ความคิดออกมาเป็นตัวเขียน คือ เป็นภาษาหนังสือสาหรับให้ผู้อื่นอ่านและเข้าใจตรงตามที่ต้องการ
แต่สัตว์ใช้ได้แต่เสียงเท่านั้นในการส่ือสาร แม้แต่เสียงหลายท่านก็ยังมีความเห็นว่าสัตว์จะทาเสียงเพ่ือแสดง
ความรู้สึก เช่น โกรธ หิว เจ็บปวด เท่าน้ัน เสียงของสัตว์ไม่อาจส่ือความหมายได้ละเอียดลออเท่าภาษาพูดของ
มนษุ ย์

(จันทร์ศรี นิตยฤกษ์ ๒๕๒๕,๔-๕)
๒) ใจความสาคัญอยู่ท้ายย่อหน้า
ภายในวงงานศิลปะประเภทหน่ึงๆ มีรูปแบบของศิลปะนั้นแยกออกไป จิตรกรรมก็มีการวาดและระบายสีบน
ฝาผนัง วาดเป็นเส้นบนกระดาษ วาดและระบายเป็นภาพเล็กเป็นภาพใหญ่เป็นรูปคนรูปภูมิประเทศและอ่ืนๆ
วรรณคดีก็เข้าในลักษณะนี้ รูปแบบของวรรณคดีไทยก็มีหลายแบบ ถ้านับวรรณคดีต่างประเทศท่ัวโลกก็มีรูปแบบ
เกอื บจะนบั ไม่ถว้ น คณุ ภาพของวรรณคดีข้ึนอยู่กับรูปแบบจะมีความดีหรือความบกพร่องภายในวงของรูปแบบแต่ละ
รูปแบบ การพจิ ารณาวรรณคดีจงึ เป็นไปตามรปู แบบแต่ละรูปๆ นั้น

(บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ๒๕๑๗,๒)
๓) ใจความสาคญั อยกู่ ลางย่อหนา้
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การที่จะเป็นผู้ฟังท่ีดีได้น้ันจะต้องมีการฝึกฝนจนเรียนรู้ ฉะน้ันครูจึงเป็นผู้ที่มีโอกาส
ดีกว่าคนอื่นๆ ในการฝึกนิสัยการฟังท่ีดีให้แก่เยาวชนที่จะเป็นผู้นาของชาติในอนาคตครูไม่ควรมองข้ามความสาคั ญ
ของการฟงั ไป ควรระลกึ ไว้เสมอว่า การฟังมีความสาคัญเท่าๆ กับการพูด การอ่านและการเขียน ถ้าผู้ฟังรู้จักฟัง
แล้วการฟังก็จะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าผู้ฟังไม่รู้จักการฟัง ผู้ฟังก็จะไม่ได้รับผลอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้าม
บางครง้ั กอ็ าจจะมโี ทษอันร้ายแรงเกิดขน้ึ อีกดว้ ย

(ฉัตรวรณุ ตนั นะรตั น์ ๒๕๑๙,๖๘)
๔) ใจความสาคญั อยตู่ ้นและทา้ ยย่อหน้า
ศิลปวัฒนธรรมในบ้านเมืองเรามักจะสอดคล้องกับการดาเนินชีวิตประจาวัน ตัวอย่างบางคนชอบปลูกไม้
ดอกไมผ้ ล เม่อื เกดิ ดอกออกผลก็ช่ืนใจ เกิดความคิดที่จะทาดอกผลนั้นให้งดงามน่าดูย่ิงขึ้น จึงมีผู้นาผลไม้มาประดิษฐ์
ลวดลาย แล้วจัดวางในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทานลวดลายนั้นเกิดจากการตัด ผ่า ปอก คว้านและ
แกะสลัก ส่วนไม้ดอกที่ออกดอก ก็นามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่มหรือปักลงในแจกันก็ได้
ตามแต่จะเห็นงาม ชวี ติ ชาวไทยกับศิลปะความงามจึงแยกกนั ไมอ่ อก

(การเตรยี มเพื่อการพดู และการเขียน, ฉตั รวรณุ ตนั นะรัตน์)

ใบงาน เรือ่ ง ตาแหน่งประโยคใจความสาคญั ของย่อหน้า
หนว่ ยที่ ๑ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 8 เร่ือง การอา่ นจบั ใจความสาคัญ (3)
รายวิชาภาษาไทย รหัส ท๒๒๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒

คาชีแ้ จง: ขดี เสน้ ใต้ประโยคใจความสาคัญแตล่ ะย่อหน้า
๑. ดนตรไี ทยเป็นสญั ญาณบอกถึงการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ในพิธีกรรม เช่น ในงานทาบุญเล้ียงพระ
เม่ือเพลงโหมโรงเช้าดังข้ึน ก็จะทราบกันว่าพระมาถึงแล้ว เวลาพระจะกลับปี่พาทย์ก็บรรเลงเพลง
กราวรา ในการเทศนม์ หาชาติ ถา้ เลน่ เพลงเซ่นเหล้าก็แสดงว่าจบการเทศน์กัณฑ์ชูชก แต่ละกัณฑ์จะ
มีเพลงประจา เพลงเป็นส่ิงที่บอกให้เจ้าของกัณฑ์ต่อไปได้เตรียมตัวด้วยหรือในงานพระราชพิธี ถ้า
แตรสังข์ดงั ขึน้ กแ็ สดงวา่ พระเจา้ อยู่หัวเสด็จแล้ว ถ้าจะทรงลุกไปจุดเทียน ป่ีพาทย์ก็จะบรรเลงเพลง
สาธกุ าร ดงั นน้ั ไมว่ ่าพิธกี รรมตามขัน้ ตอนของชีวิต พิธีทางศาสนาหรือพระราชพิธีจะมีดนตรีไทยเป็น
เครอ่ื งบอกลกั ษณะ หรือข้นั ตอนในพธิ เี สมอ

(มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช ๒๕๒๓,๗๔)

๒. ในสงั คมไทยมกี ารละเลน่ มากมายหลายประเภทให้เดก็ ๆ ได้เล่นกันเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน
เรามีการละเล่นของเด็กหญิง เช่น อีตัก ขายของ มีการละเล่นของเด็กชาย เช่น ลูกหิน ทอยกอง
มีการละเล่นที่เล่นเป็นกลุ่ม เช่น มอญซ่อนผ้า โพงพาง เช้าๆ อยู่ในบ้านเด็กๆ ก็เล่นหมากเก็บ
พอเยน็ ๆ แดดร่มลมตกก็ออกไปเล่นว่ิงเป้ียว รีรีข้างสาร ชักคะเย่อ กันบริเวณลานบ้าน การละเล่นนั้น
มีเพลงร้องประกอบ เช่น แม่งู จีจ่อเจี๊ยบ บางชนิดก็ไม่เป็นเพลง เช่น ห่วงยาว ขี่ม้าก้านกล้วย
เด็กๆ ในสังคมไทยจะไม่ ”เหงา" เพราะมีของให้เล่น อยู่คนเดียวก็เล่นได้เช่น ไปเก็บใบไม้มาเล่น
ขายของ ถ้ามีเพื่อนสักคนก็เล่นแมงมุม เล่นจ้าจี้ได้ เล่นเป่ายิงชุ้บได้ ถ้ามีเพ่ือนเล่นหลายคนก็อาจ
ชักชวนกันเลน่ ลิงชงิ หลกั กาฟกั ไข่หรือว่ิงเปีย้ ว

(มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช ๒๕๒๓,๑๙)

๓. หลังจากลิเกบันตนก็เกิดมี ลิเกลูกบท ซ่ึงเกิดจากมีผู้คิดนาเอาการแสดงลิเกเข้าไปผสมกับการ
บรรเลงปี่พาทย์ กล่าวคือในการบรรเลงปี่พาทย์แบบหน่ึงนั้น จะเริ่มร้องและบรรเลงเพลงสามช้ัน
ก่อนเป็นเพลงแม่บท เม่ือจบแล้วจะหาเพลงสั้นๆ มาบรรเลงต่อท้ายเรียกว่า ลูกบท แล้วจึงออกลูก
หมด เป็นอันว่าจบกระบวนในตอนหนึ่ง ในระหว่างที่ป่ีพาทย์บรรเลงเพลงลูกบทซึ่งมักทาเป็นเพลง
ภาษาต่างๆ มีผู้คิดปล่อยผู้แสดงซ่ึงแต่งตัวเป็นทานองเดียวกับลิเกออกภาษามาแสดงประกอบแต่ใช้
ปี่พาทย์รับแทนลูกคู่ท่ีตีกลองรามะนาในลิเกบันตน เม่ือหมดชุดผู้แสดงก็เข้าฉากไป ปี่พาทย์
จะบรรเลงเพลงแม่บทตอ่ ไปใหม่ และเมื่อถึงเพลงลกู บทเป็นภาษาใดก็ปล่อยตัวแสดงออกมาอกี

(มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช ๒๕๒๓, ๑๓๔)

๔. ร้อนจัดหรือเย็นจัดเป็นส่ิงขัดขวางในการรู้รสอย่างมาก ถ้ามิตรไม่เคยกินอาหารร้อนจัดก็แสดงว่า
มิตรไม่เคยรูร้ สอาหารทกุ รสในทานองเดียวกัน ถ้าเราเอาก้อนน้าแข็งวางบนลิ้น ตอนแรกจะรู้สึกเย็น
แตล่ ้ินไม่รู้รสจนกวา่ จะไดร้ ับความอบอนุ่ นน่ั คอื ล้ินจะร้รู สตอ่ เมื่อน้าแข็งที่ใส่บนล้ินละลาย

(วิรยิ ะ สิริสิงห ๒๕๒๕, ๘๔)

๕. เห็นชื่อของโรคท่ีทาให้ตายแล้วคงมีหลายคนไม่รู้จักโรคน้ี แม้พวกหมอเองก็เถอะ น้อยคนท่ีจะเคย
ได้ยินช่ือของโรคนี้ แต่คนที่เคยบวชเคยเรียนมาแล้วก็คงจะพอรู้จักกันบ้าง อีตอนท่ีกระทาพิธี
ขอบวชน้ัน เมื่อเวลาท่ีองค์อุปัชฌาย์ถามว่า "อปมาโร" นาคก็จะต้องตอบว่า "นัตถิ ภันเต" อันว่า
"อปมาโรค" น้ีแปลว่า "ลมบ้าหมู"

(เสนอ อนิ ทรสุขศรี ๒๕๑๔,๘๔)

ใบความรู้ เรือ่ ง ตาแหน่งประโยคใจความสาคญั ของยอ่ หนา้
หนว่ ยที่ ๑ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 8 เรื่อง การอา่ นจบั ใจความสาคญั (3)
รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๒๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒

ย่อหน้าเป็นข้อความตอนหน่ึงอันประกอยด้วยใจความสาคัญอย่างหน่ึง กับเน้ือความ ขยายให้ชัดเจน
ข้อความหนึง่ ย่อหน้าจะกล่าวถึงเร่ืองเรื่องเดียวเท่าน้ัน การฝึกจับใจความสาคัญในแต่ละย่อหน้า จึงเป็นพื้นฐานสาคัญ
ของการจบั ใจความข้อความยาวๆ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี ขอ้ ความหนึ่งย่อหน้าประกอบดว้ ย

๑. ประโยคใจความสาคญั หรือประโยคหลกั ที่สรุปความคิดของข้อเขียนตอนนั้นไวท้ ั้งหมดประโยคทานอง
นีจ้ ะอยู่ส่วนใดของย่อหน้าก็ได้ แต่ที่นิยมมากคือ อยู่ต้นหรือท้ายย่อหน้า อย่างไรก็ตามข้อเขียนบางย่อหน้าอาจไม่มี
ประโยคใจความสาคัญเลยกไ็ ด้ ในกรณีน้ผี อู้ า่ นจะต้องสรปุ ใจความสาคัญเอง

๒. ประโยคขยายความ เป็นข้อความขยายสนบั สนุนประโยคใจความสาคญั ใหช้ ดั เจนข้ึน
ตัวอยา่ ง

๑) ใจความสาคัญอยู่ตน้ ยอ่ หนา้
ความแตกต่างของมนุษย์และสัตว์อีกประการหนึ่งที่เห็นเด่นชัด คือเร่ืองของการใช้ภาษา มนุษย์สามารถ
ถ่ายทอดความรู้ความคิดออกมาเป็นตัวเขียน คือ เป็นภาษาหนังสือสาหรับให้ผู้อื่นอ่านและเข้าใจตรงตามที่ต้องการ
แต่สัตว์ใช้ได้แต่เสียงเท่านั้นในการส่ือสาร แม้แต่เสียงหลายท่านก็ยังมีความเห็นว่าสัตว์จะทาเสียงเพ่ือแสดง
ความรู้สึก เช่น โกรธ หิว เจ็บปวด เท่าน้ัน เสียงของสัตว์ไม่อาจส่ือความหมายได้ละเอียดลออเท่าภาษาพูดของ
มนษุ ย์

(จันทร์ศรี นิตยฤกษ์ ๒๕๒๕,๔-๕)
๒) ใจความสาคัญอยู่ท้ายย่อหน้า
ภายในวงงานศิลปะประเภทหน่ึงๆ มีรูปแบบของศิลปะนั้นแยกออกไป จิตรกรรมก็มีการวาดและระบายสีบน
ฝาผนัง วาดเป็นเส้นบนกระดาษ วาดและระบายเป็นภาพเล็กเป็นภาพใหญ่เป็นรูปคนรูปภูมิประเทศและอ่ืนๆ
วรรณคดีก็เข้าในลักษณะนี้ รูปแบบของวรรณคดีไทยก็มีหลายแบบ ถ้านับวรรณคดีต่างประเทศท่ัวโลกก็มีรูปแบบ
เกอื บจะนบั ไม่ถว้ น คณุ ภาพของวรรณคดีข้ึนอยู่กับรูปแบบจะมีความดีหรือความบกพร่องภายในวงของรูปแบบแต่ละ
รูปแบบ การพจิ ารณาวรรณคดีจงึ เป็นไปตามรปู แบบแต่ละรูปๆ นั้น

(บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ๒๕๑๗,๒)
๓) ใจความสาคญั อยกู่ ลางย่อหนา้
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า การที่จะเป็นผู้ฟังท่ีดีได้น้ันจะต้องมีการฝึกฝนจนเรียนรู้ ฉะน้ันครูจึงเป็นผู้ที่มีโอกาส
ดีกว่าคนอื่นๆ ในการฝึกนิสัยการฟังท่ีดีให้แก่เยาวชนที่จะเป็นผู้นาของชาติในอนาคตครูไม่ควรมองข้ามความสาคั ญ
ของการฟงั ไป ควรระลกึ ไว้เสมอว่า การฟังมีความสาคัญเท่าๆ กับการพูด การอ่านและการเขียน ถ้าผู้ฟังรู้จักฟัง
แล้วการฟังก็จะมีประโยชน์มาก แต่ถ้าผู้ฟังไม่รู้จักการฟัง ผู้ฟังก็จะไม่ได้รับผลอะไรเลย แต่ในทางตรงกันข้าม
บางครง้ั กอ็ าจจะมโี ทษอันร้ายแรงเกิดขน้ึ อีกดว้ ย

(ฉัตรวรณุ ตนั นะรตั น์ ๒๕๑๙,๖๘)
๔) ใจความสาคญั อยตู่ ้นและทา้ ยย่อหน้า
ศิลปวัฒนธรรมในบ้านเมืองเรามักจะสอดคล้องกับการดาเนินชีวิตประจาวัน ตัวอย่างบางคนชอบปลูกไม้
ดอกไมผ้ ล เม่อื เกดิ ดอกออกผลก็ช่ืนใจ เกิดความคิดที่จะทาดอกผลนั้นให้งดงามน่าดูย่ิงขึ้น จึงมีผู้นาผลไม้มาประดิษฐ์
ลวดลาย แล้วจัดวางในภาชนะให้มองดูแปลกตาน่ารับประทานลวดลายนั้นเกิดจากการตัด ผ่า ปอก คว้านและ
แกะสลัก ส่วนไม้ดอกที่ออกดอก ก็นามาผูกมัดเป็นช่อบ้าง เป็นพวงเป็นพู่บ้าง เสียบเป็นพุ่มหรือปักลงในแจกันก็ได้
ตามแต่จะเห็นงาม ชวี ติ ชาวไทยกับศิลปะความงามจึงแยกกนั ไมอ่ อก

(การเตรยี มเพื่อการพดู และการเขียน, ฉตั รวรณุ ตนั นะรัตน์)

แบบฝึกทกั ษะการอา่ นจับใจความสาคญั
หนว่ ยที่ ๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ ๘ เรอ่ื ง การอา่ นจับใจความสาคญั (๓)
รายวิชาภาษาไทย รหัส ท๒๒๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๒

ตอนที่ ๑ คาสง่ั จากข้อความต่อไปนี้ ใหน้ ักเรยี นแยกประโยคท่เี ป็นใจความสาคญั ของเรื่อง
๑. ชีวิตของคนเมืองหลวงในปัจจุบัน มีแต่ความเคร่งเครียดและเร่งรีบในการปฏิบัติภารกิจ ต่าง ๆ ใน

ชีวิตประจาวัน ทาให้บางคร้ังรับประทานอาหารไม่เป็นเวลาหรือไม่ได้รับประทานอาหาร ตรงตามมื้ออาหาร
บางคนต้องงดเว้นอาหารบางมือ้ ไปก็มี ปัญหาเหล่านี้ทาให้ร่างกายไม่ได้รับ พลังงานและสารอาหารที่ต้องการ
อย่างเพียงพอในแต่ละวัน อันมีผลกระทบต่อสุขภาพทาให้ ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ เกิดภาวะติดเชื้อโรคได้
ง่าย และเกดิ เจบ็ ป่วยการรบั ประทานอาหารไมค่ รบ ทุกมื้อนับวา่ มโี ทษตอ่ สขุ ภาพอยา่ งยง่ิ

ใจความสาคัญ......................................................................................................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................................................................................................................................

๒. อาหารม้ือหลักท่ีไม่ควรงดก็คือ อาหารมือเช้า เนื่องจากตอนเช้าเป็นการเร่ิมต้นทากิจกรรมต่าง ๆ ใน
ชวี ิต อาหารมอ้ื เช้าจะทาให้ร่างกายได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างเพียงพอ สามารถปฏิบัติงานในแต่ละวัน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากน้ีระยะเวลาระหว่างม้ือเย็นกับมื้อ เช้าห่างกันถึง ๑๒ ชั่วโมง อาหารที่ได้รับ
ประทานต้ังแต่ตอนเย็นจะถูกเผาผลาญเป็นพลังงานจน หมดส้ิน ระดับน้าตาลในเลือดก็ลดต่างลงจึงทาให้
ร่างกายต้องการอาหารเพอ่ื สร้างพลังงานใหม่

ใจความสาคัญ......................................................................................................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................................................................................................................................

๓. สาเหตุสาคัญที่ทาให้หลายคนไม่รับประทานอาหารเช้ามี ๒ ประการ คือประการแรก ไม่รับประทาน
อาหารเช้าเพราะไม่มีเวลาพอ นอนต่ืนสาย ต้องรีบไปโรงเรียนหรือไปทางานจึงไม่ สะดวกและไม่พร้อมในการ
เตรียมอาหารเช้า วิธแี กป้ ัญหานีค้ ือ การท าอาหารท่ีง่าย ๆ สะดวก รวดเร็วไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก เช่น ข้าวไข่
เจียว ไข่ต้ม แซนวิช ฯลฯ ประการท่ีสอง ไม่ รับประทานอาหารเช้าเพราะกลัวอ้วนหรือต้องการลดน้าหนัก
วิธแี กป้ ญั หานีไ้ ม่ใชก่ ารงดอาหารม้ือใด มื้อหนึ่ง แต่ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อโดยการควบคุมอาหาร
และให้ได้สารอาหารถูกต้อง ตามหลักโภชนาการ

ใจความสาคญั ......................................................................................................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................................................................................................................................

๔. ผลการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้าทาให้การทางานภายในร่างกายเป็นไปอย่าง มี
ประสิทธิภาพเพราะรา่ งกายไดร้ บั สารอาหารทเ่ี พยี งพอและมรี ะดับนา้ ตาลในเลอื ดอย่ใู นระดบั ปกติ

ใจความสาคญั ......................................................................................................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................................................................................................................................

ตอนท่ี ๒ คาส่งั จงขดี เส้นใต้ประโยคใจความสาคัญจากขอ้ ความทีก่ าหนดให้

๑. ศิลปะแห่งการฟังนั้นไม่ได้หมายถึงการนั่งปล่อยให้ผู้อื่นพูดฝ่ายเดียว การท าเช่นน้ันง่ายเกิน กว่าท่ีจะ
นับวา่ เป็นศิลปะ ศลิ ปะการฟงั จึงหมายถงึ ความสามารถที่จะชกั จงู ผ้พู ดู ใหห้ นั เข้ามาหาเรื่องท่ี เขาถนัด คือแสดง
ใหเ้ หน็ ว่าตนกาลงั ฟงั คาพดู ของเขาดว้ ยความตัง้ ใจ

๒. ประเทศที่พัฒนาแล้วต่างตระหนักกันดีว่า การศึกษาน้ันเป็นเคร่ืองมือในการพัฒนาประเทศ ที่ยอด
เยยี่ มทส่ี ดุ การเรง่ รัดพัฒนาทางวัตถใุ ด, จักลม้ เหลวส้นิ หากประชาชนยังด้อยการศกึ ษา

๓. วัดกับคนไทยมีความเก่ียวพันกันอย่างลึกซึ้งตลอดมา ในสมัยก่อนวัดเป็นทุกสิ่งทุกอย่างใน
ชีวิตประจาวนั เปน็ โรงเรียนอบรมสงั่ สอนเด็ก เปน็ ศาลไกลเ่ กล่ียข้อขัดแยง้ ของผู้ใหญ่

๔. ความสมบูรณ์ของชีวิตมาจากความเข้าใจชีวิตเป็นพ้ืนฐาน คือเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความ เป็นมนุษย์
และความสัมพันธ์ที่เก้ือกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ มีความรัก ความเมตตาต่อ
เพอ่ื นมนษุ ย์และธรรมชาติอยา่ งจริงใจ

๕. ความเครยี ดทาใหเ้ พ่ิมฮอรโ์ มนอะดรีนาลนี ในเลือด ทาให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดบีบตัว กล้ามเนื้อเขม็ง
ตึง ระบบย่อยอาหารผิดปกติและเกิดอาการปวดหัว ปวดท้อง ใจส่ัน แข้งขา อ่อนแรง ความเครียดจึงเป็น
ตัวการท่ีเร่งให้แก่เรว็

๖. สารอาหารในข้าวกล้องจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยปูองกันโรคอ้วน ข้าวกล้องมีสาร เส้นใย
มากกวา่ ข้าวขาว ๘ เทา่ ข้าวกลอ้ งจะช่วยดดู ซับไขมนั และน้าตาลในอาหาร แล้วขับออกมาเป็น กากอาหาร ทา
ใหไ้ ขมนั และน้าตาลซมึ เข้ากระแสเลอื ดน้อยลง

๗. ปลาทจู ากจงั หวดั สมุทรสงครามหรือแม่กลองกินอร่อยกว่าปลาทูน่านน้าอื่น เพราะนวลดิน และระบบ
น้า บรเิ วณก้นอา่ วไทยแถบจังหวดั สมุทรสาครและสมุทรสงครามโดยเฉพาะบริเวณปากน้าและก้นอ่าวแม่กลอง
จะเป็นดนิ เลนรว่ นซุยซ่งึ มีนวลดนิ ท่ีทาใหป้ ลาทูอรอ่ ย

๘. คนโบราณท่านแบง่ การปกครองในบา้ นไวด้ ังน้ีคอื สามเี ปน็ ใหญน่ อกบา้ น ซึ่งหมายความว่า สามีเป็นผู้มี
ภาระหน้าทีท่ างานภายนอกบ้านเป็นงานอาชีพหาเงินเล้ยี งครอบครวั ส่วนภรยิ าเป็นใหญ่ในบ้าน ซ่ึงหมายความ
ถึงผู้รับผิดชอบในการปกครองดูแลกิจการในบ้านซึ่งเป็นพวกการบ้านงานครัว น่ันเองหรือ “ สามีเป็นผู้หา
ภรยิ าเปน็ ผู้เก็บ ( เงิน )” การแบ่งหนา้ ที่ของสามแี ละภริยากนั เชน่ นีท้ าให้ คนแตก่ ่อนอยูด่ ว้ ยกนั อยา่ งสนั ติสขุ

ใบงาน เรือ่ ง การอ่านสรุปความ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๑ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๙
เรือ่ ง การอา่ นสรปุ ความ รายวชิ า ภาษาไทย รหัส ท๒๒๑๐๑ ภาคเรียนท่ี ๑ ชน้ั มัธยมศึกษาท่ี ๒

คาชี้แจง นกั เรียนอ่านบทความแลว้ เขยี นสรปุ ความโดยเรียบเรียงใจความให้สละสลวย ลายมอื อา่ นง่าย
สวยงาม

เรือ่ ง ประดบั เมืองเหลอื งอร่ามวันเฉลิมฯ

พล.ต.อ.อัศวนิ ขวญั เมอื ง ผูว้ า่ ราราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อม
งานวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในวันที่ ๒๘ ก.ค.
๖๑ โดยกลา่ ววา่ กทม. ได้ปรบั ปรุงภมู ิทัศน์ท้องสนามหลวงและรอบเกาะรัตนโกสินทร์เพื่อเตรียมงานวันเฉลิม
พระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดยพื้นท่ีท้องสนามหลวงนั้น
กทม. ด้าเนนิ การปรบั ปรงุ พืน้ ที่และปรบั ระดบั พ้ืนดนิ งานวางระบบระบายน้าใต้พื้นท้องสนามหลวง.........

(ท่ีมา: นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันองั คารที่ 17 กรกฎาคม 2561 หนา้ 14)

วธิ สี รปุ ความ
ใคร

………………………………………………………………………………………………………………………
ทา้ อะไร

………………………………………………………………………………………………………………………
เมอื่ ไร

………………………………………………………………………………………………………………………
อยา่ งไร

………………………………………………………………………………………………………………………
สรปุ ความได้ ดังนี้
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ใบความรู้ เรอ่ื ง การอ่านสรปุ ความ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๑ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๙
เรื่อง การอ่านสรุปความ รายวชิ า ภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ชนั้ มัธยมศกึ ษาที่ ๒

การอา่ นสรุปความ

การสรุปความ หมายถงึ การรวบรวมนาใจความสาคัญของเรือ่ ง มาเรียบเรยี งใหม่แบบส้ันๆ โดยใช้
สานวนภาษาของตนเองโดยคลอบคลมุ เน้ือหาทง้ั หมด สรุปขอ้ ความทอี่ ่านให้ตรงกับจดุ มุ่งหมายของเน้ือเรอื่ งที่
ทาให้ผอู้ ่านเข้าใจ

วิธีการอ่านสรุปความ
๑. อา่ นรอบแรกดชู ่ือเรือ่ งก่อน แลว้ อ่านโดยมีคาถามในใจว่า ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เม่ือไร อย่างไร ผล

เป็นอยา่ งไร ข้อความใดสาคัญให้ขีดเส้นใต้ไว้
๒. อ่านอีกครั้งดูรายละเอยี ดของเนื้อหา
๓. สามารถอ่านเพิ่มได้จนกว่าจะเขา้ ใจเนื้อหามากยง่ิ ขึน้
๔. ให้สรปุ ใจความสาคญั เพียงใจความเดียวของแต่ละย่อหน้าไว้
๔. นาใจความสาคญั ท่รี วบรวมไวม้ าเขียนเรยี บเรยี งใหม่อย่างละเอียดและสละสลวยโดยใชส้ านวนของ

ตนเอง
๕. ทบทวนการสรุปความอีกครงั้ เพื่อพิจารณาหาสว่ นที่ตอ้ งแก้ไขหรือต้องการเพ่ิมเติม

หลกั การสรุปความจากเร่อื งทีอ่ า่ น
๑. อา่ นเนอื้ เร่อื งที่จะสรปุ ความโดยใหค้ วามสาคัญกบั ชอ่ื เรื่อง ควรใช้เทคนคิ การตัง้ คาถาม เชน่ ใคร

ทาอะไร ท่ีไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ผลเป็นอยา่ งไร หลังจากท่ีอา่ นจบแล้ว
๒.หาใจความสาคญั ของแต่ละย่อหน้า
๓.นาใจความสาคญั ที่ไดม้ าเรียบเรียงให้ตอ่ เน่ืองกนั โดยควรรักษาเน้ือความเดิมของแตล่ ะยอ่ หน้าไว้

แตอ่ าศยั การใช้คาเชอ่ื มเพื่อความสละสลวย และตอ่ เนื่องสัมพนั ธก์ นั
๔. อ่านทบทวนและแกไ้ ขหากพบวา่ เนอื้ ความยังไม่มีความต่อเน่อื งสัมพนั ธ์กนั หากพบใจความซ้าซ้อน

ควรตัดออก
๕.การสรปุ ความสามารถนาเสนอได้ท้ังในรูปแบบของการเขียนและการพูด

ตัวอยา่ งการสรปุ ความ
เรื่อง ลดอ้วน (ได้) โดยไมพ่ ึ่งยา

ยุคปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ยาลดความอ้วน ที่โฆษณาเกินจริง ว่ากินแล้วทาให้หุ่นดี

นา้ หนกั ลด ซงึ่ ทาให้ประชาชนบางคนหลงเชื่อแบบผดิ ๆ จนสง่ ผลกระทบต่อสขุ ภาพตามมา

ทั้งๆ ทีจ่ รงิ ๆ แลว้ การลดนา้ หนักเพื่อแกป้ ญั หาโรคอ้วนท่ีดีท่ีสุด ควรเน้นวิธีการทางธรรมชาติซ่ึงเป็น

วิธีท่ีเหมาะสมกับทุกคน คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินด้วยการควบคุมปริมาณและชนิดของอาหาร

ควบคู่กบั การออกกาลังกาย

(ที่มา: นติ ยสารกุลสตรี ฉบับท่ี ๑๑๑๘ ปีท่ี ๔๘ มถิ นุ ายน ๒๕๖๑ หน้า ๑๔ )

วิธสี รุปความ

ใคร ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

ทาอะไร ยาลดความอ้วน

เมื่อไร ยคุ ปจั จบุ ัน

อย่างไร โฆษณาเกนิ จริง

ผลเปน็ อย่างไร ประชาชนบางคนหลงเชือ่ แบบผดิ ๆ

สรุปความได้ ดงั น้ี

ผลติ ภณั ฑ์อาหารเสริมยาลดความอ้วน ในยคุ ปัจจุบนั ได้โฆษณาเกินจรงิ ทาให้ประชาชนบางคนหลงเชอื่

แบบผิดๆ

ใบงาน เรอื่ ง การเขยี นสรปุ ความ
หน่วยท่ี ๑ แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 10 เรอ่ื ง การเขียนสรปุ ความ
รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑ ภาคเรียนที่ ๑ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒

ตอนท่ี 1 อ่านเร่ืองแล้วตั้งคาถาม และเขียนคาตอบ “ใคร อะไร ที่ไหน เม่ือไร ทาไม อย่างไร” ลงในมือ
นักสรปุ ความและสรปุ ความเรื่องท่อี ่าน

เรื่องบ้านโป่ง’ราลึก 52 ปีพระบารมีปกเกล้า
เมอ่ื เวลา 09.00 น. วนั ท่ี 13 กนั ยายน 2549 ท่อี าคารเฉลิมพระเกยี รติ เทศบาลเมอื ง
บา้ นโป่ง จ. ราชบุรี นายธนน เวชกรกานนท์ รองผูว้ ่าราชการจังหวัดราชบุรี เปน็ ประธานเปิดงาน
“52 ปี พระบารมปี กเกลา้ ชาวบา้ นโปง่ ”
นายธนน เปดิ เผยวา่ อ. บ้านโปง่ เป็นอาเภอใหญแ่ ละเป็นศนู ยก์ ลางของอตุ สาหกรรมด้านอู่
ต่อรถยนต์ประดับยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม และยังเป็นแหลง่ เพาะพันธป์ุ ลาสวยงามปอ้ นตลาดทัง้
ในและตา่ งประเทศ อีกทัง้ ยังเปน็ เมืองประวัตศิ าสตร์ “ครง้ั หน่งึ เมอื่ วนั ท่ี 13 กันยายน 2497
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ได้เสด็จพระราชดาเนินเป็นการส่วนพระองค์ เพอื่ เยย่ี มเยียน
ราษฎร อ.บา้ นโป่ง ผ้ปู ระสบภัยพบิ ัติจากเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ท่สี ุดในประวตั ศิ าสตร์ นับเป็น
พระมหากรุณาธิคุณท่ีมีตอ่ ประชาชนชาวบ้านโป่งอย่างมาก ในการนที้ างภาคราชการประชาชนจงึ
ร่วมกนั จัดงานข้นึ ดังกล่าว”

(หนงั สือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบบั วนั ท่ี 14 กันยายน 2549)

อะไร
ี่ทไหน

อย่างไร

……………………………………………………..
……………………………………………………….
………………………………………………………………..

สรปุ ความ………………………………………………….
…………………………………………………………..……
……………………………………………………………….

………………………………………………………………………

ตอนที่ 2 สรุปความโดยบอกความหมายของถ้อยคา สานวน และเจตนาของผ้สู ง่ สารได้

คาชแี้ จง
ใหน้ ักเรียนอา่ นคาประพันธ์ตอ่ ไปน้แี ลว้ สรุปความ
ชุดที่ 1

เพ็ญพระจันทร์นัน้ สวา่ งแต่ข้างขึน้
กระต่ายมนึ เมาเพ็ญจนเปน็ บา้
อนั ทรามวยั ใสสุกทกุ เวลา
น้าใจข้าเมามืนทงั้ ขน้ึ แรม

(นทิ านเวตาล)
เขียนสรปุ ความ...................................................................................................................................
............................................................................................................................................................

ชุดที่ 2

“ผมมนี า้ ผง้ึ ในปาก แตไ่ ม่มมี ดี ในหัวใจ

(รงค์ วงษ์สวรรค์)

เขยี นสรปุ ความ...................................................................................................................................
............................................................................................................... .............................................

ใบความรู้ เรือ่ ง การเขยี นสรุปความ
หน่วยที่ ๑ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๗ เรอื่ ง การอ่านจับใจความสาคัญ รายวชิ าภาษาไทย รหสั ท๒๒๑๐๑

ภาคเรยี นท่ี ๑ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒

การสรุปความ
การฝึกอ่านแล้วเขียนสรุปความช่วยให้ผู้อ่านมีความเข้าใจในการอ่านยิ่งข้ึน การสรุปความเป็น

การแยกแยะเน้ือหาท่ีอ่านออกเป็นสาระสาคัญ และรายละเอียดของเร่ือง แล้วพิจารณาเฉพาะสาระสาคัญ
นามาพูดหรือเขยี นเป็นข้อความส้ันๆ ท่ีสามารถถ่ายทอดให้ผ้อู ื่นเขา้ ใจ

วธิ กี ารเขยี นสรปุ ความ มีขน้ั ตอนการเขยี นสรปุ ความดังน้ี
1) ขน้ั อ่าน อ่านข้อความหรอื เรื่องราวใหต้ ลอดเร่ือง
2) ขั้นคิด ตั้งคาถามสั้นๆ เพ่ือทดสอบความเข้าใจ โดยต้ังคาถามกับตัวเองเก่ียวกับจุดสาคัญของเรื่อง

ไดแ้ ก่
 เรอ่ื งอะไร ใครเป็นผเู้ ขียน มคี วามว่าอย่างไร
 ใคร อะไร ท่ีไหน เมอ่ื ไหร่ อยา่ งไร ทาไม
 สาระสาคัญของเรื่องจะสัมพันธ์กับหัวข้อเรื่องมากท่ีสุด ส่วนรายละเอียดจะ
สัมพันธ์กับสาระสาคัญอีกต่อหนึ่ง คาถามท่ีจะต้ังจึงควรถามหาสาระสาคัญ ซึ่งเป็นจุดสาคัญ
ของเร่อื ง

3) ขั้นเขยี น เรยี บเรยี งสาระสาคญั ของเรอ่ื งมาสรปุ ความโดย
 นาสาระสาคัญท่ีจดบนั ทึกไวแ้ ตล่ ะตอนมาเรียบเรียงใหม่
 เขียนด้วยสานวนของตนเอง ใช้ภาษาให้ถูกต้อง กระชับ
 คาสรรพนามที่ใชใ้ หเ้ ปลย่ี นเปน็ บรุ ุษท่ี 3
 คาทย่ี ากและยาวในเรือ่ งเดิมควรเปลยี่ นใชค้ าธรรมดาท่ที ุกคนเข้าใจงา่ ย
 ประโยคสัน้ ๆ ทกุ ประโยคตอ้ งเชอ่ื มโยงกนั โดยอาจใช้บพุ บท สันธาน หรอื วลมี าเช่ือม

4) ข้นั ตรวจ สอบการเขียนสรปุ ความเมื่อเขยี นเสรจ็ แล้วควรทบทวน ดังนี้
 มีสารสนเทศสาคญั ครบถ้วน โดยเปรียบเทยี บกับเร่ืองเดิม
 ใชป้ ระโยคสมบูรณห์ รือไม่ มรี ายละเอียดของเร่อื งความติดมาบา้ งหรือไม่
 มีขอ้ ความใดทผ่ี ดิ เพย้ี นไปจากเรอื่ งเดิมบ้าง
 ประโยคตา่ งๆ เชื่อมโยงดว้ ยถ้อยคาท่ีเหมาะสม
 หลกั ภาษา และการสะกดคาถูกต้อง

ใบความรู้ เรอ่ื ง การอ่านวเิ คราะห์และประเมนิ ค่างานประพนั ธ์
หนว่ ยท่ี ๑ แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 11 เรือ่ งอา่ นวิเคราะห์และประเมินคา่ วรรณกรรม

รายวชิ าภาษาไทย รหัส ท๒๒๑๐๑ ภาคเรยี นท่ี ๑ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๒

การอ่านวิเคราะ ห์เป็นกระบว นการที่ดาเนินต่อเนื่องภ ายในส มองมนุษย์ โ ดยอาศัยความรู้ทางภาษา
ประสบการณ์ตลอดจนวิจารณญาณของผู้อ่าน เป็นการอ่านที่ต้องใช้สติปัญญาสูงกว่าการอ่านจับใจความ คือ
ต้องอ่านอย่างพิจารณา ไตร่ตรองแยกแยะหาเหตุผล เพ่ือให้เข้าใจเจตนาของผู้เขียน และเข้าใจเนื้อเร่ือง
อันจะส่งผลให้เป็นผู้ได้รับความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีเหตุผล และสามารถนาประโยชน์จากการอ่านไปใช้ใน
การดาเนินชวี ิตได้

ประเมินค่า คือ การประเมินค่าเป็นการตัดสินความถูกต้องเที่ยงตรงและคุณค่าของเรื่องท่ีอ่านว่าถูกต้อง
ชัดเจนหรอื ไม่ เชอื่ ถือได้มากนอ้ ยเพยี งใด มีคณุ ค่าหรอื ไม่ อย่างไร โดยพิจารณา เน้ือหา วิธีการนาเสนอ และการใช้
ภาษา การประเมินค่า จึงต้องทาอย่างผู้มีสติปัญญา คือจะต้องมีข้อมูล หลักเกณฑ์ และเหตุผล การประเมินค่า
อาจพิจารณาตามประเภท

การวเิ คราะหง์ านประพนั ธ์แบ่งเป็นขัน้ ตอน ดังนี้

1. ดูรูปแบบงานประพันธ์น้ันว่าเป็นงานประเภทใด
2. แยกเน้อื หาออกเป็นสว่ นๆ ใหเ้ หน็ ว่า ใครทาอะไร ทีไ่ หน อย่างไร เม่ือไร
3. แยกพจิ ารณาแต่ละสว่ นให้ละเอยี ดว่าประกอบกนั อยา่ งไร หรอื ประกอบด้วยอะไรบ้าง
4. พจิ ารณาวา่ ผู้เขยี นใช้กลวิธีอยา่ งไรในการนาเสนอเรือ่ ง
เกณฑใ์ นการเลือกวรรณกรรม
1. การเลือกวรรณกรรมท่ีมีเนื้อหาสาระตรงกับความสนใจและความต้องการ ผู้อ่านจะต้องถามตัวเอง
ว่าต้องการอา่ นอะไร อา่ นทาไม หรืออา่ นเพือ่ อะไร
2. การเลอื กวรรณกรรมที่ดีท่ีมคี ุณคา่ ควรคานงึ ถึงหวั ขอ้ ต่อไปน้ี

2.1 เนื้อหาความดี หมายถึง วรรณกรรมท่ีผู้แต่งมีความมุ่งหมายในการแต่งดี และมีความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ ความมุ่งหมายที่ว่าดีคือ ความคิดบริสุทธ์ิ คานึงความถูกต้อง ความดีงาม ความเป็นธรรม ไม่มอมเมา
ให้ผู้อ่ืนหลงผิด ส่วนความคิดริเริ่มสร้างสรรค์คือ ความคิดท่ีมุ่งประโยชน์เพื่อยกระดับจิตใจของผู้อ่านให้ตระหนัก
ในคณุ ธรรม ความดี ความถูกตอ้ ง ยุตธิ รรม

2.2 กลวธิ ีในการแตง่ ดี โดยพิจารณาจากการใช้ภาษาและองค์ประกอบอ่ืนๆ คือ
2.2.1 ถูกตอ้ งตามลกั ษณะภาไทย
2.2.2 สอ่ื ความหมายไดต้ ามตอ้ งการ
2.2.3 มีความเหมาะสมประการตา่ งๆ คอื ใชภ้ าษาเหมาะสมกบั ผู้อ่าน
2.2.4 ใชภ้ าษาอย่างละเอยี ด
2.2.5 เลอื กวธิ ีเขียนเหมาะสมกับประเภทหนังสอื และเนือ้ หา
2.2.6 เลอื กใช้สว่ นระกอบของเน้ือหาอย่างเหมาะสม
2.2.7 การจัดระบบดี คอื ระบบจาแนกหัวข้อ การใชข้ นาด

และตัวอักษร ความถูกต้องชัดเจนในการพิมพ์ รวมทัง้ การจดั หน้าละรปู เล่ม

บทรอ้ ยสำหรับกำรอำ่ นเพือ่ ประเมนิ คำ่

“ท่งุ ขำ้ ว”

ทุ่งขำ้ วเขยี วขจี สีสดชนื่ ระรื่นลมไหว
ปปู ลำมำเล็มไคล นำใสใตส้ นั ตะวำ
แมลงน้อยนดิ ไร้เดยี งสำ
สำหร่ำยชดู อกกระจดิ ริด แมงมุมตังท่ำตะครบุ กนิ
เกำะดอกหญ้ำบนคันนำ แววตำหม่นหมองไม่สิน
เกำะกินเลือดล้นพุงกลวง
ควำยเคียวเอืองนอนหนอง เสมือนนำบนใบบวั หลวง
เหลือบลนิ วนเวยี นบนิ เลอื ยไปล้วงรูปูนำ

กบเขียดร้องเสยี งใส จิกปลำกินเกำะกิ่งหวำ้
งูอะไรสเี งนิ ยวง แสงแดดกล้ำก่ึงกลำงวัน
เขำ้ รม่ ไม้ชำยคำประหนึ่งสวรรค์
ยำงยูงขำวถลำบนิ ชวนกนั นัง่ ล้อมวงกิน
เงำเมฆสหี ม่นลอยมำ แกลม้ ยอดหว้ำหว่นั ใจถวลิ
คอื ถ่ินท่งุ ทองของไทยเอย
ถอนกล้ำมำเหนือ่ ยเม่ือยลำ้
แกห้ อ่ ข้ำวออกวำงพลนั

นำพริกเจอื แมงดำ
วำ่ สวรรคใ์ นแคว้นแดนดนิ

โดย องั คาร กลั ยาณพงศ์

เพยี งสามคา

ความสุขของคนเรานั้น บางทีก็เกิดจากสิ่งง่ายๆ คือเกิดจากความคิด ความเข้าใจของตัวเอง สาคัญอยู่

ท่ีว่าคิดอย่างไรเท่าน้ัน “ปณิธาน” ได้ฟังนิทานมาเร่ืองหนึ่งเป็นเรื่องท่ีน่าคิด จึงจะขอนามาเล่าสู่กันฟัง

ดังตอ่ ไปน้ี

การดังได้สดับมา มีชายนายหน่ึงเดินทางร่อนเร่กระเซอะกระเซิงเข้าไปในเมืองหลวงของประเทศหนึ่ง

ตะแกตื่นตาตื่นใจในความงามของเมืองเป็นอันมาก เดินชมเมืองอย่างเพลิดเพลินไม่นานก็มาหยุดยืนอยู่หน้า

บา้ นๆ หน่ึง ซ่ึงสวยงามในใจของตะแกก็คิดว่า“บ้านใครหนอช่างสวยงามอะไรอย่างนี้ เราน้ีตายแล้วเกิดใหม่ก็คง

ไม่มีวันไดม้ ีบ้านสวยงามเช่นนี้แน่” ขณะทยี่ นื ราพึงอยู่ก็มีคนเดินผ่านมากลุ่มหนึ่ง ตะแกก็ร้องถามคนกลุ่มนั้นว่า

“พอ่ เอย๋ ช่วยบอกฉนั ท่ไี ดไ้ หมว่าใครเป็นเจา้ ของบา้ นงามหลังน้ี” แตห่ ามีใครฟังเข้าใจไม่ คนหน่ึงในกลุ่มน้ันก็พูด

อะไรออกมา ๒–๓ คา ซ่งึ ตะแกก็ฟังไม่เข้าใจก็นึกว่าเขาบอกช่ือเจ้าของบ้านก็ขอบใจเขาแล้วก็เดินต่อไป สักพัก

ใหญ่ก็เดินมาถึงท่าเรือ เห็นเรือลาใหญ่ทอดสมออยู่ท่ีท่าประมาณราคาแล้วก็เป็นมูลค่าอเนกอนันต์ ตะแกก็ยืน

ราพึง“อุแม่เจ้า ใครหนอเป็นเจ้าของเรือลาน้ี เราตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่มีวันรวยได้อย่างนี้” พอดีมีคนกลุ่มหน่ึง

เดินผ่านมาตะแกก็รอ้ งถามเขาไปอีกว่า ใครเป็นเจา้ ของเรือลานน้ั คนกลมุ่ นัน้ ไม่เข้าใจวา่ แกถามว่าอะไร จึงตอบ

ด้วยคา ๒–๓ คาเหมือนคนกลุ่มแรกตอบ ตะแกได้ยิน ๒–๓ คาน้ันซ้าอีกก็เข้าใจว่าเป็นชื่อเจ้าของเรือ จึงนึกว่า

“บุญอะไรของท่านหนอ จึงมีบ้านสวยและเรือสินค้าใหญ่โตเช่นน้ี” แล้วก็เดินต่อไปอีกครู่ใหญ่ก็เห็นขบวนแห่

ศพมาตามถนน ดูจะเป็นศพของคนม่ังมีเพราะมีขบวนยืดยาว ก็ตะโกนถามว่าเป็นศพของใคร คนกลุ่มนั้นฟัง

คาถามของแกไม่รู้เรือ่ งก็ตอบด้วยคา ๒–๓ คาเหมือนคนกลุ่มก่อนๆ ตะแกก็เข้าใจว่าเป็นช่ือของผู้ตาย จึงราพึง

ในใจว่า “อพิโธ่เอ๋ย ดูทีรึมีบ้านสวย มีเรือสินค้าใหญ่โต แต่กลับไม่ได้มีชีวิตอยู่ช่ืนชมทรัพย์สมบัติเลยน่ีแหละ

หนอ อนจิ จังไมเ่ ทย่ี ง เออ เรานก่ี ็โชคดที ่ียังมีชวี ติ อยูด่ โู ลกตอ่ ไป ถึงเราจะยากจนไม่มีบา้ นสวย ไม่ร่ารวยอะไรกับ

เขา เรากเ็ ป็นสุขตามประสายาจกของเราแล้ว” คดิ ได้เท่านนั้ ตะแกกผ็ ิวปากอย่างร่าเริงเดินชมกรุงต่อไป โดยหา

ร้ไู มว่ า่ คา ๒–๓ คา ท่ีแกเข้าใจวา่ เปน็ ชอื่ ของบุคคลผ้เู ป็นเจ้าของบา้ นสวยและเปน็ เจา้ ของเรือสินค้าอันมั่งค่ังน้ัน

ทีแ่ ทเ้ ปน็ คาพดู ทีแ่ ปลได้ความว่า “ฉันไม่เขา้ ใจภาษาทีท่ า่ นพดู ”

ความสุขของกระทาชายนายนี้เกิดข้ึนได้ด้วยการท่ีคิดเอาเองจนเกิดปลงตก จิตใจก็มีสันโดษ พอใจใน

สภาพความเป็นอยขู่ องตน เลกิ อจิ ฉาคนท่ีมง่ั มกี ว่า เพราะแกคิดเสียว่าถึงอย่างไร แกก็ยังมีชีวิตอยู่ดีกว่าคนมั่งมี

ที่อายุส้ันเคล็ดลับของการมีความสุขนั้น ท่านว่าอยู่ที่ใจของเราเอง ถ้าใจเราคิดอะไร มองอะไร ในทางดี และ

เกิดความ “พอใจ” แลว้ เราก็หาความสุขไดไ้ มย่ ากนกั ก่อนจบ ขอฝากกลอนส้นั ๆ บทหนึ่งไว้ให้คดิ ดังน้ี

เที่ยวด้นค้นควา้ หาสขุ พบทุกขแ์ ทนทนี่ ไ่ี ฉน

เลิกแสวงสุขหนอพอใจ สขุ ซาบซา่ นในใจเอง

(จากนทิ านประกอบเรียงความ ของ ปณิธาน)


Click to View FlipBook Version