The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wichuda1345, 2022-04-13 00:48:22

การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้นิทานอีสป ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

ครูคูไซบ๊ะ

รายงานวิจัยในชัน้ เรยี น

การพฒั นาทกั ษะการอา่ นภาษาอังกฤษโดยใชน้ ทิ านอสี ป
ของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 2

นางสาวคูไซบะ๊ หะยปี ะดอ
ตำแหน่ง ครผู ู้ชว่ ย

ภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2564
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาตา่ งประเทศ
โรงเรยี นกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู จงั หวดั สตลู
สำนักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษามัธยมศกึ ษาสงขลา สตู



ชื่อเรอ่ื ง การพฒั นาทักษะการอ่านภาษาองั กฤษโดยใช้นทิ านอสี ป ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 2
ผวู้ ิจยั นางสาวคูไซบ๊ะ หะยปี ะดอ

กล่มุ สาระฯ ภาษาตา่ งประเทศ

ปีการศกึ ษา 2564

บทคดั ย่อ

งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนโดยใช้
นทิ านอสี ปเป็นแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 2

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู
จังหวดั สตูล ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2564 จำนวน 1 หอ้ งเรยี น ไดแ้ ก่ นักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2/2 จำนวน
40 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกห้องเรียนด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เวลาทดลอง
ทั้งสิ้น 9 คาบ คาบละ 50 นาที โดยใช้แผนการวิจัยแบบ One-group Pretest-Posttest Design เครื่องมือที่ใช้
ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใชน้ ิทานอีสป 1 เรื่อง 2) แบบทดสอบ
การอ่านภาษาอังกฤษก่อนเรียน-หลังเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติทดสอบค่า ใช้ค่าเฉลี่ย (X̅) ค่าเบี่ยงเบน
มาตรฐาน (S.D.)

ผลการวิจัยพบว่า การประเมินผลการเรียนรู้ก่อนและหลังการเรียนรู้ด้านการอ่านภาษาอังกฤษของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้นิทานอีสป มี
คะแนนเฉลย่ี ก่อนเรียนเทา่ กับร้อยละ 35.06 และคะแนนเฉล่ียหลังเรยี นเท่ากับร้อยละ 85.21 แสดงว่านักเรียนมี
ความสามารถในการอ่านสงู ขึน้



สารบญั

หนา้

บทคดั ย่อ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ก
สารบญั ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ข
สารบญั ตาราง…………………………………………………………………………………………………….………………………… ค
บทที่ 1 บทนำ……………………………………………………………….…………………………………………….………………… 1
1
ความเปน็ มาและความสำคญั ของปัญหา…………….…………………………………………………………………….. 3
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย…………………………………..…………………………………………………………………… 3
สมมติฐานของงานวิจยั ………………………………………..……………………………………………….………………… 3
ขอบเขตของการวจิ ัย……………………………………………..………………………………………………………………. 4
บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง……………….………………………………………………………………………… 4
เอกสารเก่ยี วกับแบบฝกึ ทกั ษะ………………………………………………………………………………………………… 13
งานวจิ ัยที่เกยี่ วข้อง………………………………………………………………………………………………………………… 15
บทท่ี 3 วิธีดำเนินการวจิ ัย………………………….………………………………………………………..………………………… 15
รปู แบบการวิจัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 15
ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง…………………………………………………………………………………………………….. 16
เคร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล…………………………………………………………………………………….. 16
ขน้ั ตอนการสร้างและพฒั นาเครื่องมือ………………………………………………………………………………………. 16
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ……………………………………………………………………………………………………………. 17
การวิเคราะห์ข้อมลู ………………………………………………………………………………………………………………… 18
บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ………………………………………………………….……………………………………………. 18
ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู …………………………………………………………………………………………………………….. 21
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………..…………………………………………….……………….. 21
สรุปผลการวจิ ัย……………………………………………………………………………………………………………………… 21
อภปิ รายผล…………………………………………………………………………………………………………………………… 22
ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………………. 23
บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………………….. 24
ภาคผนวก……………………………………………………………………………….…………………………………………….……… 25
ภาคผนวก ก รายชอ่ื ผู้เช่ยี วชาญเปน็ ผู้ตรวจสอบเครอื่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย...........................................



สารบญั ตาราง

ตารางที่ หน้า

1 แสดงผลคะแนนทดสอบก่อน และหลงั การใช้นทิ านในการฝึกอา่ นออกเสียงให้ถูกต้อง…………………..19
2 การวิเคราะห์คะแนนรวม ค่าเฉลีย่ รวม และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน...................................................20

1

บทท่ี 1
บทนำ

ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน

เนื่องจากเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ ความ
บนั เทงิ การสรา้ งความเข้าใจเก่ียวกับวัฒนธรรมที่หลากหลายและวสิ ยั ทัศน์ของชุมชนโลก นำมาซง่ึ มิตรไมตรีและ
ความร่วมมอื กับประเทศต่าง ๆ ชว่ ยพฒั นานักเรียนใหม้ ีความเข้าใจตนเองและผู้อน่ื ดีขนึ้ เข้าใจความแตกต่างของ
ภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อ
การใช้ภาษาต่างประเทศและใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมทั้งเข้าถึงองค์ความรู้ต่าง ๆ ได้ง่าย
กว้างขวางขนึ้ และมวี สิ ัยทัศนใ์ นการดำเนนิ ชีวติ (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน, 2551:1)

จากความสำคัญของภาษาต่างประเทศตามท่ีกล่าวมานี้ กระทรวงศึกษาธิการจึงไดก้ ำหนดให้มีการเรยี น
การสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศทุกชว่ งชัน้ เพื่อเสรมิ สร้างพื้นฐานความเปน็ มนุษย์ สร้างศักยภาพใน
การคิดและการทำงานอย่างสร้างสรรค์ เป็นรากฐานและเตรียมความพร้อมในการเรียนของเยาวชนรุ่มใหม่ ให้
สอดคล้องกับสังคมยุคข้อมูลข่าวสาร ช่วยให้นักเรยี นเป็นผู้มวี ิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถพัฒนาความคิดและมอง
โลกกว้างขึ้น โดยมีความคาดหวังว่าเมื่อนักเรียนเรียนภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาถึง
มธั ยมศึกษา นกั เรยี นจะมีความรคู้ วามสามารถในการรับและสง่ สาร มวี ัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด
ความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ที่เป็น
ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาตนเองและสังคม (กรมวิชาการ, 2551) โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ทกั ษะการอ่าน ซงึ่ เป็นทักษะท่ี
ให้ประโยชน์สำหรับการแสวงหาความรเู้ พอื่ นำไปใชป้ รับปรุงและพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม

ทักษะการอ่านเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ทำให้บุคคลก้าวหน้าทันต่อเหตุการณ์ ทักษะการอ่านควรเป็น
ทักษะที่ได้รับการส่งเสริมเพราะเป็นทักษะที่คงอยู่กับนักเรียนได้นานที่สุด เป็นสิ่งที่สามารถนำไปใช้ใน
ชีวิตประจำวันได้ตลอดเวลาแม้ว่าจะสำเร็จการศึกษาไปแล้ว กระทรวงศึกษาธิการตระหนักถึงความสำคัญของ
การอา่ นเปน็ อยา่ งยิ่ง จงึ ได้รณรงคใ์ ห้เด็กไทยมีนสิ ัยรกั การอ่านอยา่ งถาวร โดยประกาศใหป้ ีการศึกษา 2546 เป็น
ปีแห่งการส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้ และในปี พ.ศ. 2549 เป็นวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวทรง
ครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จึงกำหนดนโยบายให้สถานศึกษาเข้าร่วมมหกรรมรักการอ่านเพื่อเป็นการเฉลิม
พระเกียรติ รวมทั้งกำหนดให้วันที่ 2 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพ
รตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารีเปน็ วนั แหง่ การรักการอ่าน เพ่อื สรา้ งสงั คมแห่งการเรียนรตู้ ลอดชีวติ เน่อื งจาก
พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการสร้างนสิ ยั รักการอ่านให้แก่เด็ก เมอ่ื วันท่ี 29 มีนาคม 2549 ณ ศูนย์การ
ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า “หนังสือเป็นสื่อเผยแพร่ความรู้ที่อยู่คู่กับมนุษย์เป็นเวลานาน หนังสือดีมีสาระมีส่วน
ช่วยยกระดับสติปัญญาและจิตใจของมนุษย์ คติคำสอนหรือตวั อย่างต่าง ๆที่ปรากฏในหนังสือยังช่วยกล่อมเกลา
ความรสู้ ึกนึกคิด คุณธรรมจรยิ ธรรมดว้ ย” ฉะนน้ั การปลูกฝังนิสยั รกั การอ่านใหเ้ ยาวชน จงึ เปน็ สงิ่ ทีม่ คี วามสำคัญ
และควรดำเนนิ การอย่างต่อเน่ือง

2

อย่างไรก็ตามสิ่งที่มีความสำคัญและช่วยให้การอ่านประสบความสำเร็จ ก็คือความสามารถในการอ่าน
และความเข้าใจในการอ่าน โดยเฉพาะความเข้าใจในการอ่านนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก การอ่านจะไม่เกิดประโยชน์
หากผู้อ่านไม่เข้าใจเรื่องที่ตนอ่านซึ่ง สมุทร เซ็นเชาวนิช (2549: 73) กล่าวถึงความเข้าใจในการอ่านว่า เป็น
ความสามารถที่จะอนุมานข้อสนเทศ หรือความหมายอันพึงประสงค์จากสิ่งที่อ่านมาแลว้ ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ
มากทสี ดุ เทา่ ท่จี ะทำได้ ซึง่ ความเข้าใจนี้เป็นเรื่องทม่ี ีส่วนเก่ียวข้องสัมพันธ์กับการศึกษา และประสบการณ์ต่าง ๆ
ในหลาย ๆด้านของแต่ละคน และถือเปน็ องค์ประกอบที่สำคัญย่ิงอย่างหนง่ึ ของการอ่าน ถา้ อ่านแล้วไม่เกิดความ
เขา้ ใจใด ๆ เลยกอ็ าจกลา่ วไดว้ ่าการอ่านทแ่ี ทจ้ ริงยังไม่เกดิ ขน้ึ สว่ นกรองแกว้ กรรณสตู (2546 : 19) กล่าวว่า ใน
ประเทศที่ไม่ได้ใชภ้ าษาอังกฤษเปน็ ภาษาประจำชาติ หรือใช้เปน็ ภาษาที่สอง เช่น ประเทศไทย ความสามารถใน
การอา่ นภาษาองั กฤษเพอื่ ความเข้าใจ เปน็ ทักษะทีจ่ ำเปน็ ต้องสรา้ งให้เกิดขึน้ กับชนในชาติ

แม้ว่าการอ่านจะมีความสำคัญและได้รับการส่งเสริมมากดังที่กล่าวมาแล้วก็ตามแต่ปรากฏว่าสภาพใน
ปัจจุบันคนไทยรูปภาพที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ยังไม่ชอบการอ่าน ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
พบว่า คนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไปอ่านหนังสือน้อยลงนั่นคือ จากปี พ.ศ. 2548 มีการอ่านร้อยละ 69.1 แต่ในปี พ.ศ.
2551 กลับอ่านลดลงเหลือร้อยละ 66.3 ส่วนในด้านของเวลาที่ใช้ในการอ่านหนังสอื พบว่า ในปี พ.ศ. 2548 คน
ไทยอ่านหนังสือโดยเฉลี่ย 51 นาทีต่อวัน แต่ในปีพ.ศ. 2551 ลดลงเหลือเพียง 39 นาทีต่อวัน (ทอม, 11
พฤษภาคม 2552) ซ่ึงสอดคลอ้ งกับการสำรวจการอ่านของสำนักงานสถติ แิ ห่งชาติพบวา่ ประเทศไทยมผี ้ทู ี่ไม่อ่าน
หนังสือ 22.4 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 40 ของประชากรทั้งประเทศ ในขณะที่เด็กอายุ 10-14 ปี ร้อยละ
60 ให้เหตุผลว่า ไม่ชอบอ่าน ไม่สนใจที่จะอ่าน และอ่านหนังสือไม่ออก ส่งผลให้จินตนาการของเด็กและคนไทย
ทวั่ ไปลดลง รวมทง้ั เกดิ ปัญหาต่อผลการเรยี นของเด็กไทย และพบว่าทกั ษะการอ่านของนักเรยี นไทยส่วนใหญ่อยู่
ในระดับ 2 จากท้งั หมด 5 ระดับ

ทักษะการอ่านของนักเรียนอยู่ในระดับต่ำ สาเหตุเนื่องมาจากผู้สอนใช้วิธีการสอนที่ไม่เหมาะสมทำให้
การอา่ นของนักเรียนลม้ เหลว และการสอนไมไ่ ดใ้ หน้ ักเรียนได้พัฒนาทักษะการอ่านอย่างแท้จรงิ เน่ืองจากผู้สอน
จะเนน้ ไปในดา้ นการแปล เน้นความจำคำศพั ท์ กฎไวยากรณ์ซงึ่ ไม่สง่ เสริมทกั ษะการคดิ ทำให้นักเรียนไม่เข้าใจใน
การอ่าน ไม่สามารถสรุปองค์ความรู้จากการอ่านให้ออกมาเป็นคำพูดหรือตัวอักษรได้ ประกอบกับผู้สอนไม่ได้
สอนใหน้ ักเรียนฝกึ ฝนกระบวนการอา่ นอยา่ งแท้จริง แตจ่ ะสอนโดยวิธแี ปลเปน็ ภาษาไทย แทนท่ีจะให้นักเรียนทำ
ความเข้าใจโดยใช้ภาษาอังกฤษและที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ทักษะการอ่านต้องอาศัยประสบการณ์ ความรู้
เดิม ประสบการณ์ในการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่งมีอิทธิพลที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิด
ความพอใจในการเรียน โดยผู้สอนต้องจัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความถนัดในการเรียน และ
ต้องให้นักเรียนใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุดไม่ควรใช้ภาษาไทย ควรสอนให้นักเรียนมีความสามารถใช้ภาษาเป็น
เครื่องมือในการทำความเข้าใจกับสิ่งพิมพ์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ปรากฏจริงในชีวิตประจำวัน มีแบบฝึกหัดให้
นักเรียนใช้ภาษาโดยอัตโนมัติและจัดกิจกรรมทางภาษาที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกใช้ภาษา เพื่อติดต่อสื่อสาร
ในสถานการณจ์ ริง และกิจกรรมตอ้ งมสี ภาพการณใ์ กลก้ ับความเป็นจรงิ มากที่สดุ

จากสภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้นผู้วิจัยซึ่งปฏิบัติหน้าที่สอนภาษาอังกฤษระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาในการอ่านภาษาอังกฤษ นักเรียนยังไม่สามารถสามารถอ่านและจับใจความ

3

บทความง่ายๆ ในหนงั สือเรียน ทำใหก้ ารอา่ นของนักเรียนยังไมบ่ รรลุวัตถุประสงค์ และจะสง่ ผลไปถงึ ผลการเรยี น
ของนักเรียน ซึ่งการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านภาษาอังกฤษประเภทนิทานอีสป จัดว่าเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่งที่
ทำให้ผู้เรียนมีความสนใจในการอ่านภาษาอังกฤษและได้ฝึกการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียน ทำให้ผู้เรียนรัก
การอา่ นภาษาอังกฤษ ซงึ่ จะส่งผลไปถงึ พัฒนาการทางด้านทักษะการอ่านของผู้เรยี น และผลการเรยี นของผู้เรียน
ตอ่ ไป

ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาค้นคว้า และใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านประเภทนิทานอีสปในการ
จัดการเรยี นการสอนเรื่องการอา่ น เพ่ือนำไปส่กู ารแกป้ ัญหาดังกล่าวและพฒั นาผลการเรยี นรขู้ องผู้เรียนให้สูงขึ้น
และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษในระดับที่สูงขึ้นไปได้อย่าง มีคุณภาพและ
ประสิทธภิ าพตอ่ ไป

วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย
เพอื่ เปรียบเทยี บทักษะการอ่านภาษาองั กฤษกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 2

โดยใชแ้ บบฝกึ เสริมทกั ษะการอ่านนทิ านอีสป

สมมติฐานของงานวจิ ัย
ผลการเรียนรหู้ ลงั การใชช้ ดุ ฝึกเสรมิ ทกั ษะการอา่ นอสี ปสูงกว่ากอ่ นใช้ชุดฝึกเสริมทกั ษะ

ขอบเขตของการวิจยั
ประชากร
ประชากรทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ได้แก่ นักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกำแพงวทิ ยา อำเภอละงู

จังหวัดสตลู ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2564
กลุ่มตวั อย่าง
กลุ่มตวั อย่างทใ่ี ช้ในการวิจัย ไดแ้ ก่ นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2/2 จำนวน 36 คน การส่มุ ตัวอยา่ งแบบ

เจาะจง

เน้ือหาทใ่ี ช้ในการวจิ ัย
เนือ้ หารายวชิ า ภาษาองั กฤษชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 2 เรื่องการอา่ น

ระยะเวลาทใ่ี ช้
ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564

ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรตน้ ได้แก่ การสอนโดยใชน้ ทิ านอีสป
ตวั แปรตาม ได้แก่ ทักษะการอ่านภาษาองั กฤษ

ประโยชนท์ ี่ได้รับ
- ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนในรายวิชาภาษาองั กฤษสูงขึ้น
- พฒั นาทักษะการอา่ นภาษาองั กฤษของนักเรียนให้ดีขึ้น

4

บทท่ี 2

เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง

การศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวข้องในคร้ังน้ี ผู้วิจยั ได้ศึกษาค้นควา้ เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง
โดยนำเสนอผลการศกึ ษาดงั น้ี

1. เอกสารเกยี่ วกับการอ่าน
2. เอกสารท่เี กี่ยวขอ้ งการใชน้ ิทาน
3. งานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง

เอกสารทเี่ ก่ียวข้องกบั การอ่าน
ความหมายของการอ่าน

การอ่านถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้ของนักเรียน และคุณภาพการอ่านของนักเรียนย่อมส่งผล
กระทบถงึ คุณภาพของการจัดการศกึ ษา นกั การศึกษาหลายท่านไดใ้ ห้ความหมายของการอ่าน ไว้ดังน้ี

วรรณี โสมประยูร (2537 , หน้า 121) กล่าวว่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมองที่ต้องการใช้สายตา
สัมผัสตัวอักษรหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ รับรู้และเข้าใจความหมายของคำหรือสัญลักษณ์ โดยแปลออกมาเป็น
ความหมายที่ใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกัน และผู้อ่านสามารถนำเอา
ความหมายนน้ั ๆ ไปใช้ให้เกดิ ประโยชน์ได้

นพดล จันทร์เพ็ญ (2539 , หน้า 73 ) กล่าวว่าการอ่าน เป็นกระบวนการแปลความหมายของตัวอักษร
หรือสัญลักษณ์ออกมาเป็นถ้อยคำหรือความคิดของตนเองแล้วผู้อ่านก็นำความคิด ความเข้าใจที่ได้จากการอ่าน
น้ันไปใช้ให้เกิดประโยชน์

เตือนใจ กรุยกระโทก (2543 , หน้า 15) กล่าวว่า การอ่าน เป็นกระบวนการแปลความหมายของ
ตวั อักษร เปน็ ความคดิ โดยอาศยั ประสบการณ์เดมิ แล้วนำความคดิ ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชนต์ อ่ ไป

จากความหมายของการอ่านดงั กล่าว สรปุ ไดว้ ่า การอา่ นเป็นกระบวนการคิดทผี่ ู้อ่านเกดิ ความเข้าใจและ
ถ่ายทอดออกมาเป็นถ้อยคำที่มีความหมายสื่อให้ตรงกันระหว่างผู้อ่านและผู้เขียน เป็นการแปลความหมายจาก
สัญลักษณ์ หรอื การเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดใหต้ รงกับตัวอักษรรือตัวอกั ษรที่อ่านเขา้ ใจความหมายของคำแล้ว
เข้าตรงกับที่ผู้เขียนต้องการโดยอาศัยประสบการณ์เดิมที่มีอยู่มาเชื่อมโยงกับความรู้ใหม่จนเกิดความเข้ าใจใน
เร่ืองน้ัน

ความสำคัญของการอ่าน
การอ่านเป็นทักษะที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ในทักษะ

วิชา ด้านอ่นื ๆ เพ่ือเพม่ิ พนู ความร้แู ละนำมาใช้ในการดำเนินชวี ิตตอ่ ไป มีนักการศกึ ษาไดก้ ลา่ วถงึ ความสำคัญของ
การอ่านไว้ ดังนี้

ชุติมา สัจจานันท์ (2525 , หน้า 8-15) อธิบายว่า การอ่านทำให้เกิดการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นด้าน
สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ พฤติกรรม และด้านการดำเนินชีวิต ศีลธรรม จริยธรรม ค่านิยม
การอ่านช่วยปรับปรุงชีวิตให้สดใสสมบูรณ์ การอ่าน หมายถึงการมีชีวิตอยู่ (Reading is Living) เพราะตราบท่ี
โลกไม่หยดุ หมุนวทิ ยาการต่าง ๆ จะเจริญอย่างมากมายมีการค้นควา้ คน้ พบทฤษฎคี วามรูใ้ หม่ ๆ ได้เรียนรู้โดยไม่
ส้นิ สุด ความสำเร็จของการศึกษามักจะเปน็ ผลมาจากความสามารถในการอา่ นขอบเขตและลักษณะของการอ่าน
อีกด้วย นอกจากนี้การอ่านยังทำให้เกิดความสนุกสนานสร้างจินตนาการ ขยายขอบเขตของชีวิต และเนื่องจาก

5

คนคอื ประชากรของประเทศชาติการอา่ นจงึ เป็นปจั จยั ในการพฒั นาสงั คม วฒั นธรรม และเศรษฐกิจของประเทศ
ด้วย

ประเทนิ มหาขันธ์ (2530, หนา้ 161) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไวด้ งั น้ี
1. ช่วยให้ได้รับความร้หู รอื สนองในส่ิงท่ีอยากรู้
2. ชว่ ยใหพ้ ัฒนาตนเองทงั้ ร่างกาย สตปิ ัญญา อารมณ์ และสังคม โดยนำความรจู้ ากการอ่านมา

ปรบั ปรุงพัฒนาชีวิตของตนเองใหด้ ีขน้ึ
3. ชว่ ยปรบั ปรุงสถานภาพของตนเองให้ดีข้ึน พัฒนาอาชีพของตนเองใหก้ า้ วหน้าจากการอ่าน
4. ช่วยใหเ้ กิดความเพลิดเพลนิ ชว่ ยผอ่ นคลายอารมณ์
5. ช่วยให้ชีวิตปลอดภัยและพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า เพราะถ้าประชาชนอ่านหนังสือได้

ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายได้ถกู ต้อง เกดิ ความสงบในบ้านเมือง
สุธีพร ปาคะดี (2531 , หนา้ 20) ได้สรุปวา่ การอา่ นมีความจำเป็นต่อชีวิตมนษุ ย์ในการติดต่อส่อื สาร ทำ

ความเข้าใจและแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ดังนั้นการสอนอ่านจึงเป็นทักษะที่สำคัญท่ี
ครูผู้สอนจะตอ้ งเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รียนได้ฝกึ ฝนอย่างสม่ำเสมอและสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจำวันได้

สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์(2543 , หน้า 1) กล่าวว่า การอ่าน เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการแสวงหา
ความรู้ การร้แู ละใชว้ ิธีอ่านท่ีถกู ตอ้ งจงึ เปน็ สง่ิ จำเปน็ สำหรับผู้อา่ นทกุ คน

จากความสำคัญของการอ่านดังกล่าวสรุปได้ว่า การอ่านมีความสำคัญต่อการเรียนรู้และจำเป็นอยา่ งยิง่
ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน เพราะเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียน
ศึกษา ค้นคว้า หาความรใู้ นด้านอ่ืน ๆ ต่อไปและสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพ การดำเนนิ ชีวิต ให้อยู่ใน
สังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

จดุ มุ่งหมายของการอา่ น
การอ่านของแต่ละบุคคล แต่ละวัย และแต่ละอาชีพ ย่อมจะมีจุดมุ่งหมายในการอ่านที่แตกต่างกัน

ออกไป ซง่ึ มีนักการศึกษาได้เสนอแนะจดุ มุ่งหมายในการอ่านไว้หลายประการ ดังน้ี

สนิท ต้ังกวี (2538 , หนา้ 4) กลา่ วถงึ จุดมงุ่ หมายของการอ่านไว้ดงั น้ี
1. อ่านเพ่ือศกึ ษาหาความร้ใู นเร่อื งราวตา่ ง ๆ โดยละเอยี ดหรือโดยย่อ
2. อา่ นเพือ่ สนองความอยากรู้อยากเห็น
3. อา่ นเพื่อศกึ ษาคน้ คว้า
4. อา่ นเพ่อื ตอ้ งการทราบข้อมลู ข่าวสาร ข้อเทจ็ จริง
5. อา่ นเพือ่ ต้องการเปน็ ท่ยี อมรบั ในวงสังคม
6. อา่ นเพอื่ ให้เกดิ ความสนุกสนาน

เสาวลักษณ์ รัตนวิชช์ (2533, หน้า 21) กล่าวไว้ว่า การอ่านโดยทั่ว ๆ ไปมีจุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการ
คือ

1. อ่านเพอ่ื บนั เทงิ
2. อ่านเพอื่ รแู้ ละเขา้ ใจวิธีกระบวนการ (เพอ่ื ทำเปน็ )
3. อ่านเพอ่ื ศึกษาคน้ ควา้ (เพ่ือคิดเปน็ )

วรรณี โสมประยูร (2537, หน้า 127-128) ได้สรุปจากประสบการณ์ที่ได้ทดลองปฏบิ ัติและทดลองสอน
มาแล้ว ซึ่งจุดมงุ่ หมายทไ่ี ดต้ ัง้ ไว้มดี งั น้ี

1. อา่ นเพอ่ื ค้นหาความรเู้ พ่ิมเตมิ เชน่ อ่านตำรา อ่านบทความ อ่านสารคดี

6

2. อา่ นเพื่อความบันเทงิ เช่น อ่านนวนิยาย อา่ นการต์ ูน อา่ นวรรณคดี
3. อา่ นเพอ่ื ใชเ้ วลาว่างใหเ้ ปน็ ประโยชน์ เช่น อ่านหนงั สอื ประเภทชวนหัวต่าง ๆ
4. อา่ นเพอ่ื หารายละเอยี ดของเรือ่ ง เชน่ อ่านสารคดี อา่ นประวตั ศิ าสตร์
5. อ่านเพ่อื วิเคราะห์วิจารณ์จากขอ้ มลู ทไ่ี ด้ เช่น การอา่ นขา่ ว
6. อา่ นเพื่อหาประเด็นวา่ สว่ นใดเปน็ ข้อเทจ็ จริง เชน่ การอ่านคำโฆษณาตา่ ง ๆ
7. การอ่านเพื่อจบั ใจความสำคัญของเรอ่ื งที่อา่ น เช่น อ่านบทความในวารสาร
8. อ่านเพอื่ ปฏิบัตติ าม เชน่ อา่ นคำส่งั อ่านคำแนะนำ คมู่ อื การใช้เครอ่ื งไฟฟา้
9. อ่านเพื่อออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน มีนํ้าเสียงเหมาะกับเนื้อเรื่องและเหมือนกับพูด เช่น อ่านบท
ละครตา่ ง ๆ
จากจุดมงุ่ หมายท่ีกล่าวมา สรปุ ไดว้ า่ การอ่านของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายเพ่ือศึกษาหาความรู้ เพ่ือสนอง
ความต้องการของตนเอง เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินและอ่านเพื่อให้มีความรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์และการ
ดำรงชีวติ ในปจั จบุ นั

ประเภทของการอา่ น
วิจติ รา แสงพลสทิ ธ์ิ และคนอ่ืน ๆ (2522 ,หน้า 135) ได้แบง่ ประเภทของการอา่ นไว้ 2 ชนิดคือ
1. การอ่านออกเสียง คือการอ่านตามตัวหนังสือเพื่อให้ผู้อื่นฟัง ผู้อ่านจะต้องอ่านได้ชัดเจนถูกต้องตาม

หลักภาษาและความนยิ ม
2. การอ่านในใจ คือ การทำความเข้าใจกับตัวอักษร เป็นการอ่านเพือ่ ตัวผู้อ่านเองซึ่งจะได้รับประโยชน์

มากน้อยเพียงใดยอ่ มข้นึ อยกู่ ับความสามารถของผอู้ ่านแต่ละคน

ทัศนีย์ ศุภเมธี (2527,หนา้ 67-70) ก็ไดแ้ บง่ ประเภทของการอ่านเป็น 2 ประเภท เชน่ เดยี วกนั คอื
1. การอ่านในใจ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากในชีวิตประจำวัน ที่จะทำให้วัตถุประสงค์ทั้งหมดนี้บรรลุผล อาทิ
เช่น การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ การอ่านเพื่อตอบคำถาม การอ่านเพื่อเรียงลำดับเหตุการณ์ แม้แต่การอ่าน
เพอ่ื ความเพลดิ เพลนิ
2. การอ่านออกเสียง มีคุณค่าทางการเรียนมากช่วยให้เด็กมีทักษะมากขึ้นอ่านได้คล่องแคล่ว ถูกต้อง
รู้จักความไพเราะของบทร้อยกรองต่าง ๆ การอ่านออกเสียงมีกระบวนการแตกต่างจากการอ่านในใจทฤษฎีทาง
จิตภาษาศาสตร์ (Psycholinguistics) ได้อธิบายกระบวนการของการอ่านไว้ว่า กระบวน การของการอ่านเป็น
การแสดงปฏกิ ริ ยิ ารว่ มระหวา่ งความคดิ และภาษา กลา่ วคือ ไม่วา่ ผูอ้ า่ นจะใช้วิธอี อกเสียงปากเปลา่ หรือออกเสียง
ในใจต่างก็ใชค้ วามคดิ ของตนเองเข้าไปวเิ คราะห์ความหมายของภาษาเขยี นซึ่งใชต้ ัวหนงั สอื เป็นสื่อ

การสอนอ่าน
ปัจจุบันทักษะการอ่านเป็นทักษะที่มีบทบาทและมีความจำเป็นในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้นนักเรียน

นักศึกษา จำเป็นต้องใช้ทักษะการอ่าน เพื่อการศึกษาหาความรู้วิทยาการแขนงต่างๆ แม้เมื่อจบการศึกษาแล้ว
การอ่านกย็ ังเปน็ ส่ิงทจ่ี ำเปน็ ในชวี ติ ประจำวันตอ่ ไป ดงั นัน้ การสอนอ่านจงึ
จำเป็นต้องปูพื้นฐานที่ดีและถูกต้อง เพื่อพอที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และการประกอบ
อาชีพไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ

จุฑามาศ สุวรรณโครธ (2519 ,หน้า 27-29)ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการสอนอ่านออกเสียงให้ครูผู้สอน
คำนึงถงึ ส่งิ ตอ่ ไปนี้

7

1. อ่านชัดเจน ฝึกอ่านออกเสียงพยัญชนะทุกตัวให้ชัดเจน โดยเฉพาะการออกเสียงตัว ร ล และคำ
ควบกล้ํา ร ล ว เป็นตน้

2. อ่านถูกตอ้ ง สามารถอ่านไดถ้ ูกต้องตามอักขรวิธีของไทย ไม่อ่านตกหล่น หรอื เพิม่ เตมิ ขึ้นมา
3. อ่านคล่อง รู้จักกวาดสายตาล่วงหน้าไปก่อน และออกเสียงตามภายหลัง เพื่อให้อ่านข้อความได้
ต่อเนือ่ งไมห่ ยดุ ชะงกั
4. การเว้นจังหวะและวรรคตอนที่ถูกต้อง รู้จักการเน้นคำ และแบ่งวรรคตอน หยุดออกเสียงในที่ควร
หยุด ถา้ หยุดผดิ ทีจ่ ะทำให้ข้อความนั้นมีความผดิ ไปจากเดมิ ควรฝกึ นกั เรียนใหร้ ะมัดระวงั ให้มากในเรอ่ื งนี้
5. น้ําเสยี งแสดงอารมณต์ ามเนอ้ื เรอื่ ง เปน็ แบบคำพดู หรอื บรรยาย
6. ท่าทางในการอา่ น เนน้ การจบั หนังสอื ที่ถูกต้อง การวางระยะหา่ งจากสายตา การมองผู้ฟงั และท่ายืน
ทีง่ ดงามน่าดู

สพุ ิณ เลิศรตั นการ และคนอนื่ ๆ (2540 ,หนา้ 193-195) ได้แนะนำวธิ กี ารอ่านไว้ดงั นี้
1. การฝึกอ่านแบบครา่ ว ๆ
ในการอ่านแบบคร่าว ๆ นักเรียนควรอ่านให้เร็วกว่าการอ่านปกติ 2 เท่าและต้องเปลี่ยนวิธีการอ่าน
กล่าวคือ แทนที่จะอ่านทุกคำให้อ่านข้ามคำหรือประโยคทีไ่ ม่สำคัญ อ่านเพียงคำสำคัญที่บอกให้รู้ใจความสำคญั
เทา่ น้นั นักเรยี นควรปฏบิ ัติดังน้ี

1.1 อ่าน 2-3 ประโยคแรกและต้ังคำถามว่าเร่ืองนีเ้ ก่ียวกับอะไร
1.2 อา่ นยอ่ หนา้ ต่อไปอยา่ งเร็วเทา่ ท่จี ะจับใจความได้
1.3 อ่านเพียง 2-3 คำในแต่ละย่อหน้าโดยหาคำที่บอกใจความสำคัญ ซึ่งโดยปกติจะอยู่ตอนต้นของ
ยอ่ หน้า แต่บางครง้ั อาจอยู่ตอนทา้ ยของย่อหน้า
1.4 อ่านอยา่ งเรว็ และจำไวเ้ สมอวา่ รายละเอียดขอบเรื่องไม่ใชเ้ รอื่ งสำคญั
2. การอ่านเร็ว
เมอ่ื ความเรว็ ในการอ่านมีความสำคัญดงั กลา่ ว จงึ ควรส่งเสรมิ ให้นกั เรียนเพิ่มความเร็วในการอ่าน ในการ
ฝึกอ่านเร็วมีวธิ ีการอ่านดังนี้
2.1 พยายามอา่ นเปน็ หน่วยความคิดไม่ใช่อ่านทีละคำ
2.2 ฝึกอา่ นในใจ การอา่ นออกเสียงจะทำใหก้ ารอ่านชา้ ลง
2.3 การสร้างภาพจากตัวหนงั สอื ให้เป็นรูปธรรมจะช่วยใหน้ ักเรยี นเกิดความเข้าใจและจำได้
2.4 ควรอ่านข้อความอย่างเร็ว 1 รอบกอ่ นอย่าอ่านข้อความกลบั ไปกลบั มาให้อา่ นไปเรื่อย ๆ อาจจะ
เข้าใจไดใ้ นท่ีสดุ
2.5 ควรจับสายตาไว้เหนือตัวหนังสือเล็กน้อย แล้วให้กวาดสายตาอ่านจับข้อความเป็นกลุ่ม ๆ อ่าน
จากบนลงไม่ใช่จากซ้ายไปขาว กล่าวคือ ต้องฝึกช่วงสายตาให้กว้างเท่ากับความยาว 1 ช่วงบรรทัดเพื่อไม่ให้
เสียเวลาในการกวาดตา
2.6 ควรอ่านประโยคแรกและประโยคสดุ ท้ายของแต่ละยอ่ หนา้ กอ่ นเสมอ
2.7 มีสมาธใิ นการอ่าน
วิธีการอ่านที่จะทำให้ได้ผลดีที่สุด คือ ผู้อ่านจะต้องมีความเข้าใจเรื่องที่อ่านและมีความสามารถในการ
อ่านเร็ว ดังที่ ถนอมวงศ์ ลํ้ายอดมรรคผล (2537 ,หน้า 54 ) กล่าวไว้ว่า ผู้อ่านทั้งหลายปรารถนาจะมีสามารถ
ดังน้ี
1. อา่ นได้เรว็
2. เข้าใจทุกเรอ่ื งท่ีอ่าน
3. ใชเ้ วลาอ่านนอ้ ยแต่ไดป้ ระโยชน์จากการอ่านมาก

8

4. มีเวลามากพอทจ่ี ะอ่านได้ตามตอ้ งการ
5. อ่านแล้วจำได้มากทสี่ ุด
6. นำความรู้ความคิดและสาระไปใชไ้ ดด้ แี ละมากท่ีสดุ
ความสามารถทั้งหมดดงั ท่ีกลา่ วมาแลว้ นน้ั ผู้อา่ นแต่ละคนจะมีไมค่ รบถว้ นแต่อาจเรียนรู้ได้หากได้รับการ
ฝึกที่ถูกต้องนั่นคือ ฝึกอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ และเมื่อผู้อ่านสามารถจับใจความสำคัญเป็นแล้วต่อไปก็จะ
สามารถอา่ นไดเ้ ร็วข้ึน เพราะไม่ตอ้ งเสยี เวลาอา่ นสงิ่ ทไ่ี มส่ ำคญั หรือสว่ นทีไ่ ม่ต้องการในการอา่ นอีกต่อไป

วิภาดา ประสานทรัพย์(2542 ,หน้า 76) ยังได้กล่าวถึงการสอนอ่านว่า ทักษะการอ่านเป็นทักษะที่ใช้ใน
การรับสาร เช่นเดียวกับทักษะการฟังและมีความสำคัญมากในยุคนี้ เนื่องจากผู้คนเป็นจำนวนมากที่สื่อสารกัน
ดว้ ยตวั หนังสือ ในการสอนทักษะการอ่านได้ทำการแบง่ กิจกรรมออกเป็น 3 ชว่ ง ดงั นคี้ อื

1. กิจกรรมการสอนช่วงก่อนการอ่าน เป็นการจัดกิจกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมให้นักเรียนมีความ
สนใจ หรือเพื่อเป็นการโน้มน้าวให้นักเรียนให้เข้ามาสู่เรื่องที่จะอ่าน โดยอาศัยกิจกรรมที่สำคัญอย่างหน่ึงคือการ
คาดการณ์ล่วงหน้านั่นคือ ก่อนที่นักเรียนจะไดอ้ ่านเรื่องราวของบทเรยี นท่ีครูได้เตรียมมาสอนก็จะให้นักเรียนได้
ลองคาดเดาเร่อื งราวนัน้ ๆ ก่อนประกอบกับการใชป้ ระสบการณเ์ ดมิ เขา้ ชว่ ยโดยอาศยั ข้อมูลเบ้ืองต้นเป็นแนวทาง
ซึง่ สามารถทำได้หลายวิธดี ังนี้

1.1 ใช้ช่อื เร่อื ง รูปภาพประกอบเรือ่ งท่ีจะอา่ นและคำถามนำเป็นแนวทางในการโน้มนา้ วนักเรียนมาสู่
เรอ่ื งที่จะเรยี น

1.2 ใหช้ ื่อเรอ่ื งและรายการคำศัพท์มาจำนวนหน่งึ แลว้ ให้นักเรียนเดาวา่ จะมีคำศัพท์ใดอยู่ในเร่ืองท่ีจะ
เรยี นบา้ ง

1.3 ใชร้ ปู ภาพที่เก่ียวกับเรือ่ งท่จี ะสอนเป็นส่ือให้นักเรยี นลว่ งหนา้ จากเรือ่ งท่ีอา่ น
1.4 ใช้รปู ภาพของเรื่องที่จะใชส้ อนเป็นสื่อในการใหน้ ักเรยี นลองแต่งประโยคล่วงหน้าจากคำศัพท์ใน
เร่อื ง
2. กิจกรรมการสอนระหวา่ งการอา่ น เป็นกิจกรรมท่ชี ว่ ยใหน้ กั เรยี นได้เข้าใจเร่ืองท่ีจะได้อ่านมากขึ้นโดย
จะยึดหลักวา่ จุดมุ่งหมายของการอ่านครั้งน้ีคอื อะไรแล้วพยายามทำกจิ กรรมเพือ่ ให้ได้สิ่งนั้น ดังตัวอยา่ งกิจกรรม
ตอ่ ไปน้ี
2.1 Jigsaw reading เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นกั เรียนมีความรับผดิ ชอบต่อสว่ นที่ตนเองจะต้องอา่ น
เพื่อนำมาแบง่ ปันข้อมลู กบั เพอื่ น เพ่อื ทำให้งานทไี่ ด้รับมอมหมายจากการอา่ นสำเร็จ
2.2 ใหน้ กั เรียนจับคู่รูปภาพและคำบรรยายจากเรอ่ื งทีอ่ า่ น
2.3 ใหน้ กั เรยี นเรียงลำดับก่อน – หลงั จากการอา่ น
3. กจิ กรรมการสอนหลังการอ่าน กจิ กรรมทีห่ ลังจากการอ่านจัดได้วา่ มปี ระโยชน์มากเพราะนอกจากจะ
เป็นเหมือนการสรุปเรื่องที่อ่านแล้วยังสามารถใช้เวลานี้ในการรวบรวมความคิดในด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องคำศัพท์
สำนวนจากเรือ่ ง

ทฤษฎีการอ่าน
ณรงค์ ทองปาน (2526 , หน้า 3 ) ได้กล่าวถึงความพร้อมในการอ่านของนักเรียนว่าเกิดจากปัจจัยท่ี

สำคัญ 2 ประการ คือ ปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวเด็ก และปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวเด็ก
ประกอบดว้ ยสิ่งตอ่ ไปนี้

1. ความพร้อมทางด้านร่างกาย ได้แก่ ความสามารถในการมองเห็น ความสามารในการฟัง การออก
เสียง นอกจากนยี้ งั รวมถึงเพศด้วย

9

2. ความพร้อมทางด้านสมอง ได้แก่ ความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถในการจำแนกความ
แตกต่างของภาพและเสยี ง ความสามารถในการคิดอยา่ งมีเหตผุ ลทเ่ี กยี่ วกบั การแกป้ ัญหาในการเรียนอา่ น

3. ความพรอ้ มทางด้านอารมณ์ การทีค่ รชู ่วยให้เด็กเกดิ ความอบอ่นุ เกิดความม่ันคงทางอารมณ์จิตใจ จะ
ทำให้เด็กมคี วามสบายใจ มีความอยากรอู้ ยากเห็นซง่ึ เป็นสว่ นหนึ่งท่ที ำใหเ้ ด็กเกิดความพร้อมในการอา่ นหนงั สือ

4. ความพร้อมทางวิชาการ หมายถึง ความรู้ที่เด็กมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ได้แก่ การรู้จักภาพ รู้จักหา
ความสัมพนั ธ์ของภาพ รจู้ ักวธิ กี ารอ่านจากซ้ายไปขวา การรจู้ กั คำศพั ทอ์ อกเสยี งได้ถูกตอ้ งหรือสนใจทจ่ี ะอา่ น

ฉะนั้น การอ่านจะมีประสิทธิภาพดี ก็เนื่องจากมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งความพร้อมทางร่างกาย
อารมณ์ สังคม สติปัญญา และวิชาการ ตลอดจนความพร้อมทางสภาพแวดล้อมจึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญยิ่งของ
ผสู้ อน และผปู้ กครองจะช่วยเหลอื ใหผ้ ู้เรยี นมีพัฒนาการในการอา่ นที่ดโี ดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในระดับประถมศึกษา

จากทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่านจะเห็นได้ว่าในการสอนอ่านจะต้องคำนึงถึงหลักการเรียนรู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
พฒั นาการทางด้านต่าง ๆ เปน็ อย่างมากในแต่ละวัย ดังนน้ั ครผู ู้สอนจึงควรจะมีความรู้ทางด้านการสอนท่ีถูกต้อง
ตามพฒั นาการต่างๆ ตามวัยและสภาพแวดลอ้ ม การสอนอ่านจงึ จะบรรลผุ ล

เอกสารทีเ่ ก่ียวข้องกับนิทาน
ความหมายของนิทาน

นิทานเป็นประสบการณ์ทางการศึกษา โดยมีความสุขสนุกสนานเป็นองค์ประกอบสำคัญและได้มีผู้ให้
ความหมายของนิทานไวห้ ลายประการดงั นี้

เกรกิ ยนุ้ พันธ์ (2539 ,หนา้ 8) ได้ให้ความหมายของนิทานหมายถึงเร่ืองราวทเี่ ล่าสบื ต่อกันมาตั้งแต่สมัย
โบราณเป็นการผูกเรื่องขึ้นเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความสนุกสนานแฝงคำสอนจรรยา ในการใช้ชีวิตเป็นการถ่ายทอด
วฒั นธรรมต่อเนื่องของผเู้ ล่าให้คนรุ่นใหม่ฟงั

ทัศนีย์ อินทรบำรุง (2539 ,หน้า 14) ได้ให้ความหมายของนิทานไวด้ ังนี้ นิทาน หมายถึง เรื่องราวที่เลา่
ตอ่ ๆ กนั มาหรอื แตง่ ขนึ้ มาใหมโ่ ดยมีจดุ มุ่งหมายเพ่ืออบรมสัง่ สอนและเพอื่ ความสนุกสนานเพลดิ เพลิน

เนื้อน้อง สนับบุญ (2541 ,หน้า 35) ได้สรุปความหมายของนิทานไว้ดังนี้ นิทาน หมายถึง การผูก
เรื่องราวขึ้นมาโดยครูหรือเรื่องราวที่เล่าสืบต่อกันมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน
และสอดแทรกคติสอนใจลงไปในเน้ือหาของนิทาน

ดวงเดือน แจ้งสว่าง (2542 , หน้า 1) ได้สรุปความหมายของนิทานไว้ดังนี้ นิทานคือเรื่องเล่าซึ่งผู้เล่า
ตอ้ งการที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ในสิง่ ที่ไดพ้ บเห็นความคดิ ฝันจินตนาการและความมุ่งหวังของตนไปสูผ่ ูฟ้ ัง

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2542 ,หน้า 447) ให้ความหมายว่า นิทานคือเรื่องที่เล่ากันแต่
โบราณ รวมความหมายแปลวา่ เรื่องเล่า

สณั หพฒั น์ อรุณธารี (2542 , หน้า 22) กล่าวว่านิทานหมายถงึ เร่ืองที่มีผูแ้ ต่งขน้ึ ใหม่หรือเป็นการเล่าสืบ
ต่อกันมา เพื่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินแก่ผู้ฟังเป็นสำคัญและสอดแทรกความรู้ หรือคุณธรรมเป็น
ส่วนประกอบ

สุนีย์ ชุ่มจิต (2543 , หน้า 39) กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาแต่โบราณ เป็นมรดกทาง
วัฒนธรรมส่วนใหญ่ถ่ายทอดด้วยวิธีมุขปาฐะ แต่ก็มีอยู่เป็นจำนวนมากที่ได้รับการบันทึกไว้แล้วแต่เวลาบันทึกก็
บันทกึ โดยสำนวนเลา่ ด้วยปากเช่นเดิมอาจจัดได้ว่านิทานเป็นเครื่องให้ความบันเทิงใจชิ้นแรกสำหรับมนุษยชาติก็
เป็นได้

ภาทิพ ศรีสุทธิ์ (2546, หน้า 1) ให้ความหมายของนิทานว่า เรื่องเล่าสืบต่อกันมาเป็นวรรณกรรมที่
เกา่ แกท่ ี่สุด กล่าวกันวา่ นทิ านมกี ำเนดิ พร้อม ๆ กบั ครอบครวั มนุษย์ชาติมลู เหตุท่ีมาแต่เริ่มแรก เปน็ เรื่องที่เกิดข้ึน
จริงแล้วเล่าสู่กันฟังมกี ารเพิม่ เติมเสรมิ แต่งใหพ้ สิ ดารมากย่งิ ขน้ึ จนห่างไกลจากเรอ่ื งจรงิ

10

ดังนั้น นิทาน หมายถึงเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณเป็นมรดกทางวัฒนธรรมนิทานอาจเป็น
เรื่องจริงหรือมีผู้แต่งขึ้นเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน และเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตมีการสอดแทรก
ความคิดคุณธรรมอันดีงาม หรอื มกี ารสอดแทรกคติสอนใจใหผ้ ู้อ่านได้คล้อยตามด้วยอีกทง้ั ยงั เป็นแนวทางในการ
ปฏิบัติตนทถ่ี กู ทค่ี วรในการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคม

ลกั ษณะของนทิ าน
นทิ านเปน็ ส่ิงจำเปน็ และเป็นทต่ี อ้ งการของเด็กเป็นอันมากแม้วา่ ในสมยั ปัจจุบันความรู้ทางวิทยาศาสตร์

จะก้าวหน้ามาก และเด็กได้รู้ความจริงทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นอย่างไรก็ตามแต่นิทานก็ยังมีเสน่ห์จับใจเด็กอยู่
หลายอย่าง

หม่อมหลวงจ้อย นันทิวัชรินทร์ (2526, หน้า 6) กล่าวถึง นิทานที่ดีควรมีลักษณะดังนี้ คือมีความ
เคลื่อนไหวอยู่ในเรื่อง มีเนื้อเรื่องเร้าใจ ข้อความคล้องจองกัน ปฏิภาณไหวพริบของตัวละคร ความรู้สึกสะเทือน
ใจเรื่องผี ซึ่งไม่ควรน่ากลัวเกินไป เรื่องเกี่ยวกับเด็ก นิทานสุภาษิต ตำนาน นิทานพื้นเมืองเรื่องขำขันและ เทพ
นยิ าย

สมชาย ตันติสันตสิ ม (2527, หนา้ 38) กลา่ วว่า นทิ านชว่ ยใหเ้ ดก็ ได้คลายเครียดและส่งเสริมพัฒนาการ
ด้านอารมณต์ า่ ง ๆ สง่ เสริมความคิดใหเ้ ด็กได้มีจินตนาการในขณะที่ได้ฟังหรืออ่านนิทานนิทานจึงเป็นเคร่ืองมือที่
ใช้สอน จริยศึกษา จิตวิทยา สังคมวิทยา และเป็นเครื่องมือที่ดี ที่ช่วยพัฒนาการอ่านได้การเลือกนิทานที่ตรงกับ
ความสนใจจะพัฒนาทกั ษะทางด้านการอา่ นของนักเรียนไดด้ ี

พรจันทร์ จันทวิมล (2528, หน้า 45) กล่าวถึงลักษณะของนิทานว่าเป็นเรื่องที่มีการขึ้นต้นดำเนินเรื่อง
และจบ มีความสมบูรณ์ในตัวเองมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องกัน ใคร ทำอะไร ที่ไหนเมื่อไร ได้ผลอย่างไร สนอง
ความปรารถนาบางอย่างที่ไม่อาจมีในชีวิตจริง ส่งเสริมจินตนาการอัน เป็นความสุขความพอใจอย่างหนึ่งของ
คนเรา

บันลือ พฤกษะวัน (2533, หน้า 26 ) กล่าวถึงลักษณะของนิทานว่าควรมีสาระสำคัญที่ควรพิจารณา
ดังน้คี อื

1. นทิ านเปน็ เรือ่ งสน้ั จบในตัวเอง
2. ประกอบด้วยตัวละครนอ้ ย อาจเปน็ ลูกสตั วห์ รือเดก็ วยั เดยี วกัน
3. นทิ านเป็นเรื่องความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลง่าย ๆ ระหว่างตวั ละคร
4. สรุปเรอ่ื งได้ง่าย เพราะเรื่องราวไม่ซับซอ้ น
5. นิทานหรือเรื่องราวทีส่ ามารถแสดงประกอบเรือ่ ง แลว้ สรุปเรือ่ งตั้งชอื่ เร่อื งได้
6. เป็นเรอ่ื งราวทใี่ ห้แนวคิดแนวประพฤติปฏบิ ัตแิ ก่เด็กผูอ้ า่ นได้ดี

อัญชัญ เผ่าพันธุ์ (2534, หน้า 21) ซึ่งกล่าวว่านิทานมีความแตกต่างในด้านเนื้อเรื่อง แต่มีจุดหมาย
เดียวกนั คือมุ่งให้ผู้ฟังได้รบั ความสนุกสนานเพลิดเพลินเป็นเครื่องบันเทิงใจยามวา่ งนิทานบางเร่ืองสอนให้บุคคล
ทำความดีนิทานสามารถใช้เป็นสื่อเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้ทุกด้านคือพัฒนาการทางด้านร่างกาย
อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา ช่วยปลกู ฝงั จริยธรรมและฝึกให้เดก็ ร้จู ักการแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง

ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์ (2536, หน้า 64) กล่าวว่า นิทานที่ดีจะกระตุ้นอารมณ์ตอบสนองผู้ฟังเกิด
ความรสู้ ึกกลวั รกั กังวลเครยี ด และ อารมณ์ผอ่ นคลาย เปล่ียนไปตามเนือ้ เรื่อง และชว่ ยฝกึ จนิ ตนาการ

สรุปได้ว่าลักษณะของนิทานที่ดีควรจะมีกระตุ้นให้ผู้เรียนตอบสนอง มีเนื้อเรื่องเร้าใจ ส่งเสริม
จินตนาการมีตัวละครน้อย เป็นแนวทางในประพฤติตน อบรมสั่งสอนศีลธรรมและให้แนวคิดในการประพฤติ
ปฏบิ ัติตนได้

11

จดุ ประสงคข์ องนทิ าน
สมศกั ด์ิ ปริปรุ ณะ (2542 , หน้า 7-13) ได้กล่าวถงึ จุดมงุ่ หมายของนิทานไวด้ ังน้ี
1. ใชเ้ ป็นเคร่อื งมอื ในการถา่ ยทอดวัฒนธรรม
1.1 เพ่อื ลดความตึงเครยี ดของครอบครวั
1.2 เพอ่ื ลดความกดดันจากกฎเกณฑ์ และระเบียบทางสงั คม
1.3 เพื่อสอนระเบยี บของสังคม
1.4 เพื่อถ่ายทอดความเชื่อและพิธกี รรม
1.5 เพ่อื สร้างเอกลักษณ์ และประวตั ิของท้องถ่นิ ในแต่ละทอ้ งถิ่น
1.5.1 อธิบายประวตั ขิ องสถานที่
1.5.2 บนั ทึกประวตั ิผู้นำท้องถนิ่
1.5.3 บนั ทึกประวตั ิศาสตรข์ องกลุ่มชน
2. ใช้เป็นเครื่องมือและสื่อในการเรียนการสอนจุดมุ่งหมายของนิทานที่ใช้เป็นเครื่องมือ และสื่อในการ

เรียนการสอนมดี ังต่อไปนี้
2.1 จดุ ม่งุ หมายเก่ียวกับเนอ้ื หาทใี่ ชส้ อน
2.2 จดุ มุ่งหมายเกยี่ วกบั ตัวผ้เู รยี น
2.3 จดุ มุ่งหมายเกยี่ วกับส่อื และเทคนิคการสอน
2.4 จดุ มงุ่ หมายเก่ียวกับวธิ สี อน

สรปุ จดุ มงุ่ หมายของการเลา่ นิทาน คอื เพ่อื ความบนั เทงิ และเหตุผลท่ีต้องการอบรมกล่อมเกลาจิตใจให้ผู้
ที่อ่านหรือผู้ฟังนิทานเป็นคนดี อีกทั้งนิทานยังเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง
บรรยากาศที่ดี สรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจ รวมทง้ั ช่วยฝกึ ทกั ษะทางภาษา ทกั ษะทางการคดิ และนทิ านยงั ก่อให้เกิด
ประโยชนด์ า้ นอืน่ ๆ อีกมากมาย

ประเภทของนิทาน
การแบ่งประเภทของนิทานสามารถแบ่งได้หลายประเภท เช่น แบ่งตามเขตพื้นที่แบ่งตามยุคสมัย แบ่ง

ตามดรรชนแี บบเรือ่ งหรือแบ่งตามชนดิ ของการเลา่ นทิ าน แต่ท่ีนยิ มกันมากคอื การแบง่ ตามรปู แบบของนทิ าน
การแบ่งประเภทของนิทามตามรูปแบบของนิทาน สามารถจำแนกและแบ่งได้ตามเนื้อหาสาระ ที่เป็น

เรื่องราวของนิทานซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านได้อธิบายถึงวิธีการแบ่งประเภทของนิทานตามรูปแบบนิทาน ไว้
ดงั นี้

เกริก ยุ้นพันธ์ (2539 ,หน้า 20-22) ได้กล่าวถึง การแบ่งประเภทของนิทานตามรูปแบบของนิทาน โดย
ไดแ้ บง่ นทิ านออกเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ไว้ 8 ประการ คอื

1. เทพนิทานหรือเทพนิยายหรือเรื่องราวปรัมปรา เป็นนิทานหรือนิยายที่เกินเลยความเป็นจริง เป็น
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอภินิหาร ตัวเอกของเรื่องหรือตัวละครเด่น ๆ จะมีอภินิหารหรือเวทย์มนต์ ฤทธิ์เดช ฉาก
หรอื สถานท่ีในเนอ้ื เร่ืองมกั จะเป็นสถานท่ีพเิ ศษหรือสถานทที่ ถ่ี ูกกำหนดข้ึนมา

2. นิทานประจำถิ่นหรือนิทานพื้นบ้าน มักจะเป็นนิทานที่ถูกกล่าวขานตกทอดต่อเนื่องกันมา เป็น
เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตำนานพื้นบ้าน ประวัติความเป็นมาของท้องถิ่น ภูเขา ทะเล แม่นํ้า เรื่องราวของ
โบราณวัตถทุ ่มี ีแหลง่ ที่มาของการสรา้ ง การเกิด เป็นตน้

3. นิทานคติสอนใจ เป็นนิทานที่เลียบเคียงเชิงเปรียบเทียบกับชีวิต และความเป็นอยู่ร่วมกันในสังคม
มนุษย์บังเกิดผลในการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ให้พิถีพิถันละเอียดรอบคอบและไม่ประมาท ช่วยเหลือและ
เมตตาตอ่ ผูอ้ น่ื และอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข

12

4. นิทานวีบุรุษ เป็นนิทานที่มีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่มีความสามารถ องอาจและกล้าหาญ นิทาน
วีรบุรษุ มกั เปน็ เร่ืองราวท่ีถา่ ยทอดเร่ืองจริงของบคุ คลที่สำคัญ ๆ ไว้แต่มักสร้างฉากหรอื สถานการณ์น่าต่นื เต้นหรือ
เกินความเป็นจริง เพื่อให้เรื่องราวสนุกสนานและทำให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามว่าบุคคลผู้ที่เป็นวีรบุรุษนั้นมี
ความสามารถและน่าสนใจจรงิ ๆ

5. นิทานอธิบายเหตุ เป็นนิทานที่เป็นเรื่องราวของเหตุที่มาของสิ่งหนึ่งสิ่งใดและอธิบายพร้อมตอบ
คำถามเรอ่ื งาวน้ัน ๆ ด้วย เช่น เรอ่ื กระตา่ ยในดวงจนั ทร์ เปน็ ต้น

6. เทพปกรณัม เป็นนิทานที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อโดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับตัวบุคคลที่มีอภินิหารเหนือ
ความเปน็ จริง ลกึ ลบั ได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม ทศกัณฑ์ เปน็ ต้น

7. นิทานที่มีสัตว์เป็นตัวเอกและมีการเปรียบเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวติ มนุษย์ เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ
การอยู่ร่วมกันในสังคม สอนจริยธรรมแฝงแง่คิดและแนวทางแก้ไขเป็น บางครั้ง หรือบางครั้งสอนแบบทางอ้อม
หรอื ผู้ฟงั จะตอ้ งพจิ ารณาเอง มักเป็นเรอื่ งราวบันเทิงคดีท่มี คี วามสนุกสนาน

8. นิทานตลกขบขัน เป็นนิทานที่มีเรื่องราวเปรียบเทียบชีวิตความเป็นอยู่แต่มีมุมที่ตลกขบขัน
สนกุ สนานทำให้เกิดความรู้สึกเป็นสขุ เนื้อเรอื่ งจะเปน็ เรอื่ งราวทเ่ี ก่ยี วกบั ไหวพรบิ เรือ่ งราวแปลก ๆ เร่อื งเหลอื เชื่อ
เร่อื งเกินความเปน็ จรงิ เปน็ ตน้

หลกั การเขยี นนทิ านสาหรบั เด็ก
สวัสดิ์ เรืองวิเศษ (2520 ,หน้า 71- 76) ได้เขียนหลักเกณฑ์ที่สำคัญในการเขียนเรื่องสำหรับเด็กไว้

ดังตอ่ ไปน้ี
1. จุดมุ่งหมายในการเขียน ผู้เขียนจะต้องทราบว่าจะเขียนเรื่องเพื่ออะไรซึ่งจำแนกได้อย่างกว้าง ๆ 2

แบบคอื
1.1 เขยี นเรอื่ งเพื่อใช้เล่าใหเ้ ด็กฟัง หรือใช้สำหรบั อ่านให้เดก็ ฟงั
1.2 เขียนเพือ่ ใหเ้ ดก็ อา่ นเอง

ทัง้ นีเ้ พราะจดุ มงุ่ หมาย 2 ข้อดังกล่าวจะต้องใช้วิธีเขยี นที่แตกตา่ งกนั
2. ศกึ ษาธรรมชาติของเด็ก
ในการเขียนเร่อื งสำหรบั เด็กไมว่ า่ ดว้ ยจุดประสงค์ใด ผเู้ ขยี นจะต้องรจู้ ักผูอ้ า่ น หรือผฟู้ งั ว่ามคี วามตอ้ งการ
และความสนใจอย่างไรบ้าง ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ละเอียดลงไปว่าเป็นเด็กวัยใด ช่วงอายุประมาณเท่าใด เพศ
หญิงหรือชาย เพราะธรรมชาติความต้อง ความสนใจของเด็กแตกต่างกันออกไปตามวัยและเพศ นอกจากน้ี
ผูเ้ ขยี นจะต้องศึกษาถึงสภาพแวดล้อมของส่งิ ที่เด็กสนใจด้วย เพ่ือจะนำสิ่งเหลา่ น้นั มาเขียนให้เรื่องมีชีวิตชีวาและ
ดสู มจรงิ
3. การวางโครงเร่ือง
หลังจากศึกษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วก็นำมาวางโครงเรื่องให้สัมพันธ์กัน โครงเรื่องควรเป็น
ลักษณะสั้น ๆ ไม่สลับซับซ้อน อ่านหรือฟังแล้วสามารถจับใจความได้ถ้าเป็นเด็กโต ความยาวและความ
สลับซับซ้อนของเรื่องก็ควรจะเพิ่มขึ้น ลักษณะตัวละครควรอยู่วัยเดียวกับผู้อ่าน การวางโครงเรื่องควรให้ผู้อ่าน
ได้รับความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ไปกับท้องเร่ือง หรือให้เกดิ ความรู้สึกตืน่ เต้นชวนคิดตามเนื้อเรื่องไม่วกวนไปมา
และมีการลำดับความคิดอย่างต่อเนื่องกันไปโดยสมบูรณ์ไม่ขาดตอน ข้อควรระวังคือไม่ควรสอดแทรกความคิด
หรือแสดงใหผ้ ูอ้ า่ นหรือผู้ฟังเกิดความรู้สกึ ว่าถูกเหยยี ดหยามหรือถกู ตำหนติ ิเตียนจะทำใหเ้ กิดความเบื่อหน่ายและ
ความไมส่ บายใจ ถา้ เปน็ เร่อื งทด่ี ดั แปลงมาจากภาษาต่างประเทศ ควรคำนงึ ถึงสภาพทางธรรมชาติและทางสังคม
ด้วยวา่ สอดคล้องกับสังคมไทยหรือไม่ เพราะเด็กๆ ยอ่ มพอใจในเร่ืองราวท่ีมีธรรมชาติสอดคล้องกับความเป็นอยู่
ของตนมากกว่าอย่างอ่นื

13

4. การใช้สำนวนภาษา
ภาษาที่ใช้เขียนนิทานสำหรับเด็กเล็ก ๆ ควรเป็นคำธรรมดาที่จะสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องคิด
หาคำแปล เป็นคำส้นั ๆ ทีก่ ะทดั รัด มีความหมายในตวั เองชัดเจนการเรียบเรียงถ้อยคำให้สละสลวย และมีความ
สบื เนอ่ื งสมั พนั ธ์อย่างราบร่ืนไมต่ ิดขดั ชวนให้เดก็ คิดตาม ในบางครั้งถ้าเขียนนิทานข้ึนเพ่ือเล่าให้เด็กฟัง จะใช้คำ
มาก ๆ คำยาว ๆ สะกดยาว ๆ ได้ แตก่ ค็ วรเป็นคนที่เดก็ ชอบและเข้าใจไดด้ ว้ ย
จากหลักการเขียนดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า ผู้เขียนต้องสื่อความหมายให้ผู้อ่านสร้างจินตนาการและมี
อารมณ์ร่วมในการอ่าน โดยศึกษาศึกษาธรรมชาติของเด็ก กำหนดจุดมุ่งหมายของเรื่องไว้ วางโครงเรื่องที่ไม่
สลับซบั ซอ้ นกันมาก และควรใชค้ ำสนั้ ๆ ท่กี ะทดั รดั มีความหมายในตวั เองชดั เจนราบรนื่ ไม่ติดขดั

ประโยชน์ของนทิ านทีม่ ีต่อการเรียนการสอน
นิทานเป็นเรื่องราวที่ช่วยเด็ก ให้เกิดความเข้าใจในเชิงรูปธรรมเพราะมีตัวละคร พฤติกรรมและปัญหา

ของตัวละครซง่ึ เปน็ เด็กวยั เดียวกนั ยอ่ มโนม้ นา้ วใหอ้ ยากประพฤตเิ ลียนแบบ หรือ เอาอยา่ งได้

ม.ล. จ้อย นนั ทิวัชรินทร์ (2526, หน้า 44-46) กล่าวถึงคณุ คา่ ของนิทานวา่ การเลา่ นิทานเปน็ การเรียนรู้
ประสบการณ์ต่าง ๆ วิธีหนึ่งที่ไม่มีแบบแผนเป็นการเรียนรู้ที่ได้ผลเร็วมากกว่าการเรียนรู้อย่างมีระบบแบบแผน
เด็กจะพอใจที่จะเรียนรู้ประสบการณ์จากนิทานตั้งแต่เมื่ออ่านหนังสือเองได้ จึงแสวงหาประสบการณ์จากการ
อ่าน และไดเ้ ลือกสิ่งที่ต้องการอา่ นด้วยตนเองซึง่ จะช่วยสง่ เสรมิ นสิ ัยรักการอ่าน

ล้วน เลิศอาวาส (2542 ,หน้า 6) กล่าวถึงประโยชน์ของนิทาน สรุปได้ว่านิทานเป็นเรื่องที่เด็กชอบฟัง
นิทานมีทัง้ อารมณ์ขบขัน ตื่นเต้น รกั โกรธ หลง เศร้าโศกของตัวละคร ไมว่ ่าจะเปน็ คนสัตว์ พืช เทวดา ภูติปีศาจ
นิทานยงั ชว่ ยสง่ เสริมทักษะการอ่าน พดู ฟงั และเขียน เปน็ ส่ือสมั พนั ธร์ ะหวา่ งครอบครวั ครู ศษิ ย์ และสังคม ให้
มคี วามสนทิ สนมใกลช้ ดิ กนั

สุภัสสร วัชรคุปต์ (2543 ,หน้า 36) ได้กล่าวถึงคุณค่าของนิทานที่มีต่อการเรียนการสอน โดยสรุปว่า
นิทานเปน็ ส่ิงท่ชี ว่ ยให้เด็กมีพฒั นาการในทุก ๆ ด้าน และเปน็ เคร่ืองมือท่ีก่อใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ซ่ึงสามารถนำมาใช้
เพือ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์แกน่ กั เรยี นได้เปน็ อย่างดี

จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า นิทานเป็นสื่อในการพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่านและเขียนได้ดี โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในการอ่าน เพราะนิทานเป็นสิ่งที่เด็กระยะเริ่มฝึกอ่านสนใจการใช้นานเป็นสื่อในการพัฒนาทัก ษะการ
อ่านจะทำให้ผู้เรียนพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว สามารถจำคำ อ่านคำและนำคำไปใช้ได้การพัฒนาทักษะการอ่านจะ
ทำให้ผู้เรียนพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว สามารถจำคำ อ่านคำและนำคำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ นิทานยัง
สามารถปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีแก่ผู้อ่าน รวมทั้งให้ความรู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลินอีกด้วย การ
เลือกนิทานเพื่อให้เป็นสื่อในการพัฒนาทักษะการอ่านสำหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษา ปีที่ 1-2 ควรเลือกเรื่องที่
มีตัวละครเป็นสัตว์หรือคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็ก เป็นเรื่องที่ไม่ซับซ้อน มีตัวละครไม่มากนัก ไม่เป็น
เร่ืองที่น่ากลัว โหดร้าย ครูต้องใช้ภาษาง่าย ๆ ที่เหมาะสมกับเด็ก ใช้ท่าทางนํ้าเสียง รูปภาพ ประกอบการเล่า
นิทานจึงจะนา่ สนใจ บรรลุวัตถุประสงค์ท่ตี ัง้ ไว้

งานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง
ในการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องผู้ศึกษาได้ศึกษาเกี่ยวกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการอ่ านและงานวิจัยท่ี

เก่ยี วข้องกับการใชน้ ิทานในการพฒั นาการอ่าน

14

อภิรักษ์ รักษาชื่อ (2560) การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยการอ่านจากเรื่องสั้นๆ ของ
นักศึกษาช้นั ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูงปที ่ี 2 ประจำการศกึ ษา 2560 จำนวน 36 คน พบวา่ จากการทดสอบ
จากทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยการอ่านเรื่องสั้นและทำแบบฝึกหัดที่กำหนดให้นั้น ทำให้นักเรียนมีความรู้
ความเข้าใจ และสามารถทำแบบทดสอบหลังเรียนได้ดียิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากการเปรียบเทียบผลการทดสอบ
กอ่ นเรียนและหลังเรยี นของนกั เรยี นท่ีเพ่ิมขน้ึ

วชั ราภรณ์ แสงพันธ์ และ นิตยา เปลื้องนุช (2553) การพัฒนากิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือ
ความเข้าใจโดยใช้นทิ านอสี ปของนักเรียน ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2553โรงเรียนโนนสัง
วิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองบัวลำภู เขต 1 จำนวน 37 คน พบว่า ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ที่ดีข้ึน
โดยนักเรียนจำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 75.67 สามารถทำคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ได้คะแนนเฉลี่ย
21.03 คิดเป็นร้อยละ 70.09 ซึ่งผ่านเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้และผู้เรียนมีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนโดยรวมในระดับมาก

15

บทที่ 3
วธิ ีดำเนินการวจิ ยั

การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยชุดฝึกทักษะการอ่าน
ภาษาอังกฤษจากนิทานอีสป ผู้วจิ ัยได้มวี ิธีการดำเนินการวิจัย ดงั น้ี

1. รูปแบบการวจิ ัย
2. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
3. ตัวแปรในการวิจัย
3. เครอื่ งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
4. ขัน้ ตอนการสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั
5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
6. การวเิ คราะห์ข้อมลู

รปู แบบการวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยการใช้รูปแบบการวิจัยเป็นแบบหนึ่งกลุ่มสอบก่อน-สอบ

หลัง (One Group Pretest-Posttest Design) เขยี นเปน็ สญั ลกั ษณไ์ ดด้ ังนี้

01 X 02

สัญลกั ษณ์ท่ีใช้ในงานวิจัยในครั้งน้ี
X หมายถงึ ตัวแปรต้น
01 หมายถึง การทดสอบกอ่ นเรียน
02 หมายถงึ การทดสอบหลังเรียน

ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร
ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวัด

สตลู
กลุ่มตวั อย่าง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู

จังหวัดสตูล ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน รวมทั้งสิ้น 40 คน ซึ่งได้มาจากการเลือก
หอ้ งเรียนดว้ ยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจยั
ตวั แปรต้น ได้แก่ การสอนโดยใชน้ ิทานอสี ป
ตัวแปรตาม ไดแ้ ก่ ทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษ

16

เครื่องมอื ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านออก

เสียงของนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 2/2 และนทิ านอีสปจำนวน 1 เรื่อง ซ่ึงผูว้ ิจัยสร้างขึน้ เองโดยมีขั้นตอนการ
สร้างแบบทดสอบและนทิ าน ดงั นี้

1. ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าการสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษจาก
เอกสาร และงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วข้อง ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 2

2. ศึกษาการนำคำศัพทใ์ นนิทานมาเปน็ แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษ
3. ออกแบบนิทานและแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ
4. นำแบบทดสอบและนทิ านไปให้ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบจำนวน 3 ทา่ น
5. นำแบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่านออกเสยี งและนิทานไปปรับปรุงแก้ไขอีกคร้งั
6. นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านออกเสียงมาวัดผลอีกครั้ง โดยแบบทดสอบมี
ลักษณะเป็นคำและประโยคสั้น ๆ ที่เหมาะสมกับระดบั ชั้นของนกั เรียน ซึ่งเกณฑ์ในการสร้าง แบบทดสอบก่อน-
หลงั ในการอ่าน ได้แก่ คำศพั ท์ในนทิ าน จำนวน 40 คำ

ข้ันตอนการสรา้ งและพฒั นาเครื่องมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย
ผู้วิจัยนำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านออกเสียงของนักเรียนไปใช้ทดสอบกับประชากร

จำนวน 40 คน จากนน้ั คดั เลือกกลมุ่ ตัวอย่างจำนวน 5 คนทม่ี ีคะแนนตํ่าทสี่ ุด โดยมีข้นั ตอนการสอบดังน้ี
1. นำนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมาฝึกอ่านโดยใช้นิทานที่ผู้วิจัยสร้างขึน้ จำนวน 1 เรื่อง โดยการฝึกให้

นกั เรยี นออกเสียงสะกดคำศพั ท์ที่ต้องการเน้นก่อนทจ่ี ะอ่านพร้อมกนั จากนนั้ ให้นักเรยี นอา่ นนทิ านพรอ้ มกัน แลว้
ให้นักเรียนแตล่ ะคนตอบปากเปล่าในเนื้อเร่ืองทไ่ี ดอ้ ่านและทำตอบคำถามเป็นรายบุคคล เพือ่ ทดสอบความเข้าใจ
ในการอ่านใช้เวลา เวลา 6 คาบ

2. นำแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษก่อน - หลังมาทดสอบอีกครั้งโดย
การใช้สัญลักษณ์ในการบันทึกแล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานวิเคราะห์
งานวิจยั ในคร้งั น้ี

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
1. นำแบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียนใช้ในการอ่านออกเสียงฉบับของผู้ดำเนินการสอบที่ได้บันทึก

ข้อผิดพลาดในการอ่านของนักเรียนเป็นรายบุคคล แล้วมาแปลสัญลักษณ์ให้ครบทุกสัญลักษณ์ โดยขีดรอย
คะแนนลงในแบบบนั ทึกการอ่าน

2. รวบรวมความถี่ของข้อผิดพลาดในการอ่านออกเสียงของนักเรียนในแต่ละด้านจากที่ได้กำหนดไว้
แล้วให้คะแนนความสามารถในการอ่านออกเสียงของนักเรียน คิดคะแนนทั้งเต็ม 100 คะแนน โดยการหัก
คะแนน

3. เกณฑ์ในการให้คะแนนวัดทกั ษะการอา่ นออกเสยี งของนักเรยี นกำหนดไว้ 3 ดา้ นดงั นี้
3.1 ความสามารถในการอา่ นไดถ้ กู ตอ้ ง เป็นการใหค้ ะแนนโดยคำละ 1 คะแนน
3.2 ความสามารถในการอ่านออกเสียงได้ชัดเจน ในการนี้จะใช้มาตรฐานเสียงการอ่าน ของทาง

ราชการในส่วนกลางเปน็ เกณฑ์ โดยพิจารณาคิดเปน็ ร้อยละของคำที่อ่านได้ ดงั ต่อไปน้ี
3.3 ทกั ษะในการอา่ นได้คลอ่ งแคล่ว พจิ ารณาหักคำละ 1 คะแนน

4. ทำการทดลองโดยใช้นิทานเป็นสื่อ โดยให้นักเรียนมาฝึกอ่านในทีละคน แล้วดำเนินการวิจัยโดยครู
อ่านสะกดคำศัพท์ในนิทานแล้วจากนั้นครูจะอ่านนำโดยให้นักเรียนอ่านตามจนจบเรื่อง จากนั้นครูให้นักเรียน
อา่ นออกเสียงพรอ้ มกันแลว้ ให้นกั เรียนทำแบบฝึกหัดหลังจากท่ีได้อ่านนิทานแล้ว

17

5. ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ซึ่ง
เป็นแบบทดสอบชดุ เดยี วกับท่ใี ชท้ ดสอบกอ่ นเรยี น

6. นำข้อมูลที่ได้จากการทดสอบการสอนโดยใช้นิทานเป็นสื่อนั้น มาวัดความสามารถในการอ่านออก
เสียงมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าคะแนนเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานจากแบบทดสอบก่อน -หลัง
เรียนมาบรรยายผล

การวเิ คราะหข์ อ้ มลู
การวเิ คราะหข์ ้อมลู มีขัน้ ตอนในการวเิ คราะห์ดงั นี้
1. นำคะแนนการอ่านออกเสียงของนักเรียนก่อน-หลัง การฝึกฝนโดยใช้นิทานเป็นรายบุคคลมาคิดเป็น

ร้อยละ
2. นำคะแนนรวมที่ได้จากการอ่านออกเสียงจากแบบทดสอบก่อนและหลังการฝึกการอ่านออกเสียงโดย

ใชน้ ทิ านของนักเรียนเปน็ รายบคุ คลมาหาความถตี่ ามระดับความสามารถท่ีกำหนดไว้ดังน้ี
ระดบั ความสามารถในการอ่านสงู มากได้คะแนนต้ังแตร่ ้อยละมากกว่า 80 ของคะแนนเตม็
ระดบั ความสามารถในการอ่านสูง ได้คะแนนระหว่างรอ้ ยละ 61-89 ของคะแนนเต็ม
ระดบั ความสามารถในการอ่านปานกลางได้คะแนนระหวา่ งรอ้ ยละ 56 - 60ของคะแนนเต็ม
ระดบั ความสามารถในการอ่านตํา่ ไดค้ ะแนน น้อยกวา่ รอ้ ยละ 55 ของคะแนนเตม็
3. นำความถ่ีของนักเรียนทีไ่ ดค้ ะแนนความสามารถตามข้อ 1 มาคำนวณเป็นคา่ รอ้ ยละของกลุ่มตัวอย่าง

ท้งั หมด

สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวจิ ัย
สถิตทิ น่ี ำมาใชว้ ิเคราะห์ขอ้ มูลในการวจิ ยั ครั้งนี้มดี งั ต่อไปนี้
1. รอ้ ยละ (%) มีสตู รดงั น้ี

ร้อยละ = ∑f × 100

n

เมื่อ f แทน ความถี่
n แทน จำนวนนักเรยี น

2. ค่าเฉล่ียเลขคณิต ( ̅) มสี ูตรดงั นี้

เมอ่ื x ̅ = ∑
n


แทน คะแนนจากนักเรยี น
แทน จำนวนนักเรยี น

18

3. สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) มสี ูตรดงั น้ี

SD = √∑( − ̅)2

−1

เม่อื x แทน คะแนนจากนกั เรียน

̅ แทน คา่ เฉล่ียเลขคณิตจากนักเรยี น
n แทน จำนวนนักเรยี น

19

บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้นิทานในการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกำแพงวิทยา โดย วิเคราะห์ข้อมูลจากแบบทดสอบก่อน – หลังการจัด
กจิ กรรมการเรียนรโู้ ดยใช้นิทานอสี ปภาษาองั กฤษ ดงั ตอ่ ไปน้ี

ตอนท่ี 1 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู โดยการใช้คา่ ร้อยละ ค่าเฉลีย่

ตารางท่ี 1 แสดงผลคะแนนทดสอบก่อน และหลังการใช้นิทานในการฝึกอา่ นออกเสยี งใหถ้ ูกต้อง

เลขท่ี ชื่อ - สกลุ ก่อนเรียน หลงั เรียน

คำ 40 คำ ร้อยละ คำ 40 คำ รอ้ ยละ

1 ด.ช. กษดิ ิศ ดนิ งะ 12 30 30 75

2 ด.ช. ธนพทั ร ลมิ าน 12 30 28 70

3 ด.ช. ธนภัทร หยมี ะเหร็บ 13 33 27 68

4 ด.ช. ธนวฒั น์ ดินเตบ 11 28 30 75

5 ด.ช. ธรี ศกั ดิ์ บรีบรู ณ์ 21 53 40 100

6 ด.ช. พรี ะพนั ธ์ุ คงสีเหร่ 15 38 35 88

7 ด.ช. เพชรภูมิเพชรรัตน์ 12 30 32 80

8 ด.ช. ฟาฎิว กดู าอี 10 25 33 83

9 ด.ช. รงั สิมันตุ์ หลงั ชาย 17 43 34 85

10 ด.ช. ศกุ ลวฒั น์ รัตนานุกลู 17 43 35 88

11 ด.ช. อริยธ์ ชั ร เลศิ บญั ญัติ 10 25 25 63

12 ด.ช. อบั ดลุ อาซสี หวันดาหนี 10 25 31 78

13 ด.ญ. กนกภรณ์ สดุ สวาท 15 38 31 77.5

14 ด.ญ. กลั มานี หวันสมัน 13 33 35 88

15 ด.ญ. กานต์ชนติ กองศรี 15 38 32 80

16 ด.ญ. จารวี ยจุ ันทร์ 14 35 33 83

17 ด.ญ. จุวัยนีย์ รอดเส็น 14 35 34 85

18 ด.ญ. ซูไวย๊ ยา ประสม 15 38 33 83

19 ด.ญ. ฐานัชฌา หลังนุ้ย 11 28 35 88

20 ด.ญ. ฐติ าภา อย่างดี 13 33 36 90

21 ด.ญ. ทัชมาฮาล กระจ่างโลก 12 30 37 93

22 ด.ญ. นภสร องั โชตพิ ันธุ์ 13 33 35 88

23 ด.ญ. นัฏฐณิชา คงแก้ว 18 45 34 85

24 ด.ญ. นัสนีน แข็งเเรง 18 45 38 95

20

เลขท่ี ชอ่ื - สกุล ก่อนเรียน หลังเรยี น
คำ 40 คำ รอ้ ยละ คำ 40 คำ รอ้ ยละ
25 ด.ญ. นรู ซัลฟาร์ มะสนั ติ
26 ด.ญ. พมิ พช์ นก ดำทอง 15 38 37 93
27 ด.ญ. ฟาติน องศารา 14 35 36 90
28 ด.ญ. ภวรัญชน์ แคลว้ มาก 13 33 36 90
29 ด.ญ. มิสตั๊กวาสาเล่ 12 30 35 88
30 ด.ญ. ลวณั ญดา บิหลาย 17 43 38 95
31 ด.ญ. วณัชญา มว่ งไหมทอง 11 28 32 80
32 ด.ญ. วรัญญา สำเร 17 43 38 95
33 ด.ญ. วรารมย์ ย้มิ ยวน 16 40 36 90
34 ด.ญ. วินัสญา บารา 15 38 35 88
35 ด.ญ. ศริ ดารตั น์ คลงั ข้อง 14 35 37 93
36 ด.ญ. สวามนิ ี ชำนาญ 14 35 36 90
37 ด.ญ. สภุ าสินี มิสละ 15 38 34 85
38 ด.ญ. อมรรตั น์ทพิ ย์ศรี 12 30 34 85
39 ด.ญ. อามาลีนา สาเเหล่หา 13 33 33 83
40 ด.ญ. อษิ ฎา เกิดตลอด 20 50 40 100
14 35 39 98

จากตารางที่ 1 พบว่าก่อนเรียนนักเรียนทั้งหมดมีคะแนนความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษอยู่ใน
ระดบั ต่ํากว่าเกณฑท์ งั้ หมด สว่ นหลังเรยี นพบว่านักเรียนส่วนใหญ่มคี ะแนนอยู่ในระดับสงู มากคิดเป็นร้อยละ 81.4
และมีนกั เรียนท่ีมคี ะแนนอยู่ในระดบั สูงคิดเปน็ ร้อยละ 100

ตอนท่ี 2 การวิเคราะห์คะแนนรวม คา่ เฉลี่ยรวม

ตารางท่ี 2 การวเิ คราะห์คะแนนรวม คา่ เฉลย่ี รวม และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน

รวม ก่อนเรียน หลงั เรียน

จำนวนคำ ร้อยละ จำนวนคำ รอ้ ยละ

563 35 1369 86

ค่าเฉล่ีย ̅ 14.03 35.06 34.08 85.21

ผลการวเิ คราะห์คะแนนจากตารางที่ 2 พบวา่ กอ่ นเรียน นกั เรียนสามารถอ่านออกเสียงอยู่ในเกณฑ์จาก
จำนวนคำท้งั หมด 40 คำ นำมาคดิ เทียบคะแนนเฉล่ีย 35.06 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนนคดิ เป็นร้อย
ละเท่ากับ 35.1 แสดงว่านักเรียนยังมีความสามารถในการอ่านออกเสียงอยู่ใระดับ ตํ่า ส่วนคะแนนหลังเรียน
นักเรียนสามารถอ่านออกเสียงจากจำนวนคำทั้งหมด 40 คำ คิดเทียบคะแนนเฉลี่ยได้ 85.21 คะแนน จาก
คะแนนเต็ม 100 คะแนน คดิ เป็นรอ้ ยละเฉลยี่ เท่ากับ 85.2 แสดงว่านกั เรยี นมคี วามสามารถในการอ่านสูงมาก

21

บทที่ 5
สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

การวิจัยเรื่อง ผลของการใช้นิทานในการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2
โรงเรียนกำแพงวิทยา ในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการอ่านออกเสียงของนักเรียนชั้น
มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรยี นกำแพงวิทยา ก่อน และหลงั การใชน้ ิทานเพื่อพฒั นาการอา่ นประชากรที่ใช้ในการวิจัย
ในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนกำแพงวิทยา จำนวน
ทง้ั ส้ิน 40 คน โดยการสมุ่ ตัวอยา่ งแบบเจาะจง และการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ที่ใช้ในงานวิจยั ครัง้ จากผลคะแนนจาก
แบบทดสอบแบบฝกึ อ่านออกเสียงก่อน-หลัง การวิเคราะหข์ ้อมลู มาวิเคราะห์โดยใช้ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย แล้ว
บรรยายผล ซ่งึ จากการวิเคราะห์ข้อมลู สามารถสรปุ ผลการวิจยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะไดด้ งั นี้

สรุปผลการวจิ ัย

ผลการวิเคราะห์ข้อมลู สามารถสรุปผลได้ดังต่อไปน้ี
จากการวิจัยในเรื่องผลของการใช้นิทานในการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงของนักเรียนช้ั น
มัธยมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนกำแพงวิทยา ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างโดยการใช้คะแนนทดสอบก่อนเรียนซึง่ เมื่อคิดเป็น
นักเรียนท่ไี ด้คะแนนตํ่าสุด จำนวน 5 คน จากนักเรียนท้งั หมด 40 คน ผูว้ ิจัยจึงได้ใชน้ ิทานในการฝึกอ่านโดยการ
ฝึกอ่านคำศัพท์โดยการสะกดคำ จากนั้นครูอ่านนำให้นักเรียนอ่านตามแล้วให้นักเรียนอ่านพร้อมกันอีกครั้งแล้ว
ให้นักเรียนตอบคำถาม ซึ่งนิทานที่นำมาให้นักเรียนได้ฝึกอ่านมีจำนวน 1 เรื่อง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ก่อนที่เรียน
ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดสามารถในการอ่านในภาษาไทยโดยกำหนดให้เป็นคำและประโยคที่กำหนดให้
โดยเฉลี่ยนักเรียนทำแบบทดสอบได้คิดเป็นร้อยละ 35.06 แสดงว่านักเรียนมีความสามารถในการอ่านอยู่ใน
ระดบั ต่าํ
ดังนั้นครูจึงต้องใช้เทคนิคต่างๆ ในการฝึกทักษะการอ่านออกเสียงซึ่งผู้วิจัยได้เลือกใช้นิทาน ซึ่งผลจาก
การใช้นิทานในการทดสอบในแบบทดสอบหลังเรียนพบว่านักเรียนมีค่าคะแนนที่เทียบคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้น โดย
เฉลี่ยจากการเทียบคะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 85.21 ซึ่งผลจากการฝึกอ่านอยู่ใน
เกณฑ์ดีมาก แสดงวา่ นักเรียนมีการพฒั นาทกั ษะในด้านการอา่ นสูงมากข้ึน

อภปิ รายผล
จากการเปรียบเทียบผลคะแนนการอ่านออกเสียงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/2 ระหว่างก่อนฝึก

และหลังฝึกอ่านโดยใช้นิทานที่ผู้วิจยั สร้างขึ้นเองเป็นสื่อจำนวน 1 เรื่องจากแบบทดสอบวัดความสามารถในการ
อ่านภาษาองั กฤษก่อน –หลงั พบว่าผลจากการอ่านออกเสยี งของนักเรียนหลงั การฝึกอ่านสูงกว่าก่อนการฝึกอ่าน
ออกเสียงซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่าการใช้ชุดฝึกอ่านออกเสียงที่ใช้นิทานเป็นสื่อน้ี
สามารถแก้ปัญหาการอ่านออกเสียงได้ เพราะเป็นการเรียนรู้จากสื่อที่นักเรียนสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งนิทานที่
ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นเร่ืองราวเกีย่ วการผจญภัย สอดแทรกข้อคิดคติสอนใจและสั่งสอนอบรมความดีงามพอสมควร
ทั้งนี้เพ่ือให้เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็กที่มีอายุประมาณ 7-11 ปี และสอดคล้องกบั คำกล่าวของสวน
เลิศอาวาส (2542 ,หน้า 6) และลัดดา เหมทานนท์ (2542, หน้า 226) ที่กล่าวโดยสรุปได้ว่านิทานเป็นสื่อทำให้
เดก็ เกิดแรงจูงใจทจี่ ะพฒั นาทักษะการอา่ นและสอดคล้องกับผลการวิจัยของเดชา จนิ ดาพนั ธ์ุ (2527 ,หน้า 45) ท่ี
ศึกษาการใช้นิทานพื้นเมืองส่งเสริมการอ่านสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่าหลังจากใช้นิทานแล้ว
นักเรียนมีความก้าวหน้าทางอ่านสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งจากผลงานวิจัยที่สอดคล้อง

22

ดังกล่าวมานั้น สนับสนุนว่าการการใช้นิทานเป็นสื่อที่สอดคล้องกับความสนใจของนักเรียนทำให้นักเรียนเกิด
แรงจูงใจพยายามอ่านออกเสียงให้ถูกต้องตามอักขรวิธีได้ถูกต้อง ชัดเจน และคล่องแคล่ว จึงทำให้มีผลคะแนน
หลังเรียนสูงขึน้ ดงั กล่าว

ข้อเสนอแนะ
1.ควรศกึ ษาการใช้เพื่อพัฒนาการอ่านออกเสียงรวมทั้งเปรียบเทียบผลของการใชน้ ทิ านกับสื่อต่างๆ เพอ่ื

พัฒนาการอา่ นออกเสียง
2. ควรศึกษากบั นักเรียนในระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 และช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเปน็ แนวทางในการ

สรา้ งนวัตกรรมเพ่ือฝกึ การอ่านออกเสยี ง
3. ควรศึกษาเปรยี บเทียบความคงทนในการอ่านออกเสยี งของนกั เรยี นหลงั จากท่ีไดร้ บั การฝกึ อา่ นโดยใช้

ส่ือประเภทตา่ ง ๆ

23

บรรณานกุ รม

อภิรักษ์ รักษาชือ่ . (2560). การพฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษ โดยการอา่ นจากเร่ืองสัน้ ๆ ของ
นกั ศกึ ษาชน้ั ประกาศนยี บัตรวชิ าชพี ช้ันสูงปีท่ี 2 วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวทิ ย์พณชิ ยการ.
กรงุ เทพมหานคร.

วัชราภรณ์ แสงพันธ์ และ นิตยา เปลื้องนุช (2553). การพัฒนากิจกรรมการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อ ความ
เขา้ ใจโดยใชน้ ิทานอสี ปของนกั เรียน ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนโนนสังวทิ ยาคาร. หนองบวั ลำภู

นางเสรมิ ศริ ิ อิศโร. (2557). รายงานการใช้หนังสอื ส่งเสริมการอ่าน ชดุ นทิ านอีสปสองภาษา เพือ่
สง่ เสริมการอ่านและการเขียนภาษาอังกฤษ สำหรบั นักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนเทศบาล
วัดมเหยงคณ์. นครศรีธรรมราช. สืบค้นเมื่อ 18 ธันวาคม 2563, จากhttps://sermsiriblog.
wordpress.com/2016/06/01

ดวงเดอื น แจ้งสว่าง .(2542). นิทานสำหรบั เดก็ ปฐมวยั . สงขลา : สถาบันราชภฏั สงขลา.
ทศั นยี ์ อินทรบำรงุ (2539). วินัยในตนเองของเดก็ ปฐมวัยท่ีได้รับการจดั กิจกรรมเล่านทิ าน

กอ่ นกลบั บา้ น . วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑติ . มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
นงลกั ษณ์ คำยิ่ง.(2541). การศึกษาความเขา้ ใจในการอ่านและความสามารถในการเขียน

ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 ทีไ่ ดร้ ับการสอนคาใหมโ่ ดยการใชน้ ทิ าน.วิทยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตร
มหาบณั ฑติ สาขาการประถมศึกษา บัณฑิตวิทยาลัยมหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ.
เน้อื นอ้ ง สนบั บญุ .(2541).ความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจดั ประสบ-
การณเ์ ลา่ นิทาน.วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ
ประสานมิตร.
บนั ลอื พฤกษะวนั .(2533).การสอนอา่ นเบ้ืองต้น .กรุงเทพ ฯ : โอเดียนสโตร์ .
______________.(2538).มติ ใิ หมใ่ นการสอนอา่ น.(พิมพ์ครัง้ ที่ 3).กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ บางแสน.กรงุ เทพ ฯ : บรษิ ัทประชาชน
ประเทนิ มหาขันธ.์ (2523).การสอนอ่านเบ้อื งตน้ ภาคหลักสตู รและการสอน คณะ
______________ .(2530).การสอนอา่ นเบอ้ื งต้น.กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์
ปรมิ วดี ประยรู ศุข .(2525).ความสนใจในการอ่านหนังสือนทิ านประเภทต่าง ๆ ของนักเรยี น
ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนสาธติ มหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร . วทิ ยานพิ นธ์
ประภาศรี สีหอำไพ .(2524).วธิ สี อนภาษาระดบั มธั ยมศกึ ษา.กรงุ เทพ ฯ : วัฒนาพานิช
เพ็ญจา สรุ ยิ กานต.์ (2544).การใชน้ ิทานอีสปเป็นสอื่ พฒั นาการอ่านออกเสียงของนกั เรียนชน้ั
ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสงั กดั สานกั งานการประถมศึกษาอำเภอค่ายบางระจัน จังหวดั สิงหบ์ ุรี.
วทิ ยานพิ นธศ์ ึกษาศาสตรมหาบณั ฑติ (หลักสตู ร66และการสอน) บัณฑติ วิทยาลยั
มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช.
มณีรตั น์ สุกโชติรัตน.์ (2525).“การเรียนการสอนอา่ นออกเสียงและอา่ นในใจเพอ่ื การอา่ น
อย่างมีประสทิ ธภิ าพและรวดเร็ว” การศึกษานอกโรงเรยี น.113 : 52-53 สิงหาคม –
กันยายน 2525
ระวิวรรณ ศรคี รา้ มครนั .(2527).การพฒั นาหลกั สูตรในโรงเรยี นมธั ยมศึกษา.กรุงเทพ ฯ : รุง่ ศลิ ป์การ
พิมพล์ ดั ดา เหมทานนท.์ (2543). “การเล่านิทาน” ในกิจกรรมส่งเสรมิ การอ่าน .กรงุ เทพ ฯ : โรงพิมพช์ วน
พิมพ์.
วรรณี ศริ ิสนุ ทร.(2539).การเล่านิทาน.กรงุ เทพฯ : การพมิ พ.์

24

บรรณานุกรม (ต่อ)

วิภาดา ประสานทรพั ย์ (2542). พฤตกิ รรมการสอนภาษาอังกฤษ .กรงุ เทพ ฯ :
สถาบนั สถาบันราชภฏั สวนสุนนั ทา.

สมชาย ตนั ตสิ ันตสิ ม.(2527).ศึกษาการใชน้ ทิ านพนื้ บา้ นเมอื งเพ่อื ส่งเสริมการสอนอ่านสำหรบั นกั เรยี น
ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2โรงเรียนบา้ นพรานกระตา่ ย อาเภอพรานกระต่าย จังหวดั กาแพงเพชร.
วทิ ยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรม์ หาบัณฑิต บณั ฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.

สมศักดิ์ ปรปิ รุ ณะ .(2542).นิทานสาหรับเดก็ . ราชบรุ ี : สถาบันราชภฏั หมบู่ า้ นจอมบึง
สมศกั ดิ์ สนิ ธุระเวชญ์ .(2539).การประเมนิ ผลทกั ษะการอ่าน.ในเอกสารการเรยี นการสอน

ระดับประถมศึกษาภาษาไทย.กรุงเทพฯ : วฒั นาพานชิ . สมเกยี รติ กนิ จำปา.(2545).การศึกษาความ
เขา้ ใจในการอ่าน ความสามารถในการเขยี นและความสนใจในการเรียนภาษาไทยของนักเรยี นช้นั
ประถมศึกษาปที ่ี 5 ที่ไดร้ ับการสอนอา่ นแบบบูรณาการของเมอรด์ อกห์ (MIA). วทิ ยานพิ นธ์ปริญญา
มหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ.
สนิท ต้ังกวี .(2538).ศลิ ปะการสอนภาษาไทยระดับมธั ยมศึกษา.กรงุ เทพ ฯ : โอเดยี นสโตร์ .
สัณหพฒั น์ อรุณธารี .(2542). นทิ านสาหรับเดก็ ปฐมวัย .ภเู ก็ต : สถาบนั ราชภฏั ภเู กต็ .
สาลกิ า รถทอง.(2548). การใชน้ ิทานเพ่ือพัฒนาการอ่านเชงิ วิเคราะห์ สาหรบั นกั เรยี นชั้น
ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โรงเรยี นศาลเจ้า (หา้ วนุกลู วทิ ยา) กรงุ เทพมหานคร.วทิ ยานพิ นธ์ ปริญญาศกึ ษา
ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอนบัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช.
สุธีพร ปาคะดี.(2531). การศกึ ษาเปรียบเทียบความสามารถในการอา่ น เขียน และการ
ระลกึ ส่ิงทอี่ า่ นไดใ้ นวิชาภาษาองั กฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทีไ่ ดร้ ับการสอนแบบ
ม่งุ ประสบการณภ์ าษากับนกั เรยี นท่ไี ด้รับการสอนตามคู่มือคร.ู ปรญิ ญานิพนธ์
ศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต(การประถมศกึ ษา).บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ-
โรฒประสานมติ ร
สุนนั ทา ม่ันเศรษฐวิทย์.(2543).หลักและวธิ ีการสอนอ่านภาษาไทย .(พมิ พค์ รั้งท2ี่ ). กรงุ เทพฯ :
ไทยวฒั นาพาณิช
สุภัสสร วัชรคปุ ต.์ (2543). ชุดการสอนอ่านจบั ใจความโดยใช้นิทาน สำหรับนักเรยี นชัน้
ประถมศกึ ษาปที ี่ 3.วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั บูรพา.

25

ภาคผนวก

26

ภาคผนวก ก

รายช่อื ผเู้ ชยี่ วชาญเปน็ ผตู้ รวจสอบเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวิจัย

27

รายชือ่ ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจสอบเครื่องมือทีใ่ ช้ในการวิจัย

1. นางปาลิตา อาดุลเบบ
ครูชำนาญการพเิ ศษ
ครผู ูส้ อนรายวชิ าภาษาอังกฤษ โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จงั หวัดสตลู

2. นางสาจิตร ทพิ ย์รองพล
ครูชำนาญการพิเศษ
ครผู ู้สอนรายวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนกำแพงวิทยา อำเภอละงู จังหวดั สตลู

3. นางนริศรา หยมี ะเหร็บ
ครูชำนาญการพเิ ศษ
ครผู ู้สอนรายวชิ าภาษาองั กฤษ โรงเรยี นกำแพงวิทยา อำเภอละงู จงั หวัดสตูล

28

ภาคผนวก ข

ตรวจสอบคณุ ภาพของเครอื่ งมือ

29

แบบตรวจสอบความเท่ยี งตรงของข้อสอบ (IOC)

30

ภาคผนวก ค

เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นงานวิจยั

31

แบบฝึกเสรมิ ทักษะ

นางสาวคไู ซบ๊ะ หะยปี ะดอ
ตำแหนง่ ครผู ชู้ ว่ ย

โรงเรยี นกำแพงวิทยา
อำเภอละงู จังหวดั สตูล
สำนกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 16

32

There was once a young Shepherd Boy
who tended his sheep at the foot of a
mountain near a dark forest. It was rather
lonely for him all day, so he thought upon a
plan by which he could get a little company
and some excitement.

33

He rushed down towards the village calling out
Wolf, Wolf. And the villagers came out to meet him,
and some of them stopped with him for a
consideration time. This pleased the boy so much
that a few days afterwards he tried the same trick,
and again the villagers came to his help.

34

But shortly after this a wolf actually did
came out from the forest and began to worry
the sheep, and the boy of course cried out
wolf, wolf” still louder than before.

35

But the villagers, who had fooled twice
before, thought the boy was again deceiving
them, and nobody stirred to come to his
help. So, the wolf made a good meal off the
boy’s flock.

36

Moral of this story

“Liars are not believed
even when they speak

the truth.”

37

แบบบันทกึ การอา่ นออกเสียงคำศัพทภ์ าษาองั กฤษในแบบทดสอบกอ่ น-หลงั
ชอ่ื ………………………………นามสกลุ …………………………………………ชัน้ ม.2/2

คำช้แี จง ใหค้ รผู ู้บันทึกทำเครือ่ งหมาย ลงในชอ่ งคะแนนท่ีกำหนดให้ตรงกบั ระดับคะแนนทนี่ ักเรยี นไดร้ ับ

ลำดับ คำศพั ทท์ ี่นำมาทดสอบ รายการประเมนิ รวม
อา่ นถูกต้อง อา่ นไม่ถูกตอ้ ง
1. actually
2. afterwards 10
3. before
4. company
5. consideration
6. could
7. course
8. Dark
9. deceiving
10. excitement
11. forest
12. foot
13. fooled
14. Help
15. Little
16. louder
17 mountain
18. meal
19. meet
20. once
21. Rather
22. Rushed
23. Shepherd
24. Shortly
25. pleased
26. plan
27. tended

38

แบบบนั ทกึ การอ่านออกเสียงคำศัพทภ์ าษาอังกฤษในแบบทดสอบกอ่ น-หลงั
ชอ่ื ………………………………นามสกลุ …………………………………………ชนั้ ม.2/2

คำชแ้ี จง ใหค้ รูผู้บนั ทกึ ทำเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ งคะแนนที่กำหนดให้ตรงกบั ระดับคะแนนท่นี กั เรยี นไดร้ ับ

ลำดับ คำศพั ทท์ ี่นำมาทดสอบ รายการประเมนิ รวม
อ่านถูกตอ้ ง อา่ นไมถ่ กู ต้อง
28. Thought
29. Towards 10
30 Tried
31. Upon
32. Villagers
33. Village
34. Trick
35. Twice
36. Wolf
37. stirred
38. still
39. Young
40. flock

39

NOTE

…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………
…………………………………………………………………

40

41

แผนการจดั การเรยี นรู้

42

43

ข้อสอบวดั ผลการเรยี นรู้

44


Click to View FlipBook Version