สิบเรื่องซีไรต์
GROUP 4 (4ไรต์)
สิบเรื่องซีไรต์
GROUP 4 (4ไรต์)
คำนำ
รางวัลซีไรต์ (S.E.A. Write Award) เป็ นคำเรียกสั้นๆ ย่อมาจาก South East Asian
Writers Award หรือ รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน เป็ นรางวัล
วรรณกรรมที่มอบให้แก่นั กเขียนหรือกวีในกลุ่มประเทศอาเซียน ๑๐ ประเทศ เรียง
ตามลำดับตัวอักษร คือ กัมพูชา ไทย บรู ไนดารุ สซาลาม ฟิ ลิปปิ นส์ มาเลเซีย เมียนมา
ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนี เซีย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็ นที่รู้จักถึงความ
สามารถด้านสร้างสรรค์ของนั กเขียนในกลุ่มประเทศอาเซียนและเพื่อรับทราบ รับรอง
ส่งเสริม และจรรโลงเกียรติอัจฉริยะทางวรรณกรรมของนั กเขียนผู้สร้างสรรค์
รายงานเรื่อง“ สิบเรื่องซีไรต์ ” ฉบับนี้ เป็ นส่วนหนึ่ งของวิชาภาษาไทยเพื่อการ
สื่ อสาร มีประสงค์เพื่อศึ กษาความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมซีไรต์ ซึ่งรายงานฉบับนี้ มี
เนื้ อหาเกี่ยวกับการตีความ วิเคราะห์และสรุ ปเนื้ อหาของวรรณกรรมจากหนั งสือ
ประเภทกวีนิ พนธ์ นวนิ ยายและเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม
แห่งอาเซียน ซึ่งผู้จัดหวังเป็ นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุดต่อ
ผู้ที่สนใจและเพื่อเป็ นแนวทางในการนำไปศึ กษาต่อในภายภาคหน้ า
หากมีข้อผิดพลาดประการใดทางผู้จัดทำต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วย
คณะผู้จัดทำ
(สำนั กพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต วิทยาเขตร่ม
เกล้า)
สารบัญ หน้ า
เรื่อง 1-3
4
เรื่องสั้ น 5
ครอบครัวกลางถนน 6-7
ความน่ าจะเป็ น 8-9
เจ้าหงิญ 10
ซอยเดียวัน 11-15
แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ
สิ งโตนอกคอก 16-20
เราหลงลืมอะไรบางอย่าง 21
22
นวนิ ยาย
ความสุ ขของกะทิ
ช่างสำราญ
เวลา
เรื่องสั้ น
1
1)ครอบครัวกลางถนน
ผู้แต่ง ศิ ลา โคมฉาย
1.วิเคราะห์
เป็ นเรื่องราวของสองสามีภรรยาวัยกลางคน ชนขั้นกลาง ซึ่งใฝ่ ฝั นที่จะมีกิจการเป็ นของตนเอง ทั้งคู่คิดว่านอกจากมี
บ้านและรถยนต์แล้วยังจำเป็ นต้องเพิ่มพูนฐานะด้วยวัน ๆ จึงทำแต่งาน ทำให้ทั้งคู่มีความจำเป็ นต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่
อยู่ในรถยนต์
ท่ามกลางเมืองหลวงที่ต้องแข่งขัน ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบมีเวลาอยู่บนถนนมากกว่าอยู่ในบ้าน ใช้เวลากับพวงมาลัย ซีดี
และไฟแดงมากกว่าคนในครอบครัวสะท้อนมุมมองชีวิตที่รีบเร่ง นั ดบ่าย 3 ออกจากบ้านตั้งแต่ 10 โมงจึงทำให้รถ
กลายเป็ นสิ่ งจำเป็ นเพราะมันเหมือนบ้านหลังที่สองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนนั้ นตั้งแต่พูดคุยกัน กินข้าว เข้าห้องน้ำยัน
กระทั่ งมีสั มพันธ์ลึกซึ้ ง
ด้วยวัย 38 ปี เศษ ของเขา ทุก ๆ วันเมื่อกลับถึงบ้านราว 5 ทุ่ม จึงแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำสิ่ งใดได้อีก สำหรับเขา
การมีรถเป็ นเรื่องจำเป็ นอย่างยิ่งเพราะเป็ นที่พักพิงอาศั ยในสัดส่วนเวลา พอ ๆ กับที่บ้านและที่ทำงานเลยทีเดียว ยิ่ง
ภรรยาของเขาจัดแจงให้บนรถมีทุกอย่าง ครบทั้งของกินของใช้ ราวกับว่าบ้าน หรือสำนั กงานเคลื่อนที่ทีเดียวในความ
เข้าใจเช่นนี้ เขาจึงเริ่มชินกับการใช้รถใช้ถนนกรุ งเทพ ฯ เขาเริ่มมีความคิดทำนองว่าครอบครัวก็ได้ใกล้ชิดแนบแน่ นไป
อีกแบบ บางทีได้ทานอาหารกลางวันกันบนทางด่วน ประสาครอบครัวอบอุ่น มีเรื่องได้หัวเราะต่อกระซิก เช่นเมื่อ
รถติดตายนานเป็ นชั่วโมง ทั้งคู่ก็มีเกมส์สนุกเล่นกันอยู่ในรถ เป็ นต้นครอบครัวของเขาก็ใช้ชีวิตแบบนี้ มาเรื่อยและต่อ
มาภรรยาของเขาก็รู้สึกเวียนหัวและพูดว่าประจำเดือนไม่มาสองเดือนแล้วสงสัยคงท้อง สามีนั้ นนิ่ งสักพักร้องไชโยออก
มาอย่างดีใจจึงเป็ นที่มาของครอบครัวกลางถนนนั้ นเอง
2.การวิจารณ์
ท่ามกลางเมืองหลวงที่ต้องแข่งขัน ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบมีเวลาอยู่บนถนนมากกว่าอยู่ในบ้าน ใช้เวลากับพวงมาลัย ซีดีและ
ไฟแดงมากกว่าคนในครอบครัวสะท้อนมุมมองชีวิตที่รีบเร่ง นั ดบ่าย 3 ออกจากบ้านตั้งแต่ 10 โมงจึงทำให้รถกลายเป็ น
สิ่ งจำเป็ นเพราะมันเหมือนบ้านหลังที่สองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนนั้ นตั้งแต่พูดคุยกัน กินข้าว เข้าห้องน้ำยันกระทั่งมีสัมพันธ์
ลึกซึ้งส่วนตัวเป็ นเด็กต่างจังหวัดถ้าแต่ก่อนที่ยังไม่ได้เข้าเรียนในกรุ งเทพได้อ่านแล้วคงคิดว่าเขียนเกินความจริงมาก
เพราะในแต่ละวันใช้ชีวิตประจำวันแค่ในรถ เช่นการกินข้าว เป็ นต้น แต่พอเข้ามาอยู่ในเมืองกรุ งแล้วรู้เลยว่าเขียนไม่
เกินจากความจริงเลยในแต่ละประโยคเป็ นหนั งสือรางวัลสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย
ประจำปี 2536 ลีลาการเขียน การถ่ายทอดภาษาสละสลวย เล่นกับตัวอักษรได้อย่างถึงอารมณ์ประหนึ่ งตัวละคร
เคลื่อนไหวมีลมหายใจใช้ชีวิตอยู่ต่อหน้ าเราและแต่ละบทละครแฝงข้อคิดและปรัชญาผ่านบทบาทของครอบครัวในสังคม
เมืองกรุ งที่อยู่ในระดับและฐานะปานกลางอีกด้วย
3.ตีความ
เป็ นตอนที่เขียนถึงภาพชีวิตของครอบครัวสามีภรรยาฐานะชนชั้นกลาง ที่ชีวิตประจำวันใช้ชีวิตในรถยนตร์ส่วนตัวเป็ น
ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็ นการกินข้าว การใช้เวลากับภรรยา หรือแม้แต่การมีความสัมพันธ์ลึกซึ่งกับภรรยา เป็ นต้น เป็ น
เขียนที่สะท้อนถึงสังคมปั จจุบันได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้มีนั ดตอนบ่าย3 ก็ต้องออกจากบ้านตั้งแต่10โมงเช้า เป็ นกระจก
สะท้อนเศรษฐกิจของกรุ งเทพได้ดีมาก
4. ประเมินคุณค่า
-จากสิ่ งแวดล้อมและสังคมเมืองในปั จจุบัน มีผลให้ผู้ที่อยู่อาศั ยในสังคมเมืองต้องมีการปรับตัวอย่างมากจากเรื่องเวลา
ทั้งครอบครัวและทำงาน
-การเป็ นผู้ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ดี จะเป็ นสิ่ งที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้นเช่น เรื่องการติดต่องาน
เป็ นต้น
-ค่านิ ยมทางความคิดของแต่ละคนและแต่ละสังคมมีความแตกต่างกันไม่มากก็น้ อยคนที่จนไม่มีเงินก็อาจหวังให้มีกินไป
วันๆ แต่คนที่มีฐานะปานกลางก็อาจจะบอกว่าต้องมีบ้าน รถ เป็ นต้น
-การให้เวลากับครอบครัวสร้างความใกล้ชิดกันไม่ได้ขึ้นกับสถานที่และเวลาอยู่ที่ครอบครัวนั้ นๆ จะมีวิธีการอย่างไร
มากกว่า-การวางแผนในการมีบุตร น่ าจะเป็ นทางออกที่ดีสำหรับครอบครัวในสังคมปั จจุบัน
ครอบครัวกลางถนนเป็ นหนั งสือรวมเรื่องสั้นสะท้อนภาพชีวิตคนเมืองในสังคมปั จจุบันซึ่งกำลังเผชิญปั ญหาครอบครัว
เศรษฐกิจและการเมือง มาถ่ายทอดเป็ นเรื่องสั้นจำนวนทั้งหมด 13 เรื่อง
2
- ขาซ้ายของแม่
เด็กหนุ่ มจากบ้านนอกเข้ามาทำงานอยู่เมืองหลวง หลายปี ดีดักไม่ได้ติดต่อหรือแวะกลับบ้านจนกระทั่งพาว่าที่
ลูกสะใภ้ไปให้คุณแม่ดูตัว พบขาข้างซ้ายที่คอยหาเลี้ยง-ส่งเสริมเริ่มแสดงอาการเจ็บป่ วยอย่างเห็นได้ชัดจึง
ตั้งใจเก็บเงินไว้เป็ นค่ารักษา แต่สุดท้ายความตั้งใจก็ยังคงไม่ส่งผลเพราะมีเหตุให้ต้องเลื่อนความตั้งใจนี้ ลง
ไป** อย่าเหลียวกลับมาดูดายต่อเมื่อท่านจาก - มันไม่มีความหมายให้เรียกกลับมา **
- ถ้าผมเป็ นพ่อ
เรื่องราวของลูกชายวัยรุ่นที่ถูกคุณพ่อเข้มงวดกวดขันว่าเป็ นสิ่ งไม่ดีและยังไม่ควรแก่เวลาแต่คุณย่าก็เล่าว่าตอน
พ่ออายุเท่าผม - ท่านก็หนี ไม่พ้นเรื่องราวเหล่านี หยิกแกมหยอกได้น่ ารักดี โดนตรงที่เรื่องเดียวกันแต่ต่างวาระ
ที่ท่านไม่อยากให้ทำเพราะว่าท่านเคยทำมาก่อนหรือจำตอนที่มีความรู้สึกนั้ นไม่ได้
- ด่าน
เรื่องราวของช่างทาสีสองคน คนหนึ่ งโสด ส่วนอีกคนมีคู่แล้วคนที่มีคู่ตั้งใจจะหาเงินไว้ดาวน์ รถให้หวานใจ แต่ก็
โดนหนุ่ มโสดยุยงให้ปลดปล่อยความกำหนั ดดีที่นายจ้างคอยเตือนสติ พออนิ จจาเมื่อเหล้าเข้าปากสติก็ขาด
ความตั้งใจก็เลยหาย
- คืนเหน็ บหนาว
หนุ่ มหล่อผู้เป็ นที่หมายปอง กับครอบครัวที่หลายคนเมื่อดูจากภายนอกก็บอกว่าอิจฉา
แต่สิ่ งที่เห็นมันต่างจากสิ่ งที่เป็ น เมื่อหน้ าตาภายนอกไม่ได้การันตีว่าภายในจะดีเช่นที่เห็น
สุดท้ายสิ่ งที่ผู้คนอิจฉา แม้ว่าจะได้มาแต่ก็ไม่เหลือไว้ให้ครอบครอง
-ดอกเลือด
นั กเขียนบทผู้รับหน้ าที่พ่อ ที่ต้องการบ่มเพาะให้ลูกเติบโตมาอย่างที่ต้องการเหมือนกับความรู้สึกของพ่อแม่
สมัยใหม่ที่อยากให้ลูกได้ดีแต่ก็ยังห่วงนั่ นห่วงนี่ เลี้ยงลูกตามตำรา เอาใจใส่ให้ความดูแลอย่างใกล้ชิด แต่สิ่ ง
เหล่านั้ นมันไม่ได้ซึมซับเข้าไปอย่างที่ใจคิด เพราะการเลี้ยงดูมันต้องไปควบคู่กับการรับรู้สักแต่ป้ อนแต่ไม่เคย
ถาม เอาแต่ยัดเยียดไม่เคยรับรู้ว่าเขาต้องการหรือไม่สุดท้ายการเอาใจใส่ก็เหมือนกับศูนย์เปล่า
- ผู้เข้าใจ
เมื่อเพื่อนเก่าสองคนต่างบังเอิญโคจรมาพบกัน
คนหนึ่ งตกงานไม่ต้องการพูดเรื่องราวของตัวเอง แต่อีกคนก็ยังซักไซร้ไล่เลียงเอาแต่ถามคนหนึ่ งดูเหมือนจะ
เข้าใจไปซะทุกคน มองทะลุปรุ โปร่งไปซะทุกอย่างแต่อีกคนกลับไม่ได้เข้าใจใคร นอกจากเข้าใจตัวเองแต่
สุดท้ายคนที่ไม่เคยเข้าใจใครกับย้อนถามว่าแล้วนายเข้าใจตัวเองหรือเปล่า ??
- ครอบครัวกลางถนน
ท่ามกลางเมืองหลวงที่ต้องแข่งขัน ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบมีเวลาอยู่บนถนนมากกว่าอยู่ในบ้าน ใช้เวลากับพวงมาลัย
ซีดีและไฟแดงมากกว่าคนในครอบครัวสะท้อนมุมมองชีวิตที่รีบเร่ง นั ดบ่าย 3 ออกจากบ้านตั้งแต่ 10 โมงจึง
ทำให้รถกลายเป็ นสิ่ งจำเป็ นเพราะมันเหมือนบ้านหลังที่สองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนนั้ นตั้งแต่พูดคุยกัน กินข้าว เข้า
ห้ องน้ำยันกระทั่ งมีสั มพันธ์ลึกซึ้ ง
- อิสรภาพ
ชีวิตลูกจ้างที่มีชะตากรรมอยู่บนคำสั่ งและตัดสินของนายจ้างเมื่อผลประโยชน์ ขาดหายแม้เพียงน้ อยนิ ดเมื่อ
เทียบกับสิ่ งที่ได้รับอย่างมหาศาลแต่ลูกจ้างก็คือลูกจ้าง อิสรภาพจะมาก็ต่อเมื่อนายจ้างมองข้ามไป
มีดของนายธุ รกิจกับผลประโยชน์ จัดว่าเป็ นสิ่ งที่แยกกันไม่ออกดังนั้ นนั กธุ รกิจนอกจากจะวางแผนธุ รกิจยังต้อง
วางหมากถือมีดประจำกายหาช่องทางกอบโกย ผลักภาระถึงจะสมกับคำว่านั กธุ รกิจและผู้รับผลประโยชน์ ตัวจริง
- มโนกรรม
ความคิดเป็ นสิ่ งน่ ากลัว ทำให้เราทุกข์ใจและสบายใจได้เพียงเพราะความคิดคนเราจะไว้ใจใครได้ก็ต้องดูที่
ความคิด คิดเหมือนกันทำคล้ายกันจัดเป็ นพวกเดียวกันแต่ถ้าความคิดแปลกแตกต่างท่ามกลางวงล้อมความคิด
อื่น ความทุกข์เท่านั้ นที่หาเจอ
- เทพธิดา
คนเรามักจะมองหาตามล่าสิ่ งนำโชคดีเหมือนตามหาเทพธิดาให้คอยคุ้มครองคอยมองหาจากทุกหนแห่งแต่การ
มีโชคดีไม่ได้อยู่ไหนเลยนอกจากการกระทำและตัวเราเอง
3
- ผู้เข้าใจ
เมื่อเพื่อนเก่าสองคนต่างบังเอิญโคจรมาพบกัน
คนหนึ่ งตกงานไม่ต้องการพูดเรื่องราวของตัวเอง แต่อีกคนก็ยังซักไซร้ไล่เลียงเอาแต่ถามคนหนึ่ งดูเหมือนจะ
เข้าใจไปซะทุกคน มองทะลุปรุ โปร่งไปซะทุกอย่างแต่อีกคนกลับไม่ได้เข้าใจใคร นอกจากเข้าใจตัวเองแต่
สุดท้ายคนที่ไม่เคยเข้าใจใครกับย้อนถามว่าแล้วนายเข้าใจตัวเองหรือเปล่า ??
- ครอบครัวกลางถนน
ท่ามกลางเมืองหลวงที่ต้องแข่งขัน ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบมีเวลาอยู่บนถนนมากกว่าอยู่ในบ้าน ใช้เวลากับพวง
มาลัย ซีดีและไฟแดงมากกว่าคนในครอบครัวสะท้อนมุมมองชีวิตที่รีบเร่ง นั ดบ่าย 3 ออกจากบ้านตั้งแต่ 10
โมงจึงทำให้รถกลายเป็ นสิ่ งจำเป็ นเพราะมันเหมือนบ้านหลังที่สองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนนั้ นตั้งแต่พูดคุยกัน กิน
ข้าว เข้าห้องน้ำยันกระทั่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง
- อิสรภาพ
ชีวิตลูกจ้างที่มีชะตากรรมอยู่บนคำสั่ งและตัดสินของนายจ้างเมื่อผลประโยชน์ ขาดหายแม้เพียงน้ อยนิ ดเมื่อ
เทียบกับสิ่ งที่ได้รับอย่างมหาศาลแต่ลูกจ้างก็คือลูกจ้าง อิสรภาพจะมาก็ต่อเมื่อนายจ้างมองข้ามไป
- มีดของนายธุ รกิจกับผลประโยชน์ จัดว่าเป็ นสิ่ งที่แยกกันไม่ออกดังนั้ นนั กธุ รกิจนอกจากจะวางแผนธุ รกิจยัง
ต้องวางหมากถือมีดประจำกายหาช่องทางกอบโกย ผลักภาระถึงจะสมกับคำว่านั กธุ รกิจและผู้รับผลประโยชน์
ตัวจริง
- มโนกรรม
ความคิดเป็ นสิ่ งน่ ากลัว ทำให้เราทุกข์ใจและสบายใจได้เพียงเพราะความคิดคนเราจะไว้ใจใครได้ก็ต้องดูที่
ความคิด คิดเหมือนกันทำคล้ายกันจัดเป็ นพวกเดียวกันแต่ถ้าความคิดแปลกแตกต่างท่ามกลางวงล้อมความคิด
อื่น ความทุกข์เท่านั้ นที่หาเจอ
- เทพธิดา
คนเรามักจะมองหาตามล่าสิ่ งนำโชคดีเหมือนตามหาเทพธิดาให้คอยคุ้มครองคอยมองหาจากทุกหนแห่งแต่
การมีโชคดีไม่ได้อยู่ไหนเลยนอกจากการกระทำและตัวเราเอง
- เสียหมา
รู้หน้ าไม่รู้ใจ คนเราตัดสินได้ด้วยการกระทำและสิ่ งที่เห็นแต่สิ่ งที่เห็นจะมีความจริงหรือมีความเป็ นไปได้
หรือไม่ จะมีใครหน้ าไหนสักกี่คนที่จะค้นหาที่มาและความเป็ นไป ไม่ใช่เพียงแค่ตัดสินได้ด้วยตาตัวเอง
- เด็กหัวขี้เลื่อยกับกระดาษห่อหนั งสือพิมพ์
บทนี้ ขออภัยอ่านเท่าไหร่ก็ไม่สามารถรู้ได้ถึงสิ่ งที่ผู้เขียนต้องการสื่ อนอกจากเด็กชายผู้ไม่มีความเฉลียวฉลาด
ขาดความสามารถทำงานในโรงพิมพ์กับเจ้าของและชายผู้หนึ่ งที่วิจารณ์ผู้อื่นได้อย่างไม่ไว้หน้ า
4
2)ความน่ าจะเป็ น
ผู้แต่ง ปราบดา หยุ่น
สรุ ปเรื่อง แบบใดถึงจะเรียกว่า เป็ นคนดี หนึ่ งปมขบคิดของเรื่องนี้ ผู้เขียนใช้คาคมที่ว่า “หากคุณอยากเป็ นคนดี
แสดงว่าคุณไม่ใช่คนดี” เป็ นประเด็นชักนาสู้การตั้งคาถามต่อนิ ยามของตัวเอง บางคนเห็นด้วยกับข้อความนี้ แต่
บากคนอาจเห็นต่าง ในเชิงตรรกศาสตร์อาจแปลงประโยคนี้ ได้ว่า “คนดีทุกคนไม่อยากเป็ นคนดี คุณอยากเป็ นคน
ดี ดังนั้ นคุณไม่ใช่คนดี” ประโยคนี้ ถือว่าสมเหตุสมผลในเชิงตรรกศาสตร์ แต่หากมองถึงความน่ าเชื่อถือของ
ประโยค จัดว่าเป็ นประโยคที่ไม่น่ าเชื่อถือ เพราะในด้านเนื้ อหาถือเป็ นการเหมารวมเอาว่า คนดีคือคนที่ไม่อยาก
เป็ นคนดี ซึ่งอาจจะไม่เป็ นเช่นนั้ นเสมอไป ในตัวบทตัวเอกซึ่งยังเป็ นเด็ก ถูกอกถูกใจประโยคนี้ อย่างมาก และได้
บอกกับตัวเองว่า “ฉันต้องไม่อยากเป็ นคนดี แต่ต้องประพฤติตนให้คนอื่นประจักษ์ว่าฉันเป็ นคนดี” ผู้เขียนได้
บอกกับเราว่า สิ่ งที่คิด ไม่สาคัญเท่าสิ่ งที่ทำ
มนุษย์เป็ นสัตว์สังคม เมื่อเกิดมาบนโลกใบนี้ เราทุกคนย่อมหนี ไม่พ้น “การเข้าสังคม” ผ่านเรื่องสั้นความน่ า
จะเป็ น ผู้เขียนได้ให้มุมมองเกี่ยวกับการตีกรอบทางสังคมให้เด็ก ผ่านคาพูดของแม่ที่มีต่อลูกว่า
“ พามาอยู่ในโลกแล้ว ยังสั่ งโน่ นสั่ งนี่ ตามอาเภอใจ บังคับให้เข้าโรงเรียน บังคับให้กินผัก บังคับให้นอน
พยายามวางโครงสร้างชีวิตให้ ลูกควรประกอบอาชีพนี้ ลูกควรแต่งงานกับคนแบบนั้ น ลูกต้องไหว้คนนั้ น นั บถือ
คนนี้ เรียกคนนั้ นว่าลุง เรียกคนนี้ ว่าป้ า”
นี้ คือสิ่ งสะท้อนค่านิ ยมการตีกรอบในสังคม สิ่ งที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมา คงทาให้หลายคนต้องกลับไป
ทบทวนตัวเองเสียใหม่ โดยส่วนตัว ผมเป็ นคนหนึ่ งที่ไม่ชอบการตีกรอบทางสังคม โดยกาหนดให้เด็กต้อง
เป็ นแบบนั้ นแบบนี้ ผมมองว่า ทาแบบนี้ ไม่ต่างจากการปฏิบัติต่อเด็กเหมือนกับเป็ นหมากตัวหนึ่ ง ผมจึงรู้สึก
ขอบคุณผู้เขียน ที่ถ่ายทอดเรื่องนี้ ออกมาให้คนได้ตระหนั ก คนแต่ละรุ่นย่อมแตกต่าง เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน คน
เราย่อมต้องเปลี่ยน ดังที่ครั้งหนึ่ ง นั กชีววิทยาชื่อก้องโลกอย่าง ชาร์ล ดาร์วิน ได้กล่าวไว้ว่า “ไม่ใช่ผู้แข็งแรง
ที่สุดหรือฉลาดที่สุด ที่จะอยู่รอด หากแต่เป็ นผู้ที่ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุด”
อีกตัวละครที่น่ าสนใจในเรื่อง คือ ปู่ และย่าของตัวเอก ถึงแม้เป็ นตัวละครที่มิได้มีชีวิตอยู่ในระหว่างการดา
เนิ นเรื่อง แต่ถูกใช้เป็ นตัวละครที่เชื่อมโยงไปสู่การเสียดสีสังคมในเรื่องหนึ่ งคือ ความไม่เท่าเทียมระหว่าง
ชายและหญิง ได้อย่างแนบเนี ยน
“พ่อเล่าให้ฟั งว่าปู่ เป็ นทนาย...ย่าต้องเป็ นเมียทนาย ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าเมียแล้ว จะเป็ นเมียหมอ เมียครู เมีย
ภารโรง ย่อมไม่แตกต่างกันมาก แม้กระทั่งเมียงู ก็เป็ นมนุษย์ปรนนิ บัติผัวอยู่วันยังค่า งูกลับมาบ้าน เหนื่ อยหรือ
ไม่เหนื่ อยก็ต้องมีข้าวปลาอาหารเพียบพร้อมอยู่บนโต๊ะ งูเมื่อยก็ต้องมีคนนวดให้ งูหิวน้ าก็ไม่ต้องเลื้อยไปหาเอง
ตามบ่ตามบึง”
แม้ทุกวันนี้ จะมีการส่งเสริมความเท่าเทียมกันระว่างชายหญิงมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้ช่วยแก้ปั ญหาในเรื่องนี้ เท่าใด
นั ก โดยเยาวชนมักถูกกระทารุ นแรงทางเพศจากแฟนของส่วนเอง ส่วนผู้หญิงมักจะถูกกระทาความรุ นแรงจากสามี
มองแง่คิดนี้ ผ่านเรื่องสั้น ผู้เขียนได้สะท้อนถึงความคิดแนวคิดสมัยใหม่ที่ต่อต้านความไม่เท่าเทียมนี้
วิเคราะห์ตัวบท “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” สำนวนนี้ หมายถึง ประพฤติตามที่คนส่วนใหญ่ประพฤติกัน
ผู้เขียนได้นามาสอดแทรกในเรื่องสั้นเอาไว้ โดยได้ใช้เพื่อการเสียดสีสังคมไทย ที่มักชอบทาตามคนส่วนใหญ่ ใช้
เส้นสายเพื่อความก้าวหน้ าของตัวเอง จนสังคมไทยกลายเป็ นสังคมอุปถัมภ์ที่ความก้าวหน้ าขึ้นกับว่าเป็ นเด็กใคร
5
3)เจ้าหงิญ
ผู้แต่ง บินหลา สันกาลาศี รี
สรุ ปเรื่อง : เรื่องสั้นในเล่มจะนำโลกของจินตนาการมาผสานกับโลกของความ
จริงโดยใช้รู ปแบบนิ ทาน เสนอเนื้ อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ประสบการณ์ทาง
อารมณ์ การเผชิญกับปั ญหาและอุปสรรค การแสวงหาความหมายและความสุข
ของชีวิต แต่ด้วยความเขลา มนุษย์จึงดิ้นรนและหลงอยู่ในมายา ในที่สุด ผู้
อ่านจะรับรู้ได้ว่าในโลกของความเป็ นจริงนั้ น โลกมีหลากหลายทางเลือกที่จะ
ไปสู่วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและพอดี อาจอ่านแยกกันเป็ นเรื่อง ๆ แต่ด้วยการเรียง
ร้อยเข้าด้วยกัน ทำให้เรื่องสั้นแต่ละเรื่องกลายเป็ นเรื่องสั้นในเรื่องยาว เป็ น
นิ ทานซ้อนนิ ทาน ที่เรื่องต้นกับเรื่องท้ายมาบรรจบกันอย่างแนบเนี ยน ผู้
ประพันธ์สร้างตัวละครหลากหลาย ทั้งคน สัตว์ สิ่ งของแบบนิ ทานเปรียบ
เทียบที่อุดมด้วยสีสัน รวมทั้งการเล่นคำ โดยเฉพาะชื่อ เจ้าหงิญ ที่สื่ อความ
หลายนั ยและอารมณ์ขัน มีลีลาภาษาที่รุ่มรวยด้วยโวหารเร้าจินตนาการและ
ความคิด
ตีความ : เรื่องที่ 6 นั กเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ ตีความได้ว่า การที่เราจะไล่ล่าความ
ฝั น เราไม่ควรที่จะลังเล จงเตรียมความพร้อมให้ดีและทำมันให้เต็มที่ที่สุด ซึ่ง
ถ้าหากเราไม่เริ่มทำ มัวแต่นั่ งคิด ความฝั นของเราก็ไม่มีทางที่จะเป็ นจริงไปได้
หรอก ดังเช่นการเดินทางอันยิ่งใหญ่
6
4)ซอยเดียวกัน
ผู้แต่ง วาณิช จรุ งกิจอนั นต์
ตีความเรื่องสั้ น
ที่นี่ มหาวิทยาลัย
ที่นี่ มหาวิทยาลัย เป็ นเรื่องสั้นในหนั งสือรวมเรื่องสั้นชุด “ซอยเดียวกัน” รวมเรื่องสั้นรางวัลซี
ไรต์
ปี พ.ศ. 2527 ของวาณิช จรุ งกิจอนั นต์ มีจำนวน 232 หน้ า และตีพิมพ์ครั้งแรกในผู้หญิง
ที่นี่ มหาวิทยาลัย เป็ นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนซึ่งเป็ นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ ง ที่มีความคิด
เห็นต่อวงการข้าราชการในระบบมหาวิทยาลัยว่า ที่นี่ คือมหาวิทยาลัย เป็ นแหล่งวิชาการ เป็ นแหล่งผลิต
บัณฑิต ปั ญญาชนมันสมองของประเทศชาติ แต่เขากับรู้สึกสงสารนั กศึ กษาทุกคนที่นี่ ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
เขาเป็ นห่วงนั กศึ กษาทุกคน เขารู้สึกจะอดทนกับการรับเงินเดือนของรัฐบาลจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้อีก
ไม่นาน เพราะเขารู้สึกเหนื่ อยหน่ ายกับสภาพแวดล้อม สภาพความโง่เขลา เห็นแก่ตัว สภาพของความ
เกียจคร้านสันหลังยาวของคนรอบข้าง ความซื่อเซ่อของผู้บังคับบัญชาสารพัดสารพัน เขาเคยคิดว่าอาจารย์
มหาวิทยาลัยจะต้องมีคุณธรรมอันสูง เหมือนๆกับที่เขาเคยเชื่อว่าครู นั้ นจะต้องมีคุณธรรมในใจ แต่ใน
ความเป็ นจริงแล้วภาพของอาจารย์ที่เขากำลังเลือกตารางสอน ช่างไม่ต่างกับสมัยที่เขาเรียนหนั งสืออยู่ชั้น
ประถม ในวันเปิ ดเทอมที่เขาและเพื่อนๆต่างแย่งโต๊ะเก้าอี้กันเป็ นที่โกลาหล ทุกคนพยายามเลือกเอาโต๊ะ
เก้าอี้ตัวที่สะอาดที่สุด พังน้ อยที่สุด จนเขาเกือบจะลืม ถ้าไม่บังเอิญเห็นเหตุการณ์อย่างนั้ นจะมาเกิดขึ้นต่อ
หน้ าให้เขาเห็นอีก
จะให้เขาบอกกับใครๆหรือว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยซึ่งจบปริญญาโท ปริญญาเอก ทำในสิ่ งที่เหมือน
กับเด็กประถมทำ อาจารย์ทุกคนที่นี่ ต้องการพื้นที่ ต้องการห้องส่วนตัว ต้องการสัดส่วนของตัวเอง บาง
คนต้องการความโอ่อ่า ต้องการนั่ งตรงที่ต้องการจะนั่ ง ทุกคนต่างยืดถือความสะดวกสบายและสนองความ
ต้องการเหลวไหลของตัวเอง เขาอยากจะออกไปจากมหาวิทยาลัยสถานที่อันโง่งมนี่ เสีย เขารู้สึกผิดหวังครั้ง
ยิ่งใหญ่ที่เขารู้สึกว่าเขาตัดสินใจผิดพลาด ที่คิดว่าเป็ นโอกาสอันดีที่ได้เข้ามาอยู่ในแวดวงของนั กวิชาการ
อาจารย์มหาวิทยาลัย จะได้ถือโอกาสพัฒนาความคิดตัวเอง เรียนรู้บางสิ่ งบางอย่างที่อยากได้ใคร่รู้แต่ไม่มี
โอกาส ใครๆก็อยากเป็ นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่จะมีกี่คนที่ต้องการเป็ นอาจารย์เพราะต้องการสอน
หนั งสือ ต้องการให้ความรู้เด็กด้วยความจริงใจ แต่ส่วนส่วนใหญ่แล้วครึ่งหนึ่ ง สำหรับคนที่ต้องการเป็ น
อาจารย์ เพียงเพราะเป็ นง่านสบาย โคตรสบายจริงๆ ในขณะที่คนทั่วไปทำงานวันละแปดชั่วโมง และคน
อีกหลายล้านคนที่ทำงานวันละมากกว่าสิบชั่วโมง แต่อาจารย์ที่นี่ บางคนทำงานเฉลี่ยแค่วันละไม่ถึงชั่วโมง
ด้วยซ้ำ แค่สอนหนั งสือสัปดาห์ละห้าชั่วโมงสิบชั่วโมงยังส่ออาการเบื่อหน่ าย ทำหน้ าที่ตนเองไม่เต็มที่ เขา
ไม่เข้าใจว่าจะมาเป็ นอาจารย์ให้เปลืองภาษีชาวบ้านทำไม นี่ หรือคือสถานที่ผลิตปั ญญาชน เขาไม่เข้าใจ ถ้า
จะผลิตบัณฑิตออกมาเพื่อให้เป็ นบัณฑิตใบ้ บัณฑิตกุมเป้ ากางเกง บัณฑิตไม่มีกระดูกสันหลัง เขาจะเรียก
ที่นี่ ว่ามหาวิทยาลัยอยู่ทำไม เขารู้สึกหดหู่ และรับไม่ได้กับระบบและอาจารย์มหาวิทยาลัย ประเทศไม่ได้
สอนให้คนคิด มหาวิทยาลัยเป็ นที่สอนนั กคิด เป็ นที่สร้างนั กคิด แต่คนที่สร้างนั กคิดไม่เคยมีความคิดหรือ
มีความคิดก็ไม่มีสิทธิ์จะคิด เพราะเพียงแค่คิดคนนั้ นก็กลายเป็ นแกะดำ เป็ นไอ้บ้าอีบอ ที่มีคนพร้อมจะ
กล่าวประณามให้
เขาจึงใช้เวลานั่ งคิดถึงที่บ้าน ที่ซึ่งเป็ นทุ่งนาป่ าสะแก ที่น่ าจะเป็ นที่มีคุณค่าต่อชีวิตมากกว่าการมา
หมักหมมอยู่กับคนมีปั ญญาแต่ไมมีความคิดเหล่านี้ หรือเขาต้องยอมรับว่า ปั ญญานั้ นให้กันได้ แต่ความ
คิดนั้ นต้องหาเอาเอง
7
เขามองว่าสังคมที่ดีกว่าควรจะเริ่มต้นที่อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ไม่ใช่เริ่มที่นั กศึ กษา ปล่อยให้
นั กศึ กษาต่อสู้กันไปตามบุญตามกรรม โดยที่อาจารย์เป็ นแค่ผู้สังเกตการณ์ เขาไม่เห็นด้วยเลยว่า ที่
อย่างนี้ จะสร้างความเป็ นคนที่เป็ นคนให้กับเขาได้ เขาเสียแรงหวังและตั้งใจ สุดท้ายเขาคิดว่าเขาควร
กลับไปทำนา ทำไมเขาจะต้องมาทนอึดอัด ทนอับทึบอยู่กับเมืองที่สกปรกและผู้คนโสโครกรอบๆตัว
ของเขา เขาคิดว่าเขาโชคดีที่ยังมีนาให้กลับไปทำ มีที่ซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์จะหายใจ มีคนพูดภาษาเดียว
กับเขารออยู่เหมือนกัน
จากเรื่อง ที่นี่ มหาวิทยาลัย ผู้แต่งต้องการเสนอให้เห็นว่า ที่ที่ให้ความรู้ ที่ผลิตบัณฑิต แหล่งวิชาการที่
สร้างผู้เป็ นปั ญญาชน ไม่ใช่แค่ มหาวิทยาลัย ผู้ให้ความรู้ไม่ใช่แค่ผู้เป็ นอาจารย์ สังคมที่ดีใช่ได้เริ่มต้น
ที่มหาวิทยาลัย แต่ควรเริ่มต้นที่อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีจรรยาบรรณของความเป็ นครู สามารถสร้างคน
ให้เป็ นคนได้ ไม่ใช่ให้ได้แค่ปั ญญาความรู้ แต่ทำให้นั กศึ กษาคิดไม่ได้ จากเรื่องสามารถสรุ ปตีความ
ได้ว่า มหาวิทยาลัยเป็ นแค่เพียงส่วนหนึ่ งที่ช่วยสร้างพื้นฐานความรู้ปั ญญา
แต่ทุกคนสามารถสร้างตนเองให้เป็ นคนเป็ นผู้มีปั ญญาเป็ นบัณฑิตได้ด้วยการมีคุณธรรมในใจ ทำสิ่ งที่
มีคุณค่าที่สุดของความเป็ นมนุษย์ได้ สร้างสรรค์สังคมที่ดีได้ โดยไม่จำเป็ นต้องยึดติดที่เพียงเป็ นผู้จบ
จากมหาวิทยาลัยเท่านั้ น
8
5)แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ
ผู้แต่ง จเด็จ กำจรเดช
การดำเนิ นเรื่อง หลายเรื่องมีการใช้การเล่าเรื่องที่หลายแบบ ทั้งการเสียดสีสังคม การตัดต่อ การซ้ำ การใช้มุม
มองที่แปลกออกไป การสร้างสัมพันธบท รวมไปถึงการสร้างตัวละครที่อยู่ในภาวะความรู้และความที่ไม่รู้ การ
เล่าเรื่องของนั กเขียน มีการซ่อมปม การใช้คำพูด ข้อความที่เป็ นลักษณะเปรียบเทียบ หรือความเป็ นอุปมา
อุปมัย หลายอย่าง มีการจัดวางถ้อยคำบางคำที่เป็ นลักษณะการประชดประชัน ของสังคม หลายๆเรื่องที่เราอ่าน
ในเล่มก็มีแนวตลกบ้าง บางบทความก็แปลกดี อ่านแล้วบางคำไม่เข้าใจก็ต้องลองค้นหาว่าคำนี้ สามารถแปลเป็ น
อะไรได้บ้าง ในหนั งสือเล่มนี้ จะมี 12 เรื่องสั้น และอีก 1 เรื่องที่เป็ นการเกริ่นของนั กเขียน ที่นั กเขียนบันทึก
โดยเรียงเรื่องดังนี้
๑.สิ่ งชำรุ ดของพระเจ้า ๒.คล้ายว่าเริ่มจากฝน ๓.ด้วยดวงตามืดบอดนั้ น, ฉันเห็น
๔.อยากได้สักบทเรียนไหม ๕.แม่ทัพตายแล้ว ๖.หนุมานเหยียบเมือง
๗.หวังว่ากิมาซ์จะไม่พลาดอีก ๘.นาฏกรรมแห่งไฟ : ละครสามองก์ฯ
๙.อย่างน้ อยก็สัก 5 นาที ๑๐.มิติทับซ้อนในโลกซ่อนเร้น
๑๑.แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ ๑๒.ไปกินมื้อเช้าที่ดาวพลูโต.
สรุ ป คือเล่มนี้ เรื่องสั้นแต่ละเรื่องมักจะเป็ นตัวละครสมมุติ แต่ประโยคสนทนาในเรื่องทำให้คิดตามถึง มุม
มองความคิด หลายคำ หลายประโยค อ่านแล้ว สะอึก จุก บ้างก็เป็ นการเสียดสี เช่น นกกับปลาไม่แปลกที่จะ
รักกัน แต่จะสร้างรังรักที่ไหน ? หรือ "คนชอบบอกว่าฝั นดีนะ จะฝั นดีไปทำไมถ้าความจริงมันไม่ดี" 55 ซึ่ง
หลาย ๆ อย่างมันก็จริงนะ อย่างคำบางคำที่อ่านแล้วสะอึกเลย เช่น "อาจมีบางเรื่องที่เป็ นเรื่องจริง เหมือนที่เรา
ไม่รู้ตัวว่ากำลังอยู่ในความฝั น กระทั่งเราตื่น" ซึ่งในเรื่องที่ 2 มีการบรรยายถึงความรู้สึกเดจาวู เป็ นเรื่องราวที่
ในขณะหนึ่ งที่เราคิดว่ามันไม่ใช่ความฝั นหรอกนะมันเป็ นเรื่องจริงที่เคยเกิด ที่ยังหลอกหลอนอยู่ในปั จจุบัน แต่
ตื่นมาแล้วมันก็คือความฝั น แต่ทำไมมันคุ้นเคยจังเลย.. อ่านแล้วได้ทั้งความสนุก ปนขำ และก็ได้คิดตามเอา
มาก ๆ เหมาะสมมากที่เล่มนี้ ได้รับรางวัลซีไรต์ปี 2554
11.แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ
วิเคราะห์ เรื่องแดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ เป็ นโครงเรื่องแบบย้อนกลับจะไม่เน้ นความสำคัญของ
ลำดับเหตุการณ์ แต่จะเน้ นตรงพฤติกรรม และสภาพความรู้สึกนึ กคิดของตัวละครที่มีต่อสังคมและบุคคลรอบ
ข้าง เป็ นสำคัญการเริ่มเรื่องหรือการเปิ ดเรื่อง ผู้เขียนใช้กลวิธีในการเปิ ดเรื่องโดยการบรรยายเหตุการณ์ทันที
ที่ปล่อยมือตัวละครเอก ในเรื่อง คือ “ผม” เป็ นตัวละครเอกของเรื่อง และเป็ นศูนย์กลางของเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นทั้งหมด เป็ นตัวละครที่เป็ นจุดทำให้เรื่องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ตัวละครประกอบ เป็ นตัวละครที่ช่วย
ในการดำเนิ นเรื่อง ได้แก่ เพื่อน เหมือนฝั น
วิจาร์ณ ว่าด้วยความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ความขัดแย้งรุ นแรงในภาคใต้ ความฝั น ความจริง ผู้
เขียนสลับไทม์ไลน์ เล่าเรื่องซ้ำๆ ย้ำๆ
โลกของความฝั น โลกแห่งความจริงลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง ความย้ำคิด ย้ำเพ้อของตัวละครเนื้ อหาวกวน
เหมือนเรียงหน้ าผิด แต่เข้าใจได้การเล่าเรื่องแบบไทม์ไลน์ ผกผัน ..เป็ นแนวถนั ดของผู้เขียนแน่ ๆ
ตีความ การดำเนิ นเรื่อง
เรื่องแม่ทัพตายแล้ว ผู้เขียนใช้กลวิธีในการดำเนิ นเรื่อง โดยการลำดับเรื่องแบบย้อนกลับโดย
การผูกความจริงกับความฝั นเข้าด้วยกัน ซึ่งเนื้ อเรื่องเป็ นการเล่าถึงชีวิตของการเป็ นทหารใหม่และมีความฝั นร่วม
กับเพื่อนว่าอยากจะเปิ ดร้านกาแฟบนเกาะที่อยู่ใกล้กับทางรถไฟ แต่นั่ นก็เป็ นเพียงแค่ความฝั น ที่เขายังไม่
สามารถแยกมันออกจากโลกแห่งความเป็ นจริง ทุกวันเขาฝั นเห็นร้านกาแฟและอดีตอันแสนหวานของเขากับ
หญิงสาวลูกครึ่งเชื้อสายมุสลิม ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีทางเป็ นจริงแต่เขาก็ยังจะโหยหาและอยากได้เธอกลับคืนมา
เป็ นที่สุด การจบเรื่องหรือการปิ ดเรื่อง
9
เรื่องแดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ ผู้เขียนปิ ดเรื่องแบบทิ้งปั ญหาให้ผู้อ่านขบคิด ทันทีที่ถีบเก้าอี้ออกไป...
ผมก็โหยหาอยากได้มันคืนมาเป็ นที่สุด! ( ตัดมาจากเรื่องแดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ 334)บทสนทนา ใน
เรื่องแดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ ผู้เขียนสื่ อแนวความคิดหรือทัศนคติของตัวละครที่มีต่อสังคมมนุษย์ ตัว
ละครมีความขัดแย้งในตัวระหว่างความจริงความฝั นและอดีตโดยผ่านการเล่าเรื่องของตัวละครจะเน้ นบทสนทนา
ของตัวละครและเนื้ อเรื่อง โดยผู้เขียนใช้บทสนทนาในเรื่องอยู่มาก แต่มีความ มีการเลือกสรรคำที่มีความหมาย
กับเนื้ อเรื่องและช่วยในการดำเนิ นเรื่องได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น
“ฉันเคยบอกแล้วว่าเราไม่ควรไปที่นั่ น”
“แกรู้อะไร เพื่อนรัก บอกหน่ อยทำไมแกรู้”
“ฉันรู้เท่าที่จะรู้ได้ แต่แกก็ควรจะรู้เท่าที่แกจะรู้”
“แกยังเป็ นเพื่อนฉันหรือเปล่า เรายังคิดจะเปิ ดร้านกาแฟด้วยกันหรือเปล่า”
“เรื่องนั้ นฉันไม่แน่ ใจ บางทีฉันอาจตื่นแล้ว แต่สิ่ งที่แน่ ใจฉันยังเป็ นเพื่อนแก
การที่ฉันตามแกมาคงจะพิสูจน์ คำพูดนั้ น”
“ขอบใจ ฉันเชื่อว่าแกเป็ นเพื่อนฉัน แต่แกลืมตาให้กว้างหน่ อย ที่นี่ มีคนตายทุกวัน
คนพวกนั้ นเรารู จัก บางคนเคยนั่ งกินกาแฟร่วมโต๊ะ บางคนเป็ นเพื่อนทหารของเรา
แกจะนั บคนพวกนั้ นเป็ นเพื่อนไหม”
( ตัดมาจากเรื่องเรื่องแดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ หน้ า 311)
คววิพามากสุษข์แผลู้เะขีสยมนหต้วัองงใกนาทรุกสื่ออยใ่หา้งเหม็ันนวช่่าาโงลแกตแกหต่่งาคงวกัา
นมมเปา็กนมจาริยงกกัับบโอีลกกโขลอกงทีค่เวราามสเรป้็านงมจันริงขึ้นอมยู่าทีใ่วห่า้มเีรแาตจ่ะ
สามารถหลุดออกมาจากโลกแห่งความฝั น แล้วยอมรับกับความเป็ นจริงที่ต้องเผชิญได้หรือไม่ หาก
ยังอยู่ในโลกที่ไม่มีวันเป็ นจริงก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
10
6)สิ งโตนอกคอก
ผู้แต่ง จิดานั นท์ เหลืองเพียรสมุท
สรุ ป
เรื่องสั้นที่ถูกรวบรวมไว้ในสิงโตนอกคอก ทุกเรื่องเป็ นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหลากหลายโลกสมมติที่ผู้
เขียนสร้างขึ้น โดยออกแบบให้มีลักษณะที่สะท้อนปั ญหา ความคิด มุมมองบางอย่างของมนุษย์ในโลกแห่ง
ความเป็ นจริง เช่น ความรู้สึกปลอดภัยในเซฟโซนทำให้เราอยู่ได้โดยไม่ต้องกังวล แต่นั่ นเรียกว่าชีวิตได้
จริงหรือ สังคมที่ผู้คนถูกตัดสินความดีความชั่วหรือความตายด้วยไพ่ประจำตัว ความรักที่เกิดระหว่างมนุษย์
กับหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งคำถามว่าเป็ นความรักที่แท้จริงหรือไม่เป็ น โดยแต่ละเรื่องจะบอกเล่าเรื่องราวของคนที่
อยากแตกต่างจากสังคมที่พวกเขาอยู่ ซึ่งบางทีพวกเขาอาจไม่ได้พยายามทำตัวแปลกแยก แต่สถานการณ์
บังคับให้ต้องแตกต่าง เรื่องสั้นทุกเรื่องในเล่มนี้ ถือได้ว่ามีประเด็นเกี่ยวกับความเห็นต่างและความเป็ น
มนุษย์อยู่สูง ทำให้เราได้รู้จักมองเห็นมนุษย์ในมุมต่าง ๆ และอาจนำไปสู่การตั้งคำถามเรื่องของ
บรรทัดฐาน ความดี ความชอบธรรม ที่เห็นว่าดีนั้ นมีอยู่จริงหรือไม่ หรือ ที่จริงแล้ว มนุษย์เป็ นผู้กำหนดขึั้
นมาเอง โดยเนื้ อหาในแต่ละเรื่องยังมีข้อคิดดีๆสอดแทรกอยู่ในความขัดแย้งความรุ นแรงและชัดเจนใน
เนื้ อหาอีกด้วย
เรื่องเด่น(สรุ ปสิงโตนอกคอก)
เราจะมีความเห็นใจต่อมนุษย์ที่ถูกกดขี่ มนุษย์ที่เกิดมาด้อยกว่า รวมไปถึงกลุ่มคนที่ถูกกีดกันให้เป็ น ‘คน
อื่น’ ในสังคมได้อย่างไร เป็ นคำถามที่แฝงอยู่ในเรื่องสิงโตนอกคอก การที่เราแตกต่างจากคนอื่นไม่ได้
แปลว่าเราต้องถูกลดทอนสิทธิการตัดสินใจในการใช้ชีวิตต่างๆจากผู้คนส่วนมากที่คิดว่าเราแตกต่าง ทุกคน
คิดว่าชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ดั่งกลุ่มคนตาขาวและตาดำในเรื่องนี้ ไม่มีใครอยากเกิดเป็ นคนตาขาวเพราะสังคม
และผู้คนรอบข้างบีบบังคับให้คิดว่าคนตาขาวคือผู้ที่ด้อยกว่าคนตาดำและถูกมองว่าเป็ นคนแปลกแยกใน
สังคม เพราะเหตุนี้ เองทำให้เกิดฉนวนสงครามระหว่างคนตาดำและตาขาวที่ออกมาเรียกร้องสิทธิให้กับ
ตนเอง แต่กระนั้ นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้ที่เห็นต่างในกลุ่มคนตาดำ อาจยังมีผู้คนอีกมากที่คิดแตกต่างออกไป
แต่ด้วยเราไม่อาจทราบได้ว่าผู้คนรอบข้างคิดเหมือนกันหรือไม่ จนทำให้เกิดความคิดที่ว่ามีแค่เราหรือ ที่
คิดต่างจากผู้อื่น แล้วหากเราแสดงความคิดดังกล่าวออกมาจะถูกมองว่าแปลกแยกหรือนอกคอกจากคนใน
สังคมหรือไม่ จากตัวอย่างในเรื่อง ผู้ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่างจากความคิดคนส่วนมากนั้ น จะทำให้
เราได้เห็นว่าจุดจบของผู้คิดต่างจากคนหมู่มากนั้ นไม่ดีสักเท่าไหร่นั กและหากเป็ นเช่นนี้ ต่อไปเมื่อไหร่จะมีผู้
ที่กล้าออกมาแสดงความคิดเห็นแล้วคนกลุ่มนั้ นจะได้รับการยอมรับจากคนในสังคมเมื่อไหร่?
11
7)เราหลงลืมอะไรบางอย่าง
ผู้แต่ง วัชระ สัจจะสารสิน
ชื่อตอน : นั กปฏิวัติ
เนื้ อเรื่องย่อ
ชายผู้หนึ่ ง ซึ่งยังอยู่ในวัยเรียน และอาจารย์ได้มอบหมายให้เขาทำรายงาน ตั้งแต่ต้นเทอม แต่เขาปล่อยตัว
เละเทะ เรื่อยเฉื่อย ไร้ระเบียบกับชีวิต และการเรียน แต่เขากลับตื่นตัวมาคิดทำเอาเมื่อเวลาล่วงผ่านจนเหลือ
อาทิตย์สุดท้ายคราแรกเขาคิดจะทำเรื่องมายาภาพทางการเมือง แต่หนั งสือเรื่องดังกล่าวได้มีคนยืมไปแล้ว เขา
ไม่มีเวลาอีกแล้วที่จะคอยหนั งสือเหล่านั้ นจากคนที่ยืมไป และในที่สุดเขาก็ต้องเปลี่ยนหัวข้อรายงาน มาเป็ น
เรื่องการปฏิวัติ มันวาบเข้าสู่สมองเมื่อเข้าสู่ภาวะจนตรอก เขาต้องบากหน้ าไปอ้อนวอนขอเปลี่ยนหัวข้อรายงาน
จากอาจารย์ เพราะมันหมายถึงว่าเขายังไม่ได้เริ่มทำเลย หลังจากนั้ นเขาเริ่มทำรายงานอย่างจริงจัง แต่รายงาน
ของเขาต้องจบด้วยการออกรายงานหน้ าชั้นเรียน และความที่เขาเป็ นคนที่ไม่กล้าแสดงออกมาก ไม่มีความมั่นใจ
ในการที่จะขึ้นพูดต่อหน้ าผู้คนหมู่มาก แต่ถ้าเป็ นงานเขียน เขาจะถนั ดมาก เขาตั้งใจซ้อมในการรายงานหน้ าชั้น
เรียนเป็ นอย่างมาก จนในขณะนั้ น เขาคิดว่าเขาเป็ นนั กปฏิวัติจริง และแล้วก็ได้เวลาของนั กปฏิวัติแล้ว ระหว่าง
ทางที่เขากำลังเดินทางเขาก็ได้ยินผู้คนคุยกันเกี่ยวสถานการณ์บ้านเมืองที่จะมีการปฏิวัติ รัฐประหารเกิดขึ้น เขา
เห็นข่าวนี้ ตามร้านค้าเต็มไปหมด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากนั ก เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมมันถึงมาพ้องกับสิ่ งที่
เขากำลังขะพูด รู้สึกอายและหมดความภูมิใจ เพราะเกรงว่าคนอื่นจะหาว่าเขาเลือกทำรายงานตามกระแส จาก
นั้ นเขาก็รีบไปที่ท่าเรือเพื่อที่จะข้ามไปอีกฟากหนึ่ ง ตอนนั้ นเขามองไปยังมหาวิทยาลัยที่อยู่อีกฟากหนึ่ ง เขารู้สึก
ตื่นเต้นเป็ นอย่างมาก และแล้วเขาก็เขาก็ปล่อยให้เรือข้ามฟากผ่านรอบแล้วรอบเล่า จนหมดเวลาที่จะรายงาน
หน้ าชั้น เขาขยำบทพูดของเขาทิ้ง แล้วเดินทางกลับบ้านอย่างผิดหวังและสีหน้ าของเขาดูเศร้ามาก เมื่อกลับมาถึง
บ้านในขณะที่เขากำลังนอนตะแคงอยู่ เขาพูดว่า นั กปฏิวัติที่เขาทำรายงานเหล่านั้ นมันตายไปหมดแล้วนี่ หว่า
แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปทำความสะอาดห้องที่รกรุ งรังให้กลับมาเป็ นเหมือนเดิม
วิเคราะห์ตัวบท
“นั กปฏิวัติ” ในตัวบทนี้ หมายถึง เรื่องที่ชายคนหนึ่ งได้หยิบยกมันขึ้นมาทำเป็ นหัวข้อรายงาน
แต่คำว่า “นั กปฏิวัติ” ในความหมายที่ผู้เขียนได้แอบแฝงไว้ หมายถึง การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตนเอง ให้
ก้าวผ่านขีดจำกัดความกลัวของตัวเองให้ได้ เพื่อไม่พลาดโอกาสดีๆที่จะเกิดขึ้นโดยที่เราไม่อาจรู้ได้ หากอย่าง
ตัวละครในเรื่องกล้าที่จะไปนำเสนอ ก็มิอาจรู้ได้ว่าเขาอาจจะทำมันออกมาได้ดี เพราะมันได้ผ่านการที่เขาได้
ฝึ กฝนตัวเอง พยายามฝึ กซ้อมอย่างหนั ก เพื่อทำมันแต่เขากลับไม่กล้าเมื่อถึงเวลาจริง การปล่อยเวลาให้ล่วงเลย
ไป เป็ นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ทำให้เราพลาดสิ่ งต่างๆ การกล้าที่จะไปอ้อนวอนขออาจารย์
เปลี่ยนหัวข้อเรื่อง ซึ่งเป็ นสิ่ งที่ทำให้อาจารย์รู้ว่าเราปล่อยปะละเลย เรายังไม่ได้เริ่มทำงาน แต่หลังจากนั้ นเราก็
ยังสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อยู่ ยังไม่สายเกินไปหากเราลงมือทำมัน
จากตัวบทนี้ ผู้เขียนได้แอบแฝงความหมายทีทต้องการจะสื่ อว่า ให้กล้าที่จะริเริ่มในการเปลี่ยนแปลง ไม่
ให้ปล่อยปะละเลยมัน ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่เกิดประโยชน์ เก็บเกี่ยวประโยชน์ จากมันให้มากที่สุด
และที่สำคัญเลย อย่าที่จะหลงลืมอะไรบางอย่างไป อย่าพลาดกับสิ่ งต่างๆ เพราะมันไม่อาจหวนคืนกลับมาได้
วิจารณ์
ในวันแต่ละวันของชีวิตเราล้วนมีสิ่ งต่างๆ ผ่านเข้ามามากมาย จนบางครั้งเราไปสนใจกับสิ่ งอื่นหรือ เรื่องของ
คนอื่นมากเกินไปจนลืมอะไรบางอย่างในชีวิตของเราไป ตัวบทนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการให้ความ
สำคัญกับสิ่ งต่างๆ เพื่อที่เราจะไม่หลงลืมมัน ในยามที่เราลุ่มหลงไปกับบางสิ่ งอยู่
12
บทสรุ ป
ตัวละครแสดงถึงความหลงลืมอย่างหนึ่ งที่ถือว่าไม่ควรหลงลืมอย่างยิ่ง นั่ นคือการติดตามข่าวสารบ้านเมือง จน
ทำให้เขาพลาดข่าวสำคัญของประเทศ ณ ขณะนั้ น คือการปฏิวัติที่อาจเกิด และเป็ นคนท้อแท้ในชีวิต ที่ไม่กล้า
แสดงออก ปล่อยให้เวลาผ่านไปวันๆ จนพลาดบางสิ่ งบางอย่างไปทั้งหนั งสือที่ต้องการในคราแรก และพลาดที่จะ
ไปนำเสนอหน้ าชั้นเรียน และยังสะท้อนให้เห็นถึงการพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเหมือนในตัวละครในเนื้ อ
เรื่องที่ก่อนหน้ าเป็ นคนที่ปล่อยปะละเลย ไร้ระเบียบกับชีวิต แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ เวลาที่จะต้องเร่งมือทำงานให้
สำเร็จ เขาก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้ลุกขึ้นมาตั้งใจทำงานนั้ นจนลุล่วงไปได้
วิพากษ์
ตัวละครได้ตั้งใจทำงานว่าจะให้สำเร็จ แต่กลับหลงลืมว่ามีบางสิ่ งบางอย่างที่ระหว่างนั้ นเราอาจจะละเลยมันหรือลืม
คิดถึงมันได้ อาจเพราะมันเป็ นเรื่องเล็กน้ อยเมื่อเทียบกับงานหลักที่กำลังทำอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่ งเหล่า
นั้ นล้วนแล้วแต่มีความสำคัญและอาจจะมีส่วนเอื้อประโยชน์ ไปถึงงานที่เรากำลังทำอยู่ก็ได้ การติดตามข่าวสารเป็ น
สิ่ งสำคัญ ต่อให้เราจะเก่งกาจมากแค่ไหน แต่หากเราไม่สนใจข่าวสารหรือสนใจสิ่ งรอบตัวที่มันเกิดขึ้น กำลัง
พัฒนาไปข้างหน้ ายังไม่สิ้นสุด มันอาจทำให้เราพลาดสิ่ งดีๆ พลาดโอกาสในการเรียนรู้จากมัน เราต้องตามกระแส
โลกาภิวัตน์ ให้ทัน
การไม่หลงลืมบางสิ่ งอย่างที่อาจจะเป็ นสิ่ งสำคัญที่เป็ นจุดเปลี่ยนของชีวิตและรู้จักการปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้
อย่างสั นติสุ ข
ชื่อตอน : ในวันที่วัวชนยังชนอยู่
เนื้ อเรื่องย่อ
เรื่องราวของวัวชนและขนมธรรมเนี ยมวัฒนธรรม เมื่อมีงานเลี้ยงทำบุญต่างๆ ชาวบ้านก็จะร้องเพลง เปิ ดเพลงกลาง
ทุ่งนา ซึ่งปู่ ของชายคนนี้ ชื่นชอบในการเลี้ยงวัวและเอาไปชน ซึ่งการแข่งขันวัวชนของปู่ นั้ นก็ชนะทุกครั้ง และเกิด
เหตุการณ์ไม่คาดฝั นคือการแข่งวัวชนของปู่ พ่ายแพ้ ทำให้ปู่ ไม่อยากแข่งอีกและเลิกราการแข่งวัวชนไป และต่อมา
ได้สืบสานวัวชนมายังพ่อของชายคนนี้ พ่อได้เปิ ดวีซีดีวัวชนให้คนดูจึงเกิดความแปลกตาแปลกใจ และเมื่อตอนท้าย
ระหว่างที่พ่อเปิ ดวีซีดีให้ทุกคนดู ก็มีวัวชนูแหกคอกมาขวิดเพราะเห็นวัวชนในหน้ าจอ และหลังจากนั้ นชสยหนุ่ มก็
เห็นเงาที่โผล่มาใต้ต้นขนุนอย่างไม่ทราบสาเหตุและได้รู้ว่าเงานั้ น คือเงาของ
ชื่อตอน : วิทยานิ พนธ์ดีเด่น
เนื้ อเรื่องย่อ
นั กศึ กษาคนหนึ่ งชื่อสมบูรณ์ เขาได้นั่ งรถเมล์มาลงแถวๆที่พักของเขา ซึ่งป้ ายรถเมล์ที่เขาจะลงนั้ นเป็ นทางเปลี่ยว
ไม่มีแสงไฟเท่าไหร่ เขายอมเดินลงป้ ายนี้ เพราะเห็นว่าใกล้ ไม่ลงป้ ายหน้ าที่เดินยาวหน่ อยแต่ปลอดภัย เขาเจอกับ
หนุ่ มสองคนผมเผ้ารุ งรังหน้ าสำนั กงาน เห็นได้ว่าไม่ใช่คนปกติแน่ ๆ หนุ่ มร่างใหญ่และเล็กที่เดินมาด้วยกัน เขา
เดินเขามาอย่างน่ ากลัว และได้ถามทางกลับภูมิลำเนา แต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบ เขาจึงเริ่มขอเงิน แต่นายสมบูรณ์ก็ไม่
ได้ให้ในขณะนั้ นเขาหาวิธีที่จะออกจากตรงนั้ นโดยการผลักนายร่างใหญ่ออกเต็มแรงพร้อมวิ่งหนี เมื่อเขาถึงบ้าน
เขาคิดว่าเขาปลอดภัยแล้ว จนลืมไปว่าเขาทำวิทยานิ พนธ์ตกอยู่ที่ป้ ายรถเมล์ อีกวัน ทำให้เขาได้ค้นหาตามหา
วิทยานิ พนธ์ของเขา จนกระทั้งไปพบได้ว่า หนุ่ มสองคนนั้ นได้หยิบไว้ เขาชักกลัวแล้วสิ เพราะมันสำคัญกับเขามาก
เขาใช้เวลาทำวิทยานิ พนธ์มาเกือบปี และแล้วเขาก็เจอตำรวจ จึงให้ตำรวจช่วยเขา จนได้วิทยานิ พนธ์นั้ นกลับมา
เป็ นอันจบเรื่อง
ชื่อตอน : เรื่องเล่าจากหนองเตย
เนื้ อเรื่องย่อ
หนองเตยเป็ นหนองน้ำที่มีตำนานพรายน้ำ ทุกคนต่างบอกห้ามว่าไม่ว่ากรณีใดๆห้ามลงในหนองเตยเด็ดขาด แต่ก็
ยังมีคนแหกกฎคือแก่น เด็กชายหัวแข็งและไม่เชื่อสิ่ งศั กดิ์ใดๆเมื่อถึงช่วงปิ ดเทอม แก่นอยากลองดีขอลงไปใน
หนองเตยเพื่อนๆพยายามห้ามแต่ไม่สำเร็จ
13
เพื่อนๆจึงไปบอกพ่อของแก่นที่ร้านน้ำชาให้ไปช่วยทันที แต่ทั้งสองก็ได้หายไปอย่างลับๆ หลายปี ผ่านไป
ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสงบ แต่ก็ยังไม่จบเมื่อน้ าชัยเป็ นคนรื้อฟื้ นมันขึ้นมาอีก น้ าชัยเรียนจบด้าน
การเกษตร เขากลับมาพัฒนาหมู่บ้าน และฟื้ นฟูพื้นที่บริเวณหนองเตย ซึ่งเป็ นที่ดินของเขา พ่อกับแม่ของ
เขากลัวว่าน้ าชัยจะมีอันตรายจึงได้ทำพิธีขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง และสิ่ งศั กดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้ นทุกอ่างลุล่วง
ไปด้วยดี สวนของน้ าชัยอุดมสมบูรณ์ และชาวบ้านต่างยอมรับในตัวเขา หลังจากนั้ น เขาได้แต่งงานมี
ครอบครัวจนมีลูกชาย แต่โชคร้ายของน้ าชัย ลูกชายของเขาได้จากไป ชีวิตของเขาได้เปลี่ยนจากหน้ ามือ
เป็ นหลังมือ หลังจากนั้ นน้ าชัยกับเพื่อนๆของเขาที่มาจากในเมืองถูกกล่าวหาว่าเป็ นคอมมิวนิ สต์ทำให้พวกขา
ต้องหลบหนี เข้าป่ า พอเหตุการณสงบน้ าชัยก็กลับมาฟื้ นฟูสวนของเขาแต่ในขณะนั้ นมีคนมาลอบสังหารนา
ชัย โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็ นคนทำ
ชื่อตอน : บาดทะยัก
เนื้ อเรื่องย่อ
เหตุการณ์ธรรมดาของสามีภรรยาคู่หนึ่ งในช่วงเวลาก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ สามีไปบ้านเพื้อนเพื่อ
พูดคุยกันนิ ดหน่ อย และกลับมาบ้านก็นั่ งคุยกับกรรยา และในถุงกระดาษที่สามีถือกลับมานั้ นมีแผ่นหนั ง
อย่างว่าอยู่ สามีพูดจาหยอกล้อภรรยานิ ดหน่ อย และหยอกล้อกันเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ตามประสาของ
สามี ภรรยา และมีเรื่องราวเกิดขึ้นคือผู้เป็ นสามีโมโหเพราะคชเครื่องเล่นชีดีไม่สามารถเล่นได้ สามีจะ
ทำการซ่อมแต่หาไขควงไม่เจอ และหันไปเจอมีดปลายแหลมที่มีสนิ มเขรอะ ในขณะที่เขากำลังกดใบมีดลง
ไปที่นอต มำไมมีดหักพับลงมาโดนที่หัวแม่มือเขาจนเลือดพุ่งกระฉูด ภรรยาจึงจะทำแผลให้เบื้องต้นและ
จะพาไปหาหมอ แต่สามีดื้อจะไม่ไป และทำการหยอกล้อภรรยาอีกเช่นเดิม แต่แล้วไม่รู้สามีคิดยังไงถึง
เปลี่ยนใจจะไปหาหมอ แต่โดนภรรยาแกล้งคืนว่าหมอคงนอนกันแล้วดึกตื่นป่ านนี้ อ้อนวอนให้ภรรยาไป
ด้วยแต่ภรรยาแกล้งหลับ สุดท้ายแล้วสามรจึงใส่เสื้อผ้าลวกๆและรีบขับรถออกไปโรงพยาบาลทันที
ชื่อตอน : ราตรีมีชีวิต
เนื้ อเรื่องย่อ
จำเริญทำงานเก็บขยะ ใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่หรู หรา ดึกๆก็จะนั่ งดื่มเบียร์ กินส้มตำฟั งเพลงลูกทุ่งกับบรรดา
เพื่อนๆเป็ นประจำ ด้วยความที่เขาเก็บขยะ รับรู้ได้ว่ามีหลายๆคนรังเกียจ เลยไม่เคยเข้าไปในที่ที่คนนิ ยม
นั ก เขามีลูกสาวคนหนึ่ งลูกรบเร้าเขาเป็ นประจำว่าอยากกินไก่ทอดชื่อดัง แต่เขาก็ไม่เคยซื้อมาเสียที เพราะ
ทั้งชีวิตเขาไม่เคยเข้าไปเหยียบร้านหรู แบบนั้ นเลย จนวันหนึ่ งเขาซื้อไก่ทอดข้างทางไปฝาก เขาคิดว่ามันจะ
ไปต่างอะไร ก็ไก่ทอดเหมือนๆกัน แต่ลูกกลับไม่กิน แล้วเอาไปให้หมาข้างบ้าน เขาเลยตัดสินใจให้เด็ก
แถวนั้ นเข้าไปซื้อให้ แล้วเก็บไว้ให้ลูก ครั้งหนึ่ งมีคนถามถึงขยะ ว่าที่ไหนดีกว่ากันโรงแรม ข้างทางอพาร์ท
เม้นท์ โรงเรียน เขากับเพื่อนก็ตอบว่าขึ้นชื่อว่าขยะ คงเป็ นสิ่ งที่น่ ารังเกียจ ไม่ว่าจะเป็ นสถานที่หรู หรามาก
เพียงใด บางครั้งเจอเงินในถุงขยะก็โชคดีไป บางครั้งเจอของที่ไม่น่ าทิ้ง แต่กลับมาเป็ นขยะรวมกับของเสีย
ก็นึ กเสียดายแทน
ชื่อตอน : หาแว่นให้หน่ อย
เนื้ อเรื่องย่อ
ในคืนหนึ่ งมีเหตุการณ์การปฏิวัติเกิดขึ้น ซึ่งเขาเห็นข่าวในโทรทัศน์ แต่มองไม่ชัดเพราะหาแว่นไม่เจอ เลย
ให้ภรรยาช่วยหา ปรากฎว่าเขาทับอยู่ ทำให้แว่นนั้ นบิดเบี้ยว เมื่อเหตุการณ์ในข่าวรุ นแรงขึ้น สามีได้บอก
แก่ภรรยาว่าจะออกไปสังเกตสถานการณ์นอกบ้านแถวๆนี้ แต่เขากลับไปหาผู้หญิงอื่น โดยไม่สนใจ
ข่าวสารบ้านเมืองที่เขาต้องการติดตามและไม่สนใจลูกและภรรยา ไปอยู่ทั้งวันทั้งคืน จนเช้าอีกวันก็หาแว่น
ไม่เจออีก จึงให้หญิงสาวคนนั้ นช่วยหา หญิงสาวคนนี้ พอเขาบอกให้ทำอะไร นางก็ทำอย่างไม่มีข้อยกเว้น
ทุกประการ เมื่อพบแว่นปรากฎว่าแว่นนั้ นบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขากลับบ้าน จึงซื้อกับข้าวไปฝาก็เพื่อไม่
ให้ภรรยาสงสัย ภรรยาก็ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรื่องการปฏิวัติ สามีก็เล่าว่าเหตุการณ์นั้ นเงียบมาก
แถวนี้ ไม่มีอะไรเลย และเมื่อภรรยาเห็นแว่นที่บิดเบี้ยวนั้ น จึงพาสามีไปตัดแว่นใหม่
14
ชื่อตอน : วาวแสงแห่งศรัทธา
เนื้ อเรื่องย่อ
พงศ์ จันทร์ที่กำลังขึ้นรถไฟกูลับไปยังบ้านเกิดของเขาเพื่อไปเลือกพาอของเขาที่ลงสมัครเลือกตั้งของ
หมู่บ้าน เขาได้นึ กถึงความทรงจำมากมายที่เคยเกิดขึ้น และความทรงจำที่ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมากที่สุด
คือเมื่อสี่ ปี ก่อนที่เขาจบจากมหาลัยมาใหม่ๆ เขาเรียนเกี่ยวกับแวดวงเชิงวิชาการ เขาต้องการที่จะมาส
นั บสนุนพ่อที่ลงเลือกตั้ง พวกเขาลงแรงไปเยอะมาก แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็ นฝั นร้ายของเขาและ
พ่อ การเลือกตั้งครั้งนั้ นพ่อของเขาแพ้เนื่ องจากมีการเล่นไม่ซื่อสัตย์ของฝ่ ายตรงข้าม เขาสัญญากับตัว
เองว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องการเมืองอีก เเละวันนี้ เขาตั้งใจไปเลือกพ่อของเขาที่ลงสมัครอีกครั้ง ผลออกมา
ว่าพ่อของเขาชนะในใจลึกๆของเขานึ กไปถึงเรื่องราวเมื่อสี่ ปี ก่อนทันที
ชื่อตอน : เพลงชาติไทย
เนื้ อเรื่องย่อ
มีชายคนนึ งเขาได้ยินเพลงชาติไทยแล้วคิดว่าทำไมเราต้องยืนหยุดนิ่ งเพื่อเคารพเพลงชาติ หากไม่ยิน
แล้วจะส่งผลเสียอะไรต่อชาติหรอ หลังจากนั้ นเขาได้เข้าไปในตลาดแห่งหนึ่ ง ตลาดนั้ นมีตำรวจใหม่
เข้ามาคอยจับกุมผู้ที่ไม่ยืนเคารพธงชาติ และเมื่อเพลงชาติดังขึ้นอีกครั้งมีชายแก่คูล้ายจะเป็ นคน
วิกลจริต ก็วิ่งไปทั่วตลาดพร้อมกับถอดผ้าขาวม้าที่เขานุ่ งอยู่ชูขึ้น ตำรวจใหม่ที่เข้ามาจึงรีบไปลากตัวเขา
ออกมาด้วยความโกรธจัด และจับเขาขังก่อนจะ
ปล่อยตัวออกไป ภายหลังก็เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมอีก ชายหนุ่ มที่ยืนมองจึงได้เอ่ยปากช่วยแต่ตำรวจก็
ไม่ปล่อยชายแก่ แถมยังทำร้ายร่างกายจนชายแก่
น้ำตาคลอเบ้า ชายหนุ่ มที่เห็นเหตุการณ์ได้แต่ยืนมองด้วยความสงสารแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หลังจาก
นั้ นชายหนุ่ มก็ตื่นมาในที่ๆไม่ใช่บ้านของเขา
ชื่อตอน : วันหนึ่ งของชีวิต
เนื้ อเรื่องย่อ ช่วงบ่ายแก่ๆ ข้าพเจ้าได้ไปงานศพแม่ของเพื่อนแถววัดบางขุนพรหม เดี๋ยวนี้ พิธีงานศพ
ของคนในเมือง จะเลิกเร็วหน่ อยเพระมีศพใหม่คอยท่าอยู่แล้ว ศาลาไม่ว่างแม้แต่วินาที่ศพจองไว้ยาว
เหยียด หลังจากเสร็จสิ้นจากงานศพ ข้าพเจ้าได้ไปส่งเพื่อนที่บ้าน เขาอยู่กับแม่สองคน แต่เมื่อแม่แม่
เขาเสียเขาเลยต้องอยู่คนเดียวและบ้านหลังนี้ เป็ นบ้านของพี่ๆเขาที่ซื้อให้แม่ของเขา เขาบอกว่าเมื่อแม่
เขาเสียพี่ๆก็จะเอาบ้านนี้ คืน ทำให้เขาต้องเตรียมย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ระหว่างทางที่ข้าพเจ้าเดินทาง
กลับบ้าน ข้าพเจ้าได้เห็นร้ถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ งได้เกิดอุบัติเหตุชนเสาริมถนน ผมเลยจอดรถเข้าไป
ช่วย หลายคนเข้าใจผิดว่าข้าพเจ้าเป็ นคนชน แต่ข้าพเจ้าก็ได้อธิบายให้ฟั ง และหลายคนก็บอกว่า ไปยุ่ง
กับเขาทำไม และข้าพเจ้าได้อธิบายอีกจนพวกเขาเงียบไปเมื่อเหตุการณ์สงบลง ข้าพเจ้าก็ได้เดินทาง
กลับบ้าน แต่เมื่อถึงบ้าน ก็เห็นบ้านมืดสนิ ท ในมือของข้าพเจ้ากำทอนไม้ถนั ดมือพร้อมแล้ว ย่องเข้าไป
ในบ้านทันใดนั้ น ไฟสว่างพรีบ พร้อมเสียงร้อง แฮบปี เบิร์ด เดย์ ทูยู แฮบปี เบิร์ด เดย์ ทูยู ภรรยา
และลูกสาวเดินเข้ามาพร้อมเค้กก้อนโต ข้าพเจ้าถามลูกสาวว่า เอ๊..วันนี้ วันเกิดพ่อหรือ
ชื่อตอน : แก้วสองใบ
เนื้ อเรื่องย่อ
เป็ นเรื่องที่นำสองเหตุการณ์มาเกี่ยวโยงกันด้วยการเปรียบเปรยแบบสัญลักษณ์ พูดถึงความคิดความ
รู้สึกของหญิงคนหนึ่ งซึ่งมีบทบาทเป็ นแม่ของลูกที่กำลังน่ ารัก เป็ นภรรยาของสามีที่สร้างปั ญหาให้กับ
เธอตลอดเวลาในความเห็นของเธอ เธอจึงต้องตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพื่อสิ่ งที่ดีขึ้น แต่
ไม่ใช่ด้วยความรู้และการศึ กษาที่เธอมี กลับได้จากการตัดสินใจเล็กของแม่บ้านที่บริษัท ซึ่งแท้จริงแล้ว
ถ้าเธอใช้สติปั ญญาในการแก้ไขปั ญหาเรื่องแก้วของเธอก็จะได้แก้วทั้งสองใบกลับคืนมา เหมือนที่เธอ
ไม่ต้องเลือกระหว่างลูกกับสามีของเธอ
15
ชื่อตอน : ฟ้ าเดียวกัน
เนื้ อเรื่องย่อ
ฟ้ าเดียวกันเป็ นเด็กชายคนหนึ่ งที่เกิดมาเป็ นลูกของพ่อและแม่ แต่พ่อของฟ้ าเดียวกันต่างจากพ่อทั่วๆ
ไป เพราพ่อของฟ้ าเดียวกันเป็ นนั กปฏิวัติ แม้เหตุการณ์ที่พ่อของฟ้ าเดียวกันจะผ่านมาแล้วถึงสามสิบปี
แต่พ่อของฟ้ าเดียวกันก็ยังใช้ชีวิตยึดติดกับเหตุการณ์ในครั้งนั้ นอยู่ พ่อของฟ้ าเดียวกันเคยเป็ นหัวหน้ า
ของนั กปฏิวัติสมัยที่ยังเรียน เป็ นคนที่ยืนหยัดต่อสู้ในอุดมการณ์ มีเป้ าหมายที่จะล้มล้างเผด็จการ
ทหารให้หมดสิ้นไป แต่ผลของการต่อสู้ก็มิอาจเป็ นไปได้ตามที่หวังได้ทุกครั้ง ครั้งนี้ พ่อของฟ้ าเดียวกัน
ต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในป่ ากับคนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน จนพ่อของฟ้ าเดียวกัน
มิอาจจะรับความพ่ายแพ้ไหว จนต้องไปเรียนต่างประเทศจนได้เจอกับแม่ของฟ้ าเดียวกัน จากนั้ นทั้ง
สองก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดจนมีฟ้ าเดียวกัน ทั้งคู่เป็ นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่แตกต่างกันมากๆ
พ่อของฟ้ าเดียวกันเป็ นอาจารย์สอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมือง ที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้าเข้าหน้ า ด้วย
ความที่พ่อของฟ้ าเดียวกันเป็ นคนที่หยิ่งทะนงในตนเองสูง ไม่รับความเห็นต่างของคนอื่น ชอบที่จะ
ตวาด ดุด่าเมื่อไม่ได้ดั่งใจต้องการ จนวันหนึ่ งพ่อได้มารู้ว่าฟ้ าเดียวกันไม่อาจจะเป็ นชายตทมเพศที่
กำเนิ ดมาได้ตามที่พ่อหวัง จนพ่อไม่ให้เกียรติไปทำร้ายร่างกายที่แสดงถึงความผิดหวัง ฟ้ าเดียวกันมิ
อาจจะทนได้อีกจนกล้าที่จะลุกขึ้นไปเผชิญหน้ ากับพ่อ ฟ้ าเดียวกันแทบจะมองว่าพ่อเป็ นปี ศาจร้าย
เพราะไม่เคยได้รับความอบอุ่นหรือการทำหน้ าที่พ่อได้ตามที่มันควรจะเป็ นเลย
นวนิ ยาย
16
1)ความสุ ขของกะทิ
ผู้แต่ง งามพรรณ เวชชาชีวะ
สรุ ป
• สรุ ปเนื้ อเรื่อง
เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่กำลังจะต้องสูญเสียแม่ ซึ่งป่ วยเป็ นโรคกล้ามเนื้ ออ่อนแรง แม่รู้ตัวดีว่าไมสามารถ
เลี้ยงดูกะทิได้ จึงฝากกะทิให้ตากับยายเลี้ยง กะทิเติบโตมาด้วยความรักของตาและยาย มีชีวิตอย่างสุขสบาย
ในบ้านหลังน้ อยริมคลองอันอบอุ่น กะทิมีความสุขดีในบ้านหลังน้ อยที่ล้อมรอบด้วยไม้ไทย ในวันว่างตาชวน
กะทิพายเรือไปเที่ยวเล่นในทุ่งและไปจนถึงศาลาริมน้ำใต้ต้นก้ามปู ตาเคยเป็ นทนายมีชื่อเสียงในกรุ งเทพ เมื่อ
เกษียณแล้วจึงย้ายกลับมาบ้านเกิด บูรณะบ้านไทยและใช้ชีวิตบั้นปลายช่วยเหลือผู้คนในท้องถิ่น ยายเคย
ทำงานเป็ นเลขานุการนายใหญ่โรงแรม ห้าดาวและเลือกที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นกัน กะทิมีพี่ทองเป็ นเพื่อน
เล่น ชีวิตดำเนิ นไปอย่างเรียบง่ายแม้ว่าไม่สมบูรณ์ครบ
ถ้วนอย่างที่ควรเป็ นกะทิจำแม่ได้เพียงลางๆ ตายายไม่
พูดถึงแม่ ในบ้านไม่มีรู ปถ่ายแม่ กะทิคิดถึงแม่ทุกวัน อยากพบหน้ าอยากให้แม่มารับที่โรงเรียน กะทิอธิษฐาน
ทุกวันให้ฝั นเป็ นจริงตาและยายบอกะทิว่าแม่ป่ วยและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านชายทะเล ชฎา หรือ น้ าฏาเลขาของ
แม่ ขับรถมารับ อาการของแม่หนั กแล้วและตั้งใจให้กะทิมาใช้เวลาช่วงสุดท้ายด้วยกัน โรคของแม่ คือ เอแอส
กล้ามเนื้ อจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนช่วยตัวเองไม่ได้และถึงขั้นหายใจเองไม่ได้ แม่ไม่ยอมใช้เครื่องช่วยหายใจ
เพราะจะทำให้พูดไม่ได้ แม่เลือกที่จะทอนเวลาชีวิตลงแต่อย่างมีคุณภาพ กะทิได้รู้ว่าแม่ตัดสินใจฝากกะทิไว้กับ
ตาและยายเมื่อรู้ว่าไม่สามารถดูแลกะทิได้เอง เหตุการณ์ที่ทำให้แม่ตัดสินใจ คือ เมื่อกะทิอายุ 2 ขวบ แม่พา
กะทิไปพายเรือเล่นจนถึงศาลาริมน้ำ แต่เกิดพายุและกลับบ้านไม่ทัน กะทินั่ งอู่ในเรือและเรือหลุดจากเสาที่ผูก
ไว้โดยที่แม่ช่วยอะไรไม่ได้เลย วันนั้ นโชคดีที่ทอง เด็กวัดตามมาหาเพื่อนเล่นจึงช่วยกะทิกับแม่ไว้ได้ กะทิอยู่
กับตายายนั บจากวันนั้ นและเทื่อรู้เหตุผลจากปากของแม่ก็เข้าใจแม่จากไปอย่างสงบและฝากให้เพื่อนของแม่ชื่อ
กันต์ และลูกพี่ลูกน้ องชื่อ ตอง เป็ นคนพากะทิกลับไปที่คอนโดกลางกรุ งเทพเพื่อพบกับส่วนหนึ่ งของชีวิตแม่
กะทิจึงเดินทางอีกครั้งและมาถึงคอนโดที่กะทิเคยอยู่กับแม่ก่อนที่จะพลัดพรากกัน ที่นี่ มีห้องหนึ่ งที่แม่จัดเก็บ
เอกสารเรื่องราวชีวิตของตัวเองไว้ ลุงตองเป็ นคนพากะทิไปเปิ ดตู้เอกสารและทำให้กะทิพบว่าพ่อของกะทิชื่อ แอ
นโทนี ซัมเมอร์ ชาวพม่าที่เติบโตที่อังกฤษ แม่พบพ่อเมื่อไปเรียนต่อและทำงานที่นั่ น ทั้งสองรักและแต่งงาน
กัน แต่แม่ได้งานใหญ่ที่ฮ่องกงทำให้ต้องแยกกันอยู่ ไม่นานแม่ก็รู้ว่าคนรักคนเก่าของพ่อตามมาพบกันและแม่
ตัดสินใจให้คนทั้งสองสมหวัง แม่เลือกเดินทางกลับมาอยู่กรุ งเทพและพบว่าตัวเองตั้งท้อง แม่เตรียมจดหมาย
ไว้ให้กะทิส่งถึงพ่อและส่งไว้ว่าให้กะทิตัดสินใจเองว่าจะส่งหรือไม่ แต่สุดท้ายกะทิเลือกและพอใจที่จะใช้ชีวิต
เรียบง่ายกับตายายที่ บ้านริมคลองสื บไป
สรุ ปตัวละคร
กะทิ กะทิ หรือมีชื่อจริงว่า เด็กหญิง ณกมล พจนวิทย์ : เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 หลังเวลาเที่ยง
คืน เป็ นบุตรีของมารดาชาวไทย ชื่อ ณภัทร พจนวิทย์ กับ บิดาชาวพม่าที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศอังกฤษเมื่อ
อายุ 4 ขวบ ได้รับการเลี้ยงดูโดยตาและยาย ซึ่งอาศั ยอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในชีวิตแรกเกิด กะทิ
ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดา และได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลโดยเหล่าญาติและเพื่อนของแม่กะทิ แม่ของกะทิ
มีชื่อจริงว่า ณภัทร พจนวิทย์ มีอายุประมาณ 30-40 ปี ทำงานเกี่ยวกับโฆษณา ก่อนที่แม่ของกะทิจะกลับมาที่
ประเทศไทยอีกครั้ง ได้ทำงานที่ฮ่องกง เป็ นที่สุดท้าย พร้อมกับตั้งครรภ์กะทิกลับมายังประเทศไทยด้วย เมื่อ
กะทิอายุได้ 9-11 ปี แม่ของกะทิเริ่มเกิดภาวะโรคกล้ามเนื้ ออ่อนแรงจึงเป็ นจุดตัดสินใจหนึ่ งที่แม่ของกะทิให้ตา
กับยายเป็ นผู้เลี้ยงดู
18
ตา พิทักษ์ อดีตทนายนั กเรียนนอก วัย 65 ปี ที่หันหลังให้กับชีวิตเมืองกรุ งมะกอก และย้ายกลับมาใช้ชีวิต
เรียบง่ายในอยุธยา กับภรรยา และ “กะทิ” หลานสาว ที่ “ณภัทร” ลูกสาวคนเดียวฝากไว้ในความดูแล ชีวิต
บั้นปลายของพิทักษ์จึงมีสีเข้มขึ้นกว่าที่เจ้าตัวคิดไว้ และทุกนาทีมีค่าเมื่อต้องประคับประคองชีวิตหนึ่ งที่เพิ่งเริ่ม
ต้นให้ออกก้าวเดิน
ยาย ลัดดา อดีตเลขานายใหญ่โรงแรมห้าดาว วัย ๖๔ ปี ยายของ “กะทิ” ที่พอใจกับชีวิตเรียบง่าย รอยยิ้มของ
ลัดดาหายไปเมื่อรับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และภาระความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูหลานชวน
ให้ต้องใช้สติในการตัดสินใจ พี่ทอง ทอง หรือ สุวรรณ วินั ยดี(หน้ า ๘๐ ย่อหน้ าที่ ๒) เด็กวัด วัย ๑๔ ปี ทอง
กลายเป็ นส่วนหนึ่ งของครอบครัวกะทิโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาได้ช่วยชีวิตกะทิไว้ในวันฝนตก ทองมีนิ สัยชอบช่วยผู้
อื่นโดยธรรมชาติและโดยการอบรมของหลวงลุง เขารับกะทิเป็ นน้ องเล็กตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นเมื่อมารับ
บิณฑบาตกับหลวงตา และความรู้สึกนี้ ไม่เคยแปรเปลี่ยนตามกาลเวลาเลยลุงตอง ทิฆัมพร วงศ์ ภิรมย์ลุงตอง ลุง
ของกะทิ วัย ๓๙ ปี เป็ นลูกพี่ลูกน้ องของ “ณภัทร” แม่ของกะทิ โดยนิ สัยเป็ น ใจดี รักพี่น้ องและพวกพ้องมาก
ผูกพันกับณภัทรมาตั้งแต่เล็ก เป็ นคนมีอารมณ์ขันหยิกแกมหยอก แต่ลุงตองมีสายตาแหลมคมและมองโลกใน
มุมปรัชญาเสมอน้ าฎา หญิงสาววัย ๒๗ ปี เป็ นเลขาฯ ใ
ห้ณภัทรและกลายเป็ นมือขวาในทุกเรื่องให้เธอจนถึง
วาระสุดท้าย หัวใจเธอสลายเมื่อรู้ว่าณภัทรป่ วยหนั ก แต่ก็เป็ นเวลาที่ทำให้เธอได้รู้จักความเข้มแข็ง ความเสีย
สละ และรักแท้ที่แม่มีให้ลูก เธอไม่อาจห้ามใจผูกพันกับเพื่อนรุ่นน้ องของณภัทรได้ และรู้ว่ามีโอกาสน้ อยเหลือ
เกินที่เขาจะมองมา แต่นั่ นก็เป็ นความสุขเล็ก ๆ น้ อย ๆ ของเธอที่ได้ใกล้ชิดเขาในช่วงเวลาหนึ่ ง น้ ากันต์ หนุ่ ม
โสด พูดน้ อย เก็บตัว รุ่นน้ องที่สนิ ทสนมกับณภัทรตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย กันต์ชื่นชมในความเก่งและยกให้
ณภัทรเป็ นผู้หญิงในดวงใจ เขาพร้อมเสียสละความสุขส่วนตัวหากจะทำให้เพื่อนรุ่นพี่จากไปโดยสงบ และพร้อม
ที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลกะทิ กันต์ไม่เคยมองหาหญิงคนไหน แม้จะมีสาวสวยน่ ารักอยู่ใกล้ตัว จนเมื่อภาพ
ความจริงคมชัดว่าชีวิตไม่ควรโดดเดี่ยวนั ก เขาจึงถอนสายตาจากหญิงในดวงใจมายังหญิงใกล้ตัว
วิเคราะห์
นวนิ ยายเรื่อง ความสุขของกะทิ เจ้าของงานเขียนคือ งามพรรณ เวชชาชีวะ เป็ นวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ได้รับการ
การันตีว่า เป็ นวรรณกรรมที่สร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน(ซีไรต์) จากคำ ประกาศของคณะกรรมการตัดสิน
รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอด เยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๙ เนื้ อเรื่อง
เป็ นการเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงวัย 8 ขวบ คนหนึ่ ง ชื่อ กะทิ ที่ต้องผ่านประสบการณ์ในชีวิตที่ต้องพบเจอกับ
การสูญเสียครั้ง สำคัญ นั่ นคือการจากไปของคุณแม่ เธอได้ผ่านเรื่องราว ขั้นตอนทั้ง สุขและทุกข์ ความผูกพัน
และการพลัดพราก ความสมหวังและความ สูญเสียถึงกระนั้ นเธอก็ได้เรียนรู้ว่าความทุกข์จาการสูญเสียไม่อาจ
พรากความสุขจากความรักและความของแม่กับเธอได้ เด็กน้ อย เติบโตขึ้นจากประสบการณ์นี้ ด้วยความที่เชื่อมั่น
และกำลังใจในการ ดำรงชีวิตต่อไปจากบุคคลใกล้ชิด ผู้ที่เธอรักและรักเธอ
วิจารณ์
นอกจากกะทิกับคุณตาแล้ว ตัวละครที่นั บว่ามีความสำคัญอีกหนึ่ งคนก็คือ “พี่ทอง” เด็กวัดเพื่อนของกะทินั่ นเอง
ที่ผู้เขียนใช้ตัวละครที่เป็ นพี่ทองมาช่วยดำเนิ นเรื่องคู่กับตัวละครที่เป็ นกะทิโดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ที่เริ่มมี
เหตุการณ์มากมายผ่านเข้ามา ตัวละครที่เป็ นพี่ทองก็แสดงให้เห็นถึงการกล่าวถึงตัวละครอีกตัวอย่างเป็ นนั ยๆให้
ผู้อ่านอยากรู้เนื้ อเรื่องเข้าไปเรื่อยๆ เสน่ ห์ของนวนิ ยายเรื่องนี้ จึงอยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อยๆเผยปมปั ญหาที
ละน้ อยๆ ผ่านมุมมองของตัวละคร ด้วยภาษาที่รื่นรมย์ แฝงอารมณ์ขัน และสอดแทรกความเข้าใจชีวิตที่ตัวละคร
ได้เรียนรู้ตามประสบการณ์ ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องโดยสร้างให้ตัวละครที่ชื่อทอง เป็ นเด็กวัดนิ สัยดีชอบช่วย
เหลือ ยิ้มเก่งเป็ นเอกลักษณ์ และว่ายน้ำเก่ง โดยให้ทองเข้ามามีบทบาทหลายฉากในเรื่อง เข้ามาช่วยยายของ
กะทิทำงานบ้านบ้างตามโอกาส เพื่อต้องการให้เนื้ อเรื่องดำเนิ นไปอย่างเรียบง่ายแต่แอบแฝงความหมายเอา
ไหว้เมื่ออ่านไปถ้าผู้อ่านไม่ทันได้วิเคราะห์ตัวละครก็จะยังไม่รู้สาเหตุการเล่าเรื่องทำให้ต้องติดตามอ่านต่อ
จนจบ
19
ตีความ
ผู้เขียนวิธีเล่าเรื่องโดยสร้างให้เรื่องความสุขของกะทิเป็ นการถ่ายทอดเรื่องราวจากแนวคิดของผู้เขียนโดยผ่าน
การสื่ อสารด้วยภาษาที่เรียบง่าย เข้าใจ ง่ายและแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตการเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับเหตุการณ์
ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แสดงถึงความรักความผูกพันความเชื่อง โยงกันของตัวละคร
• ลักษณ์และวิถีชีวิตของชาวบ้านใน “ บ้านริมคลอง”ในตอนนี้ ผู้เขียนแยกให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวบ้านที่พัก
อาศั ยอยู่แถวริมคลองสะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่ายอยู่อย่างพอเพียง เห็นได้จากการเดินทางก็ใช้เรือช่วย
ในการเดินทางไปไหนมาไหน วิธีการทำกับข้าวที่ใช้กระต่ายช่วยในการขูดมะพร้าวที่ให้ความสดกว่าการซื้อน้ำ
กะทิ การใช้อ่างและโอ่งมารองรับน้ำฝนไว้ใช้แทนการใช้น้ำประปาและการใช้ปิ่ นโตในการห่อข้าวแทนการใช้
ถุงพลาสติกช่วยลดพลังงานด้วย ดังตัวอย่าง คำบรรยายถึงสภาพธรรมชาติรอบตัวเมื่อนั่ งอยู่ในเรือกลางคลอง
“...เรือพ้นจากคลอง ร่มครึ้มสู่ทุ่งกว้างสุดตา น้ำ ปริ่มต้องลมอ่อนเป็ นริ้วระลอกน้ อยๆ ทุ่งนาสีเขียวสดเห็นอยู่
ไกลๆตาลอยเรือกลางทุ่ง แล้วลงมือถอนสายบัว ต้องดูดีว่าเป็ นบัวผันไม่ใช่บัวเผื่อนที่รสเฝื่ อนขม บัวผันใบ
กลมไม่มีแฉก ดอกสีเหลืองจัด สายบัวกรอบสดจิ้มน้ำพริกที่ยายห่อใบบัวมาพร้อมข้าวใหม่ จะเป็ นอาหารกลาง
วันมื้ออร่อยทีเดียวกะทิยังนึ กสนุกหักสายบัวเป็ นข้อๆห้อยคอต่างสายสร้อยด้วย...” และตอนที่เตรียมโอ่งเพื่อ
ใช้งานว่า “เมื่อหมดหน้ าฝนก็จะต้องล้างโอ่งใส่น้ำเป็ นการใหญ่เพื่อปิ ดรอไว้รับน้ำฝนปี ถัดไป...”
จากบทความข้างต้นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า อัตลักษณ์ของชาวบ้านริมคลองนั้ นถูกสร้างให้มีความเรียบง่ายอยู่กับ
ธรรมชาติมากกว่าการที่ต้องใช้จ่ายอย่างฟุ่ มเฟื อย มีความพอเพียงสามารถช่วยเหลือตนเองได้รู้จักการใช้ชีวิต
สามารถเอาตัวรอดและปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติได้เป็ นอย่างดีในขณะที่คนชาวเมืองกลับมีอัตลักษณ์ที่แตก
ต่างออกไป คือ ยึดติดกับวัตถุ สิ่ งของเงินทองมากกว่า ให้เห็นว่าผู้เขียนแยกสิ่ งที่อยู่ต่างกันออกจากกันอย่าง
เห็นได้ชัดและถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่านรับสื่ อที่ถูกต้อง ผู้อ่านจะสามารถวิเคราะห์สิ่ งที่ผู้เขียนบทความนี้ และ
วิเคราะห์ได้ว่าอะไรมีอัตลักษณ์เป็ นอย่างไรสามารถรู้ได้ว่าผู้เขียนมุ่งสื่ ออะไร
ความรักความผูกพัน และเสียสละเพื่อนคนที่รัก
ในตอน “ บ้านชายทะเล ” ได้กล่าวถึงแม่ของกะทิที่กำลังป่ วยหนั ก ผู้เขียนใช้วิธีการเล่าเรื่องโดยต้นเรื่องนั้ น
ไม่ได้พูดถึงตัวละครตัวนี้ เพราะมีความหมายอะไรบางอย่างที่ตัวละครที่เป็ นแม่แอบแฝงไว้ แต่มากล่าวถึงใน
ตอนนี้ นี่ เองในตอนนี้ จะสะท้อนความรักของแม่ที่มีต่อลูก เสียสละเพื่อลูก เพื่อให้ลูกปลอดภัยทั้งที่ภายในใจ
อยากอยู่ใกล้ชิดดูแลลูก สร้างอารมณ์ความรู้สึกเศร้าที่ตัวละครถ่ายทอดออกมาดังตัวอย่าง“ น้ำตาไหลอาบ
แก้ม แม่สะอื้นจนตัวโยน กะทิจับมือของแม่มาจูบ มาแตะที่แก้มตัวเอง ยกแขนแม่ให้โอบรอบคอของกะทิไว้
กะทิกอดแม่ไว้แน่ น แม่ซบหน้ าลงกับแก้มของกะทิเนื้ อตัวแม่เย็นซีด กะทิพร่ำกระซิบว่ากะทิอยู่ตรงนี้ อยู่กับ
แม่แล้วสองคนจะไม่แยกจากกันอีก ดอกลั่นทมร่วงลงพื้นอยู่นอกหน้ าต่าง เหมือนทนรับรู้ความทุกข์ระทมของ
ดวงใจสองดวงนี้ ไม่ไหว” วรรณกรรมเรื่องความสุขของกะทิทำให้เห็นภาพลักษณ์ของผู้เป็ นแม่ที่ถูกเสนอออก
มาในแนวคิดของนั กเขียนที่มีต่อตัวละครในเรื่องไม่ว่าจะเป็ นแม่หรือตัวละครเอกอย่างกะทิเอง ตัวละครใน
เรื่องนี้ ถูกสร้างให้มีบทบาท สถานภาพ และวิถีชีวิตความเป็ นอยู่ที่ต่างกันตามเนื้ อเรื่อง ความท้าทายผู้อ่านของ
เรื่องคือผู้เขียนสร้างตัวละครให้เล่าเรื่องย้อนหลัง โดยให้ผูกเรื่องจากอดีตกับปั จจุบันเข้าหากันเหมือนมีกุญแจ
นำทางที่คอยแก้ปมปั ญหาไปทีละน้ อยๆ และใช้ความเกี่ยวเนื่ องของตัวละครมาโยงผูกกันทำให้เนื้ อเรื่องยิ่งดู
น่ าอ่านน่ าติดตาม ดังตัวอย่าง ตอนที่บรรยายถึงทองที่มาช่วยกะทิ “สรุ ปว่าพระเอกที่ขี่ม้าขาวมาช่วยกะทิกับแม่
ไม่ใช่ใครที่ไหน พี่ทองยิ้มสว่างของเรานั่ นเอง แม่บอกว่าพี่ทองตื่นเต้นกับ สาวชาวกรุ ง วัยสี่ ขวบมาก ชอบพาย
เรือมาชมโฉมสาวบ่อยๆวันนั้ นพี่ทองคงมาอย่างเคย แล้วพายเรือตามมา ตั้งใจจะมาเล่นด้วย เรือของพี่ทอง
ปรากฏให้เห็นแทบในทันทีที่สิ้นเสียงฝ้ าผ่า พี่ทองว่ายน้ำแข็งแบบเด็กริมคลองของแท้จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะ
ประคองเรื่อที่กะทินั่ งอยู่ให้เข้ามาเทียบท่าอย่างปลอดภัย อีกทั้งอุ้มกะทิมาส่งให้ถึงมือแม่ เหมือนแมวคาบหนู
แม่เล่าทั้งน้ำตา พี่ทองตัวเล็กกว่าอายุ แถมกะทิก็อ้วนกลมแบบเด็กอยู่ดีกินดี แม่กอดกะทิกอดพี่ทองไว้ด้วยกัน
ร้องไห้ปนหัวเราะอยู่กลางสายฝน ก่อนจะขึ้นไปหาที่หลบฝนในศาลา”จากเนื้ อความนี้ จะเห็นว่ามีความเชื่อโยง
ของเหตุการณ์ว่าทำไมผู้เขียนจึงสร้างตัวละครที่ชื่อทองให้ว่ายน้ำเป็ น ทำไมทองจึงมีความผูกพันกับกะทิและ
คนในครอบครัวเป็ นการนำเสนอภาพความผูกพันกันของตัวละครให้มีความเชื่อมโยงกัน
20
• ความเรียบง่ายอยู่คู่กับธรรมชาติ
จากสภาพรอบตัวที่ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม มีทั้งดอกไม้ ต้นไม้พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากร
ที่มั่งคั่งแล้วจนก่อให้เกิดการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไม่ยุ่งยาก การดำเนิ นเรื่องที่ต้องการสื่ อถึงธรรมชาติ
เป็ นอีกแนวทางในการดำเนิ นให้เนื้ อหาเป็ นไปอย่างธรรมชาติมากขึ้นเพราะธรรมชาติสร้างฉากของเรื่อง
ได้เป็ นอย่างดี ผู้อ่านสามารถจินตนาการภาพไปกับการอ่านมากขึ้นตัวอย่างเช่น“ดอกสีแดงของต้นหางนก
ยูงสองข้างทางผ่านตาไปอย่างรวดเร็วรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้ าเหมือนลอยในอากาศ ในตัวของกะทิเบา
โหวงเหมือนกล่องเปล่า ทั้งๆ ที่ตลอดสองวันที่ผ่านมา หัวใจเต้นถี่อย่างที่ไม่เคยเป็ นมาก่อน” ธรรมชาคติ
สามารถเป็ นฉากได้ดี ผู้เขียนใช้หลักการนี้ ควบคู่กับการใช้ตัวตัวละครที่เป็ นเด็กเมื่อเด็กอยู่ท่ามกลาง
ธรรมชาติแล้วความกลมกลืนไร้เดียงสาก็จะเกิดขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน ความเป็ นธรรมชาตินี้ จะช่วยชูให้
เนื้ อเรื่องดูอ่านง่ายเข้าใจเข้าถึงเนื้ อหาโดยที่ผู้เขียนไม่ต้องอธิบายเพียงต่เขียนเล่าในสิ่ งที่ต้องการสื่ อ
เท่านั้ น
• ความเป็ นเด็กน้ อยของ “กะทิ”
ในเรื่องนี้ กะทิต้องผ่านประสบการณ์การสูญเสียคนสำคัญไป เป็ นเหตุการณ์ที่ให้ความรู้สึกสลด เศร้าใจ
สำหรับวัยเด็กที่ต้องเจอปั ญหาและผ่านประสบการณ์ที่เลวร้ายมา ความรู้สึกหดหู่ใจย่อมเกิดขึ้นการทำใจ
ให้ยอมรับคงเป็ นลำบากอยู่ไม่น้ อย เพราะสิ่ งที่สูญเสียนั่ นหมายถึงทั้งชีวิตที่ขาดมาโดตลอดแล้วมาวันหนึ่ ง
กลับสูญเสียไปโดยไม่ทันได้เรียนรู้กันเลย ดังตัวอย่าง“คืนนั้ นกะทิตื่นมากลางดึก รู้สึกแปลกในใจ
ชอบกลอาจเป็ นเพราะคำพูดของแม่ตอนนั่ งดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันแม่พูดลอยๆว่า “ไม่อยากให้ฟ้ ามืด
เลย” คงไม่ใช่กะทิคนเดียวที่นอนไม่หลับ กะทิย่องลงบันไดมาถึงเรือนเล็ก และเห็นน้ ากันต์นั่ งอยู่เคียง
ข้างเตียงของแม่น้ ากันต์เป็ นคนเดียวที่กะทิไม่เคยเห็นแสดงอารมณ์หรือน้ำตาแต่ในแสงสลัวของห้องพัก
คนเจ็บ กะทิเห็นไหล่ทั้งคู่ของน้ ากันต์สั่ นสะท้าน สุดท้ายกะทิน้ ากันต์ซบหน้ าลงข้างตัวของแม่อยู่เนิ่ น
นาน” ในเรื่องของความเป็ นจริงการทำใจให้ยอมรับกับการสูญเสียคนที่รักไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา
อย่างมากในการสร้างความมั่นใจกลับคืนมา แม้จะเป็ นผู้ใหญ่แล้วก็ตามแต่ในเรื่องนี้ กะทิกลับสามารถ
เข้าใจและทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นได้นั่ นเป็ นเพราะแนวคิดของผู้เขียนที่ต้องการสร้างให้ตัวละครมีความ
อดทนต่อสิ่ งเกิดขึ้น ต้องการให้ตัวละครเรียนรู้ชีวิตโดยผ่านประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต การ
เรียนรู้ชีวิตจากประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจะช่วยให้เรามีความกล้าที่จะที่เผชิญกับโลกแห่งความเป็ น
จริงมากขึ้น ผู้เขียนต้องการให้เห็นภาพที่เด็กหญิงน้ อยคนหนึ่ งเมื่อผ่านเหตุการณ์ต่างๆแล้วจะดำเนิ นเรื่อง
ต่อไปอย่างไร
วิพากษ์
เราเองบอกได้ว่าการอ่าน ความสุขของกะทิ เรื่องนี้ ทำให้ช่วยเปิ ดมุมมอง เป็ นมุมเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่ งที่
ต้องพบกับการสูญเสียครั้งสาคัญในชีวิต ผลงานเขียนในอดีตจากนั กเขียนหลายท่าน เปรียบเด็กว่าคือผ้า
ขาว ที่เติบโตมาผ้าสีขาว จะถูกแต่งแต้มไปเป็ นสีใด ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและจิตใจของเด็กคนนั้ นๆ
เห็นได้ชัดว่า กะทิ สามารถรับมือกับการสูญเสีย และมีแนวคิดที่สร้างความสุขได้จากมุมเล็กๆ ของกะทิ
เอง “ความสุขของกะทิเล่มนี้ ” เป็ นอีกหนึ่ งผลงานเขียนที่อยากแนะนาให้ทุกคนได้อ่านกันนะ
21
2)ช่างสำราญ
ผู้แต่ง เดือนวาด พิมวนา
~สรุ ป~
สะท้อนปั ญหาสังคมที่เริ่มจาก
จุดเล็กๆในสังคม คือ สถาบันครอบครัว เมื่อครอบครัวแตกแยกพ่อแม่ทิ้งลูก
ให้กลายเป็ นเด็กกำพร้า จนเด็กกลายเป็ นความรับผิดชอบของสังคม
ในชีวิตของเด็ก ในความไร้เดียวสาก็ยังมีความหวัง ยังคงเฝ้ ารอคอยพ่อแม่ให้กลับมา
เด็กชายกำพลใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามอรรถภาพ แต่ก็ไม่มีความสุขเท่าเมื่อครั้งอยู่กัน
พร้อมหน้ า
พ่อแม่ลูก เขามีความรู้สึกน้ อยเนื้ อต่ำใจจากการ ถูกทอดทิ้ง ถูกละเลย นอกจากนี้ ยัง
แสดงให้เห็นถึงปั ญหาของสังคม ทั้งความยากจน การใช้ความรุ นแรง ความเหลื่อมล้ำ
ของสั งคมฯ
ตอนที่11 ผมไม่ใช่ผม ตีความได้ว่า
กำพลถูกกดดันจากผู้ใหญ่และคุณครู เพียงเพราะกำพลไม่มีผู้ปกครองคอยดูแลสั่ งสอน
ผู้ใหญ่และคุณครู ต่างอบรมสั่ งสอนและเข้มงวดกับกำพลมากเกินไปจนทำให้กำพลไม่
เป็ นตัวของตัวเอง เพราะเขาทำอะไรก็ดูผิดกว่าคนอื่นๆที่มีพ่อมีแม่คอยอบรมสั่ งสอนอยู่
เสมอ กำพลก็ได้ปรับเปลี่ยนตัวเองและคอยระวังระแวงว่าตนจะทำผิด
จนทำให้เขาบังคับตัวเขาเองว่าเขาจะต้องทำตามที่คนเหล่านั้ นอยากให้เขาทำอยากให้
เขาเป็ นในสิ่ งที่คิดว่าเด็กอย่างเขาควรจะทำ และพรากความสุขในวัยเด็กของเขาไป
22
3)เวลา
ผู้แต่ง ชาติ กอบกิต
ชี้ให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็ นอยู่ของคนแก่ที่อยู่ในบ้านพักคนชรา รวมทั้งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพ
สังคมที่บุตรไม่ดูแลเอาใจใส่บุพการีและนำมาปล่อยให้เป็ นภาระของสังคม ผ่านฉากที่เป็ นภาพ
ของละครเวทีทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพของคนแก่โดยการสอดแทรกความคิดของตัวเองลงไปผ่านตัว
ละครที่เป็ นผู้กำกับภาพยนตร์ที่เข้าไปดูละครเวทีที่น่ าเบื่อนี้ เช่น ตอนที่ผู้กำกับภาพยนตร์ได้ดูฉาก
ที่คนดูแลต้องคอยป้ อนข้าวป้ อนน้ำคนแก่ที่นอนอยู่บนเตียง ผู้กำกับภาพยนตร์ก็ได้บรรยายความ
รู้สึกของตัวเองออกมาว่าเมื่อตัวเองแก่ตัวไปจะไม่มีคนดูแล เพราะลูกสาวคนเดียวก็ตายจากไปแล้ว
ตอนนี้ ก็เหลือแค่ตัวเขากับภรรยาเท่านั้ นที่ต้องคอยดูแลกันเอง โดยไม่รู้ว่าใครจะจากไปก่อน ซึ่ง
ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงชีวิตได้อีกแง่มุมหนึ่ งว่าในวันที่เราแก่ตัวลงไปจะมีใครคอยดูแลเราบ้าง ซึ่ง
แสดงให้เห็นสภาวะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของมนุษย์ ว่าทุกคนเมื่อเดินมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตจะ
พบว่าสิ่ งที่ตนเองแสวงหาและไขว่คว้าเพื่อให้ได้มาทั้งชีวิตนั้ นแท้จริงแล้วมัน “ไม่มีอะไร”
สำหรับตัวดิฉันได้อ่านนวนิ ยายเรื่อง “เวลา” เล่มนี้ แล้วนอกจากจะได้ประโยชน์ ที่เอาไปใช้ในการ
พัฒนาตนเอง ดิฉันยังได้ข้อคิดดีๆจากการอ่านนวนิ ยายเรื่องนี้ อีกเยอะ อย่างน้ อยที่สุดพอดิฉัน
อ่านนวนิ ยายเล่มนี้ จบลง ได้มองย้อนกลับมามองชีวิตของตัวเองว่าตัวเองได้เสียเวลาอย่างไร้คุณค่า
ไปมากน้ อยเพียงใด และทำให้เรารู้จักคุณค่าของเวลา และรู้จักใช้เวลาทุกๆ นาทีที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า
และมีประโยชน์ มากที่สุด เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเราก็ไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับมาแก้ไขเรื่อง
ราวต่างๆในชีวิตที่ผิดพลาดไปได้
บรรณานุกรม
งามพรรณ เวชชาชีวะ.(2564).ความสุขของกะทิ.(พิมพ์ครั้งที่113).กรุ งเทพฯ:แพรวสำนั กพิมพ์
จเด็จ กำจรเดช. (2556). แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ. (พิมพ์ครั้งที่4). กรุ งเทพฯ: สำนั กพิมพ์ภจญภัย
จิดานั นท์ เหลืองเพียรสมุท.(2561). สิงโตนอกคอก.(พิมพ์ครั้งที่4). กรุ งเทพฯ:แพรวสำนั กพิมพ์
ชาติ กอบจิตติ. (2556). เวลา.(พิมพ์ครั้งที่21). กรุ งเทพฯ: สำนั ก
พิมพ์หอน
เดือนวาด พันวนา.(2555). ช่างสำราญ.(พิมพ์ครั้งที่17). กรุ งเทพฯ: สำนั กพิมพ์สามัญชน
บินหลา สันกาลาศี รี.(2556).เจ้าหญิง.(พิมพ์ครั้งที่27).กรุ งเทพฯ:สำนั กพิมพ์ไรท์เตอร์
ปราบดา หยุ่น.(2563). ความน่ าจะเป็ น.(พิมพ์ครั้งที่41).กรุ งเทพฯ:สำนั กหนั งสื่ อไต้ฝุ่ น
วัชระ สัจจะสารสิน. (2552). เราหลงลืมอะไรบางอย่าง. (พิมครั้งที่25). กรุ งเทพฯ: สำนั กพิมพ์นาคร
วาณิช จรุ งกิจอนั นต์.(2553).ซอยเดียวกัน.(พิมพ์ครั้งที่3).กรุ งเทพฯ:สำนั กพิมพ์บรู พาสาส์น
ศิ ลา โคมฉาย. (2556). ครอบครัวกลางถนน. (พิมพ์ครั้งที่19). กรุ งเทพฯ: สำนั กพิมพ์ภจญภัย
รายชื่อผู้ดำเนิ นการ
16 ธีรดา ชัยแสน 650101402689 ความสุขของกะทิ(นวนิ ยาย)
18 ณัฐธิดา เด่นตี 650101402906 ความน่ าจะเป็ น(เรื่องสั้น)
30 มะลิ บนผาแดง 650103400592 เจ้าหงิญ(เรื่องสั้น)
36 อารายา เอี้ยวภู่ 650103402580 สิงโตนอกคอก(เรื่องสั้น)
41 ธิมาพร ลาวัง 650104400197 ช่างสำราญ(นวนิ ยาย)
47 กรพินธุ์ วิเศษวงศ์ สกุล 650104400695 แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่ งจิบกาแฟ(เรื่องสั้น)
56 ฉัตรมณี แก่นจันทร์ 650104401349 ครอบครัวกลางถนน(เรื่องสั้น)
77 เมธาวี มุงอินทร์ 650104402739 เราหลงลืมอะไรบางอย่าง(เรื่องสั้น)
79 จามิกรณ์ มัคคัปผลานนท์ 650104403058 ซอยเดียวกัน(เรื่องสั้น)
98 ไรมี เหมมันต์ 650108402021 เวลา(นวนิ ยาย)