ตรงขาม หากเราภาวนาระลึกถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ดวยความโลภท่ีไมส้ินสุดแลว ความ
โลภนั้นจึงเปนเคร่ืองปดก้ันดวงจิต ใหจิตเดิมแทที่สวาง ไมอาจสองประกายแสงออกมาได และพระ
รัศมีของพระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจา ก็มิอาจสองเขาไปสูจติ ผูนั้นดวย เชนนี้แลว จึงเปนคําตอบวา เหตุใด
เราจึงไมไดร บั อานสิ งคจากมหาปณิธานขอน้ี แตห ากเรามจี ติ เมตตากรณุ า มคี วามโลภเพียงแตนอย มี
จิตเปน ผูใ หม ากสกั หนอย เราจะสมั ผสั ไดถ งึ พระรศั มีของพระไภษัชยครุ พุ ุทธเจาทันที
มหาปณิธานประการท่ี-๔ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากมีสรรพสัตว
ประพฤติมิจฉามรรค จักยังใหสูโพธิสัมมามรรค หากประพฤติในสาวกยานหรือปจเจกโพธิยาน ก็จัก
ยังใหต้ังอยูในมหาพทุ ธยานธรรม
ความหมายคือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจา ทรงมีพุทธประสงคจะชวยเหลือผูท่ีหลงผิด ผูท่ีไมรูจัก
พุทธศาสนาใหมีความเหน็ ที่ถกู ตอง คือ เชื่อเหตุผลของกรรมวา ทําดียอมไดดี โลกกอนและโลกหนา
มีจริง เปนตน จากนั้น ยังจะชวยใหผูประพฤติตน เพื่อสําเร็จเปนพระสาวก พระปจเจกพุทธเจา ได
หันมาประพฤตติ น เพอื่ สําเรจ็ เปน พระสัมมาสมั พุทธเจา
ผูประพฤติตนเปนพระสาวก คือผูมองเห็นรูแจงอริยสัจ ๔ วา สรรพสิ่งไมเที่ยง เปนทุกข และ
เปนของวาง พระปจเจกโพธิ คือผูมองเห็นเหตุปจจัยท่ีเกี่ยวเนื่องกัน เปนวัฏจักรของความเกิดดับ
เรียกวาการมองเห็น ปฏิจจสมุปบาท คือการเขาใจสรรพส่ิงวา ไมสามารถกอเกิด หรืออยูไดดวย
ตนเอง แตตองอาศัยสง่ิ ตา งๆในการตง้ั อยู มชี ีวติ อยู กลา วไดว า พระสาวกและพระปจ เจกพุทธเจา ได
บรรลุธรรมสวนหน่ึงของพระพทุ ธเจา อันสามารถนําพาตนใหพ น ทกุ ข แตยังไมไดบรรลธุ รรมทั้งหมด
ของพระพุทธเจา ยังไมไดทําเต็มศักยภาพของตนเอง สามารถส่ังสอนสัตวโลกไดมากในระดับหนึ่ง
เทาน้ัน หรือเรียกวา “การหลุดพนสว นบุคคล” เปนแบบอยางท่ปี ระเสรฐิ ใหประพฤติตาม เชนคําวา
พระพุทธเจาเปนธรรมราชา พระโพธิสัตวเปนธรรมราชกุมาร สืบเชื้อสายพุทธโครตมิใหขาดสิ้น
เพราะพระพุทธะและพระโพธสิ ตั วท งั้ ปวงลวนมีโพธจิ ติ ยิง่ ใหญ พระสาวกเปนธรรมเสนาบดี ในคัมภีร
ทศภมู ิกสตู รของมหายาน กลา ววา แมน วา ธรรมราชกุมารยังเยาววัย แตต ามศกั ดิแ์ ลวคอื เช้อื สายของ
พระพุทธองค จึงไดรับความชวยเหลือจากบรรดาธรรมเสนาทั้งปวง และธรรมราชกุมารก็ใหความ
เคารพธรรมเสนาบดี เพราะทานเปนผูสําเร็จราชการแทนไปกอน ตอเมื่อธรรมราชกุมารนั้นมีพระ
ชนั ษา (บารมี) เตม็ พรอ ม จงึ ไดค รองโพธบิ ัลลังกอ ภเิ ษกเปน ธรรมราชา
สวนพระพุทธเจาและพระโพธิสัตวที่บรรลุภูมิช้ันสูงนั้น จะมีความสามารถในการสั่งสอนสัตว
ดวยวิธีการ หรืออุปายะท่ีตางกัน ตามแตจริตของสัตวน้ันๆ ทั้งน้ีเปนเพราะวา พระพุทธเจา และพระ
โพธิสตั วม องเหน็ สรรพสตั วว า ไมไดตา งจากตนเอง ไมมบี ัญญัตใิ ดๆ มีความเสมอภาค และยังเคยเปน
45
พอ แม พี่ นอง กันมากอน จึงมีเมตตากรุณาตอ สัตวอยา งไมมปี ระมาณ เพราะสัตวโลกเปนโรค เปน
ทุกขอยู โพธสิ ตั วท้งั หลายจงึ ทกุ ขด วย
หากเราทํากุศลทั้งปวง ดวยจิตของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา เราก็จะชวยเหลือเพ่ือนมนุษย
ตลอดจนสัตวท้ังปวงดวยความเคารพ มีความเห็นวา สัตวทั้งปวงดุจบิดามารดา ญาติมิตรที่รักกัน
เปนสวนหนึ่งกับเรา คนในโลกน้ีจะไมมีความเห็นแกตัว สันติสุขจึงเกิดไดเอง ภัยพิบัติตางๆจึงสิ้นไป
ได
มหาปณิธานประการท่ี-๕ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ท้ังหลายบําเพ็ญพรหมจรรยใ นธรรมแหงเรา ยอมมิตองลว งละเมิดในศีลทั้งปวง จักรักษากรรมทั้ง ๓
ไดเปนอยางดี ไรซึ่งผูลวงละเมิดแลวตกอบายภูมิ แมนไดลวงละเมิดแลว ไดสดับนามของเรา ต้ังจิต
จดจําภาวนาดวยทีส่ ุดแหง ใจแลวไซร ยอ มคืนสบู ริสุทธิภาวะตราบถงึ พระโพธิญาณ
หมายถึง ความตั้งใจของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ท่ีเมื่อชักจูงหมูสัตวใหมีความเห็นถูกตองแลว
แตหมูสัตวนั้นไดพลาดพลั้งทําผิดไป พระองคก็จะทรงอนุเคราะหใหพนจากอบายภูมิดวย มหา
ปณธิ านขอน้ี ถอื เปน พระกรุณาอยา งท่สี ดุ เพราะปกตผิ ูผิดศลี แลว ยอ มเปน ผรู อนตัว ภาษาพระเรยี ก
“วิปฏิสาร” ยอมเกรงกลัวตกสูอบายภูมิ แตหากไดยินพระนามของพระไภษัชยครุ ุพุทธเจา จดจําได
และภาวนาถึงอยางสดุ จิตสุดใจ คือศรัทธาอยา งไมเ คลอื บแคลง ความรอ นใจตา งๆท่ปี กคลมุ ดวงจิต ก็
จะมลายส้นิ ไป เมอ่ื จติ ไมเศราหมองแลว ก็ยอมไปสูส ุขคติ
แตการไดยินพระนามของพระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจา แลวศีลกลับบริสุทธไ์ิ ด ไมตกไปเปนสัตวนรก
ผีเปรต และสัตวเดรัจฉานน้ัน ตองภาวนาตอไปดวยความศรัทธาอยางสุดหัวใจ ตอเมื่อไดภาวนาถึง
ดวยความไมเคลือบแคลงเม่ือใด บาปกรรมท่ีเปนส่ิงเศราหมองของจิตก็จะดับไปพรอมๆกัน พระ
ธรรมในมหายานสูตรกลาววา มีบคุ คล ๒ จําพวกท่ีหาไดยาก คือ ๑.ผูท่ีไมเคยทําผิดเลย และ ๒.ผูทํา
ผิดแลวรสู ํานึกอยา งสุดซ้ึง กลับใจ ไมท าํ ซา้ํ อีก เชนนี้ อานุภาพของพระไภษชั ยครุ ุพุทธเจา จงึ จะชว ย
ใหเราไมต อ งไปเกิดเปนสตั วนรก ผเี ปรต สัตวเดรจั ฉาน
มหาปณิธานประการที่-๖ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตวมี
อินทรียท้ังปวงมิสมบูรณ รางกายอัปลักษณ เนตรบอด โสตหนวก โอษฐใบ น้ิวมือเทางอหงิก หลัง
คอ มโกงงอ เปนโรคเรือ้ น สตวิ ิปลาสมสิ มประดี มโี รคาทกุ ขน านารมุ เรา เสยี ดแทงอยู หากไดส ดบั นาม
ของเราและสรรเสริญระลกึ ถึงดวยท่ีสดุ แหงใจ จักบรรลศุ ภุ ลกั ษณะทง่ี ดงามสรรพโรคามลายสนิ้
มหาปณิธานขอ ๖ นี้ และขอ ๗ ถือเปนหัวใจของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ในฐานะของ
พระพุทธเจาหมอ ความสุขและทุกขท้ังปวง ลวนเกิดจากจิต หากเรามีปญญา มองเห็นสภาวะตาม
ความเปนจรงิ วา สิง่ ทง้ั ปวงไมเที่ยง และไมใชต วั เราไดมากเทา ไร ความทุกขก็นอ ยลงเทาน้นั เพราะมี
46
ความยึดม่ันนอยลง หากส่ิงท้ังหลายมันไมไดด่ังใจ เม่ือมันเสียหายชํารุดไป เราก็ไมทุกขใจ เมื่อไม
ทุกขใจ ความสุขที่เกิดจากความเขาใจโลกตามความเปนจรงิ จงึ เพ่ิมขึ้นมา
ในปณิธานขอนี้ เราไมอาจปฏิเสธไดวา ความท่ีรางกายไมสมบูรณ บกพรองนั้นไมเปนทุกข
เสียเลย แตหากเรามองดวยปญญา เราจะไดพบความสุขที่จิตใจ ซึ่งเปนสุขกวาสุขทางกายหลายเทา
นัก ขอนี้จึงถือเปนความอัศจรรยของพระไภษัชยคุรุพุทธเจาอีกขอหน่ึง ซ่ึงหากเราพิจารณาตาม
อักขระ ยอมถือวายังยึดติดในสมมุติบัญญัติ ก็จะเห็นวามนั ไมอาจเปนไปได แตหากมองดวยความไม
มีตวั ตนแลว กจ็ ะเห็นความไมม ีตวั ตน ที่รับรูดว ยใจ
มหาปณิธานประการที่-๗ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ทั้งหลายยากจนขนแคนลําบากแสนเข็ญไรท่ีพึ่งพิงอาศัย มีโรคทั้งปวงรุมเราไรโอสถบําบัด โรคไร
แพทยผูรักษา เม่ือไดสดับนามของเราแลวเพียงช่ัวขณะสรรพโรคาจักดับสิ้น วงศตระกูลรุงเรืองโภค
ทรพั ยมขิ าดแคลน กายแลใจผาสกุ ตราบถงึ พระโพธิญาณ
ปณิธานขอนี้คลายคลึงกับขอ ๖ เพียงแตขอ ๖ เปนเร่ืองเฉพาะตนของผูปวยเอง สวนขอท่ี ๗
กลาวถงึ สภาพสังคม ทัง้ ๒ สิ่งน้ี กเ็ ปน สงิ่ ไมเท่ียง เพราะเราไปยึดมนั่ ถือมัน่ เปน ตวั ตน บุคคล เราเขา
จึงเปนทุกขอยูรํ่าไป เพราะยังมีความอยาก เปนเหตุใหเกิดทุกข หากเราสละความอยากข้ันหยาบ
ทส่ี ดุ คือสวนเกนิ ของการดํารงชีวิต คือการฟุง เฟอ ความกระหายในลาภ ยศ สรรเสริญแลว
จากนั้น จึงมาละความอยากข้ันพื้นฐานท่ีเกินพอดี คือความอยากในอาหาร เคร่ืองนุงหม ยา
รักษาโรค ทอ่ี ยูอ าศัยท่ีเกินพอดี ก็จะอยไู ดอ ยา งพอเพียง ตามพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระ
เจาอยูหัว ก็จะไดรับความสุขพ้ืนฐาน ท่ีทําใหมนุษยสามารถอยูไดเปนสุข โดยไมเบียดเบียนตนเอง
และผูอื่น แลวจึงมาสละความอยากอยางละเอียด คือความอยากใหตนเองสุข เพราะความเขาใจผิด
วาเปนตัวเปนตนของเราจริงๆ เมื่อสละความอยากไดทุกขั้นตอน ก็จะบรรลุธรรมได เหมือนกับพระ
ไภษัชยคุรุพุทธเจาที่มีแตความปรารถนาใหสัตวโลกเปนสุข หากเราทุกทานไมเห็นแกตัวจนท่ีสุดทุก
กรณี กส็ ามารถบรรลุธรรม เปนพระโพธิสัตวไ ดอยางแนน อน
มหาปณิธานประการที่-๘ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากมีสตรีถูก
ความทุกขท้ังปวงของความเปนหญิงรุมเรา เบ่ือหนายเปนท่ีสุดปรารถนาสละกายของสตรี หากได
สดบั นามของเราแลว สรรเสรญิ ระลกึ ถงึ ดว ยท่สี ดุ แหงใจ กายนี้จกั แปรเปล่ียนกลายเปน บุรษุ สมบูรณ
ดวยลกั ษณะของชายชาตรี ตราบถงึ พระโพธิญาณ
ขอน้ีแสดงใหเห็นแนวคิดของสภาพสังคมอินเดียโบราณที่กดขี่สตรี แมนในปจจุบันท่ีกลาววา
ชายหญิงเสมอภาคกัน แตสตรีเพศก็ยังถูกรังแกอยู และเปนความเชื่อทีว่ า ผูเกิดเปนหญิงน้ัน เพราะ
ทํากรรมมาในชาติกอน จึงตองมาอุมทอง และไดรับทุกขตางๆ แมคําวา “แม” เปนคําที่ศักดิ์สิทธิ์
47
และทรงคุณคา แตในสายตาของสังคม ก็ยังมีการแบงแยกและถูกขมเหงอยูดี ปณิธานของพระ
ไภษัชยคุรุพุทธเจาขอน้ี มุงสอนใหเราละวาง ทวิภาวะ หรือความเห็นที่มองสรรพสิ่งวาตางกัน เปน
สอง ไมเ ปนหนง่ึ เดยี ว
เพราะความเห็นเชนนี้ จึงทําใหเราเวียนวายในสังสารวัฏ เพราะความเห็นผิด ยึดม่ันถือมั่นใน
ตัวตน ความเปนหญิงชาย ความเปนเด็กหรือผูใหญ ความเปนบทบาทตางๆ บางคนที่ยึดติดใน
บทบาทนั้น เปนคนท่ีนาสงสารกวาการเกิดเปนหญิงเสียอีก เพราะเปนผูยึดม่ันหลงผิดถึงท่ีสุด
ขอความในพระสตู รที่วาดวยเร่ืองพุทธเกษตรตางๆ เชน แดนสุขาวตีของพระอมิตาภะพทุ ธเจา และ
แดนศุทธิไวฑูรยข องพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ฯลฯ ก็กลา วถงึ ความไมมีสตรเี พศในดินแดนเหลา นัน้ ซงึ่
ลวนแตมีความหมายตามที่กลาวแลวขางตน และมีคําสอนวาสังสารวัฏและพระนิพพานไมตางกัน
ศทุ ธไิ วฑูรยแ ละสหาโลกธาตุแหงน้กี ไ็ มต างกัน ท่เี หน็ ตา งกนั เพราะเรายงั ละวางความแบง แยกไมไ ด
มหาปณธิ านประการท่ี-๙ เมื่อเรามาอุบัตยิ ังโลกและบรรลพุ ระโพธิญาณแลว จักยงั ใหสรรพสตั ว
ทัง้ ปวงไดออกจากมารชาละ ยงั มพี ลพรรคของมจิ ฉาทิฐนิ านาประการซง่ึ จกั สงเคราะหไ วท ัง้ สิน้ ยังให
เกดิ สมั มาทิฐิคอยๆไดศกึ ษาบาํ เพ็ญโพธสิ ัตวจริยาทง้ั ปวงตราบถงึ พระโพธิญาณ
มารชาละ คือ ตาขายของมาร มารคือมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผดิ ความเห็นผดิ น้ี ถือเปนอวิชชา
ท่ีหลอกใหหมูสัตวหลงผิด เห็นผิดวาเปนตัวตน บุคคล เราเขา เห็นวาสรรพสิ่งนั้นเท่ียงแท ไมเสื่อม
สลาย ไมส้ินไป สรางบัญญัติข้ึนมา ผูกมัดตัวเองทีละอยาง ยึดม่ันในกาย ในจิต จนถึงการยึดมั่นใน
ธรรม ในขอน้ีเปนพทุ ธประสงคใหสละความเห็นผดิ จนถงึ ที่สดุ จนไดบรรลเุ ปนพระพทุ ธเจา มหายาน
ธรรมมีคําสอนโดยสรุปคราวๆวา ผูละวางความยึดมั่นถือม่ันกายและใจ เห็นแจงอริยสัจได จึงบรรลุ
เปนพระอรหันต ผูละความความแบงแยกเหน็ แจงปฏิจจสมุปบาทได จึงไดบรรลปุ จเจกโพธิ ผูละวาง
สัญญาท่ีลวงหลอกรูแจงปุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตาได จึงสําเร็จเปนพระพุทธเจา จึงทราบไดวา
ความหลงผิดน้ันมีหลายระดับ เมื่อใดที่สละท้ิงทั้งธรรมที่พาใหเราบรรลุได จึงชื่อวาไมยึดมั่นอยาง
แทจรงิ
มหาปณิธานประการท่ี-๑๐ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ทง้ั หลายตอ งราชอาญาถกู จองจาํ ในกรงขัง พนั ธนาการดวยโซตรวน ถูกโบยตจี นถงึ ประหารชวี ติ ยังมี
เรื่องราวอันเปนทุกขมากมาย ท่ีบีบคั้นใหทุกขโศก ไรซ่ึงความสุขเพียงช่ัวครู หากไดสดับนามของเรา
ดวยเหตุแหงอํานาจคุณธรรมบารมีของเรา จักยังใหหลุดพนจากความทุกขโศกท้ังปวงตราบถึงพระ
โพธญิ าณ
ปณิธานขอนี้กลาวถึง “ภัยของพระราชา” ในสมัยอินเดียโบราณ อํานาจท้ังปวงอยูที่พระราชา
เปนด่ังสมมติเทพ มีพระราชอํานาจอยูเหนือสรรพส่ิงในแผนดิน ดังนั้นหากพระราชาไมพอพระทัย
48
ชีวิตบรรดาไพรฟาก็ตกอยูในความอันตราย หาความแนนอนมิได ดังนั้น ราชภัยจึงถือเปนภัยท่ี
นอกเหนือการควบคุมอยางหนงึ่
แตในยุคปจจบุ ัน อาจจะเปนภัยจากกฎหมาย หรือภัยทางการเมือง เชนการใชกฎหมายในทาง
ที่ผิด เปนเครื่องมือของคนมีอํานาจและคนเจาเลห รวมไปถึงความทุกขท่ีไมไดกลาวถึงตางๆอีก
ปณิธานขอนี้กลาววา “มีความทุกขมากมายที่บีบค้ันใหทุกขโศก ไรซ่ึงความสุขเพียงชั่วครู” หากได
ยินพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา และ “ดวยเหตุแหงคุณธรรมบารมีของเรา” ยังใหหลุดพน
จากความทกุ ขโ ศกท้ังปวง
ปณธิ านขอ น้ี มีนยั ยะทางธรรมคอื มิจฉาทิฐิ อวิชชา ประดจุ กรงขงั ใจเรานเ่ี อง เปนดจุ พระราชา
เพราะใจเปนใหญ ใจเปน ประธาน ใจมอี ํานาจ แมใ จเองกไ็ มเท่ยี ง ผนั แปรตลอดเวลา หากเราลืมกาย
ลืมใจเราเอง คือ ไมมีสติ ภัยใหญหลวง คือ การเวียนวายตายเกิด ยอมเกิดข้ึนเพราะใจท่ีหลงผิด จึง
เกิดเปนความทุกขมากมาย จนหาความสุขไมไ ดเ ลย แตดว ยพระคุณธรรมของพระไภษัชยครุ พุ ทุ ธเจา
คือ พระพุทธเจาแหงยา ทรงใชธรรมโอสถ คือ พระคุณธรรมหลักของพระองคเยียวยาความทุกข
ทั้งหลายได
มหาปณิธานประการท่ี-๑๑ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ทัง้ หลายทกุ ขท รมานจากทพุ ภิกขภยั (ขา วยากหมากแพง) เหตุท่ีตอ งการอาหารจงึ กระทาํ ความช่ัวทง้ั
ปวง หากไดสดับนามของเราแลว สรรเสริญระลึกถึงดวยที่สุดแหงใจ เราจักยังใหอิ่มเอมในโภชนารส
เลศิ ตามจิตปรารถนากอน แลว ใชธรรมรสยงั ใหต ้งั อยใู นบรมสุขในภายหลัง ตราบถึงพระโพธญิ าณ
เราไมอาจปฏเิ สธความทุกขท ี่เกดิ ขึ้น โดยที่ใจไปรับรูเ ขา และเปน การยากท่จี ะละวางกายกบั จิต
วาเปนคนละสวน เพราะกายและจิตติดกันแนนมานานแสนนาน ตามทฤษฏีเราอาจเขาใจวา สุข
เกิดข้ึนเพราะความชอบใจ ทุกขเกิดข้ึนเพราะการไมชอบใจ ส่ิงที่ชอบใจหรือไมชอบใจนั้น เพราะ
เสียง รูป กลิ่น รส สัมผัส ไปกระทบท่ีหู ตา จมูก ลิ้น กาย แลวใจเราไปปรุงแตงเขา จนเกิดความยดึ
ม่ันในความสุข แลวปรุงแตงใหมันสุขย่ิงๆข้ึนไปเพื่อสนองกิเลส เหมือนเชือกที่ผูกมัดตัวเองแนนข้ึน
เรือ่ ยๆ
ในขอน้ีหากผูท่ีละวางไดถึงท่ีสุด ยอมถึงพระนิพพาน คือความดับ ความเย็น แตหากผูละได
ช่ัวคราว ก็เย็นชั่วคราว คืออยูเปนสุขไมทุกขรอน เพราะกิเลสมันเผาไมไดชั่วคราว ท้ังน้ี อยูดวย
ปญญาที่อบรมมา พระไภษัชยคุรุพุทธเจาทรงทราบวา สัตวทั้งปวงลวนแตมีพุทธภาวะ คือ
ความสามารถรูแจงเปนพระพุทธะได จึงทรงมีพระเมตตากรุณาตอสัตวโลก อยางไมมีประมาณ
เพราะทรงมองสัตวโลกไมตางกับพระองค ทุกคนยอมรูวาสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก น่ันคือ การมีพุทธภาวะ
อยภู ายใน แตเราไมส ามารถเอาชนะกเิ ลส คอื ปลอ ยใจไปตามกิเลส จึงทําใหก อกรรมชวั่ อยเู รือ่ ยไป
49
ในกรณีผูตองทํากรรมชั่วเพ่ือเลี้ยงชีพ ทานใหดูที่เจตนา เชนวา การฆาสัตวเพ่ืออาหาร กับการ
ฆาสัตวเพ่ือการกีฬา เชน การแขงขันตกปลา แขงขันลาสัตว หรือการฆาสัตวมากินจนเกินความ
จําเปน น้ําหนักของกรรมก็ตางกัน ดวยพระปณิธานและพระเมตตาของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา
หมายจะอนุเคราะหสัตวทท่ี ํากรรมช่ัวเพราะจําเปน พระองคจึงทรงเปนทพ่ี ่ึงของสตั วทกุ หมูเ หลา ไม
เลือกชัน้ วรรณะโดยแท
ดวยพุทธานุภาพ จะบันดาลให ผูท่ีทํากรรมช่ัวเพื่อเลี้ยงชีพ คอยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ
อาชีพใหถูกตองสมควรไดเอง เพราะผนู อมรบั ศรัทธาพระไภษัชยคุรุพุทธเจาแลว ก็คือผูเกิดโพธิจิตที่
กําลังจะมีวิบากกรรมลดนอยลง มีคุณภาพชีวิตดีข้ึน ไมอดยาก จึงไมตองทําความช่ัวอีก และ
สติปญญาก็จะเพิ่มพนู ย่ิงขึ้นจนไดรับธรรมรส ถึงพระนิพพาน แตท้ังปวงน้ี เนื่องอยูดวยความศรัทธา
ท่ีไมเ คลอื บแคลงเทานน้ั
มหาปณิธานประการที่-๑๒ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ท้ังหลายกายปราศจากอาภรณ ไดรับทุกขจากแมลงยุงและความหนาวรอน หากไดสดับนามของเรา
แลว สรรเสรญิ ระลกึ ถึงดวยท่สี ดุ แหง ใจ จักไดร ับอาภรณท ด่ี ีเลิศ เครอ่ื งประดบั รตั นะเครอ่ื งดนตรขี อง
หอมดอกไมน านาชนิดอยางบริบรู ณ ไกลจากทกุ ขเ ศราหมองทั้งปวงตราบถงึ พระโพธญิ าณ
ขอ ๑๒ น้ีมีความคลายขอที่ ๑๑ ที่มุงดับทุกขแกผูยากไร ที่หากเราไดศึกษาธรรมจากมหา
ปณิธานท้ัง ๑๑ ประการขา งตน แลว ความทกุ ขย าก หิวกระหาย เพราะความเหน็ ผิด ความยดึ ม่นั ถือ
มั่น ความทะยานอยาก ก็จะทุเลาเบาบางไปมาก จนถึงพระโพธิญาณ ดังนั้น หากเราไมยึดม่ันอยูใน
ทกุ ขห รอื สขุ ทัง้ ปวงแลว ผูท ก่ี ายอดอยากยอ มมใี จอม่ิ เอม ผูท ่ีกายพกิ ารยอมมีจติ ใจสมบรู ณ ผรู า งกาย
ไมนาดู ไมนา รัก ยอ มมจี ติ ใจงดงามบริสทุ ธิ์
ตรงขามกับผมู รี า งกายทีเ่ สพอาหารจนอ่ิม แตมจี ติ ใจไมร ูจกั พอ ผูม รี างกายงดงามนาดู แตจ ติ ใจ
สกปรก นา รงั เกยี จ หากเราทัง้ หลายบชู า ศรทั ธา และภาวนาถงึ พระไภษัชยครุ พุ ุทธเจา จึงควรทราบ
วา พระองคมุงเปล้ืองทุกขที่อยูภายในสูภายนอกเปนสําคัญ ความหมายคือ เม่ือขจัดความเห็นผิด
แลว จงึ มกี ารกระทาํ ที่ถูกตอง จงึ ไดรบั แตส ง่ิ ดีงาม แลวไมต กสอู บายภูมิอกี ตอไป
พระมหาปณิธานตางๆของพระพุทธเจา พระโพธิสัตวทั้งปวง แมมีจํานวนอสงไขยก็เพ่ือ
จดุ ประสงคหนึ่งเดยี ว แมมีจุดประสงคห น่งึ เดียวกแ็ สดงปณธิ านจํานวนอสงไขย ดวยอุปายะวธิ แี กห มู
สตั วที่มจี ริตตางกนั ใหเ ขา ใจ เรียนรูไดม ากทสี่ ุด ถือเปน พระมหากรุณา มหาปญญา มหาอปุ ายะทไี่ ม
มีประมาณ และมหาปณิธานของพระไภษัชยคุรุพุทธเจานี้ หากยังไมสําเร็จแกสัตวท้ังหลายแลว
พระองคก็จะมิเสด็จสูมหาปรินิพพานเชนกัน และเพราะเราท้ังหลายยังมีจิตท่ีแปดเปอนอยู จึงเห็น
โลกนี้แปดเปอน หากจิตเราบริสุทธิ์แลว โลกนี้ก็คือศุทธิไวฑรู ยพ ุทธเกษตร ทุกคนในโลกลวนคอื พระ
50
โพธิสัตว ที่กําลังดําเนินปฏิปทาสูความรูแจงสูงสุด เสียงตางๆในโลก ลวนคือเสียงแหงธรรมที่วา ดว ย
ความไมเ ทย่ี ง ความไมมตี ัวตน ความวา งเปลา ทั้งสิน้
บัดน้ีสมควรแกเวลา ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธบารมีของพระไภษัชยคุรุพุทธ
เจา และส่ิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดบันดาลใหทานทั้งหลายเปนผูสุขกาย สุขใจ ไรโรคาพยาธิ มี
สติปญญาแตกฉาน ไมเสื่อมถอยจากโพธจิ ิต และมีความสมบูรณในสง่ิ ทป่ี รารถนาทุกประการ ตราบ
ถงึ พระโพธิญาณทุกทา นเทอญ.
จบ ปาฐกถาธรรมพิเศษ เร่ือง พระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจา
โดย พระวิศวภัทร เซยี่ เก๊ียก
กํา เ ิ ด พ ร ะ พุ ท ธ รู ป ก ร่ิ ง
โดย เสถยี ร โพธินนั ทะ
ในอาณาจักรพระเคร่ืองรางท่ีนับถือกันวา มีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์ เปนท่ีรูจักแพรหลายในหมู
นักนิยมพระเคร่ือง ฝายพระผง เห็นจะไดแก พระผงสมเด็จพระพุฒาจารย (โต) ซ่ึงเรียกกันท่ัวไปวา
“สมเด็จวัดระฆัง” ฝานพระโลหะ เห็นจะไดแก พระกริ่ง สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาปวเร
ศวรยิ าลงกรณ หรือท่เี รยี กกนั วา “กรง่ิ ปวเรศ”
พิธีกรรมสรางพระผงแตโบราณมา ตองมีการทําผงวเิ ศษ ซึ่งสําเร็จสูตรสนธ์ิตางๆ ท่ีขีดเขียนลง
บนกระดานชนวนแลวลบ จนไดที่เปนจํานวนผงที่ตองการสําหรับไวผสมกับสารอ่ืนๆ พิมพเปนองค
พระ การสรางพรระโลหะ หรือพระกร่ิงก็เชนเดียวกัน จะตองลงเลขยันตในแผนนวโลหะ อันจะเปน
ชนวนผสมในการหลอดวย เลขยันตที่นิยมใชลงโดยมาก ทานนิยมลงดวยพระยันต ๑๐๘ และ
นะปฐมัง ๑๔ นะ วา กนั วา เปนตําราขอสมเด็จพระพนรัต วดั ปาแกว คร้งั แผน ดนิ สมเด็จพระนเรศวร
มหาราช การสรางก็ตอ งมพี ิธพี ระพุทธาภิเษก และมพี ิธโี หร พิธีพราหมณประกอบ
ก็พระกร่ิงปวเรศน้ี เลากันมาวา สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาปวเรศฯ วัดบวรนิเวศ
วิหาร ทรงไดตําราจากสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งทรง
ไดจากครูบาอาจารยเกาๆ สืบทอดกันมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดปาแกว สมเด็จพระมหาสมณเจา
กรมพระยาปวเรศฯ ทรงสรางพระกร่ิงในเบ้ืองปจฉิมสมัยแหงพระชนมายุ แตสรางคราวละเล็กละ
นอย เชื่อกันวามี ๒ ครั้งเทาน้ัน ทรงแจกเฉพาะผูใกลชิด และเจานาย ขาราชการ ประชาชนที่มา
สดับพระธรรมเทศนาในวัดบวรนิเวศ ฉะน้ันพระกร่ิงปวเรศจึงมีนอยไมแพรหลาย ตอมาเจาคุณเฒา
วัดมกุฎกษัตริยาราม เลียนแบบของพระองคไปจัดสรางขึ้นบาง ก็เปนจํานวนนอย ภายหลังตําราไป
ตกอยูกับพระพุฒาจารย (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส ตามปากราษฎรเรยี กกันวา “ทานเจามา” เปน
พระเถระเช่ียวชาญทางสมถภาวนา อาจสามารถจุดเทียนระเบิดน้ําลงไปลงตะกรุด ณ ทาแมน้ํา
51
เจาพระยาหนาวดั ได ตอมาทานเจามา ก็ประสิทธิ์ประสาธนตําราแกพระเทพโมลี (แพ ติสฺสเทว) วัด
สุทัศนเทพวราราม ซ่ึงภายหลังพระเทพโมลีเจริญสมณศกั ด์ิโดยลําดับ จนไดครองสมณอัครฐานนั ดร
ศักดทิ์ สี่ มเดจ็ พระสงั ฆราชในรัชกาลที่ ๘
พระเทพโมลีไดสรางพระกร่ิงขึ้นเปนครัง้ แรก และไดสรางติดตอเรื่อยมาเปนนิตย คราวละมาก
บาง นอยบาง จนถึงดํารงฐานะสมเด็จพระสังฆราช และจําเดิมแตน้ัน ก็มีพระเกจิอาจารยตางสํานกั
เลียนแบบสรา งพระกริ่งกันแพรห ลาย
พระพุทธลักษณะของพระกริ่ง เปนแบบพระพทุ ธรูปมหายานทางประเทศธเิ บต และปรากฏวา
ในประเทศเขมร ก็มีพระกร่ิงแบบน้ีเหมือนกัน เราเรียกกันวา “กร่ิงพระปทุม” ประเพณีนิยมสราง
พระกร่ิงของไทย คงจะไดครูจากเขมรเปนแนแท และมีการสรางกันในยุคกรุงสโุ ขทัยแลว ที่กลาววา
ตําราสรางพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทรนี้ เดิมเปนของสมเด็จพระพนรัต วัดปาแกว ก็นาจะจริง
เพราะสมเด็จพระพนรัตองคน้ัน ทานคงจะไดรวบรวมพิธีการสรางจากตํารับตําราเกาๆ และในสมัย
นน้ั วดั ปาแกว กน็ บั ถือกันวาเปนสาํ นักอรัญญิกาวาส–สมถธุระวปิ สสนาธุระ
อันท่ีจริงพระกริ่งก็คือ พระปฏิมาไภษัชยคุรุพุทธเจา น่ันเอง พระพุทธเจาองคน้ีเปนท่ีนิยมนับ
ถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝายลัทธิมหายานน่ิงนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตร
หนึ่ง คือ “พระพุทธไภษัชยครุ ุไวฑูรยประภาราชามูลปณิธานสูตร” แปลเปนจีนในราวพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๐ ซ่งึ ขอแปลโดยยอสกู ันฟง ดงั นี้ : -
สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาพระศากยมุนีพุทธะ เสด็จประทับ ณ กรุงเวสาลี สุขโฆสวิหาร
พรอมดวยพระมหาสาวก ๘,๐๐๐ องค พระโพธิสัตวมหาสัตว ๓๖,๐๐๐ องค และพระราชาธิบดี
เสนาอํามาตย ตลอดจนปวงเทพ ก็โดยสมัยน้ันแล พระมัญชุศรีผูธรรมราชาบุตรอาศัยพระพทุ ธาภินิ
หาร ลุกข้ึนจากท่ีประทับ ทําจีวรเฉวียงบาขางหน่ึง คุกพระชาณุกับแผนดิน ณ เบ้ืองพระพักตรของ
สมเด็จพระโลกนาถเจา ประคองอัญชลีกราบทลู ขึ้นวา “ขา แตพ ระผมู ีพระภาคเจา ขอพระองคโ ปรด
ประทานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธาน และคุณวิเศษอันโอฬารแหงปวงพระ
สมั มาพทุ ธเจาทัง้ หลาย เพอื่ ยังผูสดบั ธรรมกถานี้ ไดร ับหติ ประโยชนบรรลุถงึ สขุ ภูมิ” พระบรมศาสดา
ทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรีโพธิสัตวแลว จึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธ
เจาวา
“ดกู อน กุลบตุ ร จากทน่ี ี้ไปทางทศิ ตะวันออก ผานโลกธาตุอันมีจํานวนดุจเม็ดทรายในคงคานที
๑๐ นทีรวมกัน ณ ท่ีนั้นมีโลกธาตุหน่ึงนามวา วิสุทธิไพฑูรยโลกธาตุ ณ โลกธาตุนั้น มีพระพุทธเจา ผู
ทรงพระนามวา ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต พระองคถึงพรอมดวยพระภาคเปนพระอรหันต
เปนผูตรัสรูดีชอบแลวดวยพระองคเอง เปนผูสมบูรณดวยวิชชาและจรณะ เปนผูเสด็จไปดีแลว เปน
52
ผูรูจักโลก เปนผูยอดเย่ียมไมมีใครเปรียบ เปนนายสารถีฝกบุรุษ เปนศาสดาแหงเทวดาและมนุษย
เปนผูเบิกบานแลว เปนผูจําแนกธรรมกลาวสอนสัตว ดูกอนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตภาค เม่ือพระ
ตถาคตเจาพระองคน้ี ยังเสวยพระชาติเปนพระโพธิสัตวบําเพ็ญบารมีอยู พระองคทรงตั้งมหา
ปณิธาน ๑๒ ประการ เพื่อยังความตองการแหงสรรพสัตวใหบรรลุ ก็มหาปณิธาน ๑๒ ประการ เปน
ไฉน
๑.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมีวรกายอันรุงเรืองสองสาดท่ัว
อนันตโลกธาตุ บริบูรณดวยมหาปุริสลกั ขณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ขอใหสรรพสัตว จงมีวรกาย
ดจุ เดยี วกบั เรา
๒.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอใหวรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย
มีรัศมีรุงโรจนโชตนาการย่ิงกวาแสงจันทรและแสงอาทิตย ประดับดวยคุณาลังการอันมโหฬาร
ไพศาลพันลึก สองทางใหแ กส ัตวท่ีตกอยใู นอบายคติ ใหหลุดพนเขา สูทีช่ อบตามปรารถนา
๓.ในกาลใดที่เราบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอใหเราไดใชปญญาโกศลอันล้ําลึก
สุขุมไมมที ีส่ ิ้นสดุ ยังสรรพสตั วใ หไดรบั โภคสมบตั ินานาประการ อยา ไดมีความยากจนใดๆ
๔.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตวใดที่เปนมิจฉาทิฏฐิ ก็ขอให
เรายังเขาใหตั้งในในสัมมาทิฏฐิโพธิมรรค หากมีสัตวใดดําเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปจเจกยาน ก็
ขอใหเราสามารถยังเขามาดาํ เนนิ ปฏิปทาแบบมหายาน
๕.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตวใดมาประพฤติ
พรหมจรรยในธรรมวินัยของเรา ก็ขอใหเขาเหลานั้นอยาไดมศี ีลวิบัติเลย จงบริบูรณดวยองคแหงศลี
ท้ัง ๓ เถิด หากผูใดมีศีลวิบัติ เมื่อไดสดับนามแหงเรา ก็ขอใหจงบริสุทธิ์บริบูรณดุจเดิม ไมตกสูทุคติ
นริ บาย
๖.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตวมีกายอันเลวทราม มี
อินทรียอันไมผองใส โงเขลาเบาปญญา ตาบอดหรือหูหนวก เปนใบบาหรือหลังคอม สารพัดพยาธิ
ทุกขตางๆ เมื่อไดสดบั นามแหงเรา ก็ขอใหหลุดพนจากปวงทุกขเ หลา น้ัน มีสติปญญาเฉลียวฉลาด มี
อนิ ทรียผ องใสสมบรู ณ
๗.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพสัตวอันความทุกข
เบียดเบียน ปราศจากท่ีพ่ึงพิงและท่ีอยูอาศัย ปราศจากแพทยและยา ปราศจากวงศาคณาญาติ อัน
ความยากจนขนแคนมีทุกขมาเบียดเบียนแลว เพียงแตนามแหงเราผานโสตเขาเทานั้น ขอสรรพ
ความเจ็บปวยจงปราศจากไปสิ้น เปนผูมีกายใจอันผาสุก มีบานเรือนอาศัยพร่ังพรอมดวยธนสาร
สมบตั ิ จนท่สี ุดก็จกั ไดส ําเร็จแกพ ระโพธญิ าณ
53
๘.ในกาลใดท่ีเราบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสตรีใดมีความเบ่ือหนายตอเพศ
แหง ตน ปรารถนาจะกลับเพศบรุ ษุ ไซร มาตรวา ไดสดบั นามแหง เรา ก็จะสามารถเปลย่ี นเพศจากหญงิ
เปน ชายไดต ามปรารถนา จนที่สดุ ก็จกั ไดส ําเรจ็ แกพ ระโพธิญาณ
๙.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณ เราจงสามารถยังสัตวท ั้งหลายใหหลุด
พนจากขายแหงมาร และเครื่องผูกพันของเหลามิจฉาทิฏฐิ ใหสัตวเหลาน้ันตั้งม่ันอยูในสัมมาทิฏฐิ
และใหไ ดบ าํ เพ็ญโพธสิ ตั วจ ริยา จนบรรลพุ ระโพธญิ าณในทสี่ ุด
๑๐.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตวเหลาใดถูกตองพระราชอาญา
ตองคุมขัง รับทัณฑกรรมในคุกตะราง หรือตองบทอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนไดรับการขมเหง
คะเนงราย ดูหม่ินดูแคลนเหยียดหยามอื่นๆ เปนผูอันความคับแคนเผาลนแลว มีใจกายอันวิปฏิสาร
อยู หากไดสดับนามแหงเรา ไดอาศัยบารมีและคุณาภินิหารของเรา ขอสัตวเหลาน้ันจงหลุดพนจาก
ปวงทกุ ขดังกลา ว
๑๑.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตวเหลาใดมคี วามทุกขดวยความ
หิวกระหายแลว ประกอบอกุศลกรรมเพราะเหตุแหงอาหารไซร หากไดสดับนามแหงเรา มีจิตหมั่น
ตรึกนึกภาวนาเปนนิตย เราจักประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันประณีตแกเขา ยังเขาใหอ่ิมหนํา
สําราญ แลว ประทานธรรมรสแกเ ขา ใหเ ขาไดรับความสขุ
๑๒.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตวเหลาใดท่ียากจนปราศจาก
อาภรณนงุ หม อันความหนาวและเหลอื บยุงเบียดเบียนทัง้ กลางวนั กลางคนื หากไดสดับนามแหงเรา
และหมั่นรําลึกภาวนาถึงเราไซร เขาไดส่ิงที่ปรารถนา และจักบริบูรณดวยธนสารสมบัติ สรรพ
อาภรณเ คร่ืองประดับ และเคร่อื งบํารุงความสุขตา งๆ
ครั้นแลว พระบรมศาสดาศากยมุนีพทุ ธเจาตรัสตอไป พระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจานี้ มีพระโพธิสตั ว
ผใู หญ ๒ องค คือ พระสุรยิ ไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เปนพระโพธิสัตวผูชว ยของพระไภษัชย
คุรุวา “ผูใดก็ดี ไดบูชาพระพุทธองค ดวยความเล่ือมใสแลว ก็จักเจริญดวยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
ปราศจากภัยบีฑา ไมฝนราย ศัสตราวุธทําอันตรายมิได สัตวรายทําอนั ตรายมิได โจรภัยทําอันตราย
มไิ ด ยาพษิ ทาํ อนั ตรามิได ฯลฯ”
นอกจากน้ี ทรงแสดงถึงพิธีมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกดวยวา ตองจัดพิธีมีเครื่องบูชาอยาง
น้ันๆ และประทานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุดวย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรง
ประทับเขาสมาธิช่ือ “สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรากฏรัศมีไพโรจนขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แลว
จงึ ตรสั พระคาถามหาธารณี ดงั น้ี
54
“นโม ภควเต ไภษชยฺ ครุ ุ ไวฑรู ฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺหเต สมอยกสฺ มฺพุทธฺ าย โอมฺ ไภเษชเย
ไภเษชเย ไภเษชย สมุรฺคเตสวฺ าหฺ”
ครั้นตรัสพระมหาธารณีน้ีแลว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสวางอันโอฬารก็ปรากฏ สัตวท ัง้
ปวงกห็ ลดุ พน จากสรรพยาธิ บรรลสุ ขุ สันตอิ นั ประณีตแลว พระบรมศาสดาจงึ ตรสั วา “ดกู อ นมัญชศุ รี
ถากุลบุตรกุลธิดาใด พยาธิทุกขเบียดเบียนแลว พึงตั้งจิตใหเปนสมาธิ แลวนําพระมหาธารณีบทนี้
ปลุกเสกอาหาร หรือยา หรือน้ําดื่มครบ ๑๐๘ หน แลวดื่มกินเขาไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวง
พยาธิได ฯลฯ” พระสูตรนี้ตอนปลายๆ ยังมีเร่ืองราวพิสดารอีกมาก แตจําตองของดไวเพียงเทานี้
เปนอันวา ทานผูอานไดทราบถึงความศักด์ิสิทธ์ิ และความสําคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขป
เทานี้ สําหรับพระคาถาธารณีนั้น ทานพระคณาจารยสรางพระกร่ิงไมควรละเลย ควรนํามาใชปลุก
เสกพระกรง่ิ ได และควรถอื วาเปนมนตประจาํ พระกร่ิงโดยเฉพาะทเี ดยี ว
เมื่อความศักดิ์อภินิหารของพระพุทธไภษัชยคุรุ ปรากฏตามท่ีไดพรรณนามา พวก
พุทธศาสนิกชนฝายลทั ธมิ หายาน จึงเคารพนับถือเปนอยางยง่ิ มีพระพทุ ธไภษัชยคุรบุ ูชากันท่ัวไปใน
วัดประเทศจีน ญี่ปุน ธิเบต เกาหลี และเวียตนาม ท่ีสุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย สําหรบั
ประเทศไทย แมจะนับถอื พระพทุ ธศาสนาฝายสาวกยานลทั ธลิ ังกาวงศ แตกอนน้ันขึ้นไปเราก็เคยรับ
เอาลัทธิมหายานมานับถืออยรู ะยะหน่ึง เปนลัทธิมหายานซ่ึงแพรข้ึนมาจากอาณาจักรศรวี ิชัยทางใต
และท่เี ผยแพรม าจากเขมร ไทยเพิ่งจะเริ่มนบั ถอื พระพทุ ธศาสนานิกายลงั กาวงศ ก็เม่ือยุคกรุงสโุ ขทยั
นี้เทาน้ัน อาณาจักรศรวี ิชัยซึ่งต้ังแวนแควนอยูบนคาบสมุทรมาลายู ตั้งแต พ.ศ.๑๒๐๐–๑๗๐๐ รวม
เวลานานราว ๖๐๐ ป เปนอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และนําลัทธิ
มหายานใหแพรหลายไปในหมูเกาะชวา มลายู ตลอดขึ้นมาจนถึงลุมแมน้ําเจาพระยา สวนเขมรน้ัน
ปรากฏวามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณเจริญแขงกัน กษัตริยของเขมรหรือขอมสมัยนั้น บาง
องคก็เปนพุทธมามกะ บางองคก็เปนพราหมณมามกะ ในราว พ.ศ.๑๕๔๖–๑๕๙๒ กษัตริยเขมร
พระองคหนึ่งทรงพระนามวา พระเจาสูรยวรมันท่ี ๑ ทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนามาก จนถึงกับ
เมอื่ สวรรคตแลว มีพระนามวา “พระบรมนิวารณบท” พระองคเ ปนเชอื้ สายกษัตรยิ จ ากอาณาจักรศรี
วิชัย ฉะน้ันจึงไมตองสงสัยวา ลัทธิมหายานจะไมเฟองฟุงข้ึนในรัชสมัยของพระองค แตยังมีกษัตริย
อีกพระองคหน่ึง คือ พระเจาชัยวรมนั ที่ ๗ ทรงราชยระหวาง พ.ศ.๑๗๒๔–๑๗๔๘ พระองคท รงเปน
มหายานพุทธมามกะโดยแทจริง ทรงพยายามจรรโลงลัทธิมหายาน ซึมซาบเขาไปในจิตใจของปวง
ชน ทรงเปนมหาราชองคสุดทายของเขมร เพราะเม่ือส้ินรัชสมัยแลว เขมรก็เขาสูยุคเส่ือม พระเจา
ชัยวรมันที่ ๗ พระองคนี้ ปรากฏวาเปนผูสรางเมืองใหมช่ือ นครชัยศรี คือปราสาทของพระขรรค
สําหรับเปนพุทธสถาน ประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว อันเปนพระโพธิสตั วแหงเมตตา
55
กรุณา ที่สําคัญอยางย่ิงองคหนึ่งของลัทธิมหายาน ทรงสรางขึ้นเพ่ืออุทิศแดพระเจาธรณินทวรมัน
พระชนก และสรางปราสาทตาพรหม ประดิษฐานพระปฏิมา ปรัชญาปารมิตา โพธิสัตวแหงปญญา
อทุ ิศแดพ ระวรราชมารดา มีจารึกกลาววา ปราสาทตาพรหมเปน สําหรับพระมหาเถระ ๑๘ องค และ
สําหรับภิกษุอีก ๑,๗๔๐ รูปดวย แลวทรงสรางปราสาทบายน เปนที่ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลอง
พระองคเอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมวา พระเจาชัยวรมันที่ ๗ ไดสรางโรงพยาบาล
คือ “อโรคยาศาลา” เปนทานทั่วพระราชอาณาจักรถึง ๑๐๒ แหง ดวยทรงเคารพนับถือพระพุทธ
ไภษัชยคุรุยิ่งนัก จึงทรงอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจาพระองคนั้น ตอนหนึ่งในจารึกตา
พรหมของพระองคซ ่งึ “พันธพ ิทแพทย” ไดถ อดเปนภาษาไทยวา : -
“ขอนอบนอมสักการะ แดสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พระผูมีพระภาคตรัสรูพระธรรม และ
บรรลุถึงซ่ึงโลกุตรสุข พระองคทรงเปนศาสดาที่ตรัสรูดวยพระองคเดียวโดยชอบ พระองคเปนผูถึง
แลวซ่ึงพระนิรวาณ ขาพเจาขอวันทาพระชินะไภษัชยคุรุไพฑูรยประภาราชะ พระผูประสาธนสันติ
แหงดวงจิตและความสงบ แมแตเพียงไดยินพระนามก็ยังรูสึกชื่นชมเสียแลว สรวมชีพศรีสุริยไวโรจ
นะเจา แหง ดวงอาทิตย พระศรีจนั ทรไวโรจนะเจา แหง ดวงศศิธร ขอจงไดโปรดเปลงรศั มีขจดั ความมัว
เมาในกิเลสราคะ และอกุศลมูลแหงประชาสตั วใหปราศไป และใหเบ้ืองพระเมรุไกรแหงสมเด็จพระ
ศรีศากยมนุ ีเปน เจา มีแสงสวางชํานะกิเลสเหลาน้ี”
ขอความในจารึกนี้ แสดงใหเห็นวา พระเจาชัยวรมันท่ี ๗ ทรงซาบซ้ึงใน “พระพุทธไภษัชยคุรุ
ไวฑูรยประภาราชมูลปณิธานสูตร” ซึ่งขาพเจาแปลตัดยกมาตอนตนเพียงไร จึงทรงสามารถรําพัน
ถายความรูสึกศรัทธาปสาทะ ในพระพุทธเจาพระองคน้ันออกมาไดอยางไพเราะ และยังทรงสรุปได
อยางงดงาม คือทรงขอใหพระบวรพุทธศาสนาของพระพุทธองคศากยมุนีโคตมะ ศาสดาแหงมวล
พุทธมามกะท้ังฝายสาวกยานและมหายาน พระพุทธองคปจจุบันใหรุงเรืองอีกดวย นอกจากนี้
กษัตริย “นักกอสราง” พระองคนี้ยังไดสรางรูปพระปฏิมา “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไป
ประดิษฐานไวในเมืองอ่ืนๆ ๒๓ แหง ทรงสรางธรรมศาลา ขุดสระน้ํา สรางถนน จากขอเท็จจริงทาง
ประวัติศาสตรเหลาน้ี ทําใหขาพเจาปรารถนาจะกลาววา กริ่งพระปทุมของเขมรไดสรางข้ึนอยาง
แพรห ลายกวา ทกุ ยุคในรัชสมัยพระเจาชัยวรมนั ที่ ๗ น้ี เพอื่ อุทศิ บชู าแดพระพทุ ธไภษชั ยคุรุ และไดมี
การสรางบางแลวในรัชสมัยพระเจาสูรยวรมันท่ี ๑ ในการสรางน้ันไดมีพิธีลุกเสกประจุฤทธ์ิเขาไป
ตามกระบวนพิธีลทั ธิมหายาน ซ่ึงปรากฏในพระพทุ ธไภษัชยคุรุไวฑรู ยประภาราชมูลปณิธานสูตรนน้ั
กริ่งพระปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักด์ิสิทธิ์ ภายหลังเม่ือลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสรางพระกริ่ง
ยังคงสืบทอดกันมา และกลับมาแพรหลายในหมูชาวไทย ลาว แตนานวันเขา ก็ลืมประวัติ วิธีสราง
แบบเดิม ท้ังน้ีเพราะพระสูตรมหายานเปนภาษาสันสกฤต ก็พลอยเลือนหายไปตามลัทธิมหายาน
56
ดวย พระเกจิอาจารยทานจึงไดดัดแปลงวิธีการสรางใหมตามแบบไสยเวท เชน การลงยันต ๑๐๘
และ นะปฐมัง ๑๔ นะ ในแผนโละหะเปนตน ซ่ึงก็ใหผลความศักดิ์สิทธ์ิไมยิ่งหยอนกวากัน ถามาตร
วาทําใหถูกพิธีกรรมใหมนี้จริงๆ สวนเม็ดกร่ิงในองคพระนั้น สันนิษฐานไดเปน ๒ ทาง คือทางหน่ึง
เพอ่ื เปนสัญลักษณแ หง พระพุทธภาวะ อนั มคี ณุ ลกั ษณะอนาทเิ บ้ืองตนไมปรากฏ อนนั ตะแผสรา นอยู
โดยทั่วไป เบื้องปลายก็มิไดปรากฏ จึงทําเปนเม็ดกลมอีกทางหน่ึง ชะรอยจะอนุมัติตามคติที่วา แม
เพียงไดสดับพระนามก็อาจใหไดรับความสวัสดีได จึงใชประจุเม็ดกร่ิงไว เพราะเม่ือส่ันองคพระทุก
คร้ังก็จะไดบุญ ๒ ตอ คือผูสั่นเทากับไดเจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ สวนผูอ่ืนท่ีไดยินเสียงกริ่งก็
พลอยไดบุญไปตาม ฉะนั้น การสรางพระกริ่งทานจึงนิยมสรางเปนองคติดอยูในขันนํ้ามนตดวยอีก
โสดหนง่ึ เม่ือผูท ี่ตองการนํ้ามนต เพียงเอานํา้ ตกั ใสขนั แลว อาราธนา กจ็ ักสําเรจ็ เปนนาํ้ มนตขึ้น
ขาพเจาไดยินมาวา เม่ือครั้งสมเด็จพระวันรัต (แดง) เจาอาวาสวัดสุทัศน อาพาธเปน
อหิวาตกโรค มีอาการหนัก สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (คร้ังยังทรงดํารง
พระยศเปนกรมหม่ืน) เสด็จไปเยี่ยมพระองคทาน ไดอาราธนาพระกร่ิงปวเรศฯ ของสมเด็จพระ
อปุ ช ฌาย ทํานํ้ามนตถ วายสมเดจ็ พระวนั รัต (แดง) ดื่ม ปรากฏอาํ นาจมหศั จรรย คืออาพาธทุเลาเปน
ลําดับ จนกระทั่งหายเปนปกติ ดวยวิธีด่ืมน้ําพระพุทธมนตแชพระกริ่งน้ี ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราช
(แพ) ยังมิไดทรงอัครสมณศักด์ิ ไดเปนผูพยาบาลสมเด็จพระวันรัต (แดง) โดยใกลชิด ไดเห็นโดย
ตลอด ดวยประการฉะนี้ พระพุทธรูปกร่ิงจึงเปนเหตุใหชาวบานเรียกกันวา พระหมอ มาแตโบราณ
ซงึ่ ตรงกับพระนามอนั แทจรงิ ของพระองคว า ไภษัชยคุรพุ ุทธะ อยางแปลกประหลาด
โอม
ไ ภ ษั ช ช ะ เ ย ไ ภ ษั ช ช ะ เ ย ม ห า ไ ภ ษั ช ช ะ เ ย
ร า ช า ส มุ ท ค เ ต ส ว า ห ะ
57
ป รั ช ป า ร ิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร
พระอารยาวโลกิเตศวรโพธิสัตว เม่ือทรงไดบําเพ็ญปญญาบารมี จนบรรลุถึงโลกุตรธรรมอันลึกซึ้งแลว
พจิ ารณาเลง็ เหน็ วา ท่แี ทจ ริงแลว ขันธ ๕ นน้ั เปนสูญ จึงไดก าวลวงจากสรรพทกุ ขทง้ั ปวง
ดูกอนทานสารีบุตร รูปคือความสูญ ความสูญนั่นแหละคือรูป ความสูญไมอ่ืนไปจากรูป รูปไมอื่นไปจาก
ความสูญ รูปอันใดความสูญก็อันน้ัน ความสูญอันใดรูปกอ็ ันน้นั อนึ่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เปนสูญ
อยา งเดียวกัน
ทานสารบี ุตร กส็ รรพธรรมท้งั ปวง มคี วามสูญเปน ลักษณะ ไมเกิด ไมดับ ไมม ัวหมอง ไมผ องแผว ไมหยอ น
ไมเต็ม อยางนี้ เพราะฉะน้นั แหละ ทานสารีบุตร ในความสูญจึงไมมรี ูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไมมตี า
หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไมม รี ูป เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ไมม ีจักษธุ าตจุ นถงึ มโนธาตุ ในธรรมชาตนิ ัน้ วญิ ญาณธาตุ
ไมมีวิชชา-ไมมีอวิชชา ไมมีความสิ้นไปแหงวิชชาและอวิชชา จนถึงไมมีความแก- ความตาย ไมมีความสิ้นไปแหง
ความแกและความตาย ไมมที กุ ข สมหุ ทัย นิโรธ มรรค ไมม ีญาณ ไมม ีการบรรลุ ไมม กี ารไมบ รรลุ
พระโพธสิ ัตวผ ูวางใจในปญ ญาบารมี จะมจี ติ ที่เปน อิสระจากอุปสรรคสง่ิ กดี ก้ัน เพราะจิตของพระองคเปน
อิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น พระองคจึงไมมีความกลัวใดๆ กาวลวงพนไปจากมายาหรือส่ิงลวงตา บรรลุถึงพระ
นพิ พานไดใ นที่สุด
อันพระสัมมาสัมพุทธเจาในตรีกาล (อดีต ปจจุบัน และอนาคต) ดวยเหตุท่ีทรงอาศัยปญญาบารมี จึงได
ตรัสรูอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดวยเหตุฉะนี้ จึงสมควรทราบวา ปญญาบารมีน้ี คือมหาศักดามนตร (เปนมหา
มนตอันศักด์ิสิทธิ์) คือมหาวิทยามนตร (เปนมนตแหงความรูอันยิ่งใหญ) คืออนุตรมนตร (เปนมนตอันไมมีมนต
อื่นยิ่งกวา) คืออสมสมมนตร (เปนมนตอันไมมีมนตอื่นใดมาเทียบได) สามารถขจัดสรรพทุกขท้ังปวง นี่เปน
สจั จะ เปนอสิ ระจากความเทจ็ ทง้ั มวล จงึ เปน เหตใุ หก ลาวมนตรแ หง ปญญาบารมีวา
“คะเต คะเต ปารคะเต ปารสงั คะเต โพธิ สวาหา”*
*...ปกติน้ัน บทธารณี นั้นมักจะไมแปล แตหากแปลจะแปลวา “จงไป จงไป ไปถึงฝงโนน ไปใหพนโดย
สน้ิ เชิง บรรลถุ ึงความรูแจง ”...*
จงมสี ติ ตามรู ตามดู ผูรกู บั สง่ิ ที่ถูกรู ทางอายตนะทั้งหก
วา มันเกดิ ขึน้ ตงั้ อยู แลวกด็ บั ไป มีเหตุก็เตองกดิ ข้ึน หมดเหตกุ ต็ อ งดบั ไป
เปนอนตั ตา อนิจจงั ทุกขัง ไมใชเรา ไมใ ชของ ของเรา
สกั แตว า เปน ธรรมชาติทว่ี างเปลา
58