The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-03-31 00:49:35

การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบ GPAS 5 Steps เรื่อง งานธุรกิจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

ครูสุภาพร

รายงานวจิ ยั ในช้ันเรียน

การพัฒนาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นโดยใชว้ ธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps
เรอ่ื ง งานธุรกจิ ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5

นางสาวสภุ าพร วะจดิ ี
ตาแหน่งครู

ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
กลุม่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี
โรงเรียนกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จงั หวดั สตูล
สานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษามัธยมศกึ ษาสงขลา สตูล

ชอ่ื เร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใชว้ ธิ กี ารสอนแบบ GPAS5 Steps เรอ่ื งงานธุรกจิ
ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5
ผูว้ จิ ัย นางสาวสภุ าพร วะจิดี
กลุม่ สาระฯ การงานอาชีพ
ปีการศกึ ษา 2564

บทคดั ยอ่

งานวจิ ยั คร้ังน้มี ีวตั ถุประสงค์ 1) เพอื่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธก์ิ ่อนและหลังการใช้วธิ กี ารสอนแบบ GPAS
5 Steps เร่ือง งานธุรกิจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจท่ีมีต่อวิธีการสอนแบบ
GPAS 5 Steps เร่อื ง งานธุรกิจ ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวจิ ัยคร้ังน้ี เป็นนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู
จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 1 หอ้ งเรียน ได้แก่ นักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5/6 จานวน
43 คน โดยสุ่มแบบเจาะจง ใชเ้ วลาทดลองทงั้ สิน้ 8 คาบ คาบละ 50 นาที โดยใชแ้ ผนการวิจยั แบบ One-group
Pretest-Posttest Design เครอื่ งมือท่ีใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการสอน เรอ่ื งานธรุ กิจ 2) แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องงานธรุ กิจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติทดสอบค่า t แบบไม่อิสระต่อกัน (t-test for
Dependent Samples) 3)แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการสอนแบบ GPAS 5
Steps แบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating scale) 5

ผลการวิจัยพบว่า 1) การประเมินผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการใช้วิธีการสอนแบบ GPAS 5 Steps
เรื่อง งานธุรกิจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6 มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียน เท่ากับ 5.12 และ
8.05 ตามลาดับ เมื่อทดสอบคะแนนเฉลี่ยด้วยสถิติ t-test พบว่าคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมี
นัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ 0.5 2) การประเมินความพงึ พอใจของนกั เรียนทม่ี ีต่อวธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps
เร่อื ง งานธุรกจิ ของนักเรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5/6 นักเรยี นมคี วามพึงพอใจอย่ใู นระดบั มากที่สุด ( X = 4.38)

สารบัญ

หนา้

บทคัดยอ่ ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข
สารบัญตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค
บทท่ี 1 บทนา……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1

ความเป็นมาและความสาคญั ของปญั หา…………….…………………………………………………………………….. 1
วัตถุประสงคข์ องการวิจัย…………………………………..…………………………………………………………………… 1
สมมตฐิ านของงานวจิ ยั ………………………………………..……………………………………………….………………… 2
ขอบเขตของการวจิ ัย……………………………………………..………………………………………………………………. 2
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง……………….………………………………………………………………………… 3
เอกสารเกีย่ วกับวิธกี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps…………………………………………………………………….. 3
แนวคดิ และทฤษฎที ่ีเกยี่ วข้องกบั ความพึงพอใจ................................................................................... 7
งานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 10
บทท่ี 3 วิธีดาเนินการวจิ ัย………………………….………………………………………………………..………………………… 12
รปู แบบการวจิ ัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 12
ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง…………………………………………………………………………………………………….. 12
เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู …………………………………………………………………………………….. 12
ขั้นตอนการสร้างและพฒั นาเครื่องมือ………………………………………………………………………………………. 12
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ……………………………………………………………………………………………………………. 14
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ………………………………………………………………………………………………………………… 15
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ………………………………………………………….……………………………………………. 17
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล…………………………………………………………………………………………………………….. 17
บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 20
สรปุ ผลการวิจยั ……………………………………………………………………………………………………………………… 20
อภปิ รายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 20
ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 21
บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………………….. 22
ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….……… 23
ภาคผนวก ก รายชือ่ ผูเ้ ช่ียวชาญเป็นผู้ตรวจสอบเคร่อื งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั ............……………………….. 24
ภาคผนวก ข ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ.................................……………………………………..…... 26
ภาคผนวก ค แผนจัดการเรียนรู้..........................................................………………….………..………….. 28
ภาคผนวก ง ขอ้ สอบวดั ผลการเรยี นรู้……………………………………………………………………………………. 39
ภาคผนวก จ แบบประเมนิ ความพึงพอใจ………………………………………………………………………………. 41
ภาคผนวก ฉ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล……………………………………………………………………………………… 44

สารบัญตาราง

ตารางที่ หน้า

1 ผลเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกอ่ นและหลังการใช้วธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps
เรอื่ ง งานธุรกจิ ……………………….…………………………………………………………………………….………………..17

2 ผลประเมนิ ความพึงพอใจต่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบ GPAS 5 Steps
เร่อื ง งานธุรกิจ ......................................................................................................................................18

1

บทท่ี 1
บทนา

ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ได้ให้แนวคิดการจัดการศึกษา (Conceptual Design)

โดยยึดหลักสาคัญในการจัดการศึกษา ประกอบด้วย หลักการจัดการศึกษาเพ่ือปวงชน (Education for All)
หลกั การจัดการศึกษาเพ่ือความเท่าเทียมและทว่ั ถึง (Inclusive Education) หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
(Sufficiency Economy) และหลกั การมสี ว่ นร่วมของทกุ ภาคส่วนของสงั คม (All for Education) อีกท้ังยึดตาม
เป้าหมายการพัฒนาท่ีย่ังยืน (SustainableDevelopment Goals : SDGs 2030) ประเด็นภายในประเทศ
(Local Issues) อาทิคุณภาพของคนทุกช่วงวยั การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศ ความเหลื่อม
ลา้ ของการกระจายรายได้และวกิ ฤตด้านส่ิงแวดลอ้ ม โดยนายทุ ธศาสตร์ชาติ (National Strategy) มาเป็นกรอบ
แนวคิด แผนการศึกษาแห่งชาติได้กาหนด วิสัยทัศน์ (Vision) ไว้คือ “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้
ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดารงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการ
เปล่ียนแปลงของโลกศตวรรษท่ี 21”แผนการศกึ ษาแหง่ ชาตไิ ด้วางเป้าหมายด้านผู้เรียน (Learner Aspirations)
โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนใหม้ ีคณุ ลักษณะและทักษะการเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs) ประกอบดว้ ย ทกั ษะ
และคุณลักษณะต่อไปนี้ 3Rs ได้แก่ การอ่านออก (Reading) การเขียนได้ (Writing) และการคิดเลขเป็น
(Arithmetics) 8Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking
and problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะด้าน
ความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross – cultural Understanding) ทักษะด้านความร่วมมือการ
ทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการสื่อสาร
สารสนเทศ และการรู้เท่าทันส่ือ (Communications, Information and Media Literacy) ทักษะด้าน
คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพ และ
ทักกษะ การเรียนรู้(Career and Learning Skills) และความมีเมตตา กรุณา มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม
(Compassion) (สานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา : 2560)

จากแนวคดิ การจัดการศึกษาตามแผนการศกึ ษาแห่งชาติ ผู้วิจยั ไดเ้ หน็ ความสาคัญของการพฒั นาผู้เรยี น
ทุกคนให้มีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรยี นให้
เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ จึงได้นากระบวนการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps มาใช้ในการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนวิชาการงานอาชพี ง32101 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 เพื่อใหผ้ ู้เรยี นมีความรู้และทกั ษะท่คี งทนผา่ นการ
ทากิจกรรมที่หลากหลาย มีส่วนร่วมในทุกกระบวนการเรียนรู้ เกิดความกระตือรือร้นที่จะใฝ่รู้ สามารถใช้องค์
ความรู้ผลิตผลงานหรือสร้างสรรค์นวตั กรรมที่เป็นประโยชนต์ ่อการดารงชีวิต สอดคล้องต่อการเปล่ียนแปลงใน
ศตวรรษที่ 21 และเพอื่ พัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของผ้เู รยี นให้เปน็ ไปตามเป้าหมายท่ีตงั้ ไว้

วตั ถุประสงค์ของการวิจยั
1. เพอื่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นก่อนและหลงั การใช้วธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps

เรื่อง งานธุรกจิ ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่5

2

2. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจท่มี ีตอ่ วธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps เรอ่ื งงานธุรกิจ ของนักเรยี นช้ัน
มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5

สมมติฐานของงานวิจัย
1. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยวิธกี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps หลงั

เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น
2. นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 มีความพึงพอใจต่อวิธีการสอนแบบ GPAS 5 Steps อยใู่ นระดับมาก

ขอบเขตของการวจิ ัย
ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยไดแ้ ก่ นกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5/6 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู

จังหวัดสตลู ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 1 ห้อง รวม 43 คน
กลมุ่ ตัวอยา่ ง
กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั ได้แก่ นกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 5/6 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู

จงั หวัดสตูล ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 43 คน
เนอ้ื หาทใี่ ช้ในการวจิ ัย
เนอ้ื หาท่ีใช้ในการวจิ ัยคือกลุ่มสาระการเรยี นรู้การงานอาชีพ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 หน่วยที่ 3 ผลงาน

สรา้ งสรรค์ เรอ่ื ง งานธุรกิจ ซึ่งมีรายละเอยี ด ของเน้อื หาเก่ยี วกับเร่อื ง ทกั ษะการจดั การงานธุรกจิ ธรุ กิจ SMEs,
Ecommerce การเขยี นแผนธุรกิจ

ระยะเวลาทใ่ี ช้
ใชร้ ะยะเวลาในการทดลองตามแผนการจดั การเรียนรู้ จานวน 1 แผน รวมจานวน 8 ช่ัวโมง โดยทาการ
ทดลองในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 ภายในระหวา่ งเดอื นธนั วาคม – เดอื นมกราคมพ.ศ. 2565
ตัวแปรทีศ่ ึกษา

ตวั แปรต้น วิธกี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps
ตวั แปรตาม 1. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใชว้ ธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps เรือ่ ง

งานธรุ กิจ

2. ความพงึ พอใจท่ีมตี ่อวิธีการสอนแบบ GPAS 5 Step เรอื่ งงานธุรกจิ

3

บทที่ 2
เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วข้อง

การดาเนินงานวจิ ัยครง้ั น้ผี ูว้ จิ ยั มงุ่ เนน้ การพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใชว้ ิธีการสอนแบบ GPAS 5
Steps เรื่องงานธรุ กจิ ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ซงึ่ ผ้วู ิจยั ได้ศึกษาคน้ คว้าเอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้อง
โดยนาเสนอรายละเอียดตามลาดับดงั นี้

1. เอกสารเกย่ี วกับวธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Step
2. แนวคดิ และทฤษฎีทีเ่ ก่ียวข้องกับความพงึ พอใจ
3. งานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้อง

1. เอกสารเก่ียวกับวิธกี ารสอนแบบ GPAS 5 Step
1.1 ทักษะการคิดและกระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps
การคิดเปน็ กระบวนการทเ่ี กิดขึ้นภายในสมอง เกิดจากการจดั กระทาข้อมูลหรอื สง่ิ เร้าท่ีสมองรับเขา้ มา

การคิดมีลักษณะเป็นกระบวนการหรอื วธิ ีการ การคดิ เปน็ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการสรา้ งความหมายความเขา้ ใจใน
เนอื้ หาสาระตา่ งๆ การคิดจงึ เปน็ เรือ่ งหรืองานเฉพาะตนทีบ่ คุ คล ผู้เรียนรูจ้ ะต้องดาเนนิ การเองไมม่ ผี ใู้ ดทาแทนได้
แตบ่ ุคคลอ่นื รวมทง้ั สภาพแวดลอ้ มและประสบการณ์ตา่ งๆ สามารถช่วยกระตนุ้ ให้บคุ คล เกิดการคิดการเรยี นรู้
การคิดมีความสาคญั อยา่ งยง่ิ เนอื่ งจากการคดิ เป็นปจั จยั ภายในทส่ี าคัญมอี ทิ ธพิ ลอย่างมากต่อการกระทาและการ
แสดงออกทงั้ หลายมนุษยท์ ุกคนคิดอยู่ทกุ ขณะทกุ เวลาในลักษณะใดลกั ษณะหนึ่ง
การคิดของคนทวั่ ไปแบง่

การคิดออกไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญๆ่ คอื การคิดอย่างไม่มจี ุดมงุ่ หมายหรือทิศทาง กับการคดิ อย่างมี
จุดมงุ่ หมายหรือทศิ ทางครูจาเปน็ ต้องพัฒนาการคิดอยา่ งมจี ุดมุง่ หมายหรือทิศทางให้เกดิ ข้นึ ในตัว
นักเรยี น (สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน,2550,หนา้ 34-35 )

องคป์ ระกอบของความคิด
มีนักคิดนักจติ วทิ ยาและนักวชิ าการจากตา่ งประเทศและในประเทศจานวนมากทไ่ี ด้ศึกษาเก่ยี วกบั
องค์ประกอบของการคดิ เร่อื งน้ซี งึ่ ทศิ นา แขมมณลี ะคณะ (2545)ไดร้ วบรวมไวด้ ังนี้
ทิศนา แขมมณี กล่าววา่ กระบวนทักษะการคดิ เปน็ ความสามารถย่อย การคิดลักษณะต่าง ๆซงึ่ เป็น
องคป์ ระกอบของกระบวนการคิดท่เี กดิ ความสลับซับซอ้ น ทักษะการคดิ จดั เปน็ 2 ประเภท คอื
ทักษะการคิดขนั้ พืน้ ฐาน แบ่งออกเป็น 2 ทักษะ คอื
- ทักษะการส่อื ความหมาย
- ทกั ษะการคิดทเ่ี ป็นแกนหรือทักษะการคิดท่วั ไป
ทกั ษะการคิดข้นั สูง
บลูม (Bloom ,1961) ได้จาแนกการรู้ (Cognition) ออกเป็น 5 ข้ัน ไดแ้ ก่ การรขู้ น้ั ความรู้ การร้ขู ้ัน
เขา้ ใจ การรขู้ ้ันวิเคราะห์ การรขู้ ้ันสังเคราะห์ และการรขู้ ัน้ ประเมนิ
เพียเจต์ (Piaget ,1965) ไดอ้ ธบิ ายพัฒนาการทางสติปญั ญาวา่ เป็นผลเนื่องมาจากการปะทะสัมพันธ์
ระหวา่ งบุคคลกับสิ่งแวดลอ้ ม โดยบุคคลพยายามปรบั ตวั โดยใชก้ ระบวนการดดู ซึม (Assimi-lation)และ
กระบวนการปรับให้เหมาะ(Accommodation)โดยการพยายามปรบั ความรู้ ความคิดเดิมกบั ส่ิงแวดล้อมใหม่ ซึ่ง

4

ทาใหบ้ ุคคลอยใู่ นภาวะสมดุล สามารถปรบั ตัวเข้ากับส่งิ แวดลอ้ มได้ กระบวนการดงั กลา่ ว เป็น
กระบวนการพฒั นาโครงสรา้ งทางสตปิ ัญญาของบคคุ ล

บรุนเนอร์ (Bruner ,1965) กลา่ วว่า เด็กเร่ิมตน้ เรียนรู้จากการกระทาตอ่ ไปจึงจะสามารถจนิ ตนาการ
สร้างภาพในใจหรือ ในความคดิ ขึ้นได้ แลว้ จึงข้ันการคิดและเข้าใจในส่งิ ท่ีเป็นนามธรรม

ทอแรนซ์ (Torrance,1962) ไดเ้ สนอแนวคิดเกย่ี วกับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ วา่ ประกอบ
ไปด้วย ความคลอ่ งแคลว่ ในการคิด (Fluency) ความยืดหยุ่นในการคิด (Flexibility) และความคิดริเริ่มในการคิด
(Originality) (ทศิ นา แขมมณีและคณะ,2550,หนา้ 46-49)

1.2 การพัฒนาการคิดโดยใชก้ ระบวนการ GPAS 5 Steps
กรอบการพฒั นาการคดิ โดยใช้กระบวนการ GPAS เกิดขน้ึ จากการที่สานักงานคณะกรรมการ การศกึ
การศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน ตอ้ งการหารูปแบบแนวทางในการพฒั นาการคิดใหก้ บั ผู้เรียน จงึ เร่มิ ตน้ ดว้ ยการตัง้
คณะทางานขึน้ มาชุดหนึง่ โดยมี ดร.โกวิท ประวาลพฤกษ์ เปน็ ท่ีปรึกษา ทาการศกึ ษาคน้ คว้าแนวคิดทฤษฎี
ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การคิดทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ จากนนั้ คณะทางานได้สังเคราะหแ์ นวคดิ และทฤษฎี
เหล่าน้ันได้กรอบพัฒนาการคิด หรอื โครงสร้างทักษะกระบวนการคดิ 4 ประการ คือ การรวบรวมและ
เลือกข้อมลู (Gathering) การจดั กระทาขอ้ มูล (Processing) การประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ (Applying) และการกากับ
ตนเอง (Self – regulating) เรยี กยอ่ ๆวา่ GPAS โดยนาอกั ษรภาษาองั กฤษตวั แรกของโครงสรา้ งทกั ษะ
กระบวนการคิดนัน้ มาใช้ ดงั แผนภาพ

4 Self-Regulating: S การกากบั ตนเอง
3 Applying: A การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้
2 Processing: P การจัดกระทาขอ้ มลู
1 Gathering: G การรวบรวม คดั เลือกขอ้ มูล
แผนภาพโครงสร้างทักษะการคดิ GPAS
จากโครงสรา้ งทกั ษะการคดิ นี้ สามารถนามากาหนดเป็นกระบวนการพฒั นาทักษะการคดิ
โดยมีการกากับตนเอง (Self-Regulating) เปน็ แกนในการพฒั นาทักษะดังแผนภมู ิ

แผนภูมิกระบวนการพัฒนาทักษะการคิด

5

1.3 ความหมายของทกั ษะการคิดในโครงสร้าง GPAS
ทักษะการคิดในโครงสร้าง GPAS มีทักษะทส่ี อดคลอ้ งกับการจดั การเรยี นรู้ในศตวรรษที่ 21 ทิศทาง
การศกึ ษาไทยและหลักสูตรการเรียนการสอนในทุกระดบั การศึกษา ขอยกมาเป็นตัวอยา่ ง ดังน้ี
ทกั ษะการคิดระดบั การรวบรวมข้อมูล (Gathering: G) ได้แก่
1. การกาหนดประเด็นในการรวบรวมข้อมลู (Focusing Skill) หมายถึง การกาหนดขอบเขตการศึกษา
และมงุ่ ความสนใจไปในทิศทางตามจุดประสงคท์ ี่ตอ้ งการศึกษาใหช้ ัดเจน เพ่ือท่ีจะได้คดั เลือกเฉพาะขอ้ มูลที่
เกีย่ วขอ้ ง
2. การสังเกตดว้ ยประสาทสมั ผัส (Observing) หมายถงึ การรบั รแู้ ละรวบรวมขอ้ มลู เก่ียวกบั ส่ิงใดสิ่ง
หนึง่ โดยใชป้ ระสาทสมั ผัสท้งั 5 เพอื่ ใหไ้ ด้รายละเอยี ดเกย่ี วกับส่ิงนัน้ ๆ ซ่ึงเป็นข้อมลู เชิงประจักษ์ทไี่ ม่มกี ารใช้
ประสบการณแ์ ละความคดิ เหน็ ของผู้สงั เกตในการเสนอข้อมลู ขอ้ มูลจากการสงั เกตมีท้งั ขอ้ มลู ปริมาณและขอ้ มูล
เชงิ คณุ ภาพ
3. การบันทกึ ขอ้ มูล (Encoding & Recording) หมายถึง กระบวนการประมวลขอ้ มูลของสมองเมือ่ รบั
สิ่งเร้าจากประสาทสัมผัสท้งั 5 จะได้รับการบันทึกไว้ในความจาระยะสนั้ หากต้องการเก็บขอ้ มลู ไว้ใช้ตอ่ ๆ ไป
ข้อมูลนนั้ จะต้องเปล่ยี นรูปโดยการเข้ารหสั (Encoding) เพ่อื นาไปเก็บไว้ในความจาระยะยาว ซึง่ จะสามารถเรียก
ข้อมูล มาใช้ไดภ้ ายหลัง โดยการถอดรหัส (Decoding)
4. การดงึ ข้อมลู เดิมมาใช้และย่อความ (Retrieving & Summarizing) หมายถงึ การนา
ข้อมูลทีม่ อี ยนู่ ากลับมาใชใ้ หม่ และการจับใจความสาคัญของเรื่องทีต่ อ้ งการสรปุ แล้วเรยี บเรยี งให้กระชบั
ครอบคลมุ สาระสาคญั
ทกั ษะการคิดระดับการจดั กระทาข้อมูล (Processing: P)
1. การจาแนก (Discriminating) หมายถึง การแยกแยะส่งิ ตา่ ง ๆ ตามมิติท่กี าหนด
2. การเปรียบเทียบ (Comparing) หมายถึง การค้นหาความเหมือนและหรือความแตกตา่ ง
ขององคป์ ระกอบต้ังแต่ 2 องคป์ ระกอบขึน้ ไป เพ่ือใช้ในการอธบิ ายเร่อื งใดเร่อื งหนึ่ง ในเกณฑเ์ ดียวกนั
3. การจดั กลุ่ม (Classifying) หมายถึง การนาสิ่งตา่ ง ๆ มาแยกเปน็ กลุ่มตามเกณฑท์ ่ไี ดร้ ับการยอมรับ
ทางวิชาการ หรือการยอมรบั โดยทัว่ ไป
4. การจัดลาดับ (Sequencing) หมายถึง การนาขอ้ มูลหรอื เรอื่ งราวท่เี กิดขึน้ มาจดั เรยี งให้เป็นลาดับ วา่
อะไรมากอ่ น อะไรมาทหี ลัง
5. การสรุปเชือ่ มโยง (Connecting) หมายถงึ การบอกความสัมพันธ์เกยี่ วขอ้ งเชือ่ มโยงกนั ของขอ้ มูล
อยา่ งมีความหมาย
6. การไตรต่ รองดว้ ยเหตุผล (Reasoning) หมายถงึ ความสามารถในการบอกท่มี าของส่ิงใด ๆหรือ
เหตกุ ารณ์ใด ๆหรอื สิง่ ที่เปน็ สาเหตขุ องพฤติกรรมนนั้ ได้
7. การวจิ ารณ์ (Criticizing) หมายถึง การท้าทายและโต้แยง้ ขอ้ สมมุติฐานทอ่ี ยู่เบ้อื งหลัง
เหตุผลทีโ่ ยงความคิดเหลา่ นัน้ เพ่ือเปิดทางสูแ่ นวความคิด อื่น ๆ ทอ่ี าจเป็นไปได้
8. การตรวจสอบ (Verifying) หมายถึง การยนื ยนั หรอื พิสจู น์ข้อมูลที่สังเกต รวบรวม มาตามความ
ถูกต้องเปน็ จรงิ
ทักษะการคิดระดบั การประยุกตใ์ ช้ (Applying: A)
1. การใชค้ วามร้อู ย่างสร้างสรรค์ (Creative) หมายถึง การนาความรูท้ เี่ กิดจากความเข้าใจไปใช้ในการ
สรา้ งสรรค์สง่ิ ใหมห่ รอื แก้ปัญหาทม่ี ีอยูใ่ ห้ดีขึ้น
2. การวิเคราะห์ (Analysis) หมายถงึ ความสามารถในการแยกแยะหลักการ องค์ประกอบสาคัญหรือ
ส่วนย่อย ตลอดจนหาความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่วนตา่ งๆทีเ่ ก่ียวขอ้ ง

6

3. การสงั เคราะห์ (Synthesis) หมายถึง การนาความรทู้ ่ีผ่านการวิเคราะหม์ าผสมผสานสร้างส่งิ ใหม่ที่ที
ลกั ษณะต่างจากเดมิ

4. การตัดสินใจ (Decision Making) หมายถงึ การพิจารณาเลอื กทางเลอื กตัง้ แต่ 2 ทางเลือกขนึ้ ไป
ทางเลือกหรือตัวเลือกน้ันอาจเปน็ วัตถุสง่ิ ของหรือแนวปฏิบตั ติ ่าง ๆ เพอ่ื ใชใ้ นการแก้ปัญหาหรือดาเนนิ การเพ่อื ให้
บรรลุตามวตั ถุประสงค์ทีต่ ั้งไว้

5. การนาความรไู้ ปปรบั ใช้ (Transferring) หมายถงึ การถา่ ยโอนความร้ทู ่มี ีอยไู่ ปปรบั ใช้ในสถานการณ์
อื่น

6. การแก้ปญั หา (Problem Solving) หมายถงึ การวเิ คราะห์สถานการณ์ท่ียากเพ่อื จดุ ประสงค์ในการ
แก้ไขสถานการณห์ รอื ขจัดใหป้ ัญหานั้นหมดไป นาไปสู่สภาวะทดี กี ว่าหรือมที างออก

7. การคดิ วเิ คราะห์วจิ ารณ์ (Critical Thinking) หมายถึง ความสามารถในการพจิ ารณา
ประเมนิ และตัดสินสงิ่ ตา่ งๆ หรือเรอ่ื งราวทเ่ี กิดขนึ้ ท่มี ีขอ้ สงสยั หรือข้อโต้แย้ง โดยการพยายามแสวงหาคาตอบ
ทม่ี คี วามสมเหตุสมผล

8. การคิดสรา้ งสรรค์ (Creative Thinking) หมายถงึ ความสามารถในการคิดไดอ้ ย่างกวา้ งไกลหลาย
ทิศทางอย่างเปน็ กระบวนการ โดยใช้จนิ ตนาการทีห่ ลากหลายเพอ่ื ก่อให้เกดิ ความแปลกใหม่ในการสร้าง ผลิต
ดดั แปลงงานต่าง ๆ ซึ่งจะต้องเชอื่ มโยงระหว่างประสบการณ์เก่ากับประสบการณใ์ หม่ความคิดสรา้ งสรรคจ์ ะ
เกดิ ขนึ้ ไดก้ ็ตอ่ เมอ่ื ผู้คิดมอี สิระทางความคิด

ทักษะการคิดระดับการกากบั ตนเอง (Self-Regulatings: S)
1. การตรวจสอบและควบคมุ การคิด (Meta-Cognition) หมายถงึ การทีบ่ ุคคลร้แู ละเข้าใจถงึ ความคิด
ของตนเอง ไตรต่ รองกอ่ นกระทาอะไรอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง เป็นการประเมนิ การคิดของตนเองและใชค้ วามร้นู นั้ ใน
การควบคมุ หรอื ปรับการกระทาของตนเอง ซึ่งครอบคลมุ ถงึ การวางแผนการควบคุมกากบั การกระทาของตนเอง
การตรวจสอบความกา้ วหน้าและการประเมินผล
2. การสรา้ งค่านิยมการคดิ (Thinking Value) หมายถงึ การคิดเพ่อื ประโยชน์ในระดับตา่ ง ๆได้แก่ เพอ่ื
ประโยชน์ตน กลุ่มตน เพื่อสังคมและเพอ่ื ประโยชน์ของกล่มุ และเพ่ือประโยชนข์ องประเทศชาติ โลกทุก
องค์ประกอบ
3. การสร้างนิสยั การคิด (Thinking Disposition) หมายถึง ลักษณะเฉพาะของการกระทาของคนท่มี ี
สตปิ ัญญา เม่ือเผชญิ หนา้ กบั ปญั หาการตัดสินใจที่จะแก้ปญั หา จะไม่กระทาทนั ทีทันใดก่อนทจี่ ะมีข้อมูลหลกั ฐาน
ชัดเจนเพียงพอ นิสยั แหง่ การคิด คือ รู้วา่ จะใช้ปญั ญาทาอยา่ งไรในการหาคาตอบ นสิ ัยแหง่ การ
คดิ ทดี่ ีควรมี ดงั นี้

3.1 นิสยั การคิดท่ีดตี อ้ งกล้าเสย่ี งและผจญภยั (กล้าที่จะคดิ )
3.2 นสิ ัยการคดิ ที่ดตี ้องคดิ แปลก คดิ แยกแยะ ชี้ตัวปัญหา สารวจไตส่ วน
3.3 นสิ ัยการคิดท่ีดตี ้องสรา้ งคาอธิบายและสร้างความเขา้
3.4 นิสยั การคิดที่ดตี ้องสรา้ งแผนงานและมีกลยทุ ธ์
3.5 นิสยั การคดิ ท่ีดีตอ้ งเป็นการใช้ความระมดั ระวงั ทางสติปญั ญา ใช้สติปญั ญาอย่างรอบคอบ
เทีย่ งตรง แม่นยาและถูกต้อง
1.4 STEPs ในกระบวนการจัดการเรยี นรู้
STEPs 1 .ขั้นสงั เกต รวบรวมขอ้ มูล (Gathering) จากแบบสังเกตพฤติกรรมนักเรยี นขณะรว่ มกจิ กรรม
สามารถตั้งคาถาม ประเด็น เร่อื งสถานการณท์ ่ีจะศกึ ษา ตัง้ คาถามใหมอ่ ย่างมเี หตุผลและสรา้ งสรรค์เพ่ือการ
สารวจ และแสดงความคดิ เห็น ของตนเองและรบั ฟังความคดิ เห็นของผูอ้ ื่น
STEPs 2 ขนั้ คิดวเิ คราะหแ์ ละสรปุ ความรู้ (Processing) จากแบบสังเกตพฤติกรรมนักเรยี น สามารถ
แสวงหาความรู้ ขอ้ มูล และสารสนเทศจากแหลง่ เรยี นรูอ้ ย่างหลากหลาย เชน่ ห้องสมุด อนิ เทอร์เน็ตหรือจาก

7

การปฏิบตั ทิ ดลอง เลือกอปุ กรณ์ที่ถูกตอ้ งเหมาะสมในการสารวจตรวจสอบใหไ้ ด้ขอ้ มลู ทเ่ี ชือ่ ถอื ได้บันทกึ ขอ้ มูลใน
เชงิ ปริมาณและคุณภาพและตรวจสอบผลกบั สิ่งที่คาดการไว้ จากแหล่งเรียนรู้

STEPs 3 ข้ันปฏิบัติและสรุปความรหู้ ลังการปฏิบัติ ( Applying and Constructing the Knowledge)
จากแบบสังเกตพฤตกิ รรมนกั เรียน เปน็ ขนั้ ที่นกั เรยี นมีการบนั ทึกข้อมลู เชงิ ปริมาณ คุณภาพและตรวจสอบผลกบั
สง่ิ ท่คี าดการณไ์ ว้ นาเสนอผลและขอ้ สรปุ แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระ อธิบายและสรปุ ส่งิ ทไี่ ด้เรยี นรู้ บนั ทกึ
และอธบิ ายผลการสารวจตรวจสอบตามความเป็นจริงมกี ารอา้ งอิงข้อมลู ดว้ ยแบบตา่ งๆสรปุ ผลสรา้ งองค์ความรู้
ด้วยตนเองได้

STEPs 4 ข้นั ส่อื สารและนาเสนอ (Applying the Communication Skill) นกั เรียนสามารถนาเสนอ
ความรู้ด้วยการใชภ้ าษาทถี่ กู ตอ้ ง ชดั เจน จากแบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียน สงั เกต สารวจ และทดลองตาม
ข้ันตอนทก่ี าหนด ลงความคดิ เห็นและอภปิ รายสรปุ ผลการสงั เกตสารวจและทดลองอย่างมเี หตุผลบันทึกผลการ
สังเกต สารวจและทดลอง นาเสนอสอ่ื สารส่งิ ที่เรียนใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจได้ สามารถออกแบบและสรา้ งส่ิงประดษิ ฐ์อย่าง
งา่ ย

STEPs 5 ขั้นประเมินเพ่อื เพิ่มคุณค่าบรกิ ารสงั คมและจติ สาธารณะ (Self-Regulating) นกั เรียนนา
ความรไู้ ปใช้ประโยชนเ์ พอื่ ส่วนรวม เห็นประโยชน์ต่อส่วนรวม มจี ติ สาธารณะและบรกิ ารสงั คม ด้วยการทางาน
เปน็ กลุม่ รว่ มกนั สรา้ งผลงานทีไ่ ด้จากการแกป้ ญั หาอยา่ งสรา้ งสรรค์ จากแบบสงั เกตพฤตกิ รรมนกั เรยี น
สามารถสืบเสาะ ค้นหาเพื่ออธบิ ายเกีย่ วกบั การแยกสารผสม ตรวจสอบ ใช้เคร่ืองมือและวิธกี ารต่างๆ เพ่อื เพมิ่
ประสิทธิภาพของการสารวจตรวจสอบ อธบิ ายสง่ิ ทีค่ ้นพบขอ้ มลู หลักฐาน และองค์ความรู้วทิ ยาศาสตร์อยา่ งมี
เหตผุ ล นาเสนอส่งิ ที่เรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างชดั เจน เทย่ี งตรง มีเหตุผลกับเพือ่ นร่วมงานและตอบคา้ ถามได้
(นภาพร ภาเชอ้ื ,2557,หน้า 50 )

2. แนวคิดและทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความพึงพอใจ
2.1 ความหมายของความพึงพอใจ
กู๊ด (Good, น. 1973) กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง สภาพ คุณภาพ หรือระดับ ความพึงพอใจ ซ่ึง

เป็นผลมาจากความสนใจตอ่ สง่ิ ตา่ งๆ และทัศนคตทิ ่ีบุคคลนัน้ มตี อ่ สงิ่ นนั้
โวลแมน (Wolman, น. 1973) กล่าววา ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกที่ แสดง ถึงความสุขเมื่อ

ไดร้ ับผลสาเรจ็ ตามจุดม่งุ หมาย และความต้องการหรือแรงจงู ใจ
เคลริ ์ก (Quirk, น. 1987) ได้ใหค้ วามหมายความพึงพอใจ หมายถึง ความร้ทู ม่ี ี ความสขุ หรอื ความพอใจ

เมอ่ื ได้รบั ความสาเร็จ หรือได้รบั ส่ิงทีต่ นต้องการ
วิรุฬ พรรณเทวี (2542, น.111) ได้ให้ความหมายความพึงพอใจ หมายถึงความรู้สึก ภายในจิตใจของ

มนุษยท์ ี่ไม่เหมอื นกันขน้ึ อยู่กบั แต่ละบุคคลว่าจะคาดหวังกับสิง่ หนึ่งอยา่ งไร ถา้ คาดหวังหรือมีความตั้งใจมากและ
ได้รับการตอบสนองด้วยดีจะมคี วามพงึ พอใจมาก แตใ่ นทางตรงกนั ข้ามอาจผิดหวงั หรอื ไม่พงึ พอใจเปน็ อยา่ งย่ิง
เม่ือไมไ่ ด้รบั การตอบสนองตามท่ีคาดหวังไว้ ทั้งนีข้ ้ึนอยู่กบั สิ่งทต่ี นตั้งใจไว้ว่ามีมากหรือน้อย

อรรถพร คาคม (2546, น.29) ได้สรุปความพึงพอใจไวว้ ่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติหรือระดบั
ความพึงพอใจของบุคคลต่อกิจการรมต่างๆ ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพ ของกิจกรรมนั้นๆ โดยเกิดจาก
พื้นฐานของการรับรู้ค่านิยมและประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลจะได้รับ ระดับของความพึงพอใจจะเกิดข้ึนเม่ือ
กิจกรรมนัน้ ๆ สามารถตอบสนองความต้องการแกบ่ คุ คลนนั้ ได้

ปรียาพร วงศอ์ นตุ รโรจน์ (2544, น.27) ได้กลา่ วไว้วา่ ความพงึ พอใจในงานมผี ลตอ่ ความสาเร็จของงาน
และหน่วยงาน เป็นความรสู้ ึกโดยรวมของบคุ คลท่ีมตี อ่ งานในทางบวก เป็นความสขุ ท่ีเกดิ จากการปฏิบตั ิงาน และ
ไดร้ บั ผลตอบแทนทเ่ี ป็นความพึงพอใจ

8

กลา่ วโดยสรปุ ความพงึ พอใจ หมายถงึ ความรสู้ กึ ของบคุ คลท่ีมีต่อสิง่ ใดสง่ิ หน่ึง หากได้รับการตอบสนอง
หรือเกดิ ความรู้สึกสมหวงั ความพงึ พอใจนน้ั จะเพมิ่ ข้ึน

2.2 ทฤษฎคี วามพงึ พอใจ
เชลล่ี (Shelli, 1995, p. 9) ได้ศึกษาแนวคิด เกี่ยวกับความพึงพอใจ สรุปได้ว่าเป็นความรู้สึกสองแบบ
ของมนุษย์ คือ ความรู้สึกในทางบวกและความรู้สึกในทางลบ ความรู้สึกในทางบวกเป็นความรู้สึกที่เมื่อเกิดข้ึน
แล้วส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่มีความสุขและเป็นระบบย้อนกลับ ท่ีสามารถทาให้เกิดความสุขหรือความรู้สึก
ทางบวกเพิ่มข้นึ ไดอ้ ีก ดงั นัน้ จะเห็นไดว้ ่าความสขุ เป็นความรู้สกึ ทีส่ ลบั ซับซอ้ นและความสขุ นจี้ ะมผี ลตอ่ บุคคล
มากกว่าความรู้สึกในทางบวกอ่ืนๆ ซึ่งความรู้สึกทางลบ ความรู้สึกทางบวกและความสุขท้ังสามส่วนนี้มี
ความสัมพันธ์ความสัมพันธ์กนั อย่าง สลับซับซ้อนและระบบความสัมพันธ์ของความรู้สึกท้ังสามนี้เรียกว่า ระบบ
ความพึงพอใจ
มาสโลว์ (Maslow, 1970) ไดเ้ รียงลาดับสงิ่ จงู ใจหรือความตอ้ งการของมนุษยไ์ ว้ 5 ระดบั
โดยเรยี งลาดบั ขน้ั ของความต้องการไว้ตามความสาคัญ ดงั นี้
1. ความตอ้ งการพ้ืนฐานทางสรีระ
2. ความตอ้ งการความปลอดภยั รอดพ้นอนั ตรายและมั่นคง
3. ความต้องการความรัก ความเมตตา ความอบอุ่น การมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรมตา่ งๆ
4. ความตอ้ งการเกียรตยิ ศช่อื เสยี ง การยกย่อง และความเคารพตวั เอง
5. ความตอ้ งการความสาเร็จด้วยตนเอง
สรชยั พศิ าลบตุ ร (2551, น. 98-99) ได้กล่าวถึง การวดั ระดบั ความพึงพอใจของ ลกู ค้า หรอื ผใู้ ห้บริการ
วา่ สามารถทาได้ 2 วธิ ี คอื
1. วัดความพึงพอใจจากการสอบถามความคิดเห็นของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการเป็นการวัดระดับความพึง
พอใจของลูกค้าหรือผู้ใช้บรกิ าร จากการสอบถามความคิดเห็นของลูกคา้ หรอื ผู้ใช้บริการโดยตรงทาได้โดยกาหนด
มาตรวดั ระดับความพงึ พอใจท่ลี ูกค้าหรอื ผใู้ ชบ้ รกิ ารที่มีตอ่ คุณภาพของสนิ ค้าหรือบรกิ ารน้นั ๆและกาหนดเกณฑ์ชี้
วัดระดับความพึงพอใจจากผลการวดั ระดับความพึงพอใจเฉลี่ยท่ีลูกค้าหรือผู้ใช้บริการท่ีมีต่อคุณภาพของสินค้า
หรอื บริการน้นั ๆ
2. วัดจากตัวชี้วัดคุณภาพการให้บริการที่กาหนดข้ึนโดยการวัดระดับความพึงพอใจของลูกค้าหรือ
ผู้ใช้บริการจากเกณฑ์ช้ีวัดระดับคุณภาพสินค้าหรือบริการที่กาหนดข้ึนนี้อาจใช้เกณฑ์คุณภาพระดับต่างๆ ที่
กาหนดข้ึนโดยผู้ให้บริการผู้ประเมินผลการให้บริการและมาตรฐานกลางหรือมาตรฐานสากลของการให้บรกิ าร
น้นั
จากทก่ี ลา่ วมา สรุปได้วา่ ความพึงพอใจ คือ การทาให้ความรู้สกึ ของบุคคลทไี่ ดร้ บั บรกิ ารในสง่ิ ท่ีดเี ป็น ท่ี
พอใจ ประทับใจ ตามท่ีผู้รับบริการตั้งใจ ไว้หรือมากกวาท่ีคิดไว้ การจะทาให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจได้หน่วย
ใหบ้ รกิ ารตอ้ งวางระบบโครงสร้างท่ีดี สอดคลอ้ ง สมั พนั ธก์ ันทกุ ฝ่าย เชน่ ด้านเครือ่ งมือ เครอื่ งใช้ทีท่ ันสมัย ด้าน
บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้าใจในหมีหน้าที่ และต้องมีใจรักในการให้บริการ ด้านสถานท่ีสะอาดพ้ืนท่ี
เหมาะสมกบการให้บรกิ าร มีความเชอ่ื มั่นและมั่นใจเมื่อมารับบริการ ซ่ึงสงิ่ เหล่าน้ีเป็นองคป์ ระกอบส่วนหนึ่งจาก
องคป์ ระกอบอกี หลายๆ ดา้ นท่ีจะนาไปสู่จดุ สูงสุดในเรื่องความพึงพอใจ

2.3 องค์ประกอบของความพงึ พอใจ
นกั วชิ าการไดอ้ ธิบายถงึ องค์ของความพึงพอใจ พอสรุปได้ ดงั น้ี
Gilmer (1967, น.50) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบทเี่ ออื้ ตอ่ ความพงึ พอใจในการทางานไว้ 10 ประการ ดงั นี้
1. ความมันคงปลอดภยั ( Security) ไดแ้ ก่ ความมนั่ คงของงานและองคก์ าร

9

2. โอกาสกาวหน้าในการทางาน ( Opportunity for advancement) ได้แก่ การมี โอกาส ได้เลื่อน
ตาแหน่งที่สูงขนึ้

3. บริษัทและการจัดการ (Company and management) ได้แก่ ความพึงพอใจที่มีต่อสถานท่ีทางาน
ช่อื เสียงของสถาบนั และการดาเนินงานของสถาบัน

4. ค่าจ้าง (Wages) ได้แก่ จานวนรายได้ประจาและรายได้ท่ีจ่ายตอบแทนพิเศษท่ีหน่วยงานให้แก่
ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน

5. ลักษณะภายในของงาน (Intrinseg aspect of the job) ไดแ้ ก่ การไดท้ างานทต่ี รงกบั ความตอ้ งการ
ความรู้ ความสามารถ

6. การนิเทศงาน (Supervision) การนิเทศมคี วามสาคญั ที่จะทาให้ผู้ปฏิบตั งิ านมีความรู้สึกพอใจหรือไม่
พอใจต่องานได้ การนิเทศงานท่ีไม่ดีอาจเป็นสาเหตุที่ทาใหเ้ กิดการย้ายงาน

7. ลักษณะทางสังคมของงาน (Social aspects of the job) ถ้าปฏิบัติงานร่วมกบผู้อ่ืนได้อย่างมี
ความสขุ กจ็ ะเกิดความพงึ พอใจในงานน้ัน

8. การติดตอ่ สื่อสาร (Communication) ทั้งภายใน และภายนอกหนว่ ยงาน
9. สภาพการทางาน (Working condition) ได้แก่ แสง อากาศ เสียง ชว่ั โมงการทางาน
10. ผลประโยชนเ์ กอ้ื กลู ตา่ งๆ (Benefits) ไดแ้ ก่ บาเหนจ็ ตอบแทนเมอ่ื ออกจากงาน การบริการด้านการ
รกั ษาพยาบาล สวัสดิการ ทีอ่ ยู่อาศัย วนั หยดุ
สามารถ บุญโยประการ (2550, น.38) ได้กล่าวถึงความพึงพอใจท่ีจะทางานวา่ การสร้างอารมณ์ หรือ
ความต้องการในการทางานให้เกิดข้ึนน้ัน ต้องอาศัยปัจจัยหลายประการ จึงจะทาให้เกิดความรู้สึกพอใจท่ีจะ
ทางานปัจจัยเหล่าน้ัน ได้แก่ สภาพงาน ( Work)การจ่ายผลตอบแทน (Pay) การสนับสนุนส่งเสริม
(Promotion)การควบคุมดแู ล หรือการจัดการ (Supervision) ผรู้ ว่ มงาน (Co-workers) และสภาวการณป์ ัจจุบัน
(Current personal situation)
จากที่กลา่ วมาข้างต้น จะเหน็ วา่ องค์ประกอบที่ทาใหเ้ กิดความพงึ พอใจในการทางาน ไดแ้ ก่ ความสาเร็จ
ในงาน การได้รับการยอมรับนบั ถือ ลกั ษณะของงานที่ปฏบิ ัติ ความกาวหนา้ ในงาน คา่ ตอบแทนและผลประโยชน์
เก้ือกูล การท่ีบุคคลได้รับความมั่นคง ปลอดภัย ปัจจัยเก่ียวกับส่ิงแวดล้อมของงาน ได้แก่ นโยบายและการ
บรหิ าร สภาพการทางาน และ ความสัมพนั ธก์ บั เพ่ือนร่วมงาน
2.4 การประเมินความพึงพอใจ
ความพงึ พอใจเก่ยี วข้องกับความรู้สกึ ของผู้มารับบรกิ ารในมิติต่างๆ ของแตล่ ะบคุ คล ดงั นน้ั การวดั ระดับ
ความพงึ พอใจ สามารถกระทาได้หลายวธิ ีดงั นี้
โยธิน แสวงดี (2551, น.9) กลา่ ววา มาตรวดั ความพงึ พอใจสามารถกระทาไดห้ ลาย วิธี ไดแ้ ก่
1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถามจะออกแบบสอบถามเพื่อต้องการ ทราบความคิดเห็น
ซึ่งสามารถทาได้ในลักษณะท่ีกาหนดคาตอบให้เลือกหรือตอบคาถามอิสระ คาถามดังกล่าวอาจถามความพึง
พอใจในดา้ นต่างๆ เชน่ การบริหารและการควบคุมงาน และ เงื่อนไขต่างๆ เป็นต้น
2. การสัมภาษณ์ ต้องอาศัยเทคนิคและความชานาญพิเศษของผู้สัมภาษณ์ท่ีจะจูงใจ ให้ผู้ตอบคาถาม
ตอบตามขอ้ เทจ็ จริง
3. การสังเกต เป็นการสังเกตพฤติกรรมท้ังก่อนการรับบริการ ขณะรับบริการและ หลังการรับบริการ
การวดั โดยวิธนี ้ีจะตอ้ งกระทาอย่างจรงิ จงั และมีแบบแผนท่ีแนน่ อนจะเหน็ ไดว้ ่า การวดั ความพงึ พอใจน้นั สามารถ
กระทาได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กบความสะดวก เหมาะสม ตลอดจนจุดมุ่งหมายของการวัดด้วย จึงจะส่งผลให้การวดั
น้ันมปี ระสทิ ธภิ าพและน่าเชอื่ ถือได้
ภณิดา ชัยปัญญา ( 2541, น.11) ได้กล่าวไว้ว่า การวัดความพึงพอใจน้ัน สามารถทาได้หลายวิธี
ดงั ต่อไปนี้

10

1. การใช้แบบสอบถาม โดยผู้ออกแบบสอบถาม ต้องการทราบความคิดเห็นซึ่ง สามารถกระทาได้ใน
ลกั ษณะกาหนดคาตอบให้เลือก หรือตอบคาถามอิสระ คาถามดงั กล่าว อาจถามความพอใจในด้านต่างๆ เพ่อื ให้
ผู้ตอบทุกคนมาเป็นแบบแผนเดียวกัน มักใช้ในกรณีที่ต้องการ ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมากๆ วิธีนี้นับเป็นวิธีท่ีนิยมใช้
กันมากทีส่ ดุ ในการวัดทศั นคติ รปู แบบของ แบบสอบถามจะใช้มาตรวดั ทัศนคติ ซง่ึ ทนี่ ยิ มใช้ในปจั จบุ นั วิธหี นึ่ง คือ
มาตราส่วนแบบลิเคิร์ท ประกอบด้วยข้อความท่ีแสดงถึงทัศนคติของบุคคลที่มีต่อส่ิงเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งท่ีมี
คาตอบท่แี สดงถงึ ระดับความรูส้ ึก 5 คาตอบ เชน่ มากท่สี ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยท่สี ดุ

2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการท่ีผู้วิจัยจะต้องออกไปสอบถามโดยการพูดคุย โดยมี การเตรียมแผนงาน
ล่วงหน้า เพอ่ื ให้ไดข้ อ้ มูลทีเ่ ป็นจริงมากทีส่ ดุ

3. การสังเกต เป็นวธิ ีวดั ความพงึ พอใจ โดยการสังเกตพฤตกิ รรมของบุคคล เปา้ หมายไม่ว่าจะแสงดออก
จากการพูดจา กรยิ าท่าทาง วธิ ีนี้ตอ้ งอาศัยการกระทาอย่างจรงิ จัง และสงั เกตอย่างมีระเบียบแบบแผน วธิ นี ้ีเป็น
วธิ ีการศกึ ษาที่เก่าแก่ และยงั เป็นทนี่ ยิ มใช้อยา่ งแพร่หลาย จนถงึ ปจั จุบัน

จากการศึกษาการวัดความพึงพอใจ สรุปได้ว่าการวดั ความพงึ พอใจเป็นการบอก ถึงความชอบของบุคคล
ทม่ี ีต่อสิ่งหนง่ึ สิง่ ใด ซึ่งสามารถวดั ได้หลายวิธี การสัมภาษณ์ การใช้ แบบสอบถามความคิดเหน็ การใช้แบบสารวจ
ความรสู้ ึก

3. งานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง
รจนา ป้อมแดง ( 2557 : บทคัดยอ่ ) ไดศ้ กึ ษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนรายวิชาสังคมศกึ ษา ศาสนา

และวัฒนธรรม เร่อื ง ภมู ลิ ักษณข์ องภมู ภิ าคตา่ งๆ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้
5 STEPs ผลการวจิ ัยพบวา่ 1.) แผนการจัดการเรยี นรู้วชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนา และ วฒั นธรรม เรือ่ งภมู ิลกั ษณ์
ของภมู ภิ าคตา่ งๆ ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 มีคุณภาพอยใู่ นระดับดีมาก โดยมคี า่ เฉลีย่ เท่ากับ 4.56 2.) ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนท่ีได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 STEPs วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม เรื่องภูมิลักษณ์ของภูมิภาคต่างๆ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 มีคะแนนเฉล่ีย ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
หลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรยี น แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ .01 3.) ความพงึ พอใจของนกั เรียนที่เรยี นโดย
ใชก้ ระบวนการเรียนรู้ 5 STEPs มีค่าความพงึ พอใจ เท่ากบั 4.45 อยู่ในระดับมาก

เกษร์อุบล ปักสมัย ( 2560 : บทคัดย่อ ) ได้ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษา (คริสตศา
สตร์) เรื่อง พระศาสนจักรสหพันธ์นักบุญและชีวิตนริ ันดรของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 (ภาคภาอังกฤษ)
โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 STEPs ผลการวิจัยพบว่า จากที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 (ภาคภาอังกฤษ)
เรียนวิชาสังคมศึกษา (คริสตศาสตร์) เรื่องพระศาสนจักร สหพันธ์นักบุญ และชีวิตนิรันดร โดยใช้กระบวนการ
เรียนรู้ 5 STEPs นักเรียนมีการพัฒนาโยมีค่าเฉลี่ยก่อนเรียน 6.77 ค่าเฉล่ียหลังเรียน 12.04 ค่าเฉล่ียของการ
พฒั นา 5.27 คา่ เฉลีย่ ร้อยละ 77.84 ของคะแนนก่อนเรยี น เม่ือพจิ ารณาเป็นรายบุคคลพบวา่ นกั เรยี นจานวน 18
คน มีคะแนนเกนิ ร้อยละ 50 และนกั เรยี นจานวน 8 คน ที่มีคะแนนต่ากวา่ ร้อยละ 50

ณัฐศิษฏ์ ศรีสมบูรณ์. ( 2560 : บทคัดย่อ ) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ข้ัน (5 STEPs)
ร่วมกับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เร่ือง กระทงสายไหลประทีป 1000 ดวง จังหวัดตาก ผลการวิจัยพบว่า
การจัดการเรียนรู้แบบบันได 5 ขั้น เรื่อง กระทงสายไหลประทีบ 1000 ดวง จังหวัดตาก ประกอบด้วยแผนการ
จดั การเรยี นรู้ 4 หนว่ ย รว่ มกบั บทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน สาหรับนักเรียน ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรียน
น้าดิบพิทยา ตาบลวังประจบ อาเภอเมือง จังหวัดตาก ซึ่งผลกานาไปใช้ มีประสิทธิภาพ 80.43/87.08 สูงกว่า
เกณฑท์ ่ีกาหนดไว้ 80/80 ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของนกั เรยี น หลังเรียนสงู กว่ากอ่ นเรียน อย่างมนี ยั สาคญั ทาง
สถติ ิทรี่ ะดับ 0.01 และนกั เรยี นมคี วามพงึ พอใจอยใู่ นระดับมาก

11

คนงึ นติ ย์ ดีพนั ธ์. (2561 : บทคัดย่อ). ผลการใช้วิธีการจัดการเรียนรแู้ บบ GPAS ท่ีมตี ่อความสามารถใน
การอ่านอย่างมีวิจารณญาณและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5โรงเรียน
เบญจมเทพอุทิศจังหวัดเพชรบุรี ผลการวิจัย พบว่า (1) ความสามารถด้านการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของ
นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ท่ีได้รับจัดการเรยี นรแู้ บบ GPAS หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทาง
สถิติท่ีระดับ .01 ดัชนีความสอดคล้องของข้อสอบมีค่าระหว่าง .67-1.00 ค่าความยากง่าย(p) ระหว่าง 0.43-
0.70 และมีค่าอานาจจาแนก (r) ตั้งแต่0.20 ขึ้นไป และ(2) นักเรียนมีความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้แบบ
GPAS อยู่ในระดบั มาก ไดค้ ่าความเชือ่ มัน่ เท่ากับ 0.82

เกศแก้ว เพ็งวงษ์. (2561 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนของผู้เรียนวิชาการ
ออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ของ นักศึกษา ปวส. 2/1 โดยใช้ หลักการจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Step
ผลการวิจัยพบว่า วิธีสอนแบบหลักการจัดการเรยี นรู้GPAS 5 Step ท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการ
เรียนรู้ทุกขั้นตอนให้ผู้เรียนเกิดทักษะทางกระบวนการปฏิบัติการทางานร่วมกันเป็นกลุ่มตามขั้นตอนได้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ อกี ท้ังนักศกึ ษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชพี ชน้ั สงู (ปวส.) ช้นั ปีที่2 กลุ่มตัวอยา่ งจานวน 37คน มี

ความพงึ พอใจในการใชห้ ลกั การจดั การเรยี นรแู้ บบ GPAS 5 Step มีค่าเฉล่ยี (x̅)= 4.87 คดิ เปน็ รอ้ ย
ละ 97.4แสดงวา่ นกั ศึกษาเกดิ ทักษะทางกระบวนการเรยี นรูแ้ ละการนาเสนออย่างมีข้นั ตอนตามลาดบั ข้ันแบบ
GPAS 5 Step และสอดคล้องกบจุดประสงค์ท่ีกาหนด ซึ่งนักศึกษาสามารถแกไขปัญหาเฉพาะหน้า ให้ความ
สนใจเกิดการเรียนรู้ และการกล้าแสดงออก มีความกระตือรือร้นและติดตามเน้ือหาอยู่เสมอ ทาให้นักศึกษามี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีข้ึนนักศึกษายังสามารถแกไขปัญหาเฉพาะหน้า และให้ความสนใจจนเกิดการเรียนรู้
และการกลา้ แสดงออก มคี วามกระตือรอื ร้นและติดตามเนอื้ หาอยู่เสมอ ทาให้นักศกึ ษามผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ดีข้ึน

ชนิกานต์ ศรีทองสุข ( 2562 : บทคัดย่อ ) ได้ศึกษาการพัฒนาความสมารถในการคิด วิเคราะห์และ
มโนทัศน์ทางภูมิศาสตร์ทวีปยุโรป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ัน ร่วมกับ
อินโฟกราฟิก ผลการวิจัยพบว่า 1.) พัฒนาการความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ทวีปยุโรป ของนักเรยี น
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 มีพฒั นาการสงู ข้นึ ตามลาดับ คือ ปรบั ปรุง พอใช้ และดี 2.) มโนทัศน์ ทางภมู ิศาสตร์ทวีป
ยุโรป ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ัน ร่วมกับอินโฟ
กราฟิกอยู่ในระดับดี 3.) ความคิดเห็นของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2 ที่มีต่อการจัดการ เรียนรู้ด้วย
กระบวนการเรียนรู้ 5 ข้ัน ร่วมกับอินโฟกราฟิก อยู่ในระดับเห็นด้วยมากท้ัง 3 ด้าน คือ 1.) ด้านกิจกรรม 2.)
ดา้ นบรรยากาศ และ 3.) ดา้ นประโยชน์

ธัญญารัตน์ สขุ เกษม ( 2562 : บทคดั ย่อ ) ได้ศึกษาผลการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการ เรียนรู้ 5 ขนั้
(5 STEPs) ร่วมกับการใช้คาถามเชิงวิเคราะห์ เรื่อง วิวัฒนาการที่มตี ่อการคิดวิเคราะห์ ทางวิทยาศาสตร์ และ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4 ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ย การคิดวิเคราะห์ทาง

วทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรียนหลงั เรียน ( (̅ x̅7.48, S.D. 2.53) สูงกวา่ ก่อนเรียน ((x̅3.70, S.D. 2.13) อย่างมีนัยสาคัญ
ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 และคะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรยี น หลงั เรียน (x̅ 22.18, S.D. 1.67) สูง

กว่ากอ่ นเรียน (x̅ 9.25, S.D. 3.43) และหลังเรยี นสงู กว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05

12

บทท่ี 3
วิธีดาเนนิ การวจิ ยั

การวิจยั เรอื่ ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้วธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps เร่ืองงานธรุ กิจ
ของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5 ผู้วจิ ยั ได้มีวิธีการดาเนินการวจิ ัย ดงั นี้

1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
2. เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู
3. ขน้ั ตอนการสรา้ งและพฒั นาเครอ่ื งมือ
4. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
5. การวเิ คราะหข์ ้อมูล

1. ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร
ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ได้แก่ นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 5/6 โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู

จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564 จานวน 43 คน
กล่มุ ตัวอย่าง
กลุ่มตวั อยา่ งทใี่ ช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 5/6 โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู

จงั หวัดสตูล ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564 จานวน 43 คน

2. เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู
2.1 แผนการจัดการเรยี นรู้
2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอ่ื งงานธุรกจิ
2.3 แบบสอบถามความพงึ พอใจที่มตี อ่ การจดั การเรียนรู้ โดยวธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps

3. ข้ันตอนการสร้างเครือ่ งมือ
3.1 แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่ือง งานธรุ กจิ
1) ขนั้ สรา้ ง
1. ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศักราช

2551 ของกลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพ
2. วิเคราะห์คาอธิบายรายวิชาเพอ่ื ประโยชน์ในการกาหนดหนว่ ยการเรยี นรู้และรายละเอียดของแตล่ ะ

หัวข้อของแผนการจัดเรยี นรู้
3. วเิ คราะห์จุดประสงคร์ ายวชิ าและมาตรฐานรายวิชา ผลการเรียนรู้ เพื่อนามาเขียนเป็นจดุ ประสงคก์ าร

เรียนรู้ โดยใหค้ รอบคลมุ พฤตกิ รรมท้ังด้านความรู้ ทักษะ / กระบวนการ เจตคติและค่านิยม
4. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนรู้ให้สอดคล้องกับผู้เรียน ชุมชน และท้อง

ทอ้ งถน่ิ รวมทั้งวทิ ยาการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทีจ่ ะเปน็ ประโยชนต์ อ่ ผู้เรียน
5. เขียนแผนการจัดการเรยี นการเรยี นร้โู ดยใชก้ ระบวนการจัดการเรียนรูแ้ บบ GPAS 5 Steps

จานวน 1 แผน รวม 8 ชว่ั โมง โดยใหส้ อดคลอ้ ง กบั จดุ ประสงค์การเรยี นรแู้ ละสาระการเรยี นรู้ เรอื่ ง งานธรุ กิจ
6. นาแผนการจดั การเรียนรู้ท่ีสรา้ งขัน้ เสนอตอ่ ผูเ้ ชย่ี วชาญจานวน 3 ท่าน เป็นผเู้ ช่ยี วชาญ ด้านการสอน

วิชาการงานอาชีพ ดา้ นหลกั สตู รและการสอน การวจิ ัย และการวดั ผลการประเมนิ ผล ตรวจสอบ

13

ความถกู ตอ้ งเหมาะสม ความสอดคลอ้ ง และความเป็นไปไดร้ ะหวา่ งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เน้อื หาสาระ กจิ กรรม
การเรียนรู้และการวดั ผลประเมินผล โดยใหผ้ ู้เชย่ี วชาญพิจารณา ตรวจสอบ ใหค้ ะแนน ดงั น้ี

ใหค้ ะแนนเปน็ +1 เมอ่ื แนใ่ จวา่ องคป์ ระกอบนัน้ เหมาะสมและสอดคล้อง
ใหค้ ะแนนเป็น 0 เมือ่ ไม่แน่ใจวา่ องค์ประกอบนนั้ เหมาะสมและสอดคล้อง
ให้คะแนนเปน็ -1 เม่ือแนใ่ จว่าองคป์ ระกอบนั้นไมเ่ หมาะสมและสอดคลอ้ ง
แลว้ นาคะแนนทไี่ ดม้ าหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง (Index of Item – Objective Congruence : IOC) ระหว่าง
องค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ จะตอ้ งไดค้ า่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของทกุ องคป์ ระกอบตง้ั แต่ 0.5 ขนึ้ ไป
7. นาแผนการจดั การเรยี นรู้ทป่ี รับปรุงแก้ไขแลว้ ไปทดลองใช้กับนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
กาแพงวทิ ยา ทีไ่ มใ่ ช่กลุม่ ตัวอยา่ ง
9. นาแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการทดลองไปปรับปรุงแก้ไขแล้วเสนอต่อผู้เช่ียวชาญเพ่ือตรวจสอบ
ความสมบรู ณ์ แล้วนามาปรบั ปรุงแก้ไขให้เหมาะสมอกี คร้ัง
10. นาแผนการจดั การเรยี นรู้ที่แกไ้ ขปรับปรงุ แลว้ ไปใช้กับนกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5

2) ขน้ั นาไปใช้
1. นาแผนการจดั การเรยี นรทู้ ีแ่ กไ้ ขปรับปรงุ แลว้ ไปใชก้ ับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6

3.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเรอื่ งงานธุรกิจ มีขัน้ ตอนการสร้างดังนี้
1) ข้นั สรา้ ง
1. ศกึ ษาหลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรยี นรู้การงงานอาชพี หรอื หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ัน
พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพ
2. วิเคราะห์ความสัมพนั ธ์ระหว่างสาระการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด กับจดุ ประสงคก์ าร
เรียนรใู้ นเรอ่ื งทีต่ อ้ งการสร้างแบบทดสอบ ดูจากแผนการจดั การเรียนรู้
3. สรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์แิ บบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 15 ข้อ ตอ้ งการจริง
จานวน 10 ข้อ โดยใหค้ รอบคลมุ เนือ้ หาและจดุ ประสงค์
4. นาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพ่ือตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะ
5. ผูเ้ ชี่ยวชาญประเมนิ ความสอดคลอ้ งระหว่างแบบทดสอบกบั จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม โดยวิธขี อง
โรวเิ นลล่ี (Rovinelli) และ แฮมเบลตนั (R.K. Hambletan) ซงึ่ มีเกณฑก์ ารให้คะแนน ดังนี้

ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจวา่ ข้อสอบน้ันวดั ตรงตามจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
ให้คะแนน 0 เมอื่ ไมแ่ น่ใจว่าข้อสอบนน้ั วัดตามจุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
ให้คะแนน -1 เมอ่ื แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบนน้ั วดั ไม่ตรงตามจดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
6. นาคะแนนทผี่ เู้ ชี่ยวชาญลงความเห็นมาหาค่า IOC ของข้อสอบรายข้อ โดยคัดเลอื กข้อสอบทมี่ ีค่าดัชนี
ความสอดคลอ้ ง (IOC) ตั้งแต่ 0.50 ข้ึนไป ทาการทดสอบหาความเชอ่ื ม่ัน
7. จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพเป็นฉบับสมบูรณ์เพื่อใช้
จริง

14

3.3 แบบสอบถามความพงึ พอใจที่มีต่อวิธกี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps
สาหรับแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นทมี่ ีต่อวธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps รายวชิ าการงานอาชพี
ระดบั ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5/6 มลี กั ษณะเป็นแบบชนดิ มาตรประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ มขี ้ันตอนการ
สรา้ ง ดงั นี้

1) ข้ันสร้าง
1. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วข้องกับการจัดการเรยี นรู้ โดยวิธกี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps
2. สรา้ งแบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรียนทม่ี ตี อ่ การจัดการเรยี นรู้ โดยวิธีการสอนแบบ GPAS 5
Steps เป็นแบบชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดบั ของลิเคิร์ท โดยกาหนดคะแนน 1 คะแนน ดังนี้

1 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดับนอ้ ยทีส่ ุด
2 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั น้อย
3 หมายถึง มีความพงึ พอใจอย่ใู นระดับปานกลาง
4 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยใู่ นระดับมาก
5 หมายถึง มีความพงึ พอใจอยู่ในระดบั มากทสี่ ุด
3. นาแบบสอบถามความพงึ พอใจทสี่ รา้ งขึน้ ให้ผู้เช่ียวชาญจานวน 3 คน ประกอบด้วยผเู้ ชีย่ วชาญด้าน
เทคนคิ การสอน ดา้ นภาษา และดา้ นวดั ผลและประเมินผล เพ่ือ ตรวจสอบความตรงเชงิ เนื้อหา ภาษาทใี่ ช้และ
การประเมนิ ทถ่ี ูกต้อง และนามาหาคา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งของเคร่อื งมือ (IOC) โดยกาหนดเกณฑก์ ารพจิ ารณา
ดงั นี้
1 หมายถงึ แบบสอบถามมีความสอดคลอ้ ง
0 หมายถึง ไมส่ ามารถสรุปไดว้ ่าแบบถามสอดคล้องหรอื ไม่
-1 หมายถึง ถ้าพจิ ารณาเหน็ ว่าแบบสอบถามไม่สอดคล้อง
4. คานวณหาความตรงเชิงเน้ือหา โดยการหา IOC ซึง่ จะตอ้ งได้คา่ ความตรงเชงิ เนอื้ หาไมน่ ้อยกวา่ .50
(พวงรัตน์ ทวีรตั น.์ 2543:117) จงึ จะถอื ว่าแบบสอบถามผ่านการ เห็นชอบจากผเู้ ชยี่ วชาญ มีความตรงเชงิ เนือ้ หา
เหมาะสมสามารถนาไปใช้จริง โดยใช้ดัชนีความ สอดคล้องของแบบสอบถามอยู่ระหว่าง 0.80 ถึง1.00 โดย
ผูเ้ ชีย่ วชาญให้ข้อเสนอแนะแกไ้ ขเน้อื หา บางตอน การใช้ภาษา และขนาดของตวั หนงั สือที่เหมาะสมกบั วยั ของ
นกั เรียน
5. นาแบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรยี นทปี่ รบั ปรุงแลว้ ไปสอบถาม นักเรียน ระดบั ชน้ั มัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 5/1 รายวิชาการงานอาชีพ จานวน 42 คน แลว้ นามาคานวณหาค่าความเทยี่ งของแบบสอบถาม โดยหาค่า
สัมประสิทธิ์แอลฟ่า (α . Coefficient) ของ Cronbach (1970) เกณฑ์การหาค่าความเท่ียงท่ีกาหนดไว้สูงกว่า
.50 (Nunlly. 1978)
6. ไดแ้ บบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นทีม่ ตี อ่ การจัดการเรียนรู้ โดยวิธกี ารสอนแบบ GPAS 5
Steps รายวชิ าการงานอาชพี ท่ีสมบูรณ์จานวน 1 ฉบบั สาหรบั การเกบ็ ข้อมูลภาคสนาม

4. การเก็บรวบรวมข้อมลู
1. ผู้วิจัยอธิบายวัตถุประสงค์ ความสาคัญและขั้นตอนของการสอนซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของการวิจัย และ

แนะนาวธิ กี ารศึกษาพร้อมทงั้ แจ้งเงื่อนไขในการศึกษาให้กล่มุ ตวั อย่างทราบ
2. ทดสอบก่อนเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น รายวิชาการงานอาชีพ ง32101 ท่ี

ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างช้ัน

มธั ยมศึกษาปที ี่ 5/6 แลว้ เก็บรวบรวมข้อมูลไว้

15

3. ดาเนนิ การทดลอง ผวู้ จิ ยั เปน็ ผู้ดาเนนิ การสอนนกั เรยี นดว้ ยตนเองใช้วิธีการสอนแบบ GPAS 5 Steps
เรอ่ื ง งานธรุ กจิ โดยแบ่งแผนการจัดการเรยี นรู้ทัง้ หมดเป็น 1 แผน รวมเวลา 8 ช่วั โมง

4. หลงั จากดาเนินการทดลองสอนเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ ใหน้ ักเรยี นทาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการ
เรียน ฉบับเดียวกบั กอ่ นเรียน เพ่ือนาคะแนนที่ได้ไปวเิ คราะห์ผล แลว้ เก็บรวบรวมขอ้ มลู วเิ คราะหผ์ ล สรุปผลและ
แปรผลต่อไป

5. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการสอนแบบ GPAS 5 Step
เรื่องการถนอมอาหาร เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (rating scale) เป็น 5 ระดับ จานวน 20 ข้อ เพ่ือนา
คะแนนท่ีไดไ้ ปวเิ คราะหผ์ ล แลว้ เก็บรวบรวมข้อมลู วิเคราะห์ผล สรุปผลและแปรผลต่อไป

5. การวิเคราะหข์ ้อมลู
การวเิ คราะหข์ ้อมูลผ้วู ิจัยดาเนินการดงั น้ี

1. วิเคราะหผ์ ลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน รายวชิ าการงานอาชีพ เรื่องการถนอมอาหาร
โดยเปรยี บเทยี บค่าเฉลี่ย ( X ) ของคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรียน คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี นโดยเปรียบเทยี บคา่ ที (t – test)

สถติ ิทใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู
1. สถิติพื้นฐานดังนี้
1.1 คานวณหาค่าเฉลีย่ (Arithmetic mean) ใชส้ ูตร
X = x

N

เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ย
 x แทน ผลรวมของคะแนนดบิ
N แทน จานวนข้อมลู

1.2 คานวณหาค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตร

S.D = N  x2  ( x)2
N (N  1)

เม่อื S.D แทน สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน
 x2 แทน ผลรวมท้งั หมดของคะแนนแตล่ ะตัวยกกาลังสอง

(  x ) 2 แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมดยกกาลงั สอง
N แทน จานวนขอ้ มูล

16

1.3 เปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการคิดวิเคราะหร์ ะหว่างก่อนเรียนและหลงั เรยี น โดย
การทดสอบทแี บบไม่อิสระ (t-test for Dependent Sample) (ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538: 87)

สูตร t-test Dependent

df = n − 1
เม่ือ t แทน การแจกแจงแบบที

D แทน ความแตกต่างของคะแนนหลังเรยี น
n แทน จานวนนกั เรียน

2. สถิติท่ีใช้ในการวเิ คราะห์หาคุณภาพเครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู
2.1 การหาความเทย่ี วตรง (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เพ่อื ประเมนิ

ความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ สอบกับจดุ ประสงคท์ ่ีกาหนดโดยใช้สูตรดัชนีคา่ ความสอดคลอ้ ง IOC โดยใช้สูตร ดงั นี้

IOC = R

N

เม่อื IOC แทน ดชั นคี วามสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อสอบกบั จุดประสงค์
R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผเู้ ช่ยี วชาญ
N แทน จานวนผู้เชยี่ วชาญ

17

บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

การวิจัยครั้งน้ีมวี ัตถุประสงคเ์ พือ่ เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง งานธรุ กจิ นักเรยี นชั้น
มัธยมศกึ ษาปีที่ 5/6 กอ่ นและหลงั การใชว้ ธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps ซึ่งผู้วจิ ัยนาเสนอผลการวเิ คราะห์
ข้อมูล ดงั ตอ่ ไปนี้

ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอื่ ง การถนอมอาหาร โดยใช้วธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps

ของนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5/6 ก่อนและหลังการจัดการเรยี นรู้ มรี ายละเอียด

ตารางที่ 1 ผลเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนกอ่ นและหลังการใชว้ ธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps
เรอ่ื ง การถนอมอาหาร

การทดสอบ n X S.D. t df Sig

ก่อนเรยี น (Pre-test) 43 5.12 0.96
หลงั เรยี น (Post-test) 43 8.05 1.23 18.49 41 0.000

ผลการวิจัย
จากตารางท่ี 1 แสดงวา่ การทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียนของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 5/6

คะแนนเฉลี่ยเทา่ กบั 5.12 คะแนน และ 8.05 คะแนน ตามลาดับ และเม่อื เปรยี บเทียบระหว่างคะแนนกอ่ นและ

หลงั เรยี นพบวา่ คะแนนหลงั เรียนของนกั เรียน สูงกวา่ กอ่ นเรียนอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .05

18

ตารางท่ี 2 ผลประเมินความพงึ พอใจต่อการจัดการเรยี นรู้ โดยใช้วธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps
เรื่อง งานธรุ กิจ สาหรับนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5/6

แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนทมี่ ีตอ่ การจดั การเรียนรู้ของครูผสู้ อน

โดยใช้วิธกี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps เร่ือง งานธรุ กจิ

ชื่อครูผสู้ อน นางสาวสภุ าพร วะจดิ ี กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ

รายวิชา การงานอาชีพ รหัสวิชา ง32101 ชั้น ม.5/6 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564

ตาราง คา่ เฉลยี่ และระดบั คณุ ภาพความพงึ พอใจของนักเรียน

ระดบั การประเมิน
ข้อ กจิ กรรม มากท่ีสดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยท่ีสดุ N คา่ เฉล่ยี SD ระดบั

54321

1 ครูแจ้งผลการเรียนรู้ใหน้ ักเรยี นทราบอย่างชดั เจน 0 43 0 43 4.00 0.00 มาก

2 ครจู ัดกจิ กรรมการเรียนรู้สนุกและนา่ สนใจ 24 8 11 43 4.30 0.85 มากทส่ี ดุ

3 เนื้อหาสาระท่สี อนทนั สมัยเสมอ 26 13 4 43 4.51 0.66 มากทส่ี ดุ

4 ครใู ชส้ อ่ื ประกอบการเรยี นการสอนทเ่ี หมาะสมและหลากหลาย 24 13 6 43 4.42 0.72 มากท่สี ดุ

5 ครูใชค้ าถามกระตนุ้ ความคดิ ซกั ถามนกั เรียนบอ่ ย ๆ 22 14 7 43 4.35 0.74 มากท่ีสดุ

6 ครูประยุกตส์ าระทส่ี อนเข้ากบั เหตกุ ารณป์ จั จุบัน/สภาพแวดลอ้ ม 18 15 10 43 4.19 0.79 มาก

7 ครสู ง่ เสรมิ นกั เรยี นไดฝ้ กึ ปฏิบัตจิ รงิ มีการจัดการและการแกป้ ญั หา 27 12 4 43 4.53 0.66 มากทีส่ ดุ

8 ครูใหน้ ักเรยี นฝกึ กระบวนการคดิ คดิ วเิ คราะห์ คดิ สร้างสรรค์ 16 22 5 43 4.26 0.65 มากที่สดุ

9 ครูสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนทางานรว่ มกนั ทั้งเปน็ กลุ่มและรายบุคคล 16 21 6 43 4.23 0.68 มากที่สดุ

10 ครูให้นกั เรียนแสวงหาความรู้จากแหลง่ เรยี นรู้ตา่ ง ๆ 17 21 5 43 4.28 0.66 มากที่สดุ

11 ครูมีการเสริมแรงใหน้ ักเรียนทรี่ ่วมกจิ กรรมการเรยี นการสอน 12 26 5 43 4.16 0.61 มาก

12 ครเู ปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนซกั ถามปัญหา 19 19 5 43 4.33 0.67 มากทสี่ ดุ

13 ครคู อยกระตนุ้ ให้นกั เรียนตน่ื ตวั ในการเรยี นเสมอ 21 16 6 43 4.35 0.71 มากท่สี ดุ

14 ครสู อดแทรกคณุ ธรรมและคา่ นิยมท่ดี งี ามในวชิ าท่ีสอน 14 24 5 43 4.21 0.63 มาก

15 ครยู อมรบั ความคดิ เห็นของนักเรยี นที่ตา่ งไปจากครู 21 14 8 43 4.30 0.76 มากท่สี ดุ

16 นกั เรยี นมีสว่ นร่วมในการวดั และประเมินผลการเรยี น 22 13 8 43 4.33 0.77 มากที่สดุ

17 ครูมีการประเมินผลการเรยี นดว้ ยวธิ กี ารท่ีหลากหมายและยตุ ธิ รรม 16 22 5 43 4.26 0.65 มากทส่ี ดุ

18 ครมู ีความตง้ั ใจในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน 17 24 2 43 4.35 0.57 มากทส่ี ดุ

19 บุคลกิ ภาพ การแตง่ กาย และการพดู จาของครเู หมาะสม 20 21 2 43 4.42 0.58 มากทส่ี ดุ

20 ครเู ขา้ สอนและออกชัน้ เรยี นตรงตามเวลา 24 18 1 43 4.53 0.54 มากท่สี ดุ

รวม 4.32 0.65 มากที่สดุ

19

จากตารางที่ 2 พบว่าความพงึ พอใจของนักเรียนทม่ี ตี อ่ วธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps เรอ่ื ง งานธรุ กิจ
สาหรบั นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 5/6 นักเรียนมคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั มากทส่ี ุด ( X = 4.38)
เมอ่ื พิจารณารายข้อพบว่า ข้อทม่ี ีความพงึ พอใจสงู สุด ( X = 4.53) มีดงั น้ี คอื ครสู ่งเสรมิ นักเรียนไดฝ้ ึกปฏิบตั จิ รงิ
มีการจัดการและการแกป้ ัญหา ครูเข้าสอนและออกชั้นเรยี นตรงตามเวลา รองลงมา ( X = 4.51) คือ เน้อื หาสาระที่
สอนทนั สมยั เสมอ รองลงมา ( X = 4.49) คือ ครูแจง้ ผลการเรียนร้ใู ห้นักเรยี นทราบอย่างชดั เจน ( X = 4.44) ครู
สอดแทรกคุณธรรมและค่านิยมทด่ี งี ามในวิชาทีส่ อน รองลงมา ( X = 4.42) คอื ครูใช้ส่อื ประกอบการเรียนการสอน
ท่ีเหมาะสมและหลากหลาย ครูประยุกตส์ าระที่สอนเขา้ กบั เหตกุ ารณป์ จั จุบัน/สภาพแวดลอ้ ม และบคุ ลิกภาพ การ
แตง่ กาย และการพดู จาของครูเหมาะสม รองลงมา ( X = 4.35) คอื ครูใช้คาถามกระตุน้ ความคิด ซักถามนกั เรียน
บ่อย ๆ ครูคอยกระตุ้นใหน้ กั เรียนต่นื ตัวในการเรยี นเสมอ และครมู ีความตั้งใจในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน
รองลงมา ( X = 4.33) คือ ครูเปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นซักถามปัญหา และนักเรยี นมสี ่วนรว่ มในการวดั และประเมนิ ผล
การเรยี น รองลงมา ( X = 4.30) คือ ครูจดั กจิ กรรมการเรียนรู้สนุกและนา่ สนใจ และครยู อมรบั ความคดิ เห็นของ
นักเรยี นทีต่ า่ งไปจากครู รองลงมา ( X = 4.28) คอื ครูใหน้ ักเรียนแสวงหาความร้จู ากแหล่งเรยี นรตู้ ่าง ๆ รองลงมา (
X = 4.26) คือ ครูให้นักเรยี นฝึกกระบวนการคดิ คิดวิเคราะห์ คิดสรา้ งสรรค์ และครูมกี ารประเมนิ ผลการเรียนดว้ ย
วธิ ีการทหี่ ลากหมายและยุติธรรม สว่ นข้อท่ีนักเรยี นพึงพอใจน้อยที่สุด คือ ครูสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรียนทางานรว่ มกนั ทงั้
เป็นกลมุ่ และรายบคุ คล ( X = 4.23)

20

บทท่ี 5
สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

สรปุ ผลการวิจัย
การวจิ ัย เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนโดยใชว้ ธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps เร่อื งงานธรุ กจิ

ของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 จดุ ประสงคข์ องการวิจัย 1) เพือ่ เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น
ก่อนและหลงั การใชว้ ธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps เรื่องงานธรุ กจิ ของนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5
2) เพือ่ ศกึ ษาความพึงพอใจที่มีต่อวธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps เรือ่ งงานธุรกิจ ของนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปี
ที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5/6 โรงเรียนกาแพงวิทยา อาเภอละงู
จงั หวดั สตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564 จานวน 43 คน เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1)แผนการ
จัดการเรียนรู้ เรื่องการถนอมอาหาร โดยใช้วิธีการสอนแบบ GPAS 5 Step จานวน 1 แผน รวมเวลา 8 ช่ัวโมง
2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการถนอมอาหารเป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 10 ข้อ 3)
แบบสอบถามความพึงพอใจท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการสอนแบบ GPAS 5 Steps ซึ่งเป็นแบบสอบถาม
แบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ จานวน 20 ข้อ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลอง
(Experimental Research) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล มกี ารทดสอบก่อนเรียนแลว้ ดาเนินการสอนโดยการใชว้ ธิ ีการ
สอนแบบ GPAS 5 Steps และทาการทดสอบหลังเรียน ประเมินความพงึ พอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยวิธีการ
สอนแบบ GPAS 5 Step

การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ผ้วู จิ ัยไดด้ าเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมูล โดยวเิ คราะห์เปรยี บเทยี บผลการเรยี นรกู้ อ่ น
เรยี นและหลงั เรยี น การทดสอบค่าทีทไี่ มเ่ ป็นอสิ ระตอ่ กนั (T- Test Dependent) ค่าเฉลย่ี ( X ) สว่ นเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (Standard Deviation S.D.)

อภิปรายผล
การวจิ ัย เร่อื งการพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นโดยใช้วธิ กี ารสอนแบบ GPAS 5 Steps เรอ่ื งงานธรุ กจิ

ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 5/6 ปรากฏวา่ มีคะแนนเฉลยี่ ก่อนเรียนและหลงั เรยี น เท่ากบั 5.12 และ
8.05 ตามลาดับ และเม่ือเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่าคะแนนสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.5 แสดงว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบ
GPAS 5 Steps มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน ซึ่งสอดคล้องกับสถาบันพัฒนาคุณภาพ
วิชาการ (2561,12) ท่ีกล่าวว่า กระบวนการจัดการเรียนรู้ GPAS 5 Steps เป็นวิธีที่ครูใช้จัดกระบวนการเรียนรู้
ที่เน้นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนคิดลงมือทาและสรุปความรู้ด้วยตนเอง นักเรียนมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มุมมอง
หลากหลายจึงทาให้ผู้เรียนมีข้อมูล นาไปสู่การปรับโครงสร้างความรู้ ความคิดรวบยอด หรือหลักการสาคัญที่
ศกึ ษาคน้ คว้าดว้ ยตนเอง (Independent Study) จึงเป็นแนวทางทตี่ อบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลทง้ั ใน
แงค่ วามสนใจ ประสบการณ์ วธิ ีการเรียนรู้ และการให้คุณคา่ ความรูท้ ี่ผเู้ รยี นแต่ละคนสร้างข้ึนอยา่ งมคี วามหมาย
เพื่อนาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ชุมชน และสังคมโลก การเรียนรู้ตามทฤษฎี การสร้างความรู้เป็น
กระบวนการ Acting on ไม่ใช่ Taking in กล่าวคือ เป็นกระบวนการท่ีผู้เรียน จะต้องจัดกระทากับข้อมูลไม่ใช่
เพียงรับข้อมูลเข้ามา และนอกจากกระบวนการเรียนรู้จะเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ภายในสมอง (Internal
Mental Interaction) แล้วยังเป็น กระบวนการทางสังคมอีกด้วย การสร้างความรู้จึงเป็นกระบวนการท้ังด้าน
สติปัญญาและสังคมควบคู่กันไป การเรียนการสอนต้องเปล่ียนจากInstruction ไปเป็น Construction คือ
เปล่ียนจาก การใหค้ วามรู้ไปเป็น การให้ผเู้ รียนสร้างความรู้ ใช้ความรู้ผลติ ผลงาน และสามารถนาไปใช้ในชวี ิตจริง
ได้

21

ผลการประเมินความพงึ พอใจของนกั เรยี นที่มีตอ่ วธิ ีการสอนแบบ GPAS 5 Steps เร่ือง งานธุรกจิ
สาหรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5/6 นักเรียนมคี วามพึงพอใจอยใู่ นระดับมากท่ีสดุ ( X = 4.38)
เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ข้อทีม่ ีความพึงพอใจสงู สุด ( X = 4.53) มดี งั น้ี คอื ครูสง่ เสริมนกั เรียนไดฝ้ ึกปฏิบัตจิ รงิ
มีการจัดการและการแก้ปญั หา ครเู ข้าสอนและออกชน้ั เรยี นตรงตามเวลา รองลงมา ( X = 4.51) คอื เน้ือหาสาระท่ี
สอนทันสมยั เสมอ รองลงมา ( X = 4.49) คอื ครูแจ้งผลการเรยี นรู้ให้นักเรียนทราบอย่างชัดเจน ( X = 4.44) ครู
สอดแทรกคุณธรรมและคา่ นิยมทด่ี ีงามในวิชาท่ีสอน รองลงมา ( X = 4.42) คือ ครูใชส้ ่ือประกอบการเรียนการสอน
ท่เี หมาะสมและหลากหลาย ครูประยุกตส์ าระท่สี อนเขา้ กบั เหตุการณป์ ัจจุบัน/สภาพแวดลอ้ ม และบุคลิกภาพ การ
แต่งกาย และการพูดจาของครูเหมาะสม รองลงมา ( X = 4.35) คอื ครใู ช้คาถามกระตุ้นความคดิ ซักถามนักเรียน
บอ่ ย ๆ ครคู อยกระตนุ้ ให้นักเรียนตน่ื ตวั ในการเรียนเสมอ และครมู ีความต้ังใจในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน
รองลงมา ( X = 4.33) คือ ครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นซักถามปัญหา และนักเรยี นมีส่วนร่วมในการวัดและประเมนิ ผล
การเรยี น รองลงมา ( X = 4.30) คอื ครูจัดกิจกรรมการเรียนรสู้ นกุ และน่าสนใจ และครูยอมรบั ความคดิ เหน็ ของ
นกั เรียนท่ีตา่ งไปจากครู รองลงมา ( X = 4.28) คือ ครูใหน้ ักเรยี นแสวงหาความรจู้ ากแหล่งเรียนรูต้ า่ ง ๆ รองลงมา (
X = 4.26) คือ ครใู หน้ กั เรยี นฝึกกระบวนการคิด คดิ วิเคราะห์ คดิ สร้างสรรค์ และครูมกี ารประเมนิ ผลการเรยี นด้วย
วธิ กี ารทหี่ ลากหมายและยุตธิ รรม ส่วนขอ้ ทน่ี กั เรยี นพึงพอใจน้อยท่สี ดุ คือ ครูสง่ เสริมใหน้ กั เรยี นทางานร่วมกันท้ัง
เป็นกลมุ่ และรายบุคคล ( X = 4.23)

ขอ้ เสนอแนะ
1. การจดั การเรียนรู้โดยใชว้ ิธีการสอน GPAS 5 Step เปน็ เครอื่ งมอื ทางการเรยี นทม่ี งุ่ เน้นในการใช้

ทกั ษะการคิดวิเคราะหใ์ นทกุ ขน้ั ตอน ดงั นัน้ ครูผสู้ อนควรจะอธบิ ายในแตล่ ะขน้ั ตอนให้ผูเ้ รียนทราบอยา่ งชัดเจน
เพ่อื ท่ีผเู้ รียนจะไดป้ ฏบิ ตั ิในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการ GPAS 5 Step ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ครูตอ้ งเตรียมความ
พรอ้ มในด้านตา่ ง ๆ เก่ียวกับบทเรียนก่อนเพอ่ื ให้การจดั การเรยี นการสอนท่ีมี ประสิทธิภาพ ศกึ ษาแผนการ
จัดการเรียนรู้ลว่ งหน้า เพื่อให้การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมของนกั เรยี นในแตล่ ะ ขนั้ ตอนใหม้ ีความชดั เจน

2. ผเู้ รียนสามารถสรุปความคิดรวบยอด โดยกระบวนการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ แสดงความคดิ
ระหวา่ งเพอ่ื นนกั เรียนดว้ ยกนั ทาให้ผ้เู รียนเกดิ ความเข้าใจย่ิงขนึ้ ครูผู้สอนมีบทบาทกระต้นุ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ แนวคดิ
ด้วยการตง้ั คาถาม ทาใหผ้ ู้เรียนเกดิ ความเขา้ ใจย่งิ ข้ึน ซง่ึ ผูเ้ รยี นมสี ว่ นรวมใน กจิ กรรมการเรียน โดยทราบผลการ
ปฏิบัตงิ านของตน ตลอดจนมีการใชส้ อื่ แหลง่ เรยี นรู้ อย่างหลากหลาย จงึ ทาให้ผู้เรยี นเกิดความสนใจในการเรียน
และมีความพงึ พอใจในการจดั กจิ กรรมโดยใช้ กระบวนการเรยี นจดั การเรียนรู้ด้วยกระบวนการ GPAS 5 Step

22

บรรณานุกรม

กรรณิการ์ ภิรมย์รตั น. (2553). การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นสาระการเรียนร้ภู มู ิศาสตร์ เรอ่ื ง ทวีป
ยโุ รปก่อนเรียนและหลังเรยี นของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นสาธติ มหาวิทยาลัยราชภัฏ
สวนสนุ นั ทา โดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะ. สบื ค้นเม่ือ 23 กรกฏาคม 2562, จาก
http://www.ssruir.ssru. ac.th/bitstream/ssruir/382/1/139.53.pdf

เกศแก้ว เพ็งวงษ.์ (2561). การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของผเู้ รียนวิชาการออกแบบและพฒั นาเว็บไซต์
ของนักศึกษา ปวส. 2/1 โดยใช้ หลกั การจัดการเรียนรู้แบบ GPAS 5 Step. วจิ ยั ชัน้ เรียนวทิ ยาลยั
เทคโนโลยีพณิชยการราชดาเนนิ .

กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). หลักสตรู แกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช2551.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย.

คนึงนติ ย์ ดพี นั ธ์. (2561). ผลการใชว้ ิธีการจัดการเรยี นรูแ้ บบ GPAS ทม่ี ตี ่อความสามารถในการอา่ นอย่างมี
วิจารณญาณและความพงึ พอใจต่อการจดั การเรียนรูข้ องนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนเบญจม
เทพอุทิศจังหวัดเพชรบุรี. วารสารการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. 10(2), 103-112.

วาวรินทร์ พงษพ์ ฒั น์. (2561). การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนคณิตศาสตร์เรือ่ งความน่าจะเปน็ โดยการ
จดั การเรยี นรแู้ บบ GPAS 5 Steps ในระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 โรงเรยี นวัดศรสี ุทธาราม จงั หวัด
สมุทรสาคร. (วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ ). มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. กรงุ เทพฯ.

ป้อมแดง, ร. (2557). การศึกษาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาสงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรอื่ ง ภมู ลิ กั ษณ์
ของภมู ภิ าคตา่ งๆ ของนักเรยี นชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี โดยใช้กระบวนการเรยี นรู้ 5 STEPs. Retrieved
from งานวจิ ัย วิชาสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม โรงเรยี นอนบุ าลน้องหญงิ

สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. (2560). แผนการศกึ ษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙. กรุงเทพฯ : บริษทั
พรกิ หวานกราฟฟคิ จากดั

23

ภาคผนวก

24

ภาคผนวก ก
รายช่อื ผ้เู ช่ยี วชาญเปน็ ผตู้ รวจสอบเครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวิจัย

25

รายช่อื ผ้เู ชย่ี วชาญตรวจสอบเครื่องมอื วจิ ยั
1.ครวู ฒั นะ สองเมอื ง

ครชู านาญการพิเศษ
ครูผู้สอนการงานอาชีพ โรงเรยี นกาแพงวทิ ยา อาเภอละงู จงั หวัดสตูล
2.ครนู ิตยา ชานาญคราด
ครูชานาญการ
ครูผ้สู อนการงานอาชีพ โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จังหวดั สตูล
3.ครูนาฎอนงค์ เพชรสีดา
ครู
ครผู ู้สอนการงานอาชพี โรงเรยี นกาแพงวิทยา อาเภอละงู จงั หวดั สตูล

26

ภาคผนวก ข
ตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือ
- การคานวณหาค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง

27

การคานวณหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ ง

1
แบบตรวจสอบความเทยี่ งตรง (Validity)
ดา้ นความสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบ กบั ตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู้

คาช้ีแจง แบบสอบถามนีส้ าหรับผ้เู ช่ียวชาญเป็นผูต้ อบ โปรดเขียนเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ งระดบั ความคดิ เห็น
ของทา่ นว่าข้อสอบมคี วามสอดคลอ้ งหรือถูกตอ้ งเพยี งใด

ให้คะแนน +1 ถ้าแน่ใจวา่ ข้อคาถามวดั ได้ตรงตามตวั ช้ีวัด/ผลการเรียนรู้
ให้คะแนน 0 ถ้าไมแ่ น่ใจว่าข้อคาถามวดั ได้ตรงตามตวั ช้ีวัด/ผลการเรียนรู้
ให้คะแนน -1 ถ้าแน่ใจวา่ ข้อคาถามวดั ได้ไมต่ รงตามตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู้

ครูผสู้ อน นางสาวสภุ าพร วะจดิ ี กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพ .

รายวชิ า การงานอาชีพ . รหัสวิชา ง32101 . ภาคเรียนที่ 2 . ปีการศกึ ษา 2564 .

ตวั ชี้วัด/ผลการ ระดบั ความสอดคลอ้ ง สรุปผล
เรียนรู้ ข้อสอบข้อที่ ผู้เชี่ยวชาญคนที่ 1 ผู้เช่ียวชาญคนท่ี 2 ผู้เชี่ยวชาญคนท่ี 3

1 0 -1 1 0 -1 1 0 -1 รวม IOC แปลผล

ง1.1 ม.4-6/1 1   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/5 2   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/2 3   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/5 4   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/3 5   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/7 6   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/4 7   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/3 8   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/6 9   3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/1 10    3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/4 11    3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/3 12    3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/6 13    3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/1 14    3 1 ใช้ได้

ง1.1 ม.4-6/1 15    3 1 ใช้ได้

ผเู้ ชี่ยวชาญลงชื่อ นายวัฒนะ สองเมือง นิตยา ชานาญคราด นาฏอนงค์ เพชรสดี า

(วันทปี่ ระเมิน) วันท…ี่ ../…..../….. วันท…่ี ../…..../….. วันท…่ี ../…..../…..

เกณฑ์ 1. ข้อคาถามทมี่ คี า่ IOC ตงั้ แต่ 0.50-1.00 มคี า่ ความเทยี่ งตรง แปลผลวา่ “ ใช้ได้ ”

2. ข้อคาถามทม่ี คี า่ IOC ต่ากวา่ 0.50 ตอ้ งปรับปรุง แปลผลว่า “ ใช้ไม่ได้ ”

28

ภาคผนวก ค
แผนจัดการเรยี นรู้

29

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 3.1

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การงานอาชีพ รหัสวิชา ง32101 รายวิชา การงานอาชพี
ปีการศึกษา 2564
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 8 ชั่วโมง

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 ผลงานสรา้ งสรรค์ เรอ่ื ง งานธุรกจิ

ช่ือผสู้ อน นางสาวสุภาพร วะจิดี

1. มาตรฐานการเรยี นรู้

ง 1.1 เข้าใจการทางาน มีความคดิ สร้างสรรค์ มีทกั ษะกระบวนการทางาน ทกั ษะการจดั การ ทกั ษะ

กระบวนการแก้ปญั หา ทักษะการทางานรว่ มกนั และทักษะการแสวงหาความรู้ มคี ุณธรรม และลกั ษณะนิสยั ใน

การทางาน มจี ติ สานกึ ในการใชพ้ ลังงานทรพั ยากร และส่ิงแวดล้อม เพ่ือการดารงชวี ติ และครอบครวั

ตวั ชวี้ ัด

ง 1.1 ตัวชว้ี ัด ม.4-6/3 ทักษะการจดั การในการทางาน

ง 1.1 ตัวชวี้ ดั ม.4-6/6 มคี ณุ ธรรมและลกั ษณะนิสัยในการทางาน

2. สาระสาคัญ

ทกั ษะการจัดการ หมายถงึ กระบวนการดาเนินงานอย่างใดอย่างหน่งึ ทเี่ ป็นระบบ โดยเรมิ่ ตง้ั แตก่ ารวางแผน

ดาเนินงาน การทากจิ กรรมตา่ ง ๆ ตามหนา้ ท่ีอยา่ งสร้างสรรค์และเป็นไปด้วยความเรยี บร้อยราบรื่นมีประสิทธิภาพ

และเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทักษะการจัดการ เป็นการจัดระบบงานและระบบคน เพื่อให้การทางานสาเร็จตาม

เป้าหมายอย่างมีประสิทธิ เช่น ทักษะการดาเนินการทางธุรกิจ วางแผนการประกอบธุรกิจอย่างรอบคอบ แล้ว

ดาเนินการตามแผน จากน้ันประเมินความพึงพอใจ กาหนดหน้าท่ีหรือแบ่งบทบาทความรับผิดชอบในการทางาน

โดยคานึงถงึ ความเหมาะสมและความสามารถของแตล่ ะบุคคลโดยอาจมกี ารพัฒนาปรบั ปรุงเพ่มิ เตมิ

จุดประสงค์การเรียนรู้ (K,P,A)

1. อธบิ ายทักษะการจดั การในการดาเนนิ งานทางธรุ กิจได้ (K)
2. ออกแบบและเขียนแผนธรุ กิจได้ (P)
3. นกั เรียนเหน็ ประโยชนข์ องทกั ษะการจัดการในการดาเนินการทางธุรกิจ (A)
3. สาระการเรยี นรู้

1.ทกั ษะการดาเนนิ งานธุรกจิ รปู แบบและองค์ประกอบทางธุรกิจ
2.ธุรกจิ SME, Ecommerce
3.แผนธรุ กจิ
4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น

1.ความสามารถในการสือ่ สาร
2.ความสามารถในการคิด
3.ความสามารถในการแก้ปัญหา

30

4.ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต
5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์

1.ใฝ่เรียนรู้
2.มงุ่ มั่นในการทางาน
6. ชน้ิ งาน/ภาระงาน

1.ทดสอบกอ่ นเรยี น
2.สรุปองคค์ วามรูท้ กั ษะการจัดการในการดาเนนิ งานทางธุรกิจ
3.กิจกรรม เขียนแผนธุรกจิ
4.ทดสอบหลงั เรยี น
7. กจิ กรรมการเรียนรู้ วธิ กี ารสอน/เทคนคิ การจัดการเรียนร้แู บบ Active Learning Gpas 5 Steps

ชั่วโมงท่ี 1-2 ทักษะการดาเนินงานธุรกิจ รูปแบบและองค์ประกอบทางธุรกิจ (สอน Online ผ่านช่องทาง

Google Classroom, Google Meet)

ข้นั นา

1.ครูตั้งคาถามเก่ียวกับทักษะการจัดการในการดาเนินงาน กระตุ้นและเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความ
คิดเห็นอย่างกว้างขวาง เพื่อเชื่อมโยงกับเน้ือหาท่ีกาลังจะศึกษาในหน่วยการเรียนรู้น้ี เรื่องทักษะการ
จัดการในการทางาน

ขน้ั สอน

Step1 ขน้ั รวบรวมข้อมูล

1.ให้นักเรียนร่วมกันสนทนาเก่ียวกับประเด็นท่ีว่า “หากนักเรียนต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจ นักเรียน
จาเป็นตอ้ งมีทักษะในด้านใด เพ่อื ใหก้ ารประกอบธรุ กจิ ของตนประสบความสาเรจ็ ”

2.นักเรียนเรียนรู้จากครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “ก่อนท่ีจะตัดสินใจประกอบธุรกิจใด ๆ ก็ตาม จาเป็นท่ีจะต้อง
ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับองค์ประกอบของการดาเนินการทางธุรกิจ รูปแบบของการดาเนินการทางธรุ กจิ
กระบวนการของงานธุรกิจ การประกอบธุรกิจในลักษณะต่าง ๆ เช่น ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
SMEs ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจ Startup เพื่อนาไปสู่การปฏิบัติท่ีถูกต้อง นอกจากนี้ ผู้ประกอบ
ธรุ กิจจะต้องมที ักษะ ในด้านต่างๆ อีกดว้ ย”

Step2 ขัน้ วิเคราะหแ์ ละสรปุ ความรู้

1.ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-5 คน ให้แต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาเรียนรู้ทักษะการจัดการในการทางาน
องค์ประกอบของการดาเนนิ การทางธุรกิจ และรูปแบบของการดาเนินการทางธรุ กิจ จากหนังสือเรียน
การงานอาชีพ สื่อพาวเวอร์พ้อย หรือศึกษาเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ต จากน้ันทาการวิเคราะห์ข้อมูลว่า
หากต้องการประกอบธุรกิจให้ประสบความสาเร็จ จาเป็นต้องนาทักษะใดมาประยุกต์ใช้ในการ
ดาเนนิ งานธุรกจิ และมวี ธิ ีการใชอ้ ยา่ งไร จดบนั ทกึ ในรูปแบบของแผนผงั ความคดิ (Mind Mapping)

2.ใหน้ ักเรียนดตู วั อย่างการดาเนนิ งานทางธรุ กิจร้านเบเกอรี่ จากส่อื พาวเวอรพ์ อ้ ย เพือ่ ใหเ้ หน็ กระบวนการ
ของธุรกจิ ท่ีชัดเจนขน้ึ

Step 3 ขน้ั ปฏิบตั แิ ละสรุปความรหู้ ลังการปฏิบัติ
3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนาข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า มาวางแผนดาเนินการทางธุรกิจเลือกสินค้า 1
ชนดิ โดยเลือกรปู แบบท่ีเหมาะสม และการจัดการตามองค์ประกอบของการดาเนนิ ทางธรุ กิจให้ถูกต้อง
ลงในกระดาษบร๊ฟู

31

Step 4 ขัน้ สื่อสารและการนาเสนอ
4. ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มนาเสนอแผนการดาเนินการทางธุรกจิ ทไี่ ดว้ างแผนไว้
5. นักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปความรู้ท่ีได้รับจากการเรียนเร่ืองทักษะการจัดการและกระบวนการ
ดาเนินงานทางธุรกจิ

ชว่ั โมงท่ี 3-4 (ธุรกิจ SMEs , E-Commerce) (เรยี น Online ผา่ นชอ่ งทาง Google Classroom, Google

Meet) วธิ กี ารสอน/เทคนคิ วิธสี อนแบบ GPAS 5 Steps

ขน้ั นา

1.ครูต้ังคาถามทบทวนความรู้เดิมจากการเรยี นรูช้ ่วั โมงท่ีแลว้ เช่น
- ทักษะการจัดการหมายถึงอะไร
- ทกั ษะการจัดการในการดาเนนิ งานทางธุรกจิ ในการจดั ระบบคน มีลักษณะอยา่ งไร
ตัวอย่างคาตอบ “กาหนดหน้าที่ แบ่งบทบาทความรับผิดชอบ คานึงถึงความสามารถของแต่ละ

บคุ คล”

ขัน้ สอน

Step1 ขน้ั รวบรวมข้อมลู

2.ให้นักเรียนรว่ มสนทนากนั โดยครูตัง้ คาถามเกีย่ วกับธรุ กิจ SMEs , ธุรกิจ E-Commerce กระตุ้นและเปิดโอกาส
ใหท้ ุกคนไดแ้ สดงความคดิ เหน็ อยา่ งกวา้ งขวาง เพอื่ เชอ่ื มโยงกบั เนื้อหาที่กาลังจะศึกษา เช่น
- นักเรียนเคยได้ยิน ธรุ กิจ SMEs หรือไม่ คืออะไร ให้อธิบาย
- ธรุ กิจ E-Commerce คืออะไร ในการดาเนนิ ชวี ติ ประจาวันของนกั เรยี นมีความเกี่ยวข้องกับ ธรุ กจิ E-
Commerce หรอื ไม่ อย่างไร

Step2 ข้นั วิเคราะห์และสรุปความรู้

3.ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 3-5 คน โดยใช้กลุ่มเดิม จากคาบเรียนที่ผ่านมานักเรียนศึกษาเรียนรู้ ธุรกิจ
ขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ E- commerce ธุรกิจ Startup จาก
หนังสอื เรียนการงานอาชีพ ส่อื พาวเวอรพ์ ้อย หรอื ศกึ ษาเพิ่มเติมจากอนิ เตอร์เน็ต และรว่ มกันวเิ คราะห์
ความสมั พนั ธข์ องระบบการค้าออนไลน์ ดังน้ี ธนาคาร ลกู คา้ ร้านค้า โปรแกรม ร้านคา้ องค์กรใหบ้ ริการ
เชื่อมต่อระบบการส่อื สารอินเตอรเ์ นต็ สรปุ ความรใู้ นกระดาน Pedlet

Step 3 ข้ันปฏิบตั ิและสรุปความรหู้ ลงั การปฏิบตั ิ
4.ให้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ นาสนิ ค้าท่ไี ดว้ างแผนดาเนนิ งานทางธรุ กิจจากชัว่ โมงทผี่ ่านมา รว่ มกันออกแบบการ
จาหนา่ ยสนิ คา้ ผ่านเครือข่ายออนไลน์ และนักเรียนร่วมกนั อภิปรายและสรุปความรู้ทีไ่ ด้รับจากการเรียน
ธุรกิจ SMEs, E-commerce, Startup

Step 4 ขั้นส่ือสารและการนาเสนอ
5. นกั เรียนแต่ละกลมุ่ นาเสนองานออกแบบการจาหนา่ ยสนิ ค้าผ่านเครอื ขา่ ยออนไลนต์ ามทไี่ ดร้ ว่ มกัน
ออกแบบหนา้ ชนั้ เรียน

ช่ัวโมงท่ี 5-6 เขยี นแผนธรุ กจิ (เรยี น Online ผา่ นชอ่ งทาง Google Classroom, Google Meet)

วธิ กี ารสอน/เทคนคิ วิธีสอนแบบ Active Learning

ขั้นนา

Step1 ขน้ั รวบรวมข้อมูล

1.ครูตั้งคาถามเกยี่ วกับแผนธรุ กิจ กระตนุ้ และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้แสดงความคิดเหน็ อย่างกวา้ งขวาง เพื่อ
เชอ่ื มโยงกับเนอ้ื หาทกี่ าลงั จะศึกษา เช่น

32

- แผนธุรกจิ มคี วามสาคัญต่อการประกอบธรุ กจิ อย่างไร
ตัวอย่างคาตอบ “ทาให้ผู้ประกอบการมีเป้าหมายที่ชัดเจน และกาหนดแนวทางในการประกอบ

ธุรกจิ ได้”

ขน้ั สอน

Step2 ขนั้ วเิ คราะหแ์ ละสรุปความรู้

2.ให้นกั เรียนแบ่งกลุ่ม กลุม่ ละ 3-5 คน นกั เรียนรว่ มกนั ศึกษาเรยี นร้วู ิเคราะห์เกี่ยวกบั การออกแบบและการ
เขียนแผนธุรกิจ จากหนังสือเรียนการงานอาชีพ สื่อพาวเวอร์พ้อย หรือศึกษาเพ่ิมเติมจากอินเตอร์เนต็
และสรปุ ความรู้

Step 3 ข้นั ปฏิบัติและสรุปความร้หู ลังการปฏิบตั ิ
3.ให้แต่ละกลุ่มร่วมกันเขียนแผนธุรกิจท่ีกลุ่มตนเองสนใจ โดยธุรกิจการผลิตหรือบริการจะต้องมีความ
เหมาะสมกับบริบทของชุมชนหรือท้องถ่ินของนักเรียน วัตถุดิบที่ได้ต้องมาจากชุมชนของนักเรียนและ
สามารถสรา้ งมูลค่าเพ่ิมได้
4.ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแบ่งหนา้ ที่ปฏิบัติงานและดาเนินการเขียนแผนธุรกิจให้ครบองค์ประกอบและสร้าง
เปน็ งานนาเสนอ
5 นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปรายและสรปุ ความรูว้ ธิ กี ารเขียนแผนธรุ กจิ

ชั่วโมงท่ี 7-8 (เรียน Online ผ่านช่องทาง Google Classroom, Google Meet)

วธิ ีการสอน/เทคนิค วธิ สี อนแบบ GPAS 5 Steps

ขน้ั นา

1. ครูตั้งคาถามทบทวนความรเู้ ดมิ เช่น
ทกั ษะการจดั การนามาใช้ในการเขยี นแผนธรุ กิจไดอ้ ย่างไรบา้ ง ตวั อย่างคาตอบ

“ใช้ในการวางแผนการทาธุรกิจ จัดระบบโครงสรา้ งการทางาน วางแผนการเงิน และการดาเนนิ ธุรกจิ

อย่างเปน็ ระบบเพอื่ ใหป้ ระสบความสาเร็จ”

ขนั้ สอน

Step 4 ขัน้ ส่ือสารและนาเสนอ

2. ใหน้ ักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลงานแผนธุรกจิ โดยสรุป สิ่งท่ีไดเ้ รยี นรู้จากการปฏิบัติในประเดน็ ท่คี รู
กาหนดให้ โดยครูเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นกลุ่มอื่น ๆ ร่วมกันซกั ถามในประเด็นทส่ี งสัย

Step 5 ข้ันประเมินเพ่อื เพ่มิ มูลค่าบริการสงั คมและจติ สาธารณะ
3. ให้นักเรยี นนาเสนอแผนธุรกจิ และเผยแพรผ่ า่ นเครือข่ายออนไลนใ์ หผ้ ทู้ ่ีสนใจได้ศึกษาตอ่ ไป

8. ส่อื /แหล่งการเรยี นรู้

1. หนังสอื เรยี น รายวชิ าการงานอาชีพ ม.5
2. ใบงานหนว่ ยที่ 3 การสรปุ ความรู้
3. กจิ กรรมเขยี นแผนธรุ กจิ
4. ส่อื Power Point หน่วยท3่ี เรือ่ ง ทกั ษะการจัดการในการทางาน

33

9. การวัดผลและการประเมินผลการเรยี นรู้

รายการวดั วิธีวดั เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารประเมิน

ด้านความรู้ (K) -ตรวจสอบใบงานหน่วยที่ 3 -ใบงานหนว่ ยท่ี 3 เรื่องทกั ษะ ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์

อธบิ ายทักษะการจดั การในการ การสรปุ ความรู้เรอ่ื งทักษะ การจัดการในการดาเนนิ งาน ระดบั คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์
ดาเนนิ งานทางธุรกิจได้ (K) การจัดการในการดาเนนิ งาน ทางธรุ กจิ และธรุ กจิ SMEs, ระดบั คณุ ภาพ 2
ผ่านเกณฑ์
ทางธรุ กจิ และธรุ กิจSMEs, Ecommerce

Ecommerce - แบบทดสอบหลังเรียน

-ทดสอบหลงั เรยี น

ดา้ นทักษะ (P) - แผนธุรกิจ - แบบประเมิน

นกั เรยี นออกแบบและเขียนแผน

ธุรกิจได้ (P)

ด้านคณุ ลักษณะ (A) - สังเกตความมีวินัย ใฝ่ แบบประเมนิ ด้านคุณธรรม
นกั เรียนเหน็ ประโยชน์ของ เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการ จรยิ ธรรมและคา่ นยิ ม
ทักษะการจัดการในการ ทางาน

ดาเนินการทางธรุ กิจ (A)

34

แบบประเมนิ

35

แบบประเมินพฤตกิ รรมรายบุคคล
(คณุ ลักษณะอันพึงประสงค)์

วิชา การงานอาชีพ เรื่อง งานธรุ กิจ
ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
คาชแ้ี จง ให้ ผู้สอน สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรยี น จากน้ันบนั ทึกคะแนนให้ตรงกบั ระดบั คะแนนของพฤตกิ รรม

ลาดบั ชื่อ – สกุล ุ่มง ั่มนในการทางาน รวม ระดับคณุ ภาพ สรุปผลการ
ใฝ่เ ีรยนรู้ ประเมนิ

3 3 6 ดี พอใช้ ปรบั ปรุง ผ่าน ไมผ่ ่าน

จานวนกลุม่ - - -
- -
รอ้ ยละ 100 -

ลงชื่อ…………………………………….ผ้ปู ระเมนิ
นางสาวสภุ าพร วะจิดี

............/................./...................

เกณฑ์ระดับคณุ ภาพ สรปุ ผลการประเมิน
ช่วงคะแนน 5-6 : ระดบั คุณภาพดี ผา่ น : ระดับคุณภาพดแี ละพอใช้
ชว่ งคะแนน 3-4 : ระดับคณุ ภาพพอใช้ ไม่ผา่ น : ระดบั คุณภาพปรบั ปรงุ
ช่วงคะแนน 0-2 : ระดบั คุณภาพปรับปรุง

36

แบบประเมินใบงาน

วชิ า การงานอาชีพ เร่อื ง งานธรุ กิจ

ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564

คาชี้แจง ให้ ผสู้ อน ตรวจใบงานของนกั เรียน จากนน้ั บันทึกคะแนนใหต้ รงกับระดับคะแนนทก่ี าหนด

สรุปผลการ
ประเมนิ
เวลา ระดบั คณุ ภาพ
ความ ูถก ้ตองคาตอบ
ท่ี ชื่อ - สกลุ รวม
ความสะอาดเ ็ปน
ระเ ีบยบ

ีด
พอใ ้ช
ป ัรบป ุรง
่ผาน
ไม่ ่ผาน

1 2 2 5 - - -- -

จานวนนักเรียน --
ร้อยละ --

ลงช่อื …………………………………….ผู้ประเมิน
นางสาวสุภาพร วะจดิ ี

............/................./...................

เกณฑก์ ารให้คะแนน

ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคลอ้ งกับรายการประเมินสมบูรณช์ ดั เจน ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤตกิ รรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นสว่ นใหญ่ ให้ 1 คะแนน

ผลงานหรอื พฤติกรรมสอดคลอ้ งกับรายการประเมนิ บางส่วน

เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ

ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

5 ดมี าก

4 ดี

2-3 พอใช้

ต่ากวา่ 1 ปรบั ปรงุ

37

แบบประเมนิ กิจกรรม
การประเมนิ ด้านทกั ษะ/กระบวนการ
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 เรอื่ งงานธรุ กิจ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 การจดั การงานธรุ กิจ
ผู้ประเมิน นกั เรยี น ตนเอง เพ่ือนรว่ มชนั้ เรยี น

ครู
คาช้แี จง ให้นกั เรยี นเขยี นเคร่ืองหมาย ลงในช่องคะแนนท่ีตรงกับความเปน็ จรงิ

รายการประเมนิ พฤติกรรมการแสดงออก ระดับคณุ ภาพ
321
1. กระบวนการทางาน 1. วิเคราะหล์ ักษณะงานและคุณสมบตั ิของผ้ปู ฏิบัติงาน
หมายเหตุ การหาระดบั คณุ ภาพ
2. มีการวางแผนการทางานร่วมกัน เฉลยี่
หาไดจ้ ากการนาคะแนนทีไ่ ดใ้ น
3. ปฏิบตั งิ านตามแผนทีว่ างไว้อย่างเปน็ ลาดบั ขัน้ ตอน แตล่ ะชว่ งมารวมกนั แลว้ หารดว้ ย
จานวนขอ้ จากน้ันนาระดบั
4. ตรวจสอบผลงานและปรับปรงุ แกไ้ ขดว้ ยตนเอง คณุ ภาพเฉลย่ี มาเทยี บกบั เกณฑ์
การตดั สินคุณภาพและสรุปผล
2. ทักษะการจัดการ 1. วางแผนแบง่ งานและจดั คนทางานในหน้าทต่ี ่าง ๆ การประเมนิ

2. เลือกใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์ในการทางานได้อยา่ งเหมาะสม

3. นาเทคโนโลยีมาใช้ในการทางาน

4. หาวิธที างานเพ่อื ใหป้ ระสบผลสาเร็จ

3. ทักษะการ 1. ทาความเข้าใจกับปัญหาทเ่ี กดิ ข้นึ ในการทางาน

แกป้ ัญหา 2. วางแผนการแก้ปญั หา

3. แก้ปัญหาตามวธิ ีท่ีเลอื กอย่างมีเหตผุ ล

4. ตรวจสอบและปรบั ปรุงผลการแกป้ ัญหา

4. ทกั ษะการ 1. ศกึ ษาและคน้ ควา้ ขอ้ มูลจากแหล่งความรูต้ า่ ง ๆ

แสวงหาความรู้ 2. รวบรวมความรู้ข้อมลู เปน็ หมวดหมู่

3. สงั เกตสิง่ ต่าง ๆ เพอื่ เลอื กใช้ให้เหมาะสมกับการทางาน

4. สารวจข้อมูลและเก็บรวบรวมไว้เพอื่ ใช้ประโยชน์

5. บนั ทึกความรู้จากขอ้ มูลที่พบเห็นเปน็ ประจา

5. ทกั ษะการใช้ 1. จัดเตรยี มอปุ กรณ์และเคร่อื งมอื ให้พร้อมกอ่ นการทางาน

อุปกรณแ์ ละ 2. ใชอ้ ปุ กรณแ์ ละเครื่องมอื ไดถ้ กู วธิ แี ละปลอดภยั

เครื่องมอื 3. ทาความสะอาดอุปกรณแ์ ละเครือ่ งมอื หลงั ใชง้ านเสรจ็

สรุปการประเมนิ เต็ม ได้

ลงช่ือ (ผ้ปู ระเมิน)

เกณฑก์ ารตัดสินคุณภาพ

ช่วงคะแนนเฉล่ีย 2.34–3.00 1.67–2.33 1.00–1.66

ระดับคุณภาพ 3 2 1
พอใช้ ควรปรบั ปรงุ
ดมี าก, ดี

38

สอื่ พาวเวอรพ์ อ้ ย

39

ภาคผนวก ง
ขอ้ สอบวดั ผลการเรียนรู้

40

แบบทสอบ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 ผลงานสร้างสรรค์ เร่อื ง งานธรุ กิจ

คาชี้แจง เลือกคาตอบท่ีถกู ตอ้ งท่ีสดุ เพียงคาตอบเดยี ว

1. ทักษะการจัดการหมายถึงข้อใด 6. ขอ้ ใดเป็นธุรกจิ SMEs

ก ความสามารถในการจดั การ ก กระติกบริหารธุรกิจเพียงคนเดียว

ข การดาเนินงานโดยอาศัย คน เงิน และวตั ถุสิง่ ของ ข โรเบิร์ดเร่มิ ต้นธรุ กจิ ดว้ ยเงนิ ทุนมหาศาล

ค เปน็ การจัดระบบงานระบบคนเพื่อให้สามารถเพ่ือให้ ค แซนดาเนินธุรกจิ โดยการควบคมุ ของกฎหมาย
ทางานสาเรจ็ ตามเป้าหมายโดยเน้นการวางตัวบุคคลให้ ง ปอดาเนินงานสอดคล้องกบั วิถีชีวิตของตนเอง

เหมาะสมกบั งาน 7. ขอ้ ใดเป็นปจั จยั ทีก่ จิ การไมส่ ามารถควบคุมได้
ง กระบวนการดาเนินงานอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ อยา่ ง ก สินค้าและบริการ
ข การบริหารการจัดการ
เปน็ ะบบแบบแผน

2. การสารวจความพรอ้ มของอุปกรณใ์ นการ ค ลกู คา้
ทาธรุ กจิ จะเกิดข้นึ ในข้นั ตอนใดของทักษะการจัดการ ง การบริหารการเงนิ

ก การตัง้ เป้าหมาย 8. ข้นั ตอนสุดท้ายของการทาบญั ชี คือขอ้ ใด
ข การวิเคราะห์ทรพั ยากร ก การสรปุ
ค การวางแผนและกาหนดทรพั ยากร ข การรายงานทางการเงนิ

ง การปฏบิ ัติตามแผนและปรับแผน ค การรวบรวมและวเิ คราะห์
3. ข้อใดคอื เปา้ หมายของการดาเนนิ การทางธุรกิจ ง การจาแนกประเภทรายการทางการเงนิ

ก เพิม่ ชอ่ งว่างในสังคมให้มากขึ้น 9. ประโยชน์หลกั ของการทาแผนธรุ กจิ คอื ขอ้ ใด
ข สรา้ งความเจริญก้าวหนา้ ในสังคม ก ช่วยคุมทิศทางในการบริหารธรุ กิจ
ค เป็นหลกั ประกนั ทางเศรษฐกจิ ข ชว่ ยให้ทราบราคาสินค้าท่ีจัดจาหน่าย

ง สร้างคา่ นิยมใหม่ให้เกิดขนึ้ ในสังคม ค ชว่ ยในการกาจัดอปุ สรรคท่อี าจเกิดขน้ึ

4. องค์ประกอบทีส่ าคัญที่สดุ ของการดาเนินการทางธรุ กจิ ง ชว่ ยทาให้เจา้ ของธรุ กจิ ทราบขอ้ มลู เพ่ิมข้ึน

คอื ข้อใด 10. ส่วนทสี่ รุปรายละเอียดแผนธุรกิจทัง้ หมดที่ดาเนนิ การ
ก เงินทนุ ชใ้ี หเ้ หน็ ว่ามโี อกาสเกิดข้ึนจริงคือขอ้ ใด
ข บคุ คลหรือแรงงาน
ก บทสรุปผบู้ รหิ าร

ค อุปกรณ์และวัตถดุ ิบ ข ภาพรวมธรุ กจิ
ง การจัดการดาเนินงานธุรกิจ ค ประวตั ิกจิ การ

5. หนว่ ยงานใดเป็นหน่วยงานหลกั ในการสง่ เสริมธุรกิจ ง ผลตอบแทนธรุ กิจ
SMEs

ก กรมพฒั นาธุรกจิ การคา้

ข สานกั งานปลดั กระทรวงพาณชิ ย์
ค สานกั งานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ง สานกั งานส่งเสรมิ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

41

ภาคผนวก จ
แบบประเมินความพงึ พอใจ

42

นกั เรยี นประเมนิ

แบบประเมนิ ความพงึ พอใจของนักเรยี นท่มี ีต่อการจดั การเรยี นรูข้ องครูผสู้ อน
โดยใช้วธิ การสอนแบบ GPAS 5 Steps

ช่ือ-สกุลนกั เรียน...............................................................................ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี...............เลขท่ี...........
รายวชิ า…………………………….............................................................รหัสวิชา…………................................……
กล่มุ สาระการเรียนร.ู้ .……………….……………...……............................. ภาคเรียนที่.............ปีการศึกษา..............

คาช้แี จง (ให้นักเรยี นทาเครื่องหมาย  ลงในชอ่ งระดับคุณภาพ โดยพจิ ารณาจากเกณฑ์การประเมนิ )

ข้อ กิจกรรม มากทส่ี ดุ ระดับการประเมิน น้อยทส่ี ดุ
(5) (1)
มาก ปานกลาง นอ้ ย
(4) (3) (2)

1 ครแู จง้ ผลการเรียนรูใ้ ห้นกั เรียนทราบอยา่ งชดั เจน

2 ครูจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้สนกุ และน่าสนใจ

3 เน้อื หาสาระทส่ี อนทันสมัยเสมอ

4 ครใู ชส้ ือ่ ประกอบการเรยี นการสอนทีเ่ หมาะสมและหลากหลาย

5 ครใู ช้คาถามกระตุ้นความคิด ซักถามนักเรยี นบ่อย ๆ

6 ครูประยุกตส์ าระทส่ี อนเข้ากบั เหตกุ ารณ์ปัจจุบนั /สภาพแวดลอ้ ม

7 ครูสง่ เสรมิ นกั เรยี นได้ฝึกปฏิบัตจิ รงิ มีการจดั การและการแก้ปัญหา

8 ครูใหน้ กั เรียนฝกึ กระบวนการคดิ คิดวเิ คราะห์ คิดสร้างสรรค์

9 ครูสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นทางานรว่ มกันทงั้ เป็นกลมุ่ และรายบคุ คล

10 ครูใหน้ ักเรียนแสวงหาความร้จู ากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ ง ๆ

11 ครูมีการเสริมแรงใหน้ กั เรยี นทร่ี ว่ มกิจกรรมการเรยี นการสอน

12 ครเู ปิดโอกาสให้นกั เรียนซักถามปัญหา

13 ครคู อยกระต้นุ ใหน้ กั เรียนตนื่ ตัวในการเรียนเสมอ

14 ครสู อดแทรกคุณธรรมและค่านยิ มท่ีดงี ามในวชิ าที่สอน

15 ครูยอมรับความคดิ เห็นของนกั เรยี นทตี่ ่างไปจากครู

16 นกั เรียนมสี ่วนร่วมในการวดั และประเมนิ ผลการเรยี น

17 ครูมีการประเมนิ ผลการเรียนด้วยวธิ กี ารท่หี ลากหมายและยตุ ธิ รรม

18 ครมู คี วามตัง้ ใจในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน

19 บคุ ลกิ ภาพ การแต่งกาย และการพดู จาของครเู หมาะสม

20 ครูเขา้ สอนและออกช้ันเรยี นตรงตามเวลา

คะแนนรวม

ค่าเฉล่ีย

43

เกณฑก์ ารประเมิน
5 มากทส่ี ุด หมายถงึ นักเรยี นมีความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรียนรู้ของครผู ู้สอนในดับมากท่สี ุด
4 มาก หมายถึง นกั เรยี นมีความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรยี นรขู้ องครผู สู้ อนในดบั มาก
3 ปานกลาง หมายถงึ นักเรียนมคี วามพึงพอใจต่อการจัดการเรียนร้ขู องครูผสู้ อนในดับปานกลาง
2 น้อย หมายถงึ นักเรยี นมคี วามพึงพอใจตอ่ การจดั การเรยี นรู้ของครูผ้สู อนในดับนอ้ ย
1 น้อยท่สี ดุ หมายถงึ นกั เรียนมคี วามพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนรูข้ องครผู สู้ อนในดบั นอ้ ยทส่ี ดุ

ข้อเสนอแนะ

.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

ลงช่อื ผ้ปู ระเมนิ
(...........................................................)

วันท่ี.............เดือน..........................พ.ศ..............

44

ภาคผนวก ฉ
ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู

45

ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน รายวิชาการงานอาชพี เร่อื งงานธรุ กิจโดยเปรียบเทยี บค่าเฉล่ยี
(( X )ของคะแนนกอ่ นเรียนและหลังเรยี น คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)

เลขที่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ความต่าง

กอ่ นเรยี น หลังเรียน D

14 62

26 71

35 72

45 83

56 93

65 83

75 83

86 82

95 83

10 5 72

11 4 84

12 3 63

13 7 92

14 5 94

15 5 10 5

16 5 72

17 7 81

18 6 71

19 4 62

20 3 63

21 3 74

22 5 83

23 5 10 5

24 6 10 4

25 6 93

26 6 10 4

27 5 94

28 6 10 4

29 5 94

30 4 73

46

ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน รายวชิ าการงานอาชีพ เรอื่ งงานธุรกิจ โดยเปรยี บเทยี บค่าเฉลี่ย
( X )ของคะแนนกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.)

เลขท่ี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ความตา่ ง

31 ก่อนเรยี น หลงั เรียน D
32 2
33 57 2
34 3
35 68 3
36 2
37 69 3
38 2
39 58 4
40 3
41 68 5
42 3
43 47 3
คะแนนรวม 2
57
คะแนนเฉลี่ย 126
S.D 59 2.93
1.03
69

5 10

58

69

46

220 346

5.12 8.05
0.96 1.23

ข้อมูลโดยสถติ ทิ ดสอบค่า t แบบไม่อสิ ระต่อกัน (t-test for Dependent Samples)

t-Test: Paired Two Sample for Means

Mean หลงั เรยี น กอ่ นเรยี น
Variance 8.00 5.68
Observations 1.23 1.05
Pearson Correlation
Hypothesized Mean Difference 40.00 40.00
df 0.84
t Stat 0.00
P(T<=t) one-tail
t Critical one-tail 39.00
P(T<=t) two-tail 23.89
t Critical two-tail
0.00
1.68
0.00
2.02


Click to View FlipBook Version