The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงาน โลกนิติ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by potetoyaguza, 2021-12-18 02:25:31

รายงาน โลกนิติ

รายงาน โลกนิติ

รายงาน

เร่ือง
โลกนติ ิ

จัดทำโดย
นายวรราช พันธ์กิจ

รายงานน้ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของรายวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์
ในวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา

ตามหลกั สตู รปรญิ ญารัฐประศาสนศาสตรบณั ฑติ
สาขาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์
วทิ ยาลยั สงฆ์เชียงราย

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
พทุ ธศักราช ๒๕๖4

รายงาน

เร่ือง
โลกนติ ิ

จัดทำโดย
นายวรราช พันธ์กิจ

รายงานน้ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของรายวชิ ารฐั ประศาสนศาสตร์
ในวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา

ตามหลกั สตู รปรญิ ญารัฐประศาสนศาสตรบณั ฑติ
สาขาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์
วทิ ยาลยั สงฆ์เชียงราย

มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
พทุ ธศักราช ๒๕๖4

คำนำ

รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 402 322 รัฐประศาสนศาสตร์
ในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา คณะสังคมศาสตร์ สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 เทียบโอน
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 เพื่อให้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง โลกนิติ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ผู้จัดทำ
ได้ฝึกการศึกษาค้นคว้า และนำสิ่งที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาสร้างเป็นชิ้นงานเก็บไว้เพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษา

เนื้อหาของรายงานเล่มนี้ มีเนื้อหามุ่งเน้นให้นิสิต มีความรู้ความเขาใจ ตลอดจนประยุกต์ใช้
ความรู้ทั้งทางทฤษฎีและวิธีปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหนังสือโลกนิติ ว่ามีที่มาและลักษณะ
ของวรรณกรรม ,เนื้อหาโดยย่อของวรรณกรรม ,หลักรัฐประศาสนศาสตร์ที่ปรากฏในวรรณกรรม
เป็นมาอย่างไร เป็นต้น ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์สำหรับนิสิตและผู้สนใจโดยทั่วไป
หากทา่ นมขี อ้ เสนอแนะหรือข้อคิดเหน็ ประการใด ผู้จัดทำยนิ ดนี ้อมรบั ไว้ด้วยความขอบคณุ อยางยง่ิ

วรราช พนั ธก์ ิจ
24 พฤศจกิ ายน 2564

สารบัญ หนา้

เรือ่ ง ข
คำนำ
สารบญั 1
1. ที่มาและลกั ษณะของวรรณกรรม 1
1
1.1 บทนำ 2
1.2 ประวตั ิโคลงโลกนติ ิ 2
1.3 ลกั ษณะคำประพันธ์
1.4 แผนผังโคลงสีส่ ุภาพ 3
1.5 สรปุ 3
3
2. เน้อื หาโดยยอ่ ของวรรณกรรม 3
4
2.1 บทนำ 4
2.2 จดุ ประสงคใ์ นการแต่ง
2.3 การใช้โวหารภาพพจน์ 5
2.4 คณุ คา่ ดา้ นเนื้อหา 5
2.5 คุณคา่ ด้านสงั คม 5
2.6 สรปุ 13

3. หลกั รฐั ประศาสนศาสตรท์ ี่ปรากฏในวรรณกรรม

3.1 บทนำ
3.2 การนำไปประยุกตใ์ นชีวิตประจำวนั
3.3 คำสอนในโคลงโลกนติ ิ
3.4 สรปุ

บรรณานกุ รม

บทท่ี ๑
ที่มาและลกั ษณะของวรรณกรรม

๑.๑ บทนำ

โคลงโลกนิติเป็นเหมือนวรรณกรรม สุภาษิตที่สอนในเรื่องการทำดี หรือในเรื่องต่าง ๆ โคลงโลกนิติ
มีมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โคลงโลกนิติเป็นสุภาษิตที่บรรพบุรุษของไทยนับถือนำไปเล่าเรียน
สง่ั สอน และประพฤตปิ ฏบิ ัติตอ่ ๆ กนั มา คำสอนนนั้ จะสอนในเรื่องทำดี รจู้ กั ประมาณตน รู้จกั คบเพอื่ น กตัญญู
เป็นตน้

โคลงโลกนิติเริ่มด้วยการยกโคลงแม่บทซึ่งเป็นโคลงที่แต่งถูกต้องตามข้อบังคับ เช่น เอก ๗ โท ๔ ไม่มี
เอกโทษ โทโทษ ไม่มกี ารใช้คำตายแทนเสียงเอก เป็นต้น

โคลงโลกนติ ิ แตง่ ได้ถกู ตอ้ งตามข้อบังคับของโคลง มกี ารใช้คำสมั ผัสใหไ้ พเราะยิง่ ขึ้นโดยใชส้ ัมผสั ระหว่าง
คำสดุ ท้ายของวรรคแรกกบั คำแรกของวรรคหลงั รวมทั้งสัมผัสภายในวรรคด้วย ขณะเดียวกันก็มีวิธีการรวบคำ
เพือ่ ใหถ้ กู ตอ้ งตามข้อบังคับด้วย

๑.๒ ประวัติโคลงโลกนติ ิ

โคลงโลกนติ ิเป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร มที ้งั ทเ่ี ขยี นเป็นภาษา
บาลีและภาษาสันสกฤต ที่เขียนเป็นภาษาบาลี คือ คัมภีร์โลกนิติ (โลกนิติปกรณ์) ธรรมนีติ ราชนีติธรรมบท
ชาดก และที่ไม่ทราบอีก ส่วนที่เขียนเป็นภาษาสันสกฤต คือ จาณักยศตกะ วยาการศตกะ และหิโตปเทศ
ในจำนวนนี้คัมภีร์ที่เป็นที่มาที่สำคัญที่สุด คือ คัมภีร์โลกนิติ ซึ่งได้เป็นที่มาของโคลงโลกนิติถึง ๗๓ บท
(โคลงโลกนิติที่นำมาเรียนมี ๔๒ บท) และที่สำคัญรองลงไปก็คือ คัมภีร์ธรรมนีติ มีข้อสังเกตว่า คาถาใด
ในคัมภีร์โลกนติ ทิ ี่เปน็ ที่มาของโคลงโลกนิติ คาถานั้นมักจะปรากฏอยู่ในคัมภรี ธ์ รรมนตี ิเช่นกัน การที่เป็นเช่นน้ี
ก็เพราะคัมภีร์โลกนิตินั้น ได้รับอิทธิพลมาจากคัมภีร์ธรรมนีติถึงแม้ว่าในบทส่งท้ายของโคลงโลกนิติจะแจ้งว่า
มีจำนวนโคลงทั้งสิ้น ๔o๘ บท แต่เมื่อสอบดูแล้วพบว่ามีเพียง ๔o๒ บท เท่านั้น ในจำนวนนี้ที่ทราบมา
อย่างชัดเจนมีด้วยกันทั้งหมด ๑๕๓ บท ที่สันนิษฐานว่ามาจากคัมภีร์ต่างๆ มี 2๙ บท ที่มีอุปมาอุปไมย
จากชาดกหรือนิทานไทยแท้แต่โบราณมี ๕ บท ที่มีเนื้อความตรงกับวรรณคดีอื่นๆ ๖ บท ที่เกิดจากการ
สร้างสรรค์ของกวีมี ๑o๙ บท ที่ปรากฏคาถาแต่ยังไม่ทราบที่มามี ๒๔ บท และที่ยังไม่ทราบที่มามี ๗๓ บท
นอกจากนี้ก็ยังมีโคลงโลกนิติอีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏในต้นฉบับตัวเขียน แต่ปรากฏอยู่ในประชุมจารึก
วัดพระเชตุพนฯ และประชุมโคลงโลกนิติ ซึ่งกรมศิลปากรเป็นผู้รวบรวม และอ้างว่าเป็นพระนิพนธ์ของ
กรมพระยาเดชาดิศรเช่นกัน ในกลุ่มนี้มีโคลงจำนวน ๓๑ บท ซึ่งสามารถทราบที่มาได้ในบรรดาที่มาของ
โคลงโลกนิตินัน้ สังเกตได้ว่า คัมภีร์ภาษาบาลีนัน้ มีอิทธิพลต่อโคลงโลกนิตมิ ากกวา่ คัมภรี ส์ ันสกฤต ส่วนชือ่ ของ
โคลงโลกนติ ิ เพราะเหตทุ ่มี าจากคมั ภรี โ์ ลกนิติในชั้นแรกจึงใช้ชื่อวา่ โลกนิติ ตามชือ่ คมั ภรี ์ซง่ึ เป็นที่มา ต่อมาเมื่อ
มีการแต่งโคลงโดยอาศัยคัมภีร์อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากคัมภีร์โลกนิติก็มิใช่เป็นคัมภีร์เดียวที่เป็นที่มาของ
โคลงโลกนติ ิ อนึ่ง มโี คลงโลกนติ ิจำนวนมากท่เี กิดจากการสรา้ งสรรคข์ องกวี ดังน้ัน ชอ่ื ของโคลงโลกนติ จิ ึงน่าจะ
มคี วามหมายในวงกวา้ งวา่ ชี้ หรอื แนะ (ประโยชน์) ให้แกโ่ ลก1

๑.3 ลักษณะคำประพนั ธ์
- แต่งเป็นโคลงส่ีสุภาพและโคลงกระท้ใู นบางบท จำนวน ๔๓๕ บท
- เปน็ วรรณกรรมคําสอน
- กวเี ลือกใช้คำท่ีงา่ ยๆ ทำให้ผอู้ า่ นเข้าใจ และเปน็ คาํ สอนท่ีใชไ้ ดก้ บั ทกุ ยุคทุกสมยั

1 https://cdn.gotoknow.org. รฐั ศาสตร์ในวรรณกรรมโลกนีติ ราชนตี ิ ธรรมนีติ

2

1.4 แผนผงั โคลงส่สี ุภาพ2

อ่ อ่ อ้ อ่ อออ่้้
อ่ อ้ อ่
อ่

ออ่้ คำเอก ตัวอยา่ งบทประพันธ์ คณนา
คำโท พระสมุทรสุดลกึ ลน้ หยง่ั ได้
คำสามัญ กำหนด
สายดิ่งท้ิงทอดมา ยากแทห้ ยั่งถึง
เขาสูงอาจวัดวา

คำสรอ้ ย จติ มนษุ ยน์ ี้ไซร้

1.5 สรุป

โคลงโลกนิติ เป็นโคลงสุภาษิตที่มีสํานวนคมคาย ใช้ภาษาเปรียบเทียบได้ สละสลวย โคลงโลกนิติ
เป็นเหมือนวรรณกรรม สุภาษิตที่สอนในเรื่องการทำดี ที่บรรพบุรุษของไทยนับถือและนำไปเล่าเรียน สั่งสอน
ประพฤติปฏิบัติต่อ ๆ กันมา เพื่อให้รู้จักประมาณตน รู้จักคบเพื่อน มีความกตัญญู แนวคิดเหล่านี้สามารถ
นำมาใชเ้ ป็นขอ้ คดิ คตสิ อนใจและเปน็ แนวทางในการดำเนินชวี ิตในสังคมได้อย่างเหมาะสม3

2 ปราชญา กล้าผจญั . (๒๕๕๔). โคลงโลกนิติ ถอดความเป็นร้อยแก้ว. กรงุ เทพฯ: ปราชญา.
3 นยิ ะดา เหล่าสุนทร. (๒๕๓๗). โคลงโลกนิต:ิ การศึกษาท่มี า. กรุงเทพฯ: แม่คําผาง.

บทที่ 2

เน้ือหาโดยยอ่ ของวรรณกรรม

2.1 บทนำ4

- คุณคา่ ของโคลงโลกนติ ิ
คณุ ค่าของโคลงโลกนติ ิมอี ยู่หลายด้านทีเดียว ซึ่งคนรุน่ หลังควรจะศึกษาและรักษามนั เอาไว้
- คณุ คา่ ดา้ นวรรณศิลป์
กวีมีความฉลาดและแยบยลในการประพันธ์ให้ผู้อ่านเห็นภาพ และเกิดความซาบซึ้งในโวหาร
เปรียบเทียบ มีการเลือกสรรถ้อยคำที่ใช้อย่างประณีตบรรจง ใช้คำสั้นแต่มีความหมายลึกซึ้ง ไพเราะทั้งเสียง
ทั้งจังหวะ และเมื่ออ่านออกเสียงเป็นทำนองเสนาะก็ยิ่งจะได้รับรสของคำประพันธ์มากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่าง
คำประพนั ธ์ตอ่ ไปน้ี

“ปลาร้าพันหอ่ ด้วย ใบคา
ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลงุ้
คือคนหมไู่ ปหา คบเพื่อน พาลนา
ได้แต่รายรา้ ยฟงุ้ เฟือ่ งใหเ้ สยี พงศ์”

จากคำประพันธ์ข้างต้นเป็นการใช้สัมผัสอักษรเล่นคำที่ทำให้เสียงไพเราะ มีจังหวะ ใช้คำง่าย ๆ
คมคาย ทำใหผ้ ู้อ่านเกิดจนิ ตภาพอย่างแจม่ ชดั และจดจำคำกลอนได้ง่าย

2.2 จุดประสงค์ในการแตง่

เพื่อให้ประชาชนอ่านและรู้สุภาษิตต่าง ๆ และตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นตัวอย่างของโคลงสุภาพจารึกไว้ที่แผ่นศิลาประดับผนังศาลาพระมณฑป ๔ หลัง เม่ือคราว
ปฏสิ งั ขรวัดเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธ)ิ์ จงึ โปรดเกล้าฯ ใหส้ มเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร
ทรงรวบรวมโคลงโลกนิตขิ องเกา่ มาชำระแก้ไขใหม่ให้เรียบร้อย

2.3 การใชโ้ วหารภาพพจน์

โคลงโลกนิติมีการใช้โวหารภาพพจน์ลักษณะต่างๆ ที่ทำผู้อ่านได้เข้าถึงสาระของบทกวีดียิ่งขึ้น เช่น
ภาพพจน์อุปมา คือ การเปรยี บสิง่ หนง่ึ กบั สิ่งหน่ึงเพ่ืออธบิ ายสิ่งน้ันใหช้ ดั เจนขึ้น เชน่

“นาคีมพี ิษเพ้ยี ง สุริโย
เล้อื ยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พษิ น้อยหย่ิงยโส แมลงป่อง
ชแู ต่หางเองอา้ อวดอ้างฤทธ”ี

2.4 คณุ ค่าด้านเนอื้ หา

โคลงโลกนิติเป็นวรรณคดีประเภทคำกลอน เป็นโคลงสุภาษิตเพื่อสอนให้เป็นคนดีปฏิบัติตนให้ถูกต้อง
ในสังคม เปน็ โคลงที่เข้าใจแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์ท้ังทางโลก และทางธรรม เชน่ การใชท้ รพั ย์ สอนให้
ร้จู กั ใชท้ รัพย์อยา่ งถูกวธิ ี ให้จดั สรรปันส่วนในการใชจ้ ่าย เช่น

“ทรพั ย์มสี สี่ ่วนไซร้ ปูนปัน
ภาคหนึ่งพงึ เกยี ดกัน เก็บไว้
สองสว่ นเบ็ดเสรจ็ สรรพ์ การกิจ ใชน้ า

1 https://cdn.gotoknow.org. รฐั ศาสตรใ์ นวรรณกรรมโลกนีติ ราชนตี ิ ธรรมนตี ิ

4

ยังอกี ส่วนควรให้ จา่ ยเล้ียงตวั ตน”

ลักษณะของคนดี สอนใหร้ ูว้ ่าคนดีควรมลี กั ษณะอย่างไร เช่น

“ให้ทา่ นทา่ นจกั ให้ ตอบสนอง
นบท่านทา่ นจกั ปอง นอบไหว้
รกั ทา่ นท่านควรครอง ความรักเรานา
สามส่งิ น่ิงนีเ้ วน้ ไว้ แต่ผู้ทรชน”

2.5 คณุ คา่ ด้านสงั คม

โคลงโลกนิติเป็นโคลงที่มีคุณค่าต่อสังคมมาก เพราะเปรียบเสมือนเป็นกระจกส่องให้เห็นถึงพฤติกรรม
ของความเป็นมนุษย์ที่มีผลต่อสังคม โคลงโลกนิติจึงเปรียบเป็นคู่มือในการใช้ครองเรือนให้มีความสุข ดำรงตน
เป็นคนดีอยู่ในสังคมอย่างถูกทำนองคลองธรรม เนื้อหาจากวรรณคดีเรื่องนี้จึงมีผลอย่างมากต่อผู้อ่าน
ที่จะทำให้เข้าใจถึงความรู้สึกนึกคิด หรือสารที่ผู้แต่งต้องการสื่อออกมา อันจะส่งผลให้เกิดการปรับเปลี่ยน
พฤตกิ รรมของคนในสงั คมใหด้ ขี ้นึ

๒.6 สรปุ

เมือ่ ได้ศึกษาหลกั การของโคลงโลกนิติข้างต้นแลว้ จะเหน็ ได้ว่า โคลงโลกนิตมิ ีอยหู่ ลายด้าน ซงึ่ คนรุน่ หลัง
ควรจะศกึ ษาและรักษาไว้ และยังสอนให้ผทู้ ศ่ี กึ ษาโคลงเหลา่ น้ีเป็นคนดีปฏบิ ัติตนใหถ้ ูกต้องในสังคม เปน็ โคลงท่ี
เข้าใจแก่นแท้และธรรมชาติของมนุษย์ทั้งทางโลก และทางธรรม อีกทั้งยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการ
ทำงานได้อย่างเหมาะสม การบริหารองค์กรโดยนำคำสอนในโครงต่าง ๆ มาเป็นเครื่องมือสอนบุคลากรใน
องค์กร กจ็ ะทำใหบ้ ุคลากรมีประสทิ ธภิ าพและนำพาองคก์ รกา้ วสคู่ วามสำเร็จได้

บทท่ี ๓
หลักรัฐประศาสนศาสตร์ท่ีปรากฏในวรรณกรรม

3.1 บทนำ
5เพื่อให้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่สมบูรณ์ ผู้นำจึงควรพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยเฉพาะการ

รู้จักพิจารณาดูตนเองและปรับปรุงตนเอง การแก้ไขปัญหา การพัฒนาข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น ในฐานะที่เป็น
ผู้บริหารหรือผู้นำ สุภาษิตและคำสอนในโคลงโลกนิติ มีหลักธรรมคำสอนมากมายที่จะสามารถนำมา
ประยุกต์ใช้กับ การบริหารงานและสามารถจะนำไปสู่ทางที่ประสบผลสำเร็จได้ หากทำดี รู้จักประมาณตน
รู้จักคบเพือ่ น กตัญญู เป็นต้น

3.2 การนำไปประยกุ ต์ในชีวิตประจำวัน

โคลงโลกนติ เิ ปน็ วรรณคดีคำสอนซึ่งแสดงใหเ้ ห็นวธิ ีการใชช้ วี ิตให้เปน็ สุข และสามารถปฏิบัติตนให้อยู่ใน
กรอบที่ดีของสังคม สาระที่ปรากฏอยู่ในโคลงผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตได้ เช่น การใฝ่ศึกษา
หาความรู้ ไม่ว่าในยุคสมัยใด การเรียนถือเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงควรขยันหมั่นเพียร เพราะความรู้ไม่มีใคร
สามารถขโมยไปได้และยงั สามารถใชเ้ ล้ียงชพี ของตนได้อกี ดว้ ย ดงั โคลงบทน้ี

“ความร้ดู ูยง่ิ ล้า สนิ ทรพั ย์
คดิ ค่าควรเมอื งนับ ยงิ่ ไซร้
เพราะเหตุจกั อย่กู บั กายอาต-มานา
โจรจักเบยี นบ่ได้ เร่งรเู้ รียนเอา”
การเลือกคบคน การดำรงอยู่ในสังคมย่อมพบเจอกับผู้คนมากมาย ยากที่จะรู้ว่าใครดีหรือร้าย
จากการตัดสินแค่ภายนอกเท่านั้น ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาให้ถ่องแท้ก่อนจะตัดสินว่าเป็นคนเช่นไร
ดังโคลงบทน้ี
“ผลเดือ่ เม่อื สกุ ไซร้ มีพรรณ
ภายนอกแดงดูฉนั ชาดบา้ ย
ภายในย่อมแมลงวนั หนอนบอ่ น
ดจุ ดังคนใจรา้ ย นอกนัน้ ดูงาม”

3.3 คำสอนในโคลงโลกนติ ิ

คำสอนในโคลงโลกนติ นิ ้ันส่วนใหญ่จะเน้นสุภาษิตเขา้ มาจะสอนในเร่ืองทำดีตา่ งๆละเวน้ ความชัว่

- สอนให้ทำความดี

โคลงโลกนิติสอนให้รู้จักความดีความชั่ว การที่เราได้รับผลอย่างไรย่อมมีเหตุจากการกระทำ
ของเราทั้งสิ้น ผู้ทำดีย่อมได้รับผลดีตอบแทน ส่วนผู้ทำชั่วผลที่เกิดจากการทำชั่วนัน้ ย่อมกัดกร่อนใจซ่ึงเปรยี บ
ไดก้ ับสนิมกดั กรอ่ นเน้ือเหล็กให้ผุพังไป ดงั ทว่ี ่า

สนมิ เหลก็ เกิดแตเ่ น้ือ ในตน
กินกดั เนอ้ื เหล็กจน กรอ่ นขร้า
บาปเกดิ แต่ตนคน เป็นบาป
บาปยอ่ มทำโทษชา้ ใสผ่ บู้ าปเอง

1 https://cdn.gotoknow.org. รฐั ศาสตร์ในวรรณกรรมโลกนตี ิ ราชนีติ ธรรมนตี ิ

6

- สอนใหร้ ู้จักประมาณตน

โคลงโลกนิติสอนให้รู้จักประเมินความสามารถและประมาณกำลังของตน นับเป็นคำสอนที่สอดคล้อง
กับแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ดังคำสอนที่ใช้แนวเทียบกับ
นกตัวนอ้ ยที่หากนิ ตามกำลงั ของตนและทำรังแต่พอตวั

นกนอ้ ยขนนอ้ ยแต่ พอตัว
รังแต่งจเุ มยี ผวั อย่ไู ด้
มักใหญย่ อ่ มคนหววั ไพเพดิ
ทำแตพ่ อตวั ไซร้ อยา่ ให้คนหยนั

- สอนใหร้ ้จู กั พจิ ารณาคนและรู้จกั คบเพือ่ น

โคลงโลกนิตสิ อนให้รจู้ ักพิจารณาเลือกคบคน โดยกล่าวเปรยี บเทยี บว่า ก้านบัว สามารถบอกความตื้น
ลกึ ของนำ้ ได้ฉันใด กริ ิยามารยาทของคนก็สามารถบ่งบอกถึงการอบรมเล้ียงดูได้ฉนั นั้น คำพดู ก็สามารถบ่งบอก
ให้รู้ว่าคนนั้นพูดฉลาดหรือพูดโง่ เช่นเดียวกับหย่อมหญ้าที่เหี่ยวแห้งย่อมบอกให้รู้ว่าดินในบริเวณนั้นไม่ดี
ดังทีว่ า่

กา้ นบัวบอกลึกต้ืน ชลธาร
มารยาทสอ่ สนั ดาน ชาติเชอ้ื
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเห่ยี วแห้งเรื้อ บอกร้านแสลงดิน

- สอนไมใ่ ห้ทำตามอย่างผ้อู ื่น

เมอื่ เห็นผอู้ ื่นม่งั มีกวา่ ก็ไม่ควรโลภ ไม่ควรอยากมีอยากไดต้ ามคนอ่ืน แม้จะยากจนกใ็ ห้หมนั่ ทำมาหากิน
อยา่ เกยี จครา้ นและทอ้ แท้ ใหร้ ้จู กั ใช้ชวี ิตอยา่ งพอเพยี ง ดงั ท่วี า่

เห็นทา่ นมีอย่าเคล้ิม ใจตาม
เรายากหากใจงาม อย่าคร้าน
อตุ ส่าหพ์ ยายาม การกิจ
เอาเยยี่ งอยา่ งเพ่อื นบา้ น อย่าทอ้ ทำกนิ

- สอนให้มคี วามกตญั ญู

โคลงโลกนิติสอนให้ระลึกถึงพระคุณบิดามารดาและครู โดยกล่าวเปรียบว่าพระคุณของมารดาน้ัน
ยิ่งใหญ่เปรียบได้กับแผ่นดิน พระคุณของบิดาเล่าก็กว้างขวางเปรียบได้กับอากาศ พระคุณของพี่นั้นสูงเท่ากับ
ยอดเขาพระสุเมรุ และพระคณุ ของครบู าอาจารยก์ ล็ ้ำลกึ เปรยี บได้กับน้ำในแมน่ ้ำทง้ั หลาย ดงั ที่ว่า

คุณแม่หนักหนาเพย้ี ง พสุธา
คณุ บดิ รดุจอา - กาศกวา้ ง
คณุ พ่พี า่ งศิขรา เมรมุ าศ
คุณพระอาจารย์อา้ ง อาจสู้สาคร

- สอนใหเ้ ป็นคนมวี าจาออ่ นหวาน

คนที่พูดจาสุภาพไพเราะย่อมมีเพื่อนมาก เปรียบได้กับดวงจันทร์ที่มีดาวจำนวนมากรายล้อมประดับ
ต่างกับคนพูดจากระด้างหยาบคาย ทำให้มีไม่ใครปรารถนาจะคบหรือสมาคมด้วย เปรียบได้กับดวงอาทิตย์
แสงร้อนแรงทบ่ี ดบงั แสงของดาวดวงอน่ื ดงั ทวี่ ่า

7

ออ่ นหวานมานมิตรล้น เหลอื หลาย
หยาบบม่ เี กลอกราย เกล่ือนใกล้
ดจุ ดวงศศฉิ าย ดาวดาษ ประดับนา
สุริยาส่องดาราไร้ เพอ่ื รอ้ นแรงแสง

- ตัวอย่างโคลงโลกนติ ิ

นีก่ จ็ ะเป็นตัวอย่างชนิดตา่ ง ๆ ท่ีสมเด็จพระบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาเดชาดิศร เคยแตง่ เอาไวม้ ากมาย

ปลารา้ พันห่อด้วย ใบคา
ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง
คือคนหม่ไู ปหา คบเพือ่ น พาลนา
ได้แต่ร้ายร้ายฟงุ้ เฟ่ืองใหเ้ สยี พงศ์
การคบคนชวั่ หรอื คนพาลย่อมนำมาซ่ึงความมัวหมอง ตรงกับสำนวนคบพาลพาลพาไปหาผิด

ใบพ้อพนั หอ่ หุ้ม กฤษณา
หอมระรวยรสพา เพริศดว้ ย
คอื คนเสพเสน่หา นักปราชญ์
ความสขุ ซาบฤามว้ ย ดจุ ไม้กลิ่นหอม
การคบคนดยี อ่ มนำซ่งึ ความสุขและชือ่ เสยี ง ตรงกบั สำนวนคบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล

ผลเด่ือเมอื่ สุกไซร้ มพี รรณ
ภายนอกแดงดูฉนั ชาดบา้ ย
ภายในยอ่ มแมลงวัน หนอนบ่อน
ดจุ ดังคนใจรา้ ย นอกนัน้ ดูงาม
การคบการคบคนอย่ามองเพียงความงดงามภายนอก ตรงกับสำนวนรู้หน้าไม่รู้ใจ หรือข้างนอกสุกใส
ขา้ งในเป็นโพรง

คนพาลผบู้ าปแท้ ทรุ จิต
ไปสูห่ าบณั ทติ ค่ำเชา้
ฟงั ธรรมอยู่เนอื งนิตย์ บท่ ราบ ใจนา
คอื จวกั ตกั เขา้ ห่อนรรู้ สแกง
คนเลวที่แม้คบคนดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีก็ยังไม่สามารถปรับปรุงตัวได้เป็นเสมือนจวักตักแกงที่แม้
จะอยู่ในหมอ้ แกงแตไ่ มอ่ าจรู้รสของแกงได้ ตรงกบั สำนวน สีซอให้ควายฟงั หรอื ตักนำ้ รดหวั ตอ

หมเู หน็ สหี ราชทา้ ชวนรบ

กูสีต่ นี กูพบ ท่านไซร้

อย่ากลวั ท่านอยา่ หลบ หลกี จาก กูนา

ท่านสตี่ ีนอย่าได้ วากเวว้ างหนี

ผตู้ ่ำต้อยท่ีไม่รู้จักประมาณตน อาจนำมาซ่ึงความเดอื ดรอ้ น ตรงกบั สำนวน ถ่มน้ำลายรดฟา้

8

สหี ราชรอ้ งว่าโอ้ พาลหมู
ทรชาตคิ รน้ั เหน็ กู เกลยี ดใกล้
ฤามงึ ใคร่รบดนู มึงมาศ เองนา
กเู กลยี ดมงึ กูให้ พ่ายแพ้ภัยตัว
ผ้ใู หญห่ รอื ผ้มู อี ำนาจทว่ี างเฉยไม่ลงมาต่อกรด้วย พฤตกิ รรมของราชสหี ์ตรงกบั สำนวน อย่าเอาพิมเสน
ไปแลกกับเกลือ

กบเกิดในสระใต้ บวั บาน
ฤาห่อนรรู้ สมาลย์ หน่งึ นอ้ ย
ภุมราอย่ไู กลสถาน นบั โยชน์ ก็ดี
บินโบกมาคอ้ ยค้อย เกลอื กเคล้าเสาวคนธ์
คนท่ีอยูใ่ กล้ของมคี า่ แต่ไม่มโี อกาสเป็นเจา้ ของ ตรงกบั สำนวนใกล้เกลือกินดา่ ง

ไมค้ อ้ มมีลกู นอ้ ม นวยงาม
คอื สัปบุรุษสอนตาม งา่ ยแท้
ไมผ้ ุดงั คนทราม สอนยาก
ดัดก็หักแหลกแล้ ห่อนรอื้ โดยตาม
กิ่งไม้ที่อ่อนค้อมย่อมดัดตามรูปทรงได้ง่ายกว่าไม้ที่แก่หรือผุเช่นเดียวกับการสอนคน สอนคนที่พร้อม
จะรับฟังง่ายกว่าการสอนคนที่อวดดี เชื่อมั่น หรือคนที่ไม่ดี อาจจะใช้ได้กับสำนวน ตักน้ำรดหัวตอ ไม้อ่อน
ดดั งา่ ย ไมแ้ กด่ ดั ยาก

นาคมี ีพิษเพี้ยง สุริโย
เลอื้ ยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พษิ นอ้ ยหย่ิงโยโส แมลงป่อง
ชแู ต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี
ผมู้ ีความรู้ ความสามารถ ย่อมไม่อวดตนหรอื คุยโม้ พฤติกรรมของนาคีตรงกับสำนวน คมในฝกั

ความร้ผู ปู้ ราชญน์ ้ัน นักเรยี น
ฝนทั่งเทา่ เข็มเพียร ผ่ายหนา้
คนเกยี จเกลยี ดหนา่ ยเวยี น วนจิต
กลอุทกในตระกร้า เปี่ยมล้นฤามี
คนที่มีความหยันหมั่นเพียรแม้ทำกิจการใดที่ยากก็ย่อมสำเร็จ (ทั่งคือแท่งเหล็ก) แต่คนเกียจคร้าน
ทำสิ่งใดไม่สำเร็จ เหมือนกับการตักน้ำในตะกร้า (อุทกคือน้ำ) พฤติกรรมของปราชญ์ตรงกับสำนวน
หนกั เอาเบาสู้

งาสารฤาหอ่ นเหี้ยน หดคนื
คำกล่าวสาธุชนยืน อย่างนนั้
ทุรชนกล่าวคำฝนื คำเล่า
หวั เต่ายาวแลว้ สนั้ เล่หล์ ิ้นทรชน
คำพูดของคนที่ยึดมั่นในคำพูดเปรียบเสมือนงาช้างที่งอกแล้วไม่หดคืน แต่คำพูดของคนชั่ว (ทุรชน)
ย่อมกลับไปกลับมาเหมือนหวั เตา่ ที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ

9

หา้ มเพลิงไวอ้ ยา่ ให้ มีควนั
ห้ามสรุ ยิ แสงจนั ทร์ สอ่ งไซร้
ห้ามอายุให้หนั คืนเลา่
ห้ามดงั น้ไี วไ้ ด้ จึง่ ห้ามนนิ ทา
การห้ามธรรมชาติทั้ง ๔ ประการ ไม่ให้ดำเนินไปว่าเป็นสิ่งที่ยากแล้ว การห้ามไม่ให้คนนินทา
ยิ่งยากกว่า ตรงกับสำนวน อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหินแม้องค์พระปฏิมา
ยงั ราคนิ มนษุ ยเ์ ดินดินหรอื จะสิ้นคนนนิ ทา

ตนี งงู ไู ซร้หาก เหน็ กนั

นมไก่ไกส่ ำคัญ ไกร่ ู้

หม่โู จรตอ่ โจรหนั เหน็ เลห่ ์ กนั นา

เชิงปราชญ์ฉลาดกลา่ วผู้ ปราชญร์ ู้ เชิงกนั

คนประเภทเดียวกันย่อมรเู้ ทา่ ทนั ซง่ึ กันและกัน ตรงกบั สำนวน ไกเ่ หน็ ตีนงู งูเห็นนมไก่

เว้นวิจารณ์ว่างเว้น สดบั ฟงั
เว้นท่ถี ามอันยัง ไป่รู้
เว้นเล่าลิขิตสงั - เกตวา่ ง เวน้ นา
เว้นดั่งกลา่ ววา่ ผู้ ปราชญ์ได้ฤามี
คนท่จี ะเปน็ ปราชญ์น้ันตอ้ งยึดถอื หวั ใจนกั ปราชญ์ คอื สุ จิ ปุ ลิ หมายถงึ ฟงั คดิ ถาม เขียน

รนู้ อ้ ยว่ามากรู้ เรงิ ใจ
กลกบเกิดอย่ใู น สระจอ้ ย
ไป่เห็นชเลไกล กลางสมทุ ร
ชมวา่ น้ำบ่อน้อย มากล้ าลึกเหลือ
คนที่อยู่ในโลกหรือสังคมที่แคบย่อมคิดว่าสิ่งที่ตนพบเห็นนั้นยิ่งใหญ่แล้ว ตรงกับสำนวน กบในกะลา
อง่ึ อ่างในกะลา ห่งิ ห้อยในกะลา

เสียสนิ สงวนศกั ด์ิไว้ วงศ์หงส์
เสยี ศักด์ิสู้ประสงค์ ส่ิงรู้
เสยี รเู้ ร่งดำรง ความสตั ย์ ไว้นา
เสยี สัตยอ์ ยา่ เสยี สู้ ชพี ม้วยมรณา
การรักษาความสตั ย์สำคญั เหนอื สิ่งใด ตรงกับสำนวน เสียชพี อยา่ เสยี สตั ย์

ตัดจนั ทน์ฟนั มว่ งไม้ จมั บก

แปลงปลกู หนามรามรก รอบเรอื้

ฆ่าหงส์มยรุ นก กระเหวา่ เสียนา

เลย้ี งหมู่กากินเนอื้ วา่ รู้ลีลา

การทำลายสิ่งที่ก่อประโยชน์เพื่อสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ สอนให้ตระหนักถึงความคุ้มค่าในกิจที่ ทำ

ตรงกบั สำนวน ขี่ช้างจับต๊ักแตน

10

นำ้ เคยี้ วยูงวา่ เงี้ยว ยูงตาม
ทรายเหลือบหางยูงงาม ว่าหญา้
ตาทรายยิง่ นลิ วาน พรายเพรศิ
ลงิ วา่ หวัวหวังหว้า หว่าดิน้ โดดตาม
การหลงเช่ือในสง่ิ ทีผ่ ดิ หรอื การหลงผดิ โดยขาดการไตร่ตรอง อาจจนำมาซึ่งอนั ตรายถงึ ชวี ิต เช่น
นกยูงมองจากที่สูงเห็นสายน้ำที่คดเคี้ยวไกล ๆ ว่าเป็นงู กระโดดลงไปตาย เนื้อทรายมองแพหางนกยูง
เป็นหญ้าก็กระโดดหมายจะกิน ก็ตายตามไป ขณะเดียวกันลิงเห็นตาทรายที่โผล่พ้นน้ำเป็นลูกหว้าก็กระโดด
หมายจะกนิ อกี ต่างตายตามไปดว้ ย ตรงกบั สำนวน เหน็ ผิดเป็นชอบ

พระสมทุ รสุดลกึ ลน้ คณนา
สายดิง่ ท้งิ ทอดมา หยั่งได้
เขาสูงอาจวัดวา กำหนด
จติ มนุษย์นไี้ ซร้ ยากแท้หย่งั ถงึ ๚ะ๛
ความลึก ความสูง ขนาดของสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่มนุษย์สามารถวัดได้แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจสามารถวัดได้ คือ
จิตใจของคน กวีสอนใหร้ ะวงั ในการเชือ่ หรอื คบคน ตรงกบั สำนวน รหู้ น้าไมร่ ู้ใจ

ให้ท่านทา่ นจกั ให้ ตอบสนอง
นบท่านทา่ นจักปอง นอบไหว้
รกั ท่านท่านควรครอง ความรกั เรานา
สามสงิ่ น้ีเวน้ ไว้ แต่ผูท้ รชน
โคลงบทน้สี อนให้คนรจู้ ักกตญั ญู การเปน็ ผใู้ ห้ซ่งึ กนั และกัน ตรงกับสำนวน หมไู ปไก่มา

แม้นมคี วามรดู้ ั่ง สัพพัญญู

ผบิ ม่ ีคนชู ห่อนขึน้

หัวแหวนคา่ เมืองตรู ตาโลก

ทองบ่รองรบั พ้นื หอ่ นแกว้ มีศรี

สอนให้คนที่มีความรู้ความสามารถตระหนัก ไม่เย่อหยิ่งจองหองเพราะ แม้นว่ามีความสามารถ

ปานใดก็ตาม หากขาดคนสนับสนุนส่งเสริม ก็ยากที่จะมีใครเห็น เฉกเช่นเดียวกับ เพชรพลอยที่งดงาม

เมอื่ มแี หวนทองรองรบั

เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี
อกั ขระห้าวนั หนี เน่ินชา้
สามวนั จากนารี เปน็ อ่ืน
วันหนึ่งเวน้ ล้างหนา้ อับเศรา้ ศรีหมอง
โคลงบทนส้ี อนใหเ้ ปน็ ผเู้ อาใจใส่ปฏบิ ตั ิต่อกิจที่ทำอย่เู ปน็ นิจ เพอ่ื ผลประโยชนแ์ กต่ น

ผจญคนมกั โกรธดว้ ย ไมตรี
ผจญหมู่ทรชนดี ต่อตั้ง
ผจญคนจติ โลภมี ทรพั ยเ์ ผื่อ แผ่นา
ผจญอสัตยใ์ ห้ยัง้ หยุดด้วยสตั ยา๚ะ๛
สอนให้ใชค้ ณุ ธรรมตา่ ง ๆ เมื่อจะตอ้ งคบค้าสมาคมกบั บุคคลตา่ ง ๆ ทีม่ พี ฤติกรรมตามที่กลา่ วถงึ

11

คนใดคนหน่งึ ผู้ ใจฉกรรจ์
เคยี ดฆ่าคนอนันต์ หนกั แท้
ไป่ปานบรุ ุษอนั ผจญจิต เองนา
เธียรท่านเยนิ ยอแล้ วา่ ผู้มชี ัย
การชนะใจตนเองคอื ความยิ่งใหญ่ เปน็ ที่ยอมรับมากว่าการทชี่ นะผอู้ ่นื

ความรดู้ ยู ่งิ ล้ำ สินทรัพย์
คดิ คา่ ควรเมอื งนับ ยง่ิ ไซร้
เพราะเหตุจกั อยู่กบั กายอาต มานา
โจรจกั เบียนบ่ได้ เร่งร้เู รยี นเอา
ความรูม้ คี วามสำคัญทีส่ ุด เพราะไม่มใี ครสามารถมาเบียดเบยี นไปได้

โทษท่านผูอ้ ืน่ เพยี้ ง เมล็ดงา
ปองตฉิ นิ นนิ ทา หอ่ นเว้น
โทษตนเท่าภูผา หนักยิง่
ปอ้ งปิดคิดซอ่ นเร้น เรือ่ งรา้ ยหายสูญ
ธรรมชาติของคนมักจะมองเห็นแต่ความผิดของผู้อน่ื ขณะเดยี วกนั ความผิดพลาดของตนแม้ใหญ่หลวง
กพ็ ยายามปกปดิ

ราชาธิราชนอ้ ม ในสัตย์
อำมาตย์เป็นบรรทัด ถอ่ งแท้
ฝงู ราษฎรอ์ ยศู่ รีสวัสด์ิ ทกุ เมื่อ
เมืองด่งั น้ีเลศิ แล้ ไพรฟ่ ้าเปรมปรดี ิ์
ประเทศหรือสังคมใดก็ตามท่ีมีผู้นำและข้าราชการอยู่ในศีลธรรม มีศีลสัตย์ ประชาชนย่อมอยู่อย่าง
สงบสขุ ตรงกบั สำนวน ไพรฟ่ ้าหนา้ ใส

กา้ นบัวบอกลกึ ตื้น ชลธาร
มารยาทสอ่ สนั ดาน ชาติเชื้อ
โฉดฉลาดเพราะคำขาน ควรทราบ
หย่อมหญ้าเห่ยี วแหง้ เรือ้ บอกรา้ ยแสลงดนิ
ความยาวของก้านบัวสามารถบอกความลึกตื้นของแหล่งน้ำที่มันอยู่ได้ มารยาทบอกให้ทราบ
ถึงความเป็นไปของชาติตระกูล คำพูดของคนสามารถแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้น ฉลาด เขลา ชั่ว หรือเลว
เหมอื นกบั ทห่ี ญา้ เหี่ยวแหง้ บอกถึงความไมส่ มบูรณ์ของดนิ ตามตรงกบั สำนวน สำเนียงสอ่ ภาษา กรยิ าส่อสกลุ

อยา่ เออ้ื มเด็ดดอกฟา้ มาถนอม
สงู สดุ มือมกั ตรอม อกไข้
เดด็ แตด่ อกพยอม ยามยาก ชมนา
สูงกส็ อยด้วยไม้ อาจเออ้ื มเอาถึง
โคลงบทนี้กวีสอนให้รู้จักประมาณตน ใฝ่ฝัน หรือปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปได้ จะได้ไม่ต้องพบ
กับความผิดหวังเจ็บปวด หากมีพฤติกรรมตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าว ตรงกับสำนวน ดอกฟ้ากับหมาวัด หรือ
กระตา่ ยหมายจนั ทร์

12

เบกิ ทรัพย์วนั ละบาทซ้อื มงั สา

นายหนึง่ เล้ียงพยัคฆา ไป่อ้วน

สองสามสี่นายมา กำกบั กันแฮ

บงั ทรพั ย์ส่สี ว่ นถ้วน บาทสิ้นเสือตาย

การทำกิจการใดก็ตามหากมีคนเบียดบังผลประโยชน์ หรือโกงกิน คนโกงกินหนึ่งคนผลงานก็ย่อม

ไมส่ มบูรณ์ และย่ิงมีคนโกงกนิ มากกจิ การนน้ั ย่อมไม่สำเร็จ ตรงกบั สำนวน คดในขอ้ งอในกระดูก

บางคาบภาณมุ าศขนึ้ ทางลง ก็ดี

บางคาบเมรบุ ต่ รง ออ่ นแอ้

ไฟยมดับเยน็ บง - กชงอก ผานา

ยนื สัตย์สาธชุ นแท้ ห่อนเพย้ี นสักปาง๚ะ๛

บางครั้งพระอาทิตย์นั้น อาจขึ้นทางทิศตะวันตกได้ แม้นเขาพระสุเมรุยังมีวันเอน ไฟนรกที่ร้อนแรง

ยังดับลงได้ ดอกบัวสามารถงอกจากบนหน้าผา แต่คำสัตย์แห่งสาธุชนนั้น ไม่มีเปลี่ยนแปลง จากกัลยาณมิตร

(ปิยะสทิ ธ์ิ บ ารุงพฤกษ์ )

เพื่อนกิน สน้ิ ทรพั ย์แล้ว แหนงหนี

หาง่าย หลายหม่นื มี มากได้

เพ่อื นตาย ถ่ายแทนชี - วาอาตม์

หากยาก ฝากผีไข้ ยากแทจ้ ักหา

โคลงบทนกี้ วีเตือนสติการคบเพ่ือน ให้รูจ้ ักระมัดระวัง อยา่ ประมาทเพราะเพื่อนในคราท่ีมีความสุขน้ัน

หาง่ายมาก แต่เพ่ือนทไี่ ปมาหาสู่ในครามที กุ ข์นั้น หายากย่ิง ตรงกับสำนวน เพอื่ นกนิ หาง่ายเพอื่ นตายหายาก

ความเพยี รเป็นอริแลว้ เปน็ มติ ร

คร้านเกยี จเป็นเพื่อนสนทิ รว่ มไร้

วชิ าเฉกยาตดิ ขมขื่น

ประมาทเหมือนดับไต้ ช่ัวร้ายฤาเห็น

ความเพียรทำได้ยาก ต้องทำด้วยความอดทน เป็นเสมือนศัตรู หากสุดท้ายผลที่ได้คือสิ่งที่ดี

เปรียบเสมือนมิตรความเกียจคร้านในเบื้องต้น ทำให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกสบายเปรียบเสมือนเป็นเพื่อนสนิท

พร้อมที่จะปฏิบัติเช่นนั้นได้ทุกเมื่อ แต่สุดท้ายกลับส่งผลเสียแก่ผู้ปฏิบัติ การเรียนรู้ในวิชาต่าง ๆ ก็เช่นกัน

ผู้ปฏิบัติไม่มีความสุขเลย แต่สุดท้ายกลับได้ความรู้ ส่วนความประมาทเหมือนคนที่เดินไปโดยปราศจากแสง

(ไต้คบเพลงิ ทท่ี ำจากเปลือกเสม็ด+ยางของตน้ ไมย้ าง) ย่อมไม่เหน็ สงิ่ ช่ัวรา้ ยหรืออันตรายที่จะเกดิ ขึน้

อยา่ โทษไททา้ วท่วย เทวา

อย่าโทษสถานภูผา ยา่ นกว้าง

อย่าโทษหมู่วงศา มติ รญาติ

โทษแตก่ รรมเองสรา้ ง สง่ ให้เปน็ เอง

สอนให้รู้จักคิดไม่โทษอะไรง่าย ๆ ควรไตร่ตรองว่าเหตุที่เกิดขึ้นเกิดจากการกระทำของเราเอง

ใช่หรือไม่ ตรงกบั สุภาษิต "โทษตนผิดพึงร"ู้

13

ทรัพยม์ ีสส่ี ่วนไซร้ ปูนปัน
ภาคหน่ึงพึงเกียดกนั เกบ็ ไว้
สองสว่ นเบ็ดเสร็จสรรพ์ การกจิ ใช้นา
ยังอกี ส่วนควรให้ จ่ายเลย้ี งตวั ตน
การบริหารจัดการกับเงินทอง ต้องรู้จักแบ่งสรรปันส่วนทำบัญชีค่าใช้จ่ายอย่างมีระบบโดยเงิน 1
ใน 4 สว่ น ต้องเก็บออมไว้ยามจำเป็น

๓.4 สรปุ

ผู้นำต้องมีความเข้าใจที่จะใช้เทคนิคโดยการนำโคลงโลกนิติไปแก้ปัญหาที่เกิดขึน้ ในการ บริหารจัดการ
หลักที่สำคัญขน้ั ตน้ ในการแก้ปัญหาในองคก์ รทีส่ ามารถนำมาใช้ ได้แก่

1. “เม่อื มีชวี ติ อยู่ ต้องทำความดีให้ปรากฏ”
2. “อย่าโทษผ้อู น่ื แต่จงโทษตัวเอง”
3. “การทำส่ิงทเ่ี กนิ ตัว อาจทำใหผ้ ู้อ่นื หัวเราะเยาะ”
4. “จงมคี วามกล้า เพราะความอาย อาจทำใหเ้ ราล้มเหลว”
5. “ทำสง่ิ ใดเกบ็ ไวใ้ นใจก่อน รอจนผลสำเรจ็ จึงบอกให้ผ้อู ื่นร้”ู
6. “เกิดเป็นคนตอ้ งรักเกียรติ และศกั ดศิ์ รยี ่งิ ชีวิต”
7. “คนเราเกิดมาหนีไมพ่ น้ คำนินทา”
8. “นายดแู ลลูกน้องดี ลูกน้องจะดีตอบ”
9. “ทำส่ิงใด ยอ่ มได้สิ่งน้ัน”
10. “จงมคี วามเจียมตวั และอย่าหลงใหลในโมหะ”
และเรายังสามารถให้แนวคิดในการปฏิบัติตนเพื่อเป็นแนวทางในการดำรงชีวิต และยังสามารถพัฒนา
ทรัพยากรบุคคลภายในองค์กรไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งแนวคิดในโคลงโลกนิติที่นำมาใช้กับทรัพยากรบุคคลภายใน
องค์กร ได้แก่
1. “จงเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอยเู่ สมอ”
2. “จงอยู่ใกลค้ นดี หา่ งไกลคนชัว่ ”
3. “จงมีความเพยี รพยายาม”
4. “ต้องไม่ลมื พระคุณของ พ่อแม่ ครู พ่นี ้อง และผมู้ พี ระคณุ ”
5. “จงเรียนรู้ ฝกึ ฝน และถ่อมตน”
6. “จงทำหนา้ ทใ่ี หด้ ที สี่ ดุ แต่ละชว่ งเวลาของชวี ิต”
7. “ความรคู้ ือทรัพย์สินทตี่ ดิ ตัว แมโ้ จรกไ็ ม่สามารถเอาไปได้”
8. “จงเรยี นรู้ ขยันหมัน่ เพยี ร และอย่าประมาทในการใชช้ ีวิต”
9. “เม่อื เราไม่มี อย่าอยากทำตามคนอ่นื แต่จงขยนั หมั่นเพียร”
10. “ทำดยี อ่ มได้ดี ทำชัว่ ย่อมไดช้ ่วั แนน่ อน”
เมื่อทำไดด้ ังนี้แล้ว ไมว่ ่าการทำงานในระดบั ใดก็ตามทง้ั การบริหารบรษิ ัท องคก์ ร หรือประเทศ กจ็ ะสามารถทำ
ได้โดยมปี ระสทิ ธภิ าพ และยงั ทำใหป้ ระชาชนมคี วามสุข อยูด่ กี นิ ดี และไมม่ กี ารคดโกงอยา่ งแน่นอน

บรรณานกุ รม

กรมวชิ าการ, กระทรวงศึกษาธกิ าร. (๒๕๔๓). โคลงโลกนติ ิ พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาเดชาดศิ ร. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว.
กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๔๙). แนวการอา่ นวรรณคดีและวรรณกรรม ๓. กรงุ เทพฯ:
โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพร้าว.
กรมวิชาการ, กระทรวงศกึ ษาธิการ. (๒๕๕๙). วรรณคดวี ิจักษ์ชัน้ มธั ยมศึกษาปี ที่ ๑. พมิ พ์ครัง้ ที่ ๙. กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.
นิยะดา เหลา่ สุนทร. (๒๕๓๗). โคลงโลกนติ :ิ การศกึ ษาท่มี า. กรงุ เทพฯ: แม่คาํ ผาง.
ปราชญา กลา้ ผจัญ. (๒๕๕๔). โคลงโลกนติ ิ ถอดความเป็นรอ้ ยแกว้ . กรงุ เทพฯ: ปราชญา.
เดชาดิศร, สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา. (๒๕๔๕). โคลงโลกนติ ิ. พมิ พค์ ร้ังท่ี ๑๐. กรุงเทพฯ:
เรอื นปัญญา.
http://elsd.ssru.ac.th/kwanjira_ph/pluginfile.php/389/course/summary
http://www.bt-training.com/
https://cdn.gotoknow.org


Click to View FlipBook Version