The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มื่อหลักสูตรการฝึกอบรมระยะสั้นECO Printing การพิมพ์ลายผ้าด้วยใบไม้ U2T ตำบลป่าอ้อดอนชัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ya.mos1321, 2021-11-29 12:50:05

ECO Printing การพิมพ์ลายผ้าด้วยใบไม้

คู่มื่อหลักสูตรการฝึกอบรมระยะสั้นECO Printing การพิมพ์ลายผ้าด้วยใบไม้ U2T ตำบลป่าอ้อดอนชัย

1

หลกั สตู รการฝกึ อบรม

“ECO Printing การพมิ พ์ลายผ้าด้วยใบไม้”

มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา เชยี งราย

U2T – ตาบลปา่ อ้อดอนชยั

2

หลกั สตู รการฝกึ อบรม

“ECO Printing การพมิ พ์ลายผ้าด้วยใบไม้”
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลลา้ นนา เชียงราย

งาน ECO Printing การพิมพ์ลายผ้าด้วยใบไม้ เป็นงานศิลปะอย่างหน่ึงท่ีสามรถนาไปพิมพ์ลายได้ทง้ั
เสื้อผ้า กระเป๋า ผ้าพันคอ ผ้าโพกหัว เป็นต้น ซ่ึงจากการใช้วัสดุจากธรรมชาติมีส่วนทาให้ผ้ามีสีสนั สวยสะดุดตา
แก่ผู้พบเห็น เป็นการเพิ่มมูลค่าของผ้า เชิงสร้างสรรค์ ทันสมัย ให้มีความน่าสนใจ เหมาะสาหรับเป็นของขวัญ
หรือของฝากในวันสาคัญ ดังนั้น ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพหรือพัฒนาอาชีพถือว่า
เป็นการสร้างรายได้ให้กับครอบครัวและสร้างจุดขายสินค้าใหม่ ๆ ให้กับชุมชน เน่ืองจากเป็นผลิตภัณฑ์จาก
ธรรมชาติ

สารบญั 3

เรอื่ ง หนา้

หลกั สูตรการฝึกอบรม 3
เน้ือหาการฝึกอบรม 5
5
ผ้า 8
ใบไม้ 10
เคร่ืองมอื และอุปกรณ์ 11
ขั้นตอนการพิมพล์ ายผา้ ดว้ ยใบไม้ 12
การวดั ผลประเมนิ ผล 13
แบบทดสอบ 15
บรรณานกุ รม 17
ประวัติวทิ ยากร

4

หลกั สตู รการฝกึ อบรม
“ECO Printing การพิมพล์ ายผ้าด้วยใบไม้”
มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลลา้ นนา เชยี งราย

วตั ถปุ ระสงค์
1. เพื่อให้ผู้เรยี นสามารถนาความร้ไู ปใช้ในการประกอบอาชพี หรือพฒั นาอาชีพ
2. เพือ่ เป็นการสร้างรายได้ให้กบั ครอบครัว
3. เพอ่ื สร้างจดุ ขายสนิ คา้ ใหม่ เนื่องจากเป็นผลิตภณั ฑจ์ ากธรรมชาติ

ระยะเวลาฝกึ อบรม
ผรู้ ับการฝึกอบรมจะต้องเข้าฝึกอบรมภาคทฤษฎี จานวน 2 ชัว่ โมงและฝึกทักษะภาคปฏิบัติ จานวน 6
ชวั่ โมง ระยะเวลาการฝกึ อบรมทงั้ หมด 8 ช่วั โมง

คณุ สมบตั ผิ เู้ ขา้ ฝกึ อบรม
1. เปน็ ประธานแม่บ้านหรือแมบ่ า้ นหรอื ผูส้ นใจในชมุ ชน
2. มีความพร้อมและสามารถเขา้ รบั การฝกึ อบรมไดต้ ลอดหลักสตู ร
3. มีความสนใจในการฝึก การพิมพล์ ายผ้าด้วยใบไม้และสามารถนาไปเผยแพร่ต่อได้

หวั ข้อเน้ือหาการฝึกอบรม เวลา (ชว่ั โมง)
ทฤษฎี ปฎบิ ตั ิ
หวั การฝกึ อบรม
1-
1. ผ้า ชนิดของผา้ คุณสมบตั ิของผา้ และใบไม้ รปู ร่าง
สีของใบไม้ 12
2. การเตรยี มเคร่ืองมือ วัสดุ ในการพมิ พ์ลายใบไมล้ งบนผา้
3. การฝกึ ปฏบิ ัตกิ ารพิมพล์ ายใบไม้ลงบนผา้ -4
การวดั ผลและประเมนิ ผล
รอ้ ยละ 20 ร้อยละ 80
รวม
26

8

5

เนื้อหาการฝกึ อบรม
1. ผ้า ชนดิ ของผ้า คณุ สมบตั ิของผ้าและใบไม้ รปู ร่าง สีของใบไม้ (1:0)

วัตถุประสงค์ เพ่อื ใหผ้ รู้ ับการฝึกอบรมมคี วามรู้ ความเข้าใจ ลักษณะ ประเภทและคุณสมบัตขิ องผ้า
และรปู ร่าง สขี องใบไม้ได้
คาอธิบายรายวิชา ศกึ ษาความหมาย ความสาคัญ ลกั ษณะ ประเภท คุณสมบัติ ประโยชนแ์ ละการ
ประยุกต์ใชผ้ า้ และใบไม้

2. การเตรยี มและปฏิบตั ิการพมิ พล์ ายใบไมล้ งบนผ้า (1:6)
วตั ถุประสงค์ เพ่ือให้ผู้รบั การฝกึ อบรมมคี วามรู้ ความเข้าใจ มที ักษะการพมิ พ์ลายใบไมล้ งบนผ้า
คาอธบิ ายรายวชิ า ศกึ ษาการใช้เครอื่ งมือ การเตรยี มวสั ดุ กรณ์ ในการพิมพล์ ายใบไมล้ งบนผ้าและ
ปฏบิ ัติการพมิ พ์ลายใบไมล้ งบนผ้า

3. การวดั และประเมนิ ผล
3.1. แบบทดสอบก่อนและหลังการฝกึ อบรม
3.2. ประเมินความรู้ ความสามรถและศักยภาพในการปฏิบัติงานนของผรู้ บั การฝึกอบรม

4. ผจู้ ัดทาหลักสูตร หน่วยงาน U2T - ตาบลปา่ อ้อดอนชยั
1. นางสาวจนั ทรต์ ระการ หนิ คง หนว่ ยงาน U2T - ตาบลป่าอ้อดอนชัย
2. นางสาวสธุ ินี ใจสขุ

ลงช่อื ....................................................ผูข้ ออนมุ ัตหิ ลักสตู ร
(นางสจุ ติ ตา หงษท์ อง)

ลงชือ่ ....................................................ผูอ้ นุมัตหิ ลกั สูตร
(ผชู้ ่วยศาสตราจารยเ์ กรียงไกร ธารพรศรี)
ผู้อานวยการสถาบนั ถา่ ยทอดเทคโนโลยสี ู่ชมุ ชน

6

เนื้อหาการฝึกอบรม

1. ผา้

ผ้าน้ันมีมานานต้ังแต่ก่อนคริสต์ศักราชโดยมีการค้นพบผ้าลินินในถ้าที่จอร์เจียก่อนที่จะมีผ้านั้น ใ น
อ ดีต ม นุษ ย์โบราณยังไม่รู้จักใส่เส้ือผ้าปิดกายเพราะมีผิวหนังที่หนาและขนยาว.แต่เม่ืออากาศมีการ
เปลี่ยนแปลงมนุษย์มีการปรับตัว ความหนาของผิวและลดความยาวของขน ทาให้มนุษย์เร่ิมรู้จักปกปิด
รา่ งกายในชว่ งแรก ไดม้ ีการนาใบไม้และเปลือกไม้มาทาเปน็ เคร่ืองนุ่งห่ม.และหนังสัตว์และเริ่มวิวัฒนาการมี
การถัก การทอด้วย พืชสาหรับในไทย พบว่าผ้าคืออะไร จากหลักฐานทางโบราณคดีแสดงว่าเคยมีการใช้ผ้า
และทอผ้าได้ต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หรือเมื่อราว 2,000-4,000 ปีมาแล้ว โดยได้พบเศษผ้าติดอยู่กับ
คราบสนิมของกาไลทองสาริดและอุปกรณ์ปั่นด้ายดินเผาแบบง่ายๆ รวมทั้งลูกกลิ้งแกะลายสาหรับใช้ทา
ลวดลายบนผา้ เปน็ จานวนมาก อยทู่ บ่ี ริเวณแหล่งวัฒนธรรมบ้านเชียง อาเภอหนองหาน จังหวดั อดุ รธานี

ผ้านั้นถูกนาไปใช้ประโยชน์ใ น ห ล า ย ด้า น แ ต่ที่พ บ ม า ก ที่สุด คือ ก า ร นามาตัดเย็บเป็น
เคร่ืองนุ่งห่ม เครื่องใช้ประเภทผ้าต่างๆ สิ่งทอท่ีมีส่วนแบ่งทางการตลาดไม่แพ้เส้ือผ้าก็คือ เคหะสิ่งทอ (Home
Textile) หมายถึง ทุกอย่างที่เก่ียวข้องกับผ้าท่ีใช้ประดับตกแต่งภายในบ้าน โรงแรม อาคารสถานที่ท่ัวไป เช่น
ผา้ มา่ น ผา้ ปูเตียง ผา้ ขนหนู เป็นต้น และในด้านอน่ื อกี หลากหลาย เชน่ การตกแตง่ สถานท่ี ถงุ ชา ทกี่ รองกาแฟ
สิ่งทอเฉพาะทาง (Technical Textiles) ชุดป้องกัน เช่น ความร้อนและรังสีสาหรับเส้ือผ้าดับเพลิงกับโลหะ
เหลวสาหรับช่างเชื่อม เกราะป้องกัน เช่น เส้ือเกราะกันกระสุน การใช้งานทางการแพทย์ และสิ่งทอสาหรับ
การเกษตร (Agrotextiles) เพ่ือป้องกันพืช เช่น กันนก กันแมลง การใช้งานเบ็ดเตล็ดของสิ่งทอ ได้แก่ ธงเป้
สะพายหลัง เต็นท์ส่ิงทอยังใช้เพ่ือเสริมความแข็งแกร่งในวัสดุคอมโพสิต (Composite) เช่น ไฟเบอร์กลาส
(Fiberglass)

1.2. ความหมายและคณุ สมบตั ิผา้

ผา้ (Fabric) หมายถึง วสั ดชุ นดิ หน่ึง ที่มลี กั ษณะเป็นแผ่น และผา่ นกระบวนการผลิตจากเสน้ ใย
ธรรมชาติ หรอื สังเคราะห์ จนไดเ้ ป็นเสน้ ด้ายและผา่ นกรรมวิธีผลติ จนได้เปน็ ผืนผา้

ผ้า (Fabric) คือ ส่งิ ที่ได้จากการนาวัสดธุ รรมชาตหิ รอื วสั ดทุ ่ีสังเคราะห์ ผ่านกระบวนการผลิต จนได้
เปน็ เส้นด้าย และผ่านกรรมวิธผี ลิตผสมผสานหรือถักทอจนไดเ้ ปน็ ผืนผา้ เชน่ ฝ้าย ใยไหม ไนลอน เปน็ ตน้

ผา้ (Fabric) คือ สง่ิ ท่ีได้จากการนาวสั ดุธรรมชาตหิ รอื วัสดทุ ่สี งั เคราะห์ขึน้ มาสานหรือที่ทอด้วย
เส้นใยใช้เป็นเครื่องนุ่งหเพราะฉะนนั้ เสอื้ ผา้ เครื่องแต่งกายจึง หมายถงึ การทอจนเป็นเน้ือเดยี วกนั เช่น ฝ้าย ใย
ไหม ไนลอน เป็นต้น มาผลิตเป็นรปู แบบตา่ ง ๆ ตามความต้องการ

7

ปัจจบุ ันเนือ้ ผา้ ท่ีนามาตดั เย็บเครอื่ งนุ่งห่ม เคร่ืองแต่งกาย หรือผลิตเปน็ ผลติ ภัณฑ์ทใี่ ชใ้ นบ้านน้นั มี
หลากหลายแบบ หลายชนดิ ซึ่งผู้ผลติ ตา่ งกน็ านวัตกรรมเทคโนโลยเี ข้ามาชว่ ยในกระบวนการผลติ ทักทอ จงึ ก่อ
ใหเ้ กดิ เน้ือผา้ ในแบบต่างๆ ท่ีมีคุณสมบัติเหมาะกับการใช้งานในแตล่ ะประเภท ดงั นี้

1.ประเภท ผ้าทอ กรรมวธิ กี ารนาเสน้ ดา้ ยมาขัดกนั มีเสน้ ใยด้ายดงั นี้ เสน้ ดา้ ยยนื (warp yarn) กับเส้น
ด้ายพงุ่ (weft yarn)

2.ประเภท ผา้ ถัก (Knitted fabric)การนาเส้นด้ายต่อกันเปน็ หว่ ง (interlock loops) มเี สน้ ใยด้าย
ดงั น้ี คือ เส้นดา้ ยแนวตัง้ (Wales) และ เส้นด้ายแนวนอน (Course)

3.ประเภท ผ้าอื่นๆ เปน็ ผ้าทเี่ กิดจากกระบวนการผลติ อ่ืนท่ีนอกเหนือไปจากการถกั และทอ เชน่ การ
ขึน้ รปู เป็นแผ่นฟิลม์ ท้ังจากสารละลายและจากการฉดี พลาสติกหลอม การข้ึนรูปเป็นโฟม และการขน้ึ รูปเป็นผา้
จากเส้นใยโดยตรง เรยี กวา่ ผ้าไม่ถักไมท่ อ (nonwovens) มลี กั ษณะโครงสรา้ งเป็นแผ่นผา้ ที่เกดิ จากการสาน
ไปมาของเส้นใย (fibrous web) มกี ารยึดกนั ด้วยการ ทีเ่ ส้นใยพนั กันไปมา (mechanical entaglement) หรือ
โดยการใชค้ วามร้อน เรซนิ หรือสารเคมีในการทาให้ เกิดการยดึ กนั ระหวา่ งเสน้ ใย

1.3. คณุ สมบตั ิของผา้ ขนึ้ อยกู่ บั เสน้ ดา้ ยทใ่ี ชผ้ ลติ

สามารถแบ่งเป็นชนิดนนั้ จะแบง่ ได้ 3 ชนิด ดงั ต่อไปน้ี

1. เส้นใยท่ีทาจากธรรมชาต1ิ 00% (Natural fiber) และแบ่งได้เป็นประเภทดังต่อไปน้ี

เสน้ ใยไหม (Silk) ใยไหมมาจากโปรตีนของรังไหม แล้วนามาป่นั จนไดเ้ ปน็ เส้นดา้ ย นามาทอ หรือถักได้
เป็นผืนผา้ คุณสมบัตขิ องผ้าไหมน้ัน มคี วามนมุ่ มือ เงางามจับตา ไม่ยบั ง่าย หรือไมย่ ับเลย คงสภาพของผ้า
ไดด้ ที ีเดียว ดูดความชื้นไดด้ ีพอสมควร และสามารถปรับตัวได้ในอุณหภมู ิทเ่ี ปลีย่ นแปลง ใส่สบายมาก ฤดูหนาว
ก็ใสแ่ ล้อบอนุ่ สามารถตดิ ไฟได้ เวลาไหมผ้ า้ จะหด และไหมเ้ ปน็ ขเี้ ถ้า ต้องซักด้วยสบูท่ ่ีมีฤทธ์ิอ่อนเท่านน้ั เพราะ
ผงซกั ฟอกทม่ี ีกรดแรงจะทาลายเน้อื ผ้า ก่อนรีดตอ้ งนาผ้าฝ้าย มารอง

เสน้ ใยลินิน (Linen) ผลิตจากเสน้ ใยของต้นแฟลก์ (flax) แล้วนามาป่ัน จนไดเ้ ป็นเส้นดา้ ย จากน้ันจงึ
มาทอ หรือ การถกั ได้เป็น ผนื ผ้า ลินนิ น้ันเส้นใยธรรมชาติท่มี ีความคงทน และความแขง็ แรงที่สุด โดยที่
คุณสมบัติของผา้ ลินินนั้นจะยับง่าย ซักได้ สามารถรีดได้ท่ีอุณหภูมสิ งู ลกั ษณะของจะมี ความมันเงาสวยงาม ผวิ
เรยี บแข็งและดูดซมึ น้าได้ติดไฟได้ เวลาไหม้จะเหมือนกระดาษ เวลาพบั ผา้ ลนิ ินต้องใช้การมว้ นเท่าน้นั เพราะ
ถา้ พบั เสน้ ด้ายอาจหัก เสยี ทรงได้

8

เส้นใยฝา้ ย (Cotton) ได้มาจากการนา เส้นใยของปุยฝา้ ยนามาปั่นจนเกดิ เปน็ เส้นดา้ ย แลว้ จงึ นามาทอ
หรอื ถัก ไดเ้ ปน็ ผนื ผา้ คุณสมบัตขิ องผา้ ฝา้ ย หรือ ผา้ Cotton นน้ั จะ ยับง่าย รีดยาก หด ยว้ ย แต่บางเบา
หากผลติ เป็นเครอ่ื งนุ่งห่ม จะใสส่ บาย แต่ปจั จบุ ันมกี ระบวนการในการผลติ เส้นดา้ ยที่มีประสทิ ธภิ าพ ทาให้
คุณภาพของฝา้ ยดขี ้นึ จงึ เป็นทน่ี ิยมกนั อย่างแพร่หลาย เช่น ฝ้าย (Cotton) ลินนิ (Linen) ปอ (Jute) ป่าน
(Ramie) นุ่น (Kapok) กัญชง (Hemp) สับปะรด (Pineapple) เปน็ ต้น

เสน้ ใยขนสตั ว์ (Wool) ผ้าขนสัตว์ คือการนาขนสตั ว์นามาปั่นจนเกดิ เปน็ เส้นด้าย แลว้ จึงมาทอ หรอื
ถกั เปน็ ผนื ผา้ ขนสตั วท์ ีน่ ยิ มมาใชท้ าเปน็ ผ้าที่สุด คือขนแกะ คณุ สมบตั ิของขนสตั ว์ ขนสัตวน์ ้ันดูดความร้อน และ
ถ่ายเทความชืน้ ไดด้ ี เวลาสวมใส่จึงใหค้ วามอบอนุ่ ไดด้ ี และไมเ่ หนอะหนะรา่ งกายเวลาสวมใส่ หดตวั มาก
เวลาเปยี ก จึงควรซักแห้งเท่านัน้ หลังจากซกั แหง้ ควรเก็บใส่ถงุ พลาสติก เพอื่ ป้องกันมอด

2. เสน้ ใยสงั เคราะหจ์ ากสารเคมี (Chemical Synthetic fiber)

สแปนเดก็ ซ์ (Spandex) เปน็ ผ้าที่มีความยืดหย่นุ สูงเป็นผ้าเส้นใยสังเคราะหน์ ยิ มนามาผลติ เสอ้ื ผ้าท่ี
ต้องการความยืดหยุ่น เชน่ ชดุ ชนั้ ใน มาทดแทนยางธรรมชาติทอ่ี ายุการใช้งานใช้ไม่ไดน้ านนัก

ไนลอน (Nylon) ไนลอนไดม้ าจากกระบวนการรวมตวั ของปิโตรเคมี จาพวก เบนซิน ฟีนอล ไฮโดรเจน
แอมโมเนีย และมาผา่ นกรรมวิธที างเคมี และผลติ เปน็ เส้นด้ายด้วยการถักหรือทอ คุณลักษณะของผา้ ไนลอน
น้ัน มคี วามทนทานมาก รูปร่างของผา้ ทรงตัวได้ดี สามารถซักผงซกั ฟอกได้ ทนต่อเชอ้ื ราและแมลง ทนตอ่ การ
ขดั สีแตเ่ วลาใส่ไม่ค่อยสบายตัวนัก มกั ผลติ ขน้ึ มาใชเ้ ปน็ เส้อื ผา้ ทม่ี รี าคาไมส่ งู

โพลเี อสเตอร์ (Polyester ได้มาจากกระบวนการรวมตัว จาพวกปิโตรเคมี จาพวกเอทานอล ผา่ น
กรรมวิธีทางเคมี ไดเ้ ปน็ เสน้ ดา้ ยแลว้ ผ่านกระบวนการถกั หรอื ทอ ไดเ้ ป็นผืนผา้ เปน็ เส้นใยทผ่ี ลติ ขน้ึ มาเพ่ือใหม้ ี
คณุ สมบัติคล้ายฝา้ ย ลักษณะ เป็นเส้นใยยาวนุ่ม เงามนั ดดู ความชืน้ ได้น้อย ผา้ มคี วามเบาบาง ยับยากจับจีบได้
แต่เมอื่ ใส่ไประยะนานผา้ จะเกิดขยุ ได้

3. เส้นใยสังเคราะหจ์ ากวสั ดุธรรมชาติ (Natural Synthetic fiber)

เรยอน (Rayon) ได้มาจากการนาเปลือกไม้ในธรรมชาติ ผา่ นกรรมวิธีทางเคมีได้เปน็ เส้นด้าย และผา่ น
กรรมวิธี ด้วยการถกั หรือการทอ ผลิตข้นึ มาเพื่อใหม้ ีคณุ สมบัตเิ หมอื นกบั ฝา้ ย คุณสมบัติ มคี วามนมุ่ มันเงาสามารถ
ระบายความร้อน และดูดความช้ืนได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม กไ็ ม่สามารถเปน็ ผ้าท่ดี ีกว่าฝา้ ยได้ ราคาค่อนข้างถูก
นยิ มนามาทดแทนผา้ ฝา้ ย

9

2. ใบไม้

ใบไม้ เป็นโครงสร้างสดุ หศั จรรย์ แผน่ สเี ขียวบางๆหรือมีสีอ่นื อีก ท่เี ราพบเหน็ ไดท้ ่วั ไปรอบตัว จริงๆ
แลว้ มีกลไกพิเศษซ่อนอยู่มากมาย ทุกคนรู้ดีว่าหน้าท่ีคือสังเคราะห์ด้วยแสง สร้างอาหารเล้ียงพชื และส่ิงมีชวี ิต
ท้ังหลายในระบบนิเวศ ใบไม้ (leaf) เป็นส่วนทสี่ ร้างอาหารโดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ใบไม้มีขนาด
และรูปรา่ งแตกต่างกนั หลายแบบ และหลากหลายสีสนั

2.2. รปู รา่ งใบไม้ (Leaf Shape)

ชือ่ ลกั ษณะ
รปู เข็ม (acicular, needle shaped) แผ่นใบคลา้ ยรูปเข็ม มคี วามยาวมากและแคบ
แผน่ ใบยาวและแคบ ขอบของแผ่นใบท้งั สองขา้ งเกือบขนานกนั
รูปแถบ (linear) ตลอด ความยาวของใบมักจะยาวมากกวา่ 4 เท่าของความกว้าง
ของใบ
รปู ขอบขนาน (oblong) แผน่ ใบทมี่ ขี อบใบทง้ั สองข้างขนานกัน ปลายทง้ั สองด้านกลมหรอื
มน และความยาวประมาณ 2-3 เทา่ ของความกวา้ ง คล้ายรูป
รปู รี (elliptic) ส่เี หล่ียมผนื ผา้
รปู ใบหอก (lanceolate) แผน่ ใบมคี วามกว้างมากทส่ี ดุ ตรงกลางแผ่นแลว้ ค่อยๆเรยี วไปทาง
รปู ใบหอกกลับ (oblanceolate) ปลายและฐานใบ
แผ่นใบมีฐานใบกวา้ งแล้วคอ่ ยๆเรยี วไปทางปลายใบ
รูปไข่ (ovate) แผน่ ใบคลา้ ยรปู ใบหอกแต่กลับหัว
แผน่ ใบรปู คล้ายไข่ ซง่ึ มสี ว่ นกวา้ งท่สี ดุ ของแผน่ ใบค่อนมาทางฐาน
รปู ไข่กลบั (obovate) ใบ
รูปหัวใจ (cordate) แล้วค่อยๆเรยี วไปทางปลายใบ
รูปหวั ใจกลับ (obcordate) แผน่ ใบมดี า้ นปา้ นอยทู่ างด้านบนฐานใบ แคบและปลายใบกวา้ ง
รูปสามเหล่ยี ม (deltoid) แผ่นใบมสี ว่ นกวา้ งใกลฐ้ านใบแลว้ ค่อยเรียวแหลมไปทางปลายใบ
ก้านใบติดตรงฐานใบทีเ่ ว้าเข้าไป
รปู คลา้ ยสามเหลย่ี ม (obdeltoid) แผน่ ใบคลา้ ยรูปหวั ใจแต่หวั กลับ
แผน่ ใบคล้ายรูปสามเหลีย่ มดา้ นเท่า โดยดา้ นหนึ่งของสามเหลี่ยม
เป็น
ดา้ นฐานใบ ขอบใบจะเรียวไปทางปลาย ก้านใบติดตรงกลางฐาน
ใบ
แผน่ ใบคลา้ ยรูปแตห่ ัวกลับ

10

รปู ลิ่ม (cuneate) แผน่ ใบมีฐานใบแหลมและกว้างออกตรงปลายใบ กา้ นใบติดตรง

ปลายแหลม

รูปไต (reniform) แผ่นใบรปู ร่างคลา้ ยไต หรอื เมล็ดถั่ว ก้านใบติดอยู่ทีฐ่ านของรอย

เวา้

รูปโล่ (peltate) แผ่นใบรูปกลมคลา้ ยโล่ ก้านใบตดิ ตรงกลางดา้ นท้องใบ

รปู วงกลม (orbicular) หรอื เกือบกลม แผ่นใบมีลักษณะกลมแบนกา้ นใบติดตรงกลางของฐานใบ

(rotund)

รูปชอ้ น (spathulate, spatulate) แผ่นใบมฐี านของแผ่นใบเรียวยาว ปลายแผ่นใบมนและกว้างกวา่

ด้านฐานแผ่นใบ

รปู เงี่ยงใบหอก (hastate,halberd-shaped) แผ่นใบคล้ายลูกศร ฐานใบสองขา้ งกางออกทามุม 90 องศากับ

แกน

รปู หัวลกู ศร (sagittate) แผ่นใบคลา้ ยลกู ศร ฐานใบเว้าเปน็ พูและโค้งเข้าหาก้านใบ

รปู จันทร์เสีย้ ว (lunate) แผ่นใบคลา้ ยรปู พระจันทรเ์ สี้ยว

รปู ไวโอลนิ (pandurate) แผ่นใบที่รูปรา่ งคลา้ ยไวโอลนิ

รปู พดั (flabellate) แผ่นใบที่รูปรา่ งคลา้ ยพดั เช่นใบแปะ๊ ก๋วย

รปู พดั (fan-shaped) แผน่ ใบคล้ายพัดแตห่ ยักลึก เช่น ใบปาล์ม

รูปลม่ิ แคบ (subulate) แผน่ ใบคล้ายแผ่นใบรูปลม่ิ แต่แคบกว่า

รูปแฉกแบบนวิ้ มือ (palmalifid) แผ่นใบทห่ี ยักคลา้ ยน้วิ มือ โดยหยกั ลกึ ประมาณครง่ึ หนึง่ ของระยะ

จากขอบใบถึงเส้นกลางใบ

รูปแฉกลึกแบบนิ้วมือ (palmatisect) แผน่ ใบหยักคล้ายน้ิวมือ โดยหยกั ลึกเกือบถงึ เส้นกลางใบ

รูปหยักแบบขนนก แผ่นใบหยักคล้ายขนนก โดยหยักลกึ ประมาณครึง่ หนง่ึ ของระยะ

(pinnatifid) จากขอบใบถึงเส้นกลางใบ

รูปหยักลกึ สุดแบบขนนก แผ่นใบหยกั คลา้ ยขนนก โดยหยักลึกเกือบถึงเสน้ กลางใบ

(pinnatisect)

รูปคลา้ ยส่ีเหลย่ี มข้าวหลามตัด แผ่นใบคลา้ ยรูปไข่แต่ไม่มน มีเหล่ยี มท่มี ุมสม่ี ุม

(rhomboid)

11

3. เคร่ืองมือและอปุ กรณ์
1.ผ้าฝา้ ย
2.ใบไมส้ ด
3. ถงุ พลาสตกิ
4. คอ้ นทุบ
5. เขยี งหรอื ท่อนไม้
6. สารส้ม
7. นา้ ยาปรับผา้ นุม่
8. นา้ เปลา่
9. ถัง 3 ถัง

12

4. ขน้ั ตอนการ การพิมพล์ ายผา้ ดว้ ยใบไม้
1. เตรียมน้าเปล่า น้าสารสม้ 1 ถัง และน้ายาปรบั ผา้ นมุ่ 1 ถงั จากนน้ั เตรยี มอปุ กรณผ์ า้ ใบไมส้ ด

ถุงพลาสติก ค้อนทุบ และเขียงหรือท่อนไม้

2. วางผ้าบนเขยี งหรอื ท่อนไม้ เลอื กใบไมต้ ามใจชอบวางไวบ้ นผ้า

3. นาถุงพลาสติกทับใบไมท้ ว่ี างบนผา้ จบั ถุงพลาสติกใหต้ งึ เพ่ือกันเลอะและใบไม้ขยับไป - มา
4. นาคอ้ นค่อย ๆ ทุกใบไม้ทีว่ างบนผ้า 10 - 20 คร้ัง

13

5. สงั เกตวา่ สีใบไม้ติดผ้าแลว้ หรอื ยัง เมื่อติดแล้วสามารถทุบใบตอ่ ไปได้ หากไม่ติดสามารถทบุ อีกรอบ
จนกว่าสีจะติดผ้า

6. เม่ือทุบจนพอใจไดล้ ายผ้าท่ีสวยงุางพลาสติกออกแกะใบไม้แลว้ ไปแชน่ ้าสารสม้ ทเ่ี ตรยี มไว้ 1 ชวั่ โมง
7. นาผ้ามาซกั น้าเปลา่ เพ่ือล้างเศษใบไม้ท่ีตดิ อยูอ่ อกใหเ้ รยี บร้อยและนาไปแชน่ ้ายาปรบั ผา้ นุ่มเพ่ือ
บลอ็ กสีบนผ้าพิมพ์ 15 นาที แล้วนาขน้ึ ตากให้แหง้

5. การวดั ผลประเมนิ ผล
5.1. แบบทดสอบก่อนและหลังการฝกึ อบรม
5.2. ประเมินความรู้ ความสามรถและศกั ยภาพในการปฏบิ ตั งิ านนของผู้รับการฝกึ อบรม

14

แบบทดสอบการฝกึ อบรม ECO Printing การพมิ พ์ลายผา้ ด้วยใบไม้

1. ผ้าสามารถแบ่งไดก้ ช่ี นิดและกีป่ ระเภท

1. 2 ชนดิ 2 ประเภท 2. 3 ชนดิ 3 ประเภท

3. 4 ชนดิ 4 ประเภท 4. 5 ชนิด 5 ประเภท

2. เสน้ ใยที่ทาจากธรรมชาติ (Natural fiber) แบง่ ได้ก่ปี ระเภทอะไรบา้ ง
1. 2 ประเภท เส้นใยไหม เส้นใยขนสัตว์
2. 3 ประเภท เส้นใยลนิ นิ เส้นใยฝา้ ย เส้นใยขนสตั ว์
3. 4 ประเภท เสน้ ใยไหม เส้นใยลินนิ เสน้ ใยฝา้ ย เสน้ ใยขนสัตว์
4. 5 ประเภท เส้นใยไหม เส้นใยลินิน เสน้ ใยฝา้ ย เส้นใยขนสตั ว์ เส้นใยสงั เคราะห์

3. คุณสมบัตขิ องเสน้ ใยไหมคือข้อใด
1. มีความน่มุ เงางามจบั ตา ไมย่ บั งา่ ย คงสภาพของผา้ ได้ดี ดูดความช้ืนได้พอสมควร และสามารถ

ปรับตวั ไดใ้ นอุณหภมู ทิ ่ีเปล่ียนแปลง ใส่สบายมาก สามารถติดไฟได้ เวลาไหมผ้ ้าจะหด ไหม้เปน็ ข้ีเถ้า
2. เสน้ ใยธรรมชาติที่มคี วามคงทน และความแข็งแรงทส่ี ดุ ยับง่าย รีดไดท้ ี่อุณหภมู ิสูง มีความมันเงา

สวยงาม ผิวเรียบแข็งและดดู ซึมนา้ ได้ติดไฟได้ เวลาไหม้จะเหมอื นกระดาษ
3. ยับง่าย รีดยาก หด ย้วย แต่บางเบาผลติ เปน็ เครื่องนงุ่ หม่ จะใส่สบาย
4. ดดู ความร้อน ถ่ายเทความช้ืนได้ดี ผลิตเปน็ เครอ่ื งนุ่งหม่ เวลาสวมใส่ให้ความอบอุ่นไดด้ ี และไม่

เหนอะหนะร่างกายเวลาสวมใส่ หดตวั มากเวลาเปียก

4. คณุ สมบัติของเส้นใยลินินคือข้อใด
1. มีความนุม่ เงางามจบั ตา ไม่ยบั งา่ ย คงสภาพของผา้ ไดด้ ี ดูดความชื้นได้พอสมควร และสามารถ

ปรบั ตวั ไดใ้ นอุณหภูมทิ เ่ี ปลย่ี นแปลง ใสส่ บายมาก สามารถติดไฟได้ เวลาไหมผ้ ้าจะหด ไหมเ้ ปน็ ขี้เถา้
2. เส้นใยธรรมชาตทิ ี่มคี วามคงทน และความแข็งแรงทส่ี ดุ ยับงา่ ย รดี ไดท้ ี่อณุ หภูมิสูง มีความมันเงา

สวยงาม ผิวเรยี บแข็งและดูดซึมนา้ ได้ติดไฟได้ เวลาไหม้จะเหมอื นกระดาษ
3. ยับงา่ ย รีดยาก หด ย้วย แตบ่ างเบาผลติ เปน็ เคร่ืองน่งุ ห่มจะใส่สบาย
4. ดูดความร้อน ถ่ายเทความชน้ื ไดด้ ี ผลติ เปน็ เคร่ืองนุ่งห่มเวลาสวมใสใ่ ห้ความอบอ่นุ ไดด้ ี และไม่

เหนอะหนะรา่ งกายเวลาสวมใส่ หดตัวมากเวลาเปียก

15

5. คณุ สมบัตขิ องเสน้ ใยฝา้ ยคือข้อใด
1. มคี วามนุ่ม เงางามจบั ตา ไมย่ ับง่าย คงสภาพของผ้าได้ดี ดูดความชืน้ ได้พอสมควร และสามารถ

ปรับตวั ไดใ้ นอุณหภูมิท่เี ปล่ยี นแปลง ใส่สบายมาก สามารถติดไฟได้ เวลาไหมผ้ า้ จะหด ไหม้เป็นขเ้ี ถา้
2. เส้นใยธรรมชาติทม่ี ีความคงทน และความแข็งแรงทีส่ ดุ ยบั งา่ ย รีดได้ท่ีอุณหภูมสิ งู มีความมนั เงา

สวยงาม ผิวเรยี บแขง็ และดดู ซึมนา้ ได้ติดไฟได้ เวลาไหม้จะเหมือนกระดาษ
3. ยับงา่ ย รีดยาก หด ย้วย แตบ่ างเบาผลติ เป็นเคร่ืองนุง่ ห่มจะใสส่ บาย
4. ดูดความร้อน ถ่ายเทความช้ืนไดด้ ี ผลิตเป็นเครือ่ งนุ่งห่มเวลาสวมใสใ่ ห้ความอบอุน่ ไดด้ ี และไม่

เหนอะหนะรา่ งกายเวลาสวมใส่ หดตัวมากเวลาเปียก

6. คณุ สมบตั ิของเสน้ ใยขนสัตวค์ ือข้อใด

1. มีความนมุ่ เงางามจับตา ไมย่ บั งา่ ย คงสภาพของผ้าไดด้ ี ดดู ความช้นื ได้พอสมควร และสามารถ

ปรบั ตัวได้ในอุณหภมู ทิ เ่ี ปลย่ี นแปลง ใสส่ บายมาก สามารถติดไฟได้ เวลาไหม้ผ้าจะหด ไหมเ้ ป็นขเ้ี ถา้
2. เส้นใยธรรมชาตทิ ม่ี คี วามคงทน และความแขง็ แรงทสี่ ดุ ยับงา่ ย รีดไดท้ ี่อุณหภูมสิ งู มีความมนั เงา

สวยงาม ผิวเรียบแข็งและดูดซึมนา้ ไดต้ ิดไฟได้ เวลาไหมจ้ ะเหมือนกระดาษ

3. ยับง่าย รีดยาก หด ย้วย แต่บางเบาผลิตเปน็ เครื่องนุ่งหม่ จะใส่สบาย
4. ดดู ความร้อน ถ่ายเทความชื้นได้ดี ผลติ เปน็ เครื่องนุ่งห่มเวลาสวมใส่ให้ความอบอนุ่ ไดด้ ี และไม่
เหนอะหนะรา่ งกายเวลาสวมใส่ หดตวั มากเวลาเปยี ก

7. ข้อใดคือเส้นใยสงั เคราะหจ์ ากสารเคมี

1. สแปนเด็กซ์ (Spandex) 2. ไนลอน (Nylon)

3. โพลีเอสเตอร์ (Polyester) 4. ถกู ทุกข้อ

8. นาผ้าทพี่ มิ พล์ ายแช่น้าสารสม้ กช่ี วั่ โมง 2. 1 ชัว่ โมง 30 นาที
1. 1 ช่ัวโมง 4. 2 ช่ัวโมง 30 นาที
3. 2 ชว่ั โมง

9. ถงุ พลาสติกมปี ระโยชนอ์ ะไร 2. กันใบไมเ้ ลอะค้อน
1. กนั ใบไม้ขยบั ไป-มา 4. ถูกทุกข้อ
3. กนั น้าตกใส่ผา้

10. น้าอะไรสามารถบล็อกสบี นผ้า 2. นา้ สารสม้
1. นา้ เปล่า 4. น้ายาปรับผ้าน่มุ
3. นา้ ประปา

16

บรรณานุกรม

เชต๊ิ แอนดแ์ บก โปรดักส์ชน่ั .“ชนิดของผ้า”, สบื คน้ เมื่อวนั ที่ 16 พฤศจกิ ายน .2564
จาก www.shirtandbag-product.com/15442253/ผา้ ต่างๆ-ชนดิ ของผ้า-แบ่งตามประเภท

“ผา้ ”, สบื คน้ เม่อื วันท่ี 16 พฤศจิกายน 2564จาก https://th.wikipedia.org/wiki/ผ้า
“เร่อื งน่าร้เู ก่ียวกับผ้า ผา้ คืออะไร”, สบื ค้นเม่ือวนั ที่ 16 พฤศจกิ ายน 2564

จาก https://craftnroll.net/craft-101/textile-101-material/
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย.“ผ้ากับคุณสมบัติ” สืบค้นเม่ือวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564

จาก https://sites.google.com/site/wanwisatookata12
“พฤษศาสตร์สาหรบั เยาวชน”, สืบค้นเม่อื วนั ท่ี 17 พฤศจกิ ายน 2564

จาก https://www.dnp.go.th/botany/BFc/leaf.html
“108 พรรณไม้ไทย”, สบื ค้นเมอ่ื วนั ที่ 17 พฤศจิกายน 2564

จาก https://www.panmai.com/Leaf/Leaf.shtml
Karn Imwattana .“ชวี ติ ของใบไม้ และการสอนฟสิ ิกส์สาหรบั ชวี วิทยา”,สืบคน้ เม่อื วนั ท่ี 17พฤศจกิ ายน2564

จาก https://soscity.co/things/understand-leaf-life-cycle-by-physics/

17

เฉลย แบบทดสอบการฝกึ อบรม ECO Printing การพมิ พล์ ายผ้าด้วยใบไม้

1. ตอบ
ข้อ 2. 3 ชนิด 3 ประเภท
2. ตอบ
ขอ้ 3. 4 ประเภท เส้นใยไหม เสน้ ใยลินิน เส้นใยฝ้าย เส้นใยขนสตั ว์
3. ตอบ
ข้อ 1. มคี วามนุ่ม เงางามจับตา ไมย่ บั ง่าย คงสภาพของผ้าได้ดี ดูดความช้ืนได้พอสมควร และสามารถปรบั ตัว
ได้ในอุณหภูมทิ ีเ่ ปลย่ี นแปลง ใสส่ บายมาก สามารถติดไฟได้ เวลาไหม้ผ้าจะหด ไหม้เปน็ ขเี้ ถ้า
4. ตอบ
ขอ้ 2. เส้นใยธรรมชาตทิ มี่ ีความคงทน และความแขง็ แรงท่สี ุด ยับง่าย รีดได้ท่ีอณุ หภมู ิสงู มีความมันเงา
สวยงาม ผิวเรยี บแขง็ และดดู ซึมนา้ ได้ติดไฟได้ เวลาไหมจ้ ะเหมือนกระดาษ
5. ตอบ
ขอ้ 3. ยบั ง่าย รีดยาก หด ย้วย แตบ่ างเบาผลติ เป็นเครอ่ื งน่งุ หม่ จะใสส่ บาย
6. ตอบ
ขอ้ 4. ดดู ความร้อน ถา่ ยเทความชนื้ ไดด้ ี ผลิตเป็นเครื่องนุ่งห่มเวลาสวมใสใ่ ห้ความอบอุ่นไดด้ ี และไม่
เหนอะหนะร่างกายเวลาสวมใส่ หดตัวมากเวลาเปียก
7. ตอบ
ข้อ 4. ถกู ทุกข้อ สแปนเดก็ ซ์ (Spandex) ไนลอน (Nylon) โพลเี อสเตอร์ (Polyester)
8. ตอบ
ข้อ 1. 1 ช่ัวโมง
9. ตอบ
ขอ้ 1. กันใบไมข้ ยบั ไป-มา
10. ตอบ
ขอ้ 4. นา้ ยาปรับผา้ น่มุ

18

ประวตั วิ ทิ ยากร

นางสาวแววมณี คามลู
สงั กดั /หนว่ ยงาน พพิ ธิ ภณั ฑห์ อพลบั พลาเจา้ ดารารศั มี

การศึกษา ปรญิ ญาตรี สาขาการตลาด
แบบเปน็ ผชู้ านาญการปกั ผา้ และการพมิ พล์ ายผา้ ดว้ ยใบไม้
ตดิ ต่อ Facebook : wawmany khammool โทร.063-7464724


Click to View FlipBook Version