นาฏศิลป์
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาศ31101 (นาฏศิ ลป์ )
การค้นคว้า เเละการเขียนรายงานโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ทราบถึง
ความเป็นมาเเละความสำคัญของนาฏศิ ลป์ ตามหัวข้อต่างๆใน
รายงานเล่มนี้
โดยรายงานเล่มนี้ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีประโยชน์ แก่
ผู้อ่าน หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วย
จัดทำโดย
คณะผู้จัดทำ
น.ส.กมลชนก ตี้พั้ว ม.4/6 เลขที่28
สารบัญ หน้าที่
1-3
เรื่อง 4-6
7-8
บทที่1 คุณค่าของนาฎศิลป์ 9-11
บทที่2 กระบวนการสืบทอดนาฎศิลป์
12-14
บทที่3 การเเสดงนาฎศิลป์ ในโอกาสต่างๆ
บทที่4 ระบำ รำ ฟ้ อน เเละการเเสดงนาฎศิลป์ 15-16
พื้นเมืองของไทย 17
บทที่5 การเเสดงนาฎศิลป์ ไทยพื้นบ้าน เพลง
เถิดเทิง กลองยาว
บทที่6 บุคคลสำคัญในวงการนาฎศิลป์
อ้างอิง
1
คุณค่าของนาฏศิ ลป์
นาฏศิลป์ สะท้อนให้เห็นสภาพ นาฏศิลป์ไทยมีคุณค่ามากใน
บ้านเมืองที่มีความสวยงาม ฐานะที่เป็นที่รวมของศิลปะ
ความประณีต เต็มไปด้วย หลายแขนง ปลูกฝังจริยธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณี และเอกลักษณ์ของชาติที่แสดง
ถึงความเป็นอารยประเทศ
วัฒนธรรมที่ยึดถือกันมาแต่ละ
ยุคสมัย
1.ประติมากรรม
ผลงานศิลปะที่แสดงออกโดย
กรรมวิธีการปั้น การแกะสลัก
การหล่อต่าง ๆ เช่น พระพุทธ
รูป หัวโขน ชฎา ราชรถ
เป็นต้น
2.วรรณกรรม
วรรณกรรมที่ปรากฏในงาน
นาฏศิลป์ ได้แก่ บทประพันธ์
ร้อยแก้ว ร้อยกรองที่เป็นบท
ละคร บทเพลง
น.ส.ชเนษฎ์กานต์ หวดงาม ม.4/6 เลขที่ 30
คุณค่าของนาฏศิ ลป์ (ต่อ) 2
3.สถาปีตยกรรม
เป็นศิลปะในการออกแบบ
สร้างฉากต่าง ๆ เช่น ที่อยู่
อาศัย ปราสาท โบสถ์ วิหาร
ฉากธรรมชาติต่าง ๆ เป็นต้น
4.จิตรกรรม
การเขียนภาพในการแสดง
นาฏศิลป์ต้องมีฉาก การแต่ง
หน้า เครื่องแต่งกาย เป็นองค์
ประกอบสำคัญ ดังนั้น ศิลปะ
สาขานี้จึงมีความใกล้ชิดกับผล
งานการแสดงทางนาฏศิลป์
5.ดุริยางคศิิลป์
ศิลปะทางด้านดนตรีขับร้อง
นับว่าเป็นหัวใจสำหรับ
นาฏศิลป์ไทย เพราะการแสดง
ลีลาท่ารำต้องมีดนตรีประกอบ
การแสดง
น.ส.ชเนษฎ์กานต์ หวดงาม ม.4/6 เลขที่ 30
ประโยชน์ ของนาฏศิลป์ 3
นาฏศิลป์เป็นส่วนสำคัญในการประกอบพิธีกรรมทั้งพิธีหลวงและ
พิธีราษฎร์ นอกเหนือจากการใ้ห้ความบันเทิง ยังมีประโยชน์อีก
หลาย ๆ ด้าน ดังนี้
1.สถาบันพระมหากษัตริย์จำเป็นต้องมีพระราชพิธีต่าง ๆ ตามพระราช
ประเพณี จึงต้องมีนาฏศิลป์ โขน ละครไว้ร่วมแสดงประกอบพระราช
พิธี
2.นาฏศิลป์ไทยผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยในอดีตจนถึงปัจจุบันตั้งแต่
เกิดจนตาย เช่น งานวันเกิด งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ล้วนแต่มี
นาฏศิลป์ ดนตรีแสดงเพื่อความเป็นสิริมงคลเกือบทั้งสิ้น นอกจากนี้
พิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทำมาหากิน การบูชาบวงสรวงขอให้พืชผลอุดม
สมบูรณ์ก็มีการแสดงนาฏดนตรีในพิธีสู่ขวัญขอฝนด้วย
3.ประโยชน์ตรงสำหรับผู้ศึกษาวิชานาฏศิลป์ คือ สอนให้เป็นผู้รู้จัก
ตนเอง เพราะเป็นวิชาทักษะที่ต้องอาศัยความมานะ อดทน ฝึกฝนเป็น
ระยะเวลาที่ยาวนาน ผู้เรียนจะค้นพบศักยภาพของตนเองและเข้าใจถึง
เนื้อหาของวิชาอย่างถ่องแท้ มีความเคารพ เชื่อฟังครูอย่างมีเหตุมีผล
สาระของวิชานาฏศิลป์อย่างหนึ่งก็คือ จะให้การเรียนรู้เกี่ยวกับความเชื่อ
ทัศนคติ ค่านิยม ของสังคมในอดีต
น.ส.ชเนษฎ์กานต์ หวดงาม ม.4/6 เลขที่ 30
กระบวนการสืบทอด 4
นาฏศิลป์ไทย
การสืบทอดนาฏศิลป์สมัยโบราณ
เป็นการถ่ายทอดจากครนูแบบตัวต่อตัวโดยวิธีการจำ
ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ครูนาฏศิลป์จึงมีความ
สำคัญมาก องค์ความรู้ทั้งหมดจะอยู่ในตัวครู ซึ่งจะสอนศิษย์
โดยวิธีการปฏิบัติ
กระบวนการสืบทอดนาฏศิลป์ในสมัยปัจจุบัน
ปัจจุบันวิชานาฏศิลป์เปิดสอนอยู่ในสถาบัน
การศึกษาเกือบทุกระดับ มีกระบวนการเรียนการสอนที่เป็น
แบบแผน โดยจัดทำสื่อและกิจกรรมเพื่อประเทืองปัญญา
โดยใช้ระบบการเรียนการสอนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
น.ส.อัญติมา สมาธิ ม.4/6 เลขที่32
5
การจัดกิจกรรมเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมด้านนาฏศิลป์ไทย
1)พิธีไหว้ครู ครอบครู และรับมอบ
นาฏศิลป์ไทยมีลักษณะเฉพาะที่เป็นแบบแผนขนบนิยมสืบทอดกันมา
เป็นเรื่องความศรัทธา เชื่อถือ จึงมีการจัดกิจกรรมที่สะท้อนถึงความเชื่อดังกล่าว คือ
พิธีไหว้ครู ครอบครู รับมอบครู เพื่อให้ศิษย์ใหม่ได้รู้จักพระนามครูมหาเทพ
พระฤษี มนุษย์ ยักษ์ ทั้งที่มีชีวิตอยู่และไม่มีชีวิตอยู่เพื่อมอบตัวเป็นศิษย์
2)คติความเชื่อเกี่ยวกับนาฏศิลป์
คติความเชื่อเกี่ยวกันนาฏศิลป์มีหมายเรื่อง แต่ที่รู้จักกันดีก็คือ คติ
ความเชื่อในเรื่อง ผิดครู แรงครู ครูเข้า เป็นคติความเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ
ขจัดภัยพิบัติและนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล
3)ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติในการออกโรงแสดง
ในการออกโรงแสดงทุกครั้ง ต้องอัญเชิญศรีษะครูไปตั้งบูชา ศิษย์ที่
ร่วมแสดงมาประชุมไหว้ครูพร้อมกันเพื่อขอคว่มสวัสดีมีชัย เพื่อให้การแสดงสำเร็จ
ลุล่วง
ผู้ออกแสดงเป็นครั้งแรก ครูต้องเป็นผู้สวมศรีษะให้ เช่น ชฎา
มงกุฎ เทริด หัวโขน เป็นต้น เมื่อเลิกแสดงต้องมีพิธีขอขมาผู้แสดงอาวุโส
น.ส.อัญติมา สมาธิ ม.4/6 เลขที่32
6
แนวทางการอนุรักษ์นาฏศิลป์ไทย
1) การค้นคว้าวิจัย ควรศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลภูมิปัญญาของไทยในด้านต่างๆ ของ
ท้องถิ่น จังหวัด ภูมิภาค และประเทศ
2) การอนุรักษ์ โดยการปลุกจิตสำนึกให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงคุณค่าแก่นสาระและ
ความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น
3) การฟื้นฟู โดยการเลือกสรรภูมิปัญญาที่กำลังสูญหาย หรือที่สูญหายไปแล้วมาทำให้มี
คุณค่าและมีความสำคัญ
4) การพัฒนา ควรริเริ่มสร้างสรรค์และปรับปรุงภูมิปัญญาให้เหมาะสมกับยุคสมัยและ
เกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
5) การถ่ายทอด โดยการนำภูมิปัญญาที่ผ่านมาเลือกสรรกลั่นกรองด้วยเหตุและผลอย่าง
รอบคอบและรอบด้าน แล้วไปถ่ายทอดให้คนในสังคมได้รับรู้
6) ส่งเสริมกิจกรรม โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายการสืบสานและ
พัฒนาภูมิปัญญาของชุมชนต่างๆ
7) การเผยแพร่แลกเปลี่ยน โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่และแลก
เปลี่ยนภูมิปัญญาและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง โดยให้มีการเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ต่างๆ ด้วยสื่อและวิธีการต่างๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
8) การเสริมสร้างปราชญ์ท้องถิ่น โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของ
ชาวบ้าน
น.ส.อัญติมา สมาธิ ม.4/6 เลขที่32
7
การแสดงนาฏศิลป์ในโอกาสต่างๆ
นาฏศิ ลป์ 1.การแสดงนาฏศิ ลป์ ในงานพระราชพิธี เป็ น
เป็ นศิ ลปะคู่ งานในหน้ าที่ของกรมศิ ลปากรที่ต้องจัดการ
บ้านคู่เมืองที่ แสดง ในโอกาสสำคัญๆ เช่น งานพระราช
นำมาแสดง พิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว , งานพระราชพิธีเฉลิม
ได้ทุก พระชนมพรรษาสมเด็จพระบรมราชินี นาถ
โอกาส ทั้ง
งานพระราช 2.การแสดงนาฏศิ ลป์ และการละครไทย
ในงานมงคลทั่วไป เช่น งานบวงสรวง ,
พิธี งานวันกำเนิ ดโรงเรียน , งานแต่งงาน
รัฐพิธี และ
งานทั่วๆ ไป 3. การแสดงนาฏศิ ลป์ และการละคร
ของเอกชน ในงานอวมงคล เช่น งานศพ
4. การแสดงนาฏศิ ลป์ ในงานเทศกาล
ต่างๆ เช่น วันสงกรานต์ , วันลอยกระทง
น.ส.พิชญ์สินี เกลี้ยงแก้ว ม.4/6 เลขที่35
8
การแสดงนาฏศิลป์ในโอกาสต่างๆ
หลักในการ เลือกชุ ดแสดงให้ เหมาะสมกับโอกาสที่
เลือกชุ ดการ แสดง ถ้าเป็ นงานมงคลต่างๆ ก็ควร
เลือกชุดการแสดงที่เป็ นการอวยพร
แสดงให้ มอบความเป็ นสิริมงคลให้มั่งมีศรีสุข
เหมาะสม
การเลือกชุดตามที่ผู้จัดต้องการ เช่นรู ปแบบของ
การแสดง ผู้แสดง เครื่องแต่งกาย เวลาที่ใช้ใน
การแสดง ขนาดของพื้นที่ในการแสดง
งบประมาณ เพื่อให้เหมาะสมกับงานนั้ นๆ
การเลือกรู ปแบบของ การแต่งบทร้องให้ได้ใจความเหมาะสม
การแสดงต้องเป็ น
ระบบมีกฎเกณฑ์ น.ส.พิชญ์
ถูกต้องตามแบบแผน ตีท่ารำให้ตรงตามความหมายของบทร้อง
ใส่ทำนองเพลงให้ถูกต้องและเหมาะสมกับเนื้ อ
เพลง
ปี่ พาทย์ทำเพลงรัว ผู้แสดงใช้ลีลาท่ารำ
และตีบทได้ถูกต้อง
ช่วงจบปี่ พาทย์ทำเพลงรำ
คัดเลือกผู้แสดงที่มีความสามารถ ฝี มือในการรำ
น.ส.พิชญ์สินี เกลี้ยงแก้ว ม.4/6 เลขที่35
ระบำ รำ ฟ้อน และการแสดงนาฏศิลป์ 9
พื้นเมืองของไทย
ระบำ แบ่งออกเป็ น 2 ชนิ ดคือ
ระบำดั้งเดิมหรือระบำมาตรฐาน:มีมาแต่โบราณ ไม่
สามารถนำมาเปลี่ยนแปลงท่ารำได้ เพราะถือเป็ นการรำที่
เป็ นแบบฉบับ
ระบำปรับปรุ งหรือระบำเบ็ดเตล็ด:ระบำที่ปรับปรุ งขึ้นมา
ใหม่
รำ แบ่งออกเป็ น 3 ชนิ ดคือ รำเดี่ยว รำคู่ และรำหมู่
รำเดี่ยว:การรำที่ใช้ผู้แสดงเพียงคนเดียว เช่น รำมโนราห์บูชายัญ
รำคู่:แบ่งเป็ น 2 ประเภทคือ รำคู่ในเชิงศิ ลปะการต่อสู้ ไม่มีบทร้อง
และรำคู่ในชุดสวยงาม เช่น พระรามตามกวาง รจนาเสี่ ยงพวงมาลัย
รำหมู่:เป็ นการแสดงมากกว่า 2 คนขึ้นไป เช่น รำโคม รำวง
มาตรฐาน และรำวงทั่วไป
น.ส.มะลิวัลย์ คงเพ็ชร ม.4/6 เลขที่36
ฟ้ อน แบ่งออกเป็ น 5ประเภท ดังนี้ 10
1.ฟ้ อนที่สืบเนื่ องมาจากการนั บถือผี:เกี่ยวกับความเชื่อและ
พิธีกรรม เช่น ฟ้ อนผีมด ผีเม็ง ฟ้ อนผีบ้านผีเรือน
2.ฟ้ อนแบบเมือง:มีลีลาแสดงลักษณะเป็ นแบบฉบับของคนเมือง
หรือชาวไทยยวน เช่น ฟ้ อนเล็บ ฟ้ อนเทียนฟ้ อนเจิง
3.ฟ้ อนแบบม่าน:ผสมผสานระหว่างศิ ลปะการฟ้ อนของพม่ากับของ
ไทยล้านนา เช่น ฟ้ อนม่านมุ่ยเชียงตา
4.ฟ้ อนแบบเงี้ยวหรือแบบไทยใหญ่:มีต้นเค้ามาจากการแสดงของ
ชาวไทยใหญ่ เช่น เล่นโต กำเบ้อคง ฟ้ อนเงี้ยว
5.ฟ้ อนที่ปรากฏในบทละคร:มีผู้คิดสร้างสรรค์ขึ้นในการแสดง
ละครพันทาง เช่น ฟ้ อนน้ อยใจยา ฟ้ อนม่านมงคล
น.ส.มะลิวัลย์ คงเพ็ชร ม.4/6 เลขที่36
การแสดงนาฏศิลป์พื้นเมืองของไทย 11
ภาคเหนื อ เป็ นศิ ลปะการรำ และการละเล่น
หรือที่นิ ยมเรียกกันทั่วไปว่า “ฟ้ อน” มักเล่นกัน
ในงานประเพณีหรือต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
ได้แก่ ฟ้ อนเล็บ ฟ้ อนเทียน ฟ้ อนครัวทาน ฟ้ อน
สาวไหม และฟ้ อนเจิง
ภาคกลาง ศิ ลปะการแสดงมีความสอดคล้องกับ
วิถีชีวิต เช่น การเล่นเพลงเกี่ยวข้าว เต้นกำรำ
เคียว รำโทนหรือรำวง รำเถิดเทิง รำกลองยาว
ภาคอีสาน แบ่งได้ 2 กลุ่มวัฒนธรรมใหญ่ ๆ คือ
กลุ่มอีสานเหนื อ มีวัฒนธรรมไทยลาวซึ่งมักเรียกการละเล่น
ว่า “เซิ้ง ฟ้ อน และหมอลำ” เช่น เซิ้งบังไฟ เซิ้งสวิง ฟ้ อนภู
ไท ลำเต้ย
กลุ่มอีสานใต้มีการละเล่นที่เรียกว่า เรือม หรือ เร็อม เช่น
เรือมลูดอันเร หรือรำกระทบสาก รำกระเน็ บติงต็อง หรือ
ระบำตั๊กแตน ตำข้าว รำอาไย หรือรำตัด
ภาคใต้ แบ่งได้ 2 กลุ่มคือ วัฒนธรรมไทย
พุทธเช่น มโนราห์ หนั งตะลุง และวัฒนธรรม
ไทยมุสลิม ได้แก่ รองเง็ง ลิเกฮูลู และซิละ
น.ส.มะลิวัลย์ คงเพ็ชร ม.4/6 เลขที่36
12
ประเพณีการเล่นกลองยาว หรือ
เถิดเทิง มีผู้เล่าให้ฟังเป็นเชิง
สันนิษฐานว่าเป็นของพม่า
พวกไทยเราได้เห็นก็จำมาเล่น
กันบ้าง เมื่อชาวไทยเห็นว่ารำ
กลองยาวเป็นการเล่นที่
สนุกสนาน และเล่นได้ง่ายก็
นิยมเล่นกันไปแทบ ทุกบ้าน
ทุกเมืองมาจนทุกวันนี้ เครื่อง
ดนตรีกลองยาว กรับ ฉิ่ง ฉาบ
โหม่ง
๑. ชาย นุ่ งกางเกงขายาว ครึ่ง
แข้ง สวมเสื้อคอกลม แขน สั้น
เหนือศอก มีผ้าโพกศีรษะ และ
ผ้าคาดเอว
๒. หญิง นุ่ งผ้าซิ่ งมีเชิงยาว
กรอมเท้า สวมเสื้อทรงกระบอก
คอปิด ผ่าอกหน้าห้มสไบทับ
เสื้อ คาดเข็มขัดทับ เสื้อใส่
สร้อยคอเเละต่างหู ปล่อย
ผมทัดดอกไม้
นายปุณณวิช กำธร ม.4/6 เลขที่5
13
ก่อนเล่นมีการทำพิธีไหว้ครู มีดอกไม้ธูปเทียน เหล้าขาว
บุหรี่และเงินค่ายกครู 12 บาท การไหว้ครูใช้การขับเสภา
เมื่อไหว้ครูแล้วจะโห่ขึ้น 3 ลา แล้วเริ่มแสดง โดยนัก
ดนตรีประกอบเริ่มบรรเลง ผู้ร่ายรำก็จะเดินและร่ายรำไป
ตามจังหวะกลอง มีท่าร่ายรำทั้ งหมด 33 ท่า ท่าที่
หวาดเสียวและตื่นเต้นมากที่สุดก็เห็นจะเป็นท่าที่ 30-31
คือท่าที่มีการต่อกลองขึ้นไป 3 ใบ ให้ผู้แสดงคนหนึ่งขึ้น
ไปยืนบนกลองใบที่ 3 แล้วควงกลอง และคาบกลอง ซึ่งผู้
แสดงต้องใช้ความสามารถพิเศษ
กลองรำ หมายถึง ผู้ที่เเสดง
ลวดลายในการร่ายรำ
กลองยืน หมายถึง ผู้ตีกลองยืน
ให้จังหวะในการรำ
นายปุณณวิช กำธร ม.4/6 เลขที่5
14
ที่เรียกการเล่นประเภทนี้ว่า เถิดเทิง เทิงบ้อง
คงเรียกกันตามเสียงกลองยาว คือมีเสียงเมื่อเริ่มตีเป็น
จังหวะ คนไทยได้ยินว่า "เถิด-เทิง-บ้อง-เทิง-บ้อง"
เลยเรียกตามเสียงที่ได้ยินว่าเถิดเทิง หรือเทิงบ้อง
เพื่อให้ต่างกับการเล่น
นายปุณณวิช กำธร ม.4/6 เลขที่5
15
บุคคลสำคัญในวงการนาฎศิลป์
ท่านผู้หญิงเเต้ว สนิทวงศ์ เสนี
นามเดิม คือ เเผ้ว สุทธิบูรณ์ ครูรงภักดี (เจียร จารุจรณ)
เกิด 25 ธันวาคม 2446
เกิด 14 สิงหาคม 2442
ท่านเคยเเสดงเป็นตัวพระในการเเสดง ท่านฝึกฝนโขนตั้งเเต่เด็ก เมื่อท่าน
ต่างๆมากมาย ได้รับราชการเป็นตำรวจหลวงเเต่ก็
ผลงานโดดเด่น : 1.ออกแบบท่ารำ ยังเป็นครูสอนนาฎศิลป์ โขน ท่าน
ตัวพระ นางยักษ์ ลิง เป็นคนมีความสามารถในการรำ
เเละท่านเป็นเป็นผู้สืบทอดเพลง
2.เคยเป็นตัวประกอบของการเเสดง หน้ าพาทย์ สูงสุดของวิชานาฎศิ ลป์
เป็นมรดกเเก่เเผ่นดิน
โขน ละครชาตรีเเละอื่นๆ
3.เป็นผู้คัดเลือกการเเสดง
4.เป็นผู้ทำบทและเป็นผู้ฝึกสอน
น.ส.กมลชนก ตี้พั้ว ม.4/6 เลขที่28
ครูอาคม สายาคม 16
ชื่อเดิม คือ บุญสม
เกิด 26 ตุลาคม 2406 ครูเฉลย ศุขะ วณิช
ผลงานการเเสดงครูอาคมได้เป็น เกิด 11 พฤศจิกายน
ตัวเอก(พระเอกตลอดกาล) ตัวอย่าง เเสดงเป็น 2447
พระรามในเรื่องรามเกียรติ อิเหนา พระร่วง เเละ
อื่นผๆลงานด้านการเขียน ท่านได้เขียนหนังสือ เป็นผู้เชี่ยวชาญการส
มากมาย เช่น คำอธิบายนาฎยศัพท์ เป็นต้น อนเเละการออกแบ
บนาฎศิลป์ ไทย
ผลงานด้านการออกแบบท่ารำ เพลงหน้าพาทย์ ผลงานการปีะดิษฐ์
ท่าระและระบำ
ตระนาฎราช เป็นต้น โบราณคดี4ชุด ฟ้ อน
อีกทั้ งท่านยังมรผลงานต่างๆนอกเหนือจากนี้ เเคน เเละอื่นๆ
ครูลมล ยมะคุปต์
เกิด2มิถุนายน 2448
ท่านเป็นตัวเอกเกือบทุกเรื่อง บทบาทที่
ท่านเคยเเสดงจะเป็นพระเอกของเรื่อง
นั้ นๆ อีกทั้ งท่านยังได้ประดิษฐ์ ท่ารำ ที่
ประดิษฐ์ ในกรมศิลปากรในฐานะผู้
เชี่ยวชาญ และนอกจากนี้ท่านยังเป็นผู้
ร่างหลักสูตรให้เเก่วิทยาลัยนาฎศิ ลป์
เเละใช้มาจนถึงปัจจุบัน
น.ส.กมลชนก ตี้พั้ว ม.4/6 เลขที่28
อ้างอิง 17
https://sites.google.com/site/bukhkhlsakhaynatsilpm4/bukhkhl
-sakhay-khxng-natsilp-thiy/khru-chely-sukha-wnich
https://m.facebook.com/groups/734710249885642/posts/30878
29227907054/
https://th-
th.facebook.com/lovesiamoldbookFanclub/posts/1396068257
101893/
https://www.classpublishing.com/ramayana-proverb2/
https://www.gotoknow.org/posts/216738?
fbclid=IwAR2iKnhihK6ephBiG00ytma4_K2AL2BUHou1Wz0OAtuVyh
IMI-XQOBJ1T_s
https://sites.google.com/site/pangthunyaras/pra-wati-nad-silp-
thiy?
fbclid=IwAR1Z5NeqrScee5295Oc8PKpRycvNvZPOcfvRT74Al9mAV_
qXAXSVgQGBG-Q
จัดทำโดย
1.นายปุณณวิธ กำธร เลขที่5
2.นางสาวกมลชนก ตี้พั้ว เลขที่28
3.นางสาวชเนษฎ์กานต์ หวดงาม เลขที่30
4.นางสาวอัญติมา สมาธิ เลขที่32
5.นางสาวพิชญ์สินี เกลี้ยงแก้ว เลขที่35
6.นางสาวมะลิวัลย์ คงเพ็ชร เลขที่36