2020
E-BOOK
การช่ วยแพทย์ใส่ ท่ อช่ วยหายใจ
ฝ่ ายการพยาบาล โรงพยาบาลจฬุ าลงกรณ์
งานพฒั นาทรัพยากรบุคคล
พว.พงศ์วิทย์ ศรีป่ิ นแก้ว
ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
งานพัฒนาทรพั ยากรบุคคล
อาคารสุภาสชัน้ 4 โทร. 022564354, 022564353
การชว่ ยแพทยใ์ สท่ ่อชว่ ยหายใจ ผ่านการตรวจและรบั รอง
จากผทู้ รงคุณวฒุ ิ ดงั รายนาม
จดั ทาโดย
1.พว.ขวญั ใจ เหมือนเทศ
พว.พงศ์วิทย์ ศรีปนิ่ แก้ว ผตู้ รวจการพยาบาล
พยาบาลงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล
พยาบาลวิชาชพี ผู้ผา่ นการฝกึ อบรม Basic Life Support งานพฒั นาทรัพยากรบุคคล
Healthcare Provider Instructor 2018 and
Advanced Cardiovascular Life Support Provider 2.พว.จริ าพร พรมพลิ า
Program 2019 of Thai Resuscitation Council. หัวหนา้ หอผู้ป่วย
ภมู ิสิริฯ 24C (BURN UNIT)
คานา
E-BOOK การช่วยแพทย์ใสท่ ่อช่วยหายใจเลม่ นี้ จัดทาขน้ึ โดยมีวัตถปุ ระสงค์ เพื่อให้ใช้เปน็ คมู่ ือประกอบการเรียน
ในโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “Megacode Concept and Team Dynamics for Nurses” รุ่นท่ี 1-5
ประจาปี 2563
การใส่ท่อช่วยหายใจเป็นหัตถการทางการแพทย์ท่ีสาคัญยิ่งในการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยภาวะวิกฤต
และฉุกเฉิน หากพยาบาลซ่ึงเป็นบุคลากรท่ีสาคัญในการพยาบาลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด มีความรู้ ความเข้าใจถึงความ
จาเป็น ข้อบ่งชี้ ขั้นตอนการใส่ท่อช่วยหายใจตลอดจนสามารถเตรียมอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสม ย่อมส่งเสริมให้แพทย์
สามารถให้การรักษาผ้ปู ่วยได้อยา่ งรวดเร็วและมปี ระสทิ ธภิ าพ
งานพัฒนาทรัพยากรบคุ คล ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้เล็งเห็นความสาคัญของการพัฒนา
ความรแู้ ละทักษะดังกลา่ ว จึงไดจ้ ดั การอบรม “การชว่ ยแพทยใ์ ส่ท่อชว่ ยหายใจ” ในโครงการอบรมเชิงปฏบิ ัติการเรื่อง
“Megacode Concept and Team Dynamics for Nurses” ข้ึน แก่พยาบาลวิชาชีพ ภายในฝ่ายการพยาบาลฯ
และได้จัดทา E-BOOK ฉบับนี้ขึ้นประกอบการอบรมดังกล่าว เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ ความเข้าใจเบื้องต้น
เก่ียวกบั การชว่ ยแพทย์ใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ หวงั ว่าเอกสารฉบับนี้จะเป็นประโยชนแ์ ก่ผู้เขา้ รบั การอบรม
ขอขอบคุณฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และศูนย์ฝึกกู้ชีพและฝึกทักษะเสมือนจริง ท่ีสนับสนุน
การจัดอบรมและการจัดทาเอกสารฉบับน้ี และขอขอบคุณ ผู้ตรวจการพยาบาลงานพัฒนาทรัพยากรบุคคล และ
หัวหน้าหอผปู้ ่วยภูมิสริ ิมังคลานุสรณ์ ชน้ั 24C (Burn Unit) ทีไ่ ดก้ รุณาตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของเอกสารฉบับน้ี
นายพงศว์ ทิ ย์ ศรปี ิ่นแกว้
พยาบาลงานพัฒนาทรัพยากรบคุ คล
สารบญั หน้า
1
การประเมินผ้ปู ว่ ยทม่ี ีความจาเปน็ ต้องใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ 2
วัตถุประสงคใ์ นการใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ 3
กายวิภาคของกล่องเสยี ง 5
การประเมนิ ผู้ปว่ ยก่อนใสท่ ่อช่วยหายใจ 7
อุปกรณท์ ่ใี ช้สาหรบั ใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ 10
การปฏิบัติในการชว่ ยแพทยใ์ สท่ ่อช่วยหายใจ 14
ภาวะแทรกซ้อนของการใส่ทอ่ ช่วยหายใจ
วตั ถปุ ระสงค์ ในการอบรมเชงิ ปฏบิ ัติการ เรือ่ ง “การช่วยแพทยใ์ ส่ท่อชว่ ยหายใจ”
*****************************
เพ่อื ใหผ้ เู้ ขา้ รับการอบรมสามารถ
1. ประเมินผ้ปู ่วยทม่ี คี วามจาเปน็ ต้องไดร้ บั การรกั ษาด้วยการใสท่ ่อชว่ ยหายใจได้
2. อธบิ ายวัตถปุ ระสงคใ์ นการใส่ท่อช่วยหายใจได้
3. ปฏบิ ตั กิ ารช่วยแพทยใ์ สท่ อ่ ชว่ ยหายใจในขน้ั ตอนตา่ งๆ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง
3.1 ข้นั เตรยี มกอ่ นการใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ
3.1.1 การประเมนิ ผู้ปว่ ย
3.1.2 เตรียมผปู้ ว่ ย
3.1.3 เตรยี มอุปกรณ์
3.2 ขน้ั ปฏิบัติการชว่ ยแพทยใ์ สท่ ่อช่วยหายใจ
3.3 หลงั การใสท่ ่อชว่ ยหายใจ
4. ประเมนิ ภาวะแทรกซ้อนจากการใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจได้
5. สามารถนาความรูจ้ ากการอบรม ไปประยุกตใ์ ช้ได้จรงิ
1
การชว่ ยแพทย์ใส่ท่อชว่ ยหายใจ
ในสภาวะปกติ มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยการสูดลมหายใจเข้าออกทางจมูกหรือทางปากซึ่ง
ลมหายใจน้ันจะนาออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอเข้ามาตามทางเดินหายใจจนถึงปอด ซึ่งเป็นส่วนสาคญั
ในการแลกเปลย่ี นกา๊ ซ หลงั จากน้ันออกซเิ จนจะเข้าสกู่ ระแสเลอื ดและไปเลีย้ งส่วนต่างๆของรา่ งกายตอ่ ไป
ในภาวะที่มีปัญหาเก่ียวกับทางเดินหายใจ หรือแม้แต่กรณีท่ีทางเดินหายใจปกติ แต่มีความ
ผิดปกติของปอด จะทาให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์คั่งได้ ในการแก้ไขปัญหา
ดังกล่าววิธีหน่ึง คือ การใส่ท่อช่วยหายใจ ซ่ึงจะทาให้สามารถนาออกซิเจนจากภายนอกผ่านทางเดิน
หายใจที่มีปัญหาได้ดีขึ้น ส่วนในรายท่ีมีความผิดปกติของปอด การใส่ท่อช่วยหายใจทาให้สามารถช่วย
หายใจผปู้ ่วยได้อยา่ งมีประสิทธิภาพมากขึน้
นอกเหนอื จากเหตผุ ลขา้ งตน้ แล้ว ยงั มอี ีกหลายสาเหตทุ ีท่ าใหผ้ ู้ปว่ ยตอ้ งไดร้ ับการใส่ท่อช่วยหายใจ
พยาบาลเป็นผู้ให้การพยาบาลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด จึงควรประเมินอาการหรือภาวะของผู้ป่วยท่ีมีความ
จาเปน็ ตอ้ งได้รับการรักษาด้วยการใสท่ อ่ ช่วยหายใจ เพอื่ ช่วยเหลือผูป้ ว่ ยให้ปลอดภยั อย่างทนั ท่วงที
ผ้ปู ่วยที่มคี วามจาเปน็ ตอ้ งใส่ทอ่ ช่วยหายใจ มี 2 ประเภท คอื
1. ผู้ป่วยที่มีอาการหอบเหน่ือย หายใจลาบาก ค่า O2 Sat (Oxygen Saturation : ระดับความ
อิ่มตัวของออกซิเจนในหลอดเลือดแดง) ต่ากว่า 95% มีอาการซึมลงจนถึงหมดสติ หรือระบบประสาทซิม
พาเธติกถูกกระตุ้นการทางานมาก ซ่ึงแสดงถึงภาวะการหายใจล้มเหลว (Respiratory failure) เช่น ผู้ป่วยท่ีมี
ปอดอักเสบรุนแรง, ถุงลมโป่งพองในระยะท้าย, กล้ามเนื้อท่ีใช้ในการหายใจอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต หรือมี
ความผดิ ปกติของระบบประสาทท่ีใช้ในการควบคุมการหายใจ เป็นตน้ ซง่ึ ผปู้ ่วยเหล่านจ้ี าเป็นตอ้ งได้รับการช่วย
หายใจ (Positive pressure ventilation) ผา่ นทางทอ่ ช่วยหายใจ
2. ผู้ป่วยที่มารบั การให้ยาระงับความรู้สึกแบบ general anesthesia โดยคานงึ ถึง
2.1 ชนิดการผ่าตัด ไดแ้ ก่ ผ่าตดั สมอง, หู คอ จมูก, หลอดลมใหญ่ และทา่ ของผปู้ ว่ ย ไดแ้ ก่
ท่าคว่า , ตะแคงกง่ึ คว่า และในการผ่าตดั ซ่งึ วสิ ญั ญแี พทย์ไม่สามารถควบคุมทางเดินหายใจ โดยยนื บรเิ วณ
ศรี ษะผู้ปว่ ย
2.2 การผ่าตดั ซงึ่ การหายใจเองของผ้ปู ว่ ย ไม่สามารถแลกเปล่ยี นก๊าซได้อยา่ งเพียงพอ ไดแ้ ก่
การผ่าตดั ทรวงอกและชอ่ งทอ้ ง
2.3 การผ่าตัดท่ีใช้เวลานานมาก, อาจมีการเสียเลือดมาก หรือตอ้ งการเฝ้าระวังชนิดอน่ื
นอกเหนือจากเร่อื งทางเดินหายใจ
2.4 ผปู้ ่วยทมี่ ีความเส่ียงตอ่ การสาลักอาหารหรือน้าย่อยในกระเพาะอาหารเขา้ ปอด
2.5 การใช้ mask เพอ่ื การดมยาสลบ ไม่สามารถควบคุมทางเดนิ หายใจไดเ้ พยี งพอ
2.6 มภี าวะแทรกซ้อนจากการผา่ ตัด หรือดมยาสลบทจ่ี าเป็นต้องใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ เช่น เกิด
total spinal anesthesia
วัตถุประสงคใ์ นการใสท่ ่อช่วยหายใจ 2
1. Patency of upper airway
ทาให้ทางเดินหายใจส่วนบนโล่ง แก้ไขภาวะอดุ กน้ั ของทางเดินหายใจ ซ่ึงอาจเกิดจากกอ้ นเนื้องอก,
การติดเช้อื ในระหวา่ งการดมยาสลบและผา่ ตดั , ท่านัง่ หรอื นอนตะแคง ซง่ึ อาจมีปัญหาทางเดินหายใจอุดกั้นได้
2. Prevent aspiration
เพ่อื ป้องกันการสาลักเศษอาหาร, นา้ ย่อยหรือส่งิ แปลกปลอม เข้าในทางเดินหายใจ โดยเฉพาะใน
ผู้ป่วยที่สูญเสียกลไกป้องกันการสาลักอาหารเข้าสู่ปอด เช่น ในผู้ป่วยที่ได้รับยาสลบหรือยาหย่อน
กลา้ มเน้ือ, ผู้ป่วย Head - injury ท่ไี มร่ สู้ ึกตวั
3. Remove secretion
เพ่ือดูดเสมหะจากทางเดินหายใจ เพ่อื การรกั ษาและวินจิ ฉยั โรคติดเชื้อทางเดนิ หายใจส่วนล่าง
4. Provide positive pressure ventilation
เม่ือต้องการช่วยหายใจแบบแรงดันบวกเป็นระยะเวลานานในผู้ป่วยที่หยุดหายใจจากสาเหตุต่างๆ
หรอื ในผปู้ ่วยท่ไี ม่สามารถหายใจเองได้เพียงพอ เช่น ผูป้ ว่ ยท่รี ะบบหายใจล้มเหลว, โรคปอดอักเสบ, ผูป้ ่วย
โรค Myasthenia gravis ฯลฯ
5. Surgery
การผ่าตัดที่ไม่สามารถควบคุมการหายใจด้วย Mask ได้ เช่น กรณีท่ีต้องผ่าตัดท่านอนคว่า หรือ
นอนตะแคงในการผ่าตัดบริเวณด้านหลัง, การผา่ ตัดใกลก้ ับทางเดินหายใจ ในการผา่ ตดั สมอง จมกู คอ,
การผ่าตดั ทีต่ อ้ งควบคุมการหายใจดว้ ย Positive pressure ventilation เพ่ือให้มกี ารแลกเปล่ียน
กา๊ ซไดอ้ ยา่ งเพียงพอ เชน่ การผ่าตดั ในชอ่ งทอ้ งหรอื ในช่องอก ซึง่ ต้องมกี ารใชย้ าหยอ่ นกล้ามเน้อื ร่วมด้วย
การผ่าตัดท่ใี ชเ้ วลานานและมีการเสยี เลอื ดมาก
กายวภิ าคของกลอ่ งเสียง 3
Larynx มีลักษณะเป็นกล่อง ในผู้ใหญ่จะวางอยู่ด้านหน้าต่อกระดูกสันหลังคอ ระดับท่ี 4-6
เป็นส่วนประกอบของทางเดินหายใจส่วนต้น มีหน้าที่สาคัญในการป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าใน
หลอดลม และยังมหี นา้ ทใี่ นการออกเสียง
กล่องเสียงของคนเราประกอบด้วยกระดูกอ่อน 9 ชิ้น ได้แก่ thyroid, epiglottic cartilage,
cricoid cartilage, และกระดูกอ่อนช้ินเล็กๆอีก 3 คู่ ดังนี้ corniculate, cuneiform, และ arytenoid
Vocal cord เป็น ligament ทีเ่ กาะจากมุมด้านในของ thyroid cartilage มายงั arytenoid ทั้งสองข้าง
ช่องที่อยู่ระหว่าง vocal cord เรียกว่า Glottic opening (Rima Glottidis) ซึ่งจะเป็นส่วนที่แคบท่ีสุด
ของกล่องเสียงในผู้ใหญ่ แต่ในเด็กส่วนที่แคบที่สุดของกล่องเสียงจะอยู่ท่ีกระดูก Cricoid ซึ่งเป็นกระดูก
ออ่ นชน้ิ เดยี วของ larynx ท่มี ีลกั ษณะเป็นวงกลม
รปู ท่ี 1 กลอ่ งเสยี ง
4
True vocal cord
รปู ท่ี 2 vocal cord
กลา้ มเน้ือของกลอ่ งเสียง เปน็ กลา้ มเนื้อลาย แบ่งเปน็ 2 กลมุ่ คอื
1. Extrinsic muscle เกาะจากกล่องเสยี งไปยงั อวยั วะข้างเคียง
2. Intrinsic muscle เปน็ กล่มุ ของกลา้ มเนือ้ เล็กๆ ภายในกลอ่ งเสยี ง
กล้ามเน้อื Intrinsic muscle ทกุ มัดจะถูกเลยี้ งดว้ ย recurrent laryngeal nerve
ยกเวน้ cricothyroid muscle เพียงมัดเดยี วซงึ่ ทาหน้าที่ vocal cord tensor จะถูกเลย้ี งโดย external
branch ของ superior laryngeal nerve
เสน้ ประสาทท่ีรบั ความรสู้ ึกบรเิ วณกล่องเสียงได้แก่
1. Internal branch ของ superior laryngeal nerve รับความรสู้ ึกของกลอ่ งเสียง
บรเิ วณที่เหนอื ตอ่ vocal cord
2. Recurrent laryngeal nerve รับความรสู้ กึ ของกล่องเสียงบรเิ วณใต้ต่อ vocal cord
ท้งั หมด
การประเมนิ ผปู้ ว่ ยก่อนใสท่ อ่ ช่วยหายใจ 5
ในผู้ป่วยท่ีจาเป็นตอ้ งได้รบั การใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ เพราะมีพยาธสิ ภาพหรือโรคดงั ที่กล่าวขา้ งต้น
การใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจมกั ทาในภาวะทีฉ่ กุ เฉิน และเร่งด่วน ผู้ให้การรักษาไม่สามารถประเมินความยากง่าย
กอ่ นการใส่ทอ่ ช่วยหายใจได้ ตา่ งจากผปู้ ว่ ยท่ีมารบั การผ่าตัดแบบไมฉ่ กุ เฉิน จะมกี ารเตรยี มความพร้อม
กอ่ นการผา่ ตัด และกอ่ นให้ยาระงบั ความร้สู ึก ซ่ึงการประเมนิ ความยากง่ายในการใส่ทอ่ ช่วยหายใจเปน็
ส่วนหนึ่งในการเตรียมความพรอ้ มดงั กลา่ ว
1. ประวตั ิ ผู้ป่วยเคยมีประวัติใส่ท่อช่วยหายใจยากมาก่อนหรือไม่ มีโรคประจาตัว เช่น
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, หอบหืด, ความดันโลหิตสูง ฯลฯ มีประวัติเสียงแหบหรืออาการกลืนลาบาก
หรือไม่
2. ตรวจรา่ งกาย
- ตรวจร่างกายทั่วไป ท่ีสาคัญคือ ระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย ลักษณะการหายใจของผู้ป่วย
ลกั ษณะการหายใจของผปู้ ว่ ย
- บริเวณทีเ่ กย่ี วข้อง ตัง้ แตป่ าก ลิ้น ฟนั Temporomandibular joint กระดูกสันหลังระดบั คอ
การมีพยาธิสภาพของอวัยวะเหล่านี้ เช่น เนื้องอก การอักเสบหรือการติดเช้ือ อาจทาให้มีปัญหา
ในการใสท่ อ่ ช่วยหายใจ
วิธีการประเมินผปู้ ่วยเพอื่ การใส่ทอ่ ช่วยหายใจอยา่ งง่ายๆ
1. ให้ผู้ป่วยก้มหรือเงยคอ ในคนปกติควร Extend คอได้ประมาณ 90-160 องศา ในผู้ป่วยสูงอาย,ุ
อ้วน หรือมีโรคของกระดูกสนั หลงั ระดับคอ ทาใหก้ ้มหรอื เงยคอไดน้ ้อย อาจมปี ญั หาการใส่ท่อช่วยหายใจได้
2. Mallampati โดยใหผ้ ปู้ ่วยน่ัง อา้ ปากกวา้ งทส่ี ุดพร้อมทงั้ แลบล้ินออกมาเตม็ ท่ี สังเกตดู Uvula,
base of tongue และ tonsil ทัง้ สองขา้ ง แบ่งเป็น 4 grade ดังรูปที่ 3
6
รปู ที่ 3 Mallampati
Grade 1 สามารถมองเห็นทงั้ Uvula, base of tongue และ tonsil ทงั้ สองข้าง
Grade 2 เห็น Uvula, base of tongue แตไ่ ม่เห็น tonsil ทงั้ สองข้าง
Grade 3 เห็นเฉพาะบางส่วนของ Uvula
Grade 4 ไมเ่ ห็น Uvula
มากกว่า 90% ของผู้ป่วยจัดอยู่ Grade 1-2 ซึ่งมักไม่มีปัญหาในการใส่ท่อช่วยหายใจ แต่ในกรณี
ท่เี ปน็ Grade 4 ซ่งึ พบนอ้ ยกว่า 1% ของผปู้ ่วยท้งั หมดพบว่าการใส่ท่อชว่ ยหายใจจะยากมาก
3. วัดระยะระหว่างปลายคางถึงกระดูก hyoid bone ปกติระยะระหว่างกระดกู ท้ังสองควรกว้าง
มากกว่าหรือเท่ากับ 2 น้ิวมือ หรือ 6 เซนติเมตร ดังรูปท่ี 4 ถ้าระยะห่างน้ีลดลงแสดงว่าช่องระหว่างโคน
ลิ้นถึงด้านบนของ epiglottis แคบและ Vocal cord อยู่ค่อนมาด้านหน้า (cord anterior) ดังนั้นการทา
laryngoscope เพ่อื ใหเ้ หน็ Vocal cord มักเปน็ ไปได้ยาก ทาใหก้ ารใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจยาก
Hyoid bone
รูปท่ี 4
อปุ กรณ์ทใ่ี ชส้ าหรบั ใสท่ ่อชว่ ยหายใจ (Equipment) 7
1. Laryngoscope ประกอบดว้ ย 2 สว่ นสาคัญ
- Handle ดา้ มจับ ภายในมี Battery อยู่
- Blade เป็นส่วนท่ีใสเ่ ข้าในช่องปากผู้ปว่ ย ท่ีปลายมไี ฟอยู่ทาใหส้ ามารถมองเห็นภายในช่อง
ปากได้
ชนดิ และขนาดของ Blade
ชนิดของ Blade แบ่งตามลักษณะได้ 2 ชนิด
- Blade โคง้ เชน่ Macintosh
- Blade ตรง เช่น Wisconsin, Miller
ขนาดของ Blade มีหลายขนาด ตงั้ แต่ 0, 1, 2, 3, 4 โดยเบอร์ 4 เปน็ ขนาดใหญท่ ี่สดุ
รูปที่ 5 ชนิดและขนาดตา่ งๆ ของ Blade
ควรเลือกชนิดและขนาดของ Blade ให้เหมาะสมกับอายุและน้าหนักตัว ผู้ป่วยในผู้ใหญ่
นิยมใช้ Blade โค้งในการใส่ท่อช่วยหายใจ โดยวางให้ปลาย Blade อยู่ระหว่างโคนลิ้น และ
ดา้ นบนของ Epiglottis ซ่งึ ไมก่ ระตุน้ ให้เกดิ vagal reflex และเกดิ การบาทดเจบ็ ตอ่ vocal cord
น้อยกว่าในเด็ก เนื่องจากกล่องเสียงอยู่ค่อนมาด้านหน้ามาก และ Epiglottis แคบ ทามุมกับ
หลอดอาหารมากกวา่ ในผ้ใู หญ่ ดังนนั้ การใสท่ ่อช่วยหายใจในผู้ปว่ ยเด็กจงึ นิยมใช้ Blade ตรง โดย
ใส่ให้ปลายของ Blade อยู่ใต้ต่อ Epiglottis และเมื่อยกปลาย Blade ขึ้นจะสามารถมองเห็น
vocal cord แตเ่ นอ่ื งจากด้านล่างของ Epiglottis (laryngeal surface) ถกู เล้ยี งดว้ ยเส้นประสาท
ท่มี าจาก vagus nerve การใช้ Blade ตรงในการทา laryngoscope ในเดก็ อาจทาใหเ้ กิด reflex
bradycardia ทาใหห้ วั ใจเต้นช้า ความดันเลือดตกจนอาจเกิดอันตรายตอ่ ผู้ป่วยได้
8
การใช้ Blade ขนาดใหญ่เกินไป อาจทาให้เกิดอันตรายต่อ อวัยวะในช่องปาก pharynx,
larynx, esophagus และ vocal cord ได้ แต่ถ้าขนาดเล็กเกินไปอาจทาให้ไม่สามารถมองเห็น
vocal cord ได้
ตารางท่ี 1 แสดงขนาดและชนิดของ Blade ท่เี หมาะสม
อายุ ขนาดและชนดิ ของ Blade
ตรง โคง้
Premature 0 -
Neonate – 2 ปี 0–1 -
2 – 6 ปี 1–2 -
6 – 12 ปี 2 2
>12 ปี 3 - 4 3 - 4
2. Endotracheal tube (ทอ่ ช่วยหายใจ)
ปัจจุบันนิยมใช้ท่อช่วยหายใจท่ีทามาจากพลาสติก ชนิด polyvinyl chloride (PVC)
(ดงั รปู ท่ี 6) ซง่ึ ผา่ นการทดสอบแล้ววา่ ไม่เป็นพิษ และไม่ระคายเคอื งเนอ้ื เย่อื ลักษณะเป็นท่อกลวง
ใส มีตัวท่อที่มีเลขบอกความยาวจากปลายท่อเป็นหน่วยเซนติเมตร มีแถบ radiopaque ทาให้
มองเห็นได้จากเอกซเรย์ ขนาดของท่อช่วยหายใจบอกโดยใช้เส้นผ่านศูนย์กลางด้านในของท่อ
(internal diameter) ตั้งแต่ 2 – 9 มิลลเิ มตร โดยเพิม่ ครั้งละ 0.5 มิลลเิ มตร ท่ีด้านข้างของปลาย
ท่อมีรูเปิดอีกอันเรียก murphy’s eye ใช้เพ่ือเป็นทางให้อากาศผ่านเข้า-ออกได้ในกรณีที่ปลาย
ท่ออุดตนั
ลักษณะของท่อช่วยหายใจ มีหลายแบบข้ึนกับวัตถุประสงค์การใช้งาน มีทั้งชนิดมี cuff
และไม่มี cuff โดยท่อช่วยหายใจชนิดไม่มี cuff ใช้ในผู้ป่วยเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 8 ปี เน่ืองจาก
ส่วนที่แคบที่สดุ ของกลอ่ งเสียงอยทู่ ่ี cricoid cartilage
การเลือกท่อช่วยหายใจควรมีขนาดท่ีเหมาะสม ไม่ควรเลือกท่อช่วยหายใจขนาดเล็ก
เกินไป เนื่องจากท่อช่วยหายใจเมื่อลดขนาดลง 1 มิลลิเมตรจะเพิ่ม work of breathing จาก
34% เป็น 154% และเพิ่ม airway resistance จาก 25% เปน็ 100%
Pilot balloon
murphy’s eye adaptor
ขนาดของทอ่
รปู ที่ 6 ท่อช่วยหายใจ
ขนาดของท่อช่วยหายใจทใ่ี ชข้ ึ้นกับอายแุ ละขนาดตวั ผู้ป่วย 9
โดยปกตใิ นผใู้ หญ่ ชายใช้ขนาด 8.0 มิลลิเมตร
หญิงใชข้ นาด 7.5 มิลลิเมตร
เด็ก 6 เดอื น – 1 ปี ใช้ขนาด 3.5 – 4.0 มิลลเิ มตร
ตาแหน่งที่เหมาะสมของปลายท่อช่วยหายใจควรอยู่กึ่งกลางของ Trachea ซ่ึงปลายของท่อช่วย
หายใจจะอยูเ่ หนือ carina ประมาณ 2-4 เซนติเมตร เมอ่ื ศรี ษะของผู้ปว่ ยอย่ใู นทา่ ปกติ
ตารางท่ี 2 แสดงขนาดและความยาวทอ่ ชว่ ยหายใจในผปู้ ว่ ยอายตุ ่าง ๆ
Age ID Length (cm.)
Premature 2.5 7–8
Term infant 3 8–9
1 - 6 เดือน 3.5 10 – 11
6 เดอื น – 2 ปี 3.5 – 4.0 11 – 12
3 ปี 4.5 12 – 14
5 ปี 5.0 14
6 ปี 5.5 15
8 ปี 6.0 16
12 ปี 6.5 17
16 ปี 7.0 18
Adult หญิง 7.0 – 7.5 22 – 24
Adult ชาย 8.0 – 8.5 20 - 22
3. อปุ กรณ์อื่นๆ
- Suction ใชด้ ูดนา้ ลาย เสมหะ หรอื เลือด
- Stylet หรือ Guide wire มลี กั ษณะเป็นเส้นลวดหุ้มดว้ ยพลาสติก ส่วนปลายมน ใช้ใส่ภายใน
ทอ่ ชว่ ยหายใจเพื่อปรบั ความโคง้ ให้ไดต้ ามตอ้ งการ
- Magill forceps ใช้ในกรณีใส่ท่อช่วยหายใจทางจมูก เพื่อใช้จับบริเวณปลาย Endotracheal
tube และสอดผ่านสายเสยี งเข้าไป
- Mask, Ambu bag with Reservoir bag สายตอ่ กับออกซเิ จน เพื่อใชช้ ่วยหายใจ
- Adaptor ใช้ต่อทอ่ ช่วยหายใจเพอื่ ต่อเข้ากบั Ambu bag หรอื Breathing circuit
- Syringe 10 CC ใชส้ าหรับเป่าลมใน cuff
- Lubricant jelly สาหรับหลอ่ ลืน่ Stylet และ ปลายท่อชว่ ยหายใจ
- Stethoscope เพ่อื ฟังเสยี งลม ในการตรวจสอบตาแหนง่ ท่อช่วยหายใจ
- Tape หรือ fixomull สาหรบั ยดึ ทอ่ ช่วยหายใจใหอ้ ยกู่ บั ท่ี หลงั จากใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจได้แล้ว
- Oropharyngeal Airway
ทางสาหรบั ใส่ท่อช่วยหายใจ (Route for intubation) 10
00
1. Orotracheal intubation คือการใสท่ อ่ ช่วยหายใจทางปาก
2. Nasotracheal intubation คือการใส่ท่อช่วยหายใจทางจมกู
3. Tracheostomy คอื การใสท่ ่อช่วยหายใจผา่ นรูท่เี จาะคอไว้ (ในทนี่ จ้ี ะไมก่ ลา่ วถงึ )
การปฏิบัติในการช่วยแพทยใ์ สท่ ่อช่วยหายใจ
การใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจทางปาก (Orotracheal intubation)
เป็นวธิ ที ีน่ ิยมทสี่ ุด โดยเฉพาะในกรณที ี่รบี ด่วน มวี ิธีการปฏบิ ัติดงั นี้
1. ขัน้ เตรยี มก่อนการใส่ทอ่ ช่วยหายใจ
1.1 การประเมินผปู้ ว่ ยก่อนการใสท่ ่อชว่ ยหายใจ
การประเมินก่อนการใส่ท่อช่วยหายใจ นอกจากต้องทราบประวัติการเจ็บป่วย
โรคประจาตัว ประวัติการใส่ท่อช่วยหายใจ ภาวะแทรกซ้อนที่เคยเกิดข้ึน และการตรวจร่างกาย
เพื่อประเมินความยากง่ายในการใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว นอกจากนี้พยาบาล ควรมีการติดตาม
ประเมินระดับความรู้สึกตัว สัญญาณชีพ ลักษณะการหายใจของผู้ป่วย ผลการตรวจทาง
ห้องปฏิบัติการที่เก่ียวข้อง รวมถึงความรู้ความเข้าใจ และความวิตกกังวลของผู้ป่วย ในการใส่ท่อ
ช่วยใจ เพือ่ สามารถใหก้ ารพยาบาลท่ีเหมาะสมครอบคลมุ ดา้ นกาย จิต จิตสงั คม และจิตวิญญาณ
ของผู้ปว่ ย และสามารถป้องกนั ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขน้ึ จากการใสท่ ่อชว่ ยหายใจได้
1.2 การเตรียมผู้ปว่ ยกอ่ นการใสท่ อ่ ช่วยหายใจ
ก่อนการใส่ท่อช่วยหายใจ หลังจากประเมินผู้ป่วยรวมถึงระดับความรู้สึกตัวอาจ
จาเป็นต้องให้ sedation drugs for intubation ก่อนการใส่ท่อช่วยหายใจตามแผนการรักษา
นอกจากนยี้ ังควรให้ความรคู้ วามเข้าใจในการใส่ท่อชว่ ยหายใจรวมถึงแผนการรักษาของแพทย์กับ
ผปู้ ่วยเพอื่ ให้ผู้ป่วยคลายวิตกกงั วล
ตรวจสอบและเตรียม sign consent form หนังสือแสดงความยินยอมรับการ
รกั ษาดว้ ยการใสท่ ่อช่วยหายใจ ใหเ้ รยี บร้อย
เตรียมร่างกายผู้ป่วยให้พร้อมสาหรับการใส่ท่อช่วยหาย เช่น หากผู้ป่วยใส่ฟัน
ปลอมให้นาออกก่อน, Suction clear air way เป็นต้น
สิ่งสาคัญท่ีจะทาให้การใส่ท่อช่วยหายใจประสบผลสาเร็จนอกจากความรู้ความ
ชานาญของแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยให้ความร่วมมือ แล้ว การจัดท่าท่ีถูกต้องในการใส่ท่อช่วย
หายใจถือว่าจาเป็นอย่างย่ิง อีกทั้งยังช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ท่อช่วยหายใจด้วย
โดยมีวิธีการและรายละเอยี ดดงั นี้
11
การจัดท่าผูป้ ว่ ยสาหรบั ใส่ทอ่ ช่วยหายใจ 00
ปรับเตียงราบและปรับระดับให้สูงจนถึงขอบล่างของกระดูก Xiphoid ของแพทย์ผู้ใส่ และจัดท่า
ผู้ป่วยให้อยู่ในท่าท่ีถูกต้อง คือ หนุนหมอนสูง 10 ซม. ใต้ occiput โดยท่ีไหล่ยังต้องอยู่บนพื้นเตียง เพื่อ
เป็นการ flex คอข้ึนมาจากหน้าอก 35 องศา แล้ว extend ศีรษะโดยการ extend atlanto-occipital joint
ซึ่งจะพบว่ามุมของจมูกกับแกน occiput ของศีรษะเป็น 80 – 85 องศา และแกนของใบหน้าจะเป็น 15 องศา
กับแนวพ้นื ราบ เรยี กวา่ ทา่ sniffing (รปู ที่ 9) ซงึ่ เมอ่ื ใส่ laryngoscope แล้วสามารถเห็น glottis ไดง้ า่ ย
จากการท่ีแกนของปาก (oral), Pharynx และ larynx อยู่ใกล้กนั มาก ในแนวเกอื บเปน็ เส้นตรง
รปู ที่ 9 sniffing position
1.3 การเตรียมอปุ กรณ์
1.3.1 Laryngoscope blade และ handle ที่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานทันที โดยจะต้องมีการ
ตรวจสอบกอ่ นดงั น้ี
- เตรียม blade โดยเลอื กขนาดใหเ้ หมาะสมกบั ผปู้ ่วย (ตามตารางท่ี 1)
- ประกอบ blade และ handle เขา้ ดว้ ยกนั และตรวจความสวา่ งของหลอดไฟ
1.3.2 สารหล่อล่นื เชน่ K-Y jelly ไวส้ าหรับหล่อล่ืน stylet และ ปลายท่อหลอดลมคอ
1.3.3 กระบอกฉีดยาขนาด 10 ซซี ี สาหรบั ใสล่ มเข้าไปใน cuff ของทอ่ ช่วยหายใจ
1.3.4 ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal Tube) พร้อม adapter ซ่ึงมีขนาดเหมาะสมกับผู้ป่วย
(ตามตารางที่ 2) และต้องตรวจสอบก่อนว่า Cuff ไม่ร่ัว โดยการใช้กระบอกฉีดยาขนาด 10 ซีซี ดูด
air เพ่ือ blow cuff เม่ือผา่ นการทดสอบใหด้ ูด air ออกให้หมด ภายหลงั จากใส่ stylet เรยี บร้อย
(ดวู ธิ กี ารใส่ ขอ้ 1.3.5) ใหด้ ดั เป็นรูป J-Shape ดังรปู ท่ี 7 แลว้ ทาเจลหล่อล่ืนบริเวณปลายทอ่ ด้วย
sterile technique
12
00
1.3.5 Stylet เพื่อเป็นตัวนาทาให้การใส่ท่อช่วยหายใจสะดวกข้ึน โดยเคลือบ stylet ด้วย
สารหล่อลื่น K-Y jelly เพอ่ื ให้ใสแ่ ละดงึ ออกได้สะดวก แล้วใสเ่ ข้าไปใน Endotracheal tube
ด้วย sterile technique การใส่ stylet ต้องระวังไม่ให้ปลายโผล่พ้น Endotracheal tube
ออกมา ดังน้ันเมื่อใส่ stylet แล้วให้งอส่วนบนท่ีเหลือลงมาแนบกับ Tube ด้วย ดังรูปท่ี 7
เพราะถ้าปลายโผลพ่ น้ tube ออกมา จะทาให้เกดิ อนั ตรายต่อ Trachea ได้
รปู ท่ี 7 การใส่ stylet
1.3.6 Ambu bag (self inflating bag) with Mask พรอ้ ม Reservoir bag สายตอ่ กับ
Oxygen เพ่อื ให้ 100% O2 ventilation โดยเลือกขนาด Mask ให้พอดกี ับหนา้ ผูป้ ว่ ย
1.3.7 Stethoscope เพ่ือฟงั เสียงลมเข้าออกในการตรวจสอบตาแหน่งทอ่ ชว่ ยหายใจ
1.3.8 พลาสเตอร์ ชนดิ เหนียว สาหรบั strap ET-Tube
1.3.9 Oropharyngeal airway (OPA) เพ่ือป้องกันในกรณีผู้ป่วยกัดท่อช่วยหายใจ การ
เลือกขนาดที่เหมาะสมโดยการวดั ขนาดจากมุมปากไปยัง angle of the mandible ดังรปู ท่ี 8
รปู ท่ี 8 การวัดเลือกขนาด Oropharyngeal airway
1.3.10 เคร่ืองดูดเสมหะพร้อมสาย เน่ืองจากขณะใส่ท่อช่วยหายใจ มักจะทาให้เกิดการ
ระคายเคือง ผู้ป่วยจะมีน้าลายออกมามาก ผู้ช่วยเหลือจะต้องดูดออกตลอดเวลา เพื่อป้องกัน
การสาลักและขัดขวางการใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ
13
2. ข้นั ปฏบิ ตั กิ ารช่วยแพทยใ์ สท่ อ่ ช่วยหายใจ 00
กอ่ นเรมิ่ ปฏิบตั ิการใสท่ อ่ ช่วยหายใจ แพทยแ์ ละพยาบาลล้างมือตามเทคนิคท่ีถูกตอ้ ง และ
ใสอ่ ปุ กรณ์ PPE หลงั จากจัดทา่ ผู้ป่วยเรยี บรอ้ ยแล้ว เร่ิมการใส่ท่อชว่ ยหายใจดงั ขัน้ ตอนต่อไปนี้
2.1 ทา face – mask ventilation ดว้ ยออกซเิ จนความเขม้ ข้นสงู ประมาณ 3-4 นาที
2.2 ในกรณีทผี่ ู้ปว่ ยไม่ร่วมมอื แพทยอ์ าจพจิ ารณาให้ sedation drug ตามความเหมาะสม พรอ้ ม
กบั ช่วยหายใจตอ่ ไปจนยาออกฤทธเ์ิ ตม็ ที่
2.3 แพทย์ผู้ใส่ท่อช่วยหายใจทาการเปิดปากผู้ป่วย ด้วยมือขวา โดยใช้น้ิวโป้งผลักกรามล่างและ
น้วิ ชผ้ี ลักกรามบนออกจากกัน (Cross finger)
2.4 เม่ือแพทย์เปิดปากได้แล้ว พยาบาลส่ง laryngoscope โดยจับใกล้กับฐานของ handle ให้
blade อย่ดู า้ นล่าง และปลายของ blade หนั เขา้ หาตวั ผ้สู ง่
2.5 แพทย์จะรับด้วยมือซ้าย และใส่ laryngoscope blade เข้าทางขวาของปาก ใส่ blade จน
ปลายถึงโคนลิ้น โดยปัดลิ้นไปทางด้านซ้าย ให้ blade อยู่ก่ึงกลาง ปลาย blade โค้ง
(Macintosh) ควรอยูท่ ี่ vallecular (ช่องวา่ งระหวา่ งโคนลิน้ และ epiglottis)
2.6 ออกแรงไปด้านบนและไปข้างหน้าจะทาให้ยก epiglottis ข้ึน จนเห็น vocal cord การยกน้ี
ใช้แรงของไหล่และแขนโดยข้อมือให้ยกขึ้นตรง จะไม่ flex ข้อมือมิฉะนั้นจะกลายเป็นใช้ฟันเป็น
จุดหมุนทาให้ฟันหัก หรือเหงือกมีเลือดออกได้ รูปท่ี 10 กรณีที่เป็น Blade ตรง (Miller) ปลาย
blade ควรอยใู่ ต้ epiglottis แลว้ จึงยก blade ข้ึน epiglottis จะถกู ยกขนึ้ และเหน็ vocal cord รูปที่ 11
รปู ที่ 10 แสดงทา่ ของการใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ blade โคง้
ทางด้านขา้ งเมื่อ
1 คือ epiglottis
2 สายเสียง
3+4 กระดูก arytenoid
รปู ที่ 11 การใส่ blade ตรง
14
2.7 เมื่อเห็น vocal cord ชัดเจน แพทย์จะขอ endotracheal tube ที่เตรียมไว้ โดยพยาบาล 00
จับบรเิ วณ tube ใกล้กบั adapter รวบสายของ cuff ไวใ้ นมือเดียวกนั หนั ปลาย tube เขา้ หาตัว
ผ้สู ง่ ดว้ ย sterile technique
2.8 แพทยจ์ ะหยบิ ทอ่ ชว่ ยหายใจดว้ ยมอื ขวาแบบจับปากกา และใส่เข้าไปทางมุมปากขวา โดย ใ ห้
ส่วนโค้งของทอ่ อยู่ดา้ นล่างผ่านระหว่าง vocal cord ลงไป ใหข้ อบบนของ cuff ผา่ น vocal cord
ลงไป ประมาณ 2 เซนติเมตร ท่อช่วยหายใจบางยหี่ ้อจะมีขดี ดาตรงตาแหน่งนัน้ เพือ่ เปน็ จดุ สังเกต
สาหรับความลึกในผู้ใหญ่ปกติ ผู้ชายจะอยู่ท่ีมุมปากขีด 22-23 เซนติเมตร ผู้หญิงอยู่ท่ีมุมปากขีด
20-21 เซนตเิ มตร (สาหรับความลกึ ท่อชว่ ยหายใจในเดก็ มีสูตรคานวณ แต่ในทีน่ ไ้ี ม่ขอกลา่ วถึง)
2.9 เม่ือแพทย์แจ้งว่าได้ตาแหน่งท่ีเหมาะสม ให้ดึง stylet ออกได้ พยาบาลทาการดึง stylet
ออกทันทีในขณะทแ่ี พทย์จบั ทอ่ ช่วยหายใจใหแ้ น่นเพ่อื ไม่ให้มีการเลอื่ นหลดุ ของท่อช่วยหายใจ
2.10 พยาบาลใช้กระบอกฉดี ยา blow cuff ประมาณ 5 – 10 ml
2.11 หลังจากนั้นต่อ Ambu bag กับท่อช่วยหายใจ เพ่ือ ventilation ผู้ป่วย ด้วยออกซิเจนความเข้มข้นสูง
พร้อมกับใช้มืออกี ข้างจบั ท่อช่วยหายใจยดึ ไว้กับมุมปากให้มั่นคงเพือ่ ป้องกนั การเล่อื นหลุด
2.12 หากมี Secretion ในท่อชว่ ยหายใจ ใหท้ าการ Suction Clear Airway ด้วย Sterile technique
ทถี่ กู ตอ้ งตามมาตรฐาน และแนวทางปฏบิ ัติ
3. ขัน้ ปฏบิ ัติหลังการชว่ ยแพทย์ใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจ
3.1 ทาการยนื ยนั ตาแหน่งท่อชว่ ยหายใจ วิธที ีใ่ ช้ยืนยนั ตาแหนง่ ท่อชว่ ยหายใจได้แก่
- การดกู ารกระเพือ่ มของหน้าอกเวลาทีเ่ ราให้ positive pressure แกผ่ ปู้ ว่ ย เท่ากนั สองข้าง
- การฟังปอดด้วย Stethoscope เปน็ วิธีที่นิยมมากท่ีสดุ การฟงั ทีถ่ กู วิธีควรฟังท้งั หมด 5 ตาแหน่ง
ได้แก่ ส่วนบนข้างหน้าอกท้ังสองข้าง เพ่ือฟังเสียงหายใจของ Upper lobe บริเวณชายปอดทั้ง
สองข้างเพื่อฟังเสียงหายใจของ Lower lobe และฟังท่ี Epigastrium เพ่ือฟังว่ามีเสียงลมใน
กระเพาะอาหารจาก Esophageal intubation หรือไม่
- การนาเคร่ืองวัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในลมหายใจออก (Endtidal–CO2) ถ้ามีกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์
(CO2 waveform) ออกมากบั ลมหายใจทุกครง้ั ท่ีช่วยหายใจ แสดงวา่ ทอ่ ช่วยหายใจอยู่ในTrachea แนน่ อน
- คา่ ความอิม่ ตวั ของออกซิเจนในเลือดทปี่ ลายน้ิว (Pulse oximeter) หลงั จากใส่ทอ่ ช่วยหายใจใน
ตาแหน่งท่ีถกู ต้องแลว้ คา่ Oxygen saturation ไมค่ วรจะลดลงและมีค่า >95%
- Chest X-Ray เม่ือศรี ษะของผปู้ ่วยอยู่ในท่าปกติ ทอ่ ชว่ ยหายใจจะอยใู่ นตาแหนง่ ท่ีเหมาะสม คอื
ก่ึงกลางของหลอดลม ซึ่งจะอยู่เหนือต่อ carina ประมาณ 2-4 เซนติเมตร เมื่อภายหลัง แพทย์
ยืนยันตาแหน่งท่อช่วยหายใจจากภาพถ่ายรังสีทรวงออกแล้ว ให้ทาการ Short Tube โดยให้อยู่
เหนอื มุมปากประมาณ 1- 2 นิว้
หากไม่สามารถยืนยันไดช้ ัดเจนว่าเห็นท่อช่วยหายใจผ่านสายเสยี ง และ ค่า Oxygen saturation
ต่าลง มีการเปลี่ยนแปลงความดันเลือด มีการเต้นผิดจังหวะของหัวใจภายหลังการใส่ท่อช่วยหายใจ
แนะนาให้ถอดท่อช่วยหายใจออก ช่วยหายใจโดย Bag – Mask จนผู้ป่วยอาการดีข้ึนจึงพยายาม
ใส่ทอ่ ชว่ ยหายใจใหม่
15
00
3.2 ทาการยึดตาแหน่งพลาสเตอร์ที่เตรียมไว้ โดยใช้พลาสเตอร์เหนียว 2 เส้น ติดท่ีมุมปากบน
พันรอบท่อช่วยหายใจแล้วมาติดที่แก้ม หลังจากน้ันใช้พลาสเตอร์เหนียวอีกเส้นติดท่ีมุมปากล่าง
พนั รอบทอ่ ช่วยหายใจแล้วมาติดท่แี กม้ เชน่ เดยี วกัน ดังรปู ท่ี 12
รูปที่ 12 การตดิ พลาสเตอร์ เพอื่ ยดึ ตาแหนง่ ทอ่ ช่วยหายใจ
3.3 ตอ่ Oxygen Therapy ให้กบั ผู้ป่วยตามแผนการรักษา
3.4 ตรวจสอบ Cuff Pressure ใหม้ คี วามดันไมเ่ กนิ 25 – 30 เซนตเิ มตรนา้ ปกติควรใสล่ มเขา้ ไ ป
ภายใน Cuff จนไม่มีลมร่ัวท่ีค่า peak airway pressure ถ้าใส่ลมวัดจนค่าความดันภายใน Cuff
ได้ค่อนข้างสูงแล้ว แต่ยังมีลมร่ัวทั้งๆที่ค่า peak airway pressure ไม่ได้สูงมาก แสดงว่าขนาด
ของท่อช่วยหายใจอาจเล็กเกินไปเม่ือเทียบกับขนาดหลอดลมของปู้ป่วย จึงควรเปล่ียนขนาดของ
ท่อชว่ ยหายใจใหใ้ หญข่ ้นึ ทง้ั น้ี เพื่อปอ้ งกันความดันภายใน Cuff สูงมากจนไปกดผนงั หลอดลม
ทาให้เกิดการขาดเลือด และ necrosis ได้ และควรตรวจสอบ Cuff ช่วงต้นเวร และปลายเวร
และทุกครั้งก่อน Feeding เพ่ือป้องกัน Aspiration และ Cuff Leak อันจะทาให้ผู้ป่วยเกิดภาวะ
พร่องออกซิเจน หรือท่อชว่ ยหายใจเล่ือนหลดุ ได้
3.5 จดบันทึกสัญญาณชีพ ขนาดและตาแหน่งของท่อช่วยหายใจ สังเกตภาวะแทรกซ้อนจากการ
ใสท่ ่อชว่ ยหายใจและจดบนั ทึกทางการพยาบาลให้เรียบร้อย
3.6 จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่าที่เหมาะสม ถ้าไม่มีข้อห้ามให้จัดผู้ป่วยในท่า fowler's position เพื่อ
ป้องกันการสาลัก และให้ปอดขยายตัวได้อย่างเต็มท่ี จัดตาแหน่งท่อช่วยหายใจไม่ให้มีการดึงร้ัง
เพื่อป้องกันการเล่ือนหลุดของท่อช่วยหายใจ และ หม่ันตรวจสอบตาแหน่งของท่อช่วยหายใจว่า
อยใู่ นตาแหน่งที่ถกู ตอ้ ง ดงั ข้อ 3.1 เสมอ
16
00
การใส่ท่อชว่ ยหายใจทางจมกู (Nasotracheal intubation)
เป็นการใส่ท่อช่วยหายใจผ่านทางจมูก มีข้อบ่งชี้ในการใส่คล้ายกับการใส่ท่อช่วยหายใจ
ทางปาก นิยมใช้ในผู้ป่วยท่ีต้องผ่าตัดบริเวณช่องปาก และในกรณีที่ต้องใส่ท่ออยู่นาน ผู้ป่วยจะ
สามารถทนตอ่ ท่อชว่ ยหายใจได้ดีกว่าเม่ือใส่ทางปาก การยดึ ทอ่ ให้อยูก่ ับที่เปน็ ไปไดง้ า่ ย
ทาโดยใสท่ ่อช่วยหายใจ (ไมใ่ ส่ Stylet) ทางจมูกขา้ งใดขา้ งหน่ึง (นยิ มขนาดเลก็ กวา่ ท่อที่ใชท้ าง
ปาก 1 ขนาด) ผ่านลงมาจนถึง nasopharynx แล้วใช้ laryngoscope เปิดดูในช่องปากด้วยวิธี
เดียวกบั การใสท่ ่อชว่ ยหายใจทางปาก เมอื่ เห็นปลายท่อดังกล่าวจงึ ใช้ Magill forceps จับที่ปลาย
ท่อจัดให้ปลายท่อช่วยหายใจอยู่เหนือ vocal cord พอดี จากน้ันให้ผู้ช่วยดันท่อช่วยหายใจจาก
ด้านบน มองดูจนเห็น cuff ของท่อผ่าน glottis ลงไป ระวังอย่าใช้ Magill forceps จับที่บริเวณ
cuff เพราะอาจทาให้ cuff แตก ร่ัว ได้ สาหรับความลึกของท่อช่วยหายใจทางจมูกจะบวกอีก
ประมาณ 3 เซนตเิ มตร จากการใสท่ ่อชว่ ยหายใจทางปาก
รูปที่ 13 การใส่ท่อชว่ ยหายใจทางจมูก
ข้อจากัดของการใส่ท่อช่วยหายใจทางจมูกนอกจากวิธีการค่อนข้างยุ่งยากต้องอาศัย
ประสบการณม์ ากและใชเ้ วลาในการใส่ค่อนขา้ งนาน ทาให้ไม่เหมาะกับกรณฉี ุกเฉินแลว้ ยงั อาจทา
ให้เกดิ trauma และการตดิ เช้อื ของ sinus รอบโพรงจมูกได้
ข้อหา้ มในการใสท่ ่อชว่ ยหายใจทางจมูก
1. ผูป้ ่วยที่มีความผดิ ปกติของการแขง็ ตัวของเลือด
2. Fracture base of skull
17
ภาวะแทรกซ้อนของการใสท่ อ่ ช่วยหายใจ 00
ขณะใส่ท่อชว่ ยหายใจ
1. Trauma
อันตรายจากเคร่ืองมือที่ใช้ต่อริมฝีปาก, pharynx, larynx, esophagus รวมถึง trachea
และสิ่งที่ต้องระวังในการใส่ท่อช่วยหายใจ คือ การเกิด Dental injuries อาจทาให้มีการอุดก้ัน
ของทางเดินหายใจขึน้ ได้
2. Cardiovascular system
ขณะทา laryngoscope มักพบความดันโลหติ สูงร่วมกบั มีอตั ราการเตน้ ของหวั ใจเพม่ิ ขึ้น
บางครั้งอาจพบ arrhythmia ชนดิ PVC, Bradycardia
3. Respiratory system
อาจเกิด hypoxia ขณะพยายามใส่ท่อช่วยหายใจ โดยเฉพาะในกรณีที่ใส่ท่อช่วยหายใจ
ยาก และผู้ปว่ ยหายใจไดเ้ องไม่เพยี งพออยู่แลว้
อาจเกิด laryngospasm or bronchospasm ได้ถ้าทา laryngoscope ในขณะท่ีผู้ป่วย
หลบั ไม่ลึกพอ โดยเฉพาะในผูป้ ว่ ยโรคหอบหดื
4. Aspiration
การใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยที่มีภาวะ full stomach อาจเส่ียงต่อการสาลักอาหารหรือ
ส่ิงแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลม ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังน้ันในกรณีท่ีผู้ป่วยหมดสติ อ้วน
หรือหญิงมีครรภ์ ถ้าจาเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจโดยใช้ยาหย่อนกล้ามเน้ือ ควรให้ผู้ช่วยทา
cricoid pressure โดยใช้น้ิวกดที่บริเวณ cricoid cartilage เพ่ือป้องกันไม่ให้เศษอาหารหรือ
น้ายอ่ ยในกระเพาะอาหารล้นขนึ้ มา
5. Esophageal intubation
ใส่ท่อช่วยหายใจเข้าในหลอดอาหาร จะทาให้ไม่สามารถช่วยหายใจผู้ป่วยได้ ผู้ป่วยอาจ
เกิดภาวะขาดออกซเิ จน Cardiac arrest จนถึงเสียชีวิต ถ้าไมไ่ ด้รับการวินจิ ฉัยและแก้ไขได้ถกู ตอ้ ง
ทนั ทว่ งที
6. Failed intubation
เม่ือไมส่ ามารถใส่ท่อชว่ ยหายใจได้ ควรช่วยหายใจดว้ ย 100% ออกซิเจน จนกว่าผู้ป่วยจะ
กลบั มาหายใจเอง อาจต้องเปลย่ี นวธิ กี ารใส่ท่อช่วยหายใจใหม่
18
00
หลังใสท่ ่อช่วยหายใจ
1. obstruction
มีการอุดก้ันของท่อช่วยหายใจ จากการหัก งอ ของท่อ มีเลือด สิ่งแปลกปลอม เศษ
อาหาร หรือสง่ิ แปลกปลอมอดุ ในทอ่
2. Endobronchial intubation
จากการใสท่ ่อช่วยหายใจลงลึกเกินไป จนปลายท่อลงไปอยใู่ นหลอดลมข้างใดข้างหนงึ่ ทา
ให้ไม่สามารถ ventilate ปอดอีกข้างได้ ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะขาดออกซิเจน มีการค่ังของ
คาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อใช้ stethoscope ฟังจะได้ยินเสียงลมหายใจจากปอดด้านเดียว แก้ไข
โดยการเลอื่ นทอ่ ชว่ ยหายใจข้ึนมาจนสามารถไดย้ ินเสียงหายใจจากทง้ั สองข้าง
3. Displacement
ท่อช่วยหายใจเล่ือนหลุดออกจากหลอดลม ทาให้ไม่สามารถช่วยหายใจได้ และไม่ได้ยิน
เสยี งหายใจขณะช่วยหายใจด้วย Ambu bag ถา้ ผู้ป่วยไม่สามารถหายใจได้เองเพยี งพอ ควรแก้ไข
ด้วยการช่วยหายใจด้วย Mask ก่อนจนผู้ป่วยดีข้ึนไม่มีภาวะขาดออกซิเจน จึงทาการใส่ท่อช่วย
หายใจใหม่
4. Barotrauma
จากการใส่ท่อช่วยหายใจร่วมกับช่วยหายใจผู้ป่วยด้วยแรงดันบวกท่ีมากเกินทาให้ เกิด
pneumothorax ได้
5. Bronchospasm
ขณะท่ีใส่ท่อช่วยหายใจไว้ในหลอดลม อาจกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็ของกล้ามเน้ือเรียบ
ของหลอดลม การช่วยหายใจเพ่ิมสูงขึ้น Ambu bag จะบีบยากข้ึน อาจได้ยินเสียงคล้ายหวีด
เรียกวา่ wheezing ใหก้ ารรกั ษาด้วยยาขยายหลอดลม
6. Cuff leak
ถ้ามีการแตกของ cuff ทาให้ลมรั่วบริเวณด้านข้างของท่อช่วยหายใจ ไม่สามารถช่วย
หายใจด้วยแรงดันบวก ต้องเปล่ยี นท่อช่วยหายใจใหม่
7. Disconnect
มกี ารหลุดของ circuit ทต่ี ่อเขา้ กับท่อช่วยหายใจ ซ่งึ อาจทาให้เกิดภาวะ hypoventilation,
hypoxia ถา้ วินิจฉัยไมไ่ ดอ้ าจรุนแรงจนเกิด cardiac arrest ได้
เอกสารอ้างอิง
อรรัตน์ กาญจนวนชิ กุล, ปัณณวชิ ญ์ เบญจวลีย์มาศ, อรลักษณ์ รอดอนันต.์ (2561). การจัดการทางเดิน
หายใจและการช่วยหายใจ. คูม่ อื การชว่ ยชีวติ ข้ันสูง สาหรับบุคลากรทางการแพทย์ปี ค.ศ.2015.
พิมพค์ รง้ั ท่ี 4. กรงุ เทพฯ: บจก.ปัญญมติ ร การพมิ พ์; 79-93.
วิภาดา ติงธนาธิกุล. การจัดการระบบทางเดินหายใจ. (2559). ตาราพ้ืนฐานวิสัญญีวิทยา. พิมพ์คร้ังท่ี 1.
กรุงเทพ: โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ; 49-67.
บุศรา ศิริวันสาณฑ์. การดูแลทางหายใจ. (2556). ตาราวิสัญญีวิทยา. พิมพ์คร้ังท่ี 4. กรุงเทพ:
เอ-พลัส พร้นิ ; 215-231.
Clinical Quality & Patient Safety Unit, QAS. (2020). Clinical Practice Procedures:
Airway management/Oral endotracheal tube insertion. Retrieved from
https://www.ambulance.qld.gov.au. accessed on (16 July 2020).
Niedzwiecki B., Pepper J., Weaver P.A. (2020). Kinn's The Medical Assistant: An
Applied Learning Approach (14th). Elsevier Inc. 615-616.
Murrell D. (2020). Intubation: Everything you need to know. Retrieved from
https://www.medicalnewstoday.com. accessed on (17 July 2020).