รายงานวจิ ัยในช้ันเรียน
การพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น เรอ่ื งโคลงสสี่ ภุ าพ
ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นกาแพงวิทยา
โดยใช้การจดั การเรยี นรแู้ บบ 4MAT
นางสาวอานิส ทองคง
ตาแหนง่ ครู
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย
โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู
สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษาสงขลา สตูล
ก
ช่อื เรื่อง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นเรอื่ งโคลงส่สี ุภาพ ของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
โรงเรียนกาแพงวทิ ยาโดยใชก้ ารจัดการเรยี นรแู้ บบ 4MAT
ผู้วจิ ัย นางสาวอานสิ ทองคง
กลมุ่ สาระฯ ภาษาไทย
ปีการศกึ ษา 2564
บทคัดย่อ
งานวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองโคลงส่ีสุภาพ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยาโดยใชก้ ารจัดการเรยี นรู้แบบ 4MAT ก่อนและหลงั เรียน
กลมุ่ ตวั อย่างทีใ่ ชใ้ นการวิจัยครัง้ น้ี เปน็ นกั เรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/1 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู
จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จานวน 36 คน โดยสุ่มแบบเจาะจง ใช้เวลาทดลองท้ังส้ิน 5 คาบ
คาบละ 40 นาที โดยใช้แผนการวิจัยแบบ One-group Pretest-Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ประกอบด้วย แบบทดสอบวัดผลการเรียนทางการเรียน เร่ือง การแต่งโคลงสี่สุภาพ แผนการจัดการเรียนรู้ ใช้
การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT ใช้ค่าเฉลี่ย (X̅) ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่า t แบบไม่อิสระตอ่
กัน (t-test for Dependent Samples)
ผลการวิจัย การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องโคลงสี่สุภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
โรงเรียนกาแพงวิทยาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแต่งโคลง
สี่สุภาพของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 /1 นักเรียนมีคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน X = 9, S.D. = 2.32 และ
คะแนนแบบทดสอบหลงั เรียน X = 14 S.D. = 1.92, เม่อื ตรวจสอบความแตกตา่ งของคะแนนก่อนเรยี นและหลัง
เรียนด้วยวิธีการทดสอบค่าที พบว่า ค่าสถิติ t เท่ากับ 11.39 แสดงว่า การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง
โคลงสี่สุภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT
หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี นอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05
ข
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข
สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค
บทที่ 1 บทนา……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา…………….…………………………………………………………………….. 1
วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั …………………………………..…………………………………………………………………… 1
สมมตฐิ านของงานวจิ ัย………………………………………..……………………………………………….………………… 1
ขอบเขตของการวจิ ัย……………………………………………..………………………………………………………………. 2
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง……………….………………………………………………………………………… 3
เอกสารเกย่ี วขอ้ ง....................………………………………………………………………………………………………… 3
งานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 11
บทที่ 3 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ัย………………………….………………………………………………………..………………………… 12
รูปแบบการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 12
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง…………………………………………………………………………………………………….. 12
เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล…………………………………………………………………………………….. 12
ขัน้ ตอนการสรา้ งและพัฒนาเครื่องมือ………………………………………………………………………………………. 12
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………………………………………. 13
การวเิ คราะห์ข้อมูล………………………………………………………………………………………………………………… 13
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………….……………………………………………. 14
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล…………………………………………………………………………………………………………….. 14
บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 16
สรุปผลการวิจยั ……………………………………………………………………………………………………………………… 16
อภิปรายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 16
ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 16
บรรณานกุ รม……………………………………………………………………………………………………………………………….. 17
ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….……… 18
ภาคผนวก ก รายชอ่ื ผเู้ ชยี่ วชาญเป็นผู้ตรวจสอบเครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย 19
ภาคผนวก ข ตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่ืองมือ 20
ภาคผนวก ค เครอื่ งมือทีใ่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู …………………………………………………………………. 21
ภาคผนวก ง ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล………………………………………………………………………………………… 30
ค
สารบัญตาราง
ตารางท่ี หน้า
1 ผลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอ่ นและหลังเรียน............................................................14
1
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา
การแต่งบทร้อยกรองเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยท่ีกาลังสูญหาย เพราะคนไทยไม่เห็นความสาคัญ
ของการแต่งบทร้อยกรอง การแต่งบทรอ้ ยกรองตอ้ งใช้ความสามารถทั้งศาสตร์และศิลปะในการแต่ง เพราะผู้แต่ง
ต้องคัดเลือกถ้อยคา มีการใช้อุปมาเปรียบเทียบ หรือมีคาท่ีสื่อความโดยนัย และต้องมีความรู้ในการร้อยเรียงคา
ตามรูปแบบบทร้อยกรองประเภทตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลอนสุภาพ กาพยย์ านี11 หรอื โคลงส่สี ภุ าพ เปน็ ต้น
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พุทธศักราช 2551 มีการบรรจุ
ตัวช้วี ัดการแตง่ บทกรอง เชน่ ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 มี ในมาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลัก
ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบตั ิ
ของชาติ ตัวชี้วัดที่ 6 แต่งบทร้อยกรอง เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาหลักการแต่งโคลงส่ีสุภาพ และเป็นการส่งเสริมให้
ผเู้ รียนเหน็ ความสาคญั และร่วมอนรุ ักษ์มรดกชาติ
ในฐานะที่เป็นครูผู้สอนวิชาภาษาไทยในระดับชันมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลับพบว่าในผู้เรียนในภาคเรียนท่ี 2
ปีการศึกษา 2563 มีนักเรียนถึงร้อยละ 40 แต่งโคลงส่ีสุภาพไม่ถูกต้อง ปัญหาที่พบมากท่ีสุด คือ แต่งผิดฉันท
ลักษณ์ของโคลงสีส่ ุภาพ สาเหตเุ กิดจากผเู้ รยี นไม่เขา้ ใจรูปแบบฉันทลกั ษณ์ และลกั ษณะเฉพาะของโคลงสี่สภุ าพ จงึ
ทาให้ผู้เรยี นคดิ ว่าโคลงส่ีสภุ าพเปน็ เรื่องที่เข้าใจยาก เพราะมลี ักษณะขอ้ บังคับที่ซบั ซ้อนกว่ากลอนสภุ าพและกาพย์
ยานี 11 ท่ีเคยเรียนมา จึงเกิดความเบือ่ หน่ายและขาดแรงจงู ใจในการเรียน
จากปัญหาดังกล่าวผู้สอนจึงสนใจแก้ปัญหาดังกล่าว ดังน้ันจึงได้ศึกษาวิธีการจัดการเรียนรู้ท่ีจะช่วยให้
ผู้เรียนมีความรู้เร่ือง โคลงส่ีสุภาพ เพื่อให้สามารถแต่งโคลงส่ีสุภาพได้ สาหรับวิธีการแก้ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ
การใช้แบบฝึกทักษะ ครูผู้สอนจึงต้องการทดลองสอนโดยใช้เทคนิคการสอน โดยเทคนิคที่ศึกษาและคัดเลือกมา
คือ เทคนิคการสอนแบบ 4MAT
4MAT ซ่ึงเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้ โดยเป็นผล
มาจากการจัดการเรียนร้ขู องผู้สอนที่ทาให้ผู้เรียนเกดิ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ เพราะการจัดการ
เรียนรู้แบบ 4MAT เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรู้ท่ีคานึงถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีแตกต่างกัน โดยการพัฒนา
สมองท้ัง 2 ซีก ซ่ึงเป็นการพัฒนาผู้เรียนในด้านความคิด และศักยภาพที่เก่ียวกับจินตนาการและความคิด
สร้างสรรค์ จงึ มคี วามเหมาะสมในการนามาพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรอื่ ง โคลงสส่ี ภุ าพ
วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย
เพ่อื ศกึ ษาการพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอ่ื งโคลงส่สี ุภาพ ของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
โรงเรียนกาแพงวทิ ยา โดยใชก้ ารจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT
สมมติฐานของงานวิจัย
นักเรยี นมีผลสัมฤทธห์ิ ลังเรยี น เรื่องการแต่งโคลงส่สี ภุ าพ สงู กว่ากอ่ นเรียน
2
ขอบเขตการวิจัย
ประชากร
นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 จานวน 299 ที่กาลังศกึ ษาอยใู่ นปกี ารศกึ ษา 2564 ภาคเรียนที่ 2 โรงเรยี น
กาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวดั สตูล
กลุ่มตัวอยา่ ง
นกั เรียนมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 หอ้ ง 1 จานวน 36 คน ทก่ี าลงั ศกึ ษาอยใู่ นปีการศกึ ษา 2564 ภาคเรยี นที่ 2
โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวดั สตูล โดยใช้วธิ แี บบเจาะจง
เนอ้ื หาทใ่ี ชใ้ นการวิจัย
การแตง่ โคลงสี่สภุ าพ
ระยะเวลาที่ใช้
5 คาบ คาบละ 40 นาที
ตวั แปรท่ศี ึกษา
ตวั แปรตน้ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยใชเ้ ทคนิค 4MAT
ตวั แปรตาม ผลสมั ฤทธ์หิ ลงั เรียน เรื่องการแต่งโคลงสี่สภุ าพ
3
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กีย่ วข้อง
การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น เร่อื งโคลงสี่สุภาพ ของนักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นกาแพง
วทิ ยา โดยใช้การจดั การเรยี นรู้แบบ 4MAT ผู้วจิ ัยได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวจิ ยั ต่างๆ ดงั น้ี
1. เอกสารความรู้ที่ศึกษา
1.1 โคลงสี่สภุ าพ
1.2 การเรยี นรูแ้ บบ 4MAT
2. งานวจิ ยั ท่เี กีย่ วขอ้ ง
1. เอกสารความรู้ทีเ่ กยี่ วข้อง
1.1 โคลงสสี่ ุภาพ
โคลง คอื คาประพนั ธ์ซ่ึงมวี ิธีเรียงร้อยถอ้ ยคาเขา้ คณะ มีกาหนดเอกโทและสมั ผัสโคลงมีลักษณะบังคับ 6
อยา่ ง ได้แก่ คณะ พยางค์ สัมผัส คาเอกคาโท คาเปน็ คาตาย และคาสรอ้ ย
คา “สุภาพ” ในโคลงน้นั อาจารย์กาชัย ทองหลอ่ ได้อธิบายไว้ว่า มีความหมายเป็น 2 อย่าง คือ หมายถงึ
คาท่ีไม่มีเคร่ืองหมายวรรณยุกต์เอกโท (คือ คาธรรมดาท่ีไม่กาหนดเอกโทจะมี หรือไม่มีก็ได้) ความหมายที่ 2
ของคาสภุ าพ หมายถึงการบังคบั คณะและสัมผัส
1.1.1 ลกั ษณะบังคบั ของโคลง
1. คณะ คอื ข้อกาหนดเก่ยี วกบั รูปแบบของคาประพนั ธแ์ ต่ละชนิดวา่ จะต้องประกอบดว้ ยส่วนย่อย ๆ
อะไรบ้างคาท่ีเป็นลักษณะบังคับข้อน้ีสาคัญมาก คาประพันธ์ทุกชนิดจะต้องมีคณะ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นคาประพันธ์
คณะที่เป็นส่ิงทช่ี ว่ ยกาหนดรูปแบบของคาประพนั ธ์แตล่ ะชนดิ ใหเ้ ปน็ ระเบียบเพอ่ื ใชเ้ ปน็ หลกั ในการแตง่ ต่อไป
2. พยางค์ คอื เสยี งท่เี ปล่งออกมาครง้ั หนงึ่ ๆ บางทีก็มีความหมาย เชน่ เมอื ง ไทย น้ี ดี บางทีกไ็ มม่ ี
ความหมาย แต่เป็นส่วนหนึ่งของคา เช่น ภิ ใน คา อภินิหาร ยุ ในคา ยุวชน กระ ในคา กระถาง เน่ืองจากคาไทย
เราแตเ่ ดมิ มพี ยางค์เดียวโดยมาก ฉะนน้ั ในการแตง่ คาประพนั ธเ์ ราถอื ว่าพยางค์ก็คอื คานนั่ เอง ในคาประพนั ธ์แต่ละ
ชนิดมีการกาหนดพยางค์ (คา) ไว้แน่นอน ว่าวรรคหนึ่งมีก่พี ยางค์ (คา)ในคาประพันธ์ประเภทฉันท์ ซ่ึงถือ ครุ ลหุ
เป็นสาคัญ เรานับแต่ละพยางค์เป็น 1 คาเสมอ เช่น สุจริต นับเป็น 3 พยางค์ (3 คา) แต่ถ้าสุจริตไปอยู่ในโคลง
เชน่
“สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง” เรานับเพียง 2 คาเท่าน้ัน คือให้รวมเสียง ลหุ 2 พยางค์ที่อยู่ใกล้
กันเปน็ 1 คา และในทานองเดยี วกนั ถ้าคาใดมี 2 พยางค์ เปน็ ลหุพยางคห์ นึง่ เช่น กระถาง สมัคร ตลอด สะบัด
กอ็ นโุ ลมใหน้ บั เป็น 1 พยางค์ (คา) ได้
จะเห็นได้ว่าในการนับพยางค์ (คา) น้ัน ต้องแล้วแต่ลักษณะบังคับของร้อยกรองแต่ละประเภท
ซึง่ ผแู้ ต่งคาประพันธจ์ ะตอ้ งสงั เกตให้ดี
3. สมั ผสั คอื ลกั ษณะท่บี งั คบั ให้ใช้คาคล้องจองกัน สัมผัสเป็นลักษณะที่สาคญั ที่สุดในคาประพันธ์ของ
ไทย คาประพันธท์ ุกชนิดจาเปน็ ตอ้ งมสี ัมผัส
4. คาเอก คาโท หมายถึง พยางคท์ บ่ี งั คบั ด้วยไม้เอก และไม้โท สาหรบั ใช้กบั คาประพันธป์ ระเภทโคลง
เทา่ น้นั มีขอ้ กาหนดดังนี้
คาเอก ได้แก่ พยางค์ที่มีไม้เอกบังคับทั้งหมด เช่น จ่า ปี่ ข่ี ส่อ น่า คี่ และพยางค์ท่ีเป็นคาตายทั้งหมด
จะมีเสยี งวรรณยกุ ตใ์ ดกไ็ ด้ เช่น กาก บอก มาก โชค คิด รัก
4
คาเอกโทษ คือคาที่ไม่เคยใช้ไม้เอกแต่เอามาแปลงใช้โดยเปลี่ยนวรรณยุกต์ เป็นเอกเพ่ือให้ได้เสียงตาม
บงั คับ เช่น เสี้ยม เปลย่ี นเปน็ เซี่ยม, สร้าง เปล่ยี นเปน็ ซา่ ง คาเชน่ นี้ อนโุ ลมใหเ้ ป็นคาเอกได้
คาโท ไดแ้ ก่พยางคท์ ม่ี ีไมโ้ ทบังคับทั้งหมด เชน่ ถ้า ปา้ น้า น้อย ป้อม ย้มิ
คาโทโทษ คือคาท่ีไม่เคยใช้ไม้โท แต่เอาแปลงใช้โดยเปล่ียนวรรณยุกต์เป็นโท เพื่อได้เสียงโท ตามบังคับ
เชน่ เลน่ เปลย่ี นเป็น เหล้น, ช่วย เปลยี่ นเปน็ ฉ้วย คาเช่นนี้อนุโลมให้เป็นคาโทได้
5. คาเป็น คาตาย คาเปน็ ไดแ้ ก่พยางค์ท่ีผสมดว้ ยสระเสยี งยาวในมาตราแม่ ก กา เชน่ มา ข่ี ถอื เมีย
กบั พยางค์ ท่ผี สมดว้ ยสระ อา ไอ ใอ เอา เชน่ ทา ไป ไม่ เขา และพยางค์ทส่ี ะกดด้วยมาตราแม่ กง กน
กม เกย เกอว เช่น สง่ั ถา่ น ล้ม ตาย เร็ว
คาตาย ได้แก่พยางค์ที่ผสมด้วยสระเสียงส้ัน ในมาตราแม่ ก กา เช่น จะ ติ และพยางค์ท่ีสะกด
ด้วยมาตราแม่ กก กด กบ เชน่ ปกั นาค คิด มอื เกบ็ สาป คาตายนี้ใช้แทนคาเอกในโคลงได้
6. คาสร้อย คือคาท่ีใช้เติมลงท้ายวรรค ท้ายบาท หรือท้ายบท เพ่ือความไพเราะหรือเพื่อให้ครบจานวน
คาตามลกั ษณะบงั คบั บางแหง่ กใ็ ชเ้ ปน็ คาถาม หรอื ใช้ย้าความ คาสร้อยนใี้ ช้เฉพาะในโคลงและร่าย และมกั จะ
เปน็ คาเป็น เช่น แลนา พเี่ อย ฤๅพี่ ฤๅพอ่ แมแ่ ล นอ้ งเฮย หนึง่ รา
ตัวอย่าง : คาสร้อย
เอยี งอกเทออกอา้ ง อวดองค์ อรเอย
เมรชุ บุ สมทุ รดินลง เลขแตม้
อากาศจักจารผจง จารกึ พอฤๅ
โฉมแม่หยาดฟ้าแยม้ อย่รู ้อนฤๅเห็น
(นริ าศนรินทร์)
1.1.2 ฉันทลกั ษณะของโคลงส่สี ภุ าพ
ตัวอย่าง 1
เสยี งลือเสยี งเล่าอา้ ง อนั ใด พีเ่ อย
เสียงยอ่ มยอยศใคร ท่ัวหลา้
สองเขือพหี่ ลบั ใหล ลืมตื่น ฤๅพ่ี
สองพีค่ ดิ เองอ้า อยา่ ได้ถามเผอื
(ลลิ ิตพระลอ)
หมายเหตุ : โคลงบทน้ี ถือเป็นโคลงสี่สุภาพแม่บทที่มีบังคับ สัมผัส เอกโทถูกต้องตามลักษณะ บังคับของ
โคลงสสี่ ุภาพทุกอยา่ งนักเรยี นควรทอ่ งจาไวใ้ ห้ได้
5
1.1.3 กฎการแต่งโคลงสี่สภุ าพ
1. คณะโคลงสีส่ ุภาพบทหนง่ึ มี 1 บาท บาทหน่งึ มี 2 วรรค คือวรรคหน้ากบั วรรคหลัง วรรคหนา้ ของทุก
บาทมีวรรคละ 5 คา วรรคหลังของบาทที่ 1, 2 และ 3 มีวรรคละ 2 คา ส่วนของบาทท่ี 4 มี 4 คา รวมโคลงสี่
สุภาพ บทหนึ่งมี 30 คา
2. สัมผัสคาที่ 7 ของบาทที่ 1 สัมผัสกับคาที่ 5 ของบาทที่ 2 และ 3 คาที่ 7 ของบาทที่ 2 สมั ผัสกับคาท่ี
5 ของบาทที่ 4 ถ้าจะให้โคลงที่แตง่ ไพเราะย่งิ ข้นึ ควรมสี ัมผสั ใน และสมั ผัสอกั ษรระหว่างวรรคดว้ ย กล่าวคือ ควร
ให้คาสุดท้ายของวรรคหน้าสัมผัสอักษรกับคาหน้าของวรรค หลังจากตัวอย่างในโคลงได้แก่คา “อ้าง”กับ “อัน”
“ใหล”กบั “ลืม”
3. คาเอกคาโทและคาเป็นคาตาย มดี ังนี้
1. ต้องมีคาเอก 7 แห่ง และคาโท 4 แห่ง ตามตาแหนง่ ท่เี ขยี นไวใ้ นแผนผงั ภูมิ
2. ตาแหนง่ คาเอกและโทในบาทที่ 1 อาจสลบั ที่กนั ได้ คอื เอาคาเอกไปไว้ในคาที่ 5 และเอาคาโทมา
ไวใ้ นคาที่ 4 เช่น
อย่าโทษไททา้ ยทว่ ย เทวา
อยา่ โทษสถานภผู า ยา่ นกวา้ ง
อย่าโทษหมู่วงศา มิตรญาติ
โทษแต่กรรมเองสร้าง ส่งใหเ้ ปน็ เอง
(โคลงโลกนิติ)
3. คาท่ี 7 ของบาทท่ี 1 และคาที่ 5 ของบาทที่ 2 และ 3 ห้ามใชค้ าทม่ี ีรปู วรรณยุกต์
4. ห้ามใชค้ าตายท่ีผนั ด้วยวรรณยุกตโ์ ทในตาแหน่งโท
5. คาสุดท้ายของบท ห้ามใช้คาตาย และคาที่มีรูปวรรณยุกต์ และเสียงที่นิยมกันว่าไพเราะ คือเสียง
จัตวาไม่มีรูป หรือจะใช้เสียงสามญั กไ็ ดเ้ พราะเป็นคาจบ จะต้องอ่านเออื้ นลากเสียงยาว
1.2 การเรียนรแู้ บบ 4MAT
การจดั การเรียนรูแ้ บบ 4 MAT หมายถึง การ จดั การสอนที่ให้ความสาคญั กับการพัฒนาการใช้สมองของ
ผเู้ รียนและสนับสนนุ ให้เกิดการเรียนรู้ตาม ความถนดั ซง่ึ ทาใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รียนอย่างสนกุ และเลน่ อย่างมีความรู้เกิด
ความสุขในการเรยี นและ สามารถพฒั นาศกั ยภาพของตนเองอยา่ งเตม็ ที่ โดยรวมลักษณะของผเู้ รียนท้ัง
4 ลักษณะเข้าด้วยกนั
1.2.1 รปู แบบของผเู้ รียนในการจัดการเรียนร้แู บบ 4 MAT
รูปแบบของผู้เรยี นในการจัดการเรยี นรแู้ บบ 4 MAT Morris and McCarthy (1990: 194-195 อา้ ง
ถงึ ใน ดวงหทัย แสงวริ ยิ ะ, 2545:17-19) ไดเ้ สนอแนวคดิ ผูเ้ รยี นท้งั 4 แบบว่ามีรปู แบบการเรยี นรู้และการรับรู้
แตกตา่ งกนั โดยมีลกั ษณะ ดังนี้
ผเู้ รยี นแบบท่ี 1 (Imaginative Learners) ผเู้ รยี นมีการเรียนรู้โดยการใช้จินตนาการเปน็ หลัก เรยี น
ได้ดีโดยการฟังจะรับข้อมูลแล้วสะท้อนความคิดเห็น โดยหาความหมายที่ชัดเจนแล้ว บูรณาการประสบการณ์ให้
เข้ากบั ตนเอง เพื่อนาขอ้ มลู ไปใชเ้ ป็นสว่ นตัวสามารถจัดการกับปัญหาดว้ ย ตนเองและระดมความคิดกบั ผู้อนื่ ได้ ครู
สามารถพัฒนาผเู้ รียนลกั ษณะนไ้ี ด้ โดยคานึงถึงส่งิ ตอ่ ไปน้ี
1. อานวยความสะดวก เพ่ือให้เกิดความกา้ วหนา้ ของผู้เรียนแตล่ ะคน
2. ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนรูจ้ ักตัวเองมากขึ้น
3. หลกั สตู รควรจะสง่ เสรมิ ความสามารถของแต่ละบุคคลอย่างแท้จรงิ
4. การไดค้ วามร้เู ป็นการยกระดบั ความเขา้ ใจของบุคคล
5. สง่ เสริมความเป็นตัวตนทแี่ ท้จริงของผ้เู รยี น
6
6. ชอบการอภิปรายงานกลุม่ และขอ้ มลู ย้อนกลบั ท่ีเปน็ จริงเกยี่ วกับความรู้สึก
7. สนใจคนท่ใี ช้ความพยายามในการรว่ มมือกบั ผ้อู น่ื
8. ตระหนักถงึ พลงั ทางสังคมท่ีสง่ ผลตอ่ การพฒั นามนษุ ย์
9. พยายามเน้นจดุ มุ่งหมายทมี่ ีความหมายทดี่ ี
10. โนม้ น้าวเมอื่ เกิดความกลัว ความกดดัน และบางเวลาเม่ือขาดความกล้าหาญ
คาถามทีผ่ ู้เรียนแบบน้ชี อบใช้คอื ทาไม (Why)
ผู้เรียนแบบที่ 2 (Analytic Learners) ผู้เรียนมีการเรียนรู้โดยใช้การคิดวิเคราะห์ และการเก็บ
รายละเอียดเป็นหลัก จะแสวงหารายละเอียดและคิดเป็นข้ันตอน จะรับรู้ในลักษณะ รูปธรรมและสะท้อนความ
คิดเหน็ ออกมา เก่งในการเรยี นแบบเดิม การตรวจสอบข้อเท็จจริงและการ นาเสนอข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาประกอบ
เปน็ ทฤษฎี จัดการกับปญั หาด้วยเหตุผล หลกั เกณฑ์ การดาเนนิ การเปน็ ขน้ั ตอนเพื่อนาไปสู่ข้อเท็จจริง ครสู ามารถ
พัฒนาผู้เรียนลักษณะนไี้ ด้ โดยคานึงถงึ สง่ิ ต่อไปน้ี
1. สนใจในการถ่ายทอดความรู้
2. พยายามเปน็ ผรู้ ู้ท่ีถกู ตอ้ งแม่นยาใหม้ ากท่ีสุดเท่าท่ีจะมากได้
3. มีความเช่อื ว่าหลักสูตรจะสง่ เสริมความรู้ความเข้าใจท่ีมีความหมายมากขึ้นและ การนาเสนออย่างมี
ระบบ
4. มองความรู้อย่างเข้าใจลกึ ซึ้ง
5. สง่ เสรมิ ผูเ้ รยี นทม่ี ีความสามารถโดดเด่น
6. ชอบขอ้ เท็จจรงิ และรายละเอียด การคดิ แบบเป็นระบบและตามขั้นตอน
7. เป็นครแู บบเดมิ ท่ีรกั ความรู้แบบแมน่ ยา
8. เชอื่ ในการใช้อานาจอยา่ งมีเหตุผล
9. มแี นวโนม้ ทไี่ ม่ส่งเสรมิ ความคิดสรา้ งสรรค์ โดยมอี านาจเหนอื เจตคติ
คาถามทผ่ี ้เู รยี นแบบนช้ี อบใช้คอื อะไร (What)
ผู้เรียนแบบท่ี 3 (Commonsense Learners) ผู้เรียนท่ีมีการเรียนรู้ด้วยประสาท สัมผัสและสามัญ
สานึก ชอบการลงมือปฏิบัติ จะรับข้อมูลที่เป็นนามธรรมและประมวลความรู้จากการ ทดลองกระทาจริง ชอบ
ทดลองกระทาสงิ่ ต่างๆ ต้องการรวู้ ธิ ีทางานของสิง่ ตา่ ง ๆ ชอบวางแผนและ กาหนดเวลา จัดการกบั ปัญหาด้วยการ
ลงมือทาครสู ามารถพฒั นาผ้เู รยี นลักษณะน้ีได้ โดยคานึงถึงส่ิง ต่อไปนี้
1. สนใจผลผลติ และความสามารถ
2. พยายามใหท้ ักษะท่ีจาเปน็ ตอ่ การดารงชีวิต
3. เชือ่ ว่าหลกั สตู รควรปรบั ให้เข้ากับความสามารถและการใชป้ ระโยชน์ทเ่ี หมาะสม กับความตอ้ งการของ
มนษุ ย์
4. การส่งเสริมการประยกุ ต์ใชก้ ารปฏิบัติ
5. ความรู้ทาใหผ้ เู้ รยี นสามารถวางแผนการดารงชีวิตได้
6. ชอบวธิ กี ารใชท้ ักษะและกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์
7. วธิ ที ่ีดคี วรส่งเสรมิ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
8. ใชก้ ารใหร้ างวลั เปน็ การวดั ผล
9. มแี นวโนม้ ท่จี ะไม่ยืดหยนุ่ และเชอื่ มน่ั ในตนเอง
10. ขาดทกั ษะการทางานเปน็ ทมี
คาถามท่ผี ้เู รียนแบบนี้ชอบคอื จะทางานนอ้ี ย่างไร (How)
7
ผู้เรียนแบบท่ี 4 (Dynamic Learners) ผู้เรียนท่ีมีการเรียนรู้แบบพลวัตและการ ค้นพบด้วยตนเอง
จะรับรู้ผ่านสิ่งท่ีเป็นรูปธรรม เรียนด้วยการลองผิดลองถูก จะปรับตัวหรือเปล่ียน แปลงได้ง่ายมีความคิดใหม่
มีความสามารถมองทิศทางใหม่ ๆ จัดการกับปัญหาด้วยสัญชาตญาณ ครูสามารถพัฒนาผู้เรียนลักษณะนี้ได้
โดยคานงึ ถงึ สิง่ ต่อไปนี้
1. สนใจการทาให้ผเู้ รียนคน้ พบดว้ ยตนเอง
2. พยายามชว่ ยใหบ้ ุคคลแสดงวสิ ัยทัศน์ของเขา
3. เชือ่ ว่าหลักสตู รควรจะมงุ่ ให้ความสนใจและความถนัด
4. เข้าใจวา่ ความรู้จาเป็นสาหรับการปรบั ปรงุ สังคมทยี่ ง่ิ ใหญ่
5. ส่งเสริมการเรียนรดู้ ้วยการทดลอง
6. ชอบวิธกี ารสอนที่หลากหลาย
7. เป็นผ้นู าทพ่ี ยายามกระตนุ้ การเรยี นรู้ของผ้เู รยี น
8. พยายามสร้างสรรคส์ งิ่ ใหม่ ๆ เพอื่ กระตุน้ ใหม้ ีชีวติ ชวี ามากข้ึน สามารถสร้าง
ขอบเขตใหม่ๆ
9. มีแนวโน้มท่จี ะหุนหันพลนั แล่นและจัดการกบั การเปลย่ี นแปลงใหเ้ หมาะสม
คาถามที่ผู้เรียนแบบนี้ใช้คอื ถ้า (If)
1.2.2 บทบาทของผสู้ อนในการจดั การเรยี นรแู้ บบ 4MAT
Morris and McCarthy (1990, อ้างถึงใน ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2552: 547-557) ได้เสนอแนวคิด
เก่ยี วกับบทบาทหรอื ลลี าการสอนของครหู รอื ผสู้ อน 4 แบบ มีดงั นี้
บทบาทที่ 1 ครูคือผู้กระตุ้น สร้างแรงจูงใจ ครูจะต้องเป็นผู้ย่ัวยุ/กระตุ้น การเรียนรู้และสร้างแรงจูงใจ
หรอื ท่ีเรียกว่าเปน็ การกระตนุ้ ต่อม“สงสยั ” ให้กบั ผเู้ รียน โดยการให้เขาได้สงั เกต คิดไตร่ตรอง สมั ผัสครหู รอื ผู้สอน
นาประสบการณ์จริงไปสู่การคิดการจินตนาการ กระตุ้นให้เขาได้ฟัง ได้เห็น และ อยากคิด อยากตั้งคาถาม ซึ่ง
คาถามที่เกิดขึ้นมีหลากหลายมากมาย แต่สิ่งท่ีควรเกิดข้ึนกับ ผู้เรียนมากที่สุด คือ คาว่า “ทาไม” “เพราะอะไร”
วิธีการสอนอาจใชส้ ถานการณจ์ าลอง การระดม สมอง การทางานกลุ่ม การให้สังเกตส่ิงต่าง ๆ และการต้ังคาถาม
บทบาทนจ้ี ะทาให้ผ้เู รยี นแบบที่ 1 (WHY) มีความสุข ความสบายใจในการเรียนมากทีส่ ดุ
บทบาทท่ี 2 ครู คือผู้สอน ผู้บอกความรู้ ผู้แจ้งให้ทราบ บทบาทของครู จึงเป็นผู้ป้อนความรู้ ป้อนความ
จริงใหก้ บั ผเู้ รยี น เพือ่ ใหเ้ กิดความเข้าใจลึกซึง้ ยิ่งขนึ้ ครจู ะต้องให้ความรูเ้ นอ้ื หา สาระท่เี ป็นหลกั การมแี ก่นสารท่ีลุ่ม
ลึกให้แกผ่ เู้ รยี น ครเู ป็นผู้รู้และมบี ทบาทสาคญั ที่สุด บทบาทที่ 2 น้ี จะทาใหผ้ เู้ รยี นแบบที่ 2 (WHAT) คือ ผู้ชอบจด
ชอบจาชอบฟังมีความสุข ความสบายใจในการเรยี น มากทสี่ ุด บทบาทนีเ้ ป็นบทบาทแบบเดิม ๆ ท่ีครสู ่วนใหญเ่ คย
ใช้กนั มาแลว้
บทบาทท่ี 3 ครู คือ โค้ช หรือผู้ฝึกสอน ครูเป็นเพียงผู้ช้ีแนะ แนะนา ทาหน้าท่ีอานวยความสะดวก
บทบาทของครูคือ จัดเตรยี มสถานการณ์และสอ่ื อุปกรณ์ให้ผู้เรียน เพ่อื ให้ นักเรียนลงมอื ปฏิบัตงิ านให้สาเร็จ ครูจะ
ปลอ่ ยให้ผูเ้ รียนลงมือทาจากของจรงิ และฝกึ ปฏบิ ตั จิ ากของ จริงด้วยตนเองการเรียนการสอนเน้นทักษะทเี่ ป็นชีวิต
จริง ครูจึงเปรียบเสมือนโค้ชหรือผู้ฝึกสอน ครู จึงต้องออกแบบกิจกรรมเพื่อกระตุ้นผู้เรียนให้รู้สึกท้าทายอยากลง
มอื ปฏบิ ัติไปจนสาเร็จ บทบาทนี้ ผู้เรียนแบบท่ี 3 (HOW) จะมคี วามสขุ ความสบายใจทีส่ ดุ
บทบาทที่ 4 ครู คือ ผู้ประเมนิ ผล ผู้รว่ มเรยี นร้แู ละเปน็ ผ้แู ก้ไข บทบาทของครู คือจะเป็นผูจ้ ดั สถานการณ์
ให้นกั เรียนไดค้ น้ หา คิดค้นและทดลองทาสง่ิ ใหม่ ๆ ด้วยตวั ของเขาเอง ครตู อ้ ง กระตุ้นใหเ้ ขากระตอื รือร้นได้คิดค้น
หรือคน้ พบส่ิงใหม่ ๆ เชน่ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้แล้วจะเปน็ อย่างไรได้ อีก มันจะเป็นแบบอน่ื ได้หรือไม่ ถา้ ไม่เปน็ อยา่ งนี้
จะเกิดอะไรขนึ้ หรือถ้าเป็นอย่างนแ้ี ล้วจะเกิดอะไร ขึ้น หรือถ้ามันเป็นอย่างน้นั แล้วจะทาอย่างไร ครูจะกระตนุ้ ให้
ผู้เรียนลองผิดลองถูก และเรียนรู้เองสอนกันเอง ค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ครูเป็นเพียงผู้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกับ
8
นักเรยี นและทาหน้าที่เปน็ ผู้ประเมินความรูแ้ ละผลงานของผู้เรยี นวา่ เปน็ อยา่ งไร และคอยแก้ไข แนะนาผลงานของ
นักเรียนเท่านั้น บทบาทน้ี ผู้เรียนแบบที่ 4 (IF) จะมีความสุขในการเรียนรู้มากท่ีสุด เม่ือผู้เรียนมีแบบฉบับหรอื
วิธีการ เรียนรู้ 4 แบบ ที่ไม่เหมือนกันการจัดการเรียนการสอนเพื่อตอบสนองต่อความสาเร็จในการเรียนรู้ของ
ผ้เู รยี น
1.2.3 ขนั้ ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT
ส่วนที่ 1 ผ้เู รยี นแบบที่ 1 เรียนรูจ้ ากประสบการณ์และการเฝ้าสังเกตอยา่ งไตรต่ รอง (Imaginative
Learners)
ข้ันตอนท่ี 1 ขั้นสร้างคุณค่าและประสบการณ์ของสิ่งท่ีเรียน (สมองซีกขวา) ผู้สอนควรกระตนุ้
ความสนใจและแรงจูงใจให้ผู้เรียนคิด โดยใช้คาถามท่ีกระตุ้นให้ผู้เรียนสังเกต การออกไปปฏิสัมพันธ์กับ
สภาพแวดลอ้ มจรงิ ของส่ิงทเี่ รียน เปน็ ข้ันทเ่ี น้นการจดั กจิ กรรมทพ่ี ัฒนาสมอง ซกี ขวา
ขั้นตอนท่ี 2 ข้ันวิเคราะห์ประสบการณ์ (สมองซีกซา้ ย) ผู้สอนควรให้ผู้เรียน วิเคราะห์หาเหตผุ ล
ฝึกทากิจกรรมกลุ่มอย่างหลากหลาย เช่น ฝึกเขียนแผนผังมโนคติ (Concept mapping) ช่วยกันระดมสมอง
อภิปรายร่วมกนั เป็นขน้ั ทเ่ี น้นการจดั กิจกรรมที่พฒั นาสมองซกี ซา้ ย
ส่วนท่ี 2 ผู้เรียนแบบท่ี 2 เรียนรู้จากการสังเกตอย่างไตร่ตรองไปสู่การสร้างความคิดรวบยอด
(Analytic Learners)
ข้ันตอนท่ี 3 ขนั้ ปรบั ประสบการณเ์ ปน็ ความคดิ รวบยอด (สมองซกี ขวา) ผู้สอนควรเนน้ ให้ผู้เรียน
ได้วิเคราะห์อย่างไตร่ตรอง นาความรู้ที่ได้มาเช่ือมโยงกับข้อมูลท่ีได้ศึกษา ค้นคว้า โดยจัดระบบการวิเคราะห์
เปรียบเทยี บการจัดลาดบั ความสมั พนั ธข์ องสิ่งท่เี รียน เป็นข้นั ทเี่ น้น การจดั กจิ กรรมทพี่ ัฒนาสมองซกี ขวา
ข้ันตอนที่ 4 ขั้นพัฒนาความคิดรวบยอด (สมองซีกซ้าย) ผู้สอนควรให้ ทฤษฎี หลักการท่ีลึกซ้ึง
โดยเฉพาะรายละเอียดของข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจ และพัฒนา ความคิดรวบยอดของตนเองในเรื่องที่
เรียน กิจกรรมควรเป็นกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนค้นคว้าจากใบความรู้ แหล่งวิทยาการท้องถ่ิน การสาธิต การทดลอง
การใชห้ อ้ งสมดุ วีดิทัศน์ สื่อประสมตา่ ง ๆ เปน็ ขั้นที่ เน้นการจัดกจิ กรรมทพ่ี ัฒนาสมองซีกซา้ ย
ส่วนที่ 3 ผู้เรียนแบบที่ 3 สร้างความคิดรวบยอดไปสู่การลงมือปฏบิ ัติ และสร้างชิ้นงานในลักษณะ
เฉพาะตัว (Commonsense Learners)
ข้ันตอนท่ี 5 ขั้นลงมือปฏิบัติจากกรอบความคิดท่ีกาหนด (สมองซีกซ้าย) ผู้สอนควรให้ผู้เรียน
ปฏิบัติกิจกรรมการทดลองจากใบงาน การทดลองทาแบบฝึกหัด การสรุปผลการ ปฏิบัติกิจกรรม สรุปผลการ
ทดลองท่ีถกู ต้องชัดเจน โดยเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนซกั ถามข้อสงสัยก่อน ปฏิบัติกจิ กรรม ฝึกเลอื กใช้อปุ กรณบ์ นั ทึกผล
การทดลอง โดยผูส้ อนเปน็ พ่ีเล้ียง เป็นข้นั ที่เน้นการจดั กจิ กรรมทพ่ี ัฒนาสมองซีกซา้ ย
ขัน้ ตอนที่ 6 ขั้นสร้างช้นิ งานเพื่อสะท้อนความเป็นตนเอง (สมองซกี ขวา) ผ้สู อนต้องเปดิ โอกาสให้
ผู้เรียนได้แสดงความสามารถของตนเองตามความถนัด ความสนใจเพ่ือ สร้างสรรค์ช้ินงานตามจินตนาการของ
ตนเองที่แสดงถึงความเข้าใจในเนอ้ื หาวิชาท่ีเรียน ให้เห็นเป็น รูปธรรมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเลือกวิธีการนาเสนอ
ผลงานในลักษณะเฉพาะตวั ช้ินงานที่สร้างอาจเป็น ภาพวาด นิทาน สมุดรวบรวมส่ิงท่ีเรยี น สิ่งประดิษฐ์ แผ่นพับ
เป็นตน้ เปน็ ข้ันทีเ่ นน้ การจดั กิจกรรมที่ พัฒนาสมองซีกขวา
ส่วนท่ี 4 ผู้เรียนแบบท่ี 4 เรียนรู้จากประสบการณ์รูปธรรมไปสู่การลงมือปฏิบัติในชีวิตจริง (Dynamic
Learners)
ข้ันตอนท่ี 7 ข้ันวิเคราะห์คุณค่าและการประยุกต์ใช้ (สมองซีกซ้าย) ผู้สอน ควรให้ผู้เรียนได้
วิเคราะห์ชิ้นงานของตนเอง โดยอธิบายข้ันตอนการทางาน ปัญหาอุปสรรคในการทางานและวิธีการแก้ไข
โดยบรู ณาการประยกุ ตใ์ ชเ้ พอื่ เช่ือมโยงกับชวี ิตจรงิ และอนาคต ซึ่งอาจจะ วิเคราะหช์ น้ิ งานในรปู แบบกลมุ่ ย่อยหรือ
กลมุ่ ใหญ่กไ็ ด้ตามความเหมาะสม เปน็ ขนั้ ที่เนน้ การจดั กจิ กรรมทีพ่ ฒั นาสมองซกี ซ้าย
9
ข้ันตอนท่ี 8 ข้ันแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรียนรู้กับผู้อื่น (สมองซีกขวา) ผู้สอนควรให้ผู้เรียนได้นา
ผลงานของตนเองมานาเสนอหรอื จัดแสดงในรปู แบบต่าง ๆ เช่น การจัด นิทรรศการ ปา้ ยนิเทศ เพ่อื ให้เพอ่ื น ๆ ได้
ช่ืนชม ซึ่งถือเป็นการแบ่งปันโอกาสทางดา้ นความรแู้ ละ ประสบการณ์ให้ผู้อนื่ ได้ซาบซ้งึ ในข้ันน้ี ผู้เรียนควรรบั ฟัง
การวิพากษ์วจิ ารณ์อยา่ งสร้างสรรค์ ยอมรับ ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เป็นข้ันที่เนน้ การจัดกจิ กรรมที่พัฒนาสมอง
ซีกขวา
บุรินทร์ แก้วประพันธ์ (2553: 30-31) ได้แบ่งขั้นตอนการเรียนการสอนตามการจัด กิจกรรมการ
เรยี นรู้แบบ 4 MAT ไว้ดังน้ี
ส่วนที่ 1 Why (ทาไม) สรา้ งประสบการณต์ รงเปน็ ของตนเอง
ขั้นท่ี 1 ครูจัดกิจกรรมเพื่อเช่ือมโยงความรู้และประสบการณ์ของนักเรียน ให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้
ฝึกการสังเกต ฝึกการคิดและจินตนาการ แล้วต้ังคาถามท่ีแสดงถึงความสาคัญ ของเน้ือหาเพ่ือกระตุ้นความสนใจ
ของผูเ้ รยี น
ขั้นท่ี 2 ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนระดมความคิดภายในกลุ่ม จากน้ันให้ แสดงความคิดเห็น ความรู้
จากส่งิ ที่สงั เกตรว่ มกนั อย่างอิสระ
ส่วนท่ี 2 What (อะไร) การกาหนดกฎเกณฑ์ความคิด
ข้ันที่ 3 ครูจัดกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เพ่ือเชื่อมโยงความรู้ทเี่ คยเรียนมาแล้ว กับส่ิงท่ีเป็นเนอื้ หาใหม่
เพื่อให้นักเรียนเห็นความสาคัญของเนื้อหา จากน้ันให้นักเรียนสรุปเป็นความ คิดรวบยอดด้วยตนเอง กิจกรรมจึง
เน้นไปที่ความสัมพนั ธ์และการเปรียบเทยี บ
ขน้ั ท่ี 4 ครจู ัดกจิ กรรมเพือ่ พฒั นาความรู้ใหน้ ักเรียนได้อย่างลึกซงึ้ และอย่างกวา้ งขว้างนัน้ โดยให้
ศกึ ษากฎหรอื ทฤษฎีในใบความรู้ และศกึ ษาตัวอย่างทคี่ รยู กมาให้ จากน้ันครูเปน็ ผู้อธบิ ายตวั อยา่ งท่ียกมาตาม
ขัน้ ตอน หรอื ลองสาธิตการทาแบบฝึกหดั แสดงวธิ คี ดิ ใหด้ ูตามลาดับ
ส่วนที่ 3 How (อยา่ งไร) การปฏิบัติและพฒั นาความคดิ รวบยอด
ขั้นที่ 5 ครจู ัดกิจกรรมเพ่อื ให้นกั เรียนฝึกฝน ให้เกิดความชานาญ โดยการ ใหน้ กั เรยี นปฏิบัตดิ ว้ ย
ตนเอง หรอื รว่ มกันทาแบบฝกึ หดั โดยส่งิ ที่นกั เรียนฝึกฝนนัน้ มีลักษณะคล้ายกับ สงิ่ ท่คี รูสอน โดยครูเป็นผู้
ชว่ ยเหลือ กากับ ดแู ล
ขั้นที่ 6 ครใู ห้นักเรยี นตรวจสอบความถกู ต้องภายหลังจากการฝึกฝน จากนน้ั มอบหมายงานใหผ้ ู้เรียน
ไปคน้ ควา้ ความรู้ทพี่ ่งึ เรียน เพอ่ื นามาสร้างช้ินงาน
ส่วนท่ี 4 If (ถา้ )
ขนั้ ท่ี 7 นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ นาผลงานหรอื โจทยป์ ญั หามานาเสนอหน้าชนั้ เรยี น ในรปู แบบการ
รายงาน ใหเ้ พือ่ นกลุ่มอน่ื และครู ติชม วิพากษ์ วิจารณ์ จากน้นั ทาการปรับปรุง แก้ไข
ขัน้ ที่ 8 นาผลงานทน่ี ักเรียนทาไปแสดงในงานนทิ รรศการเพ่อื เปน็ การแบ่งปนั ความร้กู บั ผอู้ ื่น
1.2.4 แนวทางในการจัดกิจกรรมการจัดการเรยี นรู้แบบ 4MAT
เธียร พานิช (2544: 21) เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ สอดคล้องกับ
ธรรมชาติการเรียนรู้ของมนษุ ย์ไว้ว่า แม้ว่าผู้เรียนแต่ละคนจะมีความถนัดในการใช้สมองซกี ใดซีกหนึ่งต่างกนั แต่
ศกั ยภาพในการเรยี นรู้ของมนษุ ย์น้ันข้นึ อยูก่ บั การทางานของสมองทัง้ สองซกี ถ้าซีกหนง่ึ ทางานดี อกี ซีกหน่ึงจะจาง
ผู้สอนจะตอ้ งกระต้นุ ให้เกิดสมดุลของสมองทัง้ สองซกี เพ่อื ให้ เกดิ ประสทิ ธภิ าพสงู สุดในการเรียนรู้ ดังน้นั นอกจาก
ผู้สอนต้องรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลแล้ว ยังต้องคานึงและเคารพถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย
การจัดกิจกรรมท่ีหลากหลายให้สอดคล้อง กบั การทางานของสมอง จงึ ทาใหผ้ ู้เรียนเกิดความรู้สึกท้าทาย ไม่คิดว่า
10
เป็นภาระท่ีน่าเบื่อ แต่จะเรียน ด้วยความสนุกสนานและเพลิดเพลินต่อเน่ืองเป็นเวลานาน เน่ืองจากเป็น
กระบวนการที่สอดคล้องกับ การทางานของสมอง เป็นการเรียนรู้โดยธรรมชาติส่งผลให้นักเรียนได้พัฒนา
ความสามารถเต็มตาม ศกั ยภาพของตนเอง
Morris and McCarthy (1990: 1 อ้างถึงใน ดวงหทัย แสงวิริยะ, 2544: 16) ได้ เสนอรูปแบบการจดั
กิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีตอบสนองการเรียนรขู้ องผู้เรียน 4 แบบ มีความ สัมพันธ์กับการทางานของสมองซีก
ซ้ายและซกี ขวาโดยมีหลกั การ ดงั น้ี
1. มนุษย์ได้รับประสบการณ์และความรู้ด้วยวิธีการท่ีแตกต่างกันหลายวิธีและมี กระบวนการ
การจัดการกับประสบการณแ์ ละความรู้ทง้ั หลายต่างกนั ตลอดจนสามารถผสมผสาน เทคนิคการรับรู้ และปรบั แต่ง
ให้เกดิ เปน็ รปู แบบการเรียนรูเ้ ฉพาะตนทไี่ มเ่ หมือนใคร
2. รปู แบบการเรยี นท่ีสาคัญมอี ยู่ 4 แบบ ซึง่ มีคณุ ค่าเท่าเทียมกนั และผเู้ รยี นจะตอ้ ง มคี วามสุข และ
สะดวกสบายในวธิ กี ารเรยี นรู้ของตน
3. รูปแบบการเรียนร้ขู องผเู้ รียน 4 แบบ ได้แก
3.1 ผู้เรยี นแบบที่ 1(Imaginative Learners) เปน็ ผมู้ คี วามสนใจในความหมาย สว่ นตวั
ครจู าเปน็ ต้องสรา้ งความรู้สกึ ทม่ี ีเหตุผลและให้ผูเ้ รียนคดิ อยา่ งมีเหตผุ ล
3.2 ผู้เรียนแบบท่ี 2 (Analytic Learners) เปน็ ผมู้ คี วามสนใจในขอ้ เท็จจริง และ ทาความเขา้ ใจ
ด้วยตนเอง ครตู อ้ งปอ้ นข้อมูลท่เี ปน็ ขอ้ เทจ็ จริง ที่ทาให้ผู้เรียนเขา้ ใจขอ้ เท็จจริงอยา่ งลกึ ซึ้งย่ิงข้นึ
3.3 ผู้เรยี นแบบที่ 3 (Commonsense Learners) เปน็ ผู้มคี วามสนใจเบอื้ งตน้ ใน วิธีการตา่ ง ๆ
ทล่ี งมอื ปฏิบตั ิและไดช้ ิน้ งาน ครตู ้องชักชวนและให้ปฏบิ ตั ิด้วยตนเอง
3.4 ผเู้ รียนแบบท่ี 4 (Dynamic Learners) เปน็ ผู้ทมี่ ีความสนใจเบอ้ื งตน้ ในการ ค้นพบความรู้
ดว้ ยตนเอง ครตู อ้ งใหน้ กั เรยี นเรียนร้แู ละสอนกันเอง
4. ผู้เรียนทกุ คนจาเป็นตอ้ งมคี รูทีส่ อนดว้ ยวิธีการครบท้ัง 4 แบบ เพอ่ื ท่เี รยี นไดอ้ ย่าง สะดวกสบาย
และประสบผลสาเร็จ ตอ่ จากนน้ั สามารถพัฒนาสมรรถภาพการเรียนรูใ้ นดา้ นอนื่ ๆ ตอ่ ไป
5. ระบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT จะดาเนินไปตามวัฏจักร
การเรียนรู้ เป็นไปตามข้ันตอนทั้ง 4 แบบ ผสมผสานกับลักษณะพิเศษซ่ึงเน้น ความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ตาม
ธรรมชาติ
6. วิธีการเรียนรู้ท้ัง 4 แบบน้ี จาเป็นต้องสอนด้วยเทคนิคกระบวนการทางสมองซีก ซ้ายและซีกขวา
ผู้เรียนที่มีความถนัดทางสมองซีกขวาจะเรียนรู้ได้เพียงครึ่งเวลาและปรับคร่ึงเวลาท่ี เหลือน้ันให้เหมาะสม ส่วน
ผู้เรียนที่มีความถนัดทางสมองซีกซ้ายจะเรียนรู้ได้เพียงคร่ึงเวลาและเรียนรู้ ดัดแปลงคร่ึงเวลาที่เหลือน้ันให้
เหมาะสมเช่นกัน
7. เป้าหมายหลักของการศึกษา คือ การพัฒนาและบูรณาการการเรียนรู้ท้ัง 4 แบบ ให้เป็นอันหนงึ่ อนั
เดยี วกัน รวมท้งั การพฒั นาและบูรณาการสมองซกี ซ้ายและซกี ขวาให้เป็นอนั หน่งึ อนั เดียวกนั
8. ผู้เรียนจะกลายเป็นผู้ยอมรับวา่ ตนมคี วามเขม้ แข็งและสามารถนามาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ในการพัฒนา
ศกั ยภาพของตน
9. ถ้าเรามคี วามสนใจ และมีความสุขกับสภาพแวดล้อมทเ่ี ป็นอยู่ กจ็ ะเรยี นร้จู าก ผอู้ ่ืนไดม้ ากขนึ้ เท่าน้นั
11
เธยี ร พานิช (2544: 35-36) ได้เสนอลกั ษณะสาคัญในการจดั กิจกิจรรมการเรยี นการ สอนใหส้ อดคลอง
กับธรรมชาตกิ ารเรยี นรขู้ องมนษุ ย์ ดังนี้
1. ผู้เรียนแต่ละคนตอ้ งผา่ นการเรียนร้ทู ั้ง 4 แบบ
2. ผเู้ รียนแต่ละคนมคี วามสามารถในการรับ ประมวล และนาขอ้ มลู ไปใช้ดว้ ยวธิ ีที่ ต่างกนั ดงั นน้ั ครูตอ้ ง
รู้จักนกั เรยี นเปน็ รายบุคคล
3. ผเู้ รยี นทถี่ นดั ในการใชส้ มองซกี ขวาจะเรยี นสนกุ ในเวลาหน่ึงและต้องใชค้ วาม พยายามในอีกเวลาหน่ึง
ทากิจกรรมท่ีตนเองไมค่ ่อยถนัด เช่นเดยี วกบั ผูท้ ่ีถนดั ในการใชส้ มองซีกซา้ ย
4. ผู้มคี วามถนัดต่างกันได้ทางานร่วมกนั แต่ละคนมโี อกาสไดแ้ สดงออกถึงจุดแขง็ ของ ตนเองเมอื่ กิจกรรม
เปล่ยี นไปตามจงั หวะในการเรยี นรู้ และขณะเดียวกันกจ็ ะได้พฒั นาจุดอ่อนของตน ไปด้วย
5. กิจกรรมการเรียนรู้แบบ 4 MAT งา่ ยตอ่ ความเข้าใจ เป็นวธิ ที ่ปี ระสมประสานกบั กลยุทธอ์ ยา่ งอ่ืนได้ดี
เชน่ เดียวกับการเรยี นดว้ ยสหร่วมใจ (Cooperative Learning) และ Story Line
6. การเรยี นรสู้ ามารถเวยี นํซา้ ได้อกี ในหวั ขอ้ เดยี วกัน ประสบการณ์เดิมจะเป็น พื้นฐานในการศึกษา
ตอ่ ไปทาให้มีความลกึ ซง้ึ ในเรอื่ งนนั้ มากข้นึ
7. กิจกรรมต่าง ๆ จะเปน็ ไปในรปู ของการบูรณาการวิชาต่าง ๆ และทกั ษะหลาย ด้านเข้าด้วยกัน ซ่งึ
สอดคลอ้ งกบั สภาพความเป็นจรงิ ในชีวิตประจาวนั
8. เปน็ แนวคิดอีกแนวคิดหนึ่งท่ยี ดึ ผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลาง
9. มีกจิ กรรมหลากหลายเพอ่ื ตอบสนองความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล และให้ผ้เู รยี น ได้มโี อกาสค้นพบ
ความสามารถของตนเอง
10. บทบาทและหน้าที่ทั้งของครู และนักเรียนจะเปล่ียนไปตามกจิ กรรมในการ เรียนรู้ ครูจะทาหน้าท่ี
คล้ายกับพนักงานขาย เม่ือแนะนาหัวข้อใหม่ ครูต้องเข้าใจถึงความคิดรวบยอด ของหัวข้อนัน้ ทาให้เร่ืองน่าสนใจ
ชวนติดตาม หากมกี ารเริม่ ต้นท่ีดี แนใ่ จไดว้ ่าบทเรียนนนั้ จะประสบ ความสาเรจ็ ในทางปฏบิ ตั สิ ว่ นนี้ เปน็ สว่ นท่ีท้า
ทายผู้สอนมากท่ีสุด จากนั้นเป็นส่วนของเน้อื หา ครูเป็น ผู้ให้ความรู้ เป็นผู้ประสานงานทางวิชาการ และนักเรยี น
จะทบทวนทาแบบฝึกหัดหรอื ใบงาน โดยมีครู เป็นที่ปรึกษาคอยช่วยเหลือเม่ือจาเป็น เป็นรายบุคคลในส่วนที่สาม
และในขั้นสุดท้ายครูจะเป็นเพ่ือน เรียนหรือกรรมการช่วยกันหาแนวทางนาความรไู้ ปใช้ให้เกิดประโยชนห์ รอื เปน็
ฐานประสบการณ์ สาหรับการเรียนรู้ตอ่ ไป
2. งานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
นิศรา วงษ์สุวรรณ (2553) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเร่ืองการแต่งร้อยกรองประเภทโคลงส่ี
สุภาพของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โดยการจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT กับการจัดการเรียนรู้ด้วยวธิ ีสอนแบบ
ปกติ พบว่า ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการแต่งร้อยกรองประเภทโคลงสี่สุภาพของนักเรยี น
ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 โดยการจดั การเรียนรู้แบบ 4MAT กบั การจดั การเรียนรู้ดว้ ยวิธสี อนแบบปกติ พบวา่ นกั เรียน
มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ 0.05 โดยกลมุ่ ทดลองท่ีสอนโดยการจัดการ
เรยี นรู้แบบ 4MAT มคี ะแนนเฉล่ยี สงู กว่ากลุ่มทสี่ อน โดยการจัดการเรียนรูด้ ้วยวธิ สี อนแบบปกติ
12
บทท่ี 3
วิธดี าเนนิ การวิจัย
การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่อื งโคลงสสี่ ุภาพ ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรยี นกาแพง
วิทยา โดยใช้การจดั การเรียนรแู้ บบ 4MAT ผ้วู จิ ยั ได้มวี ิธกี ารดาเนินการวจิ ยั ดงั น้ี
1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
2. เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3. ข้นั ตอนการสร้างและพฒั นาเครือ่ งมอื
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
5. การวเิ คราะห์ข้อมลู
1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร
นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 จานวน 299 ท่กี าลังศกึ ษาอยู่ในปกี ารศกึ ษา 2564 ภาคเรยี นท่ี 2 โรงเรยี น
กาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวดั สตลู
กลุม่ ตัวอยา่ ง
นักเรยี นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ห้อง 1 จานวน 36 คน ทก่ี าลังศึกษาอยู่ในปกี ารศกึ ษา 2564 ภาคเรยี นท่ี 2
โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จงั หวัดสตูล โดยใชว้ ิธแี บบเจาะจง
2. เคร่อื งมอื ท่ใี ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
2.1 แผนการจดั การเรียนรู้
2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
3. ขน้ั ตอนการสร้างเครอ่ื งมือ
3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เรอื่ งโคลงสสี่ ุภาพ โดยใชเ้ ทคนิค 4MAT
1) ขัน้ สรา้ ง
1. ศึกษาหลักสูตรแกนกลาง หลกั สูตรสถานศึกษา
2. ศกึ ษาวธิ กี ารสอนการใชก้ ารจดั การเรียนการสอนโดยใชเ้ ทคนิค 4 MAT
3 ศึกษาการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ และเขียนแผนการจัดการเรยี นรู้
4. นาแผนการจดั การเรยี นรเู้ สนอผเู้ ช่ยี วชาญ
5. นาแผนการจัดการเรยี นรไู้ ปทดลองใช้กบั นกั เรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ห้อง 2
6. นาแผนการจดั การเรยี นรมู้ าปรบั ปรุง
7.นาแผนการจดั การเรียนร้ไู ปใชจ้ ริงกบั นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 กลมุ่ ตัว
2) ข้นั นาไปใช้
1. นาแผนการจัดการเรยี นรู้ไปทดลองใชก้ ับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 หอ้ ง 2
2. นาแผนการจัดการเรยี นรูม้ าปรบั ปรุง
3. นาแผนการจัดการเรยี นร้ไู ปใชจ้ ริงกับนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 หอ้ ง 1 จานวน 36 คน
13
3.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรื่อง โคลงสี่สุภาพ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยมีขั้นตอนการ
สรา้ งดังน้ี
1) ข้นั สรา้ ง
1. ศึกษาและรวบรวมเอกสาร ตารา ทเี่ กี่ยวข้องกบั การสร้างแบบทดสอบ
2. วิเคราะห์ตวั ช้วี ัด เนอื้ หา และกาหนดพฤตกิ รรมทจ่ี ะออกขอ้ สอบ
3. ออกขอ้ สอบจานวน
4. นาแบบทดสอบเสนอผูเ้ ชี่ยวชาญ
5. ตดั แบบทดสอบ เหลือจานวน 20 ข้อ
2) ขัน้ พฒั นา
1. แบบทดสอบไปใชก้ บั นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 หอ้ ง 2
2. นาแบบทดสอบมาปรบั ปรุง
3. นาแบบทดสอบไปใช้จรงิ กับนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 หอ้ ง 1
4. การเก็บรวบรวมขอ้ มลู
4.1. ผูว้ จิ ยั ดาเนินการสรา้ งเครือ่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั
4.2 ตรวจสอบเครื่องมือโดยผู้เชยี่ วชาญ
4.3 นาเคร่ืองมือวจิ ยั ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว ไปทดลองใช้
4.4.นาเคร่ืองเครอ่ื งมอื วิจัยท่ีผา่ นการตรวจสอบคณุ ภาพแล้วและทดลองแล้วไปใช้จริง
4.5 ดาเนินการทดสอบก่อนเรยี น
4.6. ดาเนนิ การวจิ ัยตามแผนการสอน
4.7. เม่ือครบจานวนครัง้ ตามแผนการสอนแลว้ ดาเนินการทดสอบหลงั เรียน
4.8. นาผลที่ได้ไปวิเคราะหข์ ้อมูล
5. การวเิ คราะหข์ ้อมลู
การการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่องโคลงสี่สุภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียน
กาแพงวิทยา โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT เก็บข้อมูลจากคะแนนการทดอบก่อนเรียน และหลังเรียน
วเิ คราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การใช้สถิตทิ ดสอบทีแบบกล่มุ ตัวอย่างไม่เป็นอสิ ระจากกัน
(Dependent Samples T Test)
5.1 สถติ ิท่ีใชใ้ นการวิเคราะห์คุณภาพเคร่อื งมอื
IOC R
N
5.2 สถติ ิท่ีใช้ในการวิเคราะห์ตามวัตถุประสงค์การวิจัย
X = X
N
S.D. = N x2 ( x)2
N (N 1)
14
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ เรื่องการแต่งโคลงสี่สุภาพ ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีท่ี 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค 4MAT ซึ่งผู้วิจัยนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล
ดังตอ่ ไปน้ี
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
จากการทาแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน เร่ือง การแต่งโคลงสี่สุภาพของนักเรียน ปรากฏผลการศกึ ษา
ดังนี้
ตารางเปรียบเทยี บคะแนนกอ่ นและหลังเรียน
เลขท่ี รายชอื่ นกั เรยี น คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั เรียน
เต็ม 20 คะแนน เตม็ 20 คะแนน
1 ด.ช. ชนาธิป ตาเอน็
2 ด.ช. ธนภทั ร แซ่ล่อง 4 12
3 ด.ช. ธนาวฒุ ิ บวั ศรี 6 14
4 ด.ช. นคั วัต ลาสาตร์ 10 15
5 ด.ช. บรุ าฮาน ขวญั ทอง
9 15
6 ด.ช. เมธิชัย มอญ
7 ด.ช. วัชรศกั ด์ิ ผงั กระโทก 9 12
8 ด.ช. ศภุ วชิ ญ์ สวาหลงั 10 15
9 ด.ช. สรุ ดษิ ประจะเนย์
8 15
10 ด.ช. อสั ลัน โคตรพิมพ์
11 ด.ช. ฮาสนั ฮดั สรี ขนุ นา 6 14
12 ด.ญ. กลุ จริ า ทองมี
13 ด.ญ. จรรยารตั น์ แก้วดา 7 12
14 ด.ญ. จนั วดี สนั หลี
15 ด.ญ. ซุลฟา สันมาแอ 8 12
16 ด.ญ. โซเฟีย อสุ มา
17 ด.ญ. ตลุ าพร จันทวี 12 13
18 ด.ญ. ธาริษา ลาเตะ๊ 10 15
19 ด.ญ. นภสร สทิ ธิชยั 11 17
20 ด.ญ. นรีกานต์ ทองไห้ 10 16
9 18
11 16
13 18
8 14
9 27
6 26
15
เลขท่ี รายชื่อนักเรียน คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลงั เรียน
เตม็ 20 คะแนน เตม็ 20 คะแนน
21 ด.ญ. นทั ธมน จรียานวุ ฒั น์ 7 15
22 ด.ญ. ปาลติ า ขนุ เศษ 8 16
23 ด.ญ. เพชรอนั ดา ขวัญนิคม 10 17
24 ด.ญ. ฟาเรยี ยาชะรัด 11 18
25 ด.ญ. ภัทราพร คงซเิ หร่ 7 13
26 ด.ญ. มาดนี ่า หัวแท้ 8 15
27 ด.ญ. มารยี า เกษม 10 15
28 ด.ญ. รัชนกี ร ฮอ่ งสาย 8 17
29 ด.ญ. ลลิดา แสงเหมือน 9 16
30 ด.ญ. สริ ินยา ช่วยหนู 11 16
31 ด.ญ. สุภัสสรา หลีมันสา 12 15
32 ด.ญ. สลุ าญา สาลวี รรณ 9 13
33 ด.ญ. เสาวลักษณ์ สะอาด 6 18
34 ด.ญ. หนงึ่ ฤทยั อ่อนทว้ ม 8 15
35 ด.ญ. อัฏฐพมิ ล ลคั นาวงศ์ 13 15
36 ด.ญ. อาซยี ะฮ์ ตง้ิ หวัง 12 18
จากคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนนามาวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ เรื่อง การแต่งโคลงสี่
สุภาพโดยเทคนิค 4MAT ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยการหาค่า T-test ของผลสัมฤทธิ์การเรียน ว่ามี
นยั ทางสถิติหรอื ไหม ผลการศึกษาผลปรากฏ ดงั น้ี
การทดสอบ N X S.D t. Sig.
ก่อนเรียน 36 2.32 11.39* .000**
หลังเรียน 36 9 1.92
14
จากตาราง พบว่าผลสัมฤทธ์ิ เรื่อง การแตง่ โคลงสสี่ ุภาพโดยเทคนิค 4MAT ของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปี
ท่ี 3 หลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี นอย่างมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 ซ่งึ เป็นไปตามสมมตฐิ านทีต่ ้ังไว้
16
บทท่ี 5
สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่องโคลงสี่สุภาพ ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกาแพง
วิทยาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย เพื่อศึกษาการจัดการเรียนการสอน
โดยเทคนิค 4MAT ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่ือง โคลงสี่สุภาพ กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนมัธยมศกึ ษา
ปีที่ 3 ห้อง 1 จานวน 36 คน ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในปีการศึกษา 2564 ภาคเรียนที่ 2 โรงเรียนกาแพงวิทยา
อาเภอละงู จงั หวดั สตูล โดยใช้วธิ แี บบเจาะจง หลงั จากการจดั การเรยี นการสอนปรากฏผลดงั น้ี
สรุปผลการวิจยั
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การอ่านวิเคราะห์ วิจารณ์ โดยโดยข้อสอบPISA
เป็นฐาน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง การแต่งโคลงส่ีสุภาพ ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 1
นักเรียนมีคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน X = 9 , S.D. = 2.32 และคะแนนแบบทดสอบหลังเรียน X = 14
S.D. = 1.92 เม่ือตรวจสอบความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีการทดสอบค่าที พบว่า
ค่าสถิติ t เทา่ กับ 11.39 แสดงว่าการพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนเร่อื งโคลงส่ีสุภาพ ของนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพงวิทยาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05
อภิปรายผล
การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเร่ืองโคลงสี่สุภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนกาแพง
วิทยาโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05
ท้ังนี้เน่ืองการแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการพัฒนาตามถนัดของนักเรียนท้ังในด้านจินตนาการ การวิเคราะห์
การแสดงเห็นผล ส่งผลให้เกิดการปฏิบัติจริง เกิดผลงานที่สร้างสรรค์ นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม
จงึ มผี ลสมั ฤทธเิ์ ป็นตามเป้าหมาย ซ่งึ สอดคลอ้ งกับงานวิจัยในชั้นเรียนของ ของ นิศรา วงษ์สุวรรณ์ ทว่ี ่าการจดั การ
เรียนรู้แบบ 4MATมุ่งเน้นการพัฒนานักเรียนท้ัง 4 แบบ มีการคานึงถึงความแต่งต่างระหว่างบุคคล และพัฒนา
สมองท้งั ซีกซา้ ยและซกี ขวาพรอ้ มกัน
ข้อเสนอแนะ
1. เพม่ิ ระยะเวลาในการสอน
2. พัฒนาชุดฝึกทักษะ
17
บรรณานกุ รม
ดวงหทยั แสงวิริยะ. 2544. ผลการใช้แผนการสอนแบบ 4 MAT ท่มี ตี ่อผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน
ความรบั ผิดชอบและเจตคตติ ่อการเรียนในหนว่ ยการเรยี นเรือ่ ง ประชากรศึกษาและการทามาหากนิ
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. วิทยานพิ นธ์ปริญญามหาบณั ฑิต, มหาวิทยาลัย
เธยี ร พานิช. 2544. 4 MAT การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนให้สอดคลอ้ งกบั ธรรมชาติการเรยี นรู้
ของผ้เู รยี น. กรงุ เทพฯ: มูลนธิ ิ สดศรี–สฤษด์ิวงศ์.
นศิ รา วงษ์สวุ รรณ.2553.การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเรอื่ งการแตง่ ร้อยกรองประเภทโคลงส่ีสภุ าพ
ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 โดยการจดั การเรยี นรูแ้ บบ 4MAT กบั การจัดการเรียนรู้ด้วยวิธี
สอนแบบปกติ.วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญา มหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลัยศลิ ปกร
บุรนิ ทร์ แก้วประพนั ธ.์ (2553). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง ความน่าจะเป็น โดยใช้
วิธกี ารจัดการเรยี นรแู้ บบ 4 MAT สาหรับนกั เรียนช่วงชั้นท่ี 4. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญา มหาบณั ฑติ ,
มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบุรี.
ประพนั ธศ์ ิริ สุเสารจั . 2552. ระบบการสอนแบบ 4 Mat : ลีลาการสอนของครแู ละพฤติกรรมการ เรยี นของ
ผเู้ รียน. วารสารสงขลานครนิ ทร์ ฉบับสังคมศาสตร์และมนษุ ยศาสตร์, 15(4), 547-557.
18
ภาคผนวก
19
ภาคผนวก ก
รายชอื่ ผู้เชี่ยวชาญเปน็ ผตู้ รวจสอบเครอ่ื งมือที่ใช้ในการวิจัย
รายช่ือผเู้ ชย่ี วชาญเป็นผตู้ รวจสอบเคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
ช่อื – สกุล ตาแหน่ง สถานที่ทางาน
นางนศิ าชล ชัยแก้ว ครูชานาญการพเิ ศษ โรงเรียนกาแพงวทิ ยา
วฒุ กิ ารศกึ ษา การศกึ ษาบณั ฑิต สาขา สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษา
ภาษาไทย มัธยมศกึ ษา สงขลา สตลู
มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ
นางยุวดี โอมณี ครูชานาญการพิเศษ โรงเรียนกาแพงวทิ ยา
สานกั งานเขตพื้นทีก่ ารศึกษา
วุฒิการศกึ ษา การศกึ ษามหาบัณฑติ มธั ยมศกึ ษา สงขลา สตูล
สาขาการบริหารหารศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพธนบรุ ี
นางสุวดี หีมปอง ครชู านายการพเิ ศษ โรงเรยี นกาแพงวิทยา
วฒุ กิ ารศึกษา คุรุศาสตรบ์ ณั ฑิต สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา
มหาวทิ ยาลัยราชภฎั สรุ าษฏร์ธานี มธั ยมศึกษา สงขลา สตูล
20
ภาคผนวก ข
ตรวจสอบคณุ ภาพของเครอ่ื งมอื
ตาราง แสดงผลการประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน กอ่ นเรยี นและหลงั
เรียน เรือ่ งการแต่งโคลงสี่สุภาพ รายวิชาภาษาไทย ท23102 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 กบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
แบบทดสอบ ผู้เช่ียวชาญ คนที่ 3 IOC ผลการพจิ ารณา
ข้อท่ี คนท่ี 1 คนท่ี 2 +1
+1 1,00 สอดคลอ้ ง
1 +1 +1 +1 1,00 สอดคล้อง
2 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
3 +1 +1 +1 1.00 สอดคล้อง
4 +1 +1 +1 0.66 สอดคล้อง
5 +1 0 +1 0.66 สอดคล้อง
6 +1 0 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
7 +1 +1 +1 1.00 สอดคล้อง
8 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
9 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
10 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
11 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
12 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
13 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
14 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
15 +1 +1 +1 1.00 สอดคล้อง
16 +1 +1 +1 1.00 สอดคล้อง
17 +1 +1 +1 1.00 สอดคล้อง
18 +1 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
19 +1 +1 1.00 สอดคลอ้ ง
20 +1 +1
21
ภาคผนวก ค
เครื่องมอื ทใี่ ช้ในงานวิจยั
22
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 10
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย รหัสวชิ า ท23102 วิชา ภาษาไทยพ้นื ฐาน
ปีการศกึ ษา 2564
ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 5 ชั่วโมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เรื่อง การแตง่ โคลงสส่ี ุภาพ
ช่ือผูส้ อน นางสาวอานสิ ทองคง
1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของภาษา
ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ
ตวั ช้วี ดั
ท 4.1 ม. 3/6. แต่งบทร้อยกรอง
2. สาระสาคญั
โคลงส่ีสุภาพเป็นคาประพันธ์ท่ีนิยมแต่งกันแพร่หลาย มีการบังคับเอกโท การเรียนรู้วิธีการแต่งโคลง
สี่สุภาพ นอกจากจะเป็นการเสริมทักษะด้านหลักภาษาและหลักการแต่งคาประพันธ์แล้วยังเปน็ การอนุรักษม์ รดก
ทางภาษาของไทยอกี ด้วย
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. นักเรียนอธบิ ายหลักการแตง่ โคลงสีส่ ภุ าพได้ (K)
2. นักเรียนแต่งโคลงส่สี ุภาพในหวั ข้อทก่ี าหนดได้ (P)
3. นกั เรยี นเห็นความสาคัญของบทร้อยกรองไทย (A)
3. สาระการเรยี นรู้
1. ความหมายและท่ีมาของโคลง
2. ฉันทลักษณแ์ ละหลกั การแตง่ โคลงส่สี ุภาพ
3. ความสาคัญของโคลงสีส่ ภุ าพ
4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
1. ความสามารถในการคดิ
2. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
3. ความสามารถในการสื่อสาร
5. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. ใฝ่เรยี นรู้
2. มุ่งมน่ั ในการทางาน
3. รักความเป็นไทย
23
6. ชิ้นงาน/ภาระงาน
ชิ้นงานการแตง่ โคลงสส่ี ุภาพพร้อมภาพประกอบในหัวข้อ จงั หวัดสตูล
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม
กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ
ลงมอื ทาจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเองกระบวนการพฒั นาลักษณะนสิ ัย
คาบที่ 1 (ขนั้ สรา้ งประสบการณ์ และวิเคราะห์ประสบการณ์)
1. ขั้นนาเข้าสูบ่ ทเรยี น
1.1 นักเรียนร้องเพลง “คามั่นสัญญา” ตามท่ีครูยกตัวอย่าง และระบุว่าเน้ือเพลงมีที่มาจากที่ใด
และเป็นฉันลักษณ์ประเภทใด (พระอภัยมณี : กลอนสุภาพ) หลังจากน้ันครูจึงยกตัวอย่างเพลงจากโคลงสยาม
มนสุ สติ แลว้ จึงนานกั เรียนเข้าสเู่ นือ้ หา
2. ขนั้ การสอน
2.1 ครยู กบทร้อยกรองโคลงสีส่ ุภาพแมบ่ ทมา
“เสยี งลอื เสยี งเลา่ อ้าง อันใด พ่ีเอย
เสียงยอ่ มยอยศใคร ทั่วหลา้
สองเขือพห่ี ลับใหล ลมื ตน่ื ฤาพี่
สองพค่ี ดิ เองอ้า อยา่ ไดถ้ ามเผอื ฯ”
ลิลติ พระลอ
2.2 นักเรยี นอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยกรองทคี่ รูกาหนด
2.3 นักเรียนแบง่ กล่มุ เพ่อื ศกึ ษารอ้ ยกรองประเภทตา่ งๆ ทคี่ รูนามาให้นักเรียนดู แล้วพจิ ารณา
ว่าร้อยกรองทีอ่ ่านไปกอ่ นหนา้ มีลักษณะ เหมือนรอ้ ยกรองประเภทใด
2.4 นกั เรียนช่วยกนั สรุปความแตกต่างของร้อยกรองทีjอ่านกับรอ้ ยกรองอ่นื ๆ แลว้ ให้
นักเรียนคัดลอกโคลงส่ีสุภาพลงสมดุ
2.5 นกั เรียนทากจิ กรรมเรยี งคาให้เป็นโคลงโดยทาการแข่งขนั เป็นกลมุ่
2.6 ให้นกั เรียนร่วมกันพจิ ารณาโคลงส่สี ภุ าพท้งั หมด
3. ขน้ั สรุป
3.1 นกั เรียนแลว้ อภิปรายลกั ษณะของโคลงสสี่ ุภาพตามความเขา้ ใจแล้วจดบนั ทกึ
คาบที่ 2 (ขัน้ ปรบั ประสบการณเ์ ดิมเขา้ สคู่ วามคดิ รวบยอด)
1. ข้ันนาเขา้ สู่บทเรยี น
นักเรยี นทบทวนความรูเ้ ร่อื ง โคลงสส่ี ุภาพจากคาบท่ผี า่ นมา
2. ข้ันการสอน
2.1 นักเรยี นแบง่ นักเรียนเป็นกลุ่ม ศกึ ษามุมความรู้
1. คาเอก คาโท
2. คาเป็น คาตาย
3. ฉันทลักษณ์โคลงส่สี ภุ าพ
2.2 ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรปุ ความรทู้ ไี่ ดศ้ กึ ษาจากมุมความรู้
2.3 ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ สรปุ ความรู้โดยเขยี นผังมโนทศั น์เรื่องโคลงสสี่ ุภาพ
24
3. ขั้นสรุป
นักเรยี นร่วมกนั สรปุ ถึงการใช้ คาเอกคาโท คาเป็นคาตายและฉันทลักษณโ์ คลงสีส่ ภุ าพ
คาบที่ 3 (ขนั้ พัฒนาความคดิ รวบยอด)
1. ขน้ั นาเข้าสู่บทเรียน
1.1 นกั เรียนทบทวนถึงการใช้ คาเอกคาโท คาเป็นคาตายและฉนั ทลักษณโ์ คลงสี่สุภาพ
2. ข้นั สอน
2.1 นักเรยี นทาทาแบบฝึกหดั เรือ่ ง การแต่งโคลงสสี่ ภุ าพ โดยปฏิบัตกิ จิ กรรมในแบบ
ฝึกพัฒนาการแตง่ โคลงสี่สภุ าพ ดังนี้
1.แบบฝกึ พฒั นาการแตง่ โคลงส่ีสภุ าพ ชดุ ที่ 1 เรยี งลาดับความของโคลงส่ีสภุ าพ
2.แบบฝึกพฒั นาการแต่งโคลงสส่ี ุภาพ ชุดที่ 2 แบ่งวรรคจัดรูปแบบโคลงส่ีสุภาพ
3. แบบฝกึ พัฒนาการแต่งโคลงสสี่ ุภาพ ชดุ ท่ี 3 เลือกคาทก่ี าหนดให้เตมิ ลงในชอ่ งว่าง
4. แบบฝึกพัฒนาการแตง่ โคลงโคลงส่ีสุภาพ ชดุ ท่ี 3 แต่งโคลงส่ีสุภาพ ตอ่ จากท่กี าหนดให้
5. แบบฝึกพฒั นาการแต่งโคลงสสี่ ุภาพ ชดุ ที่ 4 แตง่ โคลงสีส่ ุภาพ บาทท่ีหายไปให้ถูกต้อง
2.2 ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันเฉลยและเกบ็ คะแนนแบบฝึกหดั
3. ขน้ั สรุป
นกั เรยี นร่วมกนั สรปุ ถงึ ประสบการณห์ รือความรู้ใหม่ที่ได้จากการทาแบบฝึกหัด
คาบท่ี 4 (วางแผนและสร้างผลงาน และวเิ คราะหเ์ พอื่ นาไปประยุกตใ์ ช้ )
1. ขั้นนาเข้าสู่บทเรยี น
นักเรยี นทบทวนความรู้จากคาบท่แี ล้ว
2. ขั้นสอน
2.1 นักเรียนแต่งโคลงโคลงสี่สุภาพ ในหัวข้อ สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พร้อมภาพประกอบ
จานวน 2 บท
2.2 นักเรียนแต่งโคลงส่ีสุภาพตามหัวข้อท่ีกาหนด แล้วนามาแลกเปล่ียนกับเพื่อนในกลุ่มเพ่ือทา
การปรบั ปรุงพฒั นา
3. ข้นั สรปุ
นักเรียนกลบั ไปทาชน้ิ งานโดยวาดภาพประกอบเพอ่ื ส่งชนิ้ งานในคาบถดั ไป
คาบที่ 5 (นาเสนอและแลกเปลี่ยนความรู้ )
1. ขั้นนาเขา้ สบู่ ทเรียน
นกั เรยี นเตรยี มนาเสนอช้ินงาน
2. ขั้นสอน
2.1 นักเรยี นนาเสนอชิ้นงานการแตง่ โคลงสี่สุภาพของตนเอง
2.2 ครทู าการประเมินและบนั ทึกคะแนน
2.3 นกั เรียนคัดเลือกผลงานเพื่อนในชั้นเรยี น 10 ชน้ิ
2.4 นกั เรยี นร่วมกนั จัดมมุ นทิ รรศการ
3. ขัน้ สรปุ
นักเรยี นรว่ มกันสรปุ ความท่ีไดจ้ ากการเรียนเร่ือง การแต่งโคลงสสี่ ุภาพ
25
8. ส่ือการเรียนรู/้ แหลง่ เรยี นรู้
8.1 คามน่ั สญั ญา
8.2 โคลงสยามมนสุ สติ
8.3 กจิ กรรมเรยี งคาใหเ้ ป็นโคลง
8.4 ใบงาน เรอื่ งโยงสมั ผัสโคลงสส่ี ุภาพ
8.5 มุมความรู้ ได้แก่เร่อื ง คาเปน็ คาตาย คาเอกคาโท ฉันทลักษณ์โคลงสี่สุภาพ
8.6 แบบฝึกพัฒนาการแตง่ โคลงสีส่ ุภาพ จานวน 5 ชุด
9. การวัดผลและการประเมนิ ผลการเรียนรู้
การประเมนิ ผล(ด้าน) วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมือการวดั เกณฑก์ ารประเมิน
(จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้)
1. นักเรยี นอธบิ ายหลักการ -การทาแบบฝกึ หัด -แบบฝึกหัด -นักเรยี นมคี ะแนนแบบฝึกหัด
แตง่ โคลงสีส่ ุภาพได้ -การมสี ่วนร่วมในชนั้ -แบบประเมินการมีสว่ น ผ่านคดิ เป็นรอ้ ยละ๖๐
เรียน รว่ มในช้นั เรยี น -นกั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในชั้นเรยี น
2. นักเรียนแตง่ โคลงสีส่ ภุ าพ อย่ใู นระดบั ดมี าก
ในหวั ข้อทีก่ าหนดได้ -ช้นิ งานการแตง่ โคลงสี่ -แบบประเมินการแตง่ คะแนนการแตง่ โคลงส่สี ุภาพ
สุภาพ โคลงส่ีสภุ าพ ผ่านอยู่ในระดบั ไม่ต่ากวา่
3. นกั เรียนเห็นความสาคญั ร้อยละ 60
ของบทร้อยกรองไทย -การมีส่วนรว่ มในชั้น -แบบประเมนิ การมสี ว่ น -นักเรียนมสี ่วนร่วมในชน้ั เรียน
เรยี น ร่วมในชั้นเรียน อยู่ในระดบั ดีมาก
26
แบบทดสอบ เร่ือง การแต่งโคลงสีส่ ภุ าพ
รายวชิ าภาษาไทย ท23102 ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
๑. โคลงส่ีสุภาพหน่งึ บทมีกคี่ า (ไมน่ บั คาสรอ้ ย)
ก. ๒๘ คา
ข. ๓๐ คา
ค. ๓๒ คา
ง. ๓๔ คา
๒. โคลงส่ีสุภาพมคี าสรอ้ ยในบาทใดไดบ้ า้ ง
ก. บาทท่ี 1 และ บาทท่ี ๒
ข. บาทที่ ๓ และ บาทที่ ๔
ค. บาทท่ี ๒ และ บาทที่ ๓
ง. บาทที่ ๑ และ บาทที่ ๓
๓.ข้อใดเรียงโคลงส่ีสุภาพไดถ้ ูกต้อง
๑) ยาจกขาดทรัพยา สรา้ งบ่ ได้เลย
๒) เศรษฐมมี ากด้วย เงนิ ดว้ ย
๓) แตว่ า่ ความดีไซร้ อาจสร้างเสมอกัน
๔) จ่ายทรพั ย์สรา้ งเคหา ใหญไ่ ด้
ก. ๔) ๒) ๑) ๓)
ข. ๒) ๔) ๑) ๓)
ค. ๓) ๔) ๒) ๑)
ง. ๒) ๔) ๓) ๑)
๔.ข้อใดมีลกั ษณะเป็นโคลงส่ีสภุ าพ
ก. ยามมืดใชม่ ืดแท้ ทุกสถาน
ข. แสงทองส่องฟา้ นกกาหากิน
ค. จากแรงน้นั เป็นรวง ระยะทางนนั้ เหยยี ดยาว
ง. หรีดหริง่ ระงมระดะระรัว ประดจุ พณิ ประโลมใจ
๕.คาประพนั ธใ์ นขอ้ ใดมสี ัมผัสคลอ้ งจองไม่ถูกต้อง
ก. ฉันชอบปลุกต้นไม้ เพราะคุณยายคอยปลูกฝงั
ข. สงิ่ ทีเ่ ธอกระทา เป็นบาปกรรมอนั ย่ิงใหญ่
ค. ดนิ สอมหี นึง่ แทง่ เพ่อื นชอบแย่งเอาไปเขียน
ง. พอ่ แม่มีพระคณุ คอยค้าจนุ ลกู ชายชายหญิง
๖. นา้ พระทัยแสนอนุ่ เปน็ บญุ ลกู ได้โปรด...................ความอดุ มสมบรู ณ์ผล
จากขอ้ ความข้างตน้ ควรเตมิ คาใดลงในช่องวา่ ง
ก. สขุ ข. สตั ว์
ค. ให้ ง.ปลกู
๒๗
๗. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ลักษณะบังคับของโคลงสีส่ ุภาพ
ก. ใชค้ าตายแทนคาเอกได้
ข. วรรคหน้าของทุกบรรทดั มี ๕ พยางค์
ค. บังคับรปู วรรณยุกตเ์ อก ๔ แหง่ โท ๗ แหง่
ง. มีการบงั คบั สมั ผัสสระระหวา่ งวรรค
๘. คาประพนั ธ์ต่อไปนี้ถา้ เขียนแบ่งวรรคตามฉนั ทลักษณข์ ้อใดไม่ใชโ่ คลงสีส่ ภุ าพ
ก. คณุ ครเู ปน็ ผูส้ รา้ งและชี้ทางสว่างไสว
ข. คณุ แมห่ นาหนกั เพย้ี งพสุธาคุณบิดรดุจอากาศกวา้ ง
ค. พงึ อวยโอวาทไวใ้ นตนกอ่ นนาจึงสง่ั สอนปวงชนทวั่ หลา้
ง. แต่แรกเร่งผจญจติ อาตมาแฮสัตวอ์ ่ืนหมนื่ แสนอ้าอาจแท้ทรมาน
ใช้คาประพันธท์ ี่กาหนดให้ตอบคาถาม ข้อ ๙
สงสารเป็นหว่ งให้ แหนขวัญ แม่ฮา
ขวญั แม่สมบูรณจ์ นั ทร์ แจม่ หนา้
เกศินีนิลพรร โณภาส
งามเง่อื นหางยงู ฟา้ ฝากเจ้าจงดี
(นิราศนรนิ ทร์คาโคลง)
๙. .สมั ผัสบังคับของโคลงบทน้คี ือคาในข้อใด
ก.ให–้ แหน, จนั ทร์– แจ่ม ข.ขวญั – จันทร์– พรร, หน้า – ฟา้
ค.แหน – พรร จันทร์, หน้า – ฟา้ ง.ให้– แหน, จันทร์– แจม่ , ฟา้ – ฝาก
๑๐. บาทที่ ๑ ของโคลงสี่สภุ าพในข้อใด ใช้คาเกิน ข.แหวนเพชรนที้ า่ นได้ แตใ่ ดมา
ก.รกั ชาติยอมสละแม้ ชีวี ง.เสยี งแม่ยังก้องติด ตรงึ ฤดลี กู เฮย
ค.ยามเปลย่ี วลูกนึกน้อม ในกมล
๑๑.บาทท่ี ๓ ของโคลงสี่สุภาพต่อไปน้ขี ้อใดแตง่ ถกู ต้องตามลกั ษณะบังคบั
ก.นารายณบ์ รรทมสนิ ธ์ุ นานตื่น ข.นารายณเ์ นื่องนิทรสินธ์ุ นานตื่น
ค.นารายณ์เจ่ืองเจ้านิทร นานเนา ง.นารายณเ์ นาในสนิ ธุ์ นานนบั แลนา
อันพบิ ูลทรพั ยเ์ พีย้ ง เพยี งใด
ฤๅจักสมนาไป โออ่ ้าง
ตระหนกั อยูแ่ ก่ใคร คราวดบั
............................. ตา่ งท้ิงลงสลาย
๑๒.โคลงสสี่ ภุ าพข้างต้นควรเตมิ ดว้ ยวรรคใดจงึ จะถูกต้องตามฉันทลักษณ์ และได้ความหมายสมบูรณ์
ก. สละลับลาร้าง
ข. คนื คา่ หนาวน้าค้าง
ค. เดือนดอ้ ยดาวลบลา้ ง
ง. โดดเดีย่ วตอ้ งเคว้งควา้ ง
๑๓.ข้อใดคือคาโทโทษของโคลงบทนี้
เรม่ิ การตรองตรึงไว้ ในใจ
๒๘
การจะลุจึงไข ข่าวแจง้
เดอ่ื ดอกออกห่อนใคร เห็นดอก
ผลผลิตตดิ แลว้ แผร้ง แพรใ่ ห้คนเหน็
ก.ไว้
ข. แจ้ง
ค. ให้
ง. แผรง้
๑๔. จากโคลงส่ีสุภาพบทนี้ จงเตมิ คาตายใหถ้ กู ต้อง ตามลาดับ
ขันตมี .ี ..........หมนั้ สันดาน
ใครเกะกะระราน ..........กลั้น
ไปฉ่ ุนเฉยี บเฉกพาล พาเดอื ด รอ้ นพ่อ
ผู้ประพฤตดิ ังนนั้ .......ได้ใจเย็น
ก.หมาย อด จึง ข.มาก จง จะ
ข.หมาย กีด จัก ง. มาก อด จัก
๑๕.คาข้อใดไม่มีคาโท
ก. วิฬารม์ าอยแู่ ล้ว หนหู นี
ข. พยคั ฆ์มามฤคี หลีกเร้น
ค. วนั เกิดมาโรคเต้น วิ่งอา้ วกรูไป
ง. สีหราชมาซี สัตวห์ ลบ หมดนา
๑๖..คาประพนั ธว์ รรคใดมีคาเอกโทษ ข.คนด่ังนฤี้ าแคลว้ คลาดพ้นภยั ยนั
ก.ลงิ วา่ หวา้ หวงั หวา้ หวา่ ดน้ิ โดดตาม ง.หย่อมญ่าเห่ยี วแห้งเรอ้ื บอกร้ายแสลงดนิ
ค.เธยี รทา่ นเยนิ ยอแล้ ว่าผมู้ ชี ยั
๑๗.คาเอกโทษในโคลงสสี่ ภุ าพบทนี้คอื คาใด
ติดเกมเสพสิ่งร้าย พิษภยั
พ่อแมย่ งิ่ ทกุ ข์ใจ เซา่ สรอ้ ย
สง่ เสียบุตรเท่าใด หวังเดน่ ดนี า
ลกู หลับลบั ตาคลอ้ ย เทย่ี วเหลน้ โดดเรียน
ก. สงิ่ ข. เซ่า
ค. ยง่ิ ง. เหลน้
๑๘.ขอ้ ใดใช้คาโทโทษ ข.ตกนรกแสนศลั ย์ หม่ืนไหม้
ก.เรยี มรา่ นา้ เนตรถ้วม ถึงพรหม ง.ช้างสารหกศอกไซร้ เสยี งา
ค.ถงึ กรรมจักอยไู่ ด้ ฉนั ใด พระเอย
๑๙.คาประพันธบ์ ทนี้ใชค้ าตายแทนคาเอกก่คี า
คดิ พดู ตรงขดั แคน้ เคอื งหู
ขวานผ่าซากฟังดู กระดา้ ง
ใครฟังบ่เชดิ ชู ชมชื่น นางพอ่
คากลา่ วควรทง้ิ ค้าง เปล่ียนแกค้ าหวาน ๒๙
ก.๑ คา ข.๓ คา เฉลย
ข
ค.๒ คา ง.๔ คา ก
ง
เหมือนกวางอยา่ งตาหู ตีนกีบ ง
ง
ม.ี ......ขาวนอ้ ยช้อย แนบข้างเคยี งสอง ง
ข
๒๐.ในชอ่ งว่างควรเตมิ คาเอกโทษตามขอ้ ใด ค
ค
ก. เคยี่ ว ค
ข. เขีย่ ว
ค. เข้ียว
ง. เค้ยี ว
เฉลยแบบทดสอบ
ข้อที่ เฉลย ข้อท่ี
๑ข ๑๑
๒ง ๑๒
๓ข ๑๓
๔ก ๑๔
๕ก ๑๕
๖ง ๑๖
๗ค ๑๗
๘ข ๑๘
๙ข ๑๙
๑๐ ข ๒๐
ภาคผนวก ง
ผลคะแนนก่อนเรียนและหลังเรยี น
เลขท่ี รายชอ่ื นักเรยี น คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลงั เรียน
เต็ม 20 คะแนน เต็ม 20 คะแนน
1 ด.ช. ชนาธิป ตาเอ็น
2 ด.ช. ธนภัทร แซล่ ่อง 4 12
6 14
3 ด.ช. ธนาวฒุ ิ บัวศรี 10 15
4 ด.ช. นัควัต ลาสาตร์ 9 15
5 ด.ช. บุราฮาน ขวญั ทอง 9 12
6 ด.ช. เมธชิ ัย มอญ 10 15
7 ด.ช. วชั รศกั ดิ์ ผงั กระโทก 8 15
8 ด.ช. ศุภวชิ ญ์ สวาหลัง 6 14
9 ด.ช. สุรดิษ ประจะเนย์ 7 12
10 ด.ช. อสั ลัน โคตรพมิ พ์ 8 12
11 ด.ช. ฮาสนั ฮัดสรี ขนุ นา 12 13
12 ด.ญ. กลุ จิรา ทองมี 10 15
13 ด.ญ. จรรยารตั น์ แก้วดา 11 17
14 ด.ญ. จันวดี สันหลี 10 16
15 ด.ญ. ซุลฟา สันมาแอ 9 18
16 ด.ญ. โซเฟีย อสุ มา 11 16
17 ด.ญ. ตลุ าพร จนั ทวี 13 18
18 ด.ญ. ธาริษา ลาเตะ๊ 8 14
19 ด.ญ. นภสร สทิ ธิชยั 9 27
20 ด.ญ. นรกี านต์ ทองไห้ 6 26
21 ด.ญ. นัทธมน จรียานุวัฒน์ 7 15
22 ด.ญ. ปาลติ า ขุนเศษ 8 16
23 ด.ญ. เพชรอันดา ขวญั นคิ ม 10 17
24 ด.ญ. ฟาเรยี ยาชะรัด 11 18
25 ด.ญ. ภทั ราพร คงซิเหร่ 7 13
26 ด.ญ. มาดนี า่ หวั แท้ 8 15
27 ด.ญ. มารียา เกษม 10 15
28 ด.ญ. รชั นกี ร ฮ่องสาย 8 17
เลขท่ี รายชอ่ื นักเรียน คะแนนกอ่ นเรยี น คะแนนหลงั เรียน
เต็ม 20 คะแนน เต็ม 20 คะแนน
29 ด.ญ. ลลิดา แสงเหมือน 9 16
30 ด.ญ. สิรินยา ช่วยหนู 11 16
31 ด.ญ. สภุ ัสสรา หลมี ันสา 12 15
32 ด.ญ. สลุ าญา สาลีวรรณ 9 13
33 ด.ญ. เสาวลักษณ์ สะอาด 6 18
34 ด.ญ. หนึ่งฤทัย ออ่ นทว้ ม 8 15
35 ด.ญ. อัฏฐพิมล ลคั นาวงศ์ 13 15
36 ด.ญ. อาซยี ะฮ์ ติ้งหวัง 12 18