รายงานวิจยั ในชัน้ เรยี นเรียน
เรอ่ื ง การพัฒนาทกั ษะการอา่ นภาษาองั กฤษของผู้เรียนระดับชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 ด้วย
เทคนคิ การสอนอ่านแบบ MIA ในรายวิชาภาษาอังกฤษ รหัสวชิ า อ31102 โรงเรยี น
กำแพงวิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
โดย
นางสาวจนั ทรา พทั คง
ตำแหนง่ ครู
ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ
โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู จังหวดั สตลู
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามธั ยมศกึ ษา สงขลา สตลู
ชื่องานวิจัย การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรียนระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4 ด้วยเทคนิค การ
สอนอ่านแบบ MIA ในรายวชิ าภาษาองั กฤษ รหสั วชิ า อ31102 โรงเรยี นกำแพงวิทยา
ผวู้ ิจยั นางสาวจันทรา พทั คง
กล่มุ สาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ
ปกี ารศกึ ษา 2564
บทคดั ยอ่
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพ่ือศึกษาการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 วิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา 2. เพื่อศึกษา
ผลสัมฤทธิ์ในการอา่ นภาษาอังกฤษก่อนและหลงั ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี
4/4 วิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา จำนวน 29 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนอ่านแบบ MIA
จำนวน 1 แผน 2 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษกอ่ นและหลงั การเรียน สถติ ทิ ใ่ี ช้
ในการวิเคราะหข์ ้อมูล ได้แก่ คา่ เฉลี่ย คา่ ร้อยละและคา่ เบีย่ งเบนมาตรฐานการ ผลการวจิ ัยสรุปไดด้ ังนี้
1. การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 วชิ า
ภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา มีความสามารถในการอ่านหลังเรยี นสูงข้นึ วัดไดจ้ ากผล
การทดสอบการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรยี น ปรากฏว่า นกั เรียนจำนวน 29 คน ทำแบบทดสอบหลงั เรยี น
ได้คะแนนเฉล่ยี 14.55 คะแนนจากคะแนนเต็ม 20 คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละ 72.75
2. ผลสัมฤทธ์ิในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลัง ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีท่ี 4/4 วิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา วัดได้จากผลสมั ฤทธ์ิทางการ
เรยี นกอ่ นและหลังเรยี น ทีผ่ ลปรากฏวา่ นักเรยี นมคี ะแนนเฉล่ียสูงขนึ้ จากร้อยละ 42.76 เป็นร้อยละ 72.76
สารบญั หน้า
ก
บทคดั ยอ่ ………………………………………………………………………………………………………………………..……… ข
สารบญั …………………………………………………………………………………………………………………………………
สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………….……………..….. ค
บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………….…………………………………………….………… 1
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปญั หา…………….………………………………………………………………….…..
วตั ถุประสงค์ของการวิจัย…………………………………..………………………………………………………………….… 1
สมมตฐิ านของงานวจิ ัย………………………………………..……………………………………………….………………… 2
ขอบเขตของการวิจัย……………………………………………..………………………………………………………………. 2
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้อง……………….…………………………………………………………………..
เอกสารเก่ียวกบั แบบฝึกทักษะ………………………………………………………………………………………………… 2
งานวิจยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง………………………………………………………………………………………………………………… 4
บทที่ 3 วธิ ดี ำเนนิ การวิจยั ………………………….………………………………………………………..………………..
รูปแบบการวจิ ยั …………………………………………………………………………………………………………………….. 4
ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง…………………………………………………………………………………………………….. 15
เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล…………………………………………………………………………………….. 17
ขนั้ ตอนการสร้างและพฒั นาเครื่องมือ……………………………………………………………………………………….
การเกบ็ รวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………………………………………. 17
การวเิ คราะหข์ ้อมลู ………………………………………………………………………………………………………………… 17
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล………………………………………………………….……………………………………
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล……………………………………………………………………………………………………………. 17
บทที่ 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………..…………………………………………….………… 17
สรุปผลการวิจัย……………………………………………………………………………………………………………………… 19
อภปิ รายผล…………………………………………………………………………………………………………………………
ข้อเสนอแนะ………………………………………………………………………………………………………………………… 19
บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………… 22
ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….
ภาคผนวก ก รายชือ่ ผเู้ ชยี่ วชาญเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั .......................................... 22
ภาคผนวก ข เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู …………………………………………………………………. 26
ภาคผนวก ค ตารางเปรียบเทียบคะแนนกอ่ นเรยี นและหลังเรียน………………………………………………… 26
26
27
28
29
30
32
56
สารบญั ตาราง
หนา้
ตารางท่ี 1 ตารางแสดงคะแนนเฉลย่ี ร้อยละของการทดสอบก่อนเรียนในการอ่านภาษาอังกฤษ…………. 22
ตารางที่ 2 ตารางแสดงคะแนนเฉลี่ยร้อยละของการทดสอบการอ่านภาษาองั กฤษหลงั เรียน…………….. 23
ตารางที่ 3 ตารางผลการเปรียบเทียบความแตกตา่ งของคะแนนกอ่ นเรียนและหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ………………… 24
บทท่ี 1
บทนา
ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา
ในปัจจุบันภาษาอังกฤษถอื เป็นภาษาที่สองที่สำคัญมากในประเทศไทย และยังเป็นภาษาสากลท่ีใช้กันทั่ว
โลก กระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นความจำเป็นในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ จึงได้จัดให้มีการเรียนการสอน
ภาษาอังกฤษในสถานศึกษา โดยมีนโยบายพัฒนาคุณภาพการสอนภาษาอังกฤษ โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนำ
ประสบการณ์ในห้องเรียนไปใช้ได้ ดงั น้ันจะต้องไดร้ ับการฝึกทกั ษะทางภาษาท้ัง 4 ทกั ษะ คอื การฟงั การพูด การ
อ่านและการเขียน ซ่ึงมุ่งให้ผู้เรียนมีทักษะในการฟัง พูด อ่านและเขียนท่ีจะช่วยให้ใช้ภาษาในการสื่อสารได้ตาม
ความเหมาะสมกับวยั ของผูเ้ รียน (กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2545, หน้า 139) โดยเฉพาะการอา่ นเป็นสิ่ง
ทน่ี ักเรียนทกุ คนสามารถได้รับขอ้ มลู ข่าวสารต่างๆไดด้ ีท่สี ุด และการอา่ นก็จะนาํ ไปสู่การเขียน การพูด และการฟัง
ได้อีกด้วย นอกจากนี้การอ่านยังช่วยให้นักเรียน พัฒนาการศึกษาหาความรู้ในระดับสูงได้ต่อไป และด้วย
ความสําคญั ของการอ่านนีเ้ อง จงึ ต้องมกี าร ฝึกทกั ษะเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการอา่ น ซ่ึง มิลเล่อร์ (Miller. 1973
: 173) และ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2540 : 73) กล่าวสอดคล้องกันว่า ความเขา้ ใจถือเปน็ องค์ประกอบที่สําคัญอย่าง
หนึง่ ของการอา่ น ถา้ อา่ นแลว้ ไม่เกิดความเขา้ ใจใดๆเลยกอ็ าจจะกล่าวไดว้ ่าการอ่านที่แท้จริงยังไม่เกดิ ขึ้น ดงั น้ันการ
อ่าน ลักษณะน้ีจึงเปน็ ได้เพยี งตัวหนงั สอื ที่ ปรากฏอย่บู นกระดาษเทา่ น้ัน
จากการประเมินผลการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ของ นักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกำแพงวิทยา ที่ผู้วิจัยสอนอยู่ น้นั ปรากฏว่าผลการเรียนด้านความสามารถในการอ่าน
ภาษาอังกฤษของนกั เรยี นดา้ นการจับใจความสําคัญของเรื่อง ตีความ และสรปุ ความยงั ไม่เป็นที่น่าพอใจ ท้ังน้ีอาจ
เป็นเพราะนักเรียนขาดพื้นฐาน ความเข้าใจด้านการอา่ น และไม่มีจดุ มุ่งหมายในการอ่านท่ีจะกระต้นุ ใหเ้ กิดความ
ตอ้ งการอา่ น และวธิ ี สอนที่ใช้ไมไ่ ด้ชว่ ยให้นกั เรียน เกดิ ทักษะดังกล่าว
จากปัญหาดังกล่าว ผู้วจิ ัยได้ศึกษาวิธีสอนต่างๆที่จะช่วยแก้ปัญหาด้านการอ่าน และพบ วิธีการสอนอ่าน
แบบ MIA (a More Integrated Approach to the Teaching of Reading) ของ จอร์จ เอส เมอร์ดอกซ์
(George S. Murdoch.1986 : 9-15) ผู้ซึ่งเสนอวิธีการสอนอ่านท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ และการจัดกิจกรรม
ข้ันตอนการสอน ได้เน้นผู้เรียนให้คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น และดําเนินกิจกรรม ด้วยตนเองตามกระบวนการวิธีท่ี
ผู้สอนเตรียมไว้ล่วงหน้า กล่าวคือ การใช้คําถามประเภทปลายเปิด ถามนำเพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดของ
ตนเองในการหาคําตอบ ซ่ึงนํามาสู่การอภิปรายในหัวข้อท่ี จะอ่าน เพื่อการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสดง ความรู้เดิม
(Schemata) ออกมาแลกเปลี่ยนความรู้กนั ทําให้ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายในการอ่านมากขึ้น และยังเปน็ การโน้มน้าว
ให้ผู้เรียนสนใจในเร่ืองที่จะอา่ น เพราะต้องการคําตอบตามท่ีตนเองได้คาดเดา ไว้ นอกจากนี้ การอภิปรายที่ใช้ใน
การอ่านโดยวิธี MIA กม็ ีการผสมผสานรูปแบบของตาราง แผนภมู ิ กราฟ แผนท่ี หรือเสนอในรูปแบบของการเขยี น
อยา่ งอนื่ เช่นชว่ ยกนั เรยี งลําดับ เหตุการณ์ของเร่ืองได้ กระบวนการเหลา่ น้ผี ู้สอนเปน็ เพียงผูใ้ หค้ าํ ปรกึ ษาช้แี นะและ
อาํ นวยความสะดวก ให้แก่ผเู้ รยี น ในกรณีทผ่ี เู้ รียนไมเ่ ขา้ ใจเท่านน้ั
ดังท่ีได้กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น ผู้วิจัยจึงเล็งเห็นความสำคัญของการอ่าน และต้องการท่ีจะแก้ไขปัญหา
ทักษะการอ่านของผู้เรียน ด้วยเทคนิคการสอนอ่านแบบ MIA มาเป็นแนวทางในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
ปรับปรุงรูปแบบการสอนให้มีกิจกรรมหลากหลาย เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ผู้เรียนมี
สว่ นรว่ มในทกุ กระบวนการเรยี นรู้และนำมาปรับใชใ้ ห้เหมาะสมกบั การพฒั นาความสามารถในการอา่ นของนักเรยี น
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจของนักเรียน และ
ปรับปรุงการสอนภาษาอังกฤษใหด้ ียง่ิ ข้ึนอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ตลอดจนส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธ์ขิ องนกั เรยี นดีขน้ึ
วตั ถปุ ระสงค์
1. เพ่ือศึกษาการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 วิชา
ภาษาอังกฤษ รหสั วชิ า อ31102 โรงเรยี นกำแพงวิทยา
2. เพ่ือศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลัง ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 4 วิชาภาษาองั กฤษ รหสั วชิ า อ31102 โรงเรยี นกำแพงวิทยา
ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะได้รับจากการวจิ ัย
1. ผู้เรยี นได้รบั การพฒั นาทักษาการอ่านอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
2. เป็นข้อมูลในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพในการเรยี นการสอนด้านอื่นๆตอ่ ไป เป็นแนวทางในการ
คิดค้นแบบฝึกในทกั ษะอืน่ ๆตอ่ ไป
สมมติฐาน
สมมตฐิ านการวิจยั
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยการจัดการเรียนรู้แบบ MIA วชิ าภาษาอังกฤษ
(อ31102) ของนักเรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา หลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน
ขอบเขตการวิจัย
ดา้ นประชากรกลุ่มตวั อย่าง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ท่ีเรียนวิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จำนวน 6 ห้องเรยี น มนี ักเรียนทั้งหมด 218 คน
กล่มุ ตัวอยา่ ง
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/4 ท่ีเรียนวิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวนนักเรียน 29 คน ซ่ึงได้จากการสุ่มอย่าง่าย (Simple Random
Sampling) โดยมีห้องเรยี นเปน็ หนว่ ยการสมุ่ ดว้ ยการจบั ฉลาก 1 ห้องเรียน
ขอบเขตดา้ นเน้ือหา
เนอ้ื หาในวิชาภาษาองั กฤษพืน้ ฐาน (อ31102) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรยี นกำแพงวิทยา
ดา้ นระยะเวลา
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564
ตัวแปรทศี่ กึ ษา
ตัวแปรต้น การจดั การเรยี นรูแ้ บบ MIA
ตวั แปรตาม ทักษะการอา่ นภาษาองั กฤษของนกั เรียนระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
โรงเรียนกำแพงวิทยา
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ
ทักษะการอา่ น หมายถงึ ความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษเพือ่ ความเข้าใจ
ความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ หมายถึงความสามารถในการอ่านภาษา อังกฤษ ในด้านการจับ
ใจความสําคัญ การสรุปความ การตีความ การหารายละเอยี ด และการ เรยี งลําดบั เหตุการณ์ ของเร่อื งที่อ่าน ซึง่ วัด
ไดจ้ ากคะแนนการทาํ แบบทดสอบวัดความเข้าใจทีผ่ ้วู จิ ยั สร้างขึน้ และหาคุณภาพแล้วกอ่ นการทดลอง และหลงั การ
ทดลอง
การสอนอ่านโดยวิธี MIA หมายถึง การสอนอ่านท่ีผู้สอนใช้กิจกรรมและข้ันตอนการสอน อ่านตาม
แนวคิดของ เมอร์ดอกช์ ซึ่งในแต่ละคาบเน้นการจัดกิจกรรมอยู่ในลักษณะบูรณาการทักษะ ต่างๆทางภาษาเข้า
ดว้ ยกัน เพื่อกระต้นุ ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจเรียน เปน็ วิธีการสอนให้ผู้เรียนฝึก แก้ปัญหาและดําเนินกจิ กรรมด้วย
ตนเองตามกระบวนการที่ผูส้ อนเตรยี มไว้ โดยยึดผเู้ รียนเป็นสําคัญ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนทักษะการอ่านของผู้เรียน ซ่ึงวัดได้จากแบบทดสอบหลังใช้
เปรยี บเทยี บกบั ก่อนใช้แบบฝึกทกั ษะการเขยี นภาษาองั กฤษ
บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง
การศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียน มี
วตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษาการพัฒนาความรู้ทางไวยากรณ์โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษและเพ่อื ศึกษา
ผลสัมฤทธ์ิในการเรียน กอ่ นและหลังใช้แบบฝึกทักษะการเขียนภาษาอังกฤษซงึ่ ผวู้ ิจัยไดศ้ ึกษาทฤษฎี หลักการและ
งานวิจยั ท่ีเก่ียวข้องในประเดน็ หวั ขอ้ ดังต่อไปน้ี
1. ทักษะการเขียน
1.1 ความหมายและความสำคัญของการเขียนการเขยี น เป็นการแสดงความคดิ ความร้สู กึ และความรขู้ อง
ผู้เขียนออกมาเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เพื่อใหอ้ า่ นเข้าใจความคิดของผู้เขียน
สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2523 : 134) ได้กล่าวถึงความหมายของการเขียนไว้ว่าการ
เขยี นคือการเรยี บเรียงความรู้ ความคดิ ประสบการณ์ตา่ ง ๆ ตลอดจนความรสู้ กึ นกึ คดิ และจนิ ตนาการออกมาเป็น
ลายลักษณ์อักษร จะเป็นข้อความสั้น ๆ ทำนองคำขวญั ร้อยแก้วส้ัน ๆ หรือบทกวนี พิ นธ์กไ็ ด้ ข้อเขียนตา่ ง ๆ เหลา่ นี้
จะมีเอกภาพ มคี วามเป็นตวั ของมันเองทัง้ ในด้านความคดิ และการใชภ้ าษา เรยี บเรียง
ศรีวิไล ดอกจันทร์ (2523 : 202-203) กล่าวถึงทักษะในการเขียนว่าต้องรู้จักแสดงความคิด ออกมา เป็น
ตัวหนังสือให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตามที่ตนประสงค์ให้สามารถเขียนตัวสะกดได้ถูกต้องตามอักขรวิธี เขียนให้อ่านง่าย
ชัดเจน เรียบร้อยและรวดเร็วรู้จักเลือกใช้ถ้อยสานวนให้เหมาะสมกับเนื้อเร่ือง รู้จักลำดับความคิดและแสดง
ความคดิ ออกมาเป็นตัวหนงั สอื ให้ผู้อ่านเขา้ ใจได้แจ่มแจ้ง การเขียนเป็นระบบการสอ่ื สารและบันทึกถา่ ยทอดภาษา
เพื่อแสดงความรู้ความคิดและความรู้สึก โดยใช้ตัวหนังสือเป็นสัญลักษณ์ ประสิทธิภาพของการเขียนจึงอยู่ที่
ความสามารถทางความคิด และการใชภ้ าษาของผเู้ ขียนเอง เมือ่ พจิ ารณาฝึกทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้าน คือ การฟัง
การพูด การอ่าน และการเขียนแล้ว จะเห็นว่าทักษะการเขียนเป็นทักษะหลังสุดที่ผู้เรียนจะได้รับการฝึกอย่าง
จริงจัง ทั้งนี้เนื่องจากการเขียนเป็นทักษะที่ยากและซับซ้อนที่สุดในทักษะทั้งหมด ผู้ท่ีจะมีความสามารถทางการ
เขียนไดจ้ ึงต้องมีพื้นฐานในทักษะการฟัง การพูดและการอ่านมาก่อน ดังที่โรเบิร์ต ลาโด (Robert Lado 1977 :
145) ได้กล่าวถึงความหมายของการเขียนไว้ว่าการเขียน คือการส่ือความหมายระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านโดยใช้
ตัวอักษร ซง่ึ ถือวา่ การเขียนเป็นรปู แบบหน่ึงของการสื่อความหมาย หากการเขียนนั้นเขียนโดยไม่ทราบความหมาย
ไมน่ ับว่าเป็นการเขียน แตเ่ ป็นเพียงการจารึกอักษรเท่าน้ัน การเขียนจึงต้องเป็นการใช้ตัวอกั ษรอยา่ งมีความหมาย
จากความหมายของการเขียนดังกล่าวจึงพอสรุปได้ว่า การเขียนคือการสื่อความหมายโดยการเรียบเรียงความรู้
ความคิด และความรู้สึก ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เขียน มีจุดมุ่งหมายเพื่อสื่อสารระหว่างผู้เขียนกับ
ผอู้ า่ นใหเ้ ขา้ ใจตรงกัน
การเขียนเป็นยังทักษะท่ีสำคัญทักษะหนึ่งในการใช้ภาษาภาษาเขียนใช้ในการสื่อความหมาย ที่ได้ความ
และปรากฏหลักฐานมน่ั คง เพราะไม่ลบเลอื นเร็วเหมอื นคำพูดภาษาเขียนจึงใชใ้ นการติดต่อ สื่อสารไดด้ แี มใ้ นระยะ
ทางไกลแต่การที่จะสื่อสารได้ดีนนั้ ผู้เขียนต้องมีความสามารถในการเขียน คือใช้ภาษาได้อยา่ งถูกต้อง ชัดเจน และ
สามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายในส่ิงที่ตนเขียนได้ การเขียนจึงต้องมีการฝึกฝนบ่อย ๆ เพื่อให้เกิดความ
ชำน าญ และต้ องอาศัยก ารอ่าน มาก ๆ เพ่ื อ น ำข้อ มู ลจาก ก ารอ่ าน ม าเป็ น แน ว ท างใน ก ารเขียน
นอกจากน้ี ในการเขียนจะต้องให้ผู้อ่านติดใจ ซึ่งถ้าดูเผิน ๆ แล้วจะเห็นว่าการเขียนไม่น่า จะมีลักษณะ
พิเศษอย่างไร นึกอย่างไรก็เขียนไปอย่างน้ัน แต่ท่ีจริงแล้วการเขียนหนังสือจะต้องรู้ลักษณะของภาษาว่า เขียน
อย่างไรจึงจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจและติดใจ ซง่ึ ข้ึนอยกู่ ับคุณภาพของงานเขียนนั้น ในบรรดาทักษะทั้งสี่ของการเรยี น
ภาษา การเขียนนับเป็นทักษะท่ียุ่งยากซับซ้อนที่สุดในการฟังและการอ่าน นักเรียนจะได้รับฟังหรือเห็นข้อความ
จากผเู้ ขยี น จึงมีบทบาทเพียงแต่ตีความหรือวเิ คราะห์วา่ ตนเองกำลงั ได้ยินหรืออ่านอะไรในการพดู นักเรียนสามารถ
แสดงความคิดความรู้สึกของตนเองและมีโอกาสให้คำอธิบายแทรกในบทสนทนาได้ แต่ในการเขียนนั้นต้องมี
ความสามารถอย่างแท้จริงจึงจะเขียนข้อความได้ชัดเจนจนผู้อ่านเข้าใจได้ การเขียนเป็นวิธีการถ่ายถอดความรู้
ความคดิ ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการสือ่ สารเพ่ือความเข้าใจระหวา่ งผู้อ่านและ
ผู้เขียน รวมทั้งชักนำความรู้ ความคิด ประสบการณ์ อารมณ์ ความรูส้ ึกจากผู้หนง่ึ ไปสู่อกี ผหู้ นึ่งหรือคนจำนวนมาก
ไดอ้ ีกด้วย ทง้ั นี้ขึน้ อยู่กับการท่ผี ู้เขยี นจะมีเจตนารมณ์เช่นใด และมีความสามารถในการเลอื กสรรถ้อยคำเพอื่ ใชใ้ น
การเขียนได้ดีเพียงใดอีกด้วยนอกจากนี้การเขียนยังถือเป็นทักษะทางภาษาอันดับสี่ ซ่ึงหมายถึงว่าบุคคลจะต้องมี
ความสามารถในทางภาษาด้านการพูด การฟัง และการอ่านมาก่อน จึงนับได้ว่าการเขียนมีบทบาทสำคัญมากใน
ชวี ติ ประจำวันของคนเราในฐานะของการสื่อสารทีม่ ีความชัดเจนและเปน็ หลักฐานทีแ่ นน่ อนกวา่ ทกั ษะทางภาษาทั้ง
สามด้าน การอ่านถ่ายทอดวิทยาการต่างๆในปัจจุบัน ผู้ศึกษาก็สามารถเพ่ิมพูนความรู้จากงานเขียนต่าง ๆ ได้
สะดวกกวา่ วิธีการอน่ื ๆ
วลั ภา เทพหสั ดนิ ณ อยธุ ยา (2526 : 11 – 13) กล่าวถึงความสำคัญของการเขียนพอสรุปได้ดังนี้
1. การเขยี นเปน็ วัฒนธรรมท่ีสำคัญของชาติ เพราะภาษาเป็นสิง่ ท่ีแสดงถึงเอกลกั ษณ์และวิถีชวี ิตของคนใน
ชาติ
2. การเขียนทำให้เกิดวรรณคดี ถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความงอกงามทางสติปัญญา จินตนาการและ
ความคิดริเร่มิ สร้างสรรคข์ องคนในชาติ
3. การเขียนเป็นส่ือในการสร้างความมั่นคงของประเทศ เช่นการเขียนเพื่อก่อให้เกิดความสามัคคี การ
เขียนข่าวสาร เป็นต้น
4. การเขียนมีความสำคัญต่อการศึกษา เช่น การเขียนสื่อสารกับผู้สอนในการตอบข้อสอบหรือเขียน
รายงาน หรือครอู าจารย์ผู้เชยี่ วชาญเขียนตารา เอกสาร งานวิจยั การเขียนท่ีมคี ณุ ภาพยอ่ มสามารถส่อื สารให้บุคคล
สองฝา่ ยเขา้ ใจกนั ได้ดี
ภาษาเขียนถือเป็นภาษาที่มีประโยชน์ต่อบุคคลในสังคมอย่างมาก ฉะน้ันจึงควรสนับสนุนให้มีการศึกษา
และฝกึ การใช้ภาษาเขยี นอย่างถกู ต้อง เพื่อให้บุคคลใหภ้ าษาเขียนไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
1.2 แนวการสอนเพ่ือการสื่อสารด้านทกั ษะการเขยี นแนวการสอนเพื่อการสอ่ื สารดา้ นทกั ษะการเขยี น
(อ้างในดารณมี สี มมนต์ :16-17)
ดารณีได้อ้างว่าวิดโดสัน (Widdowson.1987 : 34-44) ได้กล่าวถึงทักษะการเขียนว่าเป็นกิจกรรมการ
ส่ือสารชนิดหนึ่งซ่ึงเกิดขึ้นระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน โดยใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการถ่ายโอน ฮอยและเกรก
(Hoy; & Gregg. 1994 : 346) กล่าววา่ เป็นการแสดงออกถึงความคิดและความรู้สึกในรูปของตัวอักษรผู้เขียนต้อง
ถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นสัญลักษณ์ ที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจได้ ดังน้ันการเขียนจึงเป็นการถ่ายโอนความคิดไปยัง
ผู้อา่ นด้วย
บลิ าช (Bilash. 1998) กลา่ วถึงทักษะการเขยี นวา่ เป็นกุญแจดอกสำคัญท่ีจะทาใหผ้ ูเ้ รยี นประสบผลสำเร็จ
ในการเรียนภาษาท่ีสองการเรียนรู้การเขียนไม่ใช่เกิดโดยธรรมชาติ บิลาชได้ออกแบบเทคนิคการสอนเขียนว่า
รูปแบบของการเขียน (Form) ควรเนน้ กิจกรรมจากง่ายไปยากเพื่อลดเงอื่ นไขทางดา้ นจิตใจ ได้แก่ ความวิตกกงั วล
และสร้างแรงจูงใจโดยเรียงลาดับดังนี้
1. ศัพท์น้อยและกฎน้อย เช่น ใบสมัครขอ้ ความบัตรอวยพร
2. ศพั ทม์ ากกฎนอ้ ย เชน่ การเขียนสมดุ บันทกึ จดหมายส่วนตัว แบบสอบถาม
3. กฎมากศพั ท์นอ้ ย เช่น ชวี ประวตั ิ ปกหนังสอื บัตรเชิญ
4. คำศัพท์มากกฎเกณฑม์ าก ซ่งึ เป็นการเขยี นทีย่ ากข้นึ เช่นนิยายผจญภัย กตกิ าการเลน่ เกม
การอธิบาย เป็นต้น
สเวลส์และฟีค (Swales; & Feak. 1997 : 34) กล่าวถึงทักษะการเขียนว่าเป็นกระบวนการที่ซับซอ้ น ซ่ึง
ต้องอาศยั ทกั ษะภาษาอนื่ ๆ มาเรยี บเรียงจึงจะบรรลจุ ดุ ประสงคท์ ผี่ ู้เขียนตอ้ งการสอื่ ความหมาย
สุมิตรา อังวัฒนกุล (2535: 185 – 195) กล่าวว่าการเขียนเพื่อการส่ือสารเป็นการเขียนในระดับสูงกว่า
การเขียนประโยค เปน็ การเขียนถ้อยคาสานวนและเรียบเรียงประโยคให้เหมาะสมและสามารถสื่อความหมายได้ใน
การพัฒนาการเขียนโดยเน้นเน้ือหานั้น ผู้สอนควรเน้นการเขียนเชิงวิชาการเช่นการเขียนสรุปและเขียนเชิง
วเิ คราะห์ โดยให้ผู้เรียนฝกึ เรยี บเรยี งเนอ้ื หาอย่างมีระบบ และเขียนข้อความในระดับยอ่ หน้า (Paragraph) ได้ การ
ฝึกทักษะการเขียนน้ันผู้สอนต้องประสานข้อมูลที่ได้จากการพูดอ่านและฟัง ผู้เรียนจะเร่ิมต้นฝึกทักษะการเขียน
ด้วยการวิเคราะหส์ ังเคราะห์และประเมนิ เนอื้ หากอ่ นที่จะเขียนทงั้ นี้ผูส้ อนควรใหผ้ ู้เรียนร่างตรวจแกไ้ ขงานเขยี นของ
ตนและของเพอื่ นรว่ มชนั้ ดว้ ยกระบวน การเขยี นท่ีนกั เรียนควรทราบ 4 ประการ
1. พยญั ชนะและสระในภาษาองั กฤษ
2. วธิ กี ารสะกดคำศพั ท์
3. โครงสรา้ งประโยคในภาษาองั กฤษ
4. การเลือกคำ วลีเพอ่ื ใชใ้ นการถ่ายทอดความคิด และความรูส้ ึกของผเู้ รยี นใหส้ ละสลวย
1.3 แนวทางการฝกึ ทกั ษะการเขียน
แนวทางการฝึกทกั ษะการเขียนมี 3 แนวทาง (บทความออนไลน์ สทุ ี: 2549)
1.3.1 การเขียนแบบควบคุม (Controlled Writing)
เป็นแบบฝึกการเขียนท่มี งุ่ เน้นในเร่ืองความถกู ต้องของรูปแบบ เช่น การเปลย่ี นรูปทาง
ไวยากรณ์ศัพท์ในประโยค โดยครูจะเป็นผู้กำหนดส่วนท่ีเปล่ียนแปลงให้ผู้เรยี น ผู้เรียนจะถูกจำกัดในด้านความคิด
อิสระ สร้างสรรค์ ข้อดีของการเขียนแบบควบคุมน้ี คือ การป้องกันมิให้ผู้เรียนเขียนผิดต้ังแต่เริ่มต้น กิจกรรมท่ี
นำมาใช้ในการฝึกเขียน เช่น Copying, เป็นการฝึกเขียนโดยการคัดลอกคำ ประโยคหรือข้อความท่ีกำหนดให้
ในขณะท่ีเขียนคัดลอก ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้การสะกดคำ การประกอบคำเข้าเป็นรูปประโยค และอาจเป็นการ
ฝึกอา่ นในใจไปพร้อมกนั
Gap Filing เปน็ การฝึกเขียนโดยเลือกคำที่กำหนดให้ มาเขยี นเติมลงในชอ่ งว่างของประโยค ผูเ้ รยี นจะ
ไดฝ้ ึกการใช้คาชนิดตา่ ง ๆ (Part of Speech) ทง้ั ดา้ นความหมาย และด้านไวยากรณ์
Re-ordering Words, เปน็ การฝกึ เขียนโดยเรียบเรยี งคาท่ีกำหนดให้เปน็
ประโยค ผู้เรียนได้ฝกึ การใช้คาในประโยคอย่างถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และเรียนรู้ความหมายของประโยคไป
พรอ้ มกัน
Changing forms of certain words เปน็ การฝกึ เขียนโดยเปลยี่ นแปลงคำทกี่ ำหนดให้ในประโยค ให้
เปน็ รูปพจน์ หรือรูปกาลตา่ ง ๆ หรือรูปประโยคคาถาม ประโยคปฏเิ สธ ฯลฯ ผูเ้ รยี นได้ฝึกการเปลยี่ นรปู แบบของคำ
ไดอ้ ย่างสอดคล้องกับชนิดและหน้าทขี่ องคำในประโยค
Substitution Tables เปน็ การฝกึ เขยี นโดยเลอื กคำที่กำหนดให้ในตารางมาเขียนเปน็ ประโยคตาม
โครงสร้างที่กำหนด ผู้เรียนได้ฝึกการเลือกใช้คำท่ีหลากหลายในโครงสร้างประโยคเดียวกัน และได้ฝึกทำความ
เขา้ ใจในความหมายของคำ หรือประโยคดว้ ย
1.3.2 การเขยี นแบบก่ึงควบคมุ (Less – Controlled Writing) เป็นแบบฝกึ เขียนที่มกี าร
ควบคุมน้อยลง และผู้เรยี นมีอิสระในการเขียนมากข้ึน การฝึกการเขียนในลักษณะน้ี ครูจะกำหนดเค้าโครงหรือ
รปู แบบ แล้วให้ผู้เรียนเขียนต่อเติมส่วนท่ีขาดหายไปให้สมบูรณ์ วิธกี ารนี้ช่วยใหผ้ ู้เรียนพัฒนาทักษะความสามารถ
ในการเขยี นได้มากข้ึน อันจะนำไปสกู่ ารเขยี นอยา่ งอิสระได้ในโอกาสตอ่ ไป กจิ กรรมฝึกการเขียนแบบกง่ึ อสิ ระ เชน่
Sentence Combining เปน็ การฝึกเขยี นโดยเชอื่ มประโยค 2 ประโยคเขา้ ด้วยกัน
ดว้ ยคำขยาย หรือคำเช่ือมประโยค ผู้เรยี นไดฝ้ ึกการเขียนเรยี บเรยี งประโยคโดยใช้คำขยาย หรือคำเชือ่ มประโยคใน
ตำแหนง่ ท่ถี ูกต้อง
Describing People เป็นการฝกึ การเขียนบรรยาย คน สตั ว์ ส่ิงของและสถานที่ โดยใช้
คำคุณศัพท์แสดงคุณลักษณะของสิ่งที่กำหนดให้ ผู้เรียนได้ฝึกการใช้คำคุณศัพท์ขยายคำนามได้อย่างสอดคล้อง
และตรงตามตำแหนง่ ท่ีควรจะเปน็
Questions and Answers Composition เป็นการฝึกการเขยี นเรอ่ื งราวภายหลงั จากการ
ฝึกถาตอบปากเปล่าแล้ว โดยอาจให้จบั คู่แล้วสลบั กันถามตอบปากเปล่าเก่ียวกับเร่ืองราวท่ีกำหนดให้ แต่ละคนจด
บันทกึ คำตอบของตนเองไว้ หลงั จากนั้นจึงใหเ้ ขียนเรยี บเรยี งเปน็ เรอ่ื งราว 1 ย่อหนา้ ผ้เู รยี นได้ฝกึ การเขียนเร่ืองราว
ต่อเน่ืองกัน โดยมีคำถามเป็นสื่อนาความคิด หรือเป็นส่ือในการค้นหาคำตอบ ผู้เรียนจะได้มีข้อมูลเป็นรายข้อที่
สามารถนามาเรียบเรียงตอ่ เน่อื งกันไปไดอ้ ย่างน้อย 1 เรือ่ ง
Parallel Writing เป็นการฝึกการเขยี นเร่ืองราวเทยี บเคียงกับเร่ืองที่อา่ นโดยเขยี นจากข้อมูล
หรือประเดน็ สำคัญที่กำหนดให้ ซ่ึงมีลกั ษณะเทียบเคยี งกับความหมายและโครงสรา้ งประโยค ของเรอ่ื งท่ีอ่าน เม่ือ
ผู้เรียนได้อ่านเร่ืองและศึกษารูปแบบการเขียนเรียบเรียงเร่ืองนั้นแล้ว ผู้เรียนสามารถนาข้อมูลหรือประเด็นท่ี
กำหนดใหม้ าเขียนเลียนแบบ หรือเทยี บเคียงกับเรอื่ งทีอ่ ่านได้
Dictation เปน็ การฝกึ เขียนตามคำบอก ซง่ึ เป็นกิจกรรมทีว่ ัดความรู้ ความสามารถของผ้เู รยี น
ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การสะกดคำ ความเข้าใจด้านโครงสร้างประโยค ไวยากรณ์ รวมถึงความหมายของคำ
ประโยค หรือขอ้ ความท่เี ขยี น
1.3.3 การเขียนแบบอสิ ระ (Free Writing)เปน็ แบบฝกึ เขยี นทไี่ ม่มกี ารควบคุมแตอ่ ย่างใด
ผู้เรยี นอิสรเสรใี นการเขยี น เปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดแ้ สดงความคดิ จนิ ตนาการอยา่ งกว้างขวาง การเขียนในลกั ษณะ
น้ี ครูจะกำหนดเพียงหัวข้อเรื่อง หรือสถานการณ์ แล้วให้ผู้เรียนเขียนเร่ืองราวตามความคิดของตนเอง วิธีการน้ี
ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นพฒั นาทักษะความสามารถในการเขยี นได้เต็มท่ี ข้อจากัดของการเขียนลักษณะนี้ คือ ผเู้ รยี นมขี อ้ มลู ที่
เป็นคลังคำ โครงสร้างประโยค ส่วนไวยากรณ์เป็นองค์ความรอู้ ยู่ค่อนข้างน้อย สง่ ผลให้การเขียนอย่างอิสระนี้ ไม่
ประสบผลสำเร็จเทา่ ทค่ี วร
2. นวตั กรรม
2.1 นวตั กรรมการเรียนการสอน
ในการพัฒนาการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพ และเพ่ือให้เกิดประสทิ ธิผลในบ้ันปลายนั้นจำเป็นอย่าง
ยิ่งท่ีครู อาจารย์ จะต้องพยายามคน้ คว้าวิธีการใหม่ ๆ ที่ครู อาจารย์คิดค้นขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ น้ัน คือนวัตกรรม
ทางการศกึ ษานน้ั เอง
ความหมายของนวัตกรรมทางการศกึ ษา
คำจำกัดความของคำว่า “นวัตกรรมทางการศึกษา” จึงหมายถึงส่ิงประดิษฐ์หรือวิธีวิธีการใหม่ๆ หรือ
ปรบั ปรงุ ของเก่าใหเ้ หมาะสมโดยมกี ารทดลองหรอื พัฒนาจนเป็นที่น่าเช่ือถือได้ว่าจะมีผลดีในทางปฏิบัติสามารถนา
ไปใช้ในระบบไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพและถ้าส่งผลงานในลกั ษณะนี้ต้องมเี อกสารประกอบด้วย
ความสำคัญ
ความสำคญั ของนวัตกรรมทางการศึกษากค็ ือสามารถนำมาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนใ์ นวงการศกึ ษาสรปุ ไดด้ ังน้ี
1. เพอื่ นำนวตั กรรมมาใชแ้ ก้ปญั หาในเรื่องการเรียนการสอนเชน่
1.1 ปัญหาเรอ่ื งวธิ ีการสอนปญั หาที่มักพบอย่เู สมอ คือ ครสู ว่ นใหญย่ งั คงยึดรปู แบบการสอน
แบบบรรยายโดยมีครูเป็นศูนย์กลางมากกว่าการสอนในรูปแบบอ่ืน การสอนดว้ ยวิธีการแบบน้ีเป็นการสอนที่ขาด
ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบั้นปลายเพราะนอกจากจะทำใหน้ ักเรียนเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ยขาดความสนใจแล้ว
ยงั เป็นการปิดก้ันความคิดและสติปัญญาของผเู้ รียนให้อยูใ่ นขอบเขตจำกดั อกี ดว้ ย
1.2 ปัญหาด้านเนอื้ หาวิชา บางวชิ าเนอื้ หามาก และบางวิชามเี น้ือหาเป็นนามธรรมยากแก่
การเขา้ ใจจงึ จำเป็นจะตอ้ งนำเทคนิคการสอนและส่อื มาช่วย ปญั หาเรื่องอุปกรณก์ ารสอน บางเนื้อหามีส่ือการสอน
เป็นจำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อการนำไปใช้ เพ่ือทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเน้ือหาวิชาได้ง่ายขึ้นจึง
จำเป็นต้องมีการพัฒนาคดิ ค้นหาเทคนิควิธีการสอนและผลิตส่ือการสอนใหม่ๆเพ่ือนำมาใช้ทำให้การเรียนการสอน
บรรลุเปา้ หมายได้
2. เพ่ือนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งข้ึนและเป็นประโยชน์ต่อ
การศกึ ษา โดยการนำส่ิงประดิษฐ์หรอื แนวความคดิ ใหมๆ่ ในการเรียนการสอนน้ันเผยแพร่ไปสู่ครูอาจารยท์ ่านอื่นๆ
หรือเพ่อื เป็นตัวอย่างอกี รูปแบบหน่ึงให้กบั ครู อาจารย์ที่สอนในวิชาเดียวกัน ได้นำแนวความคดิ ไปปรับปรุงใช้หรือ
ผลิตสือ่ การสอนใหม่ๆ เพือ่ นำมาใชใ้ นการพฒั นาการเรียนการสอนต่อไป
2.2 ขั้นตอนการสรา้ งนวตั กรรม
2.2.1 ขน้ั เตรียมการและวางแผนในการจดั ทาผลงานจะต้องมีการกำหนดรูปแบบของผลงาน
กำหนดเป้าหมายและขอบขา่ ยของเน้อื หาวชิ า
2.2.2 ขน้ั ตอนการจดั ทาผลงาน
2.2.2.1 นำหลักสูตร เน้ือหา และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ในวชิ านน้ั เป็นหลกั
ในการจัด
2.2.2.2 กำหนดโครงสร้างของผลงาน (ใช้ในภาคเรยี นใดและแต่ละเร่ืองจะจัดทาสื่อ
เป็นจำนวนเท่าใดบา้ ง)
2.2.3 ขัน้ ทดลองนำผลงานไปใช้เช่น
2.2.3.1 ทดลองกับกลุ่มตัวอยา่ ง
2.2.3.2 ควรมีการวจิ ัยสอ่ื ท่ีจะนำไปทดลองใชเ้ พื่อวัดประสิทธิภาพของสื่อทผ่ี ลติ ข้นึ
ว่าสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนในด้านผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนการสอน
เพียงใด เครอ่ื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั นัน้ ควรจดั ทำให้สามารถวัดผลไดอ้ ย่างชัดเจน
2.2.4 ขนั้ นำผลงานไปใช้ ควรอธิบายกรรมวิธีในการนำไปใช้ไดอ้ ย่างละเอยี ดและเป็นขน้ั ตอน
2.2.5 ผลของการนำไปใช้อธิบายให้เห็นว่าส่ิงประดิษฐ์นั้นสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือ
นำไปเพื่อพฒั นาการเรียนการสอนได้อยา่ งไรบ้าง
2.2.6 ขั้นการเผยแพร่และสร้างการยอมรับเพ่ือเปน็ หลักฐานยืนยนั ว่าสื่อนวัตกรรมทีป่ ระดิษฐ์ขึ้น
น้ันมีประโยชน์อย่างแท้จริงต่อการเรียนการสอนจึงจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องมีการเผยแพร่เพ่ือให้เกิดการ
ยอมรบั ในวงการศึกษาขั้นตอนนคี้ วรอธิบายโดยละเอียดว่าได้มีการเผยแพร่ทใี่ ดหรือในลักษณะใดบ้างโดย
อาจแบง่ ประเภทใหเ้ ห็นชดั เจนว่าการเผยแพร่ในโรงเรยี น การเผยแพร่แก่สาธารณะในวงการศึกษา
รูปแบบนวัตกรรม
นวัตกรรมสามารถจัดทำได้หลายรูปแบบเช่นแผนการสอน, ชุดการสอน, คู่มือครู, บทเรียนสำเร็จรูป,
สไลด์, ใบความรู้, ทกุ รปู แบบต้องมีค่มู อื ในการใชส้ ื่อดว้ ยแบบฝึกหัด, สง่ิ ประดษิ ฐ์ต่างๆ, เกม ฯลฯ
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาทเ่ี กีย่ วข้องกับการสร้างแบบฝึกทกั ษะการสรา้ งแบบฝึกต้องอาศยั ทฤษฏี
จิตวทิ ยาการเรียนรู้ ทฤษฏีจติ วทิ ยาท่เี กยี่ วขอ้ งมี
1. ทฤษฏีการลองผิดลองถูกของธอร์นไดด์ สรุปเกณฑ์การเรียนรู้ คือ กฎความพร้อมหมายถงึ การเรยี นรู้
จะเกิดข้ึนเมื่อบุคคลพร้อมท่ีจะทากฎผลท่ีได้รับ หมายถึง. การเรียนรู้จะเกิดข้ึนเพราะบุคคลกระทำซ้ำและยิ่งทา
มากความชำนาญ จะเกิดข้นึ ไดง้ า่ ย
2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ พอสรุปได้ว่า บุคคลเรียนรู้ได้ด้วยการกระทาโดยมีการเสริมแรง
เป็นตัวการ เม่ือบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กันในช่วงเวลาท่ีเหมาะสม ส่ิงเร้าน้ันจะรักษาระดับหรือ
เพ่ิมการตอบสนองไดเ้ ข้มขึ้น
3. วิธีการสอนของกาเย่ ซ่งึ มคี วามเหน็ วา่ การเรียนร้มู ลี าดับขนั้ และผเู้ รยี นจะตอ้ งเรยี นรเู้ นื้อหาที่ง่ายไปหา
ยาก
4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติผู้เรียนแต่ละคนว่า มีความแตกต่างกัน ผู้เรียนจะสามารถเรียน
เนื้อหาในหน่วยยอ่ ยต่าง ๆ ได้ โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกัน(ประยุกต์จิตวทิ ยาเพ่ือการเรียนร้)ู สุจริต เพยี รชอบ
และสายใจ อินทรมั พรรย์ (2523 : 52 -56) กล่าวว่าในการสรา้ งแบบฝึกตอ้ งยึดหลกั ตามทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางจิตวิ
ยา ดงั นี้
1. กฎการเรียนรู้ของธอรน์ ไดค์ เก่ียวกบั กฎแห่งการฝกึ หัด ซ่งึ กลา่ ววา่ สิ่งใดก็ตามทม่ี ีการฝึกหัดหรือกระทา
บอ่ ย ๆ ย่อมจะทาให้ผู้ฝึกมีความคล่องและสามารถกระทาได้ดี ในทางตรงกันข้ามสิ่งใดก็ตามท่ีไมไ่ ด้รับการฝึกหัด
หรือทิ้งไปนานแล้ว ยอ่ มจะทาให้ทาได้ไมด่ ี ภาษาองั กฤษเปน็ วิชาทักษะ ผู้เรยี นจะมีลักษณะทางภาษาท่ีดีกต็ ่อเมอ่ื มี
การฝึกฝนหรือกระทาซ้ำ บ่อย ๆ จากกฎแหง่ การฝึกหัดน้จี ะชว่ ยทาให้การฝกึ ความคดิ สรา้ งสรรค์สมั ฤทธ์ิผล
2. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ควรคำนึงถึงว่านักเรียนแต่ละคนมีความรู้ความถนัดความสามารถและ
ความสนใจต่างกัน ฉะนั้นในการสร้างแบบฝึกหัดควรพิจารณาถึงความเหมาะสม คือ ไม่ง่ายและไม่ยากจนเกินไป
และควรจะมีแบบฝึกหลาย ๆ แบบ
3. การจูงใจผเู้ รยี น โดยการจัดทาแบบฝกึ หัดจากงา่ ยไปหายาก เพื่อเป็นการดึงดูดความสนใจของนกั เรยี น
ซึ่งจะทาใหเ้ กิดผลสำเร็จในการฝึกและช่วยจูงใจให้ตดิ ตามต่อไป
4. ใช้แบบฝึกสั้นๆเพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดความเบ่ือสรุปได้ว่า หลักการสร้างแบบฝึกทักษะมีอยู่หลายแบบ
เป็นหน้าท่ขี องผสู้ อนท่ีจะเลือกมาใช้ให้สอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั เน้ือหาท่ีต้องการฝกึ พรอ้ มกบั สอดคล้องกับหลัก
ทฤษฎีการเรยี นรู้ทางจิตวิทยา เพื่อสรา้ งแบบฝึกทักษะใหม้ ีประสิทธภิ าพ และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน
ซึ่งจะส่งผลดีตอ่ ผู้ฝึกอีกด้วย
3. การสรา้ งแบบฝกึ
แนวการสรา้ งแบบฝกึ เพ่ือพฒั นาการเรยี นการสอน
ความหมายแบบฝึก ซ่ึงมีช่ือเรยี กว่า แบบฝึกบ้าง แบบฝึกเสริมทักษะบ้าง แบบฝึก หมายถึง สื่อการ
เรียนการสอนที่จัดทำข้ึนเพ่ือให้ผู้เรียนได้ศึกษา ได้ฝึกทักษะจนเกิดความรู้ ความเข้าใจ ความสามารถตาม
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ของบทเรยี นนัน้ แนวคดิ และทฤษฏที เ่ี ก่ยี วกับการสรา้ งแบบฝกึ
แบบฝึกมีความจำเปน็ ต่อการเรียนการสอนวิชาทกั ษะ การใช้แบบฝกึ พฒั นาการเรียนการสอนจะช่วย
ให้ครูและนักเรียนพบข้อบกพร่องทางการเรียนการสอนและแก้ไขข้อบกพร่องนั้น มีผู้กลา่ วถึงความหมายของ
แบบฝึกไว้ ดังนี้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 ได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า “แบบฝึกหมายถึง
แบบตัวอย่าง ปัญหา หรือ คำสั่งที่ตั้งขึ้นเพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ” ส่วน ชัยยงค์ พรหมวงศ์กล่าวถึงความหมาย
ของแบบฝึกสรุปได้ว่า แบบฝึกหมายถึง ส่ิงที่นักเรียนต้องใช้ควบคู่กับการเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดท่ี
ครอบคลุมกิจกรรมท่ีนักเรียนพึงกระทำจะแยกกันเป็นหน่วยหรือจะรวมเล่มก็ได้ และ อัจฉรา ชีวพันธ์ และ
คณะ กล่าวถึงแบบฝึกทางภาษาสรุปได้ว่า แบบฝึกทางภาษาหมายถึง ส่ิงที่สร้างขึ้นเสริมสร้างความเข้าใจทาง
ภาษาตาแนวหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และเสรมิ เพิ่มเติมเน้ือหาบางส่วนท่ีช่วยให้นักเรียนนำความรู้ไป
ใชไ้ ด้อยา่ งถูกต้อง
จากความหมายของแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า แบบฝึก หมายถึง ส่ิงที่สร้างข้ึนเพ่ือเสริมสร้างทักษะ
ให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนได้กระทำกิจกรรมโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาความสามารถ
ของนักเรียนใหด้ ขี ้นึ
แนวคิดและทฤษฎเี กย่ี วกับการสรา้ งแบบฝกึ
(อ้างในผลงานการวิจัยของ สุภาทพิ ย์ บุญภริ มย.์ ๒๕๔๗)
บลูม (Bloom) กล่าวว่า ผู้เรียนจะฝึกทักษะได้ต้องมีความพร้อมทางสมอง ร่างกาย อารมณ์ เพื่อ
สนองตอบตามรปู แบบตา่ ง ๆ อย่างไม่ลังเลใจ และอัตโนมตั ิ
ฟุตส์ (Futts) กล่าววา่ ผเู้ รยี นจะฝกึ ทักษะจนถูกต้องไมผ่ ิดพลาดได้ ผู้เรียนต้องใช้ปญั ญา นำทักษะย่อย
ๆ มาเชอ่ื มตอ่ กันจนครบทุกขน้ั ตอน และใช้เวลาทำไดอ้ ยา่ งรวดเรว็
ดี เฮคโด ( John p’ de Cecco) กล่าวว่า การเรียนแบบฝึกทักษะ ประกอบด้วยเง่ือนไขคือ ๑) ความ
ต่อเน่อื ง ๒) การฝกึ ๓) การรจู้ กั ผลของการฝึก
เบอณ์นาร์ด (Bernard) กลา่ วถงึ การนำกฎการฝึกหัดมาใช้จะสอนให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ได้ ก็ต้องให้
ผเู้ รียน เกดิ ความเข้าใจอย่างแจม่ ชัด ซ่ึงอาจต้องหมายรวมถงึ การเน้นผู้เรยี นใหล้ งมือปฏิบัติ ขณะเรียนและนำส่ิงที่
ได้เรียนรู้มาใช้ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ กจ็ ะทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจ ตระหนักถงึ ความสำคัญและการนำไปใช้
บ่อย ๆ ก็จะทำใหผ้ ู้เรียนเกิดความมนั่ คงแน่นแฟ้นในส่งิ ทเี่ รียน ความรูค้ งทน
ความสำคัญของแบบฝกึ
เชาวนี เกิดเพทางค์ (2524 : 23) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกไว้ว่า “แบบฝึกเป็นเคร่ืองมอื ที่
ชว่ ยให้เกิดการเรียนรู้ ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจ และชว่ ยให้ครทู ราบผลการเรียนของนักเรียนอย่างใกล้ชดิ ”
สว่ น วีระ ไทยพานิช (2528 : 11) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกสรุปได้ว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือทีช่ ่วย
ใหเ้ กิดการเรียนรู้ทเี่ กิดจากการกระทำจรงิ เป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายท่แี น่นอน ทำให้นักเรยี น
เห็นคุณคา่ ของสิ่งที่เรียน สามารถเรยี นรู้ และจดจำสิ่งท่ีเรยี นไดด้ ีและนำไปใช้ในสถานการณ์เช่นเดยี วกันได้ และ
Petty (อา้ งถงึ ใน เพียงจติ . 2529 : 18 – 20) ไดก้ ล่าววา่
แบบฝึกเป็นส่วนเพิ่มหรือเสริมจากหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่ช่วยลดภาระของครู
ได้มาก เพราะแบบฝกึ เป็นสิ่งท่ีทำข้ึนอย่างเป็นระเบียบ ระบบ ช่วยให้นักเรียนฝึกทักษะการใช้ภาษาดีข้ึน และ
ช่วยเสริมทักษะทางภาษาให้คงทน นอกจากน้ีแบบฝึกยังใช้เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากบทเรยี นในแต่
ละครง้ั
แบบฝึกเป็นสื่อการเรียนชนิดหน่ึงท่ีทำข้ึนอย่างเป็นระบบ สามารถพัฒนาการเรียนของนักเรียนได้ เป็น
ประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน คือ เป็นเครื่องมือท่ีช่วยให้เกิดการเรียนรู้เป็นเคร่ืองมือวัดผลและ
ประเมินผลการเรียน ช่วยให้ครูทราบความก้าวหน้าหรือข้อบกพร่องของนักเรียน และช่วยให้นักเรียนประสบ
ผลสำเร็จในการเรียน
ประโยชนข์ องแบบฝึก
Green และ Petty ( 1971 : 80 ) กล่าวถงึ ประโยชน์ของแบบฝกึ ไว้ ดังน้ี
1. ใชเ้ สริมหนงั สอื แบบเรยี นในการเรยี นทกั ษะ
2. เป็นสื่อการสอนทชี่ ่วยแบ่งเบาภาระของครู
3. เป็นเคร่ืองมือทชี่ ่วยฝึกฝนและส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีข้ึน แต่จะต้องได้รับการดูแลและเอาใจ
ใสจ่ ากครูด้วย
4. แบบฝึกท่ีสร้างขึ้นโดยคำนึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคลจะเป็นการช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จ
ตามระดับความสามารถของเด็ก
5. จะช่วยเสริมทกั ษะให้คงอยู่ได้นาน
6. เป็นเครอ่ื งมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั จบบทเรยี นแต่ละคร้งั
7. แบบฝกึ ที่จัดทำเป็นรูปเลม่ จะอำนวยความสะดวกแกน่ ักเรยี นในการเก็บรกั ษาไว้เพ่ือทบทวนดว้ ยตนเอง
ได้
8. ช่วยให้ครูมองเห็นปัญหาและข้อบกพร่องในการสอน ตลอดจนทราบปัญหาและข้อบกพร่องและ
จุดอ่อนของนกั เรยี น ชว่ ยให้ครูสามารถแก้ปญั หาได้ทนั ท่วงที
9. ช่วยใหเ้ ดก็ มีโอกาสฝกึ ทักษะได้อยา่ งเตม็ ที่
10. แบบฝึกทักษะที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยครูประหยัดเวลา และแรงงานในการสอนการ
เตรียมการสอนการสรา้ งแบบฝกึ ทักษะและช่วยใหน้ กั เรียนประหยัดเวลาในการลอกโจทยแ์ บบฝกึ หัด
จากความสำคัญของแบบฝึกดงั กลา่ ว สรุปได้ว่า แบบฝึกนอกจากจะชว่ ยให้นักเรียนได้มโี อกาสฝึกฝนทักษะ และ
ทบทวนไดด้ ้วยตนเองแลว้ ยังช่วยใหค้ รมู องเห็นปัญหาและขอ้ บกพร่องในการสอนทราบปัญหา และขอ้ บกพร่อง
จุดออ่ นของนักเรียนเพื่อครจู ะได้แก้ไขได้ทันท่วงที นอกจากน้ียังชว่ ยประหยัดเวลา แรงงาน ในการเตรียมการ
สอนของครู ตลอดจนช่วยประหยดั เวลาในการลอกโจทย์แบบฝึกหัดของนักเรียนด้วย
ลักษณะของแบบฝึกที่ดี
ภาษาไทยเป็นวิชาทักษะ ตอ้ งอาศยั การฝึกฝนอยู่เสมอ ผู้สอนควรสร้างแบบฝึกเพอ่ื ทบทวนความรู้
หรือฝึกทักษะให้แก่นักเรียน ก่อ สวัสดิพาณิชย์ (2524 : 20) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกท่ีดีว่า“ลักษณะ
ของแบบฝึกควรส้ันและมีหลายแบบเพื่อฝึกทักษะเดียว ใช้ไดต้ ามสสภาพความแตกตา่ งระหว่างบุคคลและมีการ
ประเมินผลการใชแ้ บบฝึกของนักเรยี นด้วย” ประชุมพร สุวรรณตรา (2527 : 61)กล่าวถงึ ลักษณะของแบบ
ฝกึ ท่ีดีว่า “มีคำส่ังและคำอธบิ ายอย่างชัดเจน มีตัวอยา่ งทีใ่ หค้ วามคิดหลายแนวมีภาพประกอบ และเส้นบรรทัด
ท่ีเว้นให้เติมมีขนาดพอเหมาะการฝึกฝนควรมีหลาย ๆ แบบ และต้องคำนึงถึงความยากง่าย และระยะเวลาใน
การฝึกด้วย” ส่วน โรจนา แสงรุ่งรวี (2531 : 22 ) กล่าวถึงแบบฝึกเสริมทักษะที่ดีว่า “แบบฝึกที่ดีต้องมี
คำอธิบายชัดเจนเป็นแบบฝึกสั้น ๆ ใช้เวลาฝึกไม่นานเกินไปแบบฝึกมีหลายรูปแบบ คำศัพท์ที่ใช้ฝึกสามารถ
นำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวันได”้ นอกจากน้ี วิไลลักษณ์ บุญประเสริฐ (2531 : 13) กล่าวถงึ ลกั ษณะของแบบฝึก
ทดี่ ีว่า
ลกั ษณะของแบบฝึกท่ีดีนั้นต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับนักเรียนตลอดจนคำนึงถึงจิตวิทยาเกี่ยวกับสิ่ง
เร้าและการตอบสนองพัฒนาการของเด็กและลำดับข้ันของการเรียน นอกจากนน้ั จะต้องพิจารณาใหเ้ หมาะสมกับ
วัยและความสามารถของเด็กซึ่งแบบฝึกจะประกอบด้วยคำชี้แจงและตัวอย่างสั้น ๆ ที่จะทำให้เด็กเข้าใจง่าย ใช้
เวลาเหมาะสมและมลี ักษณะที่เก่ียวข้องกับบทเรียนทเ่ี รยี นไปแล้ว นอกจากนี้แบบฝกึ ควรมีหลายแบบเพื่อสร้าง
ความสนใจและท้าทายใหแ้ สดงความสามารถ
จากข้อความท่ีกล่าวมาแล้ว พอสรุปได้ว่า แบบฝกึ ทีด่ ีควรเหมาะสมกับนักเรียนในด้าน วัยความสามารถ ความ
สนใจ มีคำช้ีแจงและตัวอย่างส้ัน ๆ มีหลายรูปแบบ ใช้เวลาฝึกไม่นานจนเกินไป เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจ
ชดั เจน สามารถพฒั นาทกั ษะทางภาษาของนักเรียนให้ดขี ึน้
ลกั ษณะของแบบฝกึ ทด่ี ี มีดังนี้
1. ควรมีความชดั เจนทงั้ คำส่ัง และวธิ ีทำ คำสั่ง หรือตวั อย่างแสดงวธิ ที ำท่ใี ช้ไม่ควรยาว
เกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก
2. ตรงตามจุดมงุ่ หมายของการฝึก
3. ภาษา และภาพควรเหมาะสมกับวยั และพน้ื ฐานความรขู้ องผเู้ รยี น
4. ควรฝึกเป็นเร่ือง ๆ แต่ละเร่ืองไม่ควรยาวเกินไป มีกิจกรรมหลายรูปแบบ เพ่ือเร้าความ
สนใจ
5. แบบฝึกตอ้ งมีความถกู ต้อง อย่าใหม้ ีขอ้ ผดิ พลาด
6. การฝกึ แต่ละครั้งตอ้ งใหเ้ หมาะสมกับเวลา และเร้าความสนใจของผเู้ รยี น
7. การสร้างแบบฝึกควรมีหลาย ๆ แบบ เพื่อเรา้ ให้ผเู้ รียนเกดิ ความสนใจไดก้ วา้ งขวาง
และส่งเสริมให้เกดิ ความคดิ
8. ควรเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นได้ศกึ ษาไดด้ ว้ ยตนเอง ใหร้ จู้ ักค้นควา้ รวบรวมส่ิงท่ีพบเหน็ บอ่ ย
ๆหรอื ส่ิงทต่ี ัวเองเคยใช้ จะทำให้ผู้เรยี นเข้าใจเรอื่ งน้นั ๆ มากย่ิงข้ึน และสามารนำความรู้ไปใช้
9. ควรจะเปน็ แบบฝึกสำหรบั เด็กเกง่ และในขณะเดียวกนั ก็เปน็ แบบซ่อมเสริมสำหรับเด็ก
ออ่ นด้วย
ทำไมจงึ เลือกสรา้ งแบบฝึก
การเลือกสร้างแบบฝึกข้ึนอย่กู บั ลกั ษณะวิชา สาระสำคัญ และจดุ ประสงคข์ องบทเรียนน้ันเช่น ลักษณะ
วิชา /สาระคณติ ศาสตร์ จะต้องมีตวั อย่าง และฝกึ กระทำซ้ำ ๆ
การสร้างแบบฝกึ ต้องอาศัยทฤษฏีจิตวิทยาการเรยี นรู้ ทฤษฏีจติ วิทยาท่ีเกยี่ วขอ้ งมี
1. ทฤษฏีการลองผดิ ลองถกู ของธอร์นไดด์ สรปุ เกณฑก์ ารเรยี นรู้ คือ
- กฎความพร้อม หมายถงึ การเรียนรูจ้ ะเกดิ ขน้ึ เมอื่ บุคคลพร้อมทีจ่ ะทำ
- กฎผลท่ีได้รับ หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดข้ึน เพราะบุคคลกระทำซ้ำ และยิ่งทำมากความ
ชำนาญจะเกดิ ข้ึนได้งา่ ย
2.. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ พอสรุปไดว้ ่า บคุ คลเรียนรู้ได้ด้วยการกระทำ โดยมีการเสริมแรง เป็น
ตวั การ เม่ือบุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้า ควบคกู่ ันในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่ิงเรา้ น้นั จะรักษาระดับ หรือ
เพมิ่ การตอบสนองไดเ้ ข้มข้นึ
3. วิธีการสอนของกาเย่ ซงึ่ มคี วามเห็นวา่ การเรยี นรมู้ ลี ำดบั ข้นั และผู้เรยี นจะต้องเรยี นรูเ้ นอ้ื หาทีง่ ่ายไปหายาก
4. แนวคดิ ของบลูม ซึ่งกลา่ วถึงธรรมชาติผเู้ รยี นแต่ละคนว่า มีความแตกต่างกนั ผู้เรียนจะสามารถเรยี นเนอ้ื หา
ในหนว่ ยย่อย ต่าง ๆ ได้ โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกัน
หลักการสร้างแบบฝึก
การสร้างแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพนั้นมีหลักในการสร้างหลายประการ ดังท่ี ธูปทอง ปราบพาล
(25251 : 91) ได้กล่าวถึงหลักในการฝึกฝนทักษะทางภาษาไว้ว่า “การฝึกฝนควรมีหลายแบบ เช่น ใช้เกม
การเตมิ คำ ใช้เพลง ใช้แผน่ ภาพ ใช้การ์ตูนประกอบ ใช้แบบฝกึ เป็นตน้ ส่วนการสรา้ งแบบฝกึ ควรคำนงึ ถึง
เนื้อหา ความยากงา่ ย และระดับความสนใจของเด็ก” รัชนี ศรีไพรวรรณ (2527 : 18) กล่าวถึงหลักใน
การสร้างแบบฝึกว่า แบบฝึกต้องมีรูปแบบที่จูงใจ และเป็นไปตามลำดับความยากง่ายเพ่ือให้เด็กมีกำลังใจทำ
มจี ุดมุ่งหมายว่าจะฝึกด้านใดเพื่อให้เด็กเขา้ ใจ แบบฝึกต้องมีการถกู ต้อง ในการให้เด็กทำแบบฝึกทุกครั้งต้องให้
เหมาะสมกับเวลา เหมาะกับความสนใจ ควรทำแบบฝึกหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้เด็กเรียนได้กว้างขวาง และ
ส่งเสริมให้เกิดความคิด นอกจากน้ันกระดาษท่ีให้เด็กทำแบบฝึกต้องเหนียวและทนทานพอสมควร ส่วนวิไล
ลกั ษณ์ บุญประเสริฐ (2531 : 13) ได้กล่าวถงึ การสร้างแบบฝึกสรปุ ได้ว่า ในการสร้างแบบฝึกที่ดีต้องเรียบ
เรยี งภาษาให้เหมาะสมกบั นักเรยี น คำนงึ ถึงหลกั จติ วิทยาเกี่ยวกบั ส่ิงเร้าและการตอบสนอง พัฒนาการของเด็ก
และลำดบั ขนั้ ของการเรียน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับวยั และความสามารถของนกั เรียน
จากหลักการดงั กล่าว พอสรุปได้ว่า การสร้างแบบฝึกน้ันจะต้องคำนึงถึงความพร้อม ความสนใจของเด็ก ด้วยการ
ใช้เกม การเตมิ คำ เพลง แผ่นภาพ การ์ตูนประกอบ กระดาษท่ใี ชท้ ำแบบฝึกต้องมีความทนทานพอสมควร
เนอ้ื หาไม่ยากเกินไป และกำหนดเวลาในการทำแบบฝึกทเ่ี หมาะสม แบบฝกึ ท่ีสรา้ งขนึ้ ควรมกี ารหาประสทิ ธิภาพ
ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน และในการนำแบบฝึกไปใช้นั้นควรมีการแจ้งผลการเรียนให้นักเรียนทราบผลทันที
เพือ่ แสดงใหเ้ ห็นถึงความก้าวหน้าและขอ้ บกพร่องท่ีตอ้ งการปรบั ปรงุ แกไ้ ข
หลักการสร้างแบบฝกึ มหี ลกั ดังต่อไปนี้
1. ใชห้ ลักจิตวิทยาการเรียนรู้ของเด็กแต่ละวัย เช่น แบบฝึกสำหรับเด็กเล็ก หรือระดับอนุบาลและช้ัน
ประถมศึกษาปที ่ี 1 – 2 เน้นภาพมากกว่าคำ เดก็ วัย 9 – 11 ขวบ จะสนใจเรื่องราวเน้ือหาสาระประเภทสาร
คดี เรอื่ งราวจากตำรา ตำนาน คำบอกเล่ามากกวา่ นิทาน วัย 11 – 16 ปี ชอบอ่านเร่ืองยาว ๆ ตอ้ งเนื้อหา
สาระมากกว่ารูปภาพ เป็นต้น
2. ใช้สำนวนภาษาง่าย ๆ โดยเฉพาะคำสัง่ ตอ้ งกระชับ และชดั เจน ไมใ่ ช้ศัพท์ยากเกินไป
3. ให้ความหมายตอ่ ชีวิต หมายถงึ แบบฝกึ นั้นมีวัตถปุ ระสงค์ท่ีชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนฝึกเพ่ืออะไร
ใหข้ ้อคดิ คติธรรมอะไรแฝงอยู่
4. ฝึกให้คิดได้เร็ว และสนุก ปกติหนังสือเรียนมักจะสร้างความจำเจ ทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่ายได้ง่าย
ดังนน้ั แบบฝึกจะต้องแตกต่างไปจากหนังสือเรียน หรือแบบฝึกหัดในหนังสือเรยี น โดยเน้นให้ผู้เรยี นได้คดิ ให้เร็ว
และสนุก โดยมีเกม หรือมกี จิ กรรมหลากหลาย
5. ปลกุ ความสนใจ ดว้ ยรูปภาพ และรปู แบบที่แปลก และแตกตา่ งจากท่ผี เู้ รยี นเคยเหน็
6. เหมาะสมกับวัย และความสามารถของนักเรียน แบบฝึกท่ีดีไม่ควรมากเกินไป ทำให้ผู้เรียนเบ่ือ
และไม่สนใจ และไมค่ วรมีกจิ กรรมซ้ำ ๆ
7. อาจศกึ ษาดว้ ยตนเอง ตามลำพัง
ขน้ั ตอนการสรา้ งแบบฝึก
1. วิเคราะห์ปญั หา และสาเหตกุ ารจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน โดยอาศัยข้อมูลจาก
1.1 ปัญหาทเี่ กดิ ขนึ้ ขณะทำการสอน
1.2 ปญั หาการผ่านจดุ ประสงค์ / ผลการเรยี นรู้ที่คาดหวงั ของผู้เรียน
1.3 ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
1.4 ผลจากการสังเกตพฤตกิ รรมท่ไี มพ่ งึ ประสงค์
2. ศกึ ษารายละเอียดของหลักสูตร เพือ่ วิเคราะห์เน้ือหา จุดประสงค์ และกิจกรรม
3. พิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาท่ีเกดิ ขึ้นจากข้อ 1 โดยการสรา้ งแบบฝึก และเลือกเน้ือหาในส่วนที่
จะสร้างแบบฝกึ นนั้ วา่ จะทำเรื่องใดบา้ ง กำหนดเป็นโครงเรอื่ งไว้
4. ศึกษารปู แบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสารตัวอย่าง
5. ออกแบบชดุ ฝกึ แต่ละชดุ ให้มรี ปู แบบหลากหลาย นา่ สนใจ
6. ลงมอื สรา้ งแบบฝึกในแตล่ ะชุด พรอ้ มทั้งขอ้ ทดสอบกอ่ นเรียน
และหลังเรยี น ให้สอดคล้องกับเน้อื หา และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
7. สง่ ใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญตรวจสอบ
8. นำไปทดลองใช้ แล้วบันทกึ ผลเพอ่ื นำมาปรับปรุงแกไ้ ขส่วนท่ีบกพรอ่ ง
9. ปรบั ปรงุ จนมีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ที่ตงั้ ไว้
10. นำไปใชจ้ ริง และเผยแพรต่ ่อไป
ข้อเสนอแนะในการสร้างแบบฝกึ
1. ในแต่ละแบบฝึกอาจมเี นื้อหาสรุปย่อ หรือเปน็ หลักเกณฑ์ไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาทบทวนกอ่ น
2. ต้องให้ผูเ้ รียนศกึ ษาเนอ้ื หาก่อนใช้แบบฝกึ
3. ควรสร้างแบบฝึกใหค้ รอบคลมุ เนื้อหา และจุดประสงคท์ ี่ตอ้ งการ และไม่ยากหรอื งา่ ยเกินไป
4. คำนงึ ถึงหลักจติ วิทยาการเรียนรูข้ องเด็กใหเ้ หมาะสมกับวุฒิภาวะ และความแตกต่างของผู้เรียน
5. ควรศึกษาแนวการสร้างแบบฝึกให้เขา้ ใจกอ่ นปฏิบัติการสร้าง อาจนำหลักการของผูอ้ ่ืน หรือทฤษฎี
การเรยี นรขู้ องนกั การศึกษา หรอื นักจิตวิทยามาประยกุ ต์ใช้ให้เหมาะสมกับเน้อื หา และสภาพการณ์ได้
6. ควรมีคูม่ ือการใช้แบบฝึก เพื่อใหผ้ ู้สอนคนอื่นนำไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง หากไม่มีค่มู ือต้องมีคำชี้แจง
ข้ันตอนการใช้ทช่ี ัดเจน แนบไปในแบบฝึกด้วย
7. การสร้างแบบฝึกควรพจิ ารณารูปแบบให้เหมาะสมกับธรรมชาตขิ องแตล่ ะเน้ือหาวชิ า
8. การออกแบบชุดฝึกควรมีความหลากหลาย ไม่ซ้ำซาก ไม่ใช้รูปแบบเดียว เพราะจะทำให้
ผู้เรียนเกิดความเบ่ือหน่าย ควรมีแบบฝึกหลาย ๆ แบบ เพื่อฝึกให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะอย่างกว้างขวางและ
ส่งเสริมความคดิ สร้างสรรค์อกี ด้วย
9. การใช้ภาพประกอบเป็นส่ิงสำคญั ท่ีจะช่วยใหแ้ บบฝึกนนั้ น่าสนใจ
10. แบบฝึกต้องมีความถูกตอ้ ง อย่าให้มีข้อผดิ พลาดโดยเดด็ ขาด เพราะผูเ้ รียนจะจำในสง่ิ ทผ่ี ิด
ๆ ตลอดไป ( สจุ รติ เพียรชอบ และสายใจ อนิ ทรมั พรรย์ 2522 : 52 -62 )
3.งานวิจัยที่เกย่ี วขอ้ ง
พัชรนิ ทร์ ประทมุ สาย (2546 : 140) ได้ศกึ ษาเรื่องทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ช้ัน
ประถมศึกษา ปที ่ี 5 ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์มาตรฐาน เพ่ือเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรยี น
ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รายวิชาภาอังกฤษ ด้านสมรรถภาพการอ่าน ก่อนและ
หลังใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ 3 เพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียนที่มีต่อการเรียนสาระการ
เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รายวิชาภาอังกฤษด้านสมรรถภาพการอ่าน ด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียง
ภาษาอังกฤษ กลุม่ เปา้ หมายที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี เปน็ นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา
2549 โรงเรียนบ้านโสกนาค สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่นเขต 2 จำนวน 18 คน เวลาท่ีใช้ทดลอง 9
ช่ัวโมง เครื่องมือท่ีใช้ทดลองได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ จำนวน 6 ชุด แบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ร ายวิชาภาอังกฤษ จำนวน 40 ข้อ แผนการจัด การ
เรียนรู้ วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยหาคา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐานและทดสอบ สมมตุ ฐิ าน
กง่ิ แก้ว ป้องแก้ว (2545 : 60) ได้ศกึ ษาการเปรียบเทยี บความสามารถในการอ่านและแรงจูงใจ
ในการเรียนวชิ าภาษาอังกฤษของนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ท่ีไดร้ ับการฝึกกระบวนการเรียนร้แู บบอภิปัญญา
โดยการใชผ้ ังโยงความสัมพันธ์ความหมายกับการสอนตามคู่มือครู ผลการวิจับพบว่า นกั เรียนท่ีได้รบั การสอนโดย
การฝึกกระบวนการเรียนรู้แบบอภิปัญญา โดยการใช้ผังโยงความสัมพันธ์ความหมายกับการสอนตามคู่มือครู มี
ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี .01 ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานข้อท่ี
1 โดยท่ีนักเรียนท่ีได้รับการสอนโดยการฝึกกระบวนการเรียนรู้แบบอภิปัญญา โดยการใช้ผังโยงความสัมพันธ์
ความหมายมคี วามสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษสูงกวา่ นกั เรียนที่ได้รบั การสอนอ่านตามคมู่ ือครู
วีระวรรณ พูนดี (2544 : 107) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบการสอนอ่านด้วยวิธีสอนแบบใช้
แผนภูมิความหมายกบั การสอนตามคูม่ อื ครทู ่มี ีผลสัมฤทธ์ิตอ่ การอ่าน เพือ่ ความเข้าใจและความคงทนในการจำของ
นกั ศึกษาระดับช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพชีพชั้นสูง แผนกวิชาการบัญชี วิทยาลัยอาชีวศึกษานครปฐม ผลการวิ
จับพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ของการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงชั้นปีท่ี 1
สาขาการบญั ชี ท่ีเรียนโดยวิธสี อนแบบใช้แผนภูมิความหมายมีค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงกว่านักศึกษาที่เรยี นโดยวิธี
สอนตามครูมือครู อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ซ่ึงเป็นไปตามสมมติฐานขอ้ ท่ี 1 2) ความคงทนใน
การจำของการอ่านภาษาอังกฤษของนักศึกษากลุ่มทดลองที่เรียนโดยวิธีสอนแบบใช้ แผนภูมิความหมายสูงกว่า
นกั ศึกษากลมุ่ ควบคุมทเ่ี รยี นโดยวธิ ีสอนตามค่มู อื ครู อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ 0.05 เป็นไปตามสมมติฐาน
ขอ้ ที่ 2
เยาวลักษ์ บัวขาวสทุ ธิกุล (2546 : 123) ได้ทำการวจิ ยั เร่ือง การพัฒนาทกั ษะการอ่านโดยใช้
แบบฝึกทักษะการอ่านของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ โรงเรียนบุญญรกั ษ์วรานุสรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยมี
วัตถุประสงค์ในการวิจัยดังนี้ ๑.) เพ่ือศึกษาและพัฒนาความสามารถในการอ่านออกเสียงของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๓ โดยใช้แบบฝึก ทักษะการอ่าน ๒.) เพอื่ ให้นักเรยี นนำทักษะการอา่ นออกเสียงไปใช้ในการเรียน
วชิ าอ่ืน ๆ และในชีวิตประจำวนั ๓.) เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาให้มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ ๔.) เพ่ือ
ปลูกฝังใหน้ ักเรียนมนี ิสัยรกั การอ่าน และเห็นคุณค่าของการอ่านในการพฒั นาการเรียนรขู้ องตน มีสมมตุ ิฐานการ
วิจัยคือ ผลสัมฤทธ์ิในการประเมินการอ่านออกเสียงของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 หลังจากใช้แบบฝึกทักษะ
การอ่าน สูงกว่า ก่อนท่ีไม่มกี ารใช้แบบฝกึ ทักษะการอา่ นออกเสียง
ทศั ดาวัลย์ สอนวิทย์ (2545 : 97) ได้ทำการวจิ ัยเรื่อง การศกึ ษาผลของการใช้กิจกรรมฝึกอ่านออกเสียงเพอื่ เตรียม
ความพร้อมทักษะพ้ืนฐานการอ่านออกเสยี งของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๒ , ๔/๔โดยมีวตั ถปุ ระสงคใ์ นการ
วิจัยดังนี้ ๑.) เพื่อต้องการศึกษาความสามารถในการอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง คล่องแคล่วของ นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปที ี่ ๔ ๒.) เพื่อนำข้อมูลของนักเรยี นที่อ่านออกเสียงคล่องแคล่ว อ่านไม่คล่อง และอ่านไม่ออกเป็น
รายบุคคลจัดระดับความสามารถทางด้านการอ่านได้ถูกต้อง ๓.) เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมนักเรียนท่ีอ่าน
ออกเสยี งไดถ้ ูกตอ้ งคล่องแคล่วและแก้ไขนักเรียนท่อี ่านออกเสียงไม่ถกู ตอ้ ง และอ่านไม่ออก มกี ลุ่มเปา้ หมายในการ
วิจัยคอื นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๔/๒ , ๔/๔ จำนวน ๗๕ คนโดยแบ่งออกเป็นเพศชาย ๓๕ คน เพศหญิง ๔๐
คน โรงเรียนคนั นายาว สำนักงานเขตคันนายาว กรงุ เทพมหานคร
ปานใจ หมู่สงู เนิน (2544 : 126)ได้ทำการวิจัยเร่ือง การทดลองใช้แบบฝึกออกเสยี งเพือ่ พัฒนาการออกเสยี งของ
นกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ ๒ โดยมีวัตถุประสงค์ของการวจิ ัยเพือ่ เปรียบเทยี บผลการพัฒนาจากคะแนนก่อนและ
หลงั ฝกึ ประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ จำนวน ๗๔ คน รายวิชาภาษาไทย รหัส
วิชา ๒๐๓ ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๔๔ มกี ารสรปุ ผลการวจิ ัยไว้ดังนี้ ผลการวจิ ยั พบว่า
๑.) นักเรียนจำนวน ๗๔ คน มีความกระตือรือร้นในการฝึกดีมาก ตั้งใจปฏิบัติกิจกรรมและบันทึกกิจกรรม
ครบถ้วน ๒.) นักเรียนสามารถเปรียบเทียบผลการพัฒนาจากคะแนนก่อนและหลังฝึก โดยคิดร้อยละของการ
พัฒนาเฉลีย่ ตอ่ คนมกี ารพัฒนาคิดเปน็ ร้อยละ ๕.๕๐ ๓.) สามารถหาประสทิ ธิภาพของชุดฝึกออกเสียง ( E 1/ E 2
) ค่า E1 = ๘๔.๑๕ แสดงว่าชุดฝึกก่อนมีประสิทธิภาพดี และค่า E2 = ๘๙.๖๖ แสดงว่าชุดฝึกหลังฝึกมี
ประสทิ ธภิ าพปานกลาง ๔.) นกั เรียนมีทศั นแ์ ละเจตคติที่ดีต่อการฝึกออกเสียงและต้องการพฒั นาการออกเสียง
ให้ดีข้ึน มีความพึงพอใจในการปฏิบัติกิจกรรมและบันทึกกิจกรรมครบถ้วนคิดเปน็ ร้อยละ ๙๐ จัดวา่ มคี วามพึงพอ
ในในระดับดีมาก ๕.) ผู้ทำการวิจยั สามารถนำผลการวิจัยเพื่อใช้ปรับปรุงชุดฝึกในส่วนท่ียังไม่ถึงเกณฑด์ ี คอื ชุดฝึก
หลงั การฝึกควรปรบั ปรงุ ใหม้ ีความยากหรอื แตกต่างออกไป เพราะชดุ ฝกึ หลังฝกึ อยใู่ นระดบั ปานกลาง
บทที่ 3
วิธกี ารดำเนินการวจิ ัย
การวิจัย เรื่อง การพัฒนาทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรยี นระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยเทคนิค
การสอนอ่านแบบ MIA ในรายวิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา มีวัตถุประสงค์เพื่อ
ศกึ ษาการพัฒนาความสามารถด้านการอ่านภาษาอังกฤษ และศึกษาผลสัมฤทธิ์ในการอา่ นภาษาอังกฤษก่อนและ
หลัง ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรยี นกำแพงวิทยา โดยการจัด
เรียนรู้แบบ MIA โดยผู้วจิ ยั ไดด้ ำเนินการศกึ ษาค้นควา้ รายละเอียดและวธิ กี ารดำเนินการวจิ ยั ดงั น้ี
1.ประชากรกลมุ่ ตัวอยา่ ง
2. เครอื่ งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั
3. การสร้างและหาคุณภาพเคร่อื งมอื วิจยั
4. รูปแบบการวิจยั
5. การเก็บรวบรวมข้อมลู
6. สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวิจยั
1.ประชากรกลุ่มตวั อยา่ ง
ประชากรทีใ่ ช้ในการวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกำแพงวิทยา ภาคเรียนที่ 2
ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 6 ห้องเรียน มีนักเรยี นทัง้ หมด 218 คน
กลุ่มตัวอยา่ งที่ใช้ในการวิจยั ครั้งน้ี ไดแ้ ก่ นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนกำแพงวิทยา ภาคเรียนที่
2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 29 คน ซึ่งได้จากการสุ่มอย่าง่าย (Simple Random
Sampling) โดยมหี อ้ งเรยี นเปน็ หน่วยการสุ่ม ดว้ ยการจบั ฉลาก 1 ห้องเรียน
2. เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวิจยั
เครื่องมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ประกอบด้วย
1. แผนจดั การเรียนรโู้ ดยใช้วิธีการสอนอา่ นแบบ MIA
2. แบบทดสอบวดั ความสามารถทางการอา่ นภาษาองั กฤษเพอื่ ความเขา้ ใจ
3. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเคร่อื งมอื วิจัย
ข้นั ตอนการสร้างแผนจดั การเรยี นรู้
1. ศึกษาหลักสูตรขั้นพ้ืนฐาน หลักสูตรสถานศึกษา สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มาตรฐานการ
เรยี นรู้ช่วงช้ันที่ 3 ระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ขอบข่ายของเน้ือหาวชิ า และผลการเรียนรู้ ท่ีคาดหวัง ตามหลักสูตร
การศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2544
2. เลือกเนื้อหาที่นักเรียนได้เรยี นและไดฝ้ ึกจากแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นมาสรา้ งแบบทดสอบ
3. ศกึ ษาและจัดทําแผนการจัดการเรยี นรู้ โดยยดึ หลกั และข้นั ตอนการสอนอา่ นตามวิธี MIA ของ
เมอรด์ อกซ์ (Murdoch.1986: 9 - 15)
ข้นั ตอนการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษเพือ่ ความเข้าใจ
1. ศึกษาการสร้างแบบทดสอบจากหนังสือแนวทางการสร้างข้อสอบภาษาอังกฤษ (อัจฉรา วงศ์โสธร,
2539) การทดสอบ การวัดและการประเมนิ ผลการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (อัจฉรา วงศโ์ สธร 2544) และการ
ประเมนิ ผลการอา่ น (Alderson, 2000)
2. ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตร เน้ือหา และจุดประสงค์การเรียนรู้ของเนื้อหาท่ีใช้ใน การทดลอง เพ่ือ
นาํ ไปใชใ้ นการสร้างแบบทดสอบ
3. สร้างแบบทดสอบให้ครอบคลมุ เนื้อหาและตรงตามจุดประสงค์ของรายวิชา ดา้ นการแปลความ ตคี วาม
และการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจสำคัญ ผู้วิจัยสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ
ความเข้าใจแบบปรนัยชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลือก ดามลกั ษณะของเน้ือหาท่ีกำหนด จำนวน 50 ข้อ โดยเลือกใช้
จรงิ 30
4. ข้อศึกษาและคัดเลือกเนื้อหาท่ีใช้ในการสร้างแบบทดสอบ โดยให้มีระดับความยาก ง่ายของคําศัพท์
และโครงสร้างภาษา ตามท่ีหลักสูตรกาํ หนด จากน้ันผู้วิจัยสรา้ งข้อทดสอบ เป็นแบบอัตนัย โดยมีลกั ษณะคําถามท่ี
วัดความเข้าใจในการอ่านเพื่อจับใจความสําคัญ สรุปความ ตีความ หารายละเอียด และเรียงลําดับเหตุกา รณ์
จาํ นวน 30 ข้อ
5. นําแบบทดสอบท่ีสร้างข้ึน ให้ผู้เช่ียวชาญด้านการสอนวิชาภาษาอังกฤษ จํานวน 3 ท่าน ตรวจสอบ
ความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหาของข้อคำถาม ตัวเลือก ความสอดคล้องกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด และความถูกต้อง
ทางด้านภาษา โดยใชเ้ กณฑ์กำหนดความคิดเหน็ ดังต่อไปน้ี (บุญชม ศรสี ะอาด. 2545 : 64-65)
1 ถ้าแน่ใจวา่ ข้อสอบน้ันวัดจุดประสงค์เชงิ พฤตกรรมท่ีระบุไวจ้ รงิ
0 ถา้ ไม่แน่ใจว่าขอ้ สอบนั้นวดั จุดประสงค์เชิงพฤตกรรมทรี่ ะบไุ ว้
-1 ถา้ แน่ใจว่าข้อสอบน้นั ไม่ได้วดั จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกรรมที่ระบุไว้
6. นำแบบทดสอบท่ีเลือกไว้และได้รับการปรับปรุงแก้ไขแล้วไปทดลองกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4
ห้อง 4/1 จำนวน 36 คน จากนั้นนำผลการทดลองมาวิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r)
ได้แบบทดสอบจำนวน 20 ข้อ
4. รูปแบบการวจิ ัย
ประเภทของงานวจิ ยั เป็นการวจิ ัยเชิงทดลอง
แบบแผนงานวิจัยที่ใช้ แบบการวิจัย 1 กลุ่ม มีการทดสอบก่อนและหลังเรียน (One group pretest
posttest design) มีแผนภมู ดงั นี้
O1 X O2 O1 แทน การวดั หรือการทดสอบก่อนการทดลอง
X แทน แบบเรียนซ่อมเสริม
O2 แทน การวัดหรือการทดสอบหลงั การทดลอง
5. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
1) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองกับนักเรียน ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียน
กำแพงวิทยา ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 ซงึ่ เป็นนกั เรียนกลมุ่ เป้าหมายในการวิจัยคร้งั นี้ จำนวน 29 คน โดย
ดำเนินการตามข้ันตอน คังน้ี
1.1) ทดสอบก่อนเรียน (Pre - test) กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ด้วยแบบทคสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ
เรียนด้านการอา่ นภาษาองั กฤษ ท่ผี ู้วิจยั สรา้ งขนึ้ จำนวน 20 ขอ้ ใช้เวลาในการทดสอบ 1 ช่ัวโมง
1.2) ผู้วิจัยทำความเข้าใจกับนักเรียน เก่ียวกับขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมในแผนการจัดการเรียนรู้และ
อธิบายวิธีการศึกษาจัดการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจตามขั้นตอนที่ผู้วิจัยกำหนดไว้ จัดกิจกรรม
ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วธิ สี อนอ่านแบบMIA ตามลำดับ จนครบจำนวน 1 แผน 2 ชวั่ โมง
1.3) ทคสอบหลังเรียน (Post - test) กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย เม่ือส้ินสุดการทดลองจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้โดยใช้วิธีสอนอ่นแบบ MIA ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 4 โดยใช้แบบทfสอบความสามารถทางการเรียนด้านการ
อา่ นภาษาองั กฤษที่ผ้วู ิจยั สรา้ งขึ้น จำนวน 30 ข้อ ใชเ้ วลาในการทคสอบ 1 ชวั่ โมง
1.4 นำเอาข้อมูลท่ีได้ท้ังหมดจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนอ่านแบบMIA สำหรับนักเรียนชั้น
มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 มาวเิ คราะห์ขอ้ มูลเปรยี บเทยี บด้วยวิธที างสถิติ
2) การวิเคราะห์
เปรียบเทียบความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ โดยใช้วิธีการสอนแบบ MIA ของ
นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 กอ่ นเรียนกับหลังเรยี นโดยใดยใช้ t-test (Dependent Sample)
6. สถติ ทิ ีใ่ ช้ในการวจิ ัย
สถติ ทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู ไดแ้ ก่
1) การหาค่ารอ้ ยละ (Percentage)
สูตร P = f x 100
n
เมื่อ p แทน คา่ ร้อยละ
f แทน ความถที่ ต่ี อ้ งการแปลงใหเ้ ป็นคา่ รอ้ ยละ
n แทน จำนวยความถที่ งั้ หมด
2) การหาค่าเฉล่ีย (Mean) ของคะแนน
สตู ร =
เมือ่ แทน คะแนนเฉลีย่
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
แทน จำนวนข้อมูล
3) คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation: S.D.)
สูตร S.D. = ()− (2 )
( −)
เม่อื S.D. แทน คา่ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมด
2 แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนนทัง้ หมด
แทน จำนวนขอ้ มูล
4) คา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ (IOC)
สตู ร IOC = R
เมื่อ IOC แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ คำถามกบั ลกั ษณะพฤติกรรม
R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็
ของผู้เช่ียวชาญด้านเนื้อหาท้งั หมด
แทน จำนวนผ้เู ชยี่ วชาญ
5) ค่าความยากง่ายและค่าอำนาจจำแนก โดยใช้เทคนคิ 27%
สตู ร p= pH + pL
2n
r = pH − pL
n
เมอ่ื pH แทน จำนวนนกั เรียนท่ีตอบถกู ในกลุ่มสงู
pL แทน จำนวนนักเรียนตอบถกู ในกลุ่มตำ่
n แทน จำนวนนักเรียนในกลมุ่ สงู หรอื กลมุ่ ต่ำ
6) เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียระหวา่ งคะแนนผลการทดสอบหลังเรยี นกับคะแนนเฉลี่ย กอ่ นเรยี น
โดยใช้ t-test สูตรดังน้ี
6) เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ยี ระหว่างคะแนนผลการทดสอบหลังเรียนกบั คะแนนเฉลยี่ ก่อนเรยี น โดยใช้สตู ร
t-test dependent ดังนี้
t= D
D − (D)2
−1
เมอื่ t แทน คา่ ท่จี ะใช้พจิ ารณา t – distribution
D แทน ผลรวมของความแตกต่างระหว่างคะแนนสอบ
กอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนักเรยี นแต่ละคน
N
D 2 แทน จำนวนนักเรียน
แทน ผลรวมของกำลังสองของความแตกตา่ งระหว่าง
คะแนนสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียนของผเู้ รยี นแต่ละคน
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล
การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบ MIA เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรียน
ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 4 รายวิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา ผู้วิจัยได้นำเสนอการ
วเิ คราะห์ขอ้ มูล ดงั ตอ่ ไปนี้
สญั ลกั ษณ์ทีใ่ ชใ้ นการนำเสนอขอ้ มูล จำนวนคน
N แทน
คา่ เฉลย่ี
แทน ค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน
S.D. แทน
จำนวนขอ้ ของแบบทดสอบ
K แทน ค่าทจ่ี ะใช้พจิ ารณา t – distribution
t แทน
การวิเคราะห์ข้อมลู
การนำวธิ ีการสอนแบบ MIA มาพัฒนาทกั ษะการอา่ นภาษาองั กฤษของกเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาที่ 4 โรงเรียน
กำแพงวิทยา และนำแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียนจำนวน 20 คะแนน ไปทดสอบกับนกั เรยี น ดงั น้ี
1. นกั เรียนทำแบบทดสอบการอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรยี น
2. ครูดำเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น โดยจัดกิจกรรมจัดการเรียนรู้ตาม
กระบวนการสอนแบบ MIA
3. นักเรียนทำแบบทดสอบการอ่านภาษาอังกฤษหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทักษะการอา่ นชดุ เดยี วกบั แบบทดสอบก่อนเรียน
ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
การนำเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ผู้วิจัยได้ดำเนนิ การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดงั น้ี
ส่วนที่ 1 คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละของการทดสอบการอา่ นภาษาองั กฤษหลังเรียน
ส่วนที่ 2 คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละของการทดสอบการอา่ นภาษาองั กฤษหลังเรียน
ส่วนท่ี 3 การเปรียบเทียบผลของวิธีการสอนแบบ MIA โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถใน
การอ่านภาษาอังกฤษของนกั เรียนกอ่ นและหลังเรยี น
ส่วนท่ี 1 คะแนนเฉลีย่ ร้อยละของการทดสอบการอา่ นภาษาอังกฤษหลงั เรียน
ตาราง 1 ตารางแสดงคะแนนเฉลีย่ ร้อยละของการทดสอบกอ่ นเรยี นในการอา่ นภาษาอังกฤษ
คนที่ คะแนนการทดสอบกอ่ นเรยี น(20) รอ้ ยละของคะแนนทดสอบกอ่ นเรียน
19 45
2 11 55
37 35
4 10 50
คนท่ี คะแนนการทดสอบกอ่ นเรยี น(20) ร้อยละของคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น
5 14 70
6 8 40
7 7 35
8 6 30
9 11 55
10 10 50
11 7 35
12 6 30
13 12 60
14 8 40
15 7 35
16 8 40
17 5 25
18 9 45
19 14 70
20 3 15
21 9 45
22 3 15
23 8 40
24 9 45
25 11 55
26 12 60
27 8 40
28 6 30
29 10 50
รวม 248 1,240
คา่ เฉลย่ี 8.55 42.75
จากตารางท่ี 1 ปรากฏว่า นักเรียนจำนวน 29 คน ทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนได้คะแนนเฉล่ีย 8.55 คะแนน
จากคะแนนเตม็ 20 คะแนน คิดเปน็ ร้อยละ 42.75
สว่ นที่ 2 คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละของการทดสอบในการอา่ นภาษาองั กฤษหลังเรียน
ตาราง 2 ตารางแสดงคะแนนเฉลยี่ รอ้ ยละของการทดสอบการอ่านภาษาองั กฤษหลงั เรียน
คนที่ คะแนนการทดสอบหลังเรยี น (20) ร้อยละของคะแนนทดสอบหลังเรียน
1 18 90
2 17 85
3 17 85
4 15 75
5 19 95
6 12 60
7 16 80
8 16 80
9 13 65
10 15 75
คนท่ี คะแนนการทดสอบหลังเรียน (20) ร้อยละของคะแนนทดสอบหลงั เรยี น
11 14 70
12 15 75
13 16 80
14 12 60
15 12 60
16 12 60
17 10 50
18 12 60
19 18 90
20 15 75
21 15 75
22 14 70
23 17 85
24 13 65
25 16 80
26 12 60
27 12 60
28 14 70
29 15 75
รวม 422 2,110
ค่าเฉลยี่ 14.55 72.75
จากตารางที่ 2 ปรากฏว่า นักเรียนจำนวน 29 คน ทำแบบทดสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉล่ีย 14.55
คะแนนจากคะแนนเตม็ 20 คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละ 72.75
ส่วนท่ี 3 การเปรยี บเทียบผลของวธิ กี ารสอนแบบ MIA โดยใช้แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษ
ของนักเรยี นก่อนและหลังเรยี น
ตาราง 3 ตารางผลการเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของคะแนนก่อนเรียนและหลงั เรียนคดิ เปน็ ร้อยละ
คนท่ี ร้อยละของคะแนน ร้อยละของคะแนน ผลตา่ ง
ทดสอบก่อนเรียน ทดสอบหลังเรียน
+45
1 45 90 +30
2 55 85 +50
+25
3 35 85 +25
4 50 75 +20
5 70 95 +45
6 40 60 +50
7 35 80 +10
8 30 80 +25
9 55 65 +35
10 50 75 +45
11 35 70
12 30 75
คนที่ ร้อยละของคะแนน รอ้ ยละของคะแนน ผลต่าง
ทดสอบก่อนเรียน ทดสอบหลงั เรียน
+20
13 60 80 +20
14 40 60 +25
15 35 60 +20
16 40 60 +25
17 25 50 +15
18 45 60 +20
19 70 90 +60
20 15 75 +30
+55
21 45 75 +45
22 15 70 +20
23 40 85 +25
24 45 65 0
25 55 80 +20
26 60 60 +40
27 40 60 +25
28 30 70
29 50 75
คะแนะเฉล่ีย 42.76 72.76 30.00
S.D. 2.26
จากตารางที่ 3 ปรากฏว่า ผลการทดสอบหลังเรยี นสงู กวา่ ผลการทดสอบก่อนเรยี นคิดเป็นร้อยละ 30 และมีค่าส่วน
เบ่ยี งเบนมาตรฐานอยู่ท่ี 2.26
บทท่ี 5
สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
การวิจัยการพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษของผู้เรยี นระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ดว้ ยเทคนคิ การสอน
อา่ นแบบ MIA ในรายวชิ าภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรยี นกำแพงวิทยา ในครั้งนี้มีวตั ถุประสงค์ 1) เพื่อ
ศกึ ษาการพฒั นาความสามารถดา้ นการอา่ นภาษาอังกฤษของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 วชิ าภาษาอังกฤษ รหัส
วิชา อ31102 โรงเรียนกำแพงวิทยา 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธ์ิในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลัง ด้วยการ
จัดการเรียนรแู้ บบ MIA ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 4 วิชาภาษาอังกฤษ รหัสวิชา อ31102 โรงเรียนกำแพง
วทิ ยา โดยผู้วิจัยสร้างเคร่ืองมือการสอนด้วยตนเอง แบบทดสอบใช้วัดผลก่อนเรียนและหลังเรียนจำนวน 20 ข้อ
โดยผูว้ จิ ยั สร้างข้ึนใหส้ อดคล้องกบั การจัดการเรียนรู้แบบ MIA ซึง่ ผวู้ จิ ยั เปน็ ผูด้ ำเนินการสอนและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
ด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าร้อยละ คะแนนเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และนำเสนอข้อมูล
ดว้ ยตารางประกอบคำบรรยาย
สรปุ ผลการวิจัย
1. การพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษของผู้เรียน ด้วยรูปแบบการสอนแบบ MIA ทำให้นักเรียนมี
ความสามารถในการอ่านหลังเรียนสูงข้ึน วัดได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน ท่ีผลปรากฏว่า
นกั เรยี นมีคะแนนเฉลย่ี สงู ข้นึ จากรอ้ ยละ 42.76 เป็นร้อยละ 72.76
2. พฤตกิ รรมของนักเรียนทีแ่ สดงออกในระหว่างเรยี นร้ดู ้วยรปู แบบการสอนแบบ MIA พบวา่ นักเรียนจะ
แสดงความสนใจในการทำกิจกรรมแต่ละขึ้นตอน กระตือรือรน้ สนใจในการเรียนมากขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากการพูด
ซักถามถึงเนื้อหาที่ครูจะสอนต่อไป ให้ความสนใจต่อส่ือการเรียนการสอนท่ีครูจัดเตรียม และเมื่อนำคะแนนที่ได้
จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี นของกลมุ่ ประชากร พบว่า นักเรียนมีความสามารถทางการเรียนดี
ขนึ้
อภปิ รายผลการวิจยั
การวิจัยคร้ังนี้ผู้วิจัยได้ทดลองสอนนักเรียนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในการพัฒนาความสามารถใน
การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ด้วยวิธีการสอนอ่านแบบ MIA สำหรับนักเรียนชั้นมัยมศึกษาปีที่ 4/4
โรงเรียนกำแพงวิทยา อภปิ รายผลได้ ดังนี้
1. การจัดกิจกรรมการเรยี นดว้ ยวิธีการสอนอ่านแบบ MIA ในแตล่ ะข้ันตอนจะมีกิจกรรมชว่ ยให้นกั เรยี น มี
พัฒนาการความเขา้ ใจในการอ่าน เพิ่มขึ้น โดยจัดกิจกรรมที่ฝึกใหน้ ักเรียนได้มีสว่ นร่วมทุกขั้นตอน และเนน้ วิธีการ
ให้นักเรยี นไดเ้ รียนรู้โดย การฝึกหาคาํ ตอบจากการอ่านด้วยตนเอง ในแต่ละขน้ั ตอนผูว้ ิจัยจงึ สอนวิธอี ่านในเร่ืองการ
หาความหมายของคําศัพท์ท่ีสอดคล้องกับปริบท การหาคําอ้างอิง การรจู้ ักส่วนประกอบของเรื่อง เพือ่ ใหน้ ักเรียน
เกิดการเรียนรแู้ ละฝกึ ความสามารถในการอ่านด้วยตนเอง
2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ MIA ทำให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาความสามารถใน
การอา่ นภาษาอังกฤษ คือจะมีการถามนำก่อนการอ่าน เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอนต้ังคำถามหรือข้อความเก่ยี วกับเน้ือ
เรื่องท่ีอ่าน โดยประเภทของคำถามเป็นลักษณะการตอบรับหรือ และคำถามท่ีตอบตามรายละเอียดที่ถาม เพื่อ
กระตุ้นและโน้มน้าวผู้เรียนสนใจอภิปรายร่วมกันระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน ผู้เรียนจะต้องพยายามหาคำตอบ
เพอ่ื ให้กจิ กรรมในแต่ละขั้นตอนสมบูรณ์ แสดงใหเ้ ห็นรปู แบบการสอนที่ดีทส่ี ามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรยี นให้
ได้ฝึกฝนและเรยี นรู้ได้ตลอดคาบเรียน
3. การจัดการเรยี นรู้โดยวิธีการสอนแบบ MIA ทำให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ในขณะทำกิจกรรมการเรียนการ
สอน ผ้เู รยี นรจู้ ักช่วยเหลือซง่ึ กันและกัน ส่งเสริมใหส้ มาชิกทกุ คนในกลุม่ มีโอกาสคดิ พูด แสดงความคดิ เห็น
และลงมือกระทำอย่างเท่าเทียมกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างสมาชิกในกลุ่ม สามารถทำงานร่วมกับ
ผอู้ ืน่ ได้ ให้ความร่วมมอื กับครูผู้สอนในการเรียนและการทำกิจกรรมในการเรียนการสอน และมคี วามเต็มใจในการ
ช่วยเหลื อสม าชิ กใน กลุ่ม ที่ป ระ สบ ปั ญ ห าทาง ด้าน ก ารอ่ าน ห รือ ช่วยเห ลือสม าชิกใน กลุ่ มท่ี เรีย น อ่ อน ใน วิช า
ภาษาองั กฤษอย่างยินดีและเตม็ ใจอย่างยง่ิ ทำใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้และมพี ฤตกิ รรมในการเรียนท่ีดีขึ้น
ขอ้ เสนอแนะ
จากผลการวิจัย ผู้วิจัยได้นำข้อมลู ต่างๆมาพิจารณาและเห็นว่ามีข้อเสนอแนะผูเ้ กี่ยวข้องกับการเรียนการ
สอน และผ้ทู ี่สนใจศกึ ษาค้นคว้า ดังตอ่ ไปน้ี
ข้อเสนอแนะท่ไี ด้จากการทำวจิ ยั
1. ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครผู ู้สอนสามารถใชส้ ่ือเทคโนโลยีที่ทันสมัยและหลากหลายมาช่วยในทำ
กิจกรรมของผูเ้ รียน เพื่อใหผ้ ู้เรียนมีความสนใจกับการทำกิจกรรมมากขนึ้ และเพ่อื ช่วยประหยัดเวลาในการดำเนิน
กิจกรรมใหด้ ำเนนิ ไปอย่างราบรนื่ และรวดเร็วย่ิงขึ้น
2. ครูผู้สอนควรกำหนดเวลาในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วธิ ีการสอนอ่านแบบ MIA ในแต่ละขั้นตอนให้
เหมาะสม เพ่ือให้สามารถจัดการเรียนการสอนตามกิจกรรมใน 7 ขั้นตอนได้อย่างครบถ้วนและครบกระบวนการ
และอาจทำให้ผูเ้ รยี นเกดิ ความเบ่ือหน่ายและทำกิจกรรมไม่เสร็จตามทีก่ ำหนด
3. ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนน้นั ผสู้ อนควรจดั กจิ กรรมทห่ี ลากหลายเพ่อื ให้นกั เรยี นสนใจเน้ือหา
และบทเรยี นที่จะสอน อีกประการหน่ึงผู้สอนควรเสริมเกมและกจิ กรรมท่ีสนุกสนาน โดยมีรางวลั ดึงดูดความสนใจ
ของนักเรียนซง่ึ สงิ่ เหล่าน้สี ามารถเสริมทกั ษะของนกั เรียนให้ดยี ่งิ ข้นึ
ขอ้ เสนอแนะในการทำวิจัยต่อไป
1. ควรศกึ ษาเทคนิควธิ กี ารในการสอนทีแ่ ปลกใหม่ รวมไปถงึ กจิ กรรมท่หี ลากหลายมาสอน
ให้สอดคล้องกับวิธีการสอนอ่านแบบ MIA เพ่ือดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและกิจกรรมเหล่านี้ยังช่วยให้ผู้เรียน
เข้าใจบทเรียนมากยง่ิ ข้นึ
2. ควรมีการทำวจิ ัยโดยใช้วิธีการสอนอ่านแบบ MIA เพอื่ พฒั นาความสามารถทางการอ่านที่สูงข้ึนไป เช่น
ความสามารถในการอ่านเพือ่ คดิ วิเคราะห์
บรรณานกุ รม
สุจรติ เพยี รชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (2523 : 134) การพัฒนาความสามารถการเขียนเชงิ สร้างสรรคข์ อง
นกั เรยี นชน้ั มธยมศกึ ษาปีที่ 4 โดย ใช้เทคนิคดอกบัวบาน การเชอื่ มโยงความคิด และแผนภมู ิใยแมงมุมจาก
http://cms.dru.ac.th http://cms.dru.ac.th/jspui/bitstream/123456789/877/7/Unit%202.pdf
ศรวี ิไล ดอกจนั ทร์ (2523 : 202-203) การพัฒนาทกั ษะทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึ กทกั ษะการเขียน
ของนักเรียนชั้น ปวช.1 แผนกวชิาช่ างซ่อมบำรุง วิทยาลัยการอาชีพฝาง จ.เชียงใหม่ จาก
http://fve.ac.th/car/2555/term1/009.pdf http://fve.ac.th
ดารณไี ด้อา้ งว่าวดิ โดสัน (Widdowson.1987 : 34-44) การพัฒนาทกั ษะการจดจำโครงสรา้ งไวยากรณ์
ภาษาองั กฤษของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5/2 โรงเรียนเตรียมบัณฑติ พชิ ชาลยั โดยใช้ Mind Mapping
จาก http://www.hu.ac.th
ฮอยและเกรก (Hoy; & Gregg. 1994 : 346) การพัฒนาทักษะการเขยี นประโยคภาษาอังกฤษ
โดยใชช้ ุดฝึกทักษะของนักศกึ ษาระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ชน้ั ปีที่ 2 วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์
พณิชยการ จาก http://thesis.swu.ac.th
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก
รายชื่อผ้เู ชย่ี วชาญเปน็ ผูต้ รวจสอบเคร่อื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั
รายช่อื ผู้เชีย่ วชาญเปน็ ผู้ตรวจสอบเครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวิจัย
1. ชอ่ื - สกุล นางปาลิตา อาดุลเบบ
วฒุ ิการศึกษา ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
ตำแหนง่ ครูชำนาญการพิเศษ
สถานท่ที ำงาน โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวดั สตูล
2. ช่อื - สกุล นางนรศิ รา หยีมะเหรบ็
วฒุ กิ ารศึกษา ครุศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ
ตำแหนง่ ครชู ำนาญการพเิ ศษ
สถานทท่ี ำงาน โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จงั หวัดสตูล
3. ชื่อ - สกลุ นายภูรพิ ฒั น์ ยานา
วฒุ กิ ารศึกษา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ (การบริหารการศึกษา)
ตำแหนง่ ครูชำนาญการ
สถานที่ทำงาน โรงเรยี นกำแพงวิทยา อำเภอละงู จงั หวดั สตูล
ภาคผนวก ข
เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในงานวจิ ยั
1. แผนการจัดการเรียนรู้
2. แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น
3. แบบตรวจสอบความเท่ยี งตรง
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 7
กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ รหัสวิชา อ 31102 รายวิชา ภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน
ปกี ารศกึ ษา 2564
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4/4 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 2 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 TIME TO CELEBRATE!
ชอื่ ครผู ู้สอน นางสาวจนั ทรา พัทคง
1. มาตรฐานท่ี
ต 1.1 เขา้ ใจและตคี วามเร่อื งทฟ่ี งั และอา่ นจากส่ือประเภทตา่ ง ๆ และแสดงความคดิ เห็นอย่างมีเหตุผล
ต 1.2 มที ักษะการสอ่ื สารทางภาษาในการแลกเปล่ยี นข้อมูลขา่ วสาร แสดงความรู้สึก และความคดิ เห็นอยา่ ง
มีประสทิ ธิภาพ
ต 1.3 นำเสนอขอ้ มูลขา่ วสาร ความคดิ รวบยอด และความคดิ เห็นในเรื่องตา่ ง ๆ โดยการพดู และการเขียน
ต 2.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหว่างภาษากบั วัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา และนำไปใช้ได้
อย่างเหมาะสมกบั กาลเทศะ
ต 2.2 เข้าใจความสัมพนั ธ์ระหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา และนำไปใชไ้ ด้
อยา่ งเหมาะสมกบั กาลเทศะ
2. ตวั ช้วี ัดท่ี
ต 1.1 ม.4-6/3 อธิบายและเขียนประโยคและขอ้ ความใหส้ ัมพันธก์ ับสือ่ ทีไ่ มใ่ ช่ความเรียงรูปแบบต่างๆ ทอ่ี า่ น
รวมท้ังระบแุ ละเขียนส่ือท่ีไมใ่ ช่ความเรียงรปู แบบตา่ งๆ ใหส้ ัมพันธ์กับประโยค และข้อความที่
ฟงั หรืออ่าน
ต 1.2 ม.4-6/5 พูดและเขียนเพอ่ื ขอและให้ขอ้ มูล บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความคิดเห็น
เกยี่ วกบั เรอื่ ง/ประเดน็ /ขา่ ว/เหตุการณ์ที่ฟังและอา่ นอยา่ งเหมาะสม
ต 1.2 ม.4-6/5 พูดและเขียนบรรยายความรสู้ กึ และแสดงความคิดเหน็ ของตนเองเก่ียวกับเรื่องตา่ งๆ กจิ กรรม
ประสบการณ์ และข่าว/เหตุการณ์อยา่ งมีเหตุผล
ต 1.3 ม.4-6/1 พูดและเขียนนำเสนอข้อมูลเกยี่ วกบั ตนเอง/ประสบการณ์ ข่าว/เหตกุ ารณ์ เรอื่ งและประเดน็
ต่างๆ ตามความสนใจของสังคม
ต 2.1 ม.4-6/2 อธบิ าย/อภปิ รายวิถีชวี ติ ความคดิ ความเช่อื และท่มี าของขนบธรรมเนยี ม และประเพณีของ
เจ้าของภาษา
2. สาระสำคญั
การเรยี นรคู้ ำศัพท์ สำนวนที่เกี่ยวขอ้ งกับสุขภาพ เพ่ือนำความรไู้ ปใช้ในการอ่านเรือ่ งราวของสุขภาพ และ
ใช้ภาษาในการพูดแสดงความคิดเห็น เสนอแนะในการปฏิบัติตนเองให้เหมาะสมในการทำกิจวัตรประจำวัน
สนทนาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพในชวี ิตประจำวนั
จุดประสงค์การเรยี นรู้
K : นักเรียนอ่านจับใจความสำคญั วิเคราะหค์ วามสรุปความและแสดงความคิดเห็นจากเรื่องท่ีฟงั และอา่ นได้
P : นักเรียนใช้ภาษาในการพดู แสดงความคิดเห็น
A : นักเรียนมีวินยั ในการเรียน ใฝเ่ รยี นรู้ และมีความมุ่งมั่นในการทำงาน
3. สาระการเรียนรู้
3.1 ความรู้ ..……(เน้อื หาสาระ).
Language skills
Reading: อ่านเพอ่ื หารายละเอยี ด
Reading : Can you feel the rhythm?
3.2 กระบวนการ
- อ่านบทความ ตีความ ทาความเข้าใจแลว้ นารายละเอียด(Details)จากเร่อื งทอี่ า่ น มาตอบคาถามได้
- พูดแสดงความคิดเห็นเก่ยี วกบั การปฏิบัติตนในการทากิจวัตรประจาวนั ได้
4. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
1. ซอื่ สัตยส์ จุ ริต
2. มวี ินัย
3. ใฝเ่ รยี นรู้
5. มุง่ ม่ันในการทำงาน
6. ช้นิ งาน /ภาระงาน
1. การทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน
2. อา่ นเรือ่ งและตอบคำถามและสรปุ ประเดน็
3. การเขยี นกจิ วัตรประจำวนั ของตนเอง
7. กจิ กรรมการเรียนรู้ : วิธีการสอนอา่ นแบบ MIA
ชั่วโมงที่ 1
ครูผู้สอนแบง่ กลมุ่ ผู้เรียนออกเป็นกลุ่ม กล่มุ ละ 5-6 คน ให้แต่ละกลมุ่ เลือกสมาชกิ ในกลุ่ม 1 คนเปน็
ประธาน โดยประธานกลุ่มเป็นผดู้ แู ลกจิ กรรม และสมาชิกทุกคนต้องรว่ มกันทากจิ กรรมตามกระบวนการท่ี
ครูผ้สู อนไดก้ าหนดไว้
ครูผู้สอนดาเนินการโดยวิธีการสอนอา่ นแบบ MIA
1. ขั้นถามคาถามนากอ่ นการอา่ น (Asking priming questions)
- ครผู ู้สอนสอบถามนกั เรยี นเกยี่ วกับด้านของชีวิตทม่ี คี วามสาคัญท่ีสดุ ของผเู้ รียน
What is the most aspect of life?
- ครผู ู้สอนนาเสนอรูปภาพเกยี่ วกับการบาดเจบ็ ความเจบ็ ปว่ ย อาการปว่ ยของบคุ คลแต่ละคนแล้วให้
นกั เรียนช่วยกันบรรยายสงิ่ ทน่ี กั เรียนเห็นและตอบคาถาม เชน่
- How do they feel?
- What’s the problem?
- What’s the matter?
- What’s happened with them?
- How important is health?
- ครูผู้สอนเขียนคาตอบท่ีนักเรยี นรว่ มกันตอบบนสไลด์
2. ขนั้ ทาความเขา้ ใจเกี่ยวกับคาศัพท์ (understanding vocabulary)
- ครูผู้สอนนาเสนอกจิ กรรมให้นักเรียนเรยี นร้แู ละทาความเขา้ ใจเกี่ยวกบั คาศพั ท์ (Worksheet A) โดย
เบอื้ งตน้ ใหน้ ักเรยี นแต่ละกลุ่มชว่ ยกันบอกความหมายคาศัพทท์ ่ีนกั เรียนทราบความหมายแล้ว เพอ่ื เชอ่ื มโยงความรู้
เดมิ จากนั้นสมาชิกแตล่ ะกลุ่มช่วยกนั ค้นหาความหมายของคาศัพท์
- ครูผู้สอนประเมินการทางานของผ้เู รียนโดยสังเกตจากพฤติกรรมการทางาน การให้ความร่วมมือในการ
ทางานของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม
- นักเรียนเลน่ เกมส์คาศัพทจ์ ากบทอ่าน Can you feel the rhythm? ด้วยซอฟต์แวร์ Worldwall โดย
ครูจะนาคาศพั ท์ทส่ี าคัญจากบทความมาใหน้ กั เรียนเลน่ เกมสจ์ ับคู่คาศัพท์กับความหมายท่ีเปน็ ภาษาองั กฤษ เพื่อ
เป็นการฝกึ ทักษะทางด้านคาศัพท์ และเตรียมความพร้อมในการอ่านบทความ
- ครผู ู้สอนเฉลยคาตอบของคาศัพท์แต่ละคาดว้ ยด้วยซอฟต์แวร์ Worldwall โดยนาเสนอความหมายของ
คาศัพทแ์ ต่ละคาในรูปแบบของคานิยามภาษาอังกฤษ
- ครผู ู้สอนสรุปความหมาย
3. ข้นั อา่ นเนอ้ื เร่อื ง (Reading the text)
- ใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่มอ่านบทความ Can you feel the rhythm? แลว้ ทาความเข้าใจ จับใจความสาคัญ
จากเรอื่ ง พร้อมกบั ทาแบบฝกึ หัดโดยตอบคาถามยอ่ ยๆจากเนอื้ เร่อื งที่ครูนาเสนอ
- ครผู ู้สอนสังเกตการร่วมกจิ กรรมของผเู้ รียนแต่ละกลมุ่ และแนะนา ใหค้ วามช่วยเหลือกลมุ่ ผู้เรียนที่
ประสบปญั หาในการอา่ น
- ครผู ู้สอนใหต้ ัวแทนของแต่ละกลมุ่ เขียนคาตอบบนกระดานตามขอ้ ทไี่ ดร้ บั มอบหมายครผู ู้สอนและ
นักเรียนทกุ กลมุ่ ร่วมกนั เฉลยคาตอบทถ่ี กู ตอ้ งโดยทาความเข้าใจเรื่องทอี่ า่ นไปพร้อมๆกันทีละยอ่ หนา้ จนจบเรือ่ ง
- ครผู ู้สอนพดู สรปุ เนอ้ื หาทีไ่ ด้ทง้ั หมดทไี่ ด้รับจากการจัดการเรยี นการสอนครั้งน้ีและพดู โยงไปถึงการ
จดั การเรยี นการสอนในครงั้ ตอ่ ไป
ชว่ั โมงที่ 2
4. ข้นั ทาความเขา้ ใจเนอื้ เรอื่ ง (Understanding the Text)
- ครูผู้สอนทบทวนคาศพั ท์ดว้ ยการจับคู่คาศพั ท์ดว้ ยซอฟตแ์ วร์ Worldwall โดยนาเสนอความหมายของ
คาศพั ท์แต่ละคาในรูปแบบของคานยิ ามภาษาอังกฤษ
- ครผู ู้สอนให้นักเรยี นตอบคาถามเกี่ยวกับเนอ้ื เร่ืองทีอ่ า่ นเพือ่ ตรวจสอบความเขา้ ใจและเนื้อหาของเร่ืองท่ี
อา่ น (Worksheet B)
- จากน้นั ตรวจสอบความถูกตอ้ งของคาตอบของนักเรยี นแตล่ ะกลุม่ โดยนาเสนอคาตอบผ่านทาง Google
Doc ซง่ึ เปน็ เอกสารออนไลน์ท่นี กั เรียนทกุ คนสามารถเข้าไปเขยี นคาตอบและมีพื้นใหแ้ ลกเปลยี่ นความคดิ เหน็
ร่วมกนั เป็นกลมุ่ ได้ โดยครูไดจ้ ัดพืน้ ท่ีในการเขียนคาตอบใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุม่ เป็นท่ีเรียบรอ้ ยแลว้
- ครนู าเสนอ Google Doc แต่ละสไลด์เพอ่ื แสดงคาตอบจากเนอื้ เรอ่ื งของแตล่ ะกลมุ่
- จากน้นั ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั เฉลยพรอ้ มทั้งวเิ คราะหถ์ งึ คาตอบที่ถูกและผดิ ในข้ันตอนของการเฉลย
คาตอบหากนกั เรียนตอบผดิ ครูผู้สอนจะกระตนุ้ ใหม้ กี ารแนะแนวคาตอบทถ่ี กู ตอ้ ง โดยให้กลมุ่ ที่สามารถตอบ
คาถามได้อธิบายแนวทางในการตอบคาถามทถี่ ูกต้องให้แก่กลมุ่ อน่ื ๆ
5. ขน้ั ถา่ ยโอนข้อมูล (Transferring information)
- ครูผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นรว่ มกันบอกข้อมลู รายละเอียดและใจความสาคญั ท่ีไดจ้ ากการอ่านบทความเร่ือง can
you feel the rhythm?
- ให้นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มนาขอ้ มูล รายละเอียด ใจความสาคัญทีไ่ ดจ้ ากการอา่ นบทความเรอื่ ง Can you
feel the rhythm? มาสรุปรวบยอด โดยการเขยี นใจความสาคัญของแต่ละย่อหนา้ ลงในใบงาน (Worksheet C)
ในรปู ของแผนผงั ความคดิ (Diagram)
6. ข้ันทาแบบฝึกหัดตอ่ ช้นิ สว่ นประโยค และเรียงโครงสร้างอนุเฉท (Doing jigsaw exercise and
paragraph structure)
- ครแู จกช้นิ ส่วนของประโยคใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ช่วยกนั ตอ่ ชิน้ ส่วนและเรยี งให้ถกู ตอ้ งตามโครงสร้าง
ประโยค (Worksheet D)
- ครูและนกั เรียนร่วมกนั เฉลยแบบฝกึ หดั การตอ่ ช้ินส่วนในแต่ละประโยค พรอ้ มทั้งร่วมกันบอกความหมาย
ประโยคที่เรียงถูกตอ้ งสมบรู ณแ์ ลว้
- เม่ือนักเรยี นเรียงประโยคไดถ้ กู ต้องแล้วให้นักเรียนช่วยกนั นาประโยคดังกล่าวมาเรียงลาดบั ตาม
รายละเอยี ดของเนือ้ เรื่อง
- ให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่มนาเสนอผลงานในการต่อช้ินสว่ นของแตล่ ะประโยค โดยให้นกั เรียนตวั แทนของแต่
ละกล่มุ อ่านประโยคที่กล่มุ เรยี งลาดบั สาเร็จ และมใี จความสมบูรณ์
- ครูเฉลยแบบฝกึ หัดต่อชิ้นสว่ นของประโยคโดยนาเสนอประโยคท่เี รียงถูกต้องเรยี บรอ้ ยและสรุปเนื้อหา
ใหแ้ ก่นักเรยี นจดบันทกึ
7. ข้นั ประเมนิ ผลและแกไ้ ข (Evaluating and correcting)
- เพื่อเป็นการตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรยี น ครูใหน้ ักเรียนทากิจกรรมตอบคาถามผ่านทางซอฟต์แวร์
Vondergo ซง่ึ เปน็ เกมตอบคาถามท่ีครผู สู้ อนนามาปรบั ประยกุ ต์ สร้างเป็นแบบฝกึ ทกั ษะในรปู แบบเกมส์ โดย
นักเรยี นจะมบี ทบาทเปน็ ทหารปกปอ้ งรกั ษาปราสาทจากศัตรทู ่จี ะเข้ามายึดครองปราสาท และตอ้ งใช้ความรู้จาก
บทความทเี่ รียนมาตอบคาถามใหถ้ ูกต้องหากนกั เรยี นตอบคาถามได้ถกู ตอ้ งมากกวา่ 60 เปอรเ์ ซน็ จะถือว่านกั เรียน
สามารถปกปอ้ งรกั ษาปราสาทไว้ได้ แต่หากนักเรยี นตอบคาถามไดไ้ มถ่ ึง 60 เปอร์เซน็ ต์ ศัตรกู ็จะสามารถเขา้ มายึด
ครองปราสาทได้
- นักเรยี นช่วยกนั สรุปเนอื้ เรือ่ ง Can you feel the rhythm? และบอกสงิ่ ที่ไดร้ บั จากการเรยี นรูใ้ นบทน้ี
8. ส่อื การเรยี นรู้ /แหล่งเรียนรู้
1. หนังสือเรยี น New Frontiers 5
2. คอมพวิ เตอร์
3. smart phone / I pad
4. เวบ็ ไซต์ https://wheelofnames.com
9. การวัดผลและการประเมินผลการเรยี นรู้
วิธกี ารวัด เครือ่ งมือ เกณฑ์ผ่านการประเมนิ
ดา้ นความรู้-ความเข้าใจ (K) คาศพั ท์ สานวนโครงสร้างทาง รอ้ ยละ 50
ภาษา
ร้คู วามหมายของคาศพั ท์สานวน
และโครงสร้างทางภาษา
ด้านทักษะกระบวนการ (P) ทาแบบทดสอบการอ่านกอ่ น- รอ้ ยละ 50
นกั เรียนสามารถจบั ใจความสาคัญ หลงั เรยี น จบั ใจความ
วเิ คราะหค์ วาม สรปุ ความบทความ เรยี นร้คู าศพั ท์
ที่อ่านได้
ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) สังเกตนักเรยี นในขณะเรยี น ร้อยละ 80
ซ่ือสัตย์ มวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ มงุ่ มนั่ ใน การส่งงาน
การทางาน
10. ความเหน็ ของหวั หนา้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้
อนุญาตใหใ้ ช้จดั การเรยี นการสอนได้
ควรปรบั ปรุง คอื
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
ลงชือ่ ………………………………………..
(นางปาลิตา อาดุลเบบ)
หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ
11. ความคิดเหน็ รองผอู้ ำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ
องค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นร้.ู ............................................................................
มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นรสู้ อดคล้อง.......................................................
สาระสำคญั ครอบคลมุ ชัดเจน.............................................................................................
สาระการเรยี นรมู้ คี วามถูกต้องตามหลกั วชิ าการ................................................................
จุดประสงคก์ ารเรียนรมู้ คี วามชัดเจนครอบคลุม (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น................................................................................................
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค.์ ................................................................................................
ระบภุ าระงาน/ชิน้ งาน........................................................................................................
กิจกรรมการเรียนรู้เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคัญ...........................................................................
ส่ือและอุปกรณ์การเรียนร.ู้ ................................................................................................
การวัดและการประเมินผลตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู้.......................................................
เสนอส่งแผนการจัดการเรียนรู้ตามขัน้ ตอนระบบงาน........................................................
บนั ทกึ หลังสอน.................................................................................................................
( นายอับดลรอศกั ด์ิ มณโี สะ๊ )
รองผ้อู ำนวยการกลุ่มบรหิ ารวิชาการ
12. ความคิดเหน็ ผ้อู ำนวยการโรงเรยี น
อนญุ าตใหใ้ ช้จดั การเรยี นการสอนได้
ควรปรับปรงุ คอื ................................................................................................................
..................................................................................................................................................
( นายสริ วฒุ ิ ยุน้ยุ )
ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นกำแพงวิทยา
13. บันทกึ หลงั การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 7
13.1 ผลการจัดการเรยี นรู้ (ตามจุดประสงค์การเรียนร้)ู
ดา้ นความรู้ (K) : นกั เรยี นอ่านจบั ใจความสำคญั วิเคราะหค์ วามสรปุ ความและแสดงความคิดเห็นจาก
เรือ่ งท่ฟี งั และอ่านได้
ผลจากการจัดกจิ กรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ด้านกระบวนการ (P) : นักเรียนใช้ภาษาในการพดู แสดงความคิดเหน็
ผลจากการจัดกิจกรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ดา้ นคุณลักษณะ (A) : นักเรยี นมีวนิ ัยในการเรยี น ใฝ่เรยี นรู้ และมคี วามมุ่งมน่ั ในการทำงาน
ผลจากการจดั กจิ กรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
13.2 แนวทางแกป้ ญั หานักเรียนทไ่ี ม่ผ่านตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรูห้ รือจุดประสงคก์ ารเรียนรู้
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ …………………………………….…………………
(นางสาวจันทรา พทั คง)
ครูผู้สอน
วันท่ี………เดือน ……………………… พ.ศ. ……………….
Pre-test
Reading Comprehension
Subject: English 31102 Matthayomsuksa 4 60 minutes
Direction : Read the following text below and answer the questions. (1-10)
Tom Yum Kung keeps cancer away
A bowl of tom yum kung a day helps keep cancer away. According to a Thai-Japanese study.
Although the result is only preliminary, the researchers say the world’s most popular Thai dish has
several anti-cancer properties more effective than other antioxidants.
Substances found in galangal, lemon grass and kaffir lime leaves-the main ingredients found in the spicy
soup-are 100 times more effective in preventing tumors than those found in other food.
“ Thai cuisine is full of herbs and spices which are known for their health benefits “ said Suratwadee
Jiwajinda, a researcher at Central Laboratory and Greenhouse complex, Kasetsart University.
1. How much tom yum kung do you have which helps keep cancer away?
a. one bowl every three days b. one bowl a week
c. one bowl a day d. It’s up to you have
2. Why does tom yum kung help keeping cancer away?
a. It has a lot of shrimps (kung) b. It has a lot of substances
c. It has a lot of spicy soup d. It has a lot of tumors
3. Who studies about this food? b. The researchers
a. The teachers d. A Thai-Japanese study
c. Central Laboratory
4. What are the main ingredients of tom yum kung ? b. lemon grass, herb and galangal
a. kaffir lime leaves, galangal and lemon grass d. galangal and kung
c. kung and lemon grass
5. Where did the research take place ? b. school
a. Hospital d. university
c. research center
E-Education begins
RANGOON – Burma launched an ambitious e–education program over the weekend with
the opening of 203 electronic learning centers in all states and divisions nationwide, official
media reports said recently.
The “Electronic Data Broadcasting System” we officially inaugurated recently by the
Ministry of Education and Ministry of Information, said the state run New Light of Myanmar
newspaper.
Under the program, students will have access to lectures on “academic subjects and
technology subjects” at special learning centers via computer, satellite links and television.
6. Where in Burma inaugurated e-education program? b. Rangoon
a. Myanmar d. centre of Burma
c. all the states
7. When did e-education program open? b. every week
a. everyday d. only weekend
c. every month
8. Which subjects do the students have on this program?
a. technology and academic subjects
b. academic subjects and electronic
c. technology and science subject
d. Mathematics and English
9. Student can access to lectures on academic subjects and technology subjects via………
a. computer and radio
b. computer and satellite links
c. satellite links and book
d. radio and book
10. Ms. Chantana: Can I study the English subject via television?
The students: ........................................................
a. Yes, I can. b. No, I can’t.
c. Yes, you can. d. No, you can’t
Directions: Read and find the main ideas of all these short passages. (11-20)
11. After the hurricane, there was no water and not much food on the island. It is still very bad.
Many people no longer have homes and living in schools. Others are in hospitals. We need help
from other countries.
A. The writer wants to help for his family.
B. The writer wants to help for his country.
C. The writer wants some food for his country.
12. John never has any money. He has a good salary, but he’s always borrowing money, “Where
does it go?” asks his mother. “Don’t ask me, says John, “All I do is buy clothes, go to the theater
and eat in the restaurants.”
A. John eats in restaurants.
B. John’s mother buys clothes with his money.
C. John uses all his money and doesn’t save.
13. Erika liked the blue dress and wanted to buy it. “How much is it?” She asked. “Twenty
ninety-five,” said the clerk. “Oh, I don’t have that much money,” said Erika. “You can charge it,”
answered the clerk.
A. The dress was twenty ninety-five.
B. Erika liked the dress and wanted to buy it.
C. Erika didn’t have the money.
14. Mr. James has a financial problem. He tries to pay his bills every month. This month he paid
the rent, the gas company, and the department stores. He didn’t pay his electricity bill. Now Mr.
James can’t even watch television!
A. Mr. James doesn’t have television.
B. Mr. James doesn’t have gas.
C. Mr. James doesn’t have electricity.
15. Bicycles are very popular today in many countries. Many people use bicycles for exercise. But
exercise is only one of the reasons why bicycle are popular. Another reason is money. Bicycles
are not expensive to buy. They do not need gas to make them go. They also are easy and cheap
to fix. In cities, many people like bicycles better than cars. With a bicycle, they never have to
wait in traffic. They also do not have to find a place to park. And finally, bicycles do not cause
any pollution!
A. Bicycles are better than cars.
B. Bicycles do not cause the pollution.
C. Bicycles are popular today for many people.
16. Louise called Mark on Saturday morning. “What are you doing tonight?” she asked. Mark said,
“Tom asked me to go to a baseball game with him. Do you want to come with us, too? He can
bring his friend, Jack” “OK,” said Louise. “I like Jack.”
A. The four friends are going to a baseball game.
B. The two friends are going to a baseball game.
C. Tom and Mark are going to a baseball game.
17. Eric went to a movie and enjoyed it very much. It was the story of a family with 17 children.
The family sang and danced. After the movie, Eric said to his mother, “That was good. Why don’t
you go to see it, too?”
A. Eric saw a movie with 17 children.
B. Eric told his mother to see the movie.
C. Eric saw an entertaining movie yesterday.
18. “The prices are very high in this restaurant,” said Evelyn to her friend. “Don’t think about the
price,” said Edwin. “I want you to enjoy your meal. Order anything you want from the menu. My
salary is higher now, and I have a lot of money for our dinner.”
A. Evelyn and Edwin are eating in a restaurant with high prices.
B. Evelyn can order anything she wants from the menu.
C. Edwin has a higher salary now.
19. Jenny worked late four days, and her boss wanted to thank her. He paid her more money
and took her to dinner at a nice restaurant. “You’re a good secretary, Jenny,” he said. “Thank
you for your help.”
A. The boss paid Jenny extra money.
B. The boss wanted to thank Jenny for her help.
C. The boss took Jenny to dinner.
20. Juan loves to play games. His favorite game is chess because it requires a great deal of
thoughts .Juan also likes to play less demanding board games that are based mostly on luck. He
prefers Monopoly because it requires luck and skill. If he’s alone, Juan likes to play action video
games very much
A. Juan dislikes violence.
B. Juan likes to think.
C. Juan enjoys Monopoly.
-----------------------***-------------------
Post-test
Reading Comprehension
Subject: English 31102 Matthayomsuksa 4 60 minutes
Direction : Read the following text below and answer the questions. (1-10)
Tom Yum Kung keeps cancer away
A bowl of tom yum kung a day helps keep cancer away. According to a Thai-Japanese study.
Although the result is only preliminary, the researchers say the world’s most popular Thai dish has
several anti-cancer properties more effective than other antioxidants.
Substances found in galangal, lemon grass and kaffir lime leaves-the main ingredients found in the spicy
soup-are 100 times more effective in preventing tumors than those found in other food.
“ Thai cuisine is full of herbs and spices which are known for their health benefits “ said Suratwadee
Jiwajinda, a researcher at Central Laboratory and Greenhouse complex, Kasetsart University.
1. How much tom yum kung do you have which helps keep cancer away?
a. one bowl every three days b. one bowl a week
c. one bowl a day d. It’s up to you have
2. Why does tom yum kung help keeping cancer away?
a. It has a lot of shrimps (kung) b. It has a lot of substances
c. It has a lot of spicy soup d. It has a lot of tumors
3. Who studies about this food? b. The researchers
a. The teachers d. A Thai-Japanese study
c. Central Laboratory
4. What are the main ingredients of tom yum kung ? b. lemon grass, herb and galangal
a. kaffir lime leaves, galangal and lemon grass d. galangal and kung
c. kung and lemon grass
5. Where did the research take place ? b. school
d. university
a. Hospital
c. research center
E-Education begins
RANGOON – Burma launched an ambitious e–education program over the weekend with
the opening of 203 electronic learning centers in all states and divisions nationwide, official
media reports said recently.
The “Electronic Data Broadcasting System” we officially inaugurated recently by the
Ministry of Education and Ministry of Information, said the state run New Light of Myanmar
newspaper.
Under the program, students will have access to lectures on “academic subjects and
technology subjects” at special learning centers via computer, satellite links and television.
6. Where in Burma inaugurated e-education program? b. Rangoon
a. Myanmar d. centre of Burma
c. all the states
7. When did e-education program open?
a. everyday b. every week
c. every month d. only weekend
8. Which subjects do the students have on this program?
a. technology and academic subjects
b. academic subjects and electronic
c. technology and science subject
d. Mathematics and English
9. Student can access to lectures on academic subjects and technology subjects via………
a. computer and radio
b. computer and satellite links
c. satellite links and book
d. radio and book