The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุนิสา เปี้ยอุ๊ด, 2020-07-22 21:24:13

ศาสนา

ศาสนา

ศาสนา (อังกฤษ: religion) คือ ลัทธิความเช่ือของมนุษย์ เก่ียวกับการกําเนิด
และส้ินสุดของโลก หลักศีลธรรม ตลอดจนลัทธิพิธีที่กระทําตามความเชื่อน้ัน ๆ หลาย
ศาสนามีการบรรยาย สญั ลกั ษณ์และประวตั ิศาสตร์ศักดิส์ ิทธ์ิซึ่งเจตนาอธิบายความหมาย
ของชีวิต และ/หรืออธิบายกําเนิดชีวิตหรือเอกภพ จากความเชื่อของศาสนาเก่ียวกับ
จักรวาลและธรรมชาติมนุษย์ คนได้รับศีลธรรมจริยศาสตร์ กฎหมายศาสนาหรือวิถีชีวิต
ลาํ ดบั กอ่ น บางการประมาณว่า มศี าสนาราว 4,200 ศาสนาในโลก

สํ า ห รั บ ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ป ร ะ ช า ช น มี เ ส รี ภ า พ ใ น ก า ร นั บ ถื อ ศ า ส น า
โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ทุกศาสนา ศาสนาสําคัญ และมีคนนับถือ
มากทสี่ ุดในประเทศไทย ไดแ้ ก่ศาสนาพทุ ธ
ศาสนาอสิ ลาม ศาสนาครสิ ต์ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดูและศาสนาซิกข์

นอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ยังมีความเชื่อไม่นับถือศาสนาด้วย เรียก
"อศาสนา"(อังกฤษ: irreligion) และผู้ไม่นับถือศาสนาเรียก "อศาสนิก" (อังกฤษ:
irreligious person)

ชาวฮินดูส่วนมากนับถือเทพศูนย์รวมผู้สูงสุดองค์หนึ่ง คือพระพรหม ซึ่งมีหลาย
พระภาคด้วยกันท้ังในภาคของเทพหรือพระและเทพธิดา หรือเจ้าแม่ การปรากฎองค์ท่ี
แตกต่างกันของพระพรหม โดยผ่าน เทพธิดาและเทพบุตรเหล่านี้ได้จุติมาอยู่ใน รูป
เคารพ วดั และวหิ าร ผนู้ าํ ศาสนา แมน่ าํ้ สัตว์ตา่ งๆ เป็นต้น ชาวฮินดูเช่ือว่าสถานะที่พวก
เขาเปน็ อยูเ่ ดี๋ยวน้ีมาจากผลการกระทํา ในชาติก่อนของพวกเขา ถ้าพฤติกรรมของเขาใน
ชาติก่อนชั่วร้ายมากๆ เขาอาจจะต้องประสบกับชีวิตที่ยากลําบากมากในชาตินี้
เปูาประสงค์ ของชาวฮินดูคือการได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม...คือการเป็นอิสระจาก
วงจรของวฏั สงสาร (การเวียนวา่ ย ตายเกดิ )

มีหนทางท่ีเป็นไปได้อยู่สามทาง ในการหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรม: 1.อุทิศตัวด้วย
ใจรักต่อเทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดก็ได้ในศาสนาฮินดู 2.เพิ่มพูนข้ึนในความรู้โดยผ่าน
การบําเพ็ญภาวนาให้เป็นหน่ึงเดียวกันกับองค์พระพรหม(แปลว่าการเป็นหนึ่งเดียว)...
เพอ่ื ทจ่ี ะระลกึ ได้ว่า สถานการณต์ า่ งๆในชีวติ นน้ั ไมใ่ ช่ส่งิ ทีเ่ กดิ ข้ึนจริง ซึ่งตัวตนของเราน้ัน
คือภาพลวงตาและสิ่งเดียวท่ีแท้จริงก้คือพระพรหมเท่าน้ัน 3. ทําตามระเบียบแบบแผน
และ ศาสนพิธตี า่ งๆอย่างเครง่ ครดั

ในศาสนาฮินดู ทกุ คนมเี สรภี าพที่จะเลอื กวา่ จะไปใหถ้ ึงความสมบรู ณ์แบบทางจิต
วิญญาณโดยวธิ ีใด และยงั มีคําอธิบายทเี่ ปน็ ไปได้เก่ยี วกบั ความทกุ ข์ยากและส่งิ ช่ัวร้ายท่ีมี
อยใู่ นโลกนี้อีกด้วย ตามความเชื่อของฮินดู ความทุกข์ที่ทุกคนประสบ ไม่ว่าจะเป็นความ
เจ็บปุวย หรือความอดอยาก หรือภัยพิบัติ เป็นสิ่งท่ีเหมาะสมแล้วกับคนๆน้ันเพราะการ
กระทําท่ีช่ัวร้ายของเขาเอง ส่วนใหญ่เป็นมาจากชีวิตในชาติก่อนของเขา จิตวิญญาณ
เท่านั้นท่ีมีความสําคัญ ซ่ึงในวันหนึ่งจะเป็นอิสระจากวงจรแห่งการเกิดใหม่ และได้พัก
สงบ

พวกนิวเอจสนับสนุนความคิดที่ว่าคนเราสามารถที่จะพัฒนาพลัง ในตัวของเรา
เอง และเป็นพระเจ้าได้ เมื่อพูดถึงพระเจ้า พวกเขา จะไม่พูดถึงพระเจ้าผู้อยู่เหนือทุกส่ิง
หรือพระเจ้าผู้สร้างสรรพสิ่ง ท่ีเรารู้จักเป็นส่วนตัวได้ แต่จะพูดถึงพระเจ้าในลักษณะท่ี
เป็น จิตสํานึกที่สูงส่งกว่าพวกเขา พวกที่เชื่อในลัทธินิวเอจจะมองตัว ของเขาเองว่าเป็น
พระเจ้า เป็นพลังงานในจักรวาล หรือเป็นจักรวาล เลยด้วยซํ้าไป ในความเป็นจริงแล้ว
ตามความเชื่อของพวกเขา ทุกอย่างท่ีคนๆน้ันเห็น ได้ยิน รู้สึกหรือจินตนาการได้จะถูก
เรยี กว่า เปน็ ส่ิงศักดส์ิ ทิ ธ์ิ(พระเจา้ )ท้งั สน้ิ

พวกนิวเอจเลือกท่ีจะใช้ความหลากหลายในการอธิบายถึงความเชื่อของเขา ซึ่งถูก
เรียกว่าการสะสมธรรมเนียมโบราณด้านจิตวิญญาณ พวกเขารับทราบ ถึงการมีอยู่ของ
เทพเจ้าและเทพธิดาทั้งหลาย เหมือนกับชาวฮินดู
โ ล ก น้ี ถู ก ม อ ง ว่ า เ ป็ น แ ห ล่ ง ข อ ง ส่ิ ง ที่ เ ก่ี ย ว กั บ จิ ต
วญิ ญาณทั้งหลาย และมีสติปัญญา อารมณ์ความรู้สึก
และความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวของมันเอง แต่ส่ิงท่ีอยู่
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือตนเอง ตนเองคือแหล่งกําเนิด ผู้
ควบคุมและ พระเจ้าของทง้ั หมด ไม่มีความจริงอ่ืนใด
นอกเหนือจากท่ีตนเองกาํ หนดใหม้ นั มี

ลัทธินิวเอจสอนเน้ือหาที่กว้างขวาง เกี่ยวกับ
ส่ิงลี้ลับของโลกตะวันออก และจิตวิญญาณ ปรัชญาท่ีเก่ียวข้องความจริงในธรรมชาติ
เทคนิคเกี่ยวกับเรื่องพลังจิต ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการหายใจ การสวด การรัวกลอง การ
ทําสมาธิ เพื่อทีจ่ ะพฒั นาความเปลี่ยนแปลงภาวะจติ และการเปน็ พระเจ้าของเขาผนู้ ้นั

ประสบการณใ์ นทางลบทีค่ นๆหนงึ่ มี (ความล้มเหลว ความเศร้าเสียใจ ความโกรธ
ความเห็นแก่ตวั และความเจ็บปวด)นน้ั เป็นเพยี งภาพลวงตา การเช่ือว่าตัวเขาเองคือ ผู้ท่ี
ควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือชีวิตของตน ไม่มีส่ิง ที่ไม่ถูกต้องในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าสิ่ง
นั้นจะเป็นในทางร้ายหรือเป็นความเจ็บปวดก็ตาม คนๆหนึ่งในเวลาต่อมา สามารถ
พัฒนาทางจิตวิญญาณจนมาถึงจุดที่ว่า ชีวิตไม่มีจุดประสงค์ใดๆ ไม่มีความเป็นจริงใดๆ
ภายนอก คนๆน้ันได้กลายมาเป็นพระเจา้ และสรา้ งความเปน็ จรงิ ของเขาข้ึนมาเอง

ชาวพุทธไม่ได้นมัสการเทพเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดท้ังส้ิน คนท่ีไม่ใช่ ชาวพุทธ
มกั จะคดิ ว่า ชาวพทุ ธนมสั การพระพทุ ธเจา้ อยา่ งไรกต็ าม พระพุทธเจ้า(หรือเจ้าชายสิทธ
ถะ)ไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านเป็นพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ แต่ท่านในสายตาของชาวพุทธ
คือผู้ที่บรรลุผลของสิ่ง ที่ชาวพุทธทุกคนต้องการจะบรรลุ นั่นคือการตรัสรู้ และด้วยสิ่งนี้
นั่นเอง เขาก็จะมีอิสระจากวัฏจักรของการเวียนว่ายตายเกิด ชาวพุทธส่วนมาก เชื่อว่า
พวกเขามกี ารเกดิ ใหม่หลายต่อหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็จําเป็น ต้องเกี่ยวข้องกับการ
ทนทุกข์อย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ ชาวพุทธแสวงหาทาง ที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารน้ี ชาว
พุทธเช่ือว่าการตกอยู่ในวังวนเช่นนี้ สืบเน่ืองมาจากความอยากมีอยากได้ ความไม่พอใจ
และความมัวเมา ลุ่มหลงของคนๆนั้นเอง ดังน้ันเปูาประสงค์ของชาวพุทธก็คือการทํา
จิตใจให้บริสุทธ์และปล่อยวางความต้องการของสิ่งที่เป็นรูป รส กล่ิน เสียง สัมผัส และ
การยดึ ติดกับตนเอง

ชาวพทุ ธเชือ่ ฟังและปฏิบัติตามหลักการต่างๆในคําสอนของศาสนา และทําสมาธิ
ภาวนาอย่างเครง่ ครัด เมอ่ื ชาวพทุ ธทาํ สมาธภิ าวนา มันจะไมเ่ หมอื นกับการอธิษฐานหรือ
การเพง่ ความสนใจทพี่ ระหรอื เจ้า แตเ่ ปน็ เรอ่ื งวนิ ยั ทางฝาุ ยวิญญาณมากกว่า โดยทางการ
ฝึกฝนทําสมาธิน้ีคนๆหนึ่งอาจจะถึงนิพพานได้น่ันคือการ“ขจัดออกไป”ซ่ึงไฟแห่งความ
ปรารถนา

ศาสนาพทุ ธใหแ้ นวทางซึ่งคอ่ นข้างเป็นความจริงในศาสนาต่างๆของโลก คือการมี
วินัย มีค่านิยมที่ดีและให้มีทิศทาง ซึ่งคนท่ัวไปอาจจะต้องการที่จะดําเนินชีวิตตาม
แนวทางน้นั

ศาสนาอิสลามเชอ่ื วา่ มพี ระเจา้ สงู สดุ แตเ่ พียงองค์เดยี วซง่ึ พวกเขา เรียกว่า องค์อัล
เลาะห์ ผู้เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ผู้อยู่เหนือกว่ามวล มนุษยชาติ องค์อัลเลาะห์นั้นถูกมอง
ว่าเปน็ ผสู้ ร้างจกั รวาลทง้ั สนิ้ และเป็นแหลง่ ของท้งั ความดีและความช่ัวร้ายทั้งมวล ทุกส่ิง
ท่ีเกดิ ข้ึนเปน็ เจตจาํ นงขององคอ์ ัลเลาะห์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรง มีฤทธ์ิมากและ
เป็นผู้พิพากษาท่ีเข้มงวด ผู้ท่ีจะแสดงความเมตตา ต่อผู้ติดตามของพระองค์ ตามการ
กระทําความดีอย่างเพียงพอ และการอุทิศตัวให้แก่ศาสนา ความสัมพันธ์ของผู้ติดตาม
องค์อลั เลาะหแ์ ละตัวพระองค์เอง เหมอื นกับพวกเขาเปน็ ผู้รับใช้ของพระองค์

แม้ว่าชาวมุสลิมจะยกย่องผู้พยากรณ์ท่านอื่นๆ แต่ถือว่าท่านมูฮัมหมัดคือผู้
พยากรณค์ นสดุ ท้าย คาํ สอน และวถิ กี ารดําเนนิ ชวี ิตของท่านถอื วา่ มสี ทิ ธิอํานาจ การเป็น
มุสลมิ คือคุณตอ้ งถือหนา้ ทท่ี างศาสนา 5 อย่างดว้ ยกนั

1. ทบทวนข้อบัญญัติทางศาสนาเกี่ยวกับองค์อัลเลาะห์และท่านมูฮัมหมัด
2. มกี ารละหมาดโดยท่องจําคําสวดภาษาอารบคิ หา้ คร้ังต่อวัน
3. ใหท้ านแกค่ นยากจน
4. หนงึ่ เดอื นของแต่ละป(ี รอมาดอน)ให้มีการงดอาหาร เครอื่ งดม่ื
การมีเพศสมั พนั ธ์และการสบู บุหร่ตี ัง้ แต่ดวงอาทิตย์ข้ึนจนถึงดวงอาทติ ย์ตก
5. ไปแสวงบุญหน่ึงครั้งในชีวิต เพ่ือร่วมนมัสการท่ีสถานศักดิ์สิทธ์ิในนคร
เมกกะ ชาวมุสลิม เม่ือตาย ก็หวังท่ีจะได้ไปอยู่ที่สวรรค์ แต่น่ันก็ขึ้นอยู่กับ
ความซ่ือสัตย์ในการปฏิบัติตามหน้าที่ ถ้าไม่ได้ไปสวรรค์ เขาก็ต้องได้รับ
โทษเปน็ นริ นั ดร์ในนรก

สําหรับหลายๆคน ศาสนาอิสลามทําให้ความคาดหวังเกี่ยวกับศาสนาและสิ่ง
ศักดิส์ ิทธขิ์ องพวกเขา ดูไปดว้ ยกันได้ ศาสนาอิสลามสอนว่า มีพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงองค์
เดียว ผู้ซึ่งรับการนมัสการโดยการกระทําความดีและวินัยในการทําตามพิธีกรรมต่างๆ
ทางศาสนาของพวกผตู้ ิดตาม หลังจากเสียชวี ิตไปแล้ว คนๆนั้นจะไดร้ ับรางวัลหรอื รบั การ
ลงโทษ ขึ้นอยกู่ บั การอทุ ศิ ตัวใหแ้ กศ่ าสนาของเขาผูน้ ัน้

คริสเตียนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเป่ียมด้วยความรัก ซ่ึง
ทรงสําแดงพระองค์ เองแก่เราและทรงให้เรารู้จักเป็นการ
ส่วนตัวในชีวิตนี้ได้ คริสเตียน ไม่ได้เพ่งความสนใจไปท่ี
พิธีกรรมทางศาสนาหรือการกระทําความดี แต่ความสนใจ
อยู่ท่ี การชื่นชมในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเติบโต ใน
การรู้จักกับพระองค์มากขึ้นโดยทางพระเยซูคริสต์ การมี
ความเช่ือศรัทธาในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่แค่ที่คําสอนของ
พระองค์เท่าน้ัน เป็นวิธีท่ีคริสเตียนจะประสบกับความชื่น
ชมยินดีและชีวิตที่มีความหมาย เม่ือพระเยซูยังทรงดําเนิน
พระชนม์อยู่บนโลก พระองค์ไม่เคยกล่าวถึงตนเองว่า ทรงเป็นผู้พยากรณ์ที่ชี้ให้คนเห็น
พระเจ้า หรือทรงกล่าวว่าตนเอง คือพระอาจารย์ที่สอนหนทางการตรัสรู้ พระองค์ทรง
กล่าวอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงกระทําการอัศจรรย์ ยกโทษ
ความผิดบาปของผู้คน และตรัสว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะได้รับชีวิตนิรันดร์
พระองค์ตรัสประโยคน้ีว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความ
มดื แตจ่ ะมีความสว่างแหง่ ชวี ติ ”1

พวกครสิ เตยี นถือว่า พระครสิ ตธรรมคัมภีร์คอื ขอ้ ความที่เป็นลายลักษณอ์ ักษรของ
พระเจ้าท่ีทรงมีมาถึงมวลมนุษย์ พระคัมภีร์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การบันทึกทาง
ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตและการอัศจรรย์ของพระเยซูคริสต์ เท่านั้น แต่ยังเป็นส่ิงที่
เปิดเผยให้เราเห็นถึงพระลักษณะของพระเจ้า ความรักและความจริงของพระองค์ และ
วธิ ที ่คี นหน่ึงคนใดจะมคี วามสัมพนั ธก์ ับพระองคไ์ ด้

ไม่ว่าคริสเตียนต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรในชีวิต พวกเขาสามารถหันเข้าหา
พระเจ้าผู้ทรงมีสติปัญญาและ ฤทธานุภาพ ผู้ซึ่งทรงรักพวกเขาอย่างแท้จริงได้ อย่าง
มั่นใจเสมอ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงตอบคําอธิษฐานและชีวิตของพวกเขาจะมี
ความหมาย ถา้ หากเขาดาํ เนินชวี ติ อย่างเป็นท่ถี วายพระเกยี รติแดพ่ ระเจ้า

ศาสนาและลัทธิความเช่ือหลักๆของโลก(ฮินดู นิวเอจ พุทธ อิสลามและพวกผู้ท่ี
ติดตามพระเยซูคริสต์) แต่ละความเชื่อต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทั้งส้ิน แต่มีอยู่ความ
เช่ือหนงึ่ ที่ยืนยนั วา่ มพี ระเจา้ ผทู้ ี่ทรงเปน็ บคุ คล ผทู้ เ่ี ป่ียมไปดว้ ยความรกั เปน็ ผู้ซึ่งเรารู้จัก
ได้ในชีวิตน้ี พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึง พระเจ้าผู้ท่ีต้อนรับเราเข้าสู่ความ สัมพันธ์กับ
พระองค์ และจะทรงอยู่เคียงข้างเราในฐานะพระผู้ปลอบประโลม ท่ีปรึกษาและผู้ทรง
ฤทธานุภาพ ผูท้ ี่ทรงรักเรา

ในศาสนาฮินดู คนเราต้องพยายามด้วยตัวเองท่ีจะหลุดพ้นจากกรรม ในลัทธินิว
เอจ คนเราต้องทําตัวของเราเองให้เป็นพระเจ้า ในพุทธศาสนาก็ต้องเป็นการพยายาม
ของตนเองที่จะเป็นอิสระจากความปรารถนาของตน ในศาสนาอิสลาม คนเราต้องทํา
ตามหลักเกณฑ์ของศาสนา เพ่ือจะได้ไปสวรรค์หลังจากความตาย ในการสอนของพระ
เยซู คุณจะเห็น การมีความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับพระเจ้าที่ทรงเป็นบุคคล และ
ความสัมพันธ์น้นั ดําเนนิ จากชวี ติ นตี้ อ่ ไปจนถึงชวี ติ หน้า

ศาสนาและลัทธิความเช่ือต่างๆส่วนใหญ่ จะมีคําสอนที่ว่าคุณต้องทําด้วยตัวของ
คุณเอง การพยายามอย่างหนัก ท่ีจะบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบทางวิญญาณ
ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้า ท่านไม่เคยกล่าวอ้างว่าท่านปราศจากบาป ท่านมูฮัมหมัดก็
ยอมรับด้วยว่าท่านเองต้องการการยกโทษบาป “ไม่ว่าท่านผู้พยากรณ์ ผู้นําทางศาสนา
หรือพวกอาจารย์เหล่าน้ัน จะฉลาดแค่ไหน หรือมีพรสวรรค์มากแค่ไหน หรือมีอิทธพล
มากแค่ไหน ท่านเหล่าน้ัน ก็ตระหนักถึงตัวของท่านเองดีว่า พวกท่านไม่ได้สมบูรณ์แบบ
ไปหมดทกุ อยา่ ง ซงึ่ ก็เชน่ เดยี วกันกับพวกเรา”

 ส่ิงเคารพสูงสดุ
 ศาสดา
 คมั ภีร์
 ผู้สบื ทอด
 ศาสนสถาน
 สัญลกั ษณ์
 พธิ ีกรรม
 ความสําคญั ของศาสนา

มีความเชอ่ื ว่าศาสนาน้นั เกดิ มาจากความตอ้ งการเข้าใจในธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ นับแต่
อดีตมนุษย์จะสงสัยว่าส่ิงต่างๆเกิดข้ึนมาได้อย่างไร ทําไมต้องเกิดขึ้น จะเปลี่ยนแปลงได้
หรอื ไม่ เปลี่ยนแปลงแล้วจะเกดิ ผลอะไรตอ่ มาอีก จนนาํ มาสกู่ ารค้นหาแนวทางต่างๆเพื่อ
ตอบปัญหาเหลา่ นี้ จนนํามาเป็นความเชื่อและเลื่อมใส ตัวอย่างเช่นศาสนาพุทธ เกิดจาก
เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นความทุกข์ จึงทรงหาแนวทางให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วย
วิธีการต่างๆนานา จนทรงค้นพบอริยสัจ 4 ด้วยวิธีท่ี เป็นการฝึกจิตด้วยสติจนถึงซ่ึง
ความรู้แจ้ง ในสรรพสิ่ง และความดับความทุกข์ ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดับ
สิ้นซง่ึ กิเลส ทรงสอนให้มนษุ ย์ ให้ทําบุญ รักษาศีล และภาวนา เพ่ือจะได้เป็นแนวทางใน
การพ้นทุกข์ของมหาชน อย่างไรกต็ าม ในการศกึ ษาในปัจจุบัน คาํ อธบิ ายของการเกิดขึ้น
และพฒั นาการของศาสนา สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ ส่กี ลุ่ม

 ศาสนาเป็นส่ิงท่ีมนุษย์สร้างขึ้นจากความกลัว ในธรรมชาติที่ตนเองไม่รู้ จนต้อง
วิงวอนและรอ้ งขอในส่ิงท่อี ยากได้

 ศาสนาเกิดจากความไมร่ สู้ งสยั ในอภิปรชั ญาวา่ โลกเกดิ ขนึ้ มาได้อย่างไร และจะเปน็
เชน่ ไรต่อไป

 ศาสนาเกิดจากความต้องการท่ีจะสร้างความเชื่อขึ้นมา เพ่ือช่วยควบคุมความ
ประพฤตขิ องคนในสงั คม ใหส้ งั คมสงบสุข

 ศาสนาเกิดจากความต้องการท่ีจะพ้นจากความทุกข์ เช่นความอดอยาก โรค
ระบาด ความแก่ ความตาย การสญู เสีย

 ปรชั ญาศาสนา
 ศาสนาของโลกถ้าแบง่ ตามลกั ษณะปรชั ญาที่คล้ายคลึงกัน แบง่ ได้ 2 ลกั ษณะ

 ศาสนาทย่ี ดึ ถือพระเจา้ เป็นส่งิ สูงสุด

กลุ่นศาสนาท่ีนิยมเรียกว่า ปรัชญาตะวันตก โดยถือตามอิทธิพลในการรับอารย
ธรรม ได้แก่ศาสนาโซโรอัสเตอร์ ศาสนายูดาย(ยิว)ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนา
ซกิ ข์ ศาสนาบาไฮ ศาสนาฮนิ ดู ศาสนากลุ่มน้ีมีลกั ษณะท่ีคล้ายกันคอื

พระเจ้าคือสง่ิ มชี วี ติ ทรงปญั ญาสูงสดุ ทไี่ ม่อาจเขา้ ถงึ ได้ ถ้าพระองค์ไมป่ ระสงค์
ศาสนิกต้องแสดงความรักหรือภัคดีต่อพระเจ้าด้วยการสรรเสริญ ปฏิบัติตามที่พระองค์
ประสงค์ที่ได้ตรัสผ่าน ศาสนทูตของพระเจ้าอาจขอให้ทรงไถ่บาป อ้อนวอนให้ทรง
ประทานส่ิงที่ดีแก่ชีวิตเช่ือว่าทรงเป็นพระผู้สร้าง สร้างสรรพสิ่ง กําหนดสภาวการณ์ท่ี
เป็นไปของโลก แตท่ รงปล่อยให้มนุษย์เลือกทางแห่งตนเอง โดยจะทรงช่วยเม่ือมนุษย์ลง
มอื กระทาํ ก่อนท่ีจะเชื่อให้ไตร่ตรองอยา่ งรอบคอบ เมื่อเช่ือแล้วอย่าสงสัย เพราะพระเจ้า
จะทรงทดสอบจิตใจในศรัทธาเม่ือถึงวันส้ินโลกพระเจ้าจะทําลายทุกส่ิง ที่พระองค์สร้าง
ข้ึน และจะชุบชีวิตทุกคนให้ฟื้นคืนชีพมารับฟังคําพิพากษา ผู้เชื่อจะรอด และอยู่กับ
พระองค์ชั่วนิรันดร์ ผู้ไม่เชื่อ จะถูกลงทัณฑ์ให้ตกนรกชั่วกาลให้วางใจในพระเจ้า รับ
พระองคเ์ ข้าไวใ้ นใจจะพบแต่สันตสิ ขุ ศาสนาที่มุ่งเขา้ ถึงความจรงิ สงู สดุ

กลุ่มศาสนาที่นิยมเรียกว่าปรัชญาตะวันออก โดยถือตามอิทธิพลในการรับอารย
ธรรม ไดแ้ ก่ศาสนาพุทธทั้งเถรวาท นิกายเซนและวัชรยาน ศาสนาเชน ศาสนาพราหมณ์
(แบบเก่า) ลัทธเิ ตา๋ และลัทธิขงจือ๊ ศาสนากลุ่มน้ีมลี กั ษณะทค่ี ล้ายกนั คือ

เช่ือว่าโลกนี้เกิดข้ึนเองตามกฎธรรมชาติ สรรพส่ิงแท้จริงเป็นเพียงความว่างเปล่า ความ
จริงแท้ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคําพูด และไม่อาจเข้าถึงได้ด้วยหลักตรรกะหรือเหตุผลการ
เข้าถงึ ความจรงิ แทท้ ําไดด้ ้วยการบรรลปุ ญั ญาญาณ จากการไม่ติดอยู่ในมายาของเหตุผล
เชื่อในการไม่สน้ิ สุด เชอ่ื ในการเวยี นวา่ ยตายเกิด เชื่อในกฎแห่งกรรม
มีหลักคุณธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ที่มักน้อยสันโดษพอเพียง ยึดถือหน้าท่ี มีวันัยสูงไม่
เห็นแก่ตัว แต่ไม่ยึดติดในส่ิงท้ังปวง มุ่งละกิเลสเช่ือในตัวมนุษย์ว่าเข้าถึงความจริงได้ ทุก

สงิ่ เกดิ จากการกระทําของตนเอง เชือ่ ในศาสตร์ล้ลี บั (เวทมนตร์ โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์)
วา่ มจี ริง เชื่อว่าถ้าจติ วญิ ญาณเข้าถงึ ความจริงสูงสุดจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
ท้ังสองกลุ่มมีความเช่ือที่ไม่เหมือนกันคือกลุ่มแรกยอมรับว่าองค์สูงสุดมีอยู่จริง เช่น
ศาสนาคริสต์และอิสลามเรียกองค์สูงสุดว่าพระเจ้า ผู้นับถือมีเปูาหมายเพ่ือการเข้าไป
รวมอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนกลุ่มหลังเช่นศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่ยอมรับ
การมอี ยู่ของพระเจ้าหรอื องคส์ งู สดุ แตเ่ ชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้า (เหล่าพรหมา) ซึ่งเป็น
เทวดาชน้ั สูงสดุ เรยี กวา่ พรหม แตต่ ่างกันตรงที่ผทู้ น่ี ับถอื ศาสนาศาสนาพทุ ธไมม่ ีเปูาหมาย
เพอื่ การไปรวมอยู่กับพรหม แต่สามารถไปเกิดเปน็ พรหมได้ เพราะการรวมอยหู่ รือไปเกิด
เปน็ พรหม เม่อื หมดเหตปุ ัจจัยกย็ ังตอ้ งเวยี นว่ายอยู่ในสังสารวัฏ อนั มตี ่ําสุดคอื นรก สูงสุด
คือพรหม อย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด ทางที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้จึงมีทางเดียวเท่านั้นคือ
นิพพาน

ศาสนาในโลกถึงแมจ้ ะมีมาก แต่ถา้ จดั เป็นประเภทกไ็ ด้เป็น 2 ประเภท คอื

เทวนิยม
เช่ือว่ามีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าเทพเจ้าท้ังหลาย หรือเรียกกันว่าพระเจ้า มีพระเจ้า
สูงสุด เพียงพระองคเ์ ดยี ว พระองค์เปน็ ผูส้ รา้ งโลกและสรรพสงิ่ และเชอื่ กันวา่ พระเจา้ อาจ
ตดิ ต่อมนุษย์ โดยผา่ นศาสดาพยากรณห์ ลายองค์ เช่น พระอลั เลาะห์ ทรงติดตอ่ กบั ทา่ นน
บีมุฮัมหมัด พระยะโฮวาห์ ทรงติดต่อกับ ท่านโมเสส และพระเยซู ส่วนบางศาสนาก็นับ
ถือพระเจ้า หรือเทพเจ้าหลายองค์ อย่าง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เช่ือว่าพระเจ้าอวตาร
แยกเป็น3องค์ เปน็ ต้น ศาสนาแบบเทวนยิ ม ไดแ้ ก่

 ศาสนาครสิ ต์
 ศาสนาอสิ ลาม
 ศาสนายิว
 ศาสนาซิกข์
 ศาสนาบาไฮ
 ศาสนาโซโรอสั เตอร์
 ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู
 อเทวนิยม

ศาสนาประเภทนี้ ไม่เชื่อในการมีอยู่จริงของพระเจ้า โดยเช่ือว่าโลกและสรรพส่ิงเกิดข้ึน
เองตามกฎของธรรมชาติ เช่ือว่ามนุษย์เป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของตนเอง ทุกส่ิงเป็นไป
ตามเหตปุ จั จยั ศาสนาประเภทนี้ ไดแ้ ก่

 ศาสนาพทุ ธ
 ศาสนาเชน
 ศาสนาท่ีตายแลว้

 ศาสนาในโลกอาจแบ่งเป็นศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ ศาสนาท่ีตายแล้ว และศาสนาที่
สาบสญู

 ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่ คือศาสนาที่มีความเป็นสถาบันมีองค์กร มีผู้นับถือเป็น
จํานวนมากพอประมาณ มรี ะบบคําสอน ได้แก่ศาสนาในโลกปจั จบุ ัน

 ศาสนาท่ตี ายแลว้ คอื ศาสนาทเ่ี คยมผี ู้นบั ถอื แต่ปัจจบุ นั แทบไม่มีคนนับถืออีกแล้ว
แต่ยงั มหี ลักฐานให้เรารวู้ า่ เคยมีศาสนานีอ้ ยใู่ นโลกมาก่อน

 ศาสนาท่สี าบสูญ คือศาสนาท่ีเราไม่มีขอ้ มูลให้รู้ว่าเคยมศี าสนานอ้ี ยู่ในโลกมากอ่ น

 ศาสนาที่ตายแล้ว
 ศาสนาอยี ิปตโ์ บราณ
 ศาสนาเปรูโบราณ
 ศาสนาเมก็ ซิโกโบราณ

 ศาสนามิถรา
 ศาสนามาณิกิ
 ศาสนาบาบิโลเน่ียน
 ศาสนาสเุ มอเล่ยี น-อคั คาเดียน
 ศาสนาฮิทไทท์

 ศาสนากรกี
 ศาสนาโรมัน
 ศาสนาเซลตกิ
 ศาสนาสแกนดเิ นเวีย-ตวิ ตนั โบราณ

 ศาสนาในโลกปจั จบุ ัน
 ศาสนาครสิ ต์

 โรมันคาทอลิก
 โปรเตสแตนต์
 ออร์ทอดอกซ์
 ศาสนาอิสลาม
 สุหน่ี
 ชีอะห์
 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
 ไศวะ
 ไวษณพ
 ศกั ติ
 ศาสนาพุทธ
 เถรวาท
 มหายาน
 ศาสนาซิกข์
 นานกั ปันถิ
 ขาลฺสา
 นิลมิ เล
 ศาสนายวิ
 ออร์ทอดอกซ์ (ฟารซิ ี)
 โปรเกรสซีฟ (ซดั ดูคสู )
 นกั พรต (เอสเซเนส)
 ศาสนาเชน
 ทคิ ัมพร
 เศวตัมพร
 ศาสนาโซโรอัสเตอร์
 กทั มิส
 ชหันชหสิ

 ศาสนาบาไฮ
 ลทั ธิ
 ชินโต
 ขงจื๊อ
 เตา๋
 วูดู
 พุทธตันตระ
 ลทั ธิหวั เหา
 ลัทธิเกา๋ ได่
 ลัทธมิ าณกี ี
 ลทั ธโิ อมชินริเกียว
 ลัทธชิ อนโดเกียว

 ศาสนาคริสต:์ 2.1 พันล้านคน
 ศาสนาอสิ ลาม: 1.5 พนั ลา้ นคน
 ไมน่ ับถือศาสนา/เช่อื ในวทิ ยาศาสตรแ์ บบตายแลว้ สญู /อศาสนา: 1.1 พนั ล้านคน
 ศาสนาพราหมณ์-ฮินด:ู 900 ล้านคน
 ศาสนาพุทธนิกายมหายานของจีน/ลัทธิขงจ๊ือ/ลัทธิเต๋า/นับถือบรรพบุรุษ/พระ

โพธิสัตวเ์ จา้ แม่กวนอมิ : 394 ลา้ นคน
 ศาสนาพุทธ: 376 ลา้ นคน
 ศาสนานับถือผขี องเผา่ ตน: 300 ลา้ นคน
 ศาสนาโยรูบา: 100 ล้านคน
 ศาสนาซกิ ข:์ 23 ลา้ นคน
 ลัทธิจูเช (นบั ถอื คมิ อลิ ซุง): 19 ล้านคน
 นบั ถือผ:ี 15 ล้านคน
 ศาสนายิว: 14 ลา้ นคน
 ศาสนาบาไฮ: 7 ล้านคน
 อนุตตรธรรม 5 ล้านคน
 ศาสนาเชน: 4.2 ล้านคน
 ศาสนาชนิ โต: 4 ลา้ นคน
 ลัทธิโจได: 4 ลา้ นคน
 ศาสนาโซโรอสั เตอร:์ 2.6 ล้านคน
 ลทั ธเิ ทนริเกียว: 2 ลา้ นคน
 ลทั ธิเพแกนใหม:่ 1 ล้านคน
 ลทั ธิเอกนยิ ม: 8 แสนคน
 ขบวนการราสตาฟาเรียน: 6 แสนคน

ประเทศไทยมีพระพทุ ธศาสนา เป็นศาสนาประจําชาติมาโดยตลอด นับต้ังแต่ได้
ต้ังเป็นแว่นแคว้น และเป็นราชอาณาจักรแต่ก็ได้เอื้อเฟื้อต่อคนไทยผู้นับถือศาสนาอ่ืน
และให้ความอปุ ถมั ภ์ศาสนาอน่ื ตามแบบอยา่ งโบราณราชประเพณีท่พี ระมหากษัตริย์ไทย
ได้ทรงอุปถัมภ์ไว้แล้ว และมีนโยบายท่ีจะปูองกันมิให้คนไทยท่ีนับถือศาสนาแตกต่างกัน
เบยี ดเบยี นกัน มคี วามสมานฉนั ท์ สามารถอยรู่ ่วมกันดว้ ยความสุขสงบร่มเย็น โดยทุกคน
มีเสรีภาพในการประกอบพิธีกรรมตามศาสนาของตน โดยได้รับการคุ้มครองตาม
กฎหมายรฐั ธรรมนญู และประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๐๖,๒๐๗ และ ๒๐๘

ในการดําเนินการด้านศาสนาต่าง ๆ ทางหน่วยราชการท่ีเกี่ยวข้อง บริหารงาน
โดยยดึ หลกั กฎหมาย ดว้ ยการหารือองคก์ ารหลกั ของแตล่ ะศาสนาท่ีทางราชการให้ความ
อุปถมั ภไ์ วแ้ ลว้ เปน็ สําคัญ เพือ่ ให้องคก์ ารหลักของแต่ละศาสนาช่วยควบคุมดูแล และร่วม
รับผิดชอบในแต่ละศาสนา เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยเป็นผลดีต่อประเทศชาติเป็น
สว่ นรวม


Click to View FlipBook Version