The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

X07-20-ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร 2561-12-19 Print

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Vorawat Suthon, 2021-10-07 06:29:18

X07-20-ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร 2561-12-19 Print

X07-20-ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร 2561-12-19 Print

ตรงขาม หากเราภาวนาระลึกถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ดวยความโลภท่ีไมส้ินสุดแลว ความ
โลภนั้นจึงเปนเคร่ืองปดก้ันดวงจิต ใหจิตเดิมแทที่สวาง ไมอาจสองประกายแสงออกมาได และพระ
รัศมีของพระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจา ก็มิอาจสองเขาไปสูจติ ผูนั้นดวย เชนนี้แลว จึงเปนคําตอบวา เหตุใด
เราจึงไมไดร บั อานสิ งคจากมหาปณิธานขอน้ี แตห ากเรามจี ติ เมตตากรณุ า มคี วามโลภเพียงแตนอย มี
จิตเปน ผูใ หม ากสกั หนอย เราจะสมั ผสั ไดถ งึ พระรศั มีของพระไภษัชยครุ พุ ุทธเจาทันที

มหาปณิธานประการท่ี-๔ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากมีสรรพสัตว
ประพฤติมิจฉามรรค จักยังใหสูโพธิสัมมามรรค หากประพฤติในสาวกยานหรือปจเจกโพธิยาน ก็จัก
ยังใหต้ังอยูในมหาพทุ ธยานธรรม

ความหมายคือ พระไภษัชยคุรุพุทธเจา ทรงมีพุทธประสงคจะชวยเหลือผูท่ีหลงผิด ผูท่ีไมรูจัก
พุทธศาสนาใหมีความเหน็ ที่ถกู ตอง คือ เชื่อเหตุผลของกรรมวา ทําดียอมไดดี โลกกอนและโลกหนา
มีจริง เปนตน จากนั้น ยังจะชวยใหผูประพฤติตน เพื่อสําเร็จเปนพระสาวก พระปจเจกพุทธเจา ได
หันมาประพฤตติ น เพอื่ สําเรจ็ เปน พระสัมมาสมั พุทธเจา

ผูประพฤติตนเปนพระสาวก คือผูมองเห็นรูแจงอริยสัจ ๔ วา สรรพสิ่งไมเที่ยง เปนทุกข และ
เปนของวาง พระปจเจกโพธิ คือผูมองเห็นเหตุปจจัยท่ีเกี่ยวเนื่องกัน เปนวัฏจักรของความเกิดดับ
เรียกวาการมองเห็น ปฏิจจสมุปบาท คือการเขาใจสรรพส่ิงวา ไมสามารถกอเกิด หรืออยูไดดวย
ตนเอง แตตองอาศัยสง่ิ ตา งๆในการตง้ั อยู มชี ีวติ อยู กลา วไดว า พระสาวกและพระปจ เจกพุทธเจา ได
บรรลุธรรมสวนหน่ึงของพระพทุ ธเจา อันสามารถนําพาตนใหพ น ทกุ ข แตยังไมไดบรรลธุ รรมทั้งหมด
ของพระพุทธเจา ยังไมไดทําเต็มศักยภาพของตนเอง สามารถส่ังสอนสัตวโลกไดมากในระดับหนึ่ง
เทาน้ัน หรือเรียกวา “การหลุดพนสว นบุคคล” เปนแบบอยางท่ปี ระเสรฐิ ใหประพฤติตาม เชนคําวา
พระพุทธเจาเปนธรรมราชา พระโพธิสัตวเปนธรรมราชกุมาร สืบเชื้อสายพุทธโครตมิใหขาดสิ้น
เพราะพระพุทธะและพระโพธสิ ตั วท งั้ ปวงลวนมีโพธจิ ติ ยิง่ ใหญ พระสาวกเปนธรรมเสนาบดี ในคัมภีร
ทศภมู ิกสตู รของมหายาน กลา ววา แมน วา ธรรมราชกุมารยังเยาววัย แตต ามศกั ดิแ์ ลวคอื เช้อื สายของ
พระพุทธองค จึงไดรับความชวยเหลือจากบรรดาธรรมเสนาทั้งปวง และธรรมราชกุมารก็ใหความ
เคารพธรรมเสนาบดี เพราะทานเปนผูสําเร็จราชการแทนไปกอน ตอเมื่อธรรมราชกุมารนั้นมีพระ
ชนั ษา (บารมี) เตม็ พรอ ม จงึ ไดค รองโพธบิ ัลลังกอ ภเิ ษกเปน ธรรมราชา

สวนพระพุทธเจาและพระโพธิสัตวที่บรรลุภูมิช้ันสูงนั้น จะมีความสามารถในการสั่งสอนสัตว
ดวยวิธีการ หรืออุปายะท่ีตางกัน ตามแตจริตของสัตวน้ันๆ ทั้งน้ีเปนเพราะวา พระพุทธเจา และพระ
โพธิสตั วม องเหน็ สรรพสตั วว า ไมไดตา งจากตนเอง ไมมบี ัญญัตใิ ดๆ มีความเสมอภาค และยังเคยเปน

45

พอ แม พี่ นอง กันมากอน จึงมีเมตตากรุณาตอ สัตวอยา งไมมปี ระมาณ เพราะสัตวโลกเปนโรค เปน
ทุกขอยู โพธสิ ตั วท้งั หลายจงึ ทกุ ขด วย

หากเราทํากุศลทั้งปวง ดวยจิตของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา เราก็จะชวยเหลือเพ่ือนมนุษย
ตลอดจนสัตวท้ังปวงดวยความเคารพ มีความเห็นวา สัตวทั้งปวงดุจบิดามารดา ญาติมิตรที่รักกัน
เปนสวนหนึ่งกับเรา คนในโลกน้ีจะไมมีความเห็นแกตัว สันติสุขจึงเกิดไดเอง ภัยพิบัติตางๆจึงสิ้นไป
ได

มหาปณิธานประการท่ี-๕ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ท้ังหลายบําเพ็ญพรหมจรรยใ นธรรมแหงเรา ยอมมิตองลว งละเมิดในศีลทั้งปวง จักรักษากรรมทั้ง ๓
ไดเปนอยางดี ไรซึ่งผูลวงละเมิดแลวตกอบายภูมิ แมนไดลวงละเมิดแลว ไดสดับนามของเรา ต้ังจิต
จดจําภาวนาดวยทีส่ ุดแหง ใจแลวไซร ยอ มคืนสบู ริสุทธิภาวะตราบถงึ พระโพธิญาณ

หมายถึง ความตั้งใจของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ท่ีเมื่อชักจูงหมูสัตวใหมีความเห็นถูกตองแลว
แตหมูสัตวนั้นไดพลาดพลั้งทําผิดไป พระองคก็จะทรงอนุเคราะหใหพนจากอบายภูมิดวย มหา
ปณธิ านขอน้ี ถอื เปน พระกรุณาอยา งท่สี ดุ เพราะปกตผิ ูผิดศลี แลว ยอ มเปน ผรู อนตัว ภาษาพระเรยี ก
“วิปฏิสาร” ยอมเกรงกลัวตกสูอบายภูมิ แตหากไดยินพระนามของพระไภษัชยครุ ุพุทธเจา จดจําได
และภาวนาถึงอยางสดุ จิตสุดใจ คือศรัทธาอยา งไมเ คลอื บแคลง ความรอ นใจตา งๆท่ปี กคลมุ ดวงจิต ก็
จะมลายส้นิ ไป เมอ่ื จติ ไมเศราหมองแลว ก็ยอมไปสูส ุขคติ

แตการไดยินพระนามของพระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจา แลวศีลกลับบริสุทธไ์ิ ด ไมตกไปเปนสัตวนรก
ผีเปรต และสัตวเดรัจฉานน้ัน ตองภาวนาตอไปดวยความศรัทธาอยางสุดหัวใจ ตอเมื่อไดภาวนาถึง
ดวยความไมเคลือบแคลงเม่ือใด บาปกรรมท่ีเปนส่ิงเศราหมองของจิตก็จะดับไปพรอมๆกัน พระ
ธรรมในมหายานสูตรกลาววา มีบคุ คล ๒ จําพวกท่ีหาไดยาก คือ ๑.ผูท่ีไมเคยทําผิดเลย และ ๒.ผูทํา
ผิดแลวรสู ํานึกอยา งสุดซ้ึง กลับใจ ไมท าํ ซา้ํ อีก เชนนี้ อานุภาพของพระไภษชั ยครุ ุพุทธเจา จงึ จะชว ย
ใหเราไมต อ งไปเกิดเปนสตั วนรก ผเี ปรต สัตวเดรจั ฉาน

มหาปณิธานประการที่-๖ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตวมี
อินทรียท้ังปวงมิสมบูรณ รางกายอัปลักษณ เนตรบอด โสตหนวก โอษฐใบ น้ิวมือเทางอหงิก หลัง
คอ มโกงงอ เปนโรคเรือ้ น สตวิ ิปลาสมสิ มประดี มโี รคาทกุ ขน านารมุ เรา เสยี ดแทงอยู หากไดส ดบั นาม
ของเราและสรรเสริญระลกึ ถึงดวยท่ีสดุ แหงใจ จักบรรลศุ ภุ ลกั ษณะทง่ี ดงามสรรพโรคามลายสนิ้

มหาปณิธานขอ ๖ นี้ และขอ ๗ ถือเปนหัวใจของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ในฐานะของ
พระพุทธเจาหมอ ความสุขและทุกขท้ังปวง ลวนเกิดจากจิต หากเรามีปญญา มองเห็นสภาวะตาม
ความเปนจรงิ วา สิง่ ทง้ั ปวงไมเที่ยง และไมใชต วั เราไดมากเทา ไร ความทุกขก็นอ ยลงเทาน้นั เพราะมี

46

ความยึดม่ันนอยลง หากส่ิงท้ังหลายมันไมไดด่ังใจ เม่ือมันเสียหายชํารุดไป เราก็ไมทุกขใจ เมื่อไม
ทุกขใจ ความสุขที่เกิดจากความเขาใจโลกตามความเปนจรงิ จงึ เพ่ิมขึ้นมา

ในปณิธานขอนี้ เราไมอาจปฏิเสธไดวา ความท่ีรางกายไมสมบูรณ บกพรองนั้นไมเปนทุกข
เสียเลย แตหากเรามองดวยปญญา เราจะไดพบความสุขที่จิตใจ ซึ่งเปนสุขกวาสุขทางกายหลายเทา
นัก ขอนี้จึงถือเปนความอัศจรรยของพระไภษัชยคุรุพุทธเจาอีกขอหน่ึง ซ่ึงหากเราพิจารณาตาม
อักขระ ยอมถือวายังยึดติดในสมมุติบัญญัติ ก็จะเห็นวามนั ไมอาจเปนไปได แตหากมองดวยความไม
มีตวั ตนแลว กจ็ ะเห็นความไมม ีตวั ตน ที่รับรูดว ยใจ

มหาปณิธานประการที่-๗ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ทั้งหลายยากจนขนแคนลําบากแสนเข็ญไรท่ีพึ่งพิงอาศัย มีโรคทั้งปวงรุมเราไรโอสถบําบัด โรคไร
แพทยผูรักษา เม่ือไดสดับนามของเราแลวเพียงช่ัวขณะสรรพโรคาจักดับสิ้น วงศตระกูลรุงเรืองโภค
ทรพั ยมขิ าดแคลน กายแลใจผาสกุ ตราบถงึ พระโพธิญาณ

ปณิธานขอนี้คลายคลึงกับขอ ๖ เพียงแตขอ ๖ เปนเร่ืองเฉพาะตนของผูปวยเอง สวนขอท่ี ๗
กลาวถงึ สภาพสังคม ทัง้ ๒ สิ่งน้ี กเ็ ปน สงิ่ ไมเท่ียง เพราะเราไปยึดมนั่ ถือมัน่ เปน ตวั ตน บุคคล เราเขา
จึงเปนทุกขอยูรํ่าไป เพราะยังมีความอยาก เปนเหตุใหเกิดทุกข หากเราสละความอยากข้ันหยาบ
ทส่ี ดุ คือสวนเกนิ ของการดํารงชีวิต คือการฟุง เฟอ ความกระหายในลาภ ยศ สรรเสริญแลว

จากนั้น จึงมาละความอยากข้ันพื้นฐานท่ีเกินพอดี คือความอยากในอาหาร เคร่ืองนุงหม ยา
รักษาโรค ทอ่ี ยูอ าศัยท่ีเกินพอดี ก็จะอยไู ดอ ยา งพอเพียง ตามพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระ
เจาอยูหัว ก็จะไดรับความสุขพ้ืนฐาน ท่ีทําใหมนุษยสามารถอยูไดเปนสุข โดยไมเบียดเบียนตนเอง
และผูอื่น แลวจึงมาสละความอยากอยางละเอียด คือความอยากใหตนเองสุข เพราะความเขาใจผิด
วาเปนตัวเปนตนของเราจริงๆ เมื่อสละความอยากไดทุกขั้นตอน ก็จะบรรลุธรรมได เหมือนกับพระ
ไภษัชยคุรุพุทธเจาที่มีแตความปรารถนาใหสัตวโลกเปนสุข หากเราทุกทานไมเห็นแกตัวจนท่ีสุดทุก
กรณี กส็ ามารถบรรลุธรรม เปนพระโพธิสัตวไ ดอยางแนน อน

มหาปณิธานประการที่-๘ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากมีสตรีถูก
ความทุกขท้ังปวงของความเปนหญิงรุมเรา เบ่ือหนายเปนท่ีสุดปรารถนาสละกายของสตรี หากได
สดบั นามของเราแลว สรรเสรญิ ระลกึ ถงึ ดว ยท่สี ดุ แหงใจ กายนี้จกั แปรเปล่ียนกลายเปน บุรษุ สมบูรณ
ดวยลกั ษณะของชายชาตรี ตราบถงึ พระโพธิญาณ

ขอน้ีแสดงใหเห็นแนวคิดของสภาพสังคมอินเดียโบราณที่กดขี่สตรี แมนในปจจุบันท่ีกลาววา
ชายหญิงเสมอภาคกัน แตสตรีเพศก็ยังถูกรังแกอยู และเปนความเชื่อทีว่ า ผูเกิดเปนหญิงน้ัน เพราะ
ทํากรรมมาในชาติกอน จึงตองมาอุมทอง และไดรับทุกขตางๆ แมคําวา “แม” เปนคําที่ศักดิ์สิทธิ์

47

และทรงคุณคา แตในสายตาของสังคม ก็ยังมีการแบงแยกและถูกขมเหงอยูดี ปณิธานของพระ
ไภษัชยคุรุพุทธเจาขอน้ี มุงสอนใหเราละวาง ทวิภาวะ หรือความเห็นที่มองสรรพสิ่งวาตางกัน เปน
สอง ไมเ ปนหนง่ึ เดยี ว

เพราะความเห็นเชนนี้ จึงทําใหเราเวียนวายในสังสารวัฏ เพราะความเห็นผิด ยึดม่ันถือมั่นใน
ตัวตน ความเปนหญิงชาย ความเปนเด็กหรือผูใหญ ความเปนบทบาทตางๆ บางคนที่ยึดติดใน
บทบาทนั้น เปนคนท่ีนาสงสารกวาการเกิดเปนหญิงเสียอีก เพราะเปนผูยึดม่ันหลงผิดถึงท่ีสุด
ขอความในพระสตู รที่วาดวยเร่ืองพุทธเกษตรตางๆ เชน แดนสุขาวตีของพระอมิตาภะพทุ ธเจา และ
แดนศุทธิไวฑูรยข องพระไภษัชยคุรุพุทธเจา ฯลฯ ก็กลา วถงึ ความไมมีสตรเี พศในดินแดนเหลา นัน้ ซงึ่
ลวนแตมีความหมายตามที่กลาวแลวขางตน และมีคําสอนวาสังสารวัฏและพระนิพพานไมตางกัน
ศทุ ธไิ วฑูรยแ ละสหาโลกธาตุแหงน้กี ไ็ มต างกัน ท่เี หน็ ตา งกนั เพราะเรายงั ละวางความแบง แยกไมไ ด

มหาปณธิ านประการท่ี-๙ เมื่อเรามาอุบัตยิ ังโลกและบรรลพุ ระโพธิญาณแลว จักยงั ใหสรรพสตั ว
ทัง้ ปวงไดออกจากมารชาละ ยงั มพี ลพรรคของมจิ ฉาทิฐนิ านาประการซง่ึ จกั สงเคราะหไ วท ัง้ สิน้ ยังให
เกดิ สมั มาทิฐิคอยๆไดศกึ ษาบาํ เพ็ญโพธสิ ัตวจริยาทง้ั ปวงตราบถงึ พระโพธิญาณ

มารชาละ คือ ตาขายของมาร มารคือมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผดิ ความเห็นผดิ น้ี ถือเปนอวิชชา
ท่ีหลอกใหหมูสัตวหลงผิด เห็นผิดวาเปนตัวตน บุคคล เราเขา เห็นวาสรรพสิ่งนั้นเท่ียงแท ไมเสื่อม
สลาย ไมส้ินไป สรางบัญญัติข้ึนมา ผูกมัดตัวเองทีละอยาง ยึดม่ันในกาย ในจิต จนถึงการยึดมั่นใน
ธรรม ในขอน้ีเปนพทุ ธประสงคใหสละความเห็นผดิ จนถงึ ที่สดุ จนไดบรรลเุ ปนพระพทุ ธเจา มหายาน
ธรรมมีคําสอนโดยสรุปคราวๆวา ผูละวางความยึดมั่นถือม่ันกายและใจ เห็นแจงอริยสัจได จึงบรรลุ
เปนพระอรหันต ผูละความความแบงแยกเหน็ แจงปฏิจจสมุปบาทได จึงไดบรรลปุ จเจกโพธิ ผูละวาง
สัญญาท่ีลวงหลอกรูแจงปุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตาได จึงสําเร็จเปนพระพุทธเจา จึงทราบไดวา
ความหลงผิดน้ันมีหลายระดับ เมื่อใดที่สละท้ิงทั้งธรรมที่พาใหเราบรรลุได จึงชื่อวาไมยึดมั่นอยาง
แทจรงิ

มหาปณิธานประการท่ี-๑๐ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ทง้ั หลายตอ งราชอาญาถกู จองจาํ ในกรงขัง พนั ธนาการดวยโซตรวน ถูกโบยตจี นถงึ ประหารชวี ติ ยังมี
เรื่องราวอันเปนทุกขมากมาย ท่ีบีบคั้นใหทุกขโศก ไรซ่ึงความสุขเพียงช่ัวครู หากไดสดับนามของเรา
ดวยเหตุแหงอํานาจคุณธรรมบารมีของเรา จักยังใหหลุดพนจากความทุกขโศกท้ังปวงตราบถึงพระ
โพธญิ าณ

ปณิธานขอนี้กลาวถึง “ภัยของพระราชา” ในสมัยอินเดียโบราณ อํานาจท้ังปวงอยูที่พระราชา
เปนด่ังสมมติเทพ มีพระราชอํานาจอยูเหนือสรรพส่ิงในแผนดิน ดังนั้นหากพระราชาไมพอพระทัย

48

ชีวิตบรรดาไพรฟาก็ตกอยูในความอันตราย หาความแนนอนมิได ดังนั้น ราชภัยจึงถือเปนภัยท่ี
นอกเหนือการควบคุมอยางหนงึ่

แตในยุคปจจบุ ัน อาจจะเปนภัยจากกฎหมาย หรือภัยทางการเมือง เชนการใชกฎหมายในทาง
ที่ผิด เปนเครื่องมือของคนมีอํานาจและคนเจาเลห รวมไปถึงความทุกขท่ีไมไดกลาวถึงตางๆอีก
ปณิธานขอนี้กลาววา “มีความทุกขมากมายที่บีบค้ันใหทุกขโศก ไรซ่ึงความสุขเพียงชั่วครู” หากได
ยินพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา และ “ดวยเหตุแหงคุณธรรมบารมีของเรา” ยังใหหลุดพน
จากความทกุ ขโ ศกท้ังปวง

ปณธิ านขอ น้ี มีนยั ยะทางธรรมคอื มิจฉาทิฐิ อวิชชา ประดจุ กรงขงั ใจเรานเ่ี อง เปนดจุ พระราชา
เพราะใจเปนใหญ ใจเปน ประธาน ใจมอี ํานาจ แมใ จเองกไ็ มเท่ยี ง ผนั แปรตลอดเวลา หากเราลืมกาย
ลืมใจเราเอง คือ ไมมีสติ ภัยใหญหลวง คือ การเวียนวายตายเกิด ยอมเกิดข้ึนเพราะใจท่ีหลงผิด จึง
เกิดเปนความทุกขมากมาย จนหาความสุขไมไ ดเ ลย แตดว ยพระคุณธรรมของพระไภษัชยครุ พุ ทุ ธเจา
คือ พระพุทธเจาแหงยา ทรงใชธรรมโอสถ คือ พระคุณธรรมหลักของพระองคเยียวยาความทุกข
ทั้งหลายได

มหาปณิธานประการท่ี-๑๑ เมื่อเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ทัง้ หลายทกุ ขท รมานจากทพุ ภิกขภยั (ขา วยากหมากแพง) เหตุท่ีตอ งการอาหารจงึ กระทาํ ความช่ัวทง้ั
ปวง หากไดสดับนามของเราแลว สรรเสริญระลึกถึงดวยที่สุดแหงใจ เราจักยังใหอิ่มเอมในโภชนารส
เลศิ ตามจิตปรารถนากอน แลว ใชธรรมรสยงั ใหต ้งั อยใู นบรมสุขในภายหลัง ตราบถึงพระโพธญิ าณ

เราไมอาจปฏเิ สธความทุกขท ี่เกดิ ขึ้น โดยที่ใจไปรับรูเ ขา และเปน การยากท่จี ะละวางกายกบั จิต
วาเปนคนละสวน เพราะกายและจิตติดกันแนนมานานแสนนาน ตามทฤษฏีเราอาจเขาใจวา สุข
เกิดข้ึนเพราะความชอบใจ ทุกขเกิดข้ึนเพราะการไมชอบใจ ส่ิงที่ชอบใจหรือไมชอบใจนั้น เพราะ
เสียง รูป กลิ่น รส สัมผัส ไปกระทบท่ีหู ตา จมูก ลิ้น กาย แลวใจเราไปปรุงแตงเขา จนเกิดความยดึ
ม่ันในความสุข แลวปรุงแตงใหมันสุขย่ิงๆข้ึนไปเพื่อสนองกิเลส เหมือนเชือกที่ผูกมัดตัวเองแนนข้ึน
เรือ่ ยๆ

ในขอน้ีหากผูท่ีละวางไดถึงท่ีสุด ยอมถึงพระนิพพาน คือความดับ ความเย็น แตหากผูละได
ช่ัวคราว ก็เย็นชั่วคราว คืออยูเปนสุขไมทุกขรอน เพราะกิเลสมันเผาไมไดชั่วคราว ท้ังน้ี อยูดวย
ปญญาที่อบรมมา พระไภษัชยคุรุพุทธเจาทรงทราบวา สัตวทั้งปวงลวนแตมีพุทธภาวะ คือ
ความสามารถรูแจงเปนพระพุทธะได จึงทรงมีพระเมตตากรุณาตอสัตวโลก อยางไมมีประมาณ
เพราะทรงมองสัตวโลกไมตางกับพระองค ทุกคนยอมรูวาสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก น่ันคือ การมีพุทธภาวะ
อยภู ายใน แตเราไมส ามารถเอาชนะกเิ ลส คอื ปลอ ยใจไปตามกิเลส จึงทําใหก อกรรมชวั่ อยเู รือ่ ยไป

49

ในกรณีผูตองทํากรรมชั่วเพ่ือเลี้ยงชีพ ทานใหดูที่เจตนา เชนวา การฆาสัตวเพ่ืออาหาร กับการ
ฆาสัตวเพ่ือการกีฬา เชน การแขงขันตกปลา แขงขันลาสัตว หรือการฆาสัตวมากินจนเกินความ
จําเปน น้ําหนักของกรรมก็ตางกัน ดวยพระปณิธานและพระเมตตาของพระไภษัชยคุรุพุทธเจา
หมายจะอนุเคราะหสัตวทท่ี ํากรรมช่ัวเพราะจําเปน พระองคจึงทรงเปนทพ่ี ่ึงของสตั วทกุ หมูเ หลา ไม
เลือกชัน้ วรรณะโดยแท

ดวยพุทธานุภาพ จะบันดาลให ผูท่ีทํากรรมช่ัวเพื่อเลี้ยงชีพ คอยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ
อาชีพใหถูกตองสมควรไดเอง เพราะผนู อมรบั ศรัทธาพระไภษัชยคุรุพุทธเจาแลว ก็คือผูเกิดโพธิจิตที่
กําลังจะมีวิบากกรรมลดนอยลง มีคุณภาพชีวิตดีข้ึน ไมอดยาก จึงไมตองทําความช่ัวอีก และ
สติปญญาก็จะเพิ่มพนู ย่ิงขึ้นจนไดรับธรรมรส ถึงพระนิพพาน แตท้ังปวงน้ี เนื่องอยูดวยความศรัทธา
ท่ีไมเ คลอื บแคลงเทานน้ั

มหาปณิธานประการที่-๑๒ เม่ือเรามาอุบัติยังโลกและบรรลุพระโพธิญาณแลว หากสรรพสัตว
ท้ังหลายกายปราศจากอาภรณ ไดรับทุกขจากแมลงยุงและความหนาวรอน หากไดสดับนามของเรา
แลว สรรเสรญิ ระลกึ ถึงดวยท่สี ดุ แหง ใจ จักไดร ับอาภรณท ด่ี ีเลิศ เครอ่ื งประดบั รตั นะเครอ่ื งดนตรขี อง
หอมดอกไมน านาชนิดอยางบริบรู ณ ไกลจากทกุ ขเ ศราหมองทั้งปวงตราบถงึ พระโพธญิ าณ

ขอ ๑๒ น้ีมีความคลายขอที่ ๑๑ ที่มุงดับทุกขแกผูยากไร ที่หากเราไดศึกษาธรรมจากมหา
ปณิธานท้ัง ๑๑ ประการขา งตน แลว ความทกุ ขย าก หิวกระหาย เพราะความเหน็ ผิด ความยดึ ม่นั ถือ
มั่น ความทะยานอยาก ก็จะทุเลาเบาบางไปมาก จนถึงพระโพธิญาณ ดังนั้น หากเราไมยึดม่ันอยูใน
ทกุ ขห รอื สขุ ทัง้ ปวงแลว ผูท ก่ี ายอดอยากยอ มมใี จอม่ิ เอม ผูท ่ีกายพกิ ารยอมมีจติ ใจสมบรู ณ ผรู า งกาย
ไมนาดู ไมนา รัก ยอ มมจี ติ ใจงดงามบริสทุ ธิ์

ตรงขามกับผมู รี า งกายทีเ่ สพอาหารจนอ่ิม แตมจี ติ ใจไมร ูจกั พอ ผูม รี างกายงดงามนาดู แตจ ติ ใจ
สกปรก นา รงั เกยี จ หากเราทัง้ หลายบชู า ศรทั ธา และภาวนาถงึ พระไภษัชยครุ พุ ุทธเจา จึงควรทราบ
วา พระองคมุงเปล้ืองทุกขที่อยูภายในสูภายนอกเปนสําคัญ ความหมายคือ เม่ือขจัดความเห็นผิด
แลว จงึ มกี ารกระทาํ ที่ถูกตอง จงึ ไดรบั แตส ง่ิ ดีงาม แลวไมต กสอู บายภูมิอกี ตอไป

พระมหาปณิธานตางๆของพระพุทธเจา พระโพธิสัตวทั้งปวง แมมีจํานวนอสงไขยก็เพ่ือ
จดุ ประสงคหนึ่งเดยี ว แมมีจุดประสงคห น่งึ เดียวกแ็ สดงปณธิ านจํานวนอสงไขย ดวยอุปายะวธิ แี กห มู
สตั วที่มจี ริตตางกนั ใหเ ขา ใจ เรียนรูไดม ากทสี่ ุด ถือเปน พระมหากรุณา มหาปญญา มหาอปุ ายะทไี่ ม
มีประมาณ และมหาปณิธานของพระไภษัชยคุรุพุทธเจานี้ หากยังไมสําเร็จแกสัตวท้ังหลายแลว
พระองคก็จะมิเสด็จสูมหาปรินิพพานเชนกัน และเพราะเราท้ังหลายยังมีจิตท่ีแปดเปอนอยู จึงเห็น
โลกนี้แปดเปอน หากจิตเราบริสุทธิ์แลว โลกนี้ก็คือศุทธิไวฑรู ยพ ุทธเกษตร ทุกคนในโลกลวนคอื พระ

50

โพธิสัตว ที่กําลังดําเนินปฏิปทาสูความรูแจงสูงสุด เสียงตางๆในโลก ลวนคือเสียงแหงธรรมที่วา ดว ย
ความไมเ ทย่ี ง ความไมมตี ัวตน ความวา งเปลา ทั้งสิน้

บัดน้ีสมควรแกเวลา ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พระพุทธบารมีของพระไภษัชยคุรุพุทธ
เจา และส่ิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดบันดาลใหทานทั้งหลายเปนผูสุขกาย สุขใจ ไรโรคาพยาธิ มี
สติปญญาแตกฉาน ไมเสื่อมถอยจากโพธจิ ิต และมีความสมบูรณในสง่ิ ทป่ี รารถนาทุกประการ ตราบ
ถงึ พระโพธิญาณทุกทา นเทอญ.

จบ ปาฐกถาธรรมพิเศษ เร่ือง พระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจา
โดย พระวิศวภัทร เซยี่ เก๊ียก

กํา เ ิ ด พ ร ะ พุ ท ธ รู ป ก ร่ิ ง

โดย เสถยี ร โพธินนั ทะ
ในอาณาจักรพระเคร่ืองรางท่ีนับถือกันวา มีอานุภาพขลังศักดิ์สิทธิ์ เปนท่ีรูจักแพรหลายในหมู

นักนิยมพระเคร่ือง ฝายพระผง เห็นจะไดแก พระผงสมเด็จพระพุฒาจารย (โต) ซ่ึงเรียกกันท่ัวไปวา
“สมเด็จวัดระฆัง” ฝานพระโลหะ เห็นจะไดแก พระกริ่ง สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาปวเร
ศวรยิ าลงกรณ หรือท่เี รยี กกนั วา “กรง่ิ ปวเรศ”

พิธีกรรมสรางพระผงแตโบราณมา ตองมีการทําผงวเิ ศษ ซึ่งสําเร็จสูตรสนธ์ิตางๆ ท่ีขีดเขียนลง
บนกระดานชนวนแลวลบ จนไดที่เปนจํานวนผงที่ตองการสําหรับไวผสมกับสารอ่ืนๆ พิมพเปนองค
พระ การสรางพรระโลหะ หรือพระกร่ิงก็เชนเดียวกัน จะตองลงเลขยันตในแผนนวโลหะ อันจะเปน
ชนวนผสมในการหลอดวย เลขยันตที่นิยมใชลงโดยมาก ทานนิยมลงดวยพระยันต ๑๐๘ และ
นะปฐมัง ๑๔ นะ วา กนั วา เปนตําราขอสมเด็จพระพนรัต วดั ปาแกว คร้งั แผน ดนิ สมเด็จพระนเรศวร
มหาราช การสรางก็ตอ งมพี ิธพี ระพุทธาภิเษก และมพี ิธโี หร พิธีพราหมณประกอบ

ก็พระกร่ิงปวเรศน้ี เลากันมาวา สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาปวเรศฯ วัดบวรนิเวศ
วิหาร ทรงไดตําราจากสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ ซึ่งทรง
ไดจากครูบาอาจารยเกาๆ สืบทอดกันมาจากสมเด็จพระพนรัต วัดปาแกว สมเด็จพระมหาสมณเจา
กรมพระยาปวเรศฯ ทรงสรางพระกร่ิงในเบ้ืองปจฉิมสมัยแหงพระชนมายุ แตสรางคราวละเล็กละ
นอย เชื่อกันวามี ๒ ครั้งเทาน้ัน ทรงแจกเฉพาะผูใกลชิด และเจานาย ขาราชการ ประชาชนที่มา
สดับพระธรรมเทศนาในวัดบวรนิเวศ ฉะน้ันพระกร่ิงปวเรศจึงมีนอยไมแพรหลาย ตอมาเจาคุณเฒา
วัดมกุฎกษัตริยาราม เลียนแบบของพระองคไปจัดสรางขึ้นบาง ก็เปนจํานวนนอย ภายหลังตําราไป
ตกอยูกับพระพุฒาจารย (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส ตามปากราษฎรเรยี กกันวา “ทานเจามา” เปน
พระเถระเช่ียวชาญทางสมถภาวนา อาจสามารถจุดเทียนระเบิดน้ําลงไปลงตะกรุด ณ ทาแมน้ํา

51

เจาพระยาหนาวดั ได ตอมาทานเจามา ก็ประสิทธิ์ประสาธนตําราแกพระเทพโมลี (แพ ติสฺสเทว) วัด
สุทัศนเทพวราราม ซ่ึงภายหลังพระเทพโมลีเจริญสมณศกั ด์ิโดยลําดับ จนไดครองสมณอัครฐานนั ดร
ศักดทิ์ สี่ มเดจ็ พระสงั ฆราชในรัชกาลที่ ๘

พระเทพโมลีไดสรางพระกร่ิงขึ้นเปนครัง้ แรก และไดสรางติดตอเรื่อยมาเปนนิตย คราวละมาก
บาง นอยบาง จนถึงดํารงฐานะสมเด็จพระสังฆราช และจําเดิมแตน้ัน ก็มีพระเกจิอาจารยตางสํานกั
เลียนแบบสรา งพระกริ่งกันแพรห ลาย

พระพุทธลักษณะของพระกริ่ง เปนแบบพระพทุ ธรูปมหายานทางประเทศธเิ บต และปรากฏวา
ในประเทศเขมร ก็มีพระกร่ิงแบบน้ีเหมือนกัน เราเรียกกันวา “กร่ิงพระปทุม” ประเพณีนิยมสราง
พระกร่ิงของไทย คงจะไดครูจากเขมรเปนแนแท และมีการสรางกันในยุคกรุงสโุ ขทัยแลว ที่กลาววา
ตําราสรางพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทรนี้ เดิมเปนของสมเด็จพระพนรัต วัดปาแกว ก็นาจะจริง
เพราะสมเด็จพระพนรัตองคน้ัน ทานคงจะไดรวบรวมพิธีการสรางจากตํารับตําราเกาๆ และในสมัย
นน้ั วดั ปาแกว กน็ บั ถือกันวาเปนสาํ นักอรัญญิกาวาส–สมถธุระวปิ สสนาธุระ

อันท่ีจริงพระกริ่งก็คือ พระปฏิมาไภษัชยคุรุพุทธเจา น่ันเอง พระพุทธเจาองคน้ีเปนท่ีนิยมนับ
ถือของปวงพุทธศาสนิกชนฝายลัทธิมหายานน่ิงนัก ปรากฏพระประวัติมาในพระสูตรสันสกฤตสูตร
หนึ่ง คือ “พระพุทธไภษัชยครุ ุไวฑูรยประภาราชามูลปณิธานสูตร” แปลเปนจีนในราวพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๐ ซ่งึ ขอแปลโดยยอสกู ันฟง ดงั นี้ : -

สมัยหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจาพระศากยมุนีพุทธะ เสด็จประทับ ณ กรุงเวสาลี สุขโฆสวิหาร
พรอมดวยพระมหาสาวก ๘,๐๐๐ องค พระโพธิสัตวมหาสัตว ๓๖,๐๐๐ องค และพระราชาธิบดี
เสนาอํามาตย ตลอดจนปวงเทพ ก็โดยสมัยน้ันแล พระมัญชุศรีผูธรรมราชาบุตรอาศัยพระพทุ ธาภินิ
หาร ลุกข้ึนจากท่ีประทับ ทําจีวรเฉวียงบาขางหน่ึง คุกพระชาณุกับแผนดิน ณ เบ้ืองพระพักตรของ
สมเด็จพระโลกนาถเจา ประคองอัญชลีกราบทลู ขึ้นวา “ขา แตพ ระผมู ีพระภาคเจา ขอพระองคโ ปรด
ประทานพระธรรมเทศนา พระพุทธนามและมหามูลปณิธาน และคุณวิเศษอันโอฬารแหงปวงพระ
สมั มาพทุ ธเจาทัง้ หลาย เพอื่ ยังผูสดบั ธรรมกถานี้ ไดร ับหติ ประโยชนบรรลุถงึ สขุ ภูมิ” พระบรมศาสดา
ทรงรับอาราธนาของพระมัญชุศรีโพธิสัตวแลว จึงทรงแสดงพระเกียรติคุณของพระไภษัชยคุรุพุทธ
เจาวา

“ดกู อน กุลบตุ ร จากทน่ี ี้ไปทางทศิ ตะวันออก ผานโลกธาตุอันมีจํานวนดุจเม็ดทรายในคงคานที
๑๐ นทีรวมกัน ณ ท่ีนั้นมีโลกธาตุหน่ึงนามวา วิสุทธิไพฑูรยโลกธาตุ ณ โลกธาตุนั้น มีพระพุทธเจา ผู
ทรงพระนามวา ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต พระองคถึงพรอมดวยพระภาคเปนพระอรหันต
เปนผูตรัสรูดีชอบแลวดวยพระองคเอง เปนผูสมบูรณดวยวิชชาและจรณะ เปนผูเสด็จไปดีแลว เปน

52

ผูรูจักโลก เปนผูยอดเย่ียมไมมีใครเปรียบ เปนนายสารถีฝกบุรุษ เปนศาสดาแหงเทวดาและมนุษย
เปนผูเบิกบานแลว เปนผูจําแนกธรรมกลาวสอนสัตว ดูกอนมัญชุศรี ณ เบื้องอดีตภาค เม่ือพระ
ตถาคตเจาพระองคน้ี ยังเสวยพระชาติเปนพระโพธิสัตวบําเพ็ญบารมีอยู พระองคทรงตั้งมหา
ปณิธาน ๑๒ ประการ เพื่อยังความตองการแหงสรรพสัตวใหบรรลุ ก็มหาปณิธาน ๑๒ ประการ เปน
ไฉน

๑.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งมีวรกายอันรุงเรืองสองสาดท่ัว
อนันตโลกธาตุ บริบูรณดวยมหาปุริสลกั ขณะ ๓๒ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ขอใหสรรพสัตว จงมีวรกาย
ดจุ เดยี วกบั เรา

๒.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ขอใหวรกายของเรามีสีสันดุจไพฑูรย
มีรัศมีรุงโรจนโชตนาการย่ิงกวาแสงจันทรและแสงอาทิตย ประดับดวยคุณาลังการอันมโหฬาร
ไพศาลพันลึก สองทางใหแ กส ัตวท่ีตกอยใู นอบายคติ ใหหลุดพนเขา สูทีช่ อบตามปรารถนา

๓.ในกาลใดที่เราบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ขอใหเราไดใชปญญาโกศลอันล้ําลึก
สุขุมไมมที ีส่ ิ้นสดุ ยังสรรพสตั วใ หไดรบั โภคสมบตั ินานาประการ อยา ไดมีความยากจนใดๆ

๔.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสัตวใดที่เปนมิจฉาทิฏฐิ ก็ขอให
เรายังเขาใหตั้งในในสัมมาทิฏฐิโพธิมรรค หากมีสัตวใดดําเนินปฏิปทาแบบสาวกยาน ปจเจกยาน ก็
ขอใหเราสามารถยังเขามาดาํ เนนิ ปฏิปทาแบบมหายาน

๕.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตวใดมาประพฤติ
พรหมจรรยในธรรมวินัยของเรา ก็ขอใหเขาเหลานั้นอยาไดมศี ีลวิบัติเลย จงบริบูรณดวยองคแหงศลี
ท้ัง ๓ เถิด หากผูใดมีศีลวิบัติ เมื่อไดสดับนามแหงเรา ก็ขอใหจงบริสุทธิ์บริบูรณดุจเดิม ไมตกสูทุคติ
นริ บาย

๖.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีสรรพสัตวมีกายอันเลวทราม มี
อินทรียอันไมผองใส โงเขลาเบาปญญา ตาบอดหรือหูหนวก เปนใบบาหรือหลังคอม สารพัดพยาธิ
ทุกขตางๆ เมื่อไดสดบั นามแหงเรา ก็ขอใหหลุดพนจากปวงทุกขเ หลา น้ัน มีสติปญญาเฉลียวฉลาด มี
อนิ ทรียผ องใสสมบรู ณ

๗.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากยังมีสรรพสัตวอันความทุกข
เบียดเบียน ปราศจากท่ีพ่ึงพิงและท่ีอยูอาศัย ปราศจากแพทยและยา ปราศจากวงศาคณาญาติ อัน
ความยากจนขนแคนมีทุกขมาเบียดเบียนแลว เพียงแตนามแหงเราผานโสตเขาเทานั้น ขอสรรพ
ความเจ็บปวยจงปราศจากไปสิ้น เปนผูมีกายใจอันผาสุก มีบานเรือนอาศัยพร่ังพรอมดวยธนสาร
สมบตั ิ จนท่สี ุดก็จกั ไดส ําเร็จแกพ ระโพธญิ าณ

53

๘.ในกาลใดท่ีเราบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หากมีอิสตรีใดมีความเบ่ือหนายตอเพศ
แหง ตน ปรารถนาจะกลับเพศบรุ ษุ ไซร มาตรวา ไดสดบั นามแหง เรา ก็จะสามารถเปลย่ี นเพศจากหญงิ
เปน ชายไดต ามปรารถนา จนที่สดุ ก็จกั ไดส ําเรจ็ แกพ ระโพธิญาณ

๙.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสมั มาสัมโพธญิ าณ เราจงสามารถยังสัตวท ั้งหลายใหหลุด
พนจากขายแหงมาร และเครื่องผูกพันของเหลามิจฉาทิฏฐิ ใหสัตวเหลาน้ันตั้งม่ันอยูในสัมมาทิฏฐิ
และใหไ ดบ าํ เพ็ญโพธสิ ตั วจ ริยา จนบรรลพุ ระโพธญิ าณในทสี่ ุด

๑๐.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตวเหลาใดถูกตองพระราชอาญา
ตองคุมขัง รับทัณฑกรรมในคุกตะราง หรือตองบทอาญาถึงประหารชีวิต ตลอดจนไดรับการขมเหง
คะเนงราย ดูหม่ินดูแคลนเหยียดหยามอื่นๆ เปนผูอันความคับแคนเผาลนแลว มีใจกายอันวิปฏิสาร
อยู หากไดสดับนามแหงเรา ไดอาศัยบารมีและคุณาภินิหารของเรา ขอสัตวเหลาน้ันจงหลุดพนจาก
ปวงทกุ ขดังกลา ว

๑๑.ในกาลใดที่เราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตวเหลาใดมคี วามทุกขดวยความ
หิวกระหายแลว ประกอบอกุศลกรรมเพราะเหตุแหงอาหารไซร หากไดสดับนามแหงเรา มีจิตหมั่น
ตรึกนึกภาวนาเปนนิตย เราจักประทานเครื่องอุปโภคบริโภคอันประณีตแกเขา ยังเขาใหอ่ิมหนํา
สําราญ แลว ประทานธรรมรสแกเ ขา ใหเ ขาไดรับความสขุ

๑๒.ในกาลใดท่ีเราไดบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ มีสัตวเหลาใดท่ียากจนปราศจาก
อาภรณนงุ หม อันความหนาวและเหลอื บยุงเบียดเบียนทัง้ กลางวนั กลางคนื หากไดสดับนามแหงเรา
และหมั่นรําลึกภาวนาถึงเราไซร เขาไดส่ิงที่ปรารถนา และจักบริบูรณดวยธนสารสมบัติ สรรพ
อาภรณเ คร่ืองประดับ และเคร่อื งบํารุงความสุขตา งๆ

ครั้นแลว พระบรมศาสดาศากยมุนีพทุ ธเจาตรัสตอไป พระไภษัชยครุ ุพทุ ธเจานี้ มีพระโพธิสตั ว
ผใู หญ ๒ องค คือ พระสุรยิ ไวโรจนะและพระจันทรไวโรจนะ เปนพระโพธิสัตวผูชว ยของพระไภษัชย
คุรุวา “ผูใดก็ดี ไดบูชาพระพุทธองค ดวยความเล่ือมใสแลว ก็จักเจริญดวยอายุ วรรณะ สุขะ พละ
ปราศจากภัยบีฑา ไมฝนราย ศัสตราวุธทําอันตรายมิได สัตวรายทําอนั ตรายมิได โจรภัยทําอันตราย
มไิ ด ยาพษิ ทาํ อนั ตรามิได ฯลฯ”

นอกจากน้ี ทรงแสดงถึงพิธีมณฑลบูชาพระไภษัชยคุรุอีกดวยวา ตองจัดพิธีมีเครื่องบูชาอยาง
น้ันๆ และประทานพระคาถาบูชาพระไภษัชยคุรุดวย ในเวลาตรัสพระคาถานี้ พระบรมศาสดาทรง
ประทับเขาสมาธิช่ือ “สรวสัตวทุกขภินทนาสมาธิ” ปรากฏรัศมีไพโรจนขึ้นเหนือพระเกตุมาลา แลว
จงึ ตรสั พระคาถามหาธารณี ดงั น้ี

54

“นโม ภควเต ไภษชยฺ ครุ ุ ไวฑรู ฺยปรฺภาราชาย ตถาคตยารฺหเต สมอยกสฺ มฺพุทธฺ าย โอมฺ ไภเษชเย
ไภเษชเย ไภเษชย สมุรฺคเตสวฺ าหฺ”

ครั้นตรัสพระมหาธารณีน้ีแลว พสุธาก็กัมปนาทหวาดไหว แสงสวางอันโอฬารก็ปรากฏ สัตวท ัง้
ปวงกห็ ลดุ พน จากสรรพยาธิ บรรลสุ ขุ สันตอิ นั ประณีตแลว พระบรมศาสดาจงึ ตรสั วา “ดกู อ นมัญชศุ รี
ถากุลบุตรกุลธิดาใด พยาธิทุกขเบียดเบียนแลว พึงตั้งจิตใหเปนสมาธิ แลวนําพระมหาธารณีบทนี้
ปลุกเสกอาหาร หรือยา หรือน้ําดื่มครบ ๑๐๘ หน แลวดื่มกินเขาไปเถิด จักสามารถดับสรรพปวง
พยาธิได ฯลฯ” พระสูตรนี้ตอนปลายๆ ยังมีเร่ืองราวพิสดารอีกมาก แตจําตองของดไวเพียงเทานี้
เปนอันวา ทานผูอานไดทราบถึงความศักด์ิสิทธ์ิ และความสําคัญของพระพุทธไภษัชยคุรุโดยสังเขป
เทานี้ สําหรับพระคาถาธารณีนั้น ทานพระคณาจารยสรางพระกร่ิงไมควรละเลย ควรนํามาใชปลุก
เสกพระกรง่ิ ได และควรถอื วาเปนมนตประจาํ พระกร่ิงโดยเฉพาะทเี ดยี ว

เมื่อความศักดิ์อภินิหารของพระพุทธไภษัชยคุรุ ปรากฏตามท่ีไดพรรณนามา พวก
พุทธศาสนิกชนฝายลทั ธมิ หายาน จึงเคารพนับถือเปนอยางยง่ิ มีพระพทุ ธไภษัชยคุรบุ ูชากันท่ัวไปใน
วัดประเทศจีน ญี่ปุน ธิเบต เกาหลี และเวียตนาม ท่ีสุดจนในประเทศเขมรและประเทศไทย สําหรบั
ประเทศไทย แมจะนับถอื พระพทุ ธศาสนาฝายสาวกยานลทั ธลิ ังกาวงศ แตกอนน้ันขึ้นไปเราก็เคยรับ
เอาลัทธิมหายานมานับถืออยรู ะยะหน่ึง เปนลัทธิมหายานซ่ึงแพรข้ึนมาจากอาณาจักรศรวี ิชัยทางใต
และท่เี ผยแพรม าจากเขมร ไทยเพิ่งจะเริ่มนบั ถอื พระพทุ ธศาสนานิกายลงั กาวงศ ก็เม่ือยุคกรุงสโุ ขทยั
นี้เทาน้ัน อาณาจักรศรวี ิชัยซึ่งต้ังแวนแควนอยูบนคาบสมุทรมาลายู ตั้งแต พ.ศ.๑๒๐๐–๑๗๐๐ รวม
เวลานานราว ๖๐๐ ป เปนอาณาจักรที่เคารพนับถือพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน และนําลัทธิ
มหายานใหแพรหลายไปในหมูเกาะชวา มลายู ตลอดขึ้นมาจนถึงลุมแมน้ําเจาพระยา สวนเขมรน้ัน
ปรากฏวามีทั้งลัทธิมหายานและลัทธิพราหมณเจริญแขงกัน กษัตริยของเขมรหรือขอมสมัยนั้น บาง
องคก็เปนพุทธมามกะ บางองคก็เปนพราหมณมามกะ ในราว พ.ศ.๑๕๔๖–๑๕๙๒ กษัตริยเขมร
พระองคหนึ่งทรงพระนามวา พระเจาสูรยวรมันท่ี ๑ ทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนามาก จนถึงกับ
เมอื่ สวรรคตแลว มีพระนามวา “พระบรมนิวารณบท” พระองคเ ปนเชอื้ สายกษัตรยิ จ ากอาณาจักรศรี
วิชัย ฉะน้ันจึงไมตองสงสัยวา ลัทธิมหายานจะไมเฟองฟุงข้ึนในรัชสมัยของพระองค แตยังมีกษัตริย
อีกพระองคหน่ึง คือ พระเจาชัยวรมนั ที่ ๗ ทรงราชยระหวาง พ.ศ.๑๗๒๔–๑๗๔๘ พระองคท รงเปน
มหายานพุทธมามกะโดยแทจริง ทรงพยายามจรรโลงลัทธิมหายาน ซึมซาบเขาไปในจิตใจของปวง
ชน ทรงเปนมหาราชองคสุดทายของเขมร เพราะเม่ือส้ินรัชสมัยแลว เขมรก็เขาสูยุคเส่ือม พระเจา
ชัยวรมันที่ ๗ พระองคนี้ ปรากฏวาเปนผูสรางเมืองใหมช่ือ นครชัยศรี คือปราสาทของพระขรรค
สําหรับเปนพุทธสถาน ประดิษฐานพระปฏิมาอวโลกิเตศวรโพธิสัตว อันเปนพระโพธิสตั วแหงเมตตา

55

กรุณา ที่สําคัญอยางย่ิงองคหนึ่งของลัทธิมหายาน ทรงสรางขึ้นเพ่ืออุทิศแดพระเจาธรณินทวรมัน
พระชนก และสรางปราสาทตาพรหม ประดิษฐานพระปฏิมา ปรัชญาปารมิตา โพธิสัตวแหงปญญา
อทุ ิศแดพ ระวรราชมารดา มีจารึกกลาววา ปราสาทตาพรหมเปน สําหรับพระมหาเถระ ๑๘ องค และ
สําหรับภิกษุอีก ๑,๗๔๐ รูปดวย แลวทรงสรางปราสาทบายน เปนที่ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลอง
พระองคเอง นอกจากนี้ปรากฏในศิลาจารึกตาพรหมวา พระเจาชัยวรมันที่ ๗ ไดสรางโรงพยาบาล
คือ “อโรคยาศาลา” เปนทานทั่วพระราชอาณาจักรถึง ๑๐๒ แหง ดวยทรงเคารพนับถือพระพุทธ
ไภษัชยคุรุยิ่งนัก จึงทรงอนุวัติตามพระพุทธจริยาของพระพุทธเจาพระองคนั้น ตอนหนึ่งในจารึกตา
พรหมของพระองคซ ่งึ “พันธพ ิทแพทย” ไดถ อดเปนภาษาไทยวา : -

“ขอนอบนอมสักการะ แดสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา พระผูมีพระภาคตรัสรูพระธรรม และ
บรรลุถึงซ่ึงโลกุตรสุข พระองคทรงเปนศาสดาที่ตรัสรูดวยพระองคเดียวโดยชอบ พระองคเปนผูถึง
แลวซ่ึงพระนิรวาณ ขาพเจาขอวันทาพระชินะไภษัชยคุรุไพฑูรยประภาราชะ พระผูประสาธนสันติ
แหงดวงจิตและความสงบ แมแตเพียงไดยินพระนามก็ยังรูสึกชื่นชมเสียแลว สรวมชีพศรีสุริยไวโรจ
นะเจา แหง ดวงอาทิตย พระศรีจนั ทรไวโรจนะเจา แหง ดวงศศิธร ขอจงไดโปรดเปลงรศั มีขจดั ความมัว
เมาในกิเลสราคะ และอกุศลมูลแหงประชาสตั วใหปราศไป และใหเบ้ืองพระเมรุไกรแหงสมเด็จพระ
ศรีศากยมนุ ีเปน เจา มีแสงสวางชํานะกิเลสเหลาน้ี”

ขอความในจารึกนี้ แสดงใหเห็นวา พระเจาชัยวรมันท่ี ๗ ทรงซาบซ้ึงใน “พระพุทธไภษัชยคุรุ
ไวฑูรยประภาราชมูลปณิธานสูตร” ซึ่งขาพเจาแปลตัดยกมาตอนตนเพียงไร จึงทรงสามารถรําพัน
ถายความรูสึกศรัทธาปสาทะ ในพระพุทธเจาพระองคน้ันออกมาไดอยางไพเราะ และยังทรงสรุปได
อยางงดงาม คือทรงขอใหพระบวรพุทธศาสนาของพระพุทธองคศากยมุนีโคตมะ ศาสดาแหงมวล
พุทธมามกะท้ังฝายสาวกยานและมหายาน พระพุทธองคปจจุบันใหรุงเรืองอีกดวย นอกจากนี้
กษัตริย “นักกอสราง” พระองคนี้ยังไดสรางรูปพระปฏิมา “ชยพุทธมหานาถ” พระราชทานไป
ประดิษฐานไวในเมืองอ่ืนๆ ๒๓ แหง ทรงสรางธรรมศาลา ขุดสระน้ํา สรางถนน จากขอเท็จจริงทาง
ประวัติศาสตรเหลาน้ี ทําใหขาพเจาปรารถนาจะกลาววา กริ่งพระปทุมของเขมรไดสรางข้ึนอยาง
แพรห ลายกวา ทกุ ยุคในรัชสมัยพระเจาชัยวรมนั ที่ ๗ น้ี เพอื่ อุทศิ บชู าแดพระพทุ ธไภษชั ยคุรุ และไดมี
การสรางบางแลวในรัชสมัยพระเจาสูรยวรมันท่ี ๑ ในการสรางน้ันไดมีพิธีลุกเสกประจุฤทธ์ิเขาไป
ตามกระบวนพิธีลทั ธิมหายาน ซ่ึงปรากฏในพระพทุ ธไภษัชยคุรุไวฑรู ยประภาราชมูลปณิธานสูตรนน้ั
กริ่งพระปทุมจึงมีฤทธานุภาพศักด์ิสิทธิ์ ภายหลังเม่ือลัทธิมหายานเสื่อมสูญ คติการสรางพระกริ่ง
ยังคงสืบทอดกันมา และกลับมาแพรหลายในหมูชาวไทย ลาว แตนานวันเขา ก็ลืมประวัติ วิธีสราง
แบบเดิม ท้ังน้ีเพราะพระสูตรมหายานเปนภาษาสันสกฤต ก็พลอยเลือนหายไปตามลัทธิมหายาน

56

ดวย พระเกจิอาจารยทานจึงไดดัดแปลงวิธีการสรางใหมตามแบบไสยเวท เชน การลงยันต ๑๐๘
และ นะปฐมัง ๑๔ นะ ในแผนโละหะเปนตน ซ่ึงก็ใหผลความศักดิ์สิทธ์ิไมยิ่งหยอนกวากัน ถามาตร
วาทําใหถูกพิธีกรรมใหมนี้จริงๆ สวนเม็ดกร่ิงในองคพระนั้น สันนิษฐานไดเปน ๒ ทาง คือทางหน่ึง
เพอ่ื เปนสัญลักษณแ หง พระพุทธภาวะ อนั มคี ณุ ลกั ษณะอนาทเิ บ้ืองตนไมปรากฏ อนนั ตะแผสรา นอยู
โดยทั่วไป เบื้องปลายก็มิไดปรากฏ จึงทําเปนเม็ดกลมอีกทางหน่ึง ชะรอยจะอนุมัติตามคติที่วา แม
เพียงไดสดับพระนามก็อาจใหไดรับความสวัสดีได จึงใชประจุเม็ดกร่ิงไว เพราะเม่ือส่ันองคพระทุก
คร้ังก็จะไดบุญ ๒ ตอ คือผูสั่นเทากับไดเจริญภาวนาถึงพระไภษัชยคุรุ สวนผูอ่ืนท่ีไดยินเสียงกริ่งก็
พลอยไดบุญไปตาม ฉะนั้น การสรางพระกริ่งทานจึงนิยมสรางเปนองคติดอยูในขันนํ้ามนตดวยอีก
โสดหนง่ึ เม่ือผูท ี่ตองการนํ้ามนต เพียงเอานํา้ ตกั ใสขนั แลว อาราธนา กจ็ ักสําเรจ็ เปนนาํ้ มนตขึ้น

ขาพเจาไดยินมาวา เม่ือครั้งสมเด็จพระวันรัต (แดง) เจาอาวาสวัดสุทัศน อาพาธเปน
อหิวาตกโรค มีอาการหนัก สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (คร้ังยังทรงดํารง
พระยศเปนกรมหม่ืน) เสด็จไปเยี่ยมพระองคทาน ไดอาราธนาพระกร่ิงปวเรศฯ ของสมเด็จพระ
อปุ ช ฌาย ทํานํ้ามนตถ วายสมเดจ็ พระวนั รัต (แดง) ดื่ม ปรากฏอาํ นาจมหศั จรรย คืออาพาธทุเลาเปน
ลําดับ จนกระทั่งหายเปนปกติ ดวยวิธีด่ืมน้ําพระพุทธมนตแชพระกริ่งน้ี ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราช
(แพ) ยังมิไดทรงอัครสมณศักด์ิ ไดเปนผูพยาบาลสมเด็จพระวันรัต (แดง) โดยใกลชิด ไดเห็นโดย
ตลอด ดวยประการฉะนี้ พระพุทธรูปกร่ิงจึงเปนเหตุใหชาวบานเรียกกันวา พระหมอ มาแตโบราณ
ซงึ่ ตรงกับพระนามอนั แทจรงิ ของพระองคว า ไภษัชยคุรพุ ุทธะ อยางแปลกประหลาด

โอม

ไ ภ ษั ช ช ะ เ ย ไ ภ ษั ช ช ะ เ ย ม ห า ไ ภ ษั ช ช ะ เ ย

ร า ช า ส มุ ท ค เ ต ส ว า ห ะ

57

ป รั ช   ป า ร ิ ต า ห ฤ ทั ย สู ต ร

พระอารยาวโลกิเตศวรโพธิสัตว เม่ือทรงไดบําเพ็ญปญญาบารมี จนบรรลุถึงโลกุตรธรรมอันลึกซึ้งแลว
พจิ ารณาเลง็ เหน็ วา ท่แี ทจ ริงแลว ขันธ ๕ นน้ั เปนสูญ จึงไดก าวลวงจากสรรพทกุ ขทง้ั ปวง

ดูกอนทานสารีบุตร รูปคือความสูญ ความสูญนั่นแหละคือรูป ความสูญไมอ่ืนไปจากรูป รูปไมอื่นไปจาก
ความสูญ รูปอันใดความสูญก็อันน้ัน ความสูญอันใดรูปกอ็ ันน้นั อนึ่ง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เปนสูญ
อยา งเดียวกัน

ทานสารบี ุตร กส็ รรพธรรมท้งั ปวง มคี วามสูญเปน ลักษณะ ไมเกิด ไมดับ ไมม ัวหมอง ไมผ องแผว ไมหยอ น
ไมเต็ม อยางนี้ เพราะฉะน้นั แหละ ทานสารีบุตร ในความสูญจึงไมมรี ูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไมมตี า
หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ไมม รี ูป เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ ไมม ีจักษธุ าตจุ นถงึ มโนธาตุ ในธรรมชาตนิ ัน้ วญิ ญาณธาตุ
ไมมีวิชชา-ไมมีอวิชชา ไมมีความสิ้นไปแหงวิชชาและอวิชชา จนถึงไมมีความแก- ความตาย ไมมีความสิ้นไปแหง
ความแกและความตาย ไมมที กุ ข สมหุ ทัย นิโรธ มรรค ไมม ีญาณ ไมม ีการบรรลุ ไมม กี ารไมบ รรลุ

พระโพธสิ ัตวผ ูวางใจในปญ ญาบารมี จะมจี ติ ที่เปน อิสระจากอุปสรรคสง่ิ กดี ก้ัน เพราะจิตของพระองคเปน
อิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น พระองคจึงไมมีความกลัวใดๆ กาวลวงพนไปจากมายาหรือส่ิงลวงตา บรรลุถึงพระ
นพิ พานไดใ นที่สุด

อันพระสัมมาสัมพุทธเจาในตรีกาล (อดีต ปจจุบัน และอนาคต) ดวยเหตุท่ีทรงอาศัยปญญาบารมี จึงได
ตรัสรูอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดวยเหตุฉะนี้ จึงสมควรทราบวา ปญญาบารมีน้ี คือมหาศักดามนตร (เปนมหา
มนตอันศักด์ิสิทธิ์) คือมหาวิทยามนตร (เปนมนตแหงความรูอันยิ่งใหญ) คืออนุตรมนตร (เปนมนตอันไมมีมนต
อื่นยิ่งกวา) คืออสมสมมนตร (เปนมนตอันไมมีมนตอื่นใดมาเทียบได) สามารถขจัดสรรพทุกขท้ังปวง นี่เปน
สจั จะ เปนอสิ ระจากความเทจ็ ทง้ั มวล จงึ เปน เหตใุ หก ลาวมนตรแ หง ปญญาบารมีวา

“คะเต คะเต ปารคะเต ปารสงั คะเต โพธิ สวาหา”*
*...ปกติน้ัน บทธารณี นั้นมักจะไมแปล แตหากแปลจะแปลวา “จงไป จงไป ไปถึงฝงโนน ไปใหพนโดย
สน้ิ เชิง บรรลถุ ึงความรูแจง ”...*

จงมสี ติ ตามรู ตามดู ผูรกู บั สง่ิ ที่ถูกรู ทางอายตนะทั้งหก

วา มันเกดิ ขึน้ ตงั้ อยู แลวกด็ บั ไป มีเหตุก็เตองกดิ ข้ึน หมดเหตกุ ต็ อ งดบั ไป

เปนอนตั ตา อนิจจงั ทุกขัง ไมใชเรา ไมใ ชของ ของเรา

สกั แตว า เปน ธรรมชาติทว่ี างเปลา

58




Click to View FlipBook Version