รายงานวจิ ยั ในชน้ั เรียน
การพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวิชาวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง สมการเคมี
โดยใช้เทคนคิ การจัดการเรยี นรู้ที่หลากหลายสำหรบั นกั เรียน
ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3/4 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา จงั หวัดสตลู
ภูวดล เทพรัตน์
ตำแหนง่ ครผู ูช้ ่วย
ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู จังหวดั สตลู
สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาสงขลา สตลู
ก
ชื่อเร่อื ง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี โดยใช้เทคนิค
การจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนกำแพงวิทยา
ผ้วู ิจยั จงั หวัดสตลู
กลุ่มสาระฯ นายภวู ดล เทพรตั น์
ปีการศึกษา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
2564
บทคัดยอ่
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับเกณฑ์คะแนนเฉล่ีย
ร้อยละ 70 (2) เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรื่อง สมการเคมี ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการ
เรียนรู้ที่หลากหลาย
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนกำแพงวิทยา
อำเภอละงู จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 6 คน โดยสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ใช้เวลา
ทดลองทั้งสิ้น 2 คาบ คาบละ 50 นาที โดยใช้แผนการวิจัยแบบ The 5Es of Inquiry-Based Learning
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย (1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง สมการเคมี จำนวน 1 แผน (2) แบบวัด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีลักษณะเป็นแบบทดสอบ เรื่อง สมการเคมี จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี
หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนแบบ 5Es โดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายสูงกว่าร้อยละ 70
(2) หลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย มีคะแนนเฉลี่ย ( X ) 8.5 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D.) 0.76 คะแนน แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนมี
ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น
ข
สารบญั
หนา้
บทคดั ย่อ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข
สารบญั ตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค
บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1
1
ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา…………….…………………………………………………………………….. 2
วัตถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………..…………………………………………………………………… 2
สมมติฐานของงานวิจัย………………………………………..……………………………………………….………………… 2
ขอบเขตของการวิจยั ……………………………………………..………………………………………………………………. 4
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง……………….………………………………………………………………………… 4
เอกสารเกีย่ วกับเทคนคิ การจัดการเรียนรูท้ ห่ี ลากหลาย………………………............................................ 22
งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 26
บทที่ 3 วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย………………………….………………………………………………………..………………………… 26
รปู แบบการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 26
ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง…………………………………………………………………………………………………….. 26
เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู …………………………………………………………………………………….. 26
ขั้นตอนการสรา้ งและพฒั นาเคร่อื งมือ………………………………………………………………………………………. 27
การเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………………………………………. 27
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………………………………………………………………… 28
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ………………………………………………………….……………………………………………. 28
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………………………………….. 30
บทที่ 5 สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 30
สรปุ ผลการวจิ ยั ……………………………………………………………………………………………………………………… 30
อภปิ รายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 31
ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 32
บรรณานกุ รม……………………………………………………………………………………………………………………………….. 34
ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….………
ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรียนรู.้ ..................................……………………………..…………………………..
ภาคผนวก ข เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ………………………………………………………………….
ภาคผนวก ค การหาคุณภาพเครื่องมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู ……………………………………………
ภาคผนวก ง ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล…………………………………………………………………………………………
ค
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1 แสดงคะแนนหลงั เรียนโดยใช้เทคนคิ การจัดการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย เม่ือเทยี บกบั เกณฑ์
รอ้ ยละ 70……………………………………………………………………………………………………………………………………….28
2 แสดงคะแนน ค่าเฉล่ีย และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนและหลังเรยี นด้วยเทคนิค
การจัดการเรยี นรู้ทห่ี ลากหลาย……………………………………………………………………………………………………….….29
1
บทท่ี 1
บทนำ
ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนานักเรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติ
ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย
และเป็นพลเมืองของโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริ ย์
ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ
และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเช่ือว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองได้เต็มตามศกั ยภาพ (กรมวชิ าการ.2551 : 4)
วิทยาศาสตร์มบี ทบาทสำคัญย่ิงในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคน
ทงั้ ในชวี ิตประจำวันและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่อื งมือเครื่องใช้ และผลผลติ ตา่ ง ๆ ท่ีมนุษย์
ได้ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสาน
กับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล
คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหา
อย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์
เป็นวัฒนธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge-based society) ดังนั้นทุกคน
จงึ จำเปน็ ต้องไดร้ ับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพือ่ ทจ่ี ะมีความรู้ความเขา้ ใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีท่ีมนุษย์
สรา้ งสรรคข์ ึน้ สามารถนำความรไู้ ปใช้อยา่ งมีเหตุผล สรา้ งสรรค์ และมีคณุ ธรรม (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551: 1)
การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เน้นกระบวนการที่นักเรียน
เป็นผู้คิดลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้า อย่างมีระบบ ด้วยกิจกรรมหลากหลาย ทั้งการทำกิจกรรมภาคสนามการ
สังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลองในห้องปฏิบัตกิ าร การสืบค้นขอ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มูลปฐมภมู แิ ละทุติยภูมิ
การทำโครงงานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี การศึกษาแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นโดยคำนึงถงึ วฒุ ภิ าวะ ประสบการณ์
เดิม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับรู้มาแล้วก่อนเข้าสู่ห้องเรียน การเรียนรู้ของนักเรียนจะ
เกิดขึ้นระหว่างที่นักเรียนมีส่วนร่วมโดยตรง ในการทำกิจกรรมการเรียนเหล่านั้น จึงจะมีความสามารถ
ในการสบื เสาะหาความรู้ มคี วามสามารถในการแก้ปัญหา โดยวิธกี ารทางวิทยาศาสตรแ์ ละพฒั นากระบวนการคิด
ขั้นสูง และคาดหวังว่ากระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว จะทำให้นักเรียนได้รับการพัฒนาเจตคติวิทยาศาสตร์
มีคุณธรรม จริยธรรม ในการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ มีเจตคติและค่านิยม
ทีเ่ หมาะสมต่อวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รวมทั้งสามารถสื่อสารและทำงานรว่ มกบั ผอู้ นื่ ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
3/4 โรงเรยี นกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ปรากฏว่ามนี ักเรียนซึ่งมผี ลสัมฤทธ์ิ
ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้จำนวน 6 คน จากนักเรียน 38 คน สาเหตุพบว่า อาจเนื่องมาจากนักเรียนยังขาด
ความกระตือรือร้น มีส่วนร่วมในการเรียนน้อย และอยู่ในช่วงของการเรียนออนไลน์ จึงมีข้อจำกัดในเรื่อง
อุปกรณ์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต เป็นต้น อย่างไรก็ตามในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนก็พบปัญหา
และอุปสรรคบางประการที่ทำให้การเรียนการสอนยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งไว้ สาเหตุประการแรกเกิด
จากครูผสู้ อน พบว่า การจดั การเรยี นรูข้ องครูไม่สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน มุ่งเน้นสอนเนื้อหา
มากกว่ากระบวนการคิด ขาดเทคนิควธิ ใี นการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน สาเหตปุ ระการทีส่ องเกิดจากผู้เรียน
พบว่า นักเรียนขาดความสนใจในกิจกรรมการเรียนการสอน มีความกระตือรือร้นน้อย มองไม่เห็นความสัมพันธ์
2
ของเน้ือหา ขาดทกั ษะการคิด และทักษะกระบวนการกลุ่ม สง่ ผลให้นกั เรยี นบางส่วนมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นต่ำ
และสาเหตุประการที่สามเกดิ จากหลักสูตร พบว่า เนื้อหาบางส่วนมีความซบั ซ้อนยากแกก่ ารเข้าใจ สื่อการเรียน
การสอนมนี อ้ ย ไมเ่ รา้ ความสนใจของผเู้ รยี น
การนำเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้การเรียน
การสอนบรรลุวัตถุประสงค์ เนื่องจากเทคนิคการจัดการเรียนรู้นี้มีสื่อเป็นตัวกลางที่ช่วยให้การสื่อสารระหว่าง
ผู้สอนและผู้เรียนดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของเนื้อหาบทเรียนได้ตรงกับ
ผู้สอนต้องการ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้เทคนิคการจัดการเรยี นรู้ที่หลากหลายร่วมกบั กิจกรรมการเรียนรูท้ ่ีสนุกสนาน
มาใช้จัดการเรียนการสอนอย่างมีประสทิ ธิภาพ เช่น การแสดงบทบาทสมมติ แบบจำลอง วีดีโอ 3 มิติ (AR) เกม
เปน็ ต้น เพอื่ ช่วยใหน้ ักเรยี นเกิดการเรยี นรู้บรรลตุ ามวัตถุประสงค์ ในการเรียนการสอนผสู้ อนมีวัตถุประสงค์หลัก
คือ การถ่ายทอดความรู้ให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทางสติปัญญา ทักษะเจตคติ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ
นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่นำมาใช้
จะต้องคำนึงให้เหมาะสมตามวัยของผู้เรียนและความแตกต่างระหว่างบุคคล การเลือกใช้ต้องพิจารณา
ถึงจุดมุ่งหมายของการสอนเป็นสำคัญ ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องจัดเตรียมเทคนิคการจัดการเรียนรู้
ทหี่ ลากหลาย เพอื่ ให้ผเู้ รยี นรูส้ กึ เกิดความสนใจท่จี ะเรียนรูแ้ ละเรยี นรู้ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ
จากปัญหาดังกล่าว มีความสำคัญควรจะได้รับการพัฒนา ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการ
เรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญที่สามารถสนองความต้องการ ศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง
บุคคล และมีความสนุกสนาน ผู้วิจัยจึงเห็นว่าการสอนโดยการใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
จะเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้และความเข้าใจในเนื้อหา เรื่อง สมการเคมี ดังนั้นผู้วิจัยจึงนำวิธีดังกล่าว
มาจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี
ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 ดว้ ยการเรยี นการสอนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
วตั ถุประสงค์ของการวิจัย
1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการเคมี หลังใช้เทคนิคการจัดการเรียนรูท้ ี่หลากหลาย
ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3/4 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา จงั หวดั สตูล กับเกณฑค์ ะแนนเฉลย่ี ร้อยละ 70
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการเคมี ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการ
เรยี นรทู้ ี่หลากหลาย ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/4 โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา จงั หวัดสตลู
สมมติฐานของงานวิจัย
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4
โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล หลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย สูงกว่าเกณฑ์คะแนน
เฉลยี่ รอ้ ยละ 70
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4
โรงเรยี นกำแพงวิทยา จงั หวดั สตลู หลงั เรยี นดว้ ยเทคนคิ การจัดการเรียนรทู้ ่หี ลากหลายสูงกว่ากอ่ นเรียน
ขอบเขตของการวจิ ยั
ประชากร
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 โรงเรียนกำแพงวิทยา
จงั หวัดสตลู จำนวน 38 คน
กลุม่ ตัวอยา่ ง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 โรงเรียนกำแพงวิทยา
จงั หวดั สตลู จำนวน 6 คน ซ่ึงได้มาจากวิธีสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง
3
เนอื้ หาทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
การสร้างเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เรื่อง สมการเคมี เนื้อหาที่ใช้ประกอบการสร้างครั้งน้ี
ผู้วิจยั ได้ใชเ้ นอ้ื หาในรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี ได้แก่
1. การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
2. หลกั การเขยี นสมการเคมี
3. กฎทรงมวล
ระยะเวลาทใี่ ช้
พฤศจกิ ายน 2564- กุมภาพันธ์ 2565
ตวั แปรทีศ่ กึ ษา
ตวั แปรต้น : เทคนคิ การจัดการเรียนร้ทู หี่ ลากหลาย
ตวั แปรตาม : ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง สมการเคมี
4
บทท่ี 2
เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง
ในการวิจัยเรอื่ ง การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี โดยใชเ้ ทคนคิ การ
จดั การเรยี นรู้ทหี่ ลากหลาย สำหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3/4 ผ้วู จิ ัยได้ทำการศึกษาคน้ ควา้ เอกสาร แนวคิด
ทฤษฎี และงานวิจัยท่เี กยี่ วขอ้ ง โดยได้รวบรวมเอกสารและสรปุ เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางการวจิ ัยในครง้ั น้ี รายละเอียด
ดังตอ่ ไปนี้
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์
2. ลกั ษณะการจดั การเรียนการสอนของกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์
3. ส่ือการสอน
4. การสอนโดยใช้เกม
5. การสอนโดยใช้เพลง
6. การสอนโดยใชแ้ บบจำลอง
7. การสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ
8. สอ่ื การเรียนรู้ AR
9. องค์ความรู้ เร่อื ง สมการเคมี
10. งานวจิ ยั ที่เกยี่ วขอ้ ง
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐานพุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ 2560)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) นี้ จัดทำขึ้นสำหรับ
ท้องถิ่นและสถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการ
สอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่
จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ตลอดชวี ิต
หลักการ
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน มีหลกั การสำคัญดังน้ี
1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็น
เป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทย
ควบคกู่ ับความเป็นสากล
2. เป็นหลักสตู รการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศกึ ษาอย่างเสมอภาค และมี
คณุ ภาพ
3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้
สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถนิ่
4. เปน็ หลักสูตรการศึกษาทม่ี ีโครงสรา้ งยดื หยุ่นทัง้ ดา้ นสาระการเรยี นรู้ เวลา และการจัดการเรยี น
5. เป็นหลักสูตรการศกึ ษาที่เนน้ ผ้เู รยี นเป็นสำคญั
6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุก
กลุ่มเปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้และประสบการณ์
5
มาตรฐานการเรียนรู้
การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐานจงึ กำหนดใหผ้ ู้เรยี นเรียนรู้ 8 กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ดังน้ี
1. ภาษาไทย
2. คณิตศาสตร์
3. วิทยาศาสตร์
4. สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
5. สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
6. ศิลปะ
7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
8. ภาษาต่างประเทศ
ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรไู้ ด้กำหนดมาตรฐานการเรยี นรเู้ ป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพ
ผู้เรยี น มาตรฐานการเรียนร้รู ะบุส่ิงที่ผูเ้ รียนพึงรู้ ปฏบิ ัติได้ มคี ุณธรรมจรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทพ่ี งึ ประสงค์ เม่ือจบ
การศึกษาขั้นพนื้ ฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญ
จุดหมาย
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ม่งุ พัฒนาผ้เู รียนให้เป็นคนดี มปี ญั ญา มคี วามสุข มีศักยภาพใน
การศกึ ษาต่อ และประกอบอาชพี จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพ่อื ให้เกิดกบั ผูเ้ รยี น เมอ่ื จบการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน ดังนี้
1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม
หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรอื ศาสนาทต่ี นนับถอื ยดึ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
2. มคี วามรู้ ความสามารถในการสอื่ สาร การคิด การแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยแี ละมีทกั ษะชวี ิต
3. มสี ุขภาพและสุขภาพจติ ทด่ี ี มีสขุ นิสัย และรักการออกกำลงั กาย
4. มีความรักชาติ มจี ติ สำนกึ ในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มนั่ ในวิถชี ีวิตและการปกครองตาม
ระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมขุ
5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม
มจี ิตสาธารณะทม่ี ุ่งทำประโยชนแ์ ละสรา้ งสิง่ ทดี่ งี ามในสงั คม และอย่รู วมกนั ในสังคมอย่างมีความสุข
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี นและคุณลักษณะอันพึงประสงค์
ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานทก่ี ำหนด ซึ่งจะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ดังนี้
สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน มุง่ ใหผ้ ู้เรียนเกดิ สมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดงั น้ี
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา
ถ่ายทอดความคิด ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ
ประสบการณอ์ ันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทัง้ การเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหา
ความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไมร่ ับข้อมูลข่าวสารดว้ ยหลักเหตผุ ลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้
วธิ ีการสือ่ สารทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบทมี่ ีต่อตนเองละสังคม
6
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง
สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ
เพือ่ การตัดสินใจเก่ยี วกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ัญหาและอปุ สรรคต่าง ๆ ทเี่ ผชญิ ได้อย่าง
ถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ
เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ปัญหา
และมีการตัดสนิ ใจทีม่ ปี ระสิทธภิ าพโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบทเี่ กดิ ขึน้ ต่อตนเอง สงั คมและสง่ิ แวดล้อม
4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใชใ้ นการดำเนิน
ชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการ
สร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การ
ปรบั ตัวใหท้ นั กับการเปล่ียนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรจู้ ักหลกี เล่ียงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ท่ี
สง่ ผลกระทบตอ่ ตนเองและผ้อู นื่
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใชเ้ ทคโนโลยตี ่างๆ และมีทักษะ
กระ บวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การ
แก้ปัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ ถูกต้องเหมาะสมและมคี ณุ ธรรม
คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน มุ่งพฒั นาผู้เรียนให้มีคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ เพ่ือให้สามารถ
อยู่รว่ มกับผูอ้ น่ื ในสังคมไดอ้ ย่างมีความสุข ในฐานะเปน็ พลเมืองไทยและพลเมอื งโลก ดังน้ี
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์
2. ซื่อสตั ย์สุจรติ
3. มีวินยั
4. ใฝ่เรียนรู้
5. อยูอ่ ย่างพอเพยี ง
6. มุ่งม่นั ในการทำงาน
7. รกั ความเป็นไทย
8. มจี ิตสาธารณะ
นอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติมให้สอดคล้องตามบริบทและ
จุดเน้นของตนเอง
มาตรฐานการเรียนรู้
การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐานจงึ กำหนดใหผ้ ู้เรียนเรียนรู้ 8กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดงั นี้
1. ภาษาไทย
2. คณติ ศาสตร์
3. วิทยาศาสตร์
4. สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม
5. สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
6. ศลิ ปะ
7
7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี
8. ภาษาตา่ งประเทศ
ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพ
ผู้เรยี น มาตรฐานการเรียนรรู้ ะบุสิ่งท่ผี ้เู รยี นพงึ รู้ ปฏบิ ัตไิ ด้ มคี ุณธรรมจริยธรรม และค่านิยมท่พี งึ ประสงค์ เมื่อจบ
การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยงั เป็นกลไกสำคัญ
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อม โยงความรู้กับ
กระบวนการ มที กั ษะสำคญั ในการค้นควา้ และสร้างองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และ
แก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริง
อยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ชน้ั โดยกำหนดสาระสำคญั ไว้ 8 สาระ ดงั น้ี
1. วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ เรยี นรูเ้ ก่ยี วกับชีวติ ในส่งิ แวดล้อม องคป์ ระกอบของสิง่ มชี วี ิต การดารงชีวิตของ
มนุษย์และสตั ว์ การดารงชีวติ ของพชื พันธกุ รรม ความหลากหลายทางชีวภาพและววิ ัฒนาการของสงิ่ มีชีวติ
2. วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารการเคลื่อนที่
พลังงาน และคลน่ื
3. วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนร้เู กี่ยวกบั โลกในเอกภพ ระบบโลก และมนษุ ย์กับการเปลี่ยนแปลง
ของโลก
4. ชวี วิทยา เรียนรูเ้ ก่ยี วกบั การศกึ ษาชีววทิ ยา สารเคมใี นสง่ิ มชี วี ติ เซลลข์ องส่ิงมชี ีวิต พันธุกรรมและการ
ถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงสร้างและการทำงานของส่วนต่าง ๆ ในพืชดอก ระบบ
และการทางานในอวยั วะตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ และสงิ่ มชี วี ิตและสิง่ แวดล้อม
5. เคมี เรียนรู้เกี่ยวกับปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร ทักษะ
และการแก้ปัญหาทางเคมี
6. ฟิสิกส์ เรียนรเู้ กย่ี วกับธรรมชาติและการคน้ พบทางฟิสิกส์ แรง และการเคล่ือนที่ พลังงาน
7. โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรู้เกย่ี วกับโลกและกระบวนการเปล่ียนแปลงทางธรณีวทิ ยา ข้อมูล
ทางธรณวี ทิ ยาและการนำไปใช้ประโยชน์ การถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ นของโลก การเปล่ียนแปลงลกั ษณะลมฟ้า
อากาศกบั การดำรงชวี ติ ของมนษุ ย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กบั มนุษย์
8. เทคโนโลยี
8.1 การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
เทคโนโลยีเพื่อดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ
ออกแบบเชงิ วิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวติ สงั คม และสิ่งแวดลอ้ ม
8.2 วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะการคิด เชิง
คำนวณ การคดิ วิเคราะห์ แก้ปัญหาเปน็ ข้นั ตอนและเป็นระบบ ประยกุ ต์ใช้ความรดู้ ้านวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์และ
เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารในการแกป้ ัญหาทพ่ี บในชวี ติ จริงได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต
และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลง
แทนท่ใี นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม
แนวทางในการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติและการแกไ้ ข ปัญหาสิ่งแวดล้อมรวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
8
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารผ่านเซลล์
ความสัมพันธ์ของ โครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์
ของโครงสรา้ งและหนา้ ทขี่ องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ที ำงานสมั พันธก์ ัน รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร
พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวฒั นาการของ
ส่ิงมชี ีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร
กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ
เกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะการ
เคลอ่ื นท่แี บบ ตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทงั้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์
ระหว่างสสาร และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสง
และคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทัง้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
สาระที่ 3 วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ
มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี
ดาวฤกษ์ และ ระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยี อวกาศ
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายใน
โลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้ง ผลต่อ
ส่งิ มีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม
สาระที่ 4 ชวี วทิ ยา
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องสง่ิ มีชวี ิต การศึกษาชีววิทยาและวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ สารท่ีเป็น
องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและ หน้าที่ของเซลล์
การลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับเซลล์
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและ
หน้าที่ ของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐาน ข้อมูล และแนวคิด เกี่ยวกับ
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ
กำเนิดของส่งิ มีชีวิต ความหลากหลายของสิง่ มีชวี ิต และ อนกุ รมวิธาน รวมทงั้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 4.3 เขา้ ใจส่วนประกอบของพชื การแลกเปลีย่ นแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช
การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำ
ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
มาตรฐาน ว 4.4 เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ รวมทั้งการหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส
การลาเลียงสารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และ การตอบสนอง การ
เคลื่อนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และ พฤติกรรมของสัตว์ รวมทั้งนำ
ความรไู้ ปใช้ประโยชน์
9
มาตรฐาน ว 4.5 เขา้ ใจแนวคดิ เกีย่ วกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวยี นสาร
ในระบบ นิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ ประชากร และ
รูปแบบการเพิ่มของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา และผลกระทบที่ เกิดจากการใช้
ประโยชน์ และแนวทางการแก้ไขปญั หา
สาระท่ี 5 เคมี
มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและ
สมบตั ิ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรยี ์และ พอลเิ มอร์ รวมทั้งการ
นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 5.2 เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการ
เกิดปฏิกิริยา เคมี สมดุลในปฏิกริ ิยาเคมี สมบัติและปฏิกริ ยิ าของกรด–เบส ปฏิกิริยารดี อกซ์และเซลล์ เคมีไฟฟ้า
รวมท้ังการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 5.3 เข้าใจหลักการทาปฏิบัติการเคมี การวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วย
การคำนวณปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และ ทักษะในการอธิบาย
ปรากฏการณ์ในชีวิตประจำวนั และการแกป้ ัญหาทางเคมี
สาระที่ 6 ฟสิ ิกส์
มาตรฐาน ว 6.1 เขา้ ใจธรรมชาติทางฟสิ ิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคล่ือนท่ีแนวตรง แรงและ
กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการ อนุรักษ์
พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การเคลือ่ นทแ่ี นวโค้ง รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 6.2 เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสง รวมทั้งนำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
มาตรฐาน ว 6.3 เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ยไ์ ฟฟ้า ความจไุ ฟฟ้า กระแสไฟฟ้า
และกฎของโอห์ม วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลงั งานไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทนเป็นพลังงาน
ไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็ก แรงแมเ่ หลก็ ที่กระทำกับประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ การเหนี่ยวนำแมเ่ หล็กไฟฟ้าและกฎ
ของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลบั คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 6.4 เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมแิ ละสถานะของสสาร สภาพ
ยืดหยุ่นของวัสดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุงและหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรง
หนดื ของของเหลว ของไหลอดุ มคติและสมการแบร์นูลลี กฎของแกส๊ ทฤษฎีจลนข์ องแกส๊ อดุ มคตแิ ละพลังงานใน
ระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสี แรง
นิวเคลยี ร์ ปฏิกิริยานวิ เคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์อนุภาค รวมท้งั นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์
สาระท่ี 7 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ
มาตรฐาน ว 7.1 เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัย และผลต่อสิ่งมีชีวิตและ
สง่ิ แวดล้อม การศกึ ษาลำดับชน้ั หนิ ทรพั ยากรธรณี แผนที่ และการนำไปใช้ประโยชน์
มาตรฐาน ว 7.2 เขา้ ใจสมดลุ พลังงานของโลก การหมนุ เวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวยี นของน้ำใน
มหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการ
พยากรณอ์ ากาศ
10
มาตรฐาน ว 7.3 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี
ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตำแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้า
และปฏสิ มั พนั ธภ์ ายในระบบสรุ ยิ ะ รวมทั้งการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศในการดำรงชวี ติ
สาระท่ี 8 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 8.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง
รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน
อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดย
คำนึงถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวิต สงั คม และสิง่ แวดลอ้ ม
มาตรฐาน ว 8.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชงิ คำนวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวติ จริงอย่างเป็นขั้นตอนและ
เป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ รู้เทา่ ทันและมีจริยธรรม
ตัวชี้วดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง
ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นร้แู กนกลางท่ีสอดคล้องกับเรือ่ ง สมการเคมี ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ
มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร
กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร
การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
ชัน้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง
ม.3 4. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชิง • เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีมวลรวมของสารต้งั ต้น
ประจักษ์ เท่ากับมวลรวมของผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นไปตาม
กฎทรงมวล
2. ลกั ษณะการจดั การเรยี นการสอนของกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาสาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระบวนการเรียนการสอนที่ใช้ในการ
เรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
1. กระบวนการสบื เสาะหาความรู้กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ประกอบด้วยขน้ั ตอนท่ีสำคัญดังนี้
1.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เปน็ การนำเข้าสู่บทเรยี นหรอื เรอ่ื งทส่ี นใจซง่ึ อาจเกดิ ขน้ึ เองจาก
ความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัวนักเรียนเอง หรือเกิดจากการอภิปรายในกลุ่มเรื่องที่น่าสนใจ
อาจจะมาจากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่พึ่งเรียนรู้
มาแล้ว ตวั กระตนุ้ ให้นักเรียนสรา้ งคำถาม กำหนดประเด็นท่ีจะศึกษา ในกรณีทีย่ งั ไม่มีประเด็นใดน่าสนใจครูอาจ
ให้ศึกษาจากสื่อต่าง ๆ หรือเป็นผู้กระตุ้นด้วยการเสนอประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียนยอมรับ
ประเดน็ หรอื คำถามที่ครกู ำลงั สนใจเปน็ เรอ่ื งที่จะใชศ้ ึกษา
11
เมื่อมีคำถามที่น่าสนใจและนักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับใช้ประเด็นที่ต้องการศึกษาจึงร่วมกัน กำหนด
ขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเร่อื งท่ีจะศึกษา ให้มคี วามชดั เจนยิง่ ขนึ้ อาจรวมท้ังการรวบรวมความรู้จาก
ประสบการณ์เดิม หรือความรจู้ ากแหล่งต่าง ๆ ที่จะชว่ ยให้นำไปสคู่ วามเข้าใจเรอื่ งหรือประเด็นทจี่ ะศกึ ษามากข้ึน
และมีแนวทางทใี่ ชใ้ นการสำรวจตรวจสอบอยา่ งหลากหลาย
1.2 ข้ันสำรวจและค้นหา (exploration) เมอ่ื ทำความเขา้ ใจในประเด็นหรือคำถามทีส่ นใจจะศึกษาอย่าง
ถ่องแท้แล้ว ก็มีการวางแผนกำหนดแนวทางการสำรวจ ตรวจสอบ ตั้งสมมติฐาน กำหนดทางเลือกทีเ่ ปน็ ไปไดล้ ง
มือปฏิบัติ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทำได้หลายวิธี เช่น
การทดลอง การทำกิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำลอง การศึกษาหาข้อมูล
จากเอกสารอ้างอิง หรอื จากแหลง่ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ เพ่อื ให้ไดม้ าซงึ่ ขอ้ มูลอยา่ งเพียงพอท่ีจะใชใ้ นขั้นต่อไป
1.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสำรวจตรวจสอบแล้ว
จงึ นำขอ้ มลู ขอ้ สนเทศที่ได้มาวิเคราะห์ แปลผล สรปุ ผล และนำเสนอผลที่ได้ในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ บรรยายสรุป
สร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้นนี้ อาจเป็นไปได้หลายทาง เชน่
สนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมตฐิ านที่ตั้งไว้ หรือไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้กำหนดไว้ แต่ผลที่ได้จะ
อย่ใู นรูปใดกส็ ามารถสร้างความรแู้ ละช่วยให้เกดิ การเรยี นรู้ได้
1.4 ขั้นขยายความรู้ (elaboration) เป็นการนำความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคดิ
ที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือนำแบบจำลอง หรือข้อสรุปที่ได้ ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ได้ ใช้
อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อจำกัดน้อยซึ่งก็จะช่วยให้เชื่อมโยงกับเรื่องต่าง ๆ และทำให้เกิดความรู้
กวา้ งขวางขึ้น
1.5 ขั้นประเมิน (evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้
อะไรบ้างอย่างไรและมากน้อยเพยี งใดจากท่านน้ีจะนำไปสูก่ ารนำความรู้ไปประยุกตใ์ ช้ในเรื่องอื่น ๆ
2 กระบวนการแกป้ ญั หา (problems solving process)
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายประการหนึ่ง คือเน้นให้นักเรียนและแก้ปัญหาต่าง ๆ โดย
ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติอย่างมีระบบ ผลที่ได้จากการฝึกจะช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจ แก้ปัญหา
ต่าง ๆ ด้วยวิธีการคิดอย่างสมเหตุสมผล โดยใช้กระบวนการหรือวิธีการความรู้ทักษะต่าง ๆ และความเข้าใจใน
ปญั หานัน้ มาประกอบการเพอ่ื เป็นข้อมูลในการแก้ปญั หา
เพื่อให้เข้าใจได้ตรงกนั ถงึ ความหมายทีแ่ ท้จริงของปัญหา หรือสิ่งทีพ่ บแล้วไม่สามารถจะใช้วิธีการใดวิธีการ
หนงึ่ แกป้ ญั หาไดท้ ันที หรอื เมอ่ื มปี ญั หาเกดิ ขนึ้ และไม่สามารถมองเห็นแนวทางแก้ไขได้ทันที
"ปญั หา" หมายถงึ สถานการณ์ เหตุการณ์ หรอื ส่งิ ทีพ่ บและไม่สามารถจะใชว้ ิธีการใดวธิ ีการหน่ึงแก้ปัญหาได้
ทนั ที หรือเมอ่ื มปี ญั หาเกดิ ขึ้นแลว้ ไมส่ ามารถมองเหน็ แนวทางแก้ไขได้ทนั ที
"แบบฝึกหดั " หมายถงึ สถานการณ์ เหตกุ ารณ์ หรอื ส่ิงท่พี บแลว้ สามารถแก้ไขหรือเลือกวิธีแก้ไขได้ทันทีหรือ
มองเห็นไดอ้ ย่างชัดเจนว่ามวี ธิ ีแกไ้ ขท่ีแนน่ อน
การแกป้ ญั หาอาจทำได้หลายวธิ ีทง้ั นี้ข้นึ อยู่กับลกั ษณะของปัญหา ความรู้ และประสบการณข์ องผแู้ ก้ปัญหา
กระบวนการแกป้ ัญหาแต่ละขัน้ ตอนมคี วามสัมพนั ธด์ ังแผนภาพ
12
ภาพท่ี 1 กระบวนการแก้ปญั หา
ข้นั ตอนในการแก้ปญั หา ประกอบด้วย
1. ทำความเข้าใจปัญหา ผแู้ ก้ปัญหาจะตอ้ งทำความเขา้ ใจกับปญั หาทีพ่ บให้ถ่องแท้ในประเดน็ ต่าง ๆ
1.1 ปญั หาถามว่าอยา่ งไร
1.2 มีขอ้ มลู ใดบา้ ง
1.3 มเี ง่ือนไขหรือต้องการข้อมูลใดเพิม่ เติมอีกหรือไม่
การวิเคราะห์ปัญหาอย่างดี จะช่วยให้ขั้นตอนต่อไปดำเนินไปอย่างราบรื่น การจะประเมินว่านักเรียน
เขา้ ใจปัญหามากน้อยเพียงใด ทำไดโ้ ดยการกำหนดใหน้ ักเรียนเขยี นแสดงถึงประเด็นตา่ ง ๆ ท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั ปัญหา
2. วางแผนแก้ปัญหา ขั้นตอนนี้จะเป็นการคิดหาวิธีวางแผน เพื่อแก้ปัญหาโดยใช้ข้อมูลจากปัญหาที่ได้
วิเคราะห์ไว้แล้วในข้ันตอนที่ 1 ประกอบกับข้อมูลและความรูท้ ี่เก่ียวขอ้ งกับปญั หาน้ัน และนำมาใชป้ ระกอบการ
วางแผนแก้ปัญหา ในกรณีที่ปัญหาต้องตรวจสอบโดยการทดลอง ขั้นตอนนี้ก็จะเป็นการวางแผนการทดลอง ซึ่ง
ประกอบด้วย การตงั้ สมมติฐาน กำหนดวิธกี ารทดลอง หรอื ตรวจสอบและอาจรวมทั้งแนวทางในการประเมินผล
การแกป้ ัญหา
3. ดำเนินการแก้ปัญหาและประเมินผล ขัน้ นี้จะเป็นการลงมือแกป้ ัญหา และประเมนิ วา่ วธิ กี ารแก้ปัญหา
และผลที่ได้ ถูกต้องหรือได้ผลเป็นอย่างไร ถ้าการแก้ปัญหาทำได้ถูกต้องก็จะมีการประเมินต่อไปว่าวิธีการน้ัน
น่าจะยอมรับไปใช้ในการแก้ปัญหาอื่น ๆ หรือไม่ แต่ถ้าพบว่าการแก้ปัญหานั้นไม่ประสบความสำเร็จ ก็จะต้อง
ย้อนกลับไปเลือกวิธีการแก้ปัญหาอื่น ๆ ที่ได้กำหนดไว้แล้วในขั้นตอนที่ 2 และถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จ
นักเรยี นจะตอ้ งย้อนกลับไปทำความเข้าใจปัญหาใหมว่ า่ พบข้อบกพร่องประการใด เชน่ ขอ้ มลู กำหนดให้เพียงพอ
เพื่อจะไดเ้ ร่ิมตน้ การแก้ปญั หาใหม่
4. ตรวจสอบการแก้ปัญหา เป็นการประเมินภาพรวมของการแก้ปัญหาผลการแก้ปัญหาและการ
ตัดสินใจรวมทั้งการนำไปประยุกต์ใช้ทั้งนี้ในการแก้ปัญหาใด ๆ ต้องตรวจสอบถึงผลกระทบต่อสังคมและ
สิง่ แวดล้อมดว้ ย
13
แม้ว่าจะดำเนินตามขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว ก็ตามผู้แก้ปัญหาอย่างต้องมีความมั่นใจว่าจะสามารถ
แก้ปัญหานั้นได้ รวมทั้งต้องมุ่งมั่นและทุ่มเทให้กับการแก้ปัญหา เนื่องจากบางปัญหาต้องใช้เวลาและความ
พยายามเป็นอย่างสูง นอกจากนี้ถ้านักเรียนเกิดความเหนื่อยล้าจากการแก้ปัญหาก็ควรให้นักเรียนได้มีโอกาส
พกั ผอ่ น
3 กจิ กรรมคิดและปฏิบัติ (Hands-on mind- on activities)
นักการศึกษาวิทยาศาสตร์แนะนำให้ครูจัดกิจกรรมให้นักเรียนได้คิดและลงมือปฏิบัติเมื่อนักเรียนได้ลง
มือปฏิบัติจริง หรือได้ทำการทดลองต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ก็จะเกิดความคิดและคำถามที่หลากหลายตัวอย่าง
กิจกรรม ไดแ้ ก่
- นำแมเ่ หล็กเขา้ ใกล้วสั ดตุ า่ ง ๆ แล้วสังเกตผลทเ่ี กิดขึน้
- ใช้วัตถุต่าง ๆ ถูกับผ้าชนิดต่าง ๆ แล้วนำมาแขวนไว้ใกล้กันหรือมาแต่ชิ้นกระดาษและสังเกตการ
เปลย่ี นแปลง
- ตอ่ หลอดไฟฟา้ หลายหลอดกบั ถา่ นไฟฉาย สงั เกตและเปรียบเทียบผลทเี่ กิดขึ้น
- ใช้กลอ้ งจุลทรรศน์สอ่ งดูเน้ือเย่อื ของสง่ิ มชี ีวติ และสังเกตและเปรยี บเทยี บเนือ้ เยอ่ื ของสงิ่ มีชวี ิตตา่ ง ๆ
- เปา่ ลมหายใจลงไปในน้ำปูนใส สังเกตการเปล่ยี นแปลงที่เกดิ ขนึ้
เมอ่ื นักเรียนไดท้ ำกจิ กรรมลักษณะน้ี จะทำให้สังเกตพน้ื ทีเ่ กิดขน้ึ ด้วยตัวเอง ซึง่ เปน็ ขอ้ มลู ทีจ่ ะนำไปสู่การ
ถามคำถาม การอธิบาย การอภิปราย การหาข้อสรุปและการศึกษาต่อไป กิจกรรมลักษณะน้ี จึงส่งเสริมให้
นกั เรียนได้ลงมือปฏิบตั ิและฝึกคิด นำมาสู่การสร้างความรู้ด้วยตนเอง ด้วยความเข้าใจและเป็นการเรียนรู้อย่างมี
ความหมาย
4 การเรยี นรแู้ บบร่วมมือรว่ มใจ (cooperative Learning)
การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถนำมาใช้ในการเรียนการสอน
วิทยาศาสตรไ์ ด้อย่างเหมาะสมวิธีหน่ึง เน่อื งจากขณะท่นี ักเรยี นทำกจิ กรรมรว่ มกันในกลุ่ม นักเรียนจะได้มีโอกาส
แลกเปลีย่ นความรกู้ บั สมาชิกของกลมุ่ และการที่แต่ละคนมีวัยใกลเ้ คียงกนั ทำใหส้ ามารถสื่อสารกันไดเ้ ป็นอย่างดี
แต่การเรยี นรู้แบบร่วมมือรว่ มใจให้มปี ระสทิ ธิผลนั้น ตอ้ งมีรูปแบบหรือมีการจัดระบบอย่างดี นักการศึกษาหลาย
ท่านได้ทำการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวาง เพื่อจะนำมาใช้ในการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ รวมทั้งวิทยาศาสตร์
และคณิตศาสตร์ด้วย
แนวคิดหลักที่จะนำไปสู่การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจอย่างมีประสิทธิภาพประกอบด้วย 6 ประการดัง
แผนภาพ
14
ภาพท่ี 2 แนวคิดหลักการเรยี นรแู้ บบ cooperative learning
ที่มา : Kagan : cooperative learning : 1994
1. การจัดกลมุ่ กลุ่มท่จี ะเรียนร้ดู ้วยกันอย่างมีประสิทธผิ ล ควรเป็นกลุม่ ละ 4 คนประกอบด้วย นักเรียน
ที่มผี ลสัมฤทธิใ์ นการเรียนสูงปานกลางค่อนข้างต่ำและการและหญิงชายเท่า ๆ กนั ในบางกรณีอาจจะเป็นโดยวิธี
อืน่ เชน่ ในการศึกษาเรอ่ื งลึกเฉพาะ เช่น ทำโครงงานวิทยาศาสตรค์ วรจะเปน็ นกั เรยี นทีม่ ีความสนใจหรือจัดกลุ่ม
โดยวธิ ีสุม่ และต้องการทบทวนความรู้และจัดให้อยู่ในกลมุ่ เดยี วกันประมาณ 6 สปั ดาหจ์ ึงต้องเปล่ยี นกล่มุ ใหม่
2. อุดมการณ์ หมายถงึ ความมงุ่ มัน่ อุดมการณ์ของนักเรยี นทจี่ ะรว่ มงานกัน นักเรียนจะตอ้ งมีความมุ่งม่ัน
ที่จะเรียนรู้และมีความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน สิ่งเหล่านี้ต้องการให้เกิดขึ้นและให้คงไว้
โดยให้ทำกิจกรรมหลากหลาย เช่น การสร้างความร่วมมือของกลุ่มที่จะทำงานร่วมกนั การสร้างความมุ่งม่ันของ
ชั้นเรียนทจ่ี ะช่วยกนั
3. การจัดการ เพื่อให้กลุ่มทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการจัดการของครูและการจัดการของ
นักเรียนภายในกลุ่ม ครูจะต้องมีการจัดการที่ดี เพื่อให้การทำงานของกลุ่มประสบความสำเร็จ เช่น การควบคุม
เวลา การกำหนดสญั ญาณให้นกั เรยี นหยดุ กจิ กรรม ฯลฯ
4. ทักษะทางสังคม เป็นทักษะในการทำงานร่วมกันมีความสัมพันธ์ทีด่ ีตอ่ การใหค้ วามช่วยเหลือกัน ให้
กำลังใจซง่ึ กนั และกัน และฟงั ความคดิ เห็นของกนั และกัน
5. หลักพนื้ ฐาน ได้แก่
- การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีแนวคิดว่าเมื่อเราได้รับประโยชน์จากเพื่อน เพื่อนก็จะได้
ประโยชน์จากเรา ความสำเรจ็ ของคณุ คือความสำเร็จของแตล่ ะคน
- ยอมรับว่าแต่ละคนในกลุ่มต่างมีความสามารถและมีความสำคัญต่อกลุ่ม แต่ละคนมีส่วนในการ
ทำงานให้กล่มุ สำเร็จ
- ทุกคนในกลมุ่ ต้องใหค้ วามรว่ มมือและมีส่วนรว่ มในการของกลุ่มอย่างเทา่ เทียมกันทกุ คนในกลุ่มต้อง
มีปฏสิ มั พันธ์กันตลอดเวลาทีท่ ำงานกลุ่ม
6. โครงสร้างของกิจกรรม หมายถึง รูปแบบของกิจกรรมในการทำงานกลุ่มซึ่งมีหลากหลายทั้งนี้ขึ้นอยู่
กับปัญหา หรอื สถานการณท์ ีจ่ ะศกึ ษา ตัวอย่างเชน่
- กิจกรรมจับคู่สลับกันพูดในหัวข้อและในเวลาที่กำหนดเชน่ เม่ือคนหนึ่งที่อีกคนหนึง่ ฟังและสลับกนั
คนละ 1 นาที
15
- นักเรียนแตล่ ะคนในกลุ่มเขียนแสดงความคิดเห็นเร่ืองใดเรื่องหนึ่งในกระดาษแผ่นเดยี วกัน แล้ววน
ไปเร่ือย ๆ จนนกั เรียนทุกคนเขยี นหมด แล้วนำมาสรปุ
- มอบหมายใหต้ วั แทนของสมาชกิ ในกลุ่มไปรวมกล่มุ ใหม่ เรยี กวา่ กล่มุ เชย่ี วชาญ
กลุ่มเชี่ยวชาญนี้จะศึกษาเรื่องย่อยที่แบ่งไว้เป็นตอนในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วกลับมาที่บายสมาชิกในกลุ่ม
เดิม ในทส่ี ุดนักเรยี นทงั้ หมดจะเรยี นรเู้ รือ่ งทัง้ หมด จากเพือ่ นนนั่ คอื นกั เรียนแต่ละคนในกล่มุ ได้รับมอบหมายงาน
เพียงหนึ่งชิ้นย่อย แต่ต้องต่อชิ้นย่อยให้เต็มรปู นั่นคือต้องเรียนรู้ทั้งเรื่องแล้วมีการทดสอบเป็นคะแนนของแต่ละ
คน
แบบของกจิ กรรมท่ีจะกระตนุ้ ให้นักเรยี นเรยี นรโู้ ดยร่วมมือร่วมใจกันทำงานในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ
ใด นักเรียนจะได้ใช้ความคิดและต้องมีการปฏิบัติด้วย แล้วจึงแสดงความคิดเห็นของตนเองแลกเปลีย่ นกับเพื่อน
ใน กลุ่มกับเพื่อนต่างกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจจึงทำให้นักเรียนพัฒนากระบวนการคิด ทักษะในการ
สอ่ื สาร ทกั ษะทางสังคม รวมทัง้ การจดั การ
จากแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่กล่าวมาแล้ว กิจกรรมภายในห้องเรียนส่วนใหญ่จะดำเนินไป
ด้วยตัวนักเรียนเอง โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้กระตุ้นการเรียนรู้ วางแผนกิจกรรมและจัดหาแหล่งข้อมูลที่จะให้เกิด
การเรียนรู้ รวมทั้งเป็นผู้ขยายความรู้ความคิด ของนักเรียนให้สมบูรณ์ ครูจึงมีบทบาทสำคัญหลายประการ
มากกว่าเป็นผู้สอนอย่างเดียว จากการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบร่วมมือร่วมใจนี้ทำให้ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนของนกั เรียนทกุ คนพฒั นากา้ วหนา้ ขน้ึ
การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวิชาวทิ ยาศาสตรท์ เ่ี ป็นอยู่ในปัจจุบนั พบปญั หา คือ ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนวิชาวิทยาศาสตรต์ ่ำจากผลการวจิ ัยของกรมวิชาการ (2544: 7) พบว่านักเรียนส่วนใหญ่สอบผ่านเกณฑ์ขั้น
ต่ำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในด้านทฤษฎี ความรวู้ ิชาวิทยาศาสตร์อย่ใู นเกณฑ์ต่ำ สาเหตุของการจัดการเรียนการ
สอนของเดก็ ไทยไมป่ ระสบความสำเรจ็ เพราะการศึกษาของเด็กไทยเปน็ เพยี งบทเรียนในตำราท่ีมเี นอื้ หาในเชิงให้
จดจำมากกว่าให้รู้จักคิดในเชิงวิพากษ์ วิจารณ์ทั้งครูทั้งเด็กจึงไม่ค่อยมีใครกล้าเดินแตกแถวออกนอกกรอบ
ผลิตผลแหง่ คณุ ค่าทางสมองของเดก็ ในโรงเรยี นแทนทจี่ ะมคี วามคดิ สร้างสรรค์ กลบั ต้องเปน็ ง่อยทางปัญญาอย่าง
น่าเสียดาย ตรงข้ามกับปรัชญาท่ีว่า “การศึกษาคือการสร้างคนสรา้ งชาติ” ดังนั้นการจดั การเรียนการสอนควรมี
การกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนถึงสงิ่ สำคัญ และจำเป็นจะต้องให้ผู้เรยี นไดร้ ับ ดังที่ นดิ า สะเพยี รชัย (2520: 4)
กล่าวว่า เราจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ตามวิธีการที่ถูกต้อง จุดมุ่งหมาย
หลักในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์น่าจะเน้นที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากกว่า
การถ่ายทอดความรทู้ ่นี กั วิทยาศาสตร์ไดส้ ะสมไว้ เป็นท่ีทราบดีวา่ ความรูท้ างวิทยาศาสตร์มีมากมายมหาศาล การ
จะถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียนจดจำนั้นเป็นเรื่องยากและไม่เกิดประโยชน์ สอดคล้องกับ วรวิทย์ วศินสรากร
(2544: 112) กล่าวว่า ความพยายามที่จะพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการปฏิรูป
การศึกษาด้านต่าง ๆ แต่การที่จะทำให้เป้าหมายทัง้ เชงิ ปริมาณและคุณภาพดังกลา่ วสำเร็จต้องอาศยั “ครู” เป็น
ปัจจัยสำคัญ แม้ในปัจจุบันเทคโนโลยีจะกา้ วหน้า ข้อมูลข่าวสารไร้พรมแดน แต่ก็ไม่สามารถทดแทนครูไดเ้ พราะ
การศึกษาไม่ใช่เพียงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ การฝึกคิด การบ่มนิสัยให้แต่ละคน
สามารถพ่งึ พาตนเอง และมีนำ้ ใจเอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ต่อผู้อืน่ เหลา่ น้ีต้องใชค้ นสอนทงั้ น้ัน แนวคดิ ในการจัดการศึกษา
ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอนนั้นครูจะคำนึงถึงเสมอว่าการสอนที่แท้จริง ก็คือการพัฒนาให้
ผู้เรียนเป็นคนมีความสามารถเป็นคนดีมีความสุข คิดกว้าง คิดไกล ใฝ่ดี สามารถดำรงตนให้เกิดประโยชน์ต่อ
ตนเองและสังคมรอบข้าง ในการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์นั้น นอกจากจะมุ่งให้ผู้เรียนมี
ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาแล้ว ยังจะต้องเน้นองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย อันได้แก่ ทักษะกระบวนการทาง
16
วิทยาศาสตร์ ความเข้าใจลักษณะของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อการเรียนการสอนจึงจะทำให้การ
เรยี นการสอนกลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรไ์ ด้ผลสมบูรณ์
3. สือ่ การสอน
1. ความหมายของสอ่ื การสอน
การนำสอ่ื มาใชใ้ นการเรียนการสอน ซ่ึงเปน็ การนำวัสดุ เครอ่ื งมอื และวธิ ีการมาประกอบในการถ่ายทอด
ความรู้และเนื้อหาไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ในสิ่งที่ครูได้ถ่ายทอด รวมไปถึงมีความเข้าใจตรงตาม
เนือ้ หา นอกจากนย้ี งั ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเรยี นรู้ไดง้ ่ายยิ่งขึ้น และชว่ ยประหยดั เวลา
2. ประเภทของส่อื การสอน
การแบ่งชนดิ และประเภทของสอื่ การสอนน้นั สามารถแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภทได้แก่
2.1 สื่อประเภทวัสดุ (Software) หมายถึง สื่อที่มีขนาดเล็ก ทำหน้าที่เก็บเนื้อหาความรู้ในลักษณะของ
ภาพและเสียง สื่อประเภทน้ีแบ่งไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ คอื
2.1.1 สื่อประเภทวัสดุสิ่งพิมพ์ (Printed) เช่น เอกสารการสอน หนังสือ ตำรา และสื่อประเภทที่ต้อง
เขียน หรือพิมพท์ ุกชนิด
2.1.2 สื่อวัสดุประเภทไม่ใช่สิ่งพิมพ์ (non printed) เป็นสื่ออื่นๆ ที่นอกเหนือจากสิ่งพิมพ์ เช่น ของจรงิ
ของตัวอย่าง ของจำลอง กระดานดำ ป้ายชนิดต่างๆ รวมถึงวัสดุที่ต้องใช้กับเครื่องมือ เช่น ม้วนเทปบันทึกเสียง
ฟลิ ม์ สไลด์ ฟลิ ม์ ภาพยนตร์ แผน่ โปร่งใส เทปบนั ทกึ ภาพหรอื แผน่ ดสิ ก์
2.2 สื่อประเภทอุปกรณ์ (hardware) เป็นสื่อประเภทเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้า
เมื่อจะทำงาน เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายภาพโปร่งใส เครื่องเทปบันทึกเสียง วิทยุ
วดิ ีโอเทป เครื่องขยายเสยี ง เครื่องเล่นแผน่ เสยี ง คอมพิวเตอร์ โทรทศั น์
2.3 สื่อประเภทวชิ าการ (technique) เป็นสื่อประเภทวิธีการและกิจกรรมหรอื กระบวนการและวิธกี าร
สอนตา่ งๆ เช่น การบรรยาย การสาธิต การสอนรายบุคคล เกมส์ การแสดงละคร กลมุ่ สัมพันธ์ การศกึ ษา
3. หลักในการใช้ส่ือการสอน
ในการพิจารณาเลือกใช้สื่อการสอนแต่ละครั้งครูควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของสื่อการสอนแต่ละ
ชนดิ ดงั นี้
3.1 ความเหมาะสม ส่ือทจี่ ะใชน้ ้นั เหมาะสมกบั เน้ือหาและวตั ถุประสงค์ของการสอนหรือไม่
3.2 ความถกู ต้อง สือ่ ทีจ่ ะใชช้ ่วยให้นักเรียนไดข้ อ้ สรุปทถี่ กู ตอ้ งหรอื ไม่
3.3 ความเข้าใจ สื่อท่ีจะใช้นั้นควรช่วยให้นักเรียนรจู้ กั คิดอยา่ งมเี หตผุ ลและใหข้ ้อมูลทถ่ี ูกต้องแก่นักเรียน
3.4 ประสบการณ์ทไี่ ด้รับ สอ่ื ทใี่ ช้นัน้ ชว่ ยเพ่ิมพนู ประสบการณ์ให้แกน่ ักเรียน
3.5 เหมาะสมกับวัย ระดับความยากง่ายของเนื้อหาที่บรรจุอยู่ในสื่อชนิดนั้น ๆ เหมาะสมกับระดับ
ความสามารถ ความสนใจ และความตอ้ งการของนักเรยี นหรือไม่
3.6 เทย่ี งตรงในเนอ้ื หา สื่อนน้ั ชว่ ยให้นักเรียนได้เรยี นร้เู น้ือหาท่ีถูกตอ้ งหรอื ไม่
3.7 ใช้การได้ดี สอื่ ท่ีนำมาใช้ควรทำให้เกดิ ประสิทธิภาพในการเรียนรไู้ ดด้ ี
3.8 ค้มุ ค่ากับราคา ผลท่ไี ดจ้ ะคุม้ คา่ กบั เวลา เงิน และการจดั เตรียมสอื่ น้ันหรือไม่
3.9 ตรงกบั ความตอ้ งการ สือ่ น้ันช่วยใหน้ ักเรียนรว่ มกจิ กรรมตามทีค่ รูต้องการหรือไม่
3.10 ช่วยเวลาความสนใจ สื่อนนั้ ชว่ ยกระตุน้ ให้นักเรียนสนใจในชว่ งเวลานานพอสมควรหรือไม่
17
4. ประโยชนข์ องส่อื การสอน
4.1 เปดิ โอกาสให้นักเรยี นได้เรียนรจู้ ากวตั ถุที่เป็นรูปธรรม ซง่ึ เป็นการกระตุ้นให้นกั เรียนได้สร้าง
แนวความคิดดว้ ยตนเอง
4.2 กระตนุ้ ใหน้ ักเรียนเกิดความสนใจในเรือ่ งที่จะเรยี นมากข้นึ
4.3 ชว่ ยใหน้ ักเรียนเกดิ การเรียนรูไ้ ด้งา่ ยข้ึนและสามารถจดจำได้นาน
4.4 ใหป้ ระสบการณท์ ่ีส่งเสรมิ ใหน้ กั เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง
4.5 นำประสบการณ์นอกหอ้ งเรียนมาใหน้ กั เรียนศกึ ษาในห้องเรียนได้
5. กรวยประสบการณ์ของเอดการ์ เดล (Edgar Dale)
เอดการ์ เดล ได้จัดแบ่งสื่อการสอนเพื่อเป็นแนวทางในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
โสตทัศนูปกรณ์ และแสดงเป็นขั้นตอนของประสบการณ์การเรียนรู้และการใช้สื่อ นำมาสร้างเป็น “กรวย
ประสบการณ”์ (Cone of Experience ) แบ่งเป็นขัน้ ตอนดงั นี้
1. ประสบการณ์ตรง ซึ่งเป็นขั้นที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากของจริง
สถานที่จริง
2. ประสบการณร์ อง ผูเ้ รียนเรยี นจากส่งิ ท่ีใกลเ้ คยี งกบั ความจริงทส่ี ดุ
3.ประสบการณน์ าฏกรรมหรือการแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติ หรอื การแสดงละคร
4. การสาธิต เป็นการแสดงหรือกระทำประกอบคำอธิบาย
5. การศึกษานอกสถานที่ ให้ผู้เรียนไดร้ ับประสบการณ์ภายนอกท่ีเรียน
6. นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิง่ ของตา่ งๆ การจดั ปา้ ยนิเทศ
7. โทรทศั น์ ใช่สง่ ไดท้ ัง้ ระบบวงจรเปิดหรือวงจรปิด การสอนจะเปน็ การสอนสดหรือบันทึกลงบนวดี ีทัศน์
8. ภาพยนตร์ เป็นภาพทบี่ ันทึกเร่ืองราวเหตุการณ์ลงบนฟลิ ์ม
9. การบันทกึ เสียง วิทยุ ภาพนิง่ เป็นการฟังหรือดภู าพโดยไม่ต้องอ่าน
10. ทัศนสญั ลักษณ์ เช่น แผนภูมิ แผนที่ แผนสถิติ
11. วจนสญั ลกั ษณ์ ซึ่งเปน็ ข้นั นามธรรมมากทสี่ ดุ ได้แก่ ตวั หนงั สือ เสียงพดู
การจากกรวยประสบการณน์ ี้ เดลได้จำแนกส่ือเปน็ 3 ประเภท คือ
1. สื่อประเภทวัสดุ หมายถึง สื่อที่เก็บความรู้อยู่ในตัวเองจำแนกย่อยได้ 2 ลักษณะ
1.1 วสั ดุประเภททส่ี ามารถถ่ายทอดความรูไ้ ดด้ ้วยตนเองไม่จำเป็นใช้อุปกรณ์อ่นื ชว่ ย เช่น แผนท่ี ลูกโลก
รูปภาพ
1.2 วัสดุประเภทที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วย เช่น แผ่นซีดี ฟิล์ม
ภาพยนตร์ สไลด์
2. สื่อประเภทอุปกรณ์ หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่านทำให้ข้อมูลถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือ
ได้ยนิ
3. สื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเป็นแนวความคิดหรือรูปแบบขั้นตอนใน
การเรยี นการสอน
4. การสอนโดยใช้เกม
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้เกม คือ เกมการศึกษา เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นเกมที่มีลักษณะการเล่นเพื่อการเรียนรู้ “Play to learning” มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้
ผูเ้ รียนเกิดการเรยี นร้ใู นขณะหรือหลงั จากการเล่น เกม เรียนไปด้วยและก็สนุกไปด้วยพรอ้ มกัน ทำให้ผ้เู รียนมกี าร
เรียนรูอ้ ย่างมีความหมาย
18
ทิศนา แขมมณี (2552 : 14) ได้กล่าวว่า เกม เป็นหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะเกม
ภาษาอังกฤษซึ่งภาษาอังกฤษมีความสำคัญต่อการเรียนการสอนอยู่เสมอ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาระหว่าง
ชาติที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกการใช้เกมประกอบการสอนภาษาอังกฤษจะช่วยทำให้ผู้เรียนสนุกสนานกับ
บทเรียน ไม่น่าเบื่อ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกความกล้าในการใช้ภาษา ทำให้ผู้เรียนมีความมั่นใจเมื่อนำ
ภาษาอังกฤษไปใช้ในชีวิตประจำวัน และช่วยให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนการสอนภาษาอังกฤษด้วย
ส่วนประกอบของเกมได้แก่ ชื่อเกม จุดมุ่งหมาย การแบ่งกลุ่ม อุปกรณ์ และข้อเสนอแนะในการเล่นเกมผู้สอน
และผู้เลน่ ควรดัดแปลงแตล่ ะเกมใหเ้ หมาะสมกับสภาพหอ้ งเรียน ระดบั ความรู้ และความสามารถของผู้เรยี นด้วย
สรุ างค์ สากร (2554) ได้เสนอแนะในการใช้เกมประกอบการสอนไวด้ งั น้ี
1. ครูตอ้ งเข้าใจกติกาการเล่นเป็นอย่างดี
2. การสอนทกุ ครัง้ ควรกวดขันเรอื่ งกติกา มารยาท ความยตุ ิธรรม และความมีนำ้ ใจเป็นนักกฬี า
3. การอธิบายเกย่ี วกับกติกาการเล่น ควรใชเ้ วลาให้น้อยทสี่ ดุ และเลอื กนกั เรียนคนหน่ึงหรือกลุ่มหน่ึงมา
ลองซอ้ มความเขา้ ใจใหด้ ูกอ่ น
4. กำหนดเวลาการเล่นให้เหมาะสมและติดตามดูว่านักเรียนเกิดทักษะและความรู้ตามจุดประสงค์
หรอื ไม่
5. การเล่นเกมหากนักเรยี นมีจำนวนมากควรแบ่งกลุ่ม เพือ่ เปิดโอกาส ใหน้ กั เรยี นทุกคนได้ร่วมกิจกรรม
อย่างทั่วถึง และการแบ่งกลุ่มควรแบ่งให้แต่ละกลุ่มมีความสามารถเท่า ๆ หรือใกล้เคียงกันเพื่อความสมดุล การ
แขง่ ขนั จงึ จะตน่ื เตน้ และเกิดกำลังใจในการเล่น
6. ควรให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดหาอุปกรณ์การเล่นหรือส่งเสริมให้นักเรียนลองคิดหาเกมที่จะ
นำมาใชป้ ระกอบการเรียนการสอนเองบา้ ง
จากการศึกษา สรุปได้ว่า การสอนโดยใช้เกม เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เปน็ เกมทม่ี ลี ักษณะการเลน่ เพอื่ การเรียนรู้ ชว่ ยให้ผู้เรยี นสนุกสนานกบั บทเรยี นไมน่ า่ เบือ่
5. การสอนโดยใช้เพลง
เทคนิคการใชเ้ พลง
เทคนิคการใช้เพลง หมายถึง กลวิธีต่างๆที่ครูใช้สำเนียงขับร้องและทำนองดนตรีมาให้นักเรียนได้ร้อง
หรือครูร้องให้นักเรียนฟัง เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการ ผ่อนคลายและเปลี่ยน
บรรยากาศการเรียน แต่ยังคงไวซ้ ึ่งเนือ้ หาในบทเรียน โดยเนอ้ื หาของเพลงตอ้ งมคี วามสอดคล้องกับเรื่องทสี่ อน
วัตถุประสงคข์ องการใช้เพลงประกอบการสอน
1. เพ่อื สร้างบรรยากาศท่สี นกุ สนานไมเ่ ครียดและเอ้ือต่อการเรียนรู้
2. เพือ่ ให้นกั เรียนได้พัฒนาท้งั ทางด้านรา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา
3. เพื่อสอดคล้องแทรกคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่พึ่งประสงค์ผ่านทางเนื้อร้องและ
ความหมายของเพลง
4. เพ่ือชว่ ยให้นกั เรยี นเกิดการเรียนรตู้ ามวัตถุประสงค์
ประโยชนข์ องการใช้เพลง
1. สรา้ งแรงจูงใจในการเรียน
2. สรา้ งบรรยากาศท่ดี ตี อ่ การเรยี นรู้
3. เสริมสรา้ งระเบยี บวินัยแกผ่ เู้ รยี น
19
4. เกดิ ความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ
5. ชว่ ยให้จดจำเน้ือหาในบทเรียนไดน้ าน
6. ช่วยสง่ เสริมพัฒนาการทุกด้านของนกั เรยี น
ลักษณะของเพลงประกอบการสอน
1. เป็นทำนองเพลงทน่ี ักเรียนสามารถฟงั จนตดิ หู หรือร้องจนตดิ ปากแลว้
2. บทเพลงที่นกั เรยี นมโี อกาสปรบมอื ทำจงั หวะ และแสดงท่าทางต่างๆ
3. แตง่ เป็นบทร้อยกรองกลอนสภุ าพ หรอื กาพยย์ านี ๑๑
4. บทเพลงเกยี่ วกับบา้ นและโรงเรียน หรือเก่ียวกบั คน
5. เน้นความไพเราะสนุกสนาน
6. มีเนื้อหาของเรอื่ งทจ่ี ะสอนสอดแทรกไวใ้ นเพลงทกุ เพลง
7. มเี น้ือหาท่ไี มห่ ยาบคาย
8. เพลงที่ใช้สว่ นใหญม่ ีเน้อื หาส้ันๆ ไมย่ าวจนเกินไป
9. สนกุ สนาน กระต้นุ และเร้าใจ
10. หลังจากร้องเพลงจบแลว้ จะมีการอภปิ รายเกย่ี วกบั เน้อื หาหรือปญั หาทนี่ า่ คดิ จากเน้ือเพลง
เทคนิคการใช้เพลงประกอบ
การใชเ้ พลงประกอบการสอนนนั้ ครูอาจใชใ้ นข้นั นำเขา้ สู่บทเรยี น ข้ันทำกิจกรรมการเรยี นการสอน หรอื
ขั้นสรุปก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและอยู่ในดุลยพินิจของครู และในการร้องเพลงครูอาจเป็นคนร้อง หรือให้
นักเรยี นรอ้ ง หรอื เปดิ เทปบนั ทกึ เสยี งให้ฟังกไ็ ด้ ทสี่ ำคญั อยา่ ลมื สนทนาถงึ สาระสำคัญของเน้ือเพลง หรอื ข้อคิดข้อ
เตือนใจท่ไี ด้จากเพลง หรือใหน้ กั เรยี นทำกิจกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ หลังจากทไี่ ด้ฟังเพลง
6. การสอนโดยใชแ้ บบจำลอง (Model)
ศุภรัศมิ์ ฐิติกุลเจริญ (2550) ได้กล่าวว่า แบบจำลอง ก็คือ ทฤษฎีหรือตัวแทนของทฤษฎีที่ใช้อธิบาย
ปรากฎการณ์ในโลกแหง่ ความเปน็ จริงอย่างงา่ ย ๆ และแบบจำลองทางการสอ่ื สารก็คือทฤษฎที ่ีอธบิ ายการทำงาน
หรือกระบวนการส่ือสาร
สนุ ีรัตน์ จนั ทร์รัก (ม.ป.ป.) ไดก้ ล่าววา่ แบบจำลอง (Model) หมายถึง วธิ ีการสอื่ สารทางความคดิ ความ
เขา้ ใจ ตลอดจนจินตนาการที่มีต่อปรากฏการณห์ รือเรื่องราวใด ๆ ใหป้ รากฏโดยใช้การสื่อในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น
แผนภมู ิ แผนผงั ระบบสมการ และรปู แบบอ่ืน เปน็ ตน้ เพ่อื ให้เขา้ ใจไดง้ า่ ย และสามารถนำเสนอเรอื่ งราวได้อย่าง
มีระบบ
จากการศึกษา สรุปได้ว่า สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้แทนของจริง เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา โดยใช้วิธี
สอ่ื สารทางความคดิ ความเข้าใจ ตลอดจนจนิ ตนาการท่ีมีต่อปรากฏการณ์หรือเรอ่ื งราวใด ๆ ให้ปรากฏโดยใช้การ
สือ่ ในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น แผนภูมิ แผนผัง ระบบสมการ และรูปแบบอ่นื
7. การสอนโดยใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ
ทิศนา แขมมณี (2550 : 358) กลา่ วถงึ วธิ สี อนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ คือ กระบวนการท่ีผู้สอน
ใช้ในการช่วยให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรูต้ ามวตั ถุประสงค์ท่ีกำหนด โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทในสถานการณซ์ ่ึง
มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง และแสดงออกมาตามความรู้สึกนึกคิดของตน และนำเอาการแสดงออกของผู้
20
แสดง ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความรู้สึกและพฤติกรรมที่สังเกตพบว่าเป็นข้อมูลใน การอภิปราย เพื่อให้
ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรูต้ ามวัตถุประสงค์
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2550 : 160) อธิบายถึง วิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมติ หมายถึง วิธีสอนที่ผู้สอนสร้าง
สถานการณ์และบทบาทสมมติขึ้นจากความเป็นจริง มาให้ผู้เรียนได้แสดงออกตามที่ผู้เรียนคิดว่าควรจะเป็น
ผู้สอนจะใช้การแสดงออกทั้งทางด้านความรู้ความคิด และพฤติกรรมของผู้แสดงมาเป็นพื้นฐานในการให้ความรู้
และสร้างความเข้าใจแก่ผู้เรียน อันจะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเน้ือหาสาระของบทเรียนอย่างลึกซึ้ง และรู้จัก
ปรบั เปลย่ี นพฤติกรรม และการแกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ได้อยา่ งเหมาะสม
สรุปได้ว่า วิธีสอนโดยใช้การแสดงบทบาทสมมติ หมายถึง การสอนที่ผู้สอนสร้างสถานการณ์และ
บทบาทสมมติขึ้นมาท่ีใกลเ้ คยี งกบั ความเป็นจริง โดยใหผ้ เู้ รียนเป็นผู้แสดงบทบาทสมมตินน้ั ๆ ตามวตั ถุประสงค์ที่
ผ้สู อนไดก้ ำหนดไว้ เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นไดแ้ สดงออกทางด้านความรู้ ความคิด ทีค่ ิดวา่ ตนควรจะเป็น
8. สอ่ื การเรียนรู้ AR
ความหมาย
Augmented Reality หรือ AR เปน็ เทคโนโลยีใหม่ ที่ผสานเอาโลกแห่งความเปน็ จรงิ (Real) เขา้ กับโลก
เสมือน (Virtual) โดยผ่านทางอุปกรณ์ Webcam,กล้องมือถือ, Computer รวมกับการใช้ software ต่างๆ ทำ
ให้สามารถมองเห็นภาพที่มีลักษณะเป็น object เช่น คน, สัตว์, สิ่งของ, สัตว์ประหลาด, ยานอวกาศ เป็นต้น
แสดงผลในจอภาพกลายเป็นวัตถุ 3 มิติลอยอยู่เหนือพื้นผิวจริง และกำลังพลิกโฉมหน้าให้สื่อโฆษณาบน
อินเทอร์เนต็ ก้าวไปสู่ความตืน่ เตน้ เรา้ ใจแบบใหมข่ องการที่มีภาพสินค้าลอยออกมานอกจอคอมพวิ เตอร์ ว่ากนั ว่า
นี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าสื่อยุคใหม่ พอๆ กับเมื่อครั้งเกิดอินเทอร์เน็ตขึ้นในโลกก็ว่าได้ หากเปรียบสื่อ
ตา่ งๆ เสมอื น “กล่อง” แลว้ AR คือการเดง้ ออกมาสู่โลกใหมภ่ ายนอกกล่องท่ีสร้างความตนื่ เต้นเร้าใจ ในรูปแบบ
Interactive Media โดยแท้จรงิ
เพียงแค่ภาพสญั ลกั ษณ์ที่ตกแต่งเป็นรปู รา่ งอะไรกไ็ ด้ แล้วนำไปทำรหัส เมื่อตีพิมพ์บนวตั ถุตา่ งๆ แล้วไม่
ว่าจะเป็นบนผ้า แก้วน้ำ กระดาษ หน้าหนังสือหรือแม้แต่บนนามบัตร แล้วส่องไปยังกล้องเว็บแคม หรือการยก
สมารท์ โฟนส่องไปข้างหน้า ทม่ี ี Reality Browser Layar เราอาจเห็นภาพโมเดลของอาคารขนาดใหญ่ หรอื เห็น
สญั ลักษณข์ องร้านค้าต่างๆ รูปสนิ ค้าตา่ งๆ รวมไปถงึ รปู คนเสมือนจรงิ ปราความเป็นมาของ AR
ความเป็นมาของ AR
เทคโนโลยนี ี้ไดถ้ ูกพัฒนามาต้ังแตป่ ี ค.ศ. 2004 จดั เป็นแขนงหนึง่ ของงานวจิ ัยดา้ นวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์
ว่าด้วยการเพิ่มภาพเสมือนของโมเดลสามมิติที่สร้างจากคอมพิวเตอร์ลงไปในภาพที่ ถ่ายมาจากกล้องวิดีโอ เว็บ
แคม หรือกล้องในโทรศัพท์มือถือ แบบเฟรมต่อเฟรม ด้วยเทคนิคทางด้านคอมพิวเตอร์กราฟิก แต่ด้วยข้อจำกัด
ทางเทคโนโลยีจึงมีการใช้ไม่แพรห่ ลายเท่าไหร่ แต่ปจั จุบนั เทคโนโลยมี ือถือ และการส่ือสารข้อมูลไร้สาย รวมทั้ง
การประมวลต่างๆ มีความรวดเร็วขน้ึ และมีราคาถูก จึงทำให้อุปกรณ์สมารท์ โฟน และแทบเล็ต ทำใหเ้ ทคโนโลยีที่
อยูแ่ ตใ่ นห้องทดลอง กลบั กลายมาเป็นแอพทส่ี ามารถดาวน์โหลดมาใช้งานกันง่ายๆ ไปแลว้ โดยในช่วง 2-3 ปีมา
นี้ AR เป็นเรื่องที่ถูกกล่าวถึงอยู่เป็นระยะ แม้จะไม่ฮอตฮิตเหมือนแอพตัวอื่นๆ ก็ตาม แต่อนาคตยังไปได้อีกไกล
ทั้ง VR และ AR สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้กว้างขวางหลากหลาย ทั้งด้าน อุตสาหกรรม การทหาร
การแพทย์ การตลาด การบันเทงิ การสื่อสาร และ การศกึ ษา
21
หลักการทำงานของระบบ AR
เป็นการนำเทคโนโลยีมาผสานระหวา่ งโลกแหง่ ความเป็นจรงิ และความเสมือนจริงเข้าดว้ ยกัน ดว้ ยการใช้
ระบบซอฟต์แวรแ์ ละอปุ กรณ์เชือ่ มต่อตา่ งๆเช่นเว็บแคมคอมพิวเตอรห์ รืออุปกรณ์อ่นื ท่ีเก่ียวข้องโดยองค์ประกอบ
ของระบบ AR มีดงั นี้
1. ตัว Marker (หรือMarkup) ซึ่งเป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ หรือรูปภาพที่กำหนดไว้เป็นตัว
เปรยี บเทยี บ กับส่งิ ท่เี ก็บไวใ้ นฐานข้อมูล (Marker Database)
2. กล้องวิดีโอ กล้องเว็บแคม กล้องโทรศัพท์มือถือ หรือตัวจับ Sensor อื่นๆ เพื่อทำการการวิเคราะห์
ภาพ (Image Analysis) และวิเคราะห์จาก marker ประเภทอื่นๆ ที่กำหนดไว้ โดยระบบจะทำการคำนวณค่า
ตำแหน่งเชิง 3 มิติ (Pose Estimation) ของ Marker เทียบกบั กลอ้ ง
3. สว่ นแสดงผล อาจเปน็ จอภาพคอมพิวเตอร์ หรอื จอภาพโทรศัพท์มอื ถอื หรอื อ่ืนๆ
4. ซอฟตแ์ วรห์ รือสว่ นประมวลผลเพ่ือสร้างภาพหรอื วตั ถุแบบสามมิติ กระบวนการสร้างภาพสองมิติจาก
โมเดล 3 มิติ (3D Rendering) เป็นการเพิ่มข้อมูลเข้าไปในภาพโดยใช้ค่าตำแหน่งเชิง 3 มิติที่คำนวณได้จนได้
ภาพหรือขอ้ มูลซ้อนทบั ไปบนภาพจริงกฎตวั และกำลังพดู ผ่านหนา้ จอคอมพิวเตอร์
9. องค์ความรู้ เร่อื ง สมการเคมี
ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี โดยใช้เทคนิค
การจัดการเรียนรูท้ ีห่ ลากหลาย ของนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/4 ผู้วิจัยไดใ้ ชเ้ นือ้ หา 3 ส่วนดังนี้
1. การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2. หลกั การเขยี นสมการเคมี
3. กฎทรงมวล
1. การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
กระบวนการที่เกิดจากการที่สารเคมเี กดิ การเปลี่ยนแปลงแลว้ สง่ ผลใหเ้ กดิ สาร ใหม่ขึ้นมาซ่ึงมีคณุ สมบตั ิ
เปลี่ยนไปจากเดิม การเกิดปฏิกิริยาเคมีจำเป็นต้องมีสารเคมีตั้งต้น 2 ตัวขึ้นไป (เรียกสารเคมีตั้งต้นเหล่านี้ว่า
"สารตั้งต้น" หรือ reactant)ทำปฏิกิริยาต่อกัน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณสมบัติทางเคมี ซึ่งก่อตัว
ขึ้นมาเป็นสารใหมท่ เี่ รยี กวา่ "ผลิตภัณฑ"์ (product) ซง่ึ สารผลิตภณั ฑ์มีคณุ สมบตั ิทางเคมที เี่ ปลีย่ นไปจากเดิม
หลงั จากการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมอี ะตอมท้งั หมดของสารตั้งต้นไมม่ ีการสูญหายไปไหนแต่เกิดการแลกเปล่ียน
จากสารหนึ่งไปสู่อีกสารหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้จากผลรวมของอะตอมของสารตัง้ ตน้ จะเท่ากบั ผลรวมของอะตอมของ
ผลติ ภัณฑ์
2. หลกั การเขียนสมการเคมี
2.1 เขียนสูตรเคมีหรือสญั ลักษณข์ องสารตงั้ ต้นแต่ละชนดิ
2.2 หาวา่ ในปฏกิ ิรยิ าเคมีนัน้ เกิดสารผลิตภณั ฑ์ใดขึน้ บ้างและเขยี นสตู รเคมขี องสารผลติ ภัณฑ์
2.3 ให้ระบุสถานะของสารไว้หลังสตู ร โดยเขียนไวใ้ นวงเลบ็
(s) = ของแขง็ (solid)
(l) = ของเหลว (liquid)
(g) = แกส๊ (gas)
22
(aq) = สารละลาย (aqueous solution)
หลักการดลุ สมการ
1. ทำจำนวนอะตอมของธาตุต่าง ๆ ในโมเลกุลใหญ่ที่สุดให้เท่ากันก่อน หลังจากนั้นจึงดุลอะตอม
ของธาตุทเ่ี ล็กลงตามลำดับ
2. หากปฏกิ ิรยิ ามีกลมุ่ อะตอมหรือโมเลกุลให้ดลุ เป็นกลุ่มก่อน จากน้ันค่อยดลุ ธาตอุ ิสระ
3. วางสัมประสิทธิ์หน้าสมการเคมีหรือตัวเลขไว้หน้าอะตอมหรือโมเลกุล แล้วนับจำนวนแต่ละข้าง
ให้เท่ากัน
4. บางกรณีอาจจะต้องทำจำนวนอะตอมของธาตุทั้ง 2 ข้างของสมการให้เป็นเลขคู่ก่อน เพื่อจะได้
ดุลสมการไดส้ ะดวก
5. ตรวจสอบความถูกต้อง
3. กฎทรงมวล
กล่าวว่า “ ในปฏิกิริยาเคมีใดๆมวลของสารทั้งหมดที่ทำปฏิกิริยากันจะเท่ากับมวลของสารทั้งหมดที่
เกิดขึน้ จากปฏกิ ริ ยิ านนั้ ”
10. งานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง
สถาพร ปิ่นทอง (2560) ทำการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสารอาหาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการสอนแบบเกมศึกษา โรงเรียน
บางกอกวทิ ยาจังหวัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2559 ทีเ่ รยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์พื้นฐานจำนวน
30 คนที่ได้มาโดยการเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6
แผนชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ซึ่งเป็นข้อสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อสถิติ
พื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การ
เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสำหรับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว One-sample T-test และการวิเคราะห์เปรียบเทียบความ
แตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ T-test แบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า 1)
แผนการจัดการเรียนรู้ โดยการสอนแบบเกมศึกษาอยู่ในระดับที่มีความเหมาะสมมาก ( ̅= 4.39 , S.D. = .31)
และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านเนื้อหาสาระ อยู่ในระดับเหมาะสมมาก ( ̅ = 4.32 , S.D. = .28) ด้าน
จุดประสงค์การเรียนรู้ อยู่ในระดับเหมาสมมาก ( ̅ = 4.48 , S.D. = .43) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน อยู่ใน
ระดับเหมาะสมมาก ( ̅ = 4.45 , S.D. = .36) ด้านสือ่ และแหล่งเรยี นรู้ อยู่ในระดบั เหมาะสมมาก ( ̅ = 4.45 ,
S.D. = .36) และด้านการวดั และประเมินผล อยู่ในระดบั เหมาะสมมากทส่ี ุด ( ̅ = 4.56 , S.D. = .51) 2) คะแนน
เฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อาหารและสารอาหารชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นสูงกว่าร้อยละ60 อย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติ ท่รี ะดบั .05 3) นกั เรียนท่ีไดร้ บั ผลการจัดการเรียนร้ดู ้วย
วิธีการสอนแบบเกมศึกษา ก่อนเรียน ( ̅ = 12.53 , S.D. = 4.00) มีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าหลัง
เรยี น ( ̅ = 23.43 , S.D. = 4.40) อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .05
อัจฉรา เปรมปรีดา (2558) ได้ทำวิจัยเรื่องผลของการใช้เกมและการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น
(5Es) ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะ
กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติด้านพหุวัฒนธรรม เรื่องระบบร่างกายมนุษย์ ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 2 การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลของการใช้เกมและการสอนแบบวัฏจักร การเรียนรู้ 5
23
ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติในด้านพหุวัฒนธรรม ของนักเรียน จากการเรียนเรื่องระบบร่างกาย
มนษุ ย์ ของนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 2 กลมุ่ เปา้ หมายเปน็ นักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านทุ่งเกราะ
อำเภอท่าศาลา จงั หวดั นครศรธี รรมราช ภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2556 จำนวน 30 คน ซง่ึ ได้มาจากการเลือก
กลุ่มที่ศึกษาแบบเจาะจง จัดการเรียนการสอนโดยใช้เกมประกอบการเรยี นการสอนในสังคมพหุวัฒนธรรม และ
ใชเ้ วลาในการจดั การเรียนรู้ 18 ช่ัวโมง เครอ่ื งมือที่ใช้ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ย เกมท่ใี ชป้ ระกอบการเรียนการสอน
ในสังคมพหุวัฒนธรรม แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนแบบวัฎจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es)
แบบทดสอบผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าวทิ ยาศาสตร์ แบบทดสอบทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ แบบวัด
เจตคติในดา้ นพหุวัฒนธรรมของนักเรียน วเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยหาค่าเฉล่ีย ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที
ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากการเรียนเรื่องระบบร่างกายมนุษย์โดยใช้เกม
และการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสังคมพหุวัฒนธรรม
สูงกวา่ เกณฑร์ ้อยละ 70 ทรี่ ะดับนัยสำคัญทางสถติ ิ 0.05 2. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรียนหลัง
การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมและการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์ในสังคมพหุวัฒนธรรมในสังคมพหุวัฒนธรรม สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ
0.05 3. เจตคติในด้านพหุวัฒนธรรมของนักเรียนหลังจากการเรียนเรื่องระบบร่างกายมนุษย์โดยใช้เกมและการ
สอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสังคมพหุวัฒนธรรม สูงกว่า
กอ่ นการจัดการเรียนรู้และจดั อยูใ่ นระดบั มาก
จิรวดี โยยรัมย์ และสิทธิโชค น้อยเกิดพะเนาว์ (2562) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์
ช่วยสอนสอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติร่วมกับเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เรื่องดาราศาสตร์และอวกาศ
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสอดแทรก
การ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติร่วมกับเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เรื่องดาราศาสตร์และอวกาศ สำหรับนักเรียนชัน้
มัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รียนทีม่ ตี ่อการเรียนโดยใช้บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน
สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติร่วมกับเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เรื่องดาราศาสตร์และอวกาศ สำหรับ
นักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีขัน้ ตอนกระบวนการออกแบบตามแบบหลักการของ ADDIE Model และทำ
การประเมินผลเพื่อวัดความพึงพอใจของผู้เรียนโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการหาค่าความสอดคล้องระหว่างข้อ
คำถามกับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหา (IOC : Index of item objective congruence) จากผู้เชี่ยวชาญผล
การศึกษา พบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติร่วมกับเทคโนโลยีความจริง
เสริม (AR) เรื่องดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ สำหรับนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ทีพ่ ัฒนาขึน้ เป็นบทเรียนท่ีผู้เรียน
สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยเนื้อหาแบ่งออกเป็น 5 หน่วยการเรียนรู้ ในส่วนของเนื้อหาจะมีกิจกรรมหลัง
เรียนให้ผู้เรียนได้ทำ เพื่อวัดความเข้าใจของผู้เรียนในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งในส่วนของกิจกรรมนี้ได้มีการนำเทคโนโลยี
AR เข้ามาร่วมเพื่อสรุปหรือทบทวนเนื้อหาก่อนทำกิจกรรม และผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อ
การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนสอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชัน 2 มิติร่วมกับเทคโนโลยีความจริงเสริม ( AR)
เรอื่ งดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ สำหรับนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 พบว่า ผเู้ รียนมคี วามพงึ พอใจในบทเรียนอยู่ใน
ระดับความพึงพอใจมากที่สดุ โดยมีคา่ เฉลีย่ เท่ากบั 4.73
สุนันทา ยินดีรมย์, บญุ เรือง ศรเี หรัญ, และชาตรี เกดิ ธรรม (2557) ไดท้ ำวิจยั เรือ่ ง การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนด้วยสื่อประสม กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่ม
24
ตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนลาดบัวหลวง (นิ่มนวลอุทิศ) อำเภอ ลาดบัวหลวง จังหวัด
พระนครศรีอยุธยา ท่ีกำลังศึกษาอย่ใู นภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2556 จำนวน 2 ห้องเรยี น จำนวนนกั เรียน 60
คน ซ่ึงไดม้ าโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) และใชก้ ารสุม่ อย่างงา่ ยเพื่อเลือกห้องหน่ึง
เป็นห้องทดลอง อีกห้องหนึ่งเป็นห้องควบคุม เรียนโดยใช้วธิ ีการสอนเมื่อใช้สื่อประสม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั
ครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 4 แผน แผนละ 2 ชั่วโมง 2) สื่อประสมประกอบด้วย
บทเรียนคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน แบบฝึก และเกม จำนวน 4 เร่ือง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ชนดิ
4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.80 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.27 – 0.80 และค่าความ
ยากระหว่าง 0.27 – 0.80 4) แบบวัดเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยใช้สื่อประสมแบบมาตร
ส่วนประเมินค่า 5 ระดับ 5) แบบประเมินคุณภาพของสื่อประสม สถิติพรรณนาที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ
ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐานความแตกต่าง ค่าเฉลี่ยของ
คะแนนจากแบบทดสอบวดั ผล สมั ฤทธท์ิ างการเรียนโดยใชส้ อ่ื ประสม ซึ่งใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนสองทาง
แบบวัดซ้ำ (Repeated measure two ways ANOVA) ผลการศึกษาวิจัยพบว่า 1) สื่อประสมที่พัฒนาขึ้นมี
ประสทิ ธภิ าพ 81.03/89.00 ซงึ่ เป็นไปตามเกณฑ์ทกี่ ำหนด 2) ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนของนักเรียนทเ่ี รียนด้วยส่ือ
ประสมสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ไม่ได้เรียนด้วยสื่อประสมและมีพัฒนาการของผลสัมฤทธิ์
เป็นไปในทางที่เพิ่มขึ้นตามลำดับขั้นของการทดลอง 3) เจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยใช้สื่อ
ประสมหลงั การเรียนดว้ ยสอ่ื ประสมอยูใ่ นระดบั ดมี าก
สพุ ตั รา สงกลิน่ (2560) ไดท้ ำวจิ ัยเรอื่ ง “แบบประเมนิ กิจกรรมการเรยี นการสอน วชิ าเคมี ๒ ว ๓๒๒๒๒
ของนกั เรียน เตรยี มทหาร ชนั้ ปีท่ี ๑ ภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๐” เพ่อื ประเมินกจิ กรรมการเรยี นการสอน
วชิ าเคมี ๒ ว ๓๒๒๒๒ ของนกั เรียนเตรียมทหาร ช้นั ปที ี่ ๑ ภาคเรียนที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๐ แล้วนำข้อมูลท่ีได้
จากการประเมินมาวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในภาคการศึกษา
ต่อไป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการประเมินครั้งนี้ ได้แก่ แบบประเมินแบบ Rating Scale
เรื่องความพึงพอใจของ นตท. ชนั้ ปีที่ ๑ ตอ่ รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวชิ าเคมี ๒ ว ๓๒๒๒๒ โดย
แบ่งเปน็ ๔ เร่อื ง ไดแ้ ก่ การสบื ค้นการไทเทรต การแสดงบทบาทสมมติเรื่องทฤษฏีกรด-เบส การทดลองเกี่ยวกับ
สมบัติบางประการของสารละลาย และการไทเทรต และกิจกรรมกลุ่มการคำนวณสมดุลเคมี และการคำนวณ
เกี่ยวกับการไทเทรต ลักษณะคาถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ๓ ระดับ คือ มาก ปานกลาง และน้อย
เรื่องละ ๖ ข้อ รวมทั้งหมดจานวน ๒๔ ข้อ และแบบประเมินแบบปลายเปิด แบ่งเป็น ๔ เรื่อง ได้แก่ การสืบค้น
การไทเทรต การแสดงบทบาทสมมตเิ ร่ืองทฤษฏีกรด-เบส การทดลองเกี่ยวกับสมบตั ิบางประการของสารละลาย
และการไทเทรต และกิจกรรมกลุ่มการคำนวณสมดุลเคมี และการคำนวณเกี่ยวกับการไทเทรต โดยให้ระบุข้อดี
และจดุ ทต่ี ้องปรับปรงุ ในแตล่ ะเร่ือง จานวน ๔ ขอ้ ทำการวเิ คราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละและการวิเคราะห์
เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยในภาพรวมทั้ง ๔ กิจกรรม คือ การสืบค้นหาความรู้ด้วยตนเอง การ
แสดงบทบาทสมมติ การทดลอง และกิจกรรมกลุ่ม สรุปได้ดังนี้ กิจกรรมที่ทาให้ นตท. เข้าใจเนื้อหาในบทเรียน
เป็นอย่างดี คือ กิจกรรมกลุ่ม (ทดสอบเป็นกลุ่ม) คิดเป็นร้อยละ ๖๖.๖๗, กิจกรรมที่ส่งเสริมการทางานร่วมกัน
คือ การแสดงบทบาทสมมติเกี่ยวกับทฤษฏีจลน์ของแก๊ส คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๗๙, กิจกรรมที่เพิ่มทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คอื การทดลอง คิดเป็นรอ้ ยละ ๖๖.๖๗, กิจกรรมท่ี นตท. ทกุ คนมีส่วนร่วมในการ
ทากิจกรรม คือ กิจกรรมกลุ่ม (ทดสอบเป็นกลุ่ม) คิดเป็นร้อยละ ๖๘.๓๘, กิจกรรมที่กระตุ้นให้ นตท.เกิดความ
25
กระตือรือร้นในการเรียน (ไม่หลับ) คือ การทดลอง คิดเป็นร้อยละ ๕๘.๙๗ และกิจกรรมที่ใช้เวลาในการทา
กิจกรรมแต่ละครง้ั มคี วามเหมาะสม คือ กิจกรรมกลุ่ม (ทดสอบเป็นกลมุ่ ) คดิ เป็นร้อยละ ๖๑.๕๔
26
บทท่ี 3
วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั
การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการเคมี หลังใช้เทคนิค
การจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย กับเกณฑ์คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 70 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เรื่อง สมการเคมี ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
3/4 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา จงั หวดั สตลู ผู้วิจัยได้มีวธิ กี ารดำเนินการวจิ ยั ดังน้ี
1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3. ข้ันตอนการสรา้ งและพัฒนาเครอ่ื งมือ
4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
5. การวเิ คราะห์ข้อมลู
1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
ประชากร
นกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3/4 ภาคเรยี นที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา
จังหวัดสตูล จำนวน 38 คน
กล่มุ ตวั อย่าง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 โรงเรียนกำแพงวิทยา
จังหวดั สตลู จำนวน 6 คน ซึง่ ไดม้ าจากวิธีสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง
2. เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
2.1 แผนการจดั การเรยี นรู้
2.2 นวัตกรรมท่เี ลือกใช้
2.3 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน
3. ข้นั ตอนการสรา้ งเครือ่ งมือ
แผนการจัดการเรียนรู้รายวชิ าวิทยาศาสตร์ เรือ่ ง สมการเคมี
1. ศึกษาหลกั สตู รการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พ.ศ. 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ 2560) รายวิชาวิทยาศาสตร์
เรอ่ื ง สมการเคมี ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3
2. วเิ คราะหม์ าตรฐานการเรียนร้กู ลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
3. กำหนดหัวเรอ่ื ง หน่วยการเรยี นรยู้ ่อย เวลาเรยี น
4. สร้างแผนการจัดการเรยี นรู้
5. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น ให้ครูในกลุ่มสาระฯพิจารณาเพื่อตรวจสอบความ
เหมาะสมและใหข้ ้อเสนอแนะ
6. ปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอแนะของครูในกลุ่มสาระฯ และแผนการจัดการ
เรียนร้ทู ่ีสมบรู ณ์ จำนวน 1 แผน
27
การสร้างเทคนคิ การจดั การเรยี นรทู้ ่หี ลากหลาย
1. ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎแี ละงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพือ่ นำมาสร้างเป็นเทคนิคการจัดการ
เรียนรูท้ ่หี ลากหลาย
2. สร้างเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย จำนวน 4 กิจกรรม ได้แก่ การแสดงบทบาท
สมมติ แบบจำลอง AR (Augmented Reality) และเกม
3. นำเสนอครูในกลุ่มสาระฯ เพอ่ื ตรวจสอบความถกู ต้องและนำมาแกไ้ ข
4. นำส่ือประสม ทปี่ รับปรุงแก้ไขแลว้ ไปทดลองใช้กับกลุ่มตวั อย่างตอ่ ไป
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่อื ง สมการเคมี
1. ศึกษาเน้ือหารายวิชาวิทยาศาสตร์ เร่ือง สมการเคมี จากหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ.
2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ 2560)
2. ศึกษาวเิ คราะห์จดุ ประสงค์ในหลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
3. กำหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ในหลักสูตรกลุ่มสาระการ
เรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์
4. สร้างแบบทดสอบตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งเป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ
มี 4 ตัวเลอื ก จำนวน 10 ขอ้
5. นำแบบทดสอบทส่ี รา้ งขึ้นไปใหผ้ ู้เช่ยี วชาญด้านเนื้อหา จำนวน 3 คน ตรวจสอบความถูกต้อง
ความเที่ยงตรงตามเนื้อหาและจุดประสงค์ โดยการหาค่า IOC ซึ่งการให้ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ได้กำหนด
เกณฑ์ ดังน้ี
+1 เม่อื แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบน้ันวดั ไดต้ รงตามเนอื้ หาและจดุ ประสงค์
0 เมอ่ื ไม่แนใ่ จว่า ข้อสอบนน้ั วัดไดต้ รงตามเนื้อหาและจดุ ประสงค์
-1 เมอ่ื แนใ่ จว่า ข้อสอบนนั้ ไม่ได้วดั ตรงตามเน้อื หาและจุดประสงค์
6. ปรับปรงุ แกไ้ ขแบบทดสอบตามข้อเสนอแนะของผเู้ ช่ียวชาญ แล้วคดั เลือกขอ้ สอบท่ีมีคา่ IOC
ตงั้ แต่ 0.5 ขน้ึ ไป ได้จำนวนขอ้ สอบทผ่ี ่านเกณฑจ์ ำนวน 10 ขอ้ แลว้ นำมาพิมพเ์ ปน็ แบบทดสอบเพื่อนำใช้ทดลอง
กับกลุ่มตวั อย่างตอ่ ไป
4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
1. ดำเนินการทดสอบก่อนใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 6 คน ดว้ ยแบบทดสอบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ เรอ่ื ง สมการเคมี ที่ผู้วจิ ยั สรา้ งข้นึ
2. ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
จำนวน 4 กิจกรรม แผนละ 2 ชว่ั โมง จำนวน 1 แผนตอ่ สัปดาห์
3. หลังใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายครบตามที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้ทดสอบด้วยแบบทดสอบ
วัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง สมการเคมี กับกลมุ่ ตัวอยา่ งอกี คร้ังหนึ่ง
5. การวิเคราะห์ข้อมลู
1. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี หลังการใช้เทคนิคการ
จดั การเรียนรทู้ หี่ ลากหลายกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 70 โดยใชค้ ่าร้อยละ (Percentage)
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี ก่อนและหลังการใช้
เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard
Deviation)
28
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง สมการเคมี หลังใช้เทคนิค
การจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย กับเกณฑ์คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 70 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เรื่อง สมการเคมี ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
3/4 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา จังหวดั สตลู ซง่ึ ผวู้ ิจัยนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ดังตอ่ ไปนี้
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
ตารางท่ี 1 แสดงคะแนนหลังเรียนโดยใช้เทคนคิ การจดั การเรยี นรูท้ ี่หลากหลาย เมอื่ เทยี บกับเกณฑ์ร้อยละ 70
นักเรียนคนที่ คะแนนหลังเรยี น เทียบเกณฑร์ ้อยละ 70
(คะแนนเตม็ 10 คะแนน) (ผา่ นเกณฑ์ 7 คะแนน)
1
2 8 ผ่าน
3 9 ผ่าน
4 9 ผา่ น
5 7 ผา่ น
6 9 ผา่ น
9 ผ่าน
X
8.5 ผา่ น
จากตารางที่ 1 จะเห็นว่า หลังเรียนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสงู
กว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 เมื่อพิจารณาคะแนนรายบุคคลพบว่า นักเรียนมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70
จำนวน 6 คน
29
ตารางที่ 2 แสดงคะแนน ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการ
จดั การเรยี นร้ทู ่ีหลากหลาย
นักเรียนคนที่ คะแนนก่อนเรยี น คะแนนหลังเรยี น คะแนนท่เี พ่ิมขน้ึ
(คะแนนเตม็ 10 คะแนน) (ผา่ นเกณฑ์ 10 คะแนน)
13 8 +5
24 9 +5
34 9 +5
42 7 +5
54 9 +5
65 9 +4
X 3.6 8.5
S.D. 0.94 0.76
จากตารางที่ 2 จะเห็นได้ว่า ก่อนเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้
5 คะแนน คะแนนต่ำสุด 2 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) 3.6 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
0.94 คะแนน และหลังเรียนเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนทำคะแนนสูงสุดได้ 9 คะแนน
คะแนนต่ำสุด 7 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) 8.5 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.76 คะแนน
แสดงให้เห็นว่าหลังเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่า
ก่อนเรียน
30
บทที่ 5
สรปุ ผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
สรุปผลการวจิ ัย
1. หลังเรียนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสูงกว่าเกณฑ์
ร้อยละ 70 เมื่อพิจารณาคะแนนเป็นรายบุคคลพบว่า นักเรียนมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 6 คน
และไม่มนี กั เรียนท่ีมคี ะแนนตำ่ กวา่ เกณฑ์ร้อยละ 70
2. ก่อนเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนทำคะแนนได้สูงสุดได้
5 คะแนน คะแนนต่ำสุด 2 คะแนน คะแนนเฉลี่ย ( X ) 3.6 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.94
หลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนทำคะแนนได้สูงสุด 9 คะแนน คะแนนต่ำสุด 7 คะแนน คะแนน
เฉลี่ย ( X ) 8.5 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) 0.76 แสดงให้เห็นว่า หลังเรียนด้วยเทคนิคการ
จัดการเรียนร้ทู ี่หลากหลาย นกั เรียนมีผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรยี น
อภิปรายผล
1. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง สมการเคมี หลังเรียนโดยใช้เทคนิคการจัดการ
เรียนรู้ท่ีหลากหลาย ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3/4 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวดั สตูล กับเกณฑร์ อ้ ยละ 70
พบว่า หลังเรียนโดยใช้เทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ นักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เป็นเครื่องมือที่ช่วยกระตุ้นความสนใจในการเรียนรู้ มีกิจกรรมแสดงบทบาทสมมติให้นักเรียนได้ปฏิบัติ
มีแบบจำลองที่ทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น มีสื่อAR ที่เป็นวีดีโอสามมิติ และมีเกมให้นักเรียน
ทบทวนเนื้อหาและเป็นการร่วมทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข สนุกสนาน
และได้ความรู้ ซึ่งเป็นการเรียนรู้ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาในการเรียนรู้
ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจยั ของ อจั ฉรา เปรมปรีดา. (2558 : บทคัดย่อ) เร่ืองผลของการใช้เกมและการสอนแบบวัฏ
จักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีต่อผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน ทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติด้านพหุวัฒนธรรม เรื่องระบบร่างกายมนุษย์
ของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 การวจิ ัยนมี้ วี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อ ศึกษาผลของการใชเ้ กมและการสอนแบบวัฏจักร
การเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสงั คมพหุวัฒนธรรมที่มีตอ่ ผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติในด้านพหุวัฒนธรรม ของนักเรียน จากการเรียนเรื่อง
ระบบรา่ งกายมนุษย์ ของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 2 กลมุ่ เป้าหมายเปน็ นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน
บ้านทุ่งเกราะ อำเภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2556 จำนวน 30 คน ซ่งึ ได้มา
จากการเลือกกลุ่มที่ศึกษาแบบเจาะจง จัดการเรียนการสอนโดยใช้เกมประกอบการเรียนการสอนใน
สังคมพหุวัฒนธรรม และใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย
เกมที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนในสังคมพหุวัฒนธรรม แผนการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอน
แบบวัฎจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ แบบทดสอบทักษะ
กระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ แบบวัดเจตคติในด้านพหุวัฒนธรรมของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลีย่
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังจากการ
เรยี นเรอื่ งระบบร่างกายมนุษย์โดยใช้เกมและการสอนแบบวฏั จักรการเรยี นรู้ 5 ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการ
สอนวิทยาศาสตร์ในสังคมพหุวัฒนธรรม สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 2. ทักษะ
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นหลังการจัดการเรียนรโู้ ดยใชเ้ กมและการสอนแบบวฏั จักรการเรยี นรู้ 5
ข้นั (5Es) ประกอบการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ในสังคมพหุวฒั นธรรมในสงั คมพหวุ ฒั นธรรม สงู กวา่ เกณฑ์ร้อย
31
ละ 70 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 3. เจตคติในด้านพหวุ ัฒนธรรมของนักเรียนหลงั จากการเรียนเร่ืองระบบ
ร่างกายมนุษย์โดยใช้เกมและการสอนแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5Es) ประกอบการเรียนการสอน
วิทยาศาสตรใ์ นสังคมพหุวฒั นธรรม สูงกวา่ กอ่ นการจัดการเรียนร้แู ละจัดอยู่ในระดบั มาก
2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง สมการเคมี ก่อนและหลังเรียนด้วยเทคนิคการ
จัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 โรงเรียนกำแพงวิทยา จังหวัดสตูล พบว่า
หลังจากที่นักเรียนเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชา
วิทยาศาสตร์ เรื่อง สมการเคมี สูงกว่าก่อนเรียน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า เทคนิคที่นำมาใช้จัดการเรียนรู้มีความ
หลากหลายน่าสนใจ เหมาะสมกับผเู้ รียนทคี่ วามแตกตา่ งกนั ระหวา่ งบุคคล บางคนอาจจะชอบการเรียนรู้โดยผ่าน
การปฏิบตั ิกจิ กรรม บางคนชอบการเรียนร้ผู า่ นเทคโนโลยี หรือบางคนชอบการเลน่ เกมจะทำให้เขาเกดิ การเรียนรู้
ไดด้ ี ซ่ึงเทคนคิ เหล่านี้เม่ือนำมาบรู ณาการกันอย่างเหมาะสมจะทำให้ผู้เรียนรูส้ ึกว่าไมใ่ ช่เป็นการเรียนแต่เป็นการ
เล่นที่เกิดการเรียนรู้ จึงทำให้นักเรียน มีผลสัมทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับ
งานวิจัยของ สถาพร ปิ่นทอง. (2560 : บทคัดย่อ) ทำการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องสารและสารอาหาร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการสอนแบบเกมศึกษา
โรงเรียนบางกอกวิทยาจังหวดั กรงุ เทพมหานคร ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2559 ที่เรยี นวิชาวิทยาศาสตร์พืน้ ฐาน
จำนวน 30 คนที่ได้มาโดยการเลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้
จำนวน 6แผนชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งเป็นข้อสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30
ข้อสถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)การ
เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยสำหรับกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียว One-sample T-test และการวิเคราะห์เปรียบเทียบความ
แตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ T-test แบบ Dependent ผลการวิจัยพบว่า 1)
แผนการจัดการเรียนรู้ โดยการสอนแบบเกมศึกษาอยู่ในระดับที่มีความเหมาะสมมาก ( ̅= 4.39 , S.D. = .31)
และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านเนื้อหาสาระ อยู่ในระดับเหมาะสมมาก ( ̅ = 4.32 , S.D. = .28) ด้าน
จุดประสงค์การเรียนรู้ อยู่ในระดับเหมาสมมาก ( ̅ = 4.48 , S.D. = .43) ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน อยู่ใน
ระดับเหมาะสมมาก ( ̅ = 4.45 , S.D. = .36) ดา้ นสือ่ และแหลง่ เรยี นรู้ อยูใ่ นระดบั เหมาะสมมาก ( ̅ = 4.45 ,
S.D. = .36) และดา้ นการวดั และประเมนิ ผล อยู่ในระดับเหมาะสมมากทสี่ ดุ ( ̅ = 4.56 , S.D. = .51) 2) คะแนน
เฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง อาหารและสารอาหารชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนสงู กว่ารอ้ ยละ60 อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติ ทร่ี ะดบั .05 3) นกั เรียนทีไ่ ด้รับผลการจดั การเรียนรู้ด้วย
วิธีการสอนแบบเกมศึกษา ก่อนเรียน ( ̅ = 12.53 , S.D. = 4.00) มีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าหลงั
เรียน ( ̅ = 23.43 , S.D. = 4.40) อยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะจากการวจิ ัยในครัง้ นี้
ครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ ควรให้ความสนใจและนำเทคนิคการเรียนรู้ที่หลากหลายเข้าสู่ชั้นเรียน
เพื่อให้นักเรียนได้มีกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ไม่น่าเบื่อและจำเจ ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ เพราะเด็ก
ในปัจจุบันมีสมาธิในการเรียนสั้น ดังนั้นการเรียนด้วยเทคนิคการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายจะสามารถพัฒนา
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตรข์ องนกั เรยี นใหส้ งู ขึน้ ได้
2. ข้อเสนอแนะสำหรบั การวจิ ัยครงั้ ต่อไป
ควรจะการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
โดยใช้เทคนคิ การจดั การเรียนรู้ทห่ี ลากหลายในเน้ือหาและระดบั อืน่ ๆ
32
บรรณานุกรม
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2559). หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พนื้ ฐานพทุ ธศกั ราช 2551
(ฉบับปรบั ปรุง 2560). กรงุ เทพฯ: กระทรวงศึกษาธกิ าร.
กรมวชิ าการ. (2542). พระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542. กรงุ เทพฯ :
โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว.
กรมวชิ าการ. (2544). หลักสูตรการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพค์ ุรุสภาลาดพรา้ ว.
จิรวดี โยยรมั ย์ และสทิ ธโิ ชค น้อยเกดิ พะเนาว. (2562). การพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน
สอดแทรกการ์ตูนแอนิเมชนั 2 มติ ริ ่วมกับเทคโนโลยคี วามจรงิ เสริม(AR) เร่อื ง ดาราศาสตรแ์ ละ
อวกาศ สำหรับนกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3. ปริญญาตรี วทิ ยาศาสตร์บัณฑติ สาขาวชิ าเทคโนโลยี
สารสนเทศ ประกาศนยี บัตรบัณฑติ ศึกษาวชิ าชพี ครู มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บุรีรมั ย์.
ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ (2533). แนวคดิ เทคโนโลยีการศกึ ษา. นนทบรุ :ี มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช.
ชัยยงค์ พรหมวงศ.์ (2551). นวัตกรรมและชุดการสอนในระดับประถมศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร:
ไทยวฒั นาพานชิ .
ชาญชัย ยมดิษฐ์. (2548). เทคนคิ วิธิีการสอนร่วมสมยั .กรุงเทพมหานคร: บริษัทหลักพมิ พจ์ ำกดั .
ณปภัช พมิ พด์ .ี (2560). สมการเคมี. [ระบบออนไลน์]. แหล่งทีม่ า
http://www.scimath.org/lesson-chemistry/item.th (วันท่ีคน้ ข้อมลู 1 ธนั วาคม 2564)
ณรงค์ กาญจนะ. (2553). เทคนิคและทักษะการสอนเบอื้ งตน้ เลม่ 1. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2. สงขลา:
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสงขลา.
ดวงฤดี ราษีบษุ ย.์ (2556). “กรวยประสบการณข์ อง เอด็ การ์ เดล”. [ระบบออนไลน์]. แหล่งท่มี า
https://www.gotoknow.org/posts/42824 (วันที่ค้นขอ้ มูล 1 ธนั วาคม 2564)
เต็มดวง เศวตจินดา. (2549). ค่มู ือการพฒั นาและการใช้ส่ือประสม. ปัตตานี:
มหาวิทยาลัยสงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปตั ตานี.
ทิศนา แขมณี. (2542). ศาสตร์การสอน องคค์ วามร้เู พอ่ื การจดั กระบวนการเรยี นรูท้ มี่ ี ประสิทธิภาพ.
กรงุ เทพฯ : บริษทั ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์.
ทิศนา แขมมณี. (2547). ศาสตรการสอน. กรุงเทพฯ : สาํ นักพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ทศิ นา แขมมณี. (2552). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกทห่ี ลากหลาย. กรุงเทพมหานคร :
สำนักพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
นดิ า สะเพียรชยั . (2520). ปรัชญาและความมงุ่ หมายของการสอนวิทยาศาสตร์.
วารสาร สสวท. 4(5) : 4.
บญุ ชม ศรีสะอาด. (2532). วิธีการศกึ ษาสถิตเิ พอื่ การวิจยั เล่ม 2. มหาสารคาม :
ภาควชิ าพนื้ ฐานการศกึ ษา.
บุญชม ศรสี ะอาด. (2537). การพัฒนาการสอน. พมิ พ์ครั้งที่ 2. กรงุ เทพฯ : ชมรมเด็ก.
ภพ เลาหไพบลู ย.์ (2537). การสอนวทิ ยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศกึ ษา. เชียงใหม่:
เชยี งใหมค่ อมเมอรเ์ ชยี ล.
วรวิทย์ วศนิ สรากร. (2544). ความรเู้ บื้องต้นเกี่ยวกับปรัชญาทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : ธนธชั .
ศภุ รัศม์ิ ฐติ ิกลุ เจริญ. (2540). ทฤษฎีการส่ือสาร. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคำแหง.
ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษามหาวทิ ยาลัยราชภัฏเลย. (2561). สือ่ การเรียนรู้ AR. [ระบบออนไลน์].
33
แ ห ล ่ ง ท ี ่ ม า http://www.techno.lru.ac.th/techno/ส ื ่ อ ก า ร เ ร ี ย น รู้ -ar/ ( ว ั น ท ี ่ ค ้ น ข ้ อ มู ล
1 ธันวาคม 2564)
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี (2546). ค่มู ือการจัดการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการ
เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรห์ ลกั สตู รการศึกษาขนั้ พื้นฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรุสภาลาดพรา้ ว.
สนุ ันทา ยนิ ดรี มย์, บุญเรอื ง ศรีเหรญั , และชาตรี เกดิ ธรรม. (2557). การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรยี นดว้ ยส่ือประสม กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์สำหรับนักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3.
วารสารบัณฑติ ศึกษา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชปู ถมั ภ์, 8(2),
50-51.
สพุ นิ บญุ ชวู งศ.์ (2538). หลกั การสอน. พิมพ์ครง้ั ที่ 7. กรงุ เทพฯ : สถาบนั ราชภฏั สวนดุสติ .
สุพตั รา สงกลิน่ . (2560). การประเมนิ กิจกรรมการเรยี นการสอน วชิ าเคมี ๒ ว ๓๒๒๒๒ ของ
นักเรียนเตรยี มทหารช้นั ปีท่ี ๑ ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๐. [ระบบออนไลน]์ . แหล่งท่ีมา
http://www.afaps.ac.th/~edbsci/website/news/public/PR00077.pdf. (วันท่คี น้ ข้อมูล
1 ธนั วาคม 2564)
สุรางคณา จนั ทร์เรือง. (2552). วิธีการสอนแบบทดลอง. [ระบบออนไลน์]. แหล่งทีม่ า
http://chanruang.blogspot.com/2 0 0 9 / 0 2 / blog-post_7 0 9 7 . html. ( ว ั น ท ี ่ ค ้ น ข ้ อ มู ล
1 ธนั วาคม 2564)
ไสว ฟักขาว. (2544). การจัดการเรยี นการสอนที่เน้นผเู้ รียนเป็นศูนย์กลาง. กรงุ เทพฯ : เอมพนั ธ.์
เอกวทิ ย์ แกว้ ประดิษฐ์. (2545). เทคโนโลยีการศึกษาหลกั การและแนวคิดสปู่ ฏิบตั ิ. สงขลา:
มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ.
อัจฉรา เปรมปรดี า. (2558). ผลของการใช้เกมและการสอนแบบวฏั จกั รการเรียนรู้ 5 ข้ัน (5Es)
ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตรใ์ นสังคมพหวุ ัฒนธรรมทมี่ ีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะ
กระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ และเจตคติดา้ นพหุวฒั นธรรม เรอื่ งระบบรา่ งกายมนษุ ย์ ของ
นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2. วทิ ยานพิ นธ์ ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สงขลา:
มหาวทิ ยาลัยสงขลานครินทร์