แผนการจัดการเรียนรู้
รายวิชาชีววิทยา 1 ว31241
ค รู วิ ชุ ด า พ ร ห ม ค ง บุ ญ
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนที่ 1
โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัดสตูล
ปีการศึกษา 2565
วเิ คราะห์หนว่ ยการเรยี นรู้สู่แผนการจดั การเรยี นรู้
รายวชิ าชีววทิ ยา 1 รหสั ว31241
หน่วย ชื่อหน่วย ชอื่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวนชว่ั โมง
ท่ี
1 การศกึ ษาชวี วิทยา 1. ธรรมชาตขิ องสง่ิ มชี ีวติ 5
2. การศึกษาชวี วิทยาและวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ 6
2 เคมที เี่ ปน็ พน้ื ฐานของ 3. กจิ กรรมสะเต็มศึกษา 4
สง่ิ มชี วี ิต 15
รวม 2
1. อะตอม ธาตุ สารประกอบ และน้ำ 6
2. สารประกอบคาร์บอนในสิง่ มชี ีวิต 6
3. ปฏิกริ ิยาเคมใี นเซลล์สง่ิ มชี ีวิต 14
1
3 พนั ธกุ รรมและ สอบกลางภาค 6
วิวฒั นาการ 4
1. กลอ้ งจุลทรรศน์ 5
2. โครงสร้างและหนา้ ท่ขี องเซลล์ 8
3. การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ 6
4. การแบง่ เซลล์ 29
5. การหายใจระดับเซลล์ 1
60
รวม
สอบปลายภาค
รวม
รายวิชาชวี วิทยา 1 รหัส ว31241 เวลา
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 การศึกษาชีววิทยา 5
6
แผนที่ ช่อื แผนการจดั การเรยี นรู้ 4
1 ธรรมชาติของสิ่งมีชีวติ 14
2 การศึกษาชีววทิ ยาและวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์
3 กจิ กรรมสะเตม็ ศึกษา
รวม
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว31241 รายวชิ า ชวี วิทยา
ปีการศกึ ษา 2565
ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 1
เวลา 5 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 การศึกษาชีววทิ ยา เรอื่ ง ธรรมชาตขิ องสิง่ มชี ีวติ
ชื่อผสู้ อน นางสาววิชุดา พรหมคงบุญ
1. สาระชีววทิ ยา
เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดับเซลล์
ผลการเรียนรู้ 1. อธิบาย และสรุปสมบัติที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการจัดระบบใน
สิ่งมชี ีวติ ทที่ ำใหส้ ่ิงมชี วี ิตดำรงชวี ิตอยูไ่ ด้
2. สาระสำคญั
สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรงเผ่าพันธุ์ต้องการสารอาหารและพลังงานเพื่อการ
ดำรงชีวิตและการเจริญเติบโต สิ่งมีชีวิตแต่ละชนดิ มีอายุขัยและขนาดแตกตา่ งกนั และมีลักษณะ จำเพาะสามารถ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้มีกลไกในการรักษาดุลยภาพภายในของร่างกายให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต และมีการ
จัดระบบตัง้ แตร่ ะดบั เซลล์ไปจนถึงระดบั กลุม่ สิง่ มีชีวติ
การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตก่อให้เกิดวิชาเฉพาะด้านของสาขาชีววิทยา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
คุณภาพชวี ติ มนษุ ยแ์ ละสิ่งแวดลอ้ ม การศึกษาและการใชป้ ระโยชน์เกี่ยวกับสง่ิ มชี วี ิตตอ้ งคำนงึ ถึงชวี จริยธรรม
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
1. สบื คน้ ข้อมลู วเิ คราะหแ์ ละอธิบายลักษณะเฉพาะที่สำคญั ของส่งิ มีชวี ติ
2. ออกแบบ ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกับการตอบสนองต่อส่ิงเรา้ ของสิง่ มีชวี ิต
3. อธบิ ายความสมั พันธข์ องการจดั ระบบในสงิ่ มีชวี ิตทีท่ ำใหส้ ิง่ มชี วี ติ ดำรงชีวิตอยู่ได้
4. สบื ค้นขอ้ มูล อภิปราย และสรปุ ขอบขา่ ยของศาสตร์ตา่ งๆ ทางดา้ นชวี วทิ ยา
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P)
นักเรยี นสามารถทำงานเปน็ กลมุ่ ร่วมกบั ผู้อนื่ ได้
ดา้ นจิตพสิ ยั (A)
1. เขา้ เรียนเป็นประจำ
2. มีความกระตือรือรน้ ในการเรียน
3. มีสว่ นร่วมในการอภปิ ราย
3. สาระการเรียนรู้
• สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรงเผ่าพันธุ์ ต้องการสารอาหารและพลังงานเพื่อการ
ดำรงชีวิตและการเจริญเติบโต สิ่งมีชีวิตแต่ละชนดิ มีอายุขัยและขนาดแตกต่างกัน และมีลักษณะจำเพาะ สามารถ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ มีกลไกในการรักษาดุลยภาพภายในของร่างกายให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต และมีการ
จดั ระบบต้ังแต่ระดับเซลลไ์ ปจนถึงระดบั กลุ่มส่ิงมชี ีวิต
• การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตก่อให้เกิดวิชาเฉพาะด้านของสาขาชีววิทยา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
คุณภาพชีวติ มนษุ ยแ์ ละส่ิงแวดล้อม การศึกษาและการใชป้ ระโยชน์เก่ยี วกบั สงิ่ มีชีวติ ต้องคำนึงถงึ ชวี จรยิ ธรรม
4. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
1. ความสามารถในการสื่อสาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5. ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
5.1 มีวนิ ยั
5.2 ใฝเ่ รยี นรู้
5.3 มงุ่ มนั่ ในการทำงาน
6. ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21
การสอ่ื สารสารสนเทศและการรู้เทา่ ทันส่อื
7. ภาระงาน/ชน้ิ งาน
- กิจกรรม 1.1 การงอกใหม่
- กจิ กรรม 1.2 การตอบสนองต่อสิง่ เร้าของไส้เดือนดิน
- เกมในโปรแกรม Bamboozle เร่ือง ชีววิทยาคอื อะไร
8. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ใชว้ ธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)
1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ
(1) ครูแนะนำตนเอง จากนั้นให้นักเรียนแนะนำตัวเองทีละคนในรายละเอียดดังนี้ ชื่อ-สกุล ช่ือ
เล่น ผลการเรียนเทอมที่ผ่านมา และรายวิชาที่ชอบและไม่ชอบ พร้อมชี้แจงให้นักเรียนทำแบบวิเคราะห์ผู้เรียน
รายบคุ คลใน google form
(2) ครูแจ้งรหัสรายวิชาวิชา ว31241 ลงบนกระดานจากนั้นถามนักเรียนว่ารหัสวิชานี้เป็นวิชา
อะไรใหน้ กั เรียนช่วยกนั ตอบ จากนั้นสรา้ งขอ้ ตกลงในช้นั เรียน
(3) นักเรียนรับใบคำอธิบายรายวิชา/ผลการเรียนรู้ นักเรียนศึกษาข้อมูลในภาพรวม จากนั้นครู
อธบิ ายวิธีการเรียนการสอนตามผลการเรยี นรู้
(4) นกั เรียนทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอ่ื ง การศึกษาชวี วทิ ยา จำนวน 10 ข้อ
(5) นักเรียนทำแบบตรวจสอบความรู้ก่อนเรียนในหนังสือเรียนจำนวน 10 ข้อ ในหนังสือเรียน
โดยใช้เวลา 10 นาที จากน้ันครูและนกั เรียนร่วมกันเฉลยคำตอบ ดงั น้ี
1. การสืบพันธุ์เป็นลักษณะที่สำคัญของสิ่งมีชีวิตทำให้มีการเพิ่มจำนวนสิ่งมีชีวิตท่ี
เปน็ สปีชีสเ์ ดยี วกันและต่างสปชี สี ์ได้
2. พืชจะมคี วามแตกตา่ งจากสตั ว์ตรงทมี่ อี ายขุ ัยและขนาดทีไ่ มจ่ ำกัด
3. จรรยาบรรณในการใช้สัตว์เพื่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ควรใช้สัตว์ที่มี
โครงสร้างร่างกายท่ีไมซ่ บั ซอ้ นแทนสตั ว์ทม่ี ีโครงสร้างรา่ งกายซับซอ้ น
4. นักชีววิทยาโมเลกุลสนใจศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของสารชีวโมเลกุลและการ
เปลยี่ นแปลงของสารท่ีเกิดขนึ้ ภายในรา่ งกายสิ่งมชี ีวิต
5. การสังเกตเป็นจดุ เร่มิ ตน้ ของการคน้ พบปัญหา ผูท้ ม่ี คี วามละเอยี ดรอบคอบในการ
สงั เกตจะชว่ ยให้สามารถแกป้ ัญหาได้อยา่ งรวดเร็ว
6. ทฤษฎีคือสมมติฐานที่ได้ผา่ นการตรวจสอบแลว้ หลายครั้งว่าเป็นจริงและสามารถ
นำไปประยุกตใ์ ชไ้ ดอ้ ย่างกวา้ งขวาง
7. การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ท่มี ีการออกแบบและทำาการทดลองที่ดี จะไดผ้ ลการ
ทดลองท่อี าจจะสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับสมมตฐิ านที่ต้ังไว้ได้
8. ชีววทิ ยาประกอบด้วยส่วนที่เปน็ ความรู้ (knowledge) และทกั ษะ (skills)
9. การตั้งปัญหาหรือการระบปุ ัญหาเป็นขั้นตอนทีส่ ำคัญของวิธีการทางวิทยาศาสตร์
และกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม
10. วิธีการทางวิทยาศาสตร์และกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมมีขั้นตอนท่ี
สำคญั เหมือนกนั แต่ตา่ งกนั ตรงการนำไปใช้ในการศึกษา
(6) ครแู จง้ จุดประสงคก์ ารเรยี นร้ใู ห้นักเรยี นทราบ
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1) ครูใหน้ กั เรียนสังเกตรปู ท่ีครนู ำเสนอ จากนนั้ ต้ังคำถามว่ารูปท่ีเห็นนเี้ ปน็ สง่ิ มชี ีวติ หรอื สงิ่ ไมม่ ี
ชีวิต ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไร และมีหลักในการจำแนกสิ่งมีชีวิตออกจากสิ่งไม่มีชีวิตอย่างไร ให้
นกั เรียนตอบพร้อมทง้ั ให้เหตผุ ลประกอบ
(2) ครใู หน้ ักเรียนศึกษารปู 1.1 จากหนงั สือเรียน ก. ไลเคน และ ข. ปะการัง ซ่งึ ทง้ั 2 รปู น้ีหาก
นักเรยี นไม่เคยรจู้ ักมาก่อนอาจจะคดิ ว่าเปน็ ส่ิงไม่มชี วี ติ ครูใชค้ ำถามนำในหนงั สือเรียนถามนักเรียนวา่ เราจะทราบ
ไดอ้ ย่างไรวา่ สง่ิ ใดเปน็ ส่งิ มีชีวติ และส่งิ มีชวี ิตควรมลี กั ษณะอยา่ งไรบ้าง
(3) ครูใช้รูปแสดงการเจริญเติบโตของพืชในที่ที่มีแสงสว่างเปรียบเทียบกับบริเวณที่ไม่มีแสง รูป
เด็กขาดสารอาหารโปรตีนจนผอมโซ รปู คนเปน็ โรคคอพอกเนื่องจากขาดธาตุไอโอดีน เป็นตน้ เพื่อให้นักเรียนทราบ
วา่ ส่งิ มีชีวติ จะดำรงชีวิตอยไู่ ด้ตอ้ งอาศยั สารอาหารและพลงั งาน
(4) จากนนั้ ใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ความสำคัญของพลงั งานต่อส่ิงมีชีวติ แหลง่ กำเนิด
ของพลังงาน การถ่ายทอดพลังงานในสิง่ มีชวี ิต ความสัมพันธ์ระหว่างสารอาหารกับพลังงาน ประโยชน์ของอาหาร
และความหมายของเมแทบอลิซึม (พลังงานมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต โดยพืชได้พลังงานจากการเปลี่ยนพลังงาน
แสงเป็นพลังงานเคมีในรูปของสารอาหาร คือ คาร์โบไฮเดรต ซึ่งพืชสามารถนำไปใช้ในการสังเคราะห์สารอาหาร
อ่นื ๆ ได้เชน่ โปรตีน ลิพิด ทงั้ น้สี ตั วแ์ ละมนุษย์จะไมส่ ามารถสรา้ งอาหารได้เองแต่จะได้พลงั งานจากการกินพืชหรือ
กินสตั วอ์ ีกต่อหนึ่ง ในร่างกายส่งิ มีชวี ิตจะมีกระบวนการเปลีย่ นสารอาหารเพ่ือให้ได้พลงั งาน ซึ่งพลงั งานนี้จะนำ ไป
ใช้ในกิจกรรมต่างๆ เพื่อการดำรงชีวิตภายในเซลล์มีปฏิกิริยามากมายเพื่อสลายสารและสังเคราะห์สาร ปฏิกิริยา
เคมีเหล่านี้ต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น ปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเซลล์นี้เรียกว่า เมแทบอลิซึม ในขณะเดียวกัน
สิ่งมีชวี ติ ต้องมกี ารกำจัดของเสยี ออกจากรา่ งกายดว้ ย)
(5) ครใู ช้รปู ของสัตว์ที่มีท้ังพ่อ แม่ และลกู รปู การณ์แตกหน่อของต้นกล้วย การสืบพันธุ์ของปลา
กัด จากนั้นจึงให้นักเรียนสรุปเกี่ยวกับความหมายของการสืบพันธุ์และอภิปรายเกี่ยวกับประเภทของการสืบพันธุ์
อภิปรายความสำคญั ของการสบื พันธ์ุและการทสี่ ่งิ มีชวี ิตแต่ละชนิดมีรูปรา่ งลักษณะคล้ายคลึงกนั
(6) แบง่ กล่มุ นกั เรยี นกลุ่มละ 5-6 คน ทำกิจกรรม 1.1 การงอกใหม่
(7) นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับกำเนิดของเซลล์แรก คือ ไซโกต ก่อให้เกิดชีวิตและ
กระบวนการที่ทำให้มีร่างกายเติบโตสูงใหญ่เช่นในปัจจุบัน เพื่อให้นักเรียนสรุปได้ว่า สิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต
จากน้ันร่วมกนั วิเคราะห์ว่าในขณะเจรญิ เติบโตจากไซโกตจนเป็นตวั เตม็ วัยนน้ั เซลลม์ กี ารเปล่ียนแปลงดังนี้
1. มกี ารเพ่มิ จำนวน (cell division)
2. มกี ารเจรญิ เติบโต เช่น มีการเพิ่มขนาดของเซลลแ์ ละขนาดของรา่ งกาย
3. มกี ารเปล่ียนแปลงเพ่ือทำ หนา้ ที่เฉพาะอยา่ ง (differentiation) ทำ ใหม้ รี ปู ร่างของ
อวัยวะและรปู รา่ งของรา่ งกายเป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชวี ติ แตล่ ะชนดิ
(8) นกั เรียนดคู ลิปเกยี่ วกบั แมงเมา่ จากนั้นตอบคำถามดังนี้
- แมลงเมา่ ตอบสนองตอ่ สงิ่ เร้าไดห้ รือไม่
- สง่ิ เรา้ จากสถานการณน์ ้ีคืออะไร
- นอกจากแมลงเมา่ แลว้ สตั วอ์ ่นื มีการตอบสนองต่อส่ิงเร้าได้หรอื ไม่ และสิ่งเรา้
น้ันคอื อะไร
- นอกจากสตั วแ์ ลว้ พชื สามารถตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ไดห้ รอื ไม่ และสิ่งเรา้ นั้นคืออะไร
(9) นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ ทำกิจกรรม 1.2 การตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ของไส้เดอื นดนิ
(10) ครทู บทวนเกยี่ วกบั การรกั ษาดุลยภาพของสงิ่ มชี ีวติ ดงั นี้
- การรักษาดุลยภาพในเซลล์ของพารามีเซียมซึ่งมีคอนแทร็กไทล์แวคิวโอล ช่วยทำ
หนา้ ท่ีในการรักษาสมดลุ ของน้ำ
- การรกั ษาสมดุลของอุณหภมู ิในร่างกายของสัตวแ์ ละมนุษย์
(11) จากนั้นตั้งคำถามดงั นี้
- เมื่ออุณหภูมิของสภาพแวดล้อมต่ำ เหตุใดร่างกายจึงขับถ่ายปัสสาวะมากกว่าเม่ือ
อณุ หภูมขิ องสภาพแวดล้อมสงู
- ขณะที่นักเรียนออกกำลังกายมากๆ อัตราการหายใจเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปกติเพราะ
เหตใุ ด
(12) ครูใหน้ ักเรียนอภปิ รายเก่ียวกับการจดั ระบบในสิ่งมีชีวติ โดยใชร้ ปู 1.4 เรม่ิ ตัง้ แตใ่ นระดบั
เซลลเ์ น้อื เยือ่ อวัยวะ ระบบอวัยวะ และร่างกายส่ิงมีชวี ติ จากนน้ั ต้งั คำถามดงั นี้
- การจัดระบบภายในเซลล์หรือภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต
นั้นอยา่ งไร
3) ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ
(1) ครนู ำเสนอ PowerPoint เพอื่ อธบิ ายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับสมบัติของสงิ่ มชี วี ิต
(2) นกั เรยี นและครรู ่วมกนั อภิปรายและหาข้อสรปุ โดยใช้แนวคำถามต่อไปน้ี
- สัตวช์ นดิ ใดมีอายขุ ยั สั้น และสัตวช์ นิดใดมีอายขุ ัยยาวกว่าสัตวอ์ นื่ ๆ (สัตว์ที่มีอายขุ ยั สนั้
ไดแ้ ก่ หนมู ีอายุ 3 ปี และสตั ว์ทม่ี ีอายุขยั ยาวนาน ได้แก่ เตา่ กาลาปากอสซึง่ มีอายุต้ังแต่ 152 ปขี ึน้ ไป และคนบาง
คนมอี ายุได้ถงึ 120 ปี)
- ส่งิ แวดลอ้ มภายนอกและสง่ิ แวดลอ้ มภายในทเ่ี ปน็ สิง่ เร้าของสง่ิ มชี ีวิตมีอะไรบา้ ง
(ส่งิ แวดลอ้ มภายนอกท่ีเปน็ สง่ิ เร้า เช่น แสง เสยี ง อณุ หภมู ิ กระแสลม ความชนื้ แรงโนม้ ถว่ ง ธาตอุ าหารของพืช
พ้นื ทท่ี ี่อาศัย เป็นตน้ สงิ่ แวดลอ้ มภายในทเี่ ป็นสิ่งเร้า เช่น ความเครียด ความหิว ระดบั ของฮอร์โมน ระดบั ของ
นำ้ ตาล และระดบั ของนำ้ ในเลอื ด เป็นต้น)
- การพฒั นาของระบบประสาทของสิ่งมีชวี ติ แตล่ ะชนดิ มีความสมั พนั ธก์ บั การตอบสนอง
ตอ่ ส่งิ เร้าของส่งิ มีชีวิตนน้ั ๆ อยา่ งไร (มีความสมั พนั ธก์ ันมาก ถ้าระบบประสาทมกี ารพฒั นาต่ำการตอบสนองต่อส่งิ
เร้าก็จะเปน็ ไปอย่างงา่ ยๆ ถ้าระบบประสาทมกี ารพัฒนามากขึ้น จะมีการตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้ ทีซ่ ับซ้อนข้ึน)
- พชื มีการรกั ษาสมดลุ ของนำ้ ไดอ้ ยา่ งไร (พชื กม็ ีการรกั ษาดุลภาพเชน่ เดยี วกับในสตั ว์
และมนษุ ย์ โดยพืชมกี ารคายนำ้ ผ่านทางรปู ากใบซึง่ การคายนำ้ ของพืชจะสัมพันธ์กบั การดดู น้ำของพืชผ่านทางราก)
- การจัดระบบภายในเซลล์หรือภายในร่างกายของสิง่ มีชวี ิตมคี วามสำคัญตอ่ สิง่ มชี ีวติ น้ัน
อยา่ งไร (การจดั ระบบภายในเซลล์หรอื ร่างกายทำให้มีการแบ่งหน้าท่ีในการทำงานของโครงสรา้ งตา่ ง ๆ ทำให้การ
ทำงานของเซลลห์ รือรา่ งกายมีประสิทธิภาพดีขึ้น)
(3) ครูและนกั เรยี นร่วมกนั สรุปเกย่ี วกบั ลักษณะเฉพาะของส่งิ มีชวี ติ
4) ข้ันขยายความรู้
(1) ครใู หน้ ักเรียนสบื คน้ ข้อมูลเกย่ี วกับสาขาวิชาของวชิ าชีววิทยา
(2) นกั เรียนแบ่งกลมุ่ ๆ ละ 3 คน จากนนั้ ครูสุม่ นักเรยี นที่ละ 2 กลมุ่ เพื่อทำการแข่งขันการตอบ
ปญั หา ชีววิทยาคอื อะไร โดยผ่านเกมในโปรแกรม Bamboozle
(3) นกั เรยี นทีแ่ ขง่ กันกลุ่มทต่ี อบคำถามไดม้ ากกวา่ กจ็ ะไดค้ ะแนนมากกวา่ อีกกลุ่ม
5) ขัน้ ประเมิน
(1) ครูให้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อที่เรียนมาและการปฏิบตั ิกจิ กรรม มีจุดใดบ้างท่ี
ยังไมเ่ ข้าใจหรอื ยงั มขี ้อสงสยั ถา้ มี ครชู ว่ ยอธิบายเพมิ่ เตมิ ให้นักเรยี นเข้าใจ
(3) ด้านความรู้ ครูตรวจสอบผลจากการตอบคำถามจากการทำกิจกรรม การตอบคำถาม และ
การเลน่ เกมในโปรแกรม Bamboozle
(4) ด้านทักษะกระบวนการ ครูสงั เกตการทำกจิ กรรม
(5) ด้านจิตพิสัย ครูตรวจสอบผลจากการสังเกตการเข้าชั้นเรียน การตอบคำถาม และความ
กระตอื รือร้นในการเรยี น
9. สอ่ื การเรียนรู้/แหล่งการเรยี นรู้
9.1 หนงั สือเรียนรายวิชาชวี วทิ ยา เล่ม 1
9.2 โปรแกรม Bamboozle
9.3 PowerPoint เร่ือง ธรรมชาตขิ องสง่ิ มชี ีวิต
10. การวัดผลประเมินผลและเกณฑ์การประเมนิ
รายการวดั วิธีการวดั เครอื่ งมอื วดั ผล เกณฑก์ าร
ประเมนิ
ดา้ นความรู้ (K)
1. สบื ค้นข้อมลู วเิ คราะห์และอธิบายลักษณะ -ตรวจสอบความถกู - กจิ กรรม 1.1 การงอก -ผ่านเกณฑ์ร้อย
เฉพาะท่สี ำคญั ของสิ่งมีชวี ิต ตอ้ งของกจิ กรรม ใหม่ ละ 60 ข้ึนไป
รายการวัด วธิ กี ารวดั เคร่ืองมอื วดั ผล เกณฑก์ าร
ประเมิน
2. ออกแบบ ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกับการ -ตรวจคำตอบจาก - กจิ กรรม 1.2 การ
ตอบสนองตอ่ สิง่ เร้า
ตอบสนองตอ่ ส่งิ เรา้ ของสิง่ มชี ีวติ การเลน่ เกมใน ของไสเ้ ดือนดิน
- เกมในโปรแกรม
3. อธิบายความสัมพันธ์ของการจัดระบบใน โปรแกรม Bamboozle เรอื่ ง
ชีววทิ ยาคืออะไร
ส่ิงมีชีวติ ทท่ี ำใหส้ ่ิงมชี ีวติ ดำรงชีวติ อยไู่ ด้ Bamboozle
4. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุปขอบข่าย
ของศาสตร์ต่างๆ ทางดา้ นชวี วทิ ยา
5. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และยกตัวอย่าง
ประโยชน์ของการศึกษาชีววิทยาต่อคุณภาพ
ชีวิตของมนษุ ยแ์ ละสิง่ แวดลอ้ ม
ด้านทักษะและกระบวนการ (P) -ผา่ นคุณภาพ
นักเรียนสามารถทำงานเปน็ กลมุ่ ร่วมกับผู้อืน่ - สังเกตพฤติกรรม -แบบประเมนิ การ ระดบั พอใชข้ ้ึนไป
ได้ ทำงานเป็นกลุ่ม
ด้านจติ พสิ ัย (A) -สงั เกตพฤติกรรม - แบบประเมินจติ พสิ ัย -ผา่ นคณุ ภาพ
1. เขา้ เรยี นเป็นประจำ ระดับพอใชข้ ้นึ ไป
2. มคี วามกระตือรือร้นในการเรียน
3. มีสว่ นรว่ มในการอภิปราย
11. ความคดิ เหน็ ของคณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้
องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรียนร้.ู ............................................................................
มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชี้วดั /ผลการเรียนรู้สอดคล้อง.......................................................
สาระสำคญั ครอบคลมุ ชัดเจน.............................................................................................
สาระการเรียนรมู้ ีความถูกต้องตามหลกั วิชาการ................................................................
จดุ ประสงค์การเรยี นรมู้ คี วามชัดเจนครอบคลุม (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น................................................................................................
คุณลักษณะอันพึงประสงค์.................................................................................................
ระบุภาระงาน/ช้ินงาน........................................................................................................
กจิ กรรมการเรียนรเู้ นน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ............................................................................
สอ่ื และอุปกรณ์การเรียนรู.้ ................................................................................................
การวัดและการประเมินผลตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้........................................................
เสนอสง่ แผนการจัดการเรียนรูต้ ามขน้ั ตอนระบบงาน.........................................................
บนั ทกึ หลังสอน................................................................................................................ ..
ภาคผนวก..................................................................................................................... ......
............................................................................................................................. ...............................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
ลงชือ่ ..................................................
(นางสาวฤทัยรัตน์ ขวัญเชอื้ )
หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ลงชื่อ.................................................. ลงชอื่ ..................................................
(นางอารยี า เพ็ชรรัตน์) (นางมารีเยาะห์ โอมณี)
คณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้ คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้
12. ความคดิ เห็นรองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ
เห็นควรอนุญาตให้ใช้จัดการเรยี นการสอนได้
เห็นควรปรับปรงุ คอื .....................................................................................................................
........................................................................................................................ ....................................
( นายอับดลรอศักด์ิ มณีโสะ๊ )
รองผ้อู ำนวยการกลมุ่ บริหารวิชาการ
13. ความคิดเห็นผู้อำนวยการโรงเรยี น
อนญุ าตให้ใชจ้ ดั การเรียนการสอนได้
ควรปรับปรงุ คือ....................................................................................................................................
......................................................................................................................... ...........................................
( นายสิรวุฒิ ยนุ ยุ้ )
ผ้อู ำนวยการโรงเรียนกำแพงวิทยา
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 2
กลุม่ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว31241 วชิ า ชวี วิทยา
ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 การศึกษาชีววิทยา เร่ือง การศึกษาชีววิทยาและวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์
เวลา 6 ชวั่ โมง ชื่อผสู้ อน นางสาววชิ ดุ า พรหมคงบญุ
สาระชีววิทยา
เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับเซลล์
ผลการเรียนรู้ 2. อภิปรายและบอกความสำคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา
สมมติฐาน และวธิ กี ารตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้งออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมตฐิ าน
2. สาระสำคญั
การสังเกตเป็นทักษะสำคัญที่นำไปสู่การตั้งปัญหาและรวบรวมข้อมูล ความเป็นคนช่างสังเกตของ
นักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดการค้นพบความรู้ต่างๆ มากมาย รวมทั้งการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่อำนวยความ
สะดวกให้แกม่ นษุ ย์
นักชีววิทยาใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาชีววิทยา ซึ่งประกอบด้วยการตั้งปัญหา การ
ตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสรุปผล การทดลอง
ความรู้ทางชีววิทยาอาจได้จากการสำรวจและการศึกษาภายในและภายนอกห้องปฏิบัติการ ความรู้ที่ได้จาก
การศึกษาบางเรื่องสามารถนำไปตั้งเป็นกฎและทฤษฎีสำ หรับใช้อ้างอิงได้ดังนั้นชีววิทยาจึงประกอบด้วยส่วนที่
สำคัญ 2 สว่ น คอื ส่วนที่เปน็ ความรู้และส่วนท่ีเป็นกระบวนการ ความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์อาจมีการเปล่ียนแปลงได้
เมื่อมีข้อมูลหรือประจักษ์พยานใหม่เพิ่มเติม หรือโต้แย้งจากเดิม ซึ่งท้าทายให้มีการตรวจสอบอย่างระมัดระวงั อนั
จะนำมาสูก่ ารยอมรบั เปน็ ความรใู้ หม่
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ดา้ นความรู้ (K)
1. อธบิ ายวธิ ที างวทิ ยาศาสตร์ และยกตัวอยา่ งนกั วทิ ยาศาสตรข์ องไทยและผลงานท่ีศึกษา
2. อภิปราย และระบุความสำคัญของการตั้งปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐานและ
วิธีการตรวจสอบสมมติฐาน
ด้านทกั ษะกระบวนการ (P)
1. ออกแบบการทดลอง และทดลองเพือ่ ตรวจสอบสมมตฐิ านตามวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรจ์ าก
ตัวอยา่ งการศึกษา
2. การนำเสนอผลงาน
ด้านจิตพิสยั (A)
1. เข้าเรยี นเป็นประจำ
2. มีความกระตอื รือรน้ ในการเรียน
3. มสี ่วนรว่ มในการอภปิ ราย
3. สาระการเรยี นรู้
• การสังเกตเป็นทักษะสำคัญที่นำไปสู่การตั้งปัญหาและรวบรวมข้อมูล ความเป็นคนช่างสังเกตของ
นักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดการค้นพบความรู้ต่างๆ มากมาย รวมทั้งการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่อำนวยความ
สะดวกให้แกม่ นุษย์
• การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตก่อให้เกิดวิชาเฉพาะด้านของสาขาชีววิทยา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา
คณุ ภาพชวี ติ มนุษยแ์ ละสง่ิ แวดลอ้ ม การศกึ ษาและการใชป้ ระโยชน์เกย่ี วกับสง่ิ มีชีวติ ตอ้ งคำนึงถึงชวี จริยธรรม
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
4.1 ความสามารถในการส่ือสาร
4.2 ความสามารถในการคิด
4.3 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5. ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
5.1 มวี ินัย
5.2 ใฝเ่ รยี นรู้
5.3 มุง่ มน่ั ในการทำงาน
6. ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21
6.1 การคิดอย่างมวี ิจารณญาณและการแกป้ ัญหา
6.2 การส่ือสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่ือ
7. ภาระงาน/ชิน้ งาน
- กจิ กรรม 1.5 การตั้งคำถามจากสถานการณท์ ่ีเปน็ ปัญหา
- กจิ กรรมท่ี 1.6 การต้ังสมมติฐาน
- กิจกรรม 1.7 วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ และการรายงานการทดลอง
- สบื คน้ ข้อมลู การค้นพบและผลงานของนักวทิ ยาศาสตร์ไทย ทเี่ ปน็ ผลมาจากการสังเกตและการตั้ง
คำถาม
8. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ ใช้วิธสี อนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
1) ข้ันสร้างความสนใจ
(1) ครชู ้แี จงจดุ ประสงค์ให้นกั เรียนทราบ
(2) ครใู ชค้ ำถามกบั นกั เรยี นดังนี้
- ชวี วทิ ยามคี วามสำคญั ตอ่ ชีวติ ของเราอย่างไร
- ให้นักเรียนยกตัวอย่างสิ่งที่นักเรียนเคยสนใจที่อยากจะเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต 1
ตวั อย่าง ส่งิ นนั้ ศึกษาเก่ียวกับอะไรและเก่ยี วข้องกับแขนงใดของวชิ าชีววทิ ยา
- การศึกษาชีววิทยาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตรเ์ ป็นอยา่ งไร และวิธีการวิทยาศาสตร์
เปน็ เรอ่ื งของทกุ คนจริงหรอื ไม่
(3) นักเรียนรว่ มกันอภิปรายเก่ียวกับวิธีการท่ีนกั ชีววทิ ยา นักเรยี น นักศกึ ษา บุคคลท่ัวไปท่ีสนใจ
ทางด้านชีววิทยาใชใ้ นการศึกษาชีววทิ ยาในแขนงต่างๆ
2) ขน้ั สำรวจและค้นหา
(1) นักเรียนร่วมอภิปรายเกี่ยวกับการทำงานและลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ โดยครูเน้นให้
นักเรียนได้ทราบว่าการเป็นคนช่างสังเกตช่วยให้นักเรียนเก็บข้อมูลได้ละเอียดและมีความรอบคอบ สามารถตั้ง
คำถามได้รดั กมุ
(2) ครนู ำเสนอภาพ 2 ภาพ จากนน้ั ใหน้ ักเรยี นสังเกตลักษณะของส่งิ มีชวี ติ ให้ได้มากที่สดุ ในเวลา
5 นาที พรอ้ มเขียนคำถาม 2-3 ข้อ เกี่ยวกับสงิ่ ทีน่ ักเรียนสงั เกตได้ จากน้ันเปรียบเทียบข้อมลู กับเพ่ือนในห้อง โดย
ครูสุ่มนักเรยี นนำเสนอผลงานของตวั เอง
(3) นักเรียนสืบค้นข้อมูล การค้นพบและผลงานของนักวิทยาศาสตร์ไทย ที่เป็นผลมาจากการ
สงั เกตและการตัง้ คำถามอยา่ งนอ้ ย 1 ผลงาน
(4) นักเรียนทำกิจกรรม 1.5 การตั้งคำถามจากสถานการณ์ที่เป็นปัญหา โดยให้นักเรียนศึกษา
สถานการณ์จากในกิจกรรม จากนั้นครูแจ้งให้นักเรียนทราบประเด็นปัญหาของสถานการณ์ คือ ขวดบรรจุ
ของเหลวทัง้ 2 ใบ เกิดปริมาณแกส๊ CO2 และแอลกอฮอล์ไม่เท่ากัน แล้วให้นักเรยี นตอบคำถามเพือ่ ตัง้ คำถามจาก
สถานการณ์ที่เปน็ ปญั หา โดยมคี ำถามดงั นี้
- จากสถานการณ์ทเี่ ปน็ ปญั หาน้นี กั เรยี นคิดว่าคำถามท่ีอาจเป็นไปไดม้ ีอะไรบา้ ง
(5) ครูทบทวนความหมายของสมมติฐานซึ่งนักเรียนคงทราบแล้วว่า สมมติฐานคือคำตอบที่อาจ
เป็นไปได้ของคำถามหรอื ปัญหา ดงั น้ันการตัง้ สมมติฐานจงึ ตอ้ งยดึ ปญั หาและขอ้ เทจ็ จริงเปน็ หลัก ปญั หาหนึง่ ปญั หา
อาจมีคำตอบได้หลายแนวทาง ดังนั้นจึงอาจมีสมมติฐานได้หลายข้อ โดยการตั้งสมมติฐาน โดยใช้ คำว่า ถ้า ……
ดังนั้น….. พร้อมยกตัวอย่างการตั้งคำถามให้นักเรยี นดู จากนนั้ ใหน้ ักเรยี นทำกจิ กรรมที่ 1.6 การต้งั สมมติฐาน โดย
ให้นักเรียนใช้ตัวอยา่ งปัญหาทีน่ ักเรียนไดต้ ้ังขึ้นมาจากการทำกิจกรรม 1.5 ที่ผ่านมาเพื่อกำหนดเป็นสมมติฐาน ให้
เวลานักเรียน 10 นาที เมื่อเสร็จแล้วครูสุ่มนักเรียนนำเสนอสมมติฐานของตนเอง เพื่อช่วยกันตรวจสอบความถูก
ตอ้ ง
(6) นักเรียนศึกษาข้อมูลการดำเนินการทดลองจากหนังสือเรียนแล้วตอบคำถามในหนังสือเรียน
โดยมีคำถามดงั น้ี “จากการทดลองนีต้ วั แปรตน้ ตัวแปรตาม ตัวแปรทคี่ วบคุม คืออะไร”
(ตวั แปรต้น คือ ความเข้มขน้ ของสารละลายน้ำตาลท่ีแตกต่างกนั
ตัวแปรตาม คอื ปริมาณของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ท่ีเกดิ ขน้ึ
ตวั แปรท่ีควบคมุ คอื ปรมิ าณของยีสต์ ปรมิ าณน้ำสับปะรด ขนาดของขวดรปู ชมพู่ อุณหภูม)ิ
(7) นักเรียนแต่ละกลุ่มฝึกการวิเคราะห์ข้อมูลจากตัวอย่างในหนังสือเรียน หน้า 31 โดยตอบ
คำถามในหนงั สอื เรยี นดงั นี้
- นกั เรียนจะอธิบายผลการทดลองนี้อยา่ งไร (เมอ่ื ความเขม้ ขน้ ของนำ้ ตาลในน้ำสับปะรด
เพ่ิมข้ึน ปริมาณแกส๊ CO2 จะมากขึ้น)
- ผลการทดลองนเ้ี ชอื่ ถอื ไดห้ รอื ไม่ อยา่ งไร (นา่ จะเชื่อถือได้ เพราะได้ทดลองถึง 3 คร้ัง)
- เพราะเหตใุ ดจงึ ทำการทดลองซ้ำ 3 ครั้ง จงอธิบาย (เพ่ือให้ได้ข้อมูลทนี่ ่าเช่ือถือ จะต้อง
ทำการทดลองหลายๆ ครั้งแล้วหาค่าเฉลี่ย เนื่องจากผลการทดลองแต่ละครั้งมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งอาจเกิดจากความ
คลาดเคล่อื นของการวัด)
- ถ้าทำการทดลองอีกครั้ง ข้อมูลจะเหมือนเดิมหรือไม่ อย่างไร (อาจไม่เหมือนเดิม
เพราะเป็นการทดลองคนละคร้ังอาจมีการคลาดเคลอ่ื นจากการวดั การสงั เกตแต่ควรได้ค่าที่ใกลเ้ คยี งกนั )
- ขั้นตอนใดในการทดลองน้ีน่าจะทำให้ผลการทดลองคลาดเคล่ือนและควรแก้ไขอย่างไร
(การชั่งยีสต์ และน้ำตาล อาจทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน ควรแก้ไขโดยใช้เครื่องชั่งเครื่องเดียวกัน ผู้ชั่ง คน
เดยี วกัน หรือการปิดฝาจุกถ้าปิดไม่แน่น แกส๊ ทเ่ี กดิ ข้ึนอาจร่ัวไปได้อาจแก้ไขโดยใช้วาสลีนทารอบ ๆ จุกยางบริเวณ
ปากขวดรูปชมพู่ และหลอดนำแกส๊ บริเวณปากขวดรูปชมพู่ เพือ่ ไม่ให้แก๊สร่ัวออกมา)
(8) นักเรยี นทำกิจกรรม 1.7 วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละการรายงานผลการทดลอง
3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
(1) นักเรียนนำเสนอผลการทำกจิ กรรม 1.7 วธิ กี ารทางวิทยาศาสตรแ์ ละการรายงานผลการ
ทดลอง
(2) ครูจึงยกตัวอย่างการค้นพบยาเพนซิ ิลลิน ยาปฏิชีวนะชนิดแรกของโลก ซึ่งได้มาจากการเป็น
คนช่างสังเกต ช่างคิด ช่างวิเคราะห์ และความอยากรู้อยากเห็นของอเล็กซานเดอร์ เฟลมิงนักจุลชีววิทยาชาว
องั กฤษ โดยชใ้ี ห้เหน็ วา่ การค้นพบน้ีเป็นการค้นพบโดยบังเอญิ แตก่ ่อใหเ้ กดิ คณุ ประโยชนอ์ ย่างมหาศาล
(3) ครูให้นักเรียนร่วมกันสรุปว่าปัญหาได้มาอย่างไร ซึ่งนักเรียนควรสรุปได้ว่า ได้มาจากการ
สังเกตปรากฏการณ์และความอยากรอู้ ยากเห็นของมนุษย์
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าการตรวจสอบสมมติฐานอาจทำโดยผู้
ตรวจสอบคนเดียวหรือหลายคนก็ได้ ถ้าความรู้ที่ได้ค้นพบนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวางก็สามารถ
นำไปตั้งเป็นทฤษฎีได้ เช่น ทฤษฎีเซลล์ หรือถ้าความรู้ที่ ได้รับเป็นความจริงก็นำไปตั้งเป็นกฎได้ เช่น กฎของเมน
เดล ซงึ่ นกั เรียนจะไดศ้ ึกษาต่อไป
(5) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปว่าการศึกษาชวี วิทยาประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นความรู้
และสว่ นทเี่ ปน็ กระบวนการท่ีใชใ้ นการศกึ ษา จากนนั้ จงึ ใหน้ ักเรยี นคิดวิเคราะห์แล้วตอบคำถามในหนงั สือเรียนดังนี้
- จากกิจกรรม 1.5 นักเรียนบอกได้หรือไม่ว่าส่วนใดบ้างที่จัดว่าเป็นความรู้และส่วน
ใดบ้างที่จัดว่าเป็นกระบวนการ (ส่วนที่เป็นความรู้จากกิจกรรม 1.5 พบว่าการสลายน้ำตาลของยีสต์จะได้
แอลกอฮอล์ ส่วนที่เปน็ กระบวนการ คือ การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมมติฐาน การทดลอง การเก็บรวบรวม
ข้อมลู และวเิ คราะห์ข้อมูล และการสรุปผลการทดลอง)
4) ขน้ั ขยายความรู้
(1) ครูชี้ให้เห็นประโยชน์ของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่มีประโยชน์ต่อตัวนักเรียนประเทศชาติ
และมวลมนุษยชาติ
(2) ครูชี้ให้นักเรียนเห็นว่าการศึกษาทางชีววิทยา นอกจากจะต้องใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์แล้ว นักเรียนต้องมีความเข้าใจและตระหนักในธรรมชาติของความรู้วิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน ดังท่ี
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายได้ศึกษาและมีผลงานประจักษ์ วิธีการหนึ่งในการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ
ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ คือ การให้นักเรียนศึกษาประวัติการค้นพบความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในด้านต่างๆ แล้ว
ร่วมกนั วเิ คราะห์ และอภปิ รายเกี่ยวกบั ธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์ทมี่ ีอยใู่ นประวตั ิการศึกษานั้น
5) ข้นั ประเมนิ
(1) ครูให้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อทีเ่ รียนมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มีจุดใดบ้างที่
ยงั ไมเ่ ข้าใจหรอื ยงั มีข้อสงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ใหน้ กั เรยี นเข้าใจ
(2) ดา้ นความรู้ ครตู รวจสอบผลจากการตอบคำถาม และการทำกจิ กรรม
(3) ด้านทักษะกระบวนการ ครสู งั เกตจากการทำกิจกรรม
(4) ด้านจิตพิสัย ครูตรวจสอบผลจากการสังเกตการเข้าชั้นเรียน การตอบคำถาม การอภิปราย
และความกระตือรอื ร้นในการเรียน
9. ส่อื การเรยี นรู้/แหลง่ การเรยี นรู้
9.1 หนงั สือเรียนรายวชิ าชวี วทิ ยา เล่ม 1
9.2 PowerPoint เร่ือง การศึกษาชีววทิ ยา
10. การวัดผลประเมนิ ผลและเกณฑ์การประเมนิ
รายการวัด วิธกี ารวัด เครื่องมอื วัดผล เกณฑก์ าร
ประเมิน
ด้านความรู้ (K) -กจิ กรรม 1.5 การตง้ั -ผา่ นเกณฑร์ ้อย
คำถามจากสถานการณ์ที่ ละ 60 ขน้ึ ไป
1. อธิบายวิธีทางวิทยาศาสตร์ และ -ตรวจผลงานจาก เปน็ ปญั หา
- กจิ กรรมที่ 1.6 การ -ผ่านเกณฑ์ร้อย
ยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ของไทยและ กจิ กรรม ตงั้ สมมตฐิ าน ละ 60 ขน้ึ ไป
- กจิ กรรม 1.7 วธิ ีการทาง
ผลงานที่ศึกษา -ตรวจความถกู ต้อง วทิ ยาศาสตร์ และการ -ผา่ นคุณภาพ
รายงานการทดลอง ระดบั พอใชข้ ึ้นไป
2. อภิปราย และระบุความสำคัญของการ ของข้อมลู - สืบค้นขอ้ มูล การค้นพบ
และผลงานของ
ตั้งปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา นกั วทิ ยาศาสตร์ไทย ท่เี ปน็
ผลมาจากการสงั เกตและ
สมมติฐานและวิธกี ารตรวจสอบสมมติฐาน การต้ังคำถาม
ดา้ นทักษะและกระบวนการ (P) 1. แบบประเมินการทดลอง
ทางวิทยาศาสตร์
1. ออกแบบการทดลอง และทดลองเพื่อ -ตรวจผลงานจาก 2. แบบประเมินการนำเสนอ
ผลงาน
ตรวจสอบสมมติฐานตามวิธีการทาง กจิ กรรม
- แบบประเมนิ จติ พิสยั
วทิ ยาศาสตรจ์ ากตัวอยา่ งการศกึ ษา - สงั เกตพฤติกรรม
2. การนำเสนอผลงาน
ดา้ นจติ พิสัย (A)
1. เข้าเรียนเปน็ ประจำ -สังเกตพฤตกิ รรม
2. มคี วามกระตือรือร้นในการเรยี น
3. มสี ่วนรว่ มในการอภปิ ราย
11. ความคิดเห็นของคณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้
องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู.้ ............................................................................
มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ชีว้ ดั /ผลการเรยี นรู้สอดคลอ้ ง.......................................................
สาระสำคัญครอบคลุมชดั เจน.............................................................................................
สาระการเรยี นร้มู ีความถูกตอ้ งตามหลักวิชาการ................................................................
จดุ ประสงค์การเรียนรมู้ ีความชัดเจนครอบคลมุ (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน................................................................................................
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์.................................................................................................
ระบุภาระงาน/ชิ้นงาน........................................................................................................
กจิ กรรมการเรียนรูเ้ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคัญ............................................................................
สื่อและอุปกรณ์การเรยี นรู้.................................................................................................
การวัดและการประเมนิ ผลตามจุดประสงค์การเรียนรู้........................................................
เสนอส่งแผนการจดั การเรียนรตู้ ามขน้ั ตอนระบบงาน.........................................................
บนั ทึกหลงั สอน................................................................................................................ ..
ภาคผนวก...........................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
.................................................................................... ................................................................................................
................................................................................................................... .................................................................
ลงชื่อ..................................................
(นางสาวฤทัยรตั น์ ขวญั เช้ือ)
หัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ลงชอ่ื .................................................. ลงชือ่ ..................................................
(นางอารียา เพช็ รรตั น์) (นางมารเี ยาะห์ โอมณี)
คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้
12. ความคดิ เหน็ รองผู้อำนวยการกลมุ่ บริหารวชิ าการ
เหน็ ควรอนญุ าตใหใ้ ช้จัดการเรียนการสอนได้
เห็นควรปรบั ปรุง คอื ................................................................................................................
........................................................................................................................ .............................
( นายอบั ดลรอศักด์ิ มณโี สะ๊ )
รองผู้อำนวยการกลุ่มบรหิ ารวชิ าการ
13. ความคดิ เหน็ ผู้อำนวยการโรงเรยี น
อนญุ าตใหใ้ ชจ้ ัดการเรยี นการสอนได้
ควรปรับปรงุ คอื ................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
( นายสริ วฒุ ิ ยนุ ยุ้ )
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนกำแพงวิทยา
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 3
กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว31241 รายวชิ า ชวี วิทยา 1
ปีการศึกษา 2565
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1
เวลา 4 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 การศกึ ษาชีววิทยา เรื่อง กจิ กรรมสะเตม็ ศึกษา
ชือ่ ผสู้ อน นางสาววิชดุ า พรหมคงบุญ
สาระชีววทิ ยา
เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์
ผลการเรียนรู้ 2. อภิปรายและบอกความสำคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา
สมมตฐิ าน และวิธกี ารตรวจสอบสมมตฐิ าน รวมทั้งออกแบบการทดลองเพ่ือตรวจสอบสมมติฐาน
2. สาระสำคญั
สะเต็มศึกษา คือการศึกษาที่บูรณาการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และ
คณิตศาสตร์ ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันในรูปแบบการทำกิจกรรมที่นักเรียนเป็น ผู้ศึกษาค้นคว้า
ด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมซึ่งประกอบด้วย การระบุปัญหาการรวบรวมข้อมูลและ
แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา การวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา การทดสอบ
ประเมนิ ผล และปรับปรุงแกไ้ ขวิธกี ารแก้ปัญหาหรือช้นิ งาน และการนำเสนอวธิ ีการแก้ปญั หา ผลการแกป้ ัญหาหรือ
ช้ินงาน (presentation)
จุดประสงค์การเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
1. อธิบาย และบอกความสำคัญของสะเต็มศึกษาที่ใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อใช้
ในการแก้ปญั หาในชวี ติ จรงิ
2. เปรียบเทียบความเหมอื นหรือความแตกตา่ งระหว่างวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์และกระบวนการ
ออกแบบเชิงวิศวกรรม
ด้านทักษะกระบวนการ (P)
ออกแบบกจิ กรรมตามแนวทางสะเตม็ ศึกษาโดยใชก้ ระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
ดา้ นจติ พสิ ัย (A)
1. เข้าเรยี นเป็นประจำ
2. มคี วามกระตอื รือร้นในการเรียน
3. มสี ่วนร่วมในการอภิปราย
3. สาระการเรยี นรู้
สะเต็มศึกษา คือการศึกษาที่บูรณาการความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์และ
คณิตศาสตร์ ในการแกป้ ัญหาท่เี กิดขึ้นในชวี ติ ประจำวันในรูปแบบการทำกิจกรรมทีน่ ักเรียนเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าด้วย
ตนเองโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่งประกอบด้วย การระบุปัญหา (problem identification)
การรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (related information search) ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา
(solution design) การวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (planning and development) การทดสอบ
ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (testing, evaluation and design improvement)
และการนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (presentation) จุดประสงค์ของสะเต็มศึกษา
เพื่อให้นักเรียนฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เพื่อการวางแผนในการ
ทำงานและการแกป้ ัญหา
4. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
4.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
4.2 ความสามารถในการคิด
4.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
5.1 มวี นิ ัย
5.2 ใฝเ่ รยี นรู้
5.3 มงุ่ มัน่ ในการทำงาน
6. ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
6.1 การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและการแก้ปัญหา
6.2 การส่ือสารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทนั ส่อื
7. ภาระงาน/ชนิ้ งาน
- ใบกจิ กรรมถัว่ งอกสร้างอาชีพ
-ใบงานตรวจสอบสอบความเขา้ ใจหนว่ ยที่ 1
8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ใชว้ ธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)
1) ขนั้ สร้างความสนใจ
(1) ครชู ้ีแจงจุดประสงคใ์ หน้ ักเรยี นทราบ
(2) ครูให้นักเรยี นดูวดี ิทัศนก์ ิจกรรมสะเต็มศกึ ษาดีเด่นระดับนานาชาติ ให้นักเรียนดูเป็นตวั อย่าง
เพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจในกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ที่เผยแพรอ่ ยู่ในเวบ็ ไซต์ สสวท. เชน่ เรื่อง การศึกษา
พฤติกรรมการตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของหนอนไหมเพื่อใช้ควบคุมการพ่นใยในการผลิตแผ่นใยไหม ของ
โรงเรียนดำารงราษฎรส์ งเคราะห์ จ.เชยี งราย
(3) ครูให้นักเรียนดูรูปรถยนต์ แล้วตั้งคำถามว่า “นักเรียนคิดว่าการผลิตรถคันนี้ ต้องใช้ความรู้
สาขาวชิ าใดบ้าง”
2) ขัน้ สำรวจและคน้ หา
(1) ครูใหค้ วามรเู้ กีย่ วกับสะเต็มศึกษา (Science Technology Engineering and Mathematics
Education : STEM Education) แก่นักเรียนว่า เปน็ แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบหนึง่ ที่ส่งเสริมให้นกั เรียนได้ใช้
ทักษะการคิด โดยเฉพาะทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการคิดแก้ปัญหา และทักษะการคิดสร้างสรรค์ผ่านการทำ
กิจกรรม ที่มีจุดเริ่มต้นจากการมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของนักเรียน และมีความต้องการจะ
แก้ปัญหานั้นๆ โดยใช้องค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่ง
การแก้ปัญหานั้นๆ อาจนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมในด้านต่าง ๆ ได้ เช่น ด้านการเกษตร อุตสาหกรรม พลังงาน
การคมนาคม การจัดการสิ่งแวดล้อม เป็นตน้
(2) แบง่ นักเรยี นออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5-6 คน
(3) ครเู ชื่อมโยงความรู้เกี่ยวกับการศกึ ษาชีววิทยาทใ่ี ชว้ ธิ กี ารทางวิทยาศาสตรใ์ นการศึกษา กับสะ
เตม็ ศกึ ษาที่ใชก้ ระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมในการศึกษา โดยมีข้ันตอนต่างๆ
1. ระบุปัญหา (problem identification) เป็นการทำความเข้าใจปัญหาหรือความท้า
ทายวิเคราะห์เงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสถานการณ์ ปัญหา เพื่อกำหนดขอบเขตของปัญหาซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง
ชิ้นงานหรือวิธกี ารในการแก้ปัญหา โดยใช้นกั เรยี นเชือ่ มโยงกับกจิ กรรมในหนังสอื เรียน กิจกรรม 1.9 ถั่วงอกสร้าง
อาชีพ ครูให้นักเรียนศึกษารูปอาหารที่มีถ่ัวงอกเป็นองคป์ ระกอบ เช่น ผัดถั่วงอก กระเพาะปลา หอยทอด ผัดไทย
ออส่วน ก๋วยเตี๋ยว แล้วให้นักเรียนพิจารณาว่าถั่วงอกในอาหารต่างๆ นั้น มีรูปร่างลักษณะที่เหมือนหรือต่างกัน
อย่างไร
- การนำถั่วงอกมาประกอบอาหารนิยมใช้ถั่วงอกท่ีมีลักษณะแตกต่างกันขึ้นกับชนิดของ
อาหาร เชน่ ผดั ถั่วงอกและก๋วยเตยี๋ วมักใช้ถ่วั งอกท่ีอวบอว้ น แตก่ ระเพาะปลามักใช้ถั่วงอกทีม่ ลี ักษณะผอมและยาว
- ครกู ำหนดสถานการณ์ปัญหา ให้นกั เรียน ดังนี้
กำหนดถั่วเขียวเริ่มตน้ 1 กำมือ และมีพื้นที่สำหรับเพาะถั่วงอก 0.1 ตารางเมตร ให้ได้
กำไรจากการขายมากที่สุด และการเพาะถั่วงอกในคร้ังน้ีผูเ้ พาะไม่มีเวลารดน้ำด้วยตนเอง ซึ่งโดยทั่วไปถัว่ งอกต้อง
รดน้ำทุก ๆ 2-3 ชวั่ โมง ถัว่ งอกทเ่ี พาะได้ตอ้ งมีลกั ษณะดงั นี้
1. ผอมยาว ตรง
2. อวบสนั้
3. มใี บสีเขียว
โดยใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ จับฉลากลกั ษณะถ่วั งอกท่เี พาะได้
2. รวบรวมขอ้ มูลและแนวคิดท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ปญั หา (related information search)
เป็นการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการ
แก้ปัญหาและประเมินความเป็นไปได้ ข้อดแี ละขอ้ จำกัด
3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (solution design) เป็นการประยุกต์ใช้ข้อมลู และแนวคิด
ที่เกี่ยวข้องเพื่อการออกแบบชิ้นงานหรือวธิ ีการในการแก้ปญั หา โดยคำนึงถึงทรพั ยากร ข้อจำกัด และเงื่อนไขตาม
สถานการณท์ ก่ี ำหนด
- ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกแบบและเขียนแบบร่างการปลูกถัว่ งอก และวิธีการรดนำ้ ใน
กรณีที่ไมม่ เี วลา
4. วางแผนและดำเนินการแกป้ ัญหา (planning and development) เปน็ การกำหนด
ลำดบั ขั้นตอนของการสรา้ งช้นิ งานหรอื วธิ กี าร แลว้ ลงมือสรา้ งชน้ิ งานหรอื พฒั นาวธิ ีการเพือ่ ใชใ้ นการแก้ปญั หา
5. ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (testing,
evaluation and design improvement) เป็นการทดสอบและประเมินการใช้งานของชนิ้ งานหรือวิธีการ โดยผล
ทไ่ี ด้อาจนำมาใช้ในการปรบั ปรุงและพฒั นาใหม้ ปี ระสิทธภิ าพในการแก้ปัญหาได้อยา่ งเหมาะสมท่สี ุด
6. นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (presentation) เป็นการ
นำเสนอแนวคิดและขั้นตอนการแก้ปัญหาของการสร้างชิ้นงานหรือการพัฒนาวิธี การให้ผู้อื่นเข้าใจและได้
ขอ้ เสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อไป
(4) นักเรียนสืบค้นขอ้ มูลเก่ียวกบั ปัจจัยที่ทำให้ถั่วงอกมีลักษณะต่าง ๆ เช่น อวบสั้น ยาว มีสีต่าง
ๆ และวิธีการเพาะให้ได้ถั่วงอกตามลักษณะที่ตอ้ งการ จากนั้นให้นักเรยี นศึกษาใบความรู้ที่ 1 ปัจจัยที่มีผลตอ่ การ
เพาะถั่วงอก และใบความรู้ที่ 2 ตัวอย่างวิธีการเพาะถั่วงอก จากในหนังสือเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้เพียงพอ
สำหรับนำไปใชใ้ นการออกแบบกจิ กรรม
(5) นักเรียนพิจารณาวัสดุอุปกรณ์ที่ได้จัดเตรียมไว้ จากนั้นออกแบบการเพาะถั่วงอกเพื่อให้ได้
ถั่วงอกตามลักษณะที่ต้องการ โดยให้คำนึงถึงปัญหากรณีที่ผู้เพาะถั่วงอกไม่มีเวลารดน้ำด้วยตนเองต้องออกแบบ
ระบบการรดน้ำด้วย โดยเขียนร่างการออกแบบลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ พร้อมทั้งบันทึกลงในใบกิจกรรม จากน้ัน
นกั เรียนถา่ ยภาพทีไ่ ดจ้ ากการวางแผนการทดลองนำเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น
(6) ครูให้นักเรียนเพาะถั่วงอกตามที่ได้ออกแบบไว้ พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขวิธีการเพาะถั่วงอก
พร้อมทั้งบันทึกผลการเพาะถั่วงอก สรุป วิเคราะห์ผลการเพาะถั่วงอก และอภิปรายถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการ
เพาะถั่วงอก เพื่ออธิบายวา่ การออกแบบและการเพาะถั่วงอก ได้ผลตามลักษณะที่ต้องการหรือไม่ อย่างไร และใน
กรณีที่การเพาะถั่วงอกไม่เปน็ ไปตามที่ได้ออกแบบไว้จะมีวธิ ีการปรับปรุงและแก้ไขการเพาะถั่วงอกอย่างไร พร้อม
ถ่ายภาพรายงานความคืบหน้า
3) ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ
(1) นักเรียนแต่ละกลุม่ ออกมานำเสนอผลงานกลุ่ม
(2) ครูถามคำถามนักเรียนว่า “การศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษากับการศึกษาชีววิทยา มี
จุดเริ่มต้นที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร” ซึ่งนักเรียนควรตอบได้ว่า การศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษากับ
การศึกษาชีววิทยา มีจุดเริ่มต้นที่เหมือนกันคือ การสังเกต การเป็นคนช่างสงสัย การมองเห็นปัญหาแล้วเกิด
เป็นคำาถาม และนำไปสู่การศึกษาเพ่อื แกป้ ัญหานนั้
4) ขั้นขยายความรู้
(1) ครูนำอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการเพาะถั่วงอก และการเพาะ
เมลด็ พืชอ่นื ๆ เช่น ถ่ัวเหลอื ง ทานตะวนั ถัว่ ลันเตา ว่าเหมอื นหรือแตกตา่ งจากการเพาะถ่ัวงอกอย่างไร และให้แต่
ละคนส่งถั่วงอกของตนเอง พร้อมอภิปรายว่าลกั ษณะถั่วงอกที่ได้เป็นไปตามที่ครูกำหนดหรือไม่ เพราะอะไรครูให้
นกั เรียนเลอื กหัวข้อในการทำกจิ กรรมสะเตม็ ศึกษาท่ีเกี่ยวข้องกับชวี ิตประจำวัน
(2) นกั เรยี นทำใบงานเร่ือง ตรวจสอบความเข้าใจหน่วยท่ี 1
(3) นกั เรียนทำแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 1 การศกึ ษาชวี วทิ ยา
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูให้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อทีเ่ รียนมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มีจุดใดบ้างท่ี
ยงั ไมเ่ ขา้ ใจหรอื ยังมขี อ้ สงสัย ถ้ามี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพิ่มเติมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) ด้านความรู้ ครูตรวจสอบผลจากการตอบคำถาม การอภิปราย การทำใบงาน และการทำ
แบบทดสอบ
(3) ดา้ นทักษะกระบวนการ ครสู ังเกตจากพฤติกรรม และการนำเสนอ
(4) ด้านจิตพิสัย ครูตรวจสอบผลจากการสังเกตการเข้าชั้นเรียน การตอบคำถาม และความ
กระตือรอื ร้นในการเรียน
9. ส่ือการเรยี นรู้/แหล่งการเรียนรู้
9.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าชวี วทิ ยา เลม่ 1
9.2 PowerPoint เรื่อง กิจกรรมสะเตม็ ศกึ ษาและกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
10. การวดั ผลประเมินผลและเกณฑ์การประเมนิ
รายการวัด วธิ ีการวัด เครอ่ื งมือวัดผล เกณฑ์การ
ประเมิน
ด้านความรู้ (K)
1. อธิบาย และบอกความสำคัญของสะ -ตรวจใบกิจกรรม - แบบประเมินกิจกรรมสะ -ผา่ นเกณฑ์ร้อย
เต็มศึกษาที่ใช้กระบวนการออกแบบเชิง ใบงานและ เต็มศึกษา ละ 60 ข้ึนไป
วิศวกรรมเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิต แบบทดสอบ -ใบงานตรวจสอบสอบ
จรงิ ความเขา้ ใจหน่วยที่ 1
2. เปรียบเทียบความเหมือนหรือความ -แบบทดสอบหลงั เรียน
แตกต่างระหว่างวิธีการทางวิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 1 การศึกษา
และกระบวนการ ชีววิทยา
ออกแบบเชงิ วศิ วกรรม
ด้านทักษะและกระบวนการ (P) -ตรวจสอบผลการ - แบบประเมนิ กิจกรรมสะ -ผ่านเกณฑ์ร้อย
ออกแบบกิจกรรมตามแนวทางสะเต็ม
ศึกษาโดยใช้กระบวนการออกแบบเชิง ทำกิจกรรม เต็มศกึ ษา ละ 60 ขนึ้ ไป
วศิ วกรรม
-สังเกตพฤตกิ รรม - แบบประเมนิ จิตพสิ ยั -ผา่ นคณุ ภาพ
ด้านจิตพสิ ยั (A) ระดับพอใช้ข้นึ ไป
1. เข้าเรยี นเปน็ ประจำ
2. มีความกระตือรือร้นในการเรียน
3. มีสว่ นร่วมในการอภิปราย
11. ความคิดเหน็ ของคณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้
องคป์ ระกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้.............................................................................
มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชว้ี ดั /ผลการเรยี นรสู้ อดคล้อง.......................................................
สาระสำคญั ครอบคลุมชดั เจน.............................................................................................
สาระการเรยี นรูม้ ีความถูกต้องตามหลักวชิ าการ................................................................
จดุ ประสงค์การเรยี นรูม้ ีความชัดเจนครอบคลมุ (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น................................................................................................
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์.................................................................................................
ระบุภาระงาน/ชนิ้ งาน........................................................................................................
กิจกรรมการเรยี นรเู้ น้นผเู้ รยี นเป็นสำคัญ............................................................................
สอ่ื และอุปกรณ์การเรียนร.ู้ ................................................................................................
การวัดและการประเมนิ ผลตามจดุ ประสงค์การเรยี นร้.ู .......................................................
เสนอสง่ แผนการจดั การเรียนรู้ตามขน้ั ตอนระบบงาน.........................................................
บนั ทึกหลงั สอน................................................................................................................ ..
ภาคผนวก...........................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
................................................................................................................................ ....................................................
....................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ..................................................
(นางสาวฤทยั รัตน์ ขวัญเช้อื )
หัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ลงชื่อ.................................................. ลงชื่อ..................................................
(นางอารยี า เพช็ รรัตน์) (นางมารเี ยาะห์ โอมณี)
คณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรียนรู้ คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้
12. ความคิดเห็นรองผู้อำนวยการกล่มุ บริหารวชิ าการ
เห็นควรอนญุ าตใหใ้ ช้จัดการเรยี นการสอนได้
เห็นควรปรับปรงุ คอื ................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................
( นายอบั ดลรอศักด์ิ มณโี สะ๊ )
รองผอู้ ำนวยการกล่มุ บรหิ ารวชิ าการ
13. ความคิดเห็นผู้อำนวยการโรงเรยี น
อนญุ าตใหใ้ ช้จัดการเรยี นการสอนได้
ควรปรับปรุง คือ..................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
( นายสริ วุฒิ ยนุ ุ้ย )
ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนกำแพงวิทยา
รายวชิ าชีววทิ ยา 1 รหัส ว31241 เวลา
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 2 เคมีทเี่ ปน็ พื้นฐานของสงิ่ มชี ีวติ 2
6
แผนท่ี ชือ่ แผนการจดั การเรยี นรู้ 6
4 อะตอม ธาตุ สารประกอบ และน้ำ 14
5 สารประกอบคารบ์ อนในส่ิงมีชีวิต
6 ปฏกิ ิรยิ าเคมีในเซลลส์ ง่ิ มชี วี ิต
รวม
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว31241 รายวิชา ชวี วทิ ยา 1
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 เคมีท่เี ปน็ พ้นื ฐานของส่งิ มีชีวิต เรอื่ ง อะตอม ธาตุ สารประกอบ และน้ำ เวลา 2 ชว่ั โมง
ชอ่ื ผู้สอน นางสาววิชุดา พรหมคงบุญ
สาระชีววิทยา
เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์
ผลการเรียนรู้ 3. สบื คน้ ขอ้ มูล อธบิ ายเกีย่ วกับสมบัตขิ องน้ำและบอกความสำคัญของน้ำท่ีมีต่อส่ิงมีชีวิต
และยกตัวอย่างธาตุชนดิ ตา่ ง ๆ ท่มี คี วามสำคัญต่อร่างกายสิง่ มชี ีวติ
2. สาระสำคญั
น้ำเป็นสารประกอบที่พบมากที่สุดในสิ่งมีชีวิต น้ำมีบทบาทสำคัญในการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
เช่น น้ำเป็นตัวทำละลายที่ดี เป็นตัวกลางของการเกิดปฏิกิริยาเคมีของกระบวนการเมแทบอลิซึมในร่างกาย การ
ลำเลียงสาร การย่อยอาหาร การหมุนเวียนเลือด การขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย รวมถึงการรักษาดุลยภาพ
ของอุณหภูมิ และความเปน็ กรด-เบส ของเลอื ดและของเหลวตา่ งๆ ในร่างกาย
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ด้านความรู้ (K)
1. สบื ค้นข้อมลู อธบิ ายเกีย่ วกับอะตอม ธาตแุ ละสารประกอบ
2. สบื คน้ ขอ้ มลู อธิบายเกยี่ วกบั โครงสรา้ งโมเลกุล สมบตั ิของนำ้ และบอกความสำคัญของน้ำ
ที่มตี ่อส่ิงมชี ีวิต
ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
นักเรยี นสามารถทำงานเปน็ กลมุ่ รว่ มกบั ผูอ้ ่นื ได้
ดา้ นจิตพสิ ยั (A)
1. เขา้ เรียนเป็นประจำ
2. มคี วามกระตือรือรน้ ในการเรียน
3. มีส่วนร่วมในการอภปิ ราย
3. สาระการเรียนรู้
สิ่งมีชีวิตประกอบด้วย ธาตุและสารประกอบในร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีน้ำเป็นองค์ประกอบมากที่สุด น้ำ
ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจน มีสมบัติในการเป็นตัวทำละลายที่ดี เก็บความร้อนได้ดี และมีความจุ
ความร้อนสงู ซึ่งชว่ ยรกั ษาดลุ ยภาพของเซลลไ์ ด้
ธาตทุ สี่ ง่ิ มชี ีวิตตอ้ งการจะอยู่ในรูปของไอออนในมนุษย์และสตั ว์ ธาตุจะช่วยใหก้ ารทำงานของระบบตา่ ง ๆ
ในรา่ งกายดำเนนิ ไปตามปกตินอกจากนใ้ี นกระดูก ฟนั และกล้ามเนื้อจะมธี าตเุ ปน็ องค์ประกอบดว้ ย
4. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
4.1 ความสามารถในการส่อื สาร
4.2 ความสามารถในการคิด
4.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 มีวินยั
5.2 ใฝเ่ รียนรู้
5.3 มุง่ มนั่ ในการทำงาน
6. ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21
6.1 การคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและการแก้ปัญหา
6.2 การสือ่ สารสารสนเทศและการรเู้ ท่าทันสอื่
7. ภาระงาน/ชิ้นงาน
- ใบงานเร่อื ง อะตอม ธาตุ สารประกอบ และนำ้
8. กระบวนการจัดการเรียนรู้ ใช้วิธีสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
1) ขัน้ สรา้ งความสนใจ
(1) นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยที่ 2 เรอื่ ง เคมีท่ีเป็นพืน้ ฐานของสงิ่ มชี วี ติ
(2) ครูชแ้ี จงผลการเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
(3) ครตู รวจสอบความรู้กอ่ นเรียนของนกั เรียน โดยใชค้ ำถามดงั นี้
1. ตวั เลขแสดงจำนวนโปรตอนในอะตอม เรยี กว่า เลขมวล ส่วนผลรวมของจำนวน
โปรตอนกับนวิ ตรอนเรียกว่า เลขอะตอม
2. อเิ ล็กตรอนทีอ่ ยูใ่ นระดบั พลังงานชนั้ นอกสดุ ท่เี คล่ือนทรี่ อบนิวเคลยี ส เรียกวา่
เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน
3. โปรตอนและนิวตรอนมปี ระจไุ ฟฟ้าบวก สว่ นอิเลก็ ตรอนมปี ระจไุ ฟฟ้าลบ
4. พันธะเคมีที่มีการให้และรับอิเล็กตรอนระหว่างอะตอมหรือไอออนยึดเหนี่ยวกัน
ดว้ ยแรงดงึ ดดู ระหว่างประจุไฟฟา้ ทตี่ ่างกนั การยดึ เหนย่ี วนีเ้ ปน็ พนั ธะโคเวเลนต์
5. ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติทางกายภาพบางประการเหมือนกนั
และบางประการต่างกนั ซึง่ สามารถนำมาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และกง่ึ โลหะ
6. ปฏิกิริยาเคมีเป็นกระบวนการที่ทำให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแล้วมีสาร
ใหมเ่ กิดขึน้
7. การเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของสีหรือกลิ่นที่ต่างไป
จากสารเดมิ การมีฟองแกส๊ หรือตะกอนเกิดขึ้น หรอื มกี ารเพม่ิ หรือลดของอุณหภมู ิ
8. การหลอมเหลวของนำ้ แขง็ หรอื การระเหยกลายเป็นไอน้ำจัดเป็นปฏกิ ิรยิ าเคมี
9. เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมของสารตั้งต้นจะมีการจัดเรียงตัวใหม่ได้เป็นสาร
ผลติ ภณั ฑ์ โดยอะตอมแต่ละชนดิ ก่อนและหลังเกิดปฏกิ ิริยาเคมีมีจำนวนเท่ากันแต่มวลรวมของสารตั้งต้นอาจจะไม่
เท่ากบั มวลรวมของสารผลิตภัณฑก์ ็ได้
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1) ครูใหภ้ าพการจดั ระบบของสิง่ มชี วี ติ ให้นักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายธาตุทเ่ี ปน็ องค์ประกอบ
ของสงิ่ มชี ีวติ เพื่อให้ไดข้ ้อสรปุ ว่า โมเลกุลของสารเหล่านน้ั เกิดจากอะตอมของธาตทุ ่ีเป็นพ้นื ฐานของส่ิงมีชีวติ ไดแ้ ก่
คารบ์ อน ไฮโดรเจน ออกซเิ จน และไนโตรเจน
(2) ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอะตอม ธาตุและสารประกอบ รวมถึงโครงสร้างของ
ส่งิ มีชีวิตจากภาพ 2.1 ในหนังสือเรยี น แลว้ ใหน้ กั เรียนอภิปรายรว่ มกัน เพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ สรุปว่า โครงสร้างของส่ิงมีชีวิต
ประกอบด้วยอะตอมของธาตุต่างๆ อะตอมยึดเหนี่ยวกันดว้ ยพันธะเคมีเกิดเป็นโมเลกุล เซลล์ซ่ึงเป็นหน่วยพืน้ ฐาน
ที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิตเกิดจากโมเลกุลชนิดต่างๆ จำนวนมากมารวมตัวกันสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เช่น พืช สัตว์ มี
เซลล์จำนวนมากรวมเป็นเนื้อเยื่อซึ่งมีหน้าที่จำเพาะ เนื้อเยื่อหลายชนิดทำงานร่วมกันเป็นอวัยวะที่ประกอบเป็น
สง่ิ มชี วี ติ
(3) ครูให้นักเรียนนำข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นมาอภิปรายร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า อะตอม
ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน อยใู่ นนิวเคลียส และอเิ ลก็ ตรอนซ่งึ เคลื่อนที่รอบนิวเคลยี สในระดับพลังงานต่าง ๆ
อิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานชั้นนอกสุดเรียกว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน โดยทั่วไป นิวเคลียสมีจำนวนนิวตรอน
เท่ากับโปรตอน ตัวเลขแสดงจำนวนโปรตอนในอะตอม เรียกว่า เลขอะตอม ผลรวมของจำนวนโปรตอนกับ
นิวตรอนเรียกว่า เลขมวล โดยโปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก ส่วนอิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ ขณะท่ีนิวตรอนไม่มี
ประจุ อะตอมท่ีมีจนวนอเิ ล็กตรอนเท่ากับจำนวนโปรตอนจะเปน็ กลางทางไฟฟ้า
3) ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรุป
(1) ครตู ้ังคำถามเพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจนักเรียน ดงั นี้
- จากรปู 2.2 ก. ให้ระบจุ ำนวนเวเลนซ์อเิ ลก็ ตรอนของอะตอมคารบ์ อนและอะตอม
ไฮโดรเจน (อะตอมคารบ์ อนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 4 สว่ นอะตอมไฮโดรเจนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากบั 1)
- จากรปู 2.2 ข. อะตอมคาร์บอนมจี ำนวนโปรตอนและนวิ ตรอนอยา่ งละเท่าไร
(อะตอมคาร์บอนมีโปรตอนและนิวตรอนอย่างละ 6)
(2) ครูให้ความรู้เกยี่ วกบั ธาตุ จากน้นั ครใู หน้ กั เรยี นรว่ มกนั อภิปราย เพื่อให้ได้ข้อสรปุ ว่า นอกจาก
สิ่งมชี ีวติ จะมธี าตคุ ารบ์ อน ออกซเิ จน และไฮโดรเจน เปน็ องค์ประกอบหลักแล้วยังมธี าตุอ่ืนๆ เปน็ องค์ประกอบอีก
ด้วย โดยส่วนใหญ่ธาตุเหล่านี้จะอยู่ในรูปของไอออนและมีปริมาณที่แตกต่างกัน ถึงแม้สิ่งมีชีวิตต้องการธาตุบาง
ชนิดในปริมาณเล็กน้อย แต่ถ้าได้รับปริมาณไม่เพียงพอหรือเมื่อมีการสูญเสียไปอาจทำให้การทำงานของอวัยวะ
ตา่ งๆ ผิดปกตไิ ด้
(3) ครอู ธิบายเพม่ิ เติมเกยี่ วกบั ธาตุและสารประกอบ เพ่อื ให้ได้ข้อสรปุ วา่ โมเลกลุ ทีป่ ระกอบด้วย
อะตอมมากกว่า 1 ชนิดเรยี กว่าสารประกอบ เชน่ โซเดียมคลอไรด์ (NaCl)
(4) ครใู ห้ความรเู้ กีย่ วกบั พันธะเคมี โดยใชร้ ูป 2.6 และ 2.7 ในหนงั สือเรียน เพ่ือให้ได้ขอ้ สรปุ ว่า
การรวมตัวของอะตอมเกิดแรงยึดเหนี่ยวที่เรียกว่า พันธะเคมี ซึ่งพันธะเคมีเกี่ยวข้องกับเวเลนซ์อิเล็กตรอนของคู่
อะตอมที่ร่วมสรา้ งพนั ธะกนั การยึดเหนีย่ วระหวา่ งอะตอมธาตุ 2 อะตอมโดยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเกิด
เป็นพันธะโคเวเลนต์ และการยึดเหนี่ยวระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกและไอออนลบเกิดเป็นพันธะไอออนิก
นอกจากนโ้ี มเลกุลยังเกิดแรงยึดเหนยี่ วระหว่างโมเลกุล โดยอาจเกิดจากโมเลกุลชนิดเดยี วกันหรือตา่ งชนิดกัน เช่น
พันธะไฮโดรเจน
(5) ครูให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างโมเลกุล สมบัติ และความสำคัญของน้ำแล้ว
รว่ มกันอภปิ รายถงึ บทบาทท่ีสำคญั ของน้ำในประเดน็ ตา่ งๆ ดังน้ี
O การเป็นตัวทำละลาย
O สมบัติไฮโดรฟลิ กิ และไฮโดรโฟบิก
O ความเป็นกรด-เบส
O การดดู ซับพลังงานความรอ้ น
O แรงโคฮชี นั และแรงแอดฮชี ัน
(6) ครูให้นักเรียนนำเสนอข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นเกี่ยวกับโครงสร้างโมเลกุลของน้ำและพันธะ
โคเวเลนต์ เพื่ออธบิ ายการเกิดโมเลกุลที่มขี ้วั ของนำ้ รวมทัง้ การเขียนสญั ลกั ษณ์แทนขัว้ บวก และข้วั ลบ
4) ข้ันขยายความรู้
(1) ครูให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงประจุของน้ำ ดังน้ี โมเลกุลของน้ำมีขั้วเนื่องจาก
อเิ ลก็ ตรอนคู่รว่ มพนั ธะถูกดึงให้เข้าใกล้อะตอมของออกซเิ จนมากกว่าอะตอมของไฮโดรเจน อะตอมของออกซิเจน
จึงแสดงขวั้ ลบ และทำใหอ้ ะตอมของไฮโดรเจน 2 อะตอมแสดงข้ัวบวก และเพิ่มเติมให้นักเรียนทราบว่า การเขียน
สญั ลักษณ์แสดงสภาพข้ัวของนำ้ อาจเขียน ดังนี้
ส่วนที่แสดงสภาพขั้วเป็นลบใช้สัญลักษณ์ δ- (อ่านว่า เดลต้าลบ) ส่วนที่แสดงสภาพขั้วเป็นบวก
ใช้สญั ลักษณ์ δ+ (อ่านวา่ เดลต้าบวก) ครอู ธบิ ายเพม่ิ เติมเกย่ี วลักษณะความเป็นข้ัวของโมเลกุลของน้ำาทำให้เกิด
พันธะไฮโดรเจนระหว่างโมเลกุล การเกิดพันธะไฮโดรเจนทำให้เกิดการดูดซับพลังงานความร้อนสูง และเกิดแรง
โคฮีชนั และแรงแอดฮชี ัน
(2) นกั เรยี นทำใบงานเร่ือง อะตอม ธาตุ สารประกอบ และน้ำ
5) ข้ันประเมนิ
(1) ครูให้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อทีเ่ รียนมาและการปฏิบัติกจิ กรรม มีจุดใดบ้างท่ี
ยงั ไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสยั ถ้ามี ครชู ่วยอธบิ ายเพมิ่ เตมิ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ
(2) ด้านความรู้ ครตู รวจสอบผลจากการตอบคำถาม และการอภิปราย
(3) ดา้ นทักษะกระบวนการ ครสู งั เกตจากพฤติกรรม
(4) ด้านจิตพิสัย ครูตรวจสอบผลจากการสังเกตการเข้าชั้นเรียน การตอบคำถาม และความ
กระตอื รอื รน้ ในการเรียน
9. สอ่ื การเรยี นรู้/แหล่งการเรยี นรู้
9.1 หนงั สอื เรียนรายวิชาชีววทิ ยา เลม่ 1
9.2 PowerPoint เร่ือง อะตอม ธาตุ และสารประกอบ
10. การวัดผลประเมนิ ผลและเกณฑก์ ารประเมิน วิธีการวดั เคร่ืองมือวดั ผล เกณฑ์การ
รายการวัด ประเมิน
ดา้ นความรู้ (K) - ใบงาน -ผา่ นเกณฑร์ ้อย
1. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับอะตอม ธาตุและ -ตรวจใบงาน ละ 60 ข้ึนไป
สารประกอบ
2. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างโมเลกุล - แบบประเมินการ -ผ่านเกณฑร์ ้อย
สมบัติของน้ำและบอกความสำคัญของน้ำที่มีต่อ ทำงานเป็นกลุ่ม ละ 60 ข้นึ ไป
ส่ิงมชี ีวติ
ดา้ นทกั ษะและกระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถทำงานเปน็ กลมุ่ รว่ มกบั ผ้อู ื่นได้ -สังเกตพฤติกรรม
ดา้ นจิตพิสัย (A)
1. เข้าเรียนเป็นประจำ -สังเกตพฤตกิ รรม - แบบประเมนิ จิต -ผา่ นคุณภาพ
2. มีความกระตือรือรน้ ในการเรียน พิสัย ระดับพอใช้ขนึ้ ไป
3. มสี ่วนร่วมในการอภปิ ราย
11. ความคิดเห็นของคณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้
องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรยี นรู้.............................................................................
มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชวี้ ดั /ผลการเรยี นรสู้ อดคล้อง.......................................................
สาระสำคญั ครอบคลุมชัดเจน.............................................................................................
สาระการเรยี นรู้มีความถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าการ................................................................
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้มคี วามชดั เจนครอบคลุม (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน................................................................................................
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์.................................................................................................
ระบภุ าระงาน/ชน้ิ งาน........................................................................................................
กิจกรรมการเรยี นรเู้ น้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั ............................................................................
ส่ือและอุปกรณ์การเรยี นร้.ู ................................................................................................
การวัดและการประเมินผลตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู.้ .......................................................
เสนอสง่ แผนการจัดการเรียนรตู้ ามข้นั ตอนระบบงาน.........................................................
บนั ทึกหลังสอน................................................................................................................ ..
ภาคผนวก...........................................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................
.................................................................................... ................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
ลงชื่อ..................................................
(นางสาวฤทัยรตั น์ ขวญั เชอื้ )
หวั หน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ลงชื่อ.................................................. ลงชอื่ ..................................................
(นางอารียา เพ็ชรรตั น์) (นางมารีเยาะห์ โอมณี)
คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรียนรู้ คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้
12. ความคิดเห็นรองผู้อำนวยการกลมุ่ บริหารวิชาการ
เหน็ ควรอนญุ าตใหใ้ ชจ้ ัดการเรียนการสอนได้
เห็นควรปรับปรงุ คอื ................................................................................................................
........................................................................................................................................... ...........
( นายอับดลรอศักด์ิ มณีโสะ๊ )
รองผ้อู ำนวยการกลุ่มบริหารวชิ าการ
13. ความคดิ เห็นผู้อำนวยการโรงเรียน
อนุญาตให้ใช้จดั การเรยี นการสอนได้
ควรปรบั ปรุง คือ..................................................................................................................
..................................................................................................................................................
( นายสิรวฒุ ิ ยนุ ้ยุ )
ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นกำแพงวิทยา
แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 5
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว31241 รายวชิ า ชีววิทยา 1
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 เคมีทเ่ี ปน็ พ้ืนฐานของสง่ิ มีชวี ติ เรื่อง สารประกอบคารบ์ อนในสิ่งมีชวี ิต เวลา 6 ช่วั โมง
ช่ือผู้สอน นางสาววชิ ดุ า พรหมคงบุญ
สาระชีววิทยา
เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์
ผลการเรยี นรู้ 4. สบื ค้นข้อมลู อธบิ ายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกล่มุ ของคารโ์ บไฮเดรต รวมท้ัง
ความสำคัญของคาร์โบไฮเดรตทม่ี ีตอ่ สง่ิ มีชวี ติ
5. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบายโครงสร้างของโปรตนี และความสำคัญของโปรตนี ทม่ี ีต่อส่ิงมชี วี ติ
6. สืบคน้ ข้อมูล อธิบายโครงสร้างของลพิ ิดและความสำคัญของลิพดิ ทมี่ ตี ่อสง่ิ มีชีวติ
7. อธิบายโครงสรา้ งของกรดนิวคลอิ ิก และระบุชนิดของกรดนิวคลิอิก และความสำคัญ
ของกรดนิวคลิอกิ ท่ีมีตอ่ สิ่งมชี ีวติ
2. สาระสำคัญ
สารที่พบในสิ่งมชี วี ิตมีหลายประเภท เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพิด กรดนิวคลิอิก ซึ่งเป็นสารที่มี
คาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก และอาจมีธาตุอื่น ๆ เช่น ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ
กำมะถันเปน็ องคป์ ระกอบอยู่ดว้ ย สารเหล่านี้เป็นองค์ประกอบของเซลล์ ชว่ ยใหร้ า่ งกายเจริญเติบโต เป็นสารท่ีให้
พลังงาน กรดนิวคลินิกมี 2 ชนิดคือ DNA และ RNA ทำหน้าที่เก็บและถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรม รวมทั้งทำ
หน้าท่คี วบคุมการสงั เคราะห์โปรตีน
จุดประสงค์การเรยี นรู้
ดา้ นความรู้ (K)
1. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต รวมทั้ง
ความสำคญั ของคาร์โบไฮเดรตทมี่ ีต่อสง่ิ มีชวี ิต
2. สบื คน้ ข้อมลู อธิบายโครงสรา้ งของโปรตีน และความสำคัญของโปรตนี ท่ีมตี อ่ สงิ่ มชี ีวิต
3. สบื ค้นข้อมลู อธิบายโครงสรา้ งของลิพดิ และระบุกลุ่มของลิพิดตามโครงสร้าง และความสำคัญ
ของลพิ ิดท่มี ตี อ่ สงิ่ มีชีวติ
4. อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบของนวิ คลโี อไทด์ DNA และ RNA
5. เปรียบเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งโครงสร้างของ DNA กับ RNA
6. ระบุความสำคญั ของกรดนวิ คลิอกิ ทีม่ ตี อ่ ส่ิงมชี ีวติ
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถทำงานเปน็ กลุ่มรว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้
ดา้ นจติ พสิ ัย (A)
1. เขา้ เรยี นเป็นประจำ
2. มคี วามกระตอื รือร้นในการเรียน
3. มสี ว่ นร่วมในการอภิปราย
3. สาระการเรียนรู้
คาร์โบไฮเดรตประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน แบ่งตามขนาดโมเลกุลออกได้เป็น 3
กลมุ่ คือ มอโนแซก็ คาไรด์ ไดแซก็ คาไรด์ และพอลิแซก็ คาไรด์
โปรตนี มกี รดอะมโิ นเป็นหน่วยย่อย ประกอบด้วย ธาตคุ ารบ์ อน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน บาง
ชนิดอาจมี ธาตฟุ อสฟอรัส เหลก็ และกำมะถันเปน็ องคป์ ระกอบ
ลิพิดประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน เป็นสารประกอบทีล่ ะลายไดด้ ใี นตัวทำละลาย
ที่เปน็ สารอินทรีย์ ลพิ ิดกลมุ่ สำคญั ท่พี บในสิ่งมชี ีวิต เช่น กรดไขมนั ไตรกลเี ซอไรด์ ฟอสโฟลพิ ดิ สเตอรอยด์
กรดนิวคลิอิกประกอบด้วย หน่วยย่อย เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ โมเลกุลของนิวคลีโอไทด์ประกอบด้วยหมู่
ฟอสเฟต น้ำตาลท่ีมคี าร์บอน 5 อะตอม และเบสทม่ี ีไนโตรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ
กรดนิวคลิอิกเปน็ องค์ประกอบของสารพนั ธุกรรมทำหน้าที่เก็บและถ่ายทอดข้อมลู ทางพนั ธุกรรมมี 2 ชนดิ
คอื DNA และ RNA
4. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
4.1 ความสามารถในการสือ่ สาร
4.2 ความสามารถในการคิด
4.3 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5. ดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
5.1 มวี ินัย
5.2 ใฝเ่ รียนรู้
5.3 มุง่ มนั่ ในการทำงาน
6. ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21
6.1 การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณและการแก้ปัญหา
6.2 การสอื่ สารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทันสื่อ
7. ภาระงาน/ช้ินงาน
- ใบงานเร่อื ง สารชีวโมเลกลุ
8. กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ใช้วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)
1) ขนั้ สรา้ งความสนใจ
(1) ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยใหน้ ักเรียนยกตัวอย่างสารประกอบคาร์บอนที่นักเรยี นรู้จัก เพื่อให้ได้
ข้อสรุปว่า สารประกอบคาร์บอนที่พบในสิ่งมีชีวิตมีหลายประเภท เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ลิพิด และกรด
นิวคลอิ ิก เปน็ ต้น
(2) ครใู หค้ วามรเู้ พ่ิมเติมว่า สารประกอบคาร์บอนเหล่าน้จี ะมีอะตอมคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็น
องคป์ ระกอบ และอาจมธี าตุอน่ื ๆ เชน่ ออกซเิ จน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถันเป็นองคป์ ระกอบอยูด่ ้วย
2) ขัน้ สำรวจและค้นหา
(1) นักเรียนศึกษารูป 2.12 และ 2.13 เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การสร้างพันธะโคเวเลนต์ระหว่าง
อะตอมของคารบ์ อนอาจเกิดเปน็ พันธะเด่ยี ว พันธะคู่ และพนั ธะสาม เนอื่ งจากคาร์บอนมเี วเลนซอ์ ิเลก็ ตรอนเท่ากับ
4 และอะตอมคาร์บอนยังสามารถสร้างพันธะโคเวเลนต์กับอะตอมของธาตุอื่น ๆ เช่น ไฮโดรเจน โดยสารที่มี
อะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจนเท่านั้นเป็นองค์ประกอบเรียกว่า สารประกอบไฮโดรคารบ์ อน
(2) นักเรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู เกีย่ วกับความหมายและตวั อย่างของหมู่ฟงั ก์ชนั การเขยี นโครงสรา้ งและ
แหลง่ ทพี่ บ ควรใหน้ ักเรยี นเข้าใจสัญลักษณ์ของสตู รทว่ั ไปเกี่ยวกบั โครงสร้างเพ่ือเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อไป
(3) ครูใช้รูป 2.14 และให้นักเรียนร่วมกันสรุปว่า สารประกอบคาร์บอนขนาดใหญ่ส่วนมากเป็น
พอลิเมอร์ที่เกิดจากโมเลกุลหน่วยย่อยเรียกว่า มอนอเมอร์ หลายโมเลกุลเชื่อมต่อกันด้วยพันธะเคมี เช่น การ
เช่ือมต่อกันของกลโู คสกลายเป็นแป้ง การเชือ่ มต่อกันของกรดแอมโิ นเกิดเป็นโปรตีน การเชื่อมต่อกันของนิวคลีโอ
ไทด์เกดิ เป็นสาย DNA ซึง่ สารประกอบคารบ์ อนเหลา่ นีเ้ ป็นองค์ประกอบของเซลลส์ งิ่ มีชีวติ
(4) นกั เรียนศกึ ษารปู 2.15 เพ่อื สรปุ ให้ได้วา่ เมือ่ พจิ ารณาหมู่ฟังก์ชันของมอโนแซ็กคาไรด์ พบว่า
มีหมู่ไฮดรอกซลิ จำนวนหลายหมู่ และแบง่ มอโนแซ็กคาไรด์ไดเ้ ป็น 2 ประเภทคือ มอโนแซก็ คาไรดท์ ่มี หี มคู่ าร์บอนิล
กลุม่ แอลดีไฮด์ ได้แก่ ไรโบส กลูโคส และกาแล็กโทส มอโนแซก็ คาไรด์ที่มีหมู่คาร์บอนิล กลมุ่ คโี ตน ได้แก่ ไรบูโลส
และฟรักโทส โดยมอโนแซก็ คาไรดส์ ่วนใหญจ่ ะมโี ครงสร้างรปู แบบวง เฮกโซสมีคาร์บอน 6 อะตอม อาจมโี ครงสร้าง
เป็นวง 6 เหลีย่ ม เชน่ กลโู คส หรอื อาจมีโครงสร้างเปน็ วง 5 เหลี่ยม เชน่ ฟรกั โทส ซึ่งการท่ีจะเกิดเปน็ วง 5 หรือ 6
เหล่ียมข้นึ กับสมบัติเฉพาะของเฮกโซสแต่ละชนดิ
(5) นักเรียนศึกษาตำแหน่งของพันธะไกลโคซดิ ิกในโมเลกุลของไดแซ็กคาไรด์ คือ ซูโครสมีพนั ธะ
ไกลโคซิดิก แบบ α - 1,2 (คาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของกลูโคสเชื่อมต่อกับคาร์บอนตำแหน่งที่ 2 ของฟรักโทส)
มอลโทสมีพันธะไกลโคซิดิก แบบ α - 1,4 (คาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของกลูโคสเชื่อมกับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของ
กลูโคสอีกโมเลกุล) ซึ่งแตกต่างจากพันธะไกลโคซิดิกของแล็กโทส ที่มีพันธะไกลโคซิดิก แบบ β - 1,4 (คาร์บอน
ตำแหน่งที่ 1 ของกาแล็กโทสเชื่อมกับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของกลูโคส) ดังนั้นพันธะไกลโคซิดิกจึงมี 2 แบบ คือ
แบบ α และแบบ β การสร้างพันธะไกลโคซดิ กิ 1 พันธะ ทำให้เกดิ นำ้ 1 โมเลกลุ
(6) ครใู ช้คำถามเพม่ิ เติม เพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจเกี่ยวกบั พอลิแซ็กคาไรด์ ดงั นี้
- การจัดเรียงตัวของกลูโคสในแป้ง ไกลโคเจน และเซลลูโลส มีการแตกแขนงและ
รปู แบบของพนั ธะไกลโคซดิ ิกแตกต่างกนั อย่างไร
(7) ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนโดยให้ยกตัวอย่างอาหารที่มีสารอาหารประเภทโปรตีน
หรือภาพของเด็กที่ขาดโปรตีน แล้วถามนักเรียนว่าโปรตีนสำคัญต่อร่างกายอย่างไร โครงสร้างของกรดแอมิโนมี
ธาตุใดเป็นองค์ประกอบบ้าง และสูตรโครงสร้างทั่วไปของกรดแอมิโนเป็นอย่างไร นักเรียนควรสรุปได้ว่า โปรตีน
ประกอบด้วยหน่วยย่อยๆ ที่เรียกว่า กรดแอมิโน โดยกรดแอมิโน ประกอบด้วยธาตุหลัก คือ คาร์บอน ไฮโดรเจน
ออกซิเจน และไนโตรเจน โปรตีนบางชนิดประกอบด้วยอะตอมของธาตุอื่น เช่น กำมะถันพบในกรดแอมิโนซิสเท
อีน ฟอสฟอรสั และเหลก็ เปน็ ธาตทุ ถ่ี ูกเติมหลังจากโปรตนี สงั เคราะห์เสร็จแลว้
3) ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ
(1) นักเรียนร่วมกันเขียนแผนภาพเพื่อสรุปการเชื่อมต่อกันของกรดแอมิโนเป็นไดเพปไทด์ ไตร
เพปไทด์ และพอลิเพปไทดซ์ ง่ึ เกดิ จากการสรา้ งพนั ธะเพปไทด์เชื่อมต่อหมู่คารบ์ อกซลิ ของโมเลกลุ แรกกบั หมแู่ อมิโน
ของโมเลกุลถัดมา ในการสร้างพันธะเพปไทด์แต่ละพันธะจะมีการปลดปล่อยโมเลกุลของน้ำออกมา 1 โมเลกุล
จากน้นั ให้นกั เรยี นตอบคำถามในหนังสอื เรียน ดังนี้
- เพปไทด์ทีป่ ระกอบด้วยกรดแอมิโน 4 ชนิด ชนดิ ละ 1 หน่วย จะสามารถมสี ายเพป
ไทดท์ ่ีมลี ำดบั กรดแอมิโนทแี่ ตกตา่ งกนั ได้กีแ่ บบ (24 แบบ)
(2) ครใู ห้ความรู้กับนักเรยี นว่า โปรตีนสว่ นใหญ่ทสี่ ามารถทำหนา้ ทไ่ี ดใ้ นสงิ่ มชี วี ิตเปน็ สายพอลิ
เพปไทด์ทเ่ี กดิ การพับม้วนเปน็ โครงสร้างทม่ี ลี ักษณะ 3 มติ ิ ซ่ึงเหมาะสมกบั การทำงานโดยสามารถแบ่งโครงสร้าง
โปรตีนออกเปน็ 4 ระดับ คือ โครงสร้างปฐมภมู ิ โครงสร้างทตุ ิยภมู ิ โครงสรา้ งตตยิ ภมู ิ และโครงสรา้ งจตุรภมู ิ
(3) นักเรียนรว่ มกันสรุปเก่ยี วกบั บทบาทและหนา้ ที่ของโปรตีน ซึ่งควรเปน็ ดังนี้
1. ชว่ ยในการเจรญิ เติบโต
2. ช่วยในการลำเลยี งสาร
3. ทำหน้าทเี่ ป็นเอนไซม์เรง่ ปฏกิ ริ ิยาเคมใี นเซลล์ของส่งิ มชี วี ติ
4. เปน็ โครงสร้างของเซลล์ เย่ือหมุ้ เซลล์ เปน็ องค์ประกอบของโครโมโซม
5. เปน็ ภมู ิคุ้มกนั ของรา่ งกาย
6. เป็นฮอร์โมน
7. ชว่ ยในการเคล่อื นท่ี เช่น แอกทนิ ไมโอซนิ
8. บทบาทอืน่ ๆ เชน่ เปน็ พิษงู พษิ แมงมุม พษิ ตะขาบ
(4) ครูให้ขอ้ มูลเก่ยี วกับโครงสร้างของลิพดิ กรดไขมันอิ่มตัว กรดไขมนั ไม่อมิ่ ตัว ไตรกลีเซอไรด์
กรดไขมันทจ่ี ำเปน็ และกรดไขมันท่ไี ม่จำเปน็ และความสำคัญของลิพิดท่ีมีตอ่ สิง่ มชี วี ติ แลว้ นำมาอภปิ ราย เพื่อให้ได้
ข้อสรปุ ว่า ลพิ ดิ ประกอบดว้ ยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซเิ จน เปน็ องคป์ ระกอบหลัก นอกจากน้ลี พิ ิดบาง
ชนิดยงั มธี าตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัสเปน็ องค์ประกอบ ลิพดิ มีโครงสร้างพ้ืนฐานทางเคมที ี่หลากหลาย โดยกลมุ่
ของลิพิดที่สำคัญซง่ึ พบในสงิ่ มีชีวติ เช่น กรดไขมนั ไตรกลีเซอไรด์ ฟอสโฟลิพิด สเตอรอยด์
(5) จากนั้นให้นักเรียนศึกษารูป 2.24 เพื่อสรุปให้ได้ว่า กรดไขมัน เป็นสายไฮโดรคาร์บอนทีม่ หี มู่
คาร์บอกซิลเป็นหมู่ฟังก์ชันอยู่ที่ปลายด้านหนึ่ง โดยกรดไขมันแต่ละชนิดมีจำนวนคาร์บอนที่แตกต่างกันทำให้มี
สมบัตติ ่างกัน กรดไขมันอมิ่ ตวั มีคารบ์ อนทกุ อะตอมเช่อื มต่อกันด้วยพนั ธะเด่ียว สว่ นกรดไขมนั ไมอ่ มิ่ ตวั มีบางพันธะ
ระหวา่ งอะตอมของคาร์บอนเปน็ พนั ธะคู่
(6) ครูและนกั เรยี นรว่ มกันสรุปเก่ยี วกบั โครงสร้างของไตรกลเี ซอร์ไรด์และฟอสโฟลพิ ดิ ดังนี้ ชนดิ
ของไตรกลีเซอไรด์ข้ึนอยู่กับชนิดและโครงสรา้ งของกรดไขมันซึ่งอาจจะเป็นกรดไขมนั อิ่มตวั หรือกรดไขมันไม่อ่ิมตัว
ทเ่ี หมือนหรอื ต่างกนั ก็ได้ สว่ นฟอสโฟลพิ ิดมีโครงสร้างประกอบดว้ ยกลีเซอรอล 1 โมเลกลุ เชอ่ื มต่อกับกรดไขมัน 2
โมเลกุล หมฟู่ อสเฟต 1 หมู่ และหมู่ R
(7) ครูให้นักเรียนศึกษาโครงสร้างของกรดนิวคลิอิก โดยการนำภาพของ DNA มาให้นักเรียน
ศึกษา เพื่อให้สังเกตลักษณะของโมเลกุลและส่วนที่เปน็ หนว่ ยย่อยแต่ละหน่วย หรือ นิวคลีโอไทด์ว่าประกอบด้วย
ส่วนย่อยอีกกี่ส่วน อะไรบ้าง จากนั้นจึงให้รู้จักชื่อของส่วนย่อยเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ น้ำตาลที่มีคาร์บอน 5 อะตอม
เบสที่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ และหมู่ฟอสเฟต ให้นักเรียนสังเกตสัญลักษณ์ที่ใช้แทนเบสว่ามีกี่แบบ เพื่อให้
นกั เรยี นสามารถสรุปไดว้ า่ มเี บส 4 ชนิด อยู่ในโมเลกลุ ของ DNA
(8) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปว่า โมเลกลุ ของ DNA ประกอบด้วยนวิ คลีโอไทด์ทต่ี ่อกันเป็นสาย
ยาวด้วยพันธะฟอสโฟไดเอสเทอร์ เรียกแต่ละสายว่าพอลินิวคลีโอไทด์ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ สายพอลินิวคลีโอไทด์มี
ปลายด้านหน่งึ เรยี กว่า ปลาย 5′ และอกี ดา้ นหน่งึ เรียกว่า ปลาย 3′ โดยโมเลกุลของ DNA ประกอบด้วยพอลินิวคลี
โอไทด์ 2 สาย บิดเป็นเกลียวคล้ายบันไดเวียนขวา โดยเบสอะดีนีนจับกับเบสไทมีน และเบสไซโทซีนจับกับเบส
กวานนี
4) ขนั้ ขยายความรู้
(1) ครูควรให้ความรู้เพิ่มเติม ดังน้ี การบริโภคอาหารที่ขาดกรดไขมันที่จำเป็นจะทำให้เกิดความ
ผิดปกติขึ้นได้ เช่น การอักเสบของผิวหนัง จำนวนเพลตเลตลดต่ำลง ติดเชื้อได้ง่าย บาดแผลหายช้า เส้นผมหยาบ
การเจริญเตบิ โตหยดุ ชะงัก เปน็ ตน้
(2) ในน้ำมันจากปลาทะเลบางชนิด มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 2 ชนิด คือ EPA (eicosapentaenoic
acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) ซึ่งสามารถลดระดับไตรกลีเซอไรด์และลดระดับคอเลสเตอรอลในลิ
โพโปรตีนชนดิ LDL (low density lipoprotein) ในเลือดได้
(3) นักเรยี นทำใบงานเรื่อง สารชีวโมเลกลุ
5) ขนั้ ประเมนิ
(1) ครูให้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อทีเ่ รียนมาและการปฏิบตั ิกจิ กรรม มีจุดใดบ้างที่
ยังไมเ่ ขา้ ใจหรือยังมขี อ้ สงสยั ถ้ามี ครูชว่ ยอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ให้นกั เรยี นเข้าใจ
(2) ด้านความรู้ ครูตรวจสอบผลจากการตอบคำถาม และการอภิปราย
(3) ด้านทักษะกระบวนการ ครูสงั เกตจากพฤติกรรม
(4) ด้านจิตพิสัย ครูตรวจสอบผลจากการสังเกตการเข้าชั้นเรียน การตอบคำถาม และความ
กระตือรอื ร้นในการเรียน
9. สื่อการเรยี นรู้/แหลง่ การเรียนรู้
9.1 หนงั สอื เรียนรายวชิ าชวี วทิ ยา เลม่ 1
9.2 PowerPoint เร่ือง สารประกอบคาร์บอนในส่งิ มชี ีวติ
10. การวดั ผลประเมินผลและเกณฑ์การประเมนิ วิธกี ารวัด เคร่อื งมือวดั ผล เกณฑ์การ
รายการวัด ประเมิน
ดา้ นความรู้ (K) - ใบงาน เรอ่ื ง สาร -ผ่านเกณฑร์ ้อย
1. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสรา้ งของคาร์โบไฮเดรต -ตรวจใบงาน
ระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งความสำคัญของ ชวี โมเลกลุ ละ 60 ขึน้ ไป
คารโ์ บไฮเดรตที่มีตอ่ สง่ิ มชี ีวติ
2. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของโปรตีน และ
ความสำคัญของโปรตีนท่มี ตี ่อสิ่งมีชีวิต
3. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของลิพิดและระบุ
กลุ่มของลิพิดตามโครงสร้าง และความสำคัญของ
ลพิ ดิ ที่มีต่อส่งิ มชี วี ิต
4. อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบของนิวคลีโอ
ไทด์ DNA และ RNA
5. เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโครงสร้างของ
DNA กบั RNA
6. ระบุความสำคญั ของกรดนวิ คลอิ กิ ที่มีต่อส่ิงมชี ีวติ
รายการวดั วิธีการวัด เคร่ืองมอื วดั ผล เกณฑก์ าร
ประเมิน
ด้านทกั ษะและกระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถทำงานเปน็ กลุ่มรว่ มกับผอู้ น่ื ได้ -สังเกตพฤตกิ รรม - แบบประเมินการ -ผ่านเกณฑร์ ้อย
ทำงานเป็นกลุ่ม ละ 60 ข้ึนไป
ดา้ นจติ พิสยั (A)
1. เขา้ เรียนเป็นประจำ -สังเกตพฤตกิ รรม - แบบประเมินจติ -ผ่านคณุ ภาพ
2. มคี วามกระตือรือรน้ ในการเรยี น พสิ ยั ระดบั พอใชข้ ึ้นไป
3. มีส่วนร่วมในการอภปิ ราย
11. ความคดิ เหน็ ของคณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรียนรู้
องค์ประกอบของแผนการจดั การเรยี นร้.ู ............................................................................
มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั /ผลการเรียนรูส้ อดคล้อง.......................................................
สาระสำคัญครอบคลุมชดั เจน.............................................................................................
สาระการเรียนรู้มีความถูกต้องตามหลักวชิ าการ................................................................
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้มีความชัดเจนครอบคลุม (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน................................................................................................
คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์.................................................................................................
ระบภุ าระงาน/ชิ้นงาน........................................................................................................
กิจกรรมการเรยี นรเู้ น้นผ้เู รียนเป็นสำคญั ............................................................................
ส่ือและอุปกรณ์การเรยี นร้.ู ................................................................................................
การวัดและการประเมนิ ผลตามจดุ ประสงค์การเรยี นรู.้ .......................................................
เสนอส่งแผนการจดั การเรียนรตู้ ามขัน้ ตอนระบบงาน.........................................................
บนั ทกึ หลังสอน................................................................................................................ ..
ภาคผนวก..................................................................................................................... ......
............................................................................................................................. ...............................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
ลงชอ่ื ..................................................
(นางสาวฤทยั รัตน์ ขวัญเชอ้ื )
หวั หน้ากล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ลงช่ือ.................................................. ลงช่ือ..................................................
(นางอารียา เพ็ชรรตั น์) (นางมารเี ยาะห์ โอมณี)
คณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้ คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้
12. ความคิดเหน็ รองผู้อำนวยการกลุม่ บรหิ ารวิชาการ
เห็นควรอนุญาตให้ใช้จัดการเรยี นการสอนได้
เห็นควรปรับปรุง คอื ................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................
( นายอบั ดลรอศักดิ์ มณีโสะ๊ )
รองผู้อำนวยการกลุม่ บรหิ ารวชิ าการ
13. ความคิดเห็นผู้อำนวยการโรงเรียน
อนญุ าตให้ใชจ้ ดั การเรียนการสอนได้
ควรปรับปรุง คือ..................................................................................................................
..................................................................................................................................................
( นายสริ วุฒิ ยนุ ้ยุ )
ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นกำแพงวิทยา
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว31241 รายวชิ า ชวี วิทยา 1
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 เคมีทีเ่ ปน็ พ้ืนฐานของสง่ิ มีชวี ิต เร่ือง ปฏิกิรยิ าเคมีในเซลลส์ ิ่งมีชีวิต เวลา 6 ชว่ั โมง
ช่อื ผสู้ อน นางสาววชิ ุดา พรหมคงบญุ
สาระชวี วทิ ยา
เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดับเซลล์
ผลการเรียนรู้ 8. สบื คน้ ข้อมูล และอธบิ ายปฏิกิริยาเคมีทีเ่ กิดข้นึ ในส่งิ มีชวี ิต
9. อธิบายการทำงานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต และระบุปัจจัยที่มี
ผลตอ่ การทำงานของเอนไซม์
2. สาระสำคัญ
เมแทบอลิซึมเป็นปฏิกิริยาเคมีทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตประกอบด้วยปฏิกิริยาดูดพลังงานและ
ปฏิกิริยาคายพลังงาน ปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้จะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วจำเป็นต้องอาศัยเอนไซม์ช่วยเร่งปฏิกิริยา
โดยปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ในสิ่งมีชีวิตทั้งปฏิกิริยาสลายสารอินทรีย์และสังเคราะห์สารอินทรีย์ มักประกอบด้วย
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีหลายขั้นตอนเกดิ ต่อเน่อื งกันอย่างเปน็ ลำดบั และสามารถควบคมุ ได้
เอนไซม์ส่วนใหญ่เป็นสารประเภทโปรตีน ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีโดยในขณะเกิดปฏิกิริยาเคมีใน
เซลล์ สารตั้งต้นจะเข้าไปจับกับเอนไซม์ที่บริเวณเร่งอย่างจำาเพาะ และจะถูกเปลี่ยนเป็นสารผลิตภัณฑ์ อุณหภูมิ
ความเป็นกรด-เบส รวมทั้งความเข้มข้นของสารตั้งต้น และความเข้มข้นของเอนไซม์มีผลต่อปฏิกิริยาต่าง ๆ ใน
เซลล์ ปฏกิ ริ ยิ าอาจชะงกั หรือหยดุ ไป ถา้ มีสารท่ีมีสมบัติยับย้ังการทำงานของเอนไซมเ์ ข้ารวมกับเอนไซม์หรือสารต้ัง
ตน้
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ด้านความรู้ (K)
1. อธิบายและเปรยี บเทียบปฏกิ ิรยิ าดูดพลงั งานและปฏิกิรยิ าคายพลงั งานทเี่ กดิ ขน้ึ ในเซลล์
ของสิง่ มชี ีวิต
2. อธิบายความสำคัญของการเกิดปฏิกิริยาควบคู่กันระหว่างปฏิกิริยาดูดพลังงานและคาย
พลงั งานในสงิ่ มชี ีวติ
3. อธิบายความหมายและประเภทของเมแทบอลิซึม
4. อธบิ ายกลไกการทำงานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิรยิ าเคมีในสง่ิ มชี ีวิต และการยับยง้ั
การทำงานของเอนไซม์
5. ระบปุ ัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ การทำงานของเอนไซม์และอธิบายผลของปัจจัยน้ันๆท่ีมีต่อประสิทธิภาพ
ในการทำงานของเอนไซม์
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถทำงานเปน็ กลุ่มร่วมกบั ผอู้ ืน่ ได้
ดา้ นจติ พสิ ัย (A)
1. เขา้ เรยี นเปน็ ประจำ
2. มีความกระตือรือร้นในการเรยี น
3. มีสว่ นร่วมในการอภิปราย
3. สาระการเรยี นรู้
เมแทบอลิซึมเปน็ ปฏิกริ ิยาเคมีที่เกิดขนึ้ ภายในเซลล์ของส่ิงมีชีวติ ปฏิกิรยิ าเคมี ประกอบด้วยปฏิกิริยาคาย
พลังงาน และปฏิกิริยาดูดพลังงาน ปฏิกิริยาเคมีเหล่านีจ้ ะดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องอาศัยเอนไซม์ช่วย
เรง่ ปฏิกริ ิยา
เอนไซม์สว่ นใหญเ่ ป็นสารประเภทโปรตีนทำหน้าท่เี ร่งปฏกิ ิรยิ าเคมี ในขณะทีเ่ กิดปฏกิ ริ ิยาเคมใี นเซลล์ สาร
ตั้งต้นจะเข้าไปจับกับเอนไซม์ที่บริเวณจำเพาะของเอนไซม์ที่เรียกว่า บริเวณเร่งถ้าสารตั้งต้นมีโครงสร้างเข้ากับ
บรเิ วณเร่งได้สารตง้ั ต้นน้นั จะถูกเปล่ียนเป็นสารผลติ ภณั ฑ์
อุณหภมู ิ สภาพความเป็นกรด-เบส และตวั ยับยัง้ เอนไซม์ เปน็ ปัจจัยท่ีมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์
4. สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
4.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
4.2 ความสามารถในการคิด
4.3 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
5. ด้านคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
5.1 มวี ินยั
5.2 ใฝ่เรยี นรู้
5.3 มงุ่ มัน่ ในการทำงาน
6. ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
6.1 การคดิ อย่างมีวิจารณญาณและการแกป้ ัญหา
6.2 การสอื่ สารสารสนเทศและการรูเ้ ท่าทนั ส่ือ
7. ภาระงาน/ชน้ิ งาน
- แบบฝกึ หดั ท้ายบทที่ 2
8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ใช้วธิ สี อนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5E)
1) ข้ันสรา้ งความสนใจ
(1) ครนู ำเข้าสู่บทเรียนโดยใช้ตวั อย่างกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เชน่ การเดนิ การออกกำลังกาย
แล้วให้นักเรียนอภิปรายเพื่อนำเข้าสู่การเกิดปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ขณะกิจกรรมต่างๆ ข้างต้นกำลังดำเนินอยู่
โดยใชค้ ำถาม ดังนี้
- ในขณะทำกจิ กรรมตา่ งๆ จะเกิดอะไรขึน้ ภายในเซลล์
(2) ครูนำเข้าสู่ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสารภายในเซลล์ดังที่เรียนรู้มาข้างต้น เช่น ขาที่ขยับขณะ
กำลังเดินมาจากการทำงานของกล้ามเนื้อที่มีการหดตัวเพื่อให้เกิดแรงและทำให้เกิดการเคลื่อนที่ การหดตัวนี้
ต้องการพลังงานซึ่งภายในเซลล์กล้ามเนื้อจะต้องลำเลียงสารที่ต้องการซึ่งเก็บสะสมไว้บริเวณอื่นมาที่เซลล์
กล้ามเนื้อเพื่อนำมาสลายให้ได้พลังงานโดยผ่านปฏิกิริยาเคมีหลายขั้นตอน เป็นต้น ดังนั้นสารในเซลล์จะมีท้ังทีถ่ กู
นำไปสลายเพื่อให้ได้พลังงานและถูกนำไปเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสารอื่น และยังต้องมีการลำเลียงสารไปยัง
บริเวณต่าง ๆ ภายในเซลล์ รวมทั้งผ่านเข้าและออกจากเซลล์ด้วย การยกตัวอย่างนี้เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นภาพรวม
ของปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตที่มีจำนวนมากมาย โดยครูแสดงตัวอย่างภาพรวมของปฏิกิริยาเคมีต่างๆ ที่
เกิดขึ้นภายในสิ่งมีชีวิต หรือครูอาจแสดงภาพจากการค้นแหล่งเรียนรู้อื่นๆ ซึ่งอาจใช้คำค้นว่า “biochemical
pathway” “metabolic pathway” “วถิ ีเมแทบอลซิ มึ ”
(3) ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเก่ียวกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยยกตัวอย่างสถานการณ์
เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นร่วมกนั อภิปรายวา่ เหตุการณต์ ่อไปนี้มีปฏิกิริยาเคมีเกิดข้ึนหรือไม่ มขี ้อสงั เกตอย่างไร เช่น
- นำ้ แข็งทวี่ างไวท้ ี่อณุ หภูมหิ อ้ งเรม่ิ ละลาย (หลอมเหลว)
- กล้วยสุกท่ีวางไว้ 3 วัน เปลอื กเริ่มมสี ดี ำ
- นำ้ ตาลก้อนที่ละลายในกาแฟ
- ผงฟทู ำใหข้ นมเค้กข้ึนฟู
- ไม้ขดี ไฟลุกไหม้
(จากการอภิปราย นักเรียนควรอธิบายได้ว่าการเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
ของสารทำให้เกิดสารใหม่ท่ีมสี มบัติแตกต่างไปจากสารเดิม ซงึ่ อาจสงั เกตการเกิดปฏิกิรยิ าได้จากการเปล่ียนแปลง
ของสีหรอื กลิน่ ท่ตี ่างไปจากสารเดมิ การมีฟองแก๊สหรอื ตะกอนเกิดข้นึ หรอื มีการเพมิ่ หรอื ลดของอุณหภมู ิ)
2) ขั้นสำรวจและค้นหา
(1) ครเู ชือ่ มโยงเขา้ สู่เรอื่ งพลังงานกับการเกิดปฏิกริ ิยา อาจยกตวั อยา่ งปฏกิ ิรยิ าตา่ งๆ โดยเร่มิ จาก
ตัวอยา่ งปฏกิ ริ ยิ าเคมีในสภาพแวดลอ้ มภายนอกก่อนเพราะจะทำใหน้ ักเรยี นเข้าใจได้งา่ ย เชน่
- ปฏิกิริยาการแยกน้ำโดยใช้พลังงานไฟฟ้า โดยโมเลกุลของน้ำที่ถูกแยกจะให้โมเลกุล
ของแกส๊ ไฮโดรเจนและแก๊สออกซิเจน ซง่ึ นักเรยี นไดเ้ คยทดลองในชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนต้น
- ปฏกิ ิริยาการเกิดน้ำโดยเมื่อให้ประกายไฟหรือความร้อนแก่โมเลกุลของแก๊สไฮโดรเจน
และแกส๊ ออกซิเจน จะรวมตวั กันเกิดนำ้ ขึน้ พร้อมทัง้ เกดิ การระเบดิ ข้นึ ด้วย
(2) จากตวั อย่างปฏิกริ ิยาการแยกน้ำและการเกดิ น้ำข้างตน้ ครใู ชค้ ำถามเพิม่ เตมิ เพ่ือใหน้ กั เรยี น
สังเกตและอภิปรายว่ามีพลังงานเกีย่ วขอ้ งหรือไม่ อยา่ งไร
(หลังจากอภิปรายจากตัวอย่างที่ครูให้นักเรียนศึกษาข้างต้น นักเรียนควรสรุปได้ว่า
พลงั งานเกีย่ วข้องกบั การเกิดปฏกิ ริ ิยา ซ่ึงมีทง้ั ปฏกิ ริ ิยาทีด่ ดู พลังงานและปฏกิ ิริยาทคี่ ายพลังงาน)
3) ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
(1) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังงานเคมีซึ่งเป็นพลังงานศักย์ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของสาร
และใช้รูป 2.36 ในหนังสือเรียนประกอบการอภิปรายเพื่อให้นักเรียนเปรียบเทียบพลังงานของสารตั้งต้นและ
พลังงานของสารผลิตภัณฑ์ และบอกความหมายของปฏิกิรยิ าดูดพลงั งานและปฏิกิริยาคายพลังงานได้
(2) จากน้นั เพื่อนำเขา้ สกู่ ารอภปิ รายเกี่ยวกับพลงั งานกระตนุ้ ครูอาจตัง้ คำถาม ดังนี้
- จากรูป 2.36 นักเรียนคิดว่าในการเกิดปฏิกิริยาทั้งที่เป็นปฏิกิริยาดูดพลังงานและ
ปฏิกิรยิ าคายพลงั งานมแี นวโนม้ ทีจ่ ะเกิดขนึ้ ไดเ้ องหรือไม่
- ปฏกิ ิริยาดดู พลังงานและปฏกิ ิรยิ าคายพลังงานที่นกั เรียนร้จู กั มปี ฏกิ ริ ยิ าใดบ้าง
- ปฏิกิริยาการเกิดน้ำหรือปฏิกิริยาการเผาไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ ซึ่งต่างเป็น
ปฏกิ ิริยาคายพลังงาน จะเกิดปฏกิ ริ ยิ าขนึ้ ได้เม่อื อยใู่ นสภาวะแบบใด และคดิ ว่าเพราะเหตใุ ด
(3) ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังงานกระตุ้นของปฏิกิริยาว่าคือพลังงานเริ่มต้นที่สารตั้งต้น
ต้องการเพื่อใช้ในการสลายพันธะ ซง่ึ ระหวา่ งการสลายพันธะของสารตั้งต้นและสร้างพันธะของสารผลิตภัณฑ์ สาร
ต้ังต้นจะอยู่ในสภาวะที่มีโครงสรา้ งระหว่างสารตั้งต้นและสารผลิตภัณฑ์ (transition state) ซ่ึงสารดงั กล่าวนี้อยู่ใน
สภาวะที่ไม่เสถียรและมีพลงั งานสงู มาก และสารนี้พร้อมทีจ่ ะสลายและเกดิ เป็นสารผลิตภัณฑท์ ี่มีความเสถียรมาก
ขึ้นและมีพลงั งานต่ำลง
(4) ครูแสดงภาพการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี เมอ่ื มเี อนไซมแ์ ละไม่มีเอนไซม์ดงั รปู 2.39 ในหนังสือเรียน
เพื่อให้นักเรียนเข้าใจบทบาทของเอนไซม์ในการทำหน้าที่ลดพลังงานกระตุ้น จากนั้นให้ศึกษาเกี่ยวกับการทำงาน
ของเอนไซม์ในการเปลี่ยนสารตั้งต้นเป็นสารผลิตภัณฑ์ โดยใช้ตัวอย่างการเร่งปฏิกิริยาสลายซูโครสโดยเอนไซม์ซู
เครส ดังรูป 2.40 และศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเอนไซม์เมื่อจับกับสารตั้งต้น ดังรูป 2.41 ใน
หนงั สอื เรยี น แลว้ ให้นักเรยี นอธิบายตามความเข้าใจ และใหส้ ืบค้นข้อมูลเพมิ่ เติมจากแหลง่ เรียนรู้ต่างๆ จากนั้นครู
และนกั เรียนรว่ มกันสรปุ เพือ่ ให้เขา้ ใจเกยี่ วกบั การทำงานของเอนไซม์
(5) ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับโคเอนไซม์และโคแฟกเตอร์ ซึ่งมีความจำเป็นต่อ
การทำงานของเอนไซม์บางชนิดจากรูป 2.43 รวมถึงการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์บางชนิดด้วยตัวยับยั้ง
เอนไซม์
(6) ครูใช้คำถามวา่ เพราะเหตุใดเอนไซม์คะตะเลสจึงไม่สามารถทำงานไดเ้ ม่ือมีการเปลีย่ นแปลง
ของอณุ หภูมิ หรือค่า pH เพ่ือใหน้ ักเรียนสืบค้นข้อมูลและอภิปรายรว่ มกนั ซงึ่ นักเรยี นควรได้ข้อสรุปว่าเอนไซม์แต่
ละชนิดจะทำงานได้ดีที่ช่วงอุณหภูมิและ pH ที่เหมาะสมหนึ่ง ๆ โดยหากเพิ่มอุณหภูมิจนสูงเกินกว่าอุณหภูมิที่
เหมาะสมจะทำใหเ้ อนไซม์เสียสภาพ หรือหากทำให้เอนไซม์อยู่ในสภาพที่ pH ไม่เหมาะสม จะทำใหป้ ระจุของกรด
แอมิโนของเอนไซม์ หรือแรงยึดเหนี่ยวภายในโครงสร้างของเอนไซม์เปลี่ยนแปลงไป และส่งผลต่อโครงสร้างและ
สภาวะภายในบริเวณเร่งของเอนไซม์ การทำงานของเอนไซม์จึงลดลง
4) ข้ันขยายความรู้
(1) ครใู หน้ กั เรยี นอภิปรายถึงประโยชนข์ องการนำเอนไซม์ไปใชใ้ นอุตสาหกรรม โดยการอภิปราย
ของนักเรียนอาจมไี ด้หลากหลาย ซึ่งอาจสรุปในแนวทางวา่ การใช้เอนไซม์มีความจำเพาะตอ่ สารตั้งต้นทำให้ได้สาร
ผลิตภณั ฑ์ตามท่ตี อ้ งการ และการเกิดปฏกิ ิริยาจะเปน็ สภาวะทไ่ี มร่ นุ แรง ทำใหเ้ ปน็ มติ รกับสิง่ แวดล้อม
(2) นกั เรียนทำแบบฝกึ หดั ท้ายบทที่ 2
(3) นกั เรียนทำแบบทดสอบท้ายหน่วยที่ 2 เคมที ี่เป็นพ้นื ฐานของสงิ่ มีชีวิต
5) ขั้นประเมนิ
(1) ครูให้นักเรยี นแต่ละคนพิจารณาว่าจากหัวข้อทีเ่ รียนมาและการปฏิบตั ิกจิ กรรม มีจุดใดบ้างที่
ยังไมเ่ ขา้ ใจหรอื ยงั มขี อ้ สงสัย ถ้ามี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพ่ิมเตมิ ให้นักเรียนเข้าใจ
(2) ด้านความรู้ ครูตรวจสอบผลจากการตอบคำถาม การทำแบบฝึกหัดท้ายหน่วย และข้อสอบ
ท้ายหนว่ ย
(3) ดา้ นทักษะกระบวนการ ครสู งั เกตจากพฤติกรรม
(4) ด้านจิตพิสัย ครูตรวจสอบผลจากการสังเกตการเข้าชั้นเรียน การตอบคำถาม และความ
กระตือรือร้นในการเรียน
9. ส่อื การเรียนรู้/แหล่งการเรยี นรู้
9.1 หนงั สอื เรียนรายวชิ าชวี วทิ ยา เลม่ 1
9.2 PowerPoint เร่ือง ปฏกิ ิรยิ าเคมใี นส่ิงมชี วี ติ
10. การวัดผลประเมินผลและเกณฑ์การประเมิน วิธีการวดั เคร่ืองมอื วัดผล เกณฑ์การ
รายการวดั - แบบฝกึ หดั ทา้ ย ประเมนิ
บทที่ 2 -ผา่ นเกณฑร์ ้อย
ด้านความรู้ (K) -แบบทดสอบท้าย ละ 60 ข้ึนไป
1. อธิบายและเปรียบเทียบปฏิกริ ิยาดูดพลังงานและ -ตรวจแบบฝึกหดั หน่วยที่ 2
ปฏกิ ิริยาคายพลงั งานที่เกิดขึ้นในเซลลข์ องสิ่งมีชวี ติ ทา้ ยบทที่ 2 -ผา่ นเกณฑ์ร้อย
2. อธิบายความสำคญั ของการเกิดปฏิกิรยิ าควบคู่กัน -ตรวจแบบทดสอบ - แบบประเมินการ ละ 60 ข้นึ ไป
ระหว่างปฏิกิริยาดูดพลังงานและคายพลังงานใน ท้ายหน่วยที่ 2 ทำงานเป็นกลุ่ม
สงิ่ มชี วี ิต
3. อธิบายความหมายและประเภทของเมแทบอลิซึม
4. อธิบายกลไกการทำงานของเอนไซม์ในการเร่ง
ปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต และการยับยั้งการทำงาน
ของเอนไซม์
5. ระบุปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์และ
อธิบายผลของปัจจัยนั้นๆทีม่ ีตอ่ ประสิทธภิ าพในการ
ทำงานของเอนไซม์
ดา้ นทักษะและกระบวนการ (P)
นักเรียนสามารถทำงานเปน็ กลุ่มรว่ มกับผ้อู น่ื ได้ -สงั เกตพฤตกิ รรม
ดา้ นจิตพิสัย (A) -สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบประเมนิ จิต -ผา่ นคุณภาพ
1. เข้าเรียนเปน็ ประจำ พสิ ยั ระดับพอใชข้ นึ้ ไป
2. มคี วามกระตือรือร้นในการเรยี น
3. มีส่วนร่วมในการอภิปราย
11. ความคดิ เห็นของคณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรียนรู้
องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรยี นร.ู้ ............................................................................
มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชว้ี ดั /ผลการเรียนรสู้ อดคลอ้ ง.......................................................
สาระสำคญั ครอบคลุมชดั เจน.............................................................................................
สาระการเรยี นร้มู ีความถูกต้องตามหลักวชิ าการ................................................................
จุดประสงค์การเรียนรู้มคี วามชัดเจนครอบคลมุ (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น................................................................................................
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์.................................................................................................
ระบภุ าระงาน/ชน้ิ งาน........................................................................................................
กิจกรรมการเรียนรู้เนน้ ผเู้ รียนเปน็ สำคญั ............................................................................
สอ่ื และอปุ กรณ์การเรยี นรู้.................................................................................................
การวดั และการประเมนิ ผลตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนร.ู้ .......................................................
เสนอสง่ แผนการจัดการเรียนร้ตู ามข้นั ตอนระบบงาน.........................................................
บันทกึ หลังสอน................................................................................................................ ..
ภาคผนวก..................................................................................................................... ......
............................................................................................................................. ...............................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
ลงชอ่ื ..................................................
(นางสาวฤทัยรตั น์ ขวัญเชอื้ )
หัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ลงชอ่ื .................................................. ลงช่อื ..................................................
(นางอารียา เพช็ รรัตน์) (นางมารีเยาะห์ โอมณี)
คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้ คณะกรรมการตรวจแผนการจัดการเรยี นรู้
12. ความคดิ เหน็ รองผู้อำนวยการกลุม่ บริหารวชิ าการ
เหน็ ควรอนุญาตใหใ้ ช้จดั การเรียนการสอนได้
เห็นควรปรบั ปรุง คอื ................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................
( นายอับดลรอศักดิ์ มณโี สะ๊ )
รองผอู้ ำนวยการกล่มุ บริหารวิชาการ
13. ความคิดเห็นผู้อำนวยการโรงเรยี น
อนญุ าตใหใ้ ช้จดั การเรียนการสอนได้
ควรปรับปรงุ คือ..................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
( นายสิรวุฒิ ยุนยุ้ )
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนกำแพงวิทยา
รายวิชาชวี วทิ ยา 1 รหัส ว31241 เวลา
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 พนั ธกุ รรมและวิวัฒนาการ 6
4
แผนที่ ชอ่ื แผนการจัดการเรยี นรู้ 5
7 กล้องจุลทรรศน์ 6
8 โครงสร้างและหนา้ ท่ีของเซลล์ 8
9 การลำเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ 29
10 การแบง่ เซลล์
11 การหายใจระดับเซลล์
รวม
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 7
กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว31241 รายวชิ า ชีววิทยา 1
ปีการศกึ ษา 2565
ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรียนที่ 1
เวลา 6 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 เซลล์และการทำงานของเซลล์ เรอ่ื ง กลอ้ งจุลทรรศน์
ชื่อผู้สอน นางสาววิชุดา พรหมคงบญุ
1. สาระชีววิทยา
เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของ
สิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลำเลียงสารเข้า
และออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์
ผลการเรยี นรู้ 10. บอกวิธีการ และเตรยี มตวั อยา่ งสิ่งมชี ีวติ เพื่อศึกษาภายใต้กล้องจลุ ทรรศน์ใช้แสง วัด
ขนาดโดยประมาณ และวาดภาพท่ปี รากฏภายใต้กล้อง บอกวธิ ีการใช้ และการดูแลรักษากล้องจุลทรรศน์ใช้แสงท่ี
ถกู ตอ้ ง
2. สาระสำคัญ
กลอ้ งจุลทรรศนเ์ ป็นเครอ่ื งมือทช่ี ่วยในการขยายภาพ ทำใหส้ ามารถมองเหน็ สิง่ มชี ีวติ ขนาดเล็กๆ ได้ กล้อง
จุลทรรศน์มีทั้งแบบที่ใช้แสงและแบบอิเล็กตรอน การศึกษาเซลล์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนจะเห็น
รายละเอียดของโครงสร้างของเซลล์ทศี่ กึ ษามากกวา่ กล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ดา้ นความรู้ (K)
1. ระบุส่วนประกอบ และบอกหนา้ ทีข่ องส่วนประกอบกล้องจลุ ทรรศนใ์ ช้แสง
2. บอกวิธกี ารใช้ และการดูแลรักษากลอ้ งจุลทรรศน์ใชแ้ สงทถ่ี กู ตอ้ ง
3. บอกวิธกี ารเตรยี มตัวอยา่ งสิ่งมชี ีวติ เพอ่ื ศกึ ษาภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์ใชแ้ สง
4. สงั เกต วดั ขนาดโดยประมาณและวาดภาพตัวอยา่ งส่ิงมีชีวิตท่ปี รากฏภายใต้กลอ้ งจุลทรรศน์
ใชแ้ สงเชิงประกอบ
ดา้ นทักษะกระบวนการ (P)
มที ักษะในการเตรยี มวตั ถตุ ัวอย่าง และการใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สง
ด้านจติ พิสยั (A)
1. เข้าเรยี นเปน็ ประจำ
2. มคี วามกระตอื รือร้นในการเรียน
3. มีสว่ นรว่ มในการอภิปราย
3. สาระการเรียนรู้
กล้องจุลทรรศน์เป็นเครื่องมือที่ใช้ศึกษาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าและ
รายละเอยี ดโครงสรา้ งของเซลล์
กล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสงเชิงประกอบ และกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโออาศัยเลนส์ในการทำให้เกดิ
ภาพขยาย
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนทำให้เกิดภาพขยายโดยอาศัยเลนส์แม่เหล็กไฟฟ้ารวมลำอิเล็กตรอนมีอยู่
ดว้ ยกนั 2 ชนิด คือ ชนิดส่องผ่านและชนิดส่องกราด
ตวั อยา่ งส่งิ มีชวี ติ ที่นำมาศกึ ษาภายใตก้ ลอ้ งจุลทรรศนใ์ ชแ้ สงต้องมีวิธีการเตรียมทถ่ี กู ต้องและเหมาะสม
กบั ชนดิ ของสิง่ มีชวี ิต เพ่อื ให้เกดิ ประสิทธภิ าพในการศกึ ษา
กล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสงเป็นเครื่องมือที่มีความละเอียดซับซ้อน และราคาค่อนข้างสูง จึงควรใช้อย่างถกู วธิ ี
มีการเกบ็ และดูแลรกั ษาท่ถี กู ตอ้ ง เพือ่ ใหส้ ามารถใชง้ านได้นาน
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
4.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
4.2 ความสามารถในการคิด
4.3 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. ดา้ นคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์
5.1 มวี นิ ยั
5.2 ใฝเ่ รียนรู้
5.3 มุ่งม่นั ในการทำงาน
6. ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21
6.1 การคดิ อยา่ งมวี ิจารณญาณและการแกป้ ัญหา
6.2 การสือ่ สารสารสนเทศและการรู้เท่าทันส่อื
7. ภาระงาน/ชน้ิ งาน
- ใบงานเรอื่ ง กล้องจลุ ทรรศน์
- ใบงานกิจกรรม 3.1 การศึกษาสง่ิ มีชีวติ ด้วยกล้องจลุ ทรรศนใ์ ช้แสง
8. กระบวนการจดั การเรียนรู้ ใชว้ ิธสี อนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E)
1) ข้ันสรา้ งความสนใจ
(1) นักเรยี นทำแบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื ง เซลล์และการทำงานของเซลล์
(2) ครชู แี้ จงจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ใหน้ กั เรยี นทราบ
(3) ครตู รวจสอบความร้เู ดมิ ของนกั เรียน โดยใชค้ ำถามดงั นี้
1. การศึกษาการไหลเวียนของไซโทพลาซึมในเซลล์สาหร่ายหางกระรอกสามารถ
ศึกษาไดภ้ ายใต้กล้องจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงแบบสเตอรโิ อ
2. การศึกษาการจัดเรียงตัวของใบสาหร่ายหางกระรอกสามารถศึกษาได้ภายใต้
กล้องจลุ ทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอรโิ อ
3. โครงสรา้ งพ้ืนฐานของเซลล์ ไดแ้ ก่ ส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนวิ เคลยี ส
4. ถา้ เยือ่ หมุ้ เซลลเ์ สียสภาพแตเ่ ซลล์ยังมนี วิ เคลยี สอยูเ่ ซลลจ์ ะยงั ทำงานได้เปน็ ปกติ
5. การแพรเ่ กดิ จากการเคลอ่ื นท่ขี องโมเลกลุ สารโดยใชพ้ ลังงานจลน์ของโมเลกุล
6. ออสโมซสิ เป็นการแพร่ของนำ้ จากบริเวณท่ีมีความเข้มข้นของสารต่ำไปสู่บริเวณท่ี
มีความเขม้ ข้นของสารสูงโดยไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งผา่ นเย่อื เลือกผ่าน
7. การหายใจระดับเซลล์เกิดขึ้นได้ทั้งภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอและออกซิเจนไม่
เพยี งพอ
8. วัตถุประสงคห์ น่ึงของการแบ่งเซลล์คอื การเติบโต
9. เซลล์ลูกที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสทำให้เกิดความหลากหลายของ
สิง่ มชี วี ติ
10. เซลล์ลูกที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจะมีจำนวนโครโมโซมเท่ากับเซลล์
แม่
(4) ครูนำเข้าสู่บทเรียนโดยใช้สาหร่ายหางกระรอก โดยให้นักเรียนสังเกตลักษณะภายนอกและ
ร่วมกันอธิบายลักษณะภายนอกท่ีมองเห็นไดด้ ้วยตาเปลา่ จากน้นั ใช้คำถามถามนักเรยี นว่า
- ถ้าต้องการเห็นนิวเคลียสหรือคลอโรพลาสต์ของเซลล์สาหร่ายหางกระรอกจะต้องใช้
อุปกรณช์ นิดใด (กล้องจลุ ทรรศน์)
2) ข้ันสำรวจและค้นหา
(1) ครใู ห้นกั เรยี นศกึ ษาประวตั เิ ร่ิมตน้ การประดิษฐ์กลอ้ งจลุ ทรรศนจ์ ากรูป 3.1 ในหนังสือเรยี น
และอภิปรายรว่ มกันถึงความแตกตา่ งของสว่ นประกอบของกลอ้ งแตล่ ะแบบ โดยประเด็นทเ่ี น้นคือ
1. กลอ้ งจุลทรรศนแ์ ตล่ ะแบบจะมีความแตกต่างท่จี ำนวนเลนสแ์ ละกำลงั ขยาย ดังตาราง
ชนดิ กลอ้ ง จำนวน กำลงั ขยาย หมายเหตุ
เลนส์
กล้องจลุ ทรรศนช์ ่วงปีพ.ศ.
2133-2143 2 3-10 เลนส์ท่ีใช้มคี ุณภาพตำ่ จงึ ทำใหม้ กี ำลัง
ขยายตำ่
กล้องจลุ ทรรศน์
Robert Hooke 2 ประมาณ เลนสท์ ใ่ี ชม้ ีคุณภาพดขี น้ึ และมกี ารใช้
20-50 เลนส์รวมแสงสอ่ งไปที่ตัวอยา่ งเพือ่ ใหเ้ หน็
กลอ้ งจุลทรรศน์ ภาพไดล้ ะเอยี ดมากขนึ้
Antoni van
Leeuwenhoek 1 ประมาณ เลนสท์ ี่ใช้มีคุณภาพสงู แม้ใชเ้ พยี ง 1
200 เลนส์ ลกั ษณะของเลนสเ์ ปน็ เลนส์ทรงกลม
2. เรื่องการออกแบบกล้องจุลทรรศน์ เหตุผลที่ Robert Hooke ไม่เลือกใช้เลนส์เดียว
แบบกล้องของ Antoni van Leeuwenhoek และเลือกใช้เลนส์ประกอบและกลอ้ งในรูปแบบดงั รูป 3.1 เน่ืองจาก
การเตรยี มตวั อย่างงา่ ยกวา่ และมีความสะดวกในการใชง้ าน
(2) ครอู ธิบายเกี่ยวกับกล้องจุลทรรศนใ์ ชแ้ สงคู่กบั กล้องจลุ ทรรศน์อิเล็กตรอน
(3) ครูใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบและกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอของจริง
เพื่อนำเข้าสู่หัวข้อกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงทั้ง 2 ชนิด พร้อมอธิบายว่า กล้องจุลทรรศน์ที่นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการ
ชีววิทยาที่พบได้ทั่วไป คือ กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงโดยมีหลักการทำงานอย่างง่าย คือ มีแหล่งกำเนิดแสงในช่วง
ความยาวคล่ืนท่ีตามองเห็นและชดุ ของเลนส์แก้วที่ทำใหเ้ กิดภาพขยายปรากฏขึ้นในลำกลอ้ ง ซ่งึ สามารถดูภาพผ่าน
เลนส์ใกลต้ าได้
(4) นกั เรยี นทำใบงานเร่ือง กล้องจลุ ทรรศน์
(5) แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5-6 คน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม 3.1
การศึกษาสิ่งมีชีวิตด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง เพื่อให้เข้าใจวิธีการใช้กล้องจุลทรรศน์ศึกษาสิ่งมีชีวิตให้ได้
ประสิทธิภาพสูงสุดมากขึ้น โดยประกอบด้วยกิจกรรมตอนที่ 1 การศึกษาภาพตัวอักษรและเปรียบเทียบภาพ
ตัวอักษรภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบ และแบบสเตอริโอ พร้อมกับเน้นให้นักเรียนวาดภาพลายเส้น
ด้วยดินสอ และบันทึกกำลังขยายของเลนส์ใกล้ตาและเลนส์ใกล้วัตถุไว้ใต้ภาพ และให้นักเรียนทำตาราง
เปรียบเทียบลักษณะและขนาดของภาพตัวอักษร ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงทั้ง 2 กรรมตอนที่ 2 การศึกษา
สิ่งมีชีวิตโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอ พร้อมกับเน้นให้นักเรียนวาดภาพลายเส้นด้วยดินสอ ชี้ส่วน
ต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตได้ และบันทึกกำลังขยายของเลนส์ใกล้ตา เลนส์ใกล้วัตถุ และกล้องจุลทรรศน์ไว้ด้านข้าง
หรือใต้ภาพ จากนั้นให้นักเรียนทำกิจกรรม โดยครูสังเกตและแนะนำนักเรียนทั้งขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างและ
ขณะใช้กล้องจุลทรรศน์ กิจกรรมตอนที่ 3 การศึกษาสิ่งมีชีวิตโดยใชก้ ล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบ พร้อมกับ
เน้นให้นักเรียนวาดภาพลายเส้นด้วยดินสอ ชี้ส่วนต่าง ๆ ที่สามารถสังเกตได้ และบันทึกกำลังขยายของเลนส์ใกล้
ตา เลนสใ์ กลว้ ัตถุ และกล้องจุลทรรศนไ์ ว้ดา้ นข้างหรอื ใตภ้ าพ
3) ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป
(1) นกั เรียนแต่ละกลุม่ ออกมานำเสนอผลงานของของการทำกิจกรรม
(2) ครูใช้รูปกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบและกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอเพ่ือ
อธิบายว่า กล้องจุลทรรศน์ที่นิยมใช้ในห้องปฏิบัติการชีววิทยาที่พบได้ทั่วไป คือ กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง โดยมี
หลกั การทำงานอย่างง่าย คอื มีแหล่งกำเนิดแสงในช่วงความยาวคล่นื ที่ตามองเห็นและชดุ ของเลนสแ์ ก้วท่ีทำให้เกิด
ภาพขยายปรากฏข้นึ ในลำกล้อง ซึ่งสามารถดูภาพผา่ นเลนส์ใกลต้ าได้ จากน้นั ช้ใี หน้ ักเรียนเหน็ ว่า กล้องจุลทรรศน์
ใช้แสงแบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด ไดแ้ ก่ 1. กลอ้ งจุลทรรศนใ์ ชแ้ สงเชงิ ประกอบ 2. กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอริโอ
ครอู ธิบายเพม่ิ เติมเก่ียวกับวตั ถุประสงคก์ ารใช้งาน ชนดิ ของภาพที่เกิด และกำลังขยายของกลอ้ งทง้ั 2 ชนิด
(3) ครนู ำเสนอภาพกล้องจลุ ทรรศนแ์ บบใช้แสงเชงิ ประกอบและกล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สงแบบสเตอ
ริโอ จากใหน้ ักเรียนพมิ พต์ อบกลับมาวา่ สว่ นประกอบท่ีครชู ้ีคืออะไร และมหี นา้ ทอี่ ยา่ งไร
(4) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพื่อสรุปประเด็นสำคัญที่ทำให้ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง
ศึกษาสง่ิ มชี วี ิตให้ได้ประสิทธิภาพสงู สดุ ดงั น้ี
- เลือกชนดิ ของกล้องจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงได้ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษาสิง่ มชี วี ิต
- รู้จักส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ใชแ้ สงและสามารถใช้งานส่วนประกอบไดอ้ ย่าง
ถกู วธิ ี เพอ่ื ใหไ้ ดภ้ าพชดั และเหน็ รายละเอยี ดสิ่งมีชวี ิตไดม้ ากทีส่ ดุ
- เตรียมตัวอย่างส่งิ มีชีวติ เพ่อื ศึกษาภายใตก้ ล้องจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงได้ถูกต้อง
- วาดภาพและวดั ขนาดโดยประมาณจากตวั อย่างสิง่ มชี วี ิตภายใตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์ใช้แสง
ได้
- ดูแลและเกบ็ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใช้แสงได้ถกู วิธีเพ่ือใหใ้ ช้งานไดย้ าวนาน
4) ข้ันขยายความรู้
(1) ครูขยายความรู้เกี่ยวกับกล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบว่าทำให้มองเห็นโครงสร้างบาง
ชนิดของเซลล์เท่านัน้ การใช้กล้องจลุ ทรรศน์อิเลก็ ตรอนจะช่วยขยายศักยภาพการมองเห็นโครงสรา้ งอ่ืนของเซลล์
ทีม่ องไม่เหน็ ด้วยกล้องจุลทรรศนใ์ ชแ้ สงได้
5) ข้นั ประเมิน
(1) ครูให้นักเรียนแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหัวข้อท่ีเรียนมาและการปฏิบัติกิจกรรม มีจุดใดบ้างที่
ยังไมเ่ ขา้ ใจหรือยังมีขอ้ สงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธิบายเพม่ิ เตมิ ให้นกั เรยี นเขา้ ใจ
(2) ดา้ นความรู้ ครตู รวจสอบผลจากการตอบคำถาม และการทำกิจกรรม
(3) ด้านทักษะกระบวนการ ครูสังเกตจากการทำกจิ กรรม
(4) ด้านจิตพิสัย ครูตรวจสอบผลจากการสังเกตการเข้าชั้นเรียน การตอบคำถาม และความ
กระตอื รือร้นในการเรียน
9. สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรยี นรู้
9.1 หนงั สือเรยี นรายวิชาชวี วทิ ยา เล่ม 1
9.2 PowerPoint เรื่อง กล้องจุลทรรศน์
9.3 กล้องจุลทรรศน์
10. การวัดผลประเมนิ ผลและเกณฑ์การประเมนิ วิธีการวดั เครื่องมอื วัดผล เกณฑก์ าร
รายการวัด ประเมนิ
ด้านความรู้ (K)
1. ระบุส่วนประกอบ และบอกหน้าที่ของ -ตรวจใบงานและใบ - ใบงาน -ผ่านเกณฑ์ร้อย
- ใบกจิ กรรม ละ 60 ขึน้ ไป
ส่วนประกอบกลอ้ งจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สง กจิ กรรม
2. บอกวิธีการใช้ และการดูแลรักษากล้อง
จลุ ทรรศนใ์ ช้แสงทถ่ี กู ต้อง
3. บอกวิธีการเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเพื่อ
ศึกษาภายใตก้ ล้องจุลทรรศนใ์ ชแ้ สง
4. สังเกต วัดขนาดโดยประมาณและวาดภาพ
ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏภายใต้กล้อง
จลุ ทรรศนใ์ ช้แสงเชิงประกอบ
ด้านทกั ษะและกระบวนการ (P)
มีทักษะในการเตรียมวตั ถุตัวอยา่ ง และการใช้ -สงั เกตพฤตกิ รรม - แบบประเมนิ ทักษะ -ผา่ นเกณฑร์ ้อย
กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สง การใชก้ ล้อง ละ 60 ขนึ้ ไป
จุลทรรศน์
ด้านจติ พสิ ยั (A) -สังเกตพฤติกรรม - แบบประเมินจิต -ผ่านคุณภาพ
1. เข้าเรียนเป็นประจำ พิสัย ระดบั พอใช้ขึ้นไป
2. มีความกระตือรือรน้ ในการเรยี น
3. มสี ว่ นรว่ มในการอภิปราย
11. ความคดิ เห็นของคณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้
องค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นร้.ู ............................................................................
มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรียนร้สู อดคลอ้ ง.......................................................
สาระสำคัญครอบคลมุ ชัดเจน.............................................................................................
สาระการเรยี นรูม้ ีความถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าการ................................................................
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้มคี วามชดั เจนครอบคลมุ (K/P/A).....................................................
สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น................................................................................................
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์.................................................................................................
ระบภุ าระงาน/ช้ินงาน........................................................................................................
กจิ กรรมการเรียนร้เู นน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญ............................................................................
สอ่ื และอุปกรณ์การเรียนรู้.................................................................................................
การวัดและการประเมินผลตามจุดประสงคก์ ารเรยี นร้.ู .......................................................
เสนอสง่ แผนการจัดการเรียนรตู้ ามขน้ั ตอนระบบงาน.........................................................
บนั ทึกหลังสอน..................................................................................................................
ภาคผนวก...........................................................................................................................
........................................................................................................................... .................................................
............................................................................................................................. .......................................................
........................................................................................................................................................ ............................
ลงชอ่ื ..................................................
(นางสาวฤทัยรตั น์ ขวญั เช้ือ)
หัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ลงชอ่ื .................................................. ลงชอื่ ..................................................
(นางอารียา เพ็ชรรตั น์) (นางมารเี ยาะห์ โอมณี)
คณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรียนรู้ คณะกรรมการตรวจแผนการจดั การเรยี นรู้
12. ความคดิ เห็นรองผู้อำนวยการกลุ่มบริหารวิชาการ
เหน็ ควรอนุญาตให้ใชจ้ ัดการเรียนการสอนได้
เหน็ ควรปรับปรงุ คือ................................................................................................................
............................................................................................................................. .........................
( นายอบั ดลรอศักดิ์ มณีโส๊ะ)
รองผูอ้ ำนวยการกลมุ่ บริหารวชิ าการ
13. ความคิดเห็นผู้อำนวยการโรงเรียน
อนุญาตให้ใช้จดั การเรียนการสอนได้
ควรปรบั ปรุง คือ..................................................................................................................
............................................................................................................................. .....................
( นายสิรวุฒิ ยุนยุ้ )
ผ้อู ำนวยการโรงเรยี นกำแพงวิทยา